23.5
ใช้เวลาทบทวนอยู่เกือบสัปดาห์ สุดท้ายตุลย์ก็ตกลงรับบทพระรองในซีรีส์เรื่องสั้นรักวัยรุ่นที่ดัดแปลงเค้าโครงจากนิยาย โดยที่ตัวเขารับบทเป็นหนุ่มน้อยหน้าใสวัยมหาวิทยาลัยที่แอบชอบสาวรุ่นพี่ แต่โชคร้ายที่เธอคนนั้นดันไปหลงรักพระเอกของเรื่อง ทำให้เขาต้องผันตัวมาเป็นที่ปรึกษาด้านความรักและคนดูแลหัวใจเธอ
ซึ่งบทบาทนี้ ศานนท์และซินดี้ต่างเห็นตรงกันว่า ไม่ซับซ้อนเกินไปและน่าจะได้ใจคนดู
วันแรกของการออกกองเป็นอะไรที่ทั้งท้าทายและโหดหินสำหรับตุลย์ ความด้อยประสบการณ์ทำให้เขาทั้งกดดันและประหม่าเวลาอยู่หน้ากล้อง แม้จะผ่านโฆษณามาแล้ว แต่การถ่ายทำละครก็ยังเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับนักแสดงอื่น หรือเคลื่อนไหวติดต่อกันเป็นเทคยาวๆ
เขาต้องใช้เวลาระยะหนึ่งทีเดียวกว่าจะเริ่มปรับตัวให้ชิน
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ตุลย์มีคิวถ่ายทำ สถานที่ที่ใช้ถ่ายนั้น เป็นร้านกาแฟตกแต่งสไตล์มินิมอลด้วยดอกไม้แห้ง และของกระจุกกระจิก บ่ายนี้เขาจะต้องเข้าฉากกับนักแสดงหญิงอายุใกล้เคียงกันที่รับบทเป็นสาวรุ่นพี่ เป็นฉากที่เธอนั่งทานขนมและขอคำปรึกษาเรื่องความรักจากเขา ขณะที่เขาปลอบใจเธอ
หลังจากผู้กำกับบรีฟบทให้นักแสดง การถ่ายทำก็เริ่มต้นและดำเนินไปอย่างทุกวัน บางฉากก็ราบรื่น ส่วนฉากที่ต้องใช้อารมณ์มากหน่อยก็กระท่อนกระแท่นบ้าง เพราะต่างฝ่ายต่างเป็นดาราใหม่ทั้งคู่
การถ่ายทำร่วงเลยมาราวๆ เกือบหนึ่งทุ่มครึ่ง จวบจนได้เทคครบตามที่ผู้กำกับพอใจก็สั่งเลิกกอง เหล่าทีมงานทยอยเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นรถอย่างกระฉับกระเฉง บางส่วนก็เร่งรีบเพราะต้องประชุมฝ่าย เตรียมความพร้อมสำหรับถ่ายทำฉากของคู่หลักต่อในวันพรุ่งนี้
เสร็จงานปุ๊บ ตุลย์ก็โทรให้เต้มารับอย่างทุกวัน แต่ถือสายรอไม่กี่วินาที เขาก็กดตัด ตอนที่เห็นป้ายแฟรนไชส์ร้านกาแฟชื่อดัง โลโก้นางเงือกที่ตนเองโปรดปรานใต้ตึกสำนักงานตรงข้ามกับคาเฟ่
วันนี้ทั้งวัน เขายังไม่ได้แตะกาแฟเลยสักแก้วเดียว มีก็แต่ขนมหวานเล็กๆ น้อยๆ ให้ชิมระหว่างเข้าฉากเท่านั้น พอเห็นร้านประจำเข้า ก็เกิดอดใจไม่ไหวขึ้นมา
จะว่าเสพติดแบรนด์ก็ได้ แต่เขาหลงรักกาแฟร้านนี้จริงๆ กว่าจะรู้ตัว ตุลย์ก็ถูกสะกดจิตให้เดินข้ามสกายวอล์กมาลงหน้าสำนักงานเป็นที่เรียบร้อย เขาตรงไปที่เคาท์เตอร์ ต่อคิวรอสั่งเครื่องดื่มตามปกติ
ระหว่างที่รอ เขาสังเกตเห็นว่าวันนี้ มีผู้คนยืนออตรงพื้นที่ใต้ตึกหนาแน่นกว่าปกติ แต่ไม่ได้เอะใจ จนกระทั่งถูกสะกิดหลังยิกๆ ให้หลุดจากภวังค์ พอหันไปก็ต้องแปลกใจยิ่งกว่า เมื่อพบว่าเจ้าของมือคือ ดาราโทรทัศน์อย่างวินทร์
“ว่าแล้ว น้องตุลย์จริงด้วย เห็นมั้ย ผมบอกแล้วว่าใช่” ดาราหนุ่มยักไหล่ให้กลุ่มเพื่อนที่อยู่ด้านหลังราวกับจะอวดว่าทายถูก
“พี่มาทำอะไรครับเนี่ย? ”
“ถ่ายละครครับ เช่าออฟฟิศข้างบนถ่ายน่ะ เพิ่งเลิกกองเมื่อกี้เลย”
วินทร์ตอบ ไม่ลืมแนะนำเขาให้รู้จักกับกลุ่มชายหญิงห้าหกคนด้านหลัง
