ยังไม่จบนะคะ มีอีกตอนที่คาดว่าจะจบ หุหุ
ที่เรื่องมันเศร้าอาจจะเพราะคนเขียนไม่มีแฟน
เลยงอลใส่ Valentine หุหุหุ (นางมารร้ายชัด ๆ)
Special – The Valentine. (3)วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2555
ผมตื่นมาเกือบ ๆ เที่ยงแล้ว เห็นไอ้หล่อนอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ มันกลับมาเมื่อไหร่...... ถ้าจะให้เดาคงน่าจะเป็นเมื่อเช้า
เพราะมันบอกจะค้างบ้านเพื่อน ใบหน้าที่หล่อเหลาของมันยังคงความหล่อเช่นเดิม ใบหน้าที่หลับไหล
แต่กลับมีรอยยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก เหมือนมีความสุขจนล้นอก ......แม้แต่ตอนหลับก็ยังเก็บไปฝัน
“ปิงปองกุ..อโทษ” เสียงไอ้เป้ละเมอขาดห้วง แต่พอจะจับใจความได้ว่ามันขอโทษ
(ขอโทษ.....ขอโทษกุเรื่องอะไรหล่ะเป้) เริ่มต้นจากความฝันสินะ ....มึงแค่ยังไม่กล้าบอกเลิกกุ
ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่น ทิ้งตัวลงนอนข้างไอ้หล่อ สายตาจับจ้องที่อากัปกิริยาของอีกฝ่าย
ที่ตอนนี้กำลังคว้าหมอนข้างไปกอดก่อนจะยิ้มหวาน อย่างมีความสุข
ฝันถึงเค้าเหรอเป้ ....ฝันถึง “ฟ้า” สินะ มึงถึงได้ยิ้มอย่างมีความสุขขนาดนี้
มึงคงเจอคนที่ใช่ สำหรับมึงแล้วใช่ใหม ....กลับไปเป็นคนปกติก็ได้นะเป้
กุ.........กุยินดีด้วย ผมไล้มือบางๆ แตะหน้าไอ้เป้ น้ำตาร้อนๆ ไหลอาบแก้มผม
ไอ้หล่อปรือตา ส่งยิ้มหวานมาให้ผม ....มันโน้มผมไปจูบเหมือนคนไม่ได้สติ
“อืมมม” เสียงครางเบาๆ จากปากไอ้หล่อ มันละปากส่งยิ้มมาให้ผมอีกครั้ง
“ขอบคุณมากครับ.....ฟ้า” ไอ้เป้ละเมอเสียงแผ่ว ก่อนจะหลับลงอย่างเดิม
....จูบของฟ้า? เมื่อกี้เป็นรอยจูบที่จะมอบให้...กับฟ้า อย่างนั้นเหรอ?
ผมซุกหน้าลงกับหมอน หมดแรงจะลุกไปไหน ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาที่เป็นตัวแทนความเสียใจ
ไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง กัดริมฝีปากตัวเองแน่นจนเจ็บ เจ็บจนแทบกลั้นหายใจ จิกหมอนเพื่อระบายความเสียใจที่มี
ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา มีแต่คำถามที่เฝ้าถามตัวเอง “เจ็บ.................พอรึยังวะ”
.
.
ผมพยุงตัวเองเท่าที่แรงจะมีเหลือ จัดการตัวเองในห้องน้ำ ออกจากห้องไปไม่มีจุดหมายปลายทางเช่นเดิม
ทุกๆ อย่างที่เหมือนเดิม เพียงแต่วันนี้ไม่มีโน๊ตเขียนบอกให้ไอ้เป้รู้ว่าผมไปไหน มือถือที่พกมาแต่ก็ปิดเครื่อง
ผมไม่ได้ขับรถไปแต่เลือกที่จะนั่งรถเมย์สักสาย ผมนั่งรถเมย์ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้มีจุดหมายปลายทางเช่นเดิม
สิ่งที่ทำได้เพียงเหม่อมองออกไปนอกรถ กับความคิดที่วกวนว่าต่อไปต้องทำยังไง จิตใจรุ่มร้อนน่าดู
.
.
เป็นการนั่งรถเมย์ที่ยาวนาน รถจอดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผมลงรถมองหาร้านอาหารที่มีอยู่เกลื่อน
ใกล้เที่ยงแล้ว...ต้องกินข้าว ตอนนี้อยู่นอกห้องจะให้โรคกระเพาะกำเริบตอนนี้คงไม่ดีแน่
ผมเลือกกินข้าวราดแกง 2-3 อย่าง เลือกเฉพาะที่ไม่เผ็ด กลัวมันไปกระตุ้นความเจ็บปวดให้ปะทุอีก
นั่งบนเก้าอี้ของทางร้าน ทานอาหารไปเงียบ ... พร้อมกับมองดูชีวิตคนที่กำลังดำเนินอยุ่
ผู้คนมากมายมาที่นี่ แตกต่างวัตถุประสงค์ บางคนมาช็อปปิ้ง บางคนมาเพื่อเดินทางต่อไปที่อื่น
บางคนก็มาหาหมอ บางคนมาพบเพื่อน ทุกๆ อย่างดำเนินไปอย่างเร่งรีบ อาหารที่ค่อยๆ
ลำเลียงลงกระเพาะหมดไปแล้ว เป็นครั้งแรกในรอบอาทิตย์ไม่ใช่อร่อยมาก เพียงแต่ว่ามันมีอะไรให้ผมมองดู
จนเพลิดเพลินอดแปลกใจกับชีวิตในเมืองที่วุ่นวายขนาดนี้ แต่ทุกคนดูจะขวานขวายเข้ามาอยุ่
ผมตัดสินใจนั่งรถต่อไปวัดพระแก้ว นั่งรถอยู่นานเหมือนกันเพราะรถติด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมหงุดหงิด
ดีซะอีกเวลาความเจ็บปวดจะได้เดินผ่านไปเร็ว ๆ ผมมาถึงที่วัดเกือบ ๆ 3 โมงเย็น
ผมเข้าไปกราบพระในวัดพระแก้วขอพร และวัดอื่น ๆ ในระแวกนั้น เท่าที่เวลาจะอำนวย
ตอนนี้ 5 โมงเย็นแล้ว ผมยังนั่งมองอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อย ไร้จุดหมายแต่สบายใจเป็นที่สุด
ผมหยิบมือถือขึ้นมาเปิดเครื่องเพื่อดูว่ามีใครติดต่อมาบ้าง ข้อความจากไอ้เป้ 5 ข้อความ และ
สายไม่ได้รับอีก 30 สาย จากไอ้เป้ 25 สาย ไอ้นัย 3 สาย ไอ้เอก 2 สาย
ข้อความที่หนึ่ง “ไปไหนทำไมไม่บอก ......โทรกลับด่วน”
ข้อความที่สอง “ปิดเครื่องทำไม เปิดเครื่องแล้วรีบโทรกลับนะ”
ข้อความที่สาม “อยู่ที่ไหน....ไอ้เตี้ย มึงรีบโทรกลับหากุเลยนะ”
ข้อความที่สี่ “อยู่ที่ไหนเนี่ย ช่วยรับโทรศัพท์กุที”
ข้อความที่ห้า “ปิงปอง กุขอร้องโทรกลับกุที”
ขอบคุณที่ยังมีความห่วงใยให้กุนะเป้ แต่เรื่องเมื่อเช้า...ทำใจไม่ได้จริง ๆ ว่ะ
ผมตัดสินใจโทรกลับ อย่างน้อย....ถ้าต้องเลิกกันก็อย่าให้เสียความเป็นเพื่อน
ไม่รู้ผมจะทำใจได้รึเปล่า .....ที่ผ่านมาผมมีมันอยู่ทุกๆ ย่างก้าว มันเป็นของผมมาตลอด
แต่วันนี้ไม่ใช่ “ของของผม” อีกต่อไปแล้ว
“ปิงปอง!! มึงอยู่ไหน”
“วัดพระแก้วว่ะ มึงมีไรรึเปล่า”
“ไปทำไรที่นั่นอ่ะ...มึงเป็นไรรึเปล่า”
“ป่าว ..กุไม่ได้เป็นไร แค่อยากมาไหว้พระอ่ะ”
“แล้วปิดเครื่องทำไม?”
“กุลืมเปิด”
“กุเป็นห่วง ...จะไปทำไมไม่บอก”
“มึงจะพากุมา?”
“...................”
“เห็นมั้ยล่ะ ยังไงกุก็ต้องมาคนเดียวอยู่ดี”
“แต่กุเป็นห่วง เมื่อไหร่กลับ”
“กำลังจะกลับ”
“กลับมาถึงโทรหากุด้วยนะ ...เอ่อกุต้องไปหาเพื่อนว่ะ”
“อืม” ผมเงียบไปไม่มีคำตอบอะไรอีก กลัวพูดอะไปแล้วน้ำเสียงจะสั่นจนมันจับได้
“กุวางนะ ...รีบว่ะ” ประโยคสุดท้ายจากปากไอ้เป้ก่อนจะกดวาง ผมถอนหายใจหนัก พยายามยอมรับกับ
ความเป็นจริงที่กำลังจะเดินมาหา ในที่สุดรถเมย์ก็พาผมมาถึงอนุสาวรีย์ ผมนั่งรถเมย์อีกสายเพื่อกลับไปยังคอนโด
ผมมาถึงก็พบกับความว่างเปล่าเช่นเดิม ผมส่งข้อความไปหาไอ้เป้ ว่ามาถึงแล้ว แต่มันไม่ได้โทรกลับ หรือ
ส่งข้อความตอบกลับมาแต่อย่างใด ทุกอย่างยังคงเงียบเช่นเดิม ผมหยิบอาหารที่ซื้อมาจากด้านล่าง
เทใส่จาน เตือนตัวเองว่าถึงไม่หิวก็ต้องกิน ไม่งั้นท้องเจ้ากรรมอาจจะเจ็บขึ้นมาอีกก็ได้
ผมเข้าไปอาบน้ำเตรียมตัวนอน ...ไม่มีอะไร ไม่ได้รอใคร ไม่แน่ใจว่ามันจะกลับมั้ย แต่ก็อดมองหาไม่ได้
ถึงจะใจหาย.............แต่ก็ทำได้แค่ทำใจ ผมสูดหายใจเข้าลึก ๆ เรียกสติ พักผ่อน ๆๆๆ
จนสุดท้ายก็ผลอยหลับไปด้วยความเหนื่อย
“แกร๊ก ..แกร๊ก” เสียงไอ้หล่อหมุนลูกปิดห้องนอนเข้ามา มันก็ยังทำเช่นเคย อาบน้ำแล้ว แทรกตัวขึ้นบนเตียง
“ปิงปอง?” มันเอ่ยเสียงเบา ราวกับจะเช็คว่าผมยังตื่นอยู่รึเปล่า ผมที่พึ่งรู้สึกตัวตอนได้ยินเสียงลูกบิด
ยังคงแกล้งทำเป็นหลับต่อไป มันจูบเบาๆ ที่หน้าผากเหมือนเคย ก่อนจะดึงผมเข้าไปกอด
“ขอโทษ...กุขอโทษ” ไอ้เป้เอ่ยเสียงแผ่ว คงไม่หวังให้ผมได้ยิน แค่อยากระบายความรู้สึกผิด
ผมซุกตัวเข้าหาอ้อมกอดอย่างคุ้นเคย เจ็บ............เจ็บจนทนแทบไม่ไหว แต่กลับโหยหาอ้อมกอดอบอุ่นนี้
กลับยิ่งต้องการมันมากขึ้นกว่าเดิม ทำยังไงจะลืม.........ได้ซะที
ทั้งผมและไอ้เป้กอดกันแน่น ....ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อย ๆ ปล่อยให้ความมืดเข้าครอบงำ
---------------------------------------------------------------------------------------------