“นี่พี่ๆ ทีมงานจากกองถ่าย ว่าจะชวนกันไปปาร์ตี้ต่อที่คลับ”
“ปาร์ตี้บ่อยนะครับเนี่ย”
ถูกแซว วินทร์ก็หัวเราะร่วน “ใช่ ผมเป็นคนชอบปาร์ตี้ มีเงินก็ใช้ๆ ไป หาความสุขใส่ตัว น้องตุลย์ล่ะ ไปด้วยกันมั้ย? นี่ว่าจะโทรชวนคนจากกองโฆษณาคราวก่อนด้วย”
ข้อเสนอนั้นทำให้ตุลย์ลังเลอยู่บ้าง
เขามีข้ออ้างร้อยแปดพันอย่างจะปฏิเสธชายหนุ่ม แต่ลึกๆ ในใจแล้ว เขาก็อยากพักผ่อนคลายเครียดบ้างเหมือนกัน หลังจากทุ่มเทให้งานอย่างหนักติดกันมาหลายอาทิตย์
“ถ้ากลัวเดินทางไม่สะดวก นั่งรถไปด้วยกันก็ได้นะ เดี๋ยวขากลับไปส่ง”
“ครับ ก็ได้”
ยุมากๆ เข้า เขาก็พ่ายแพ้ต่อความอยากเสียหมดรูป
วินทร์พยักหน้าเชิงรับทราบ ก่อนให้เขารอที่ร้านกาแฟ ขณะที่เจ้าตัวกลับเข้าไปคุยกับทีมงานจำนวนหนึ่ง และโทรศัพท์หาใครอีกสองสามคนเพื่อบอกพิกัดร้าน จากนั้นพวกเขาก็ขึ้นรถซีดานสีขาวที่ลานจอดรถใต้สำนักงาน ขับออกมาด้วยกัน
ด้วยความเป็นคนอัธยาศัยดี ไม่ว่าหัวข้ออะไร วินทร์ก็ขุดหาเรื่องมาชวนเขาคุยอย่างไหลลื่นไม่รู้เบื่อ เรียกว่าฆ่าเวลาระหว่างรถติดไปได้มากโข
ขณะที่กำลังรอไฟเขียว ฝ่ายนั้นก็เผอิญสะดุดตากับเครื่องประดับชิ้นใหม่บนข้อมือเขาเข้าพอดี
“หึ่ม นาฬิกาสวยนะเนี่ย เพิ่งซื้อเหรอ”
ตุลย์ชะงักเล็กน้อย
ขืนตอบตามตรงว่าใครเป็นคนซื้อให้ มีหวังได้คำถามอื่นพ่วงยาวเป็นหางว่าวแน่
“คุณแม่ซื้อเป็นของขวัญให้น่ะครับ ในฐานะที่โฆษณาชิ้นแรกไปได้สวย”
คำตอบของเขา ทำเอาวินทร์ร้อง ‘โอ้โห’ เบาๆ อย่างแปลกใจ “แสดงว่าที่บ้านรวยน่าดูเลยนะเนี่ย”
“ไม่หรอกครับ ก็กลางๆ ชิ้นนี้ให้เนื่องในโอกาสพิเศษน่ะ ผมก็ไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่เหมือนกัน” ตุลย์ตอบอย่างระมัดระวัง “แล้วพี่ว่ามันต้องราคาสักเท่าไหร่อ่ะ”
“ฮ่าๆ ๆ ถามถูกคนแล้ว จริงๆ แล้วผมเป็นคนชอบเล่นนาฬิกามาก ซื้อเก็บไว้ก็หลายเรือน บางเดือนต้องกินบะหมี่ต้มเพราะเอาเงินไปซื้อนาฬิกาหมดก็มี ไหน... ลองเอามาดูก่อนซิ”
คนพูดแบมือเป็นเชิงขอดู ตุลย์ก็ถอดนาฬิกาสีเงินส่งให้ ดาราหนุ่มใช้เวลาพิจารณารูปลักษณ์ พลิกดูตัวเรือนอยู่สักครู่ใหญ่ๆ ถึงตอบด้วยน้ำเสียงค่อนข้างลังเล
“อืม... โรเล็กซ์เดโทน่า รุ่นนี้มีฟังก์ชันจับเวลา สายโลหะด้วย พูดยาก... ผมไม่ค่อยมั่นใจเรื่องราคา แต่คิดว่าในไทย เรือนนี้น่าจะตกอยู่ราวๆ ล้านสี่ ล้านห้าได้”
ล้านสี่ ล้านห้า…
ห๊า!? วินาทีที่ได้ยินราคา สีหน้าเขาก็แข็งค้าง
...จริงอยู่ แวบแรกที่เห็น เขารู้ว่ามันเป็นของมีราคา แต่ของจำพวกเครื่องประดับ อย่างมากก็ไม่น่าเกินสามแสนใครจะรู้ว่าของที่ศานนท์ให้มาจะมีราคาพอๆ กับรถคนนึง! ตุลย์ถอนหายใจเฮือกเพราะเหนือความคาดหมายไปมาก ก่อนจะรับ ‘นาฬิกาพิลึกที่ราคาแพงพอจะซื้อรถยุโรปดีๆ ได้’ คืนจากวินทร์อย่างด้วยท่าทางเหมือนถือระเบิดเวลาไว้ในมือ
คล้ายว่าจะขนลุกนิดๆ ตอนที่นิ้วสัมผัสถูกสายโลหะเย็นเฉียบ
“สงสัยผมคงต้องเอาไอ้เจ้านี่ไปคืนหม่อมแม่แล้ว”
ท่าทางเขาเหมือนจับโดนของร้อน เรียกเสียงหัวเราะร่าจากขนขับ
“ถ้าจะขายต่อเมื่อไหร่ก็บอกนะ ผมให้ราคาดี”
ตุลย์ได้แต่ยิ้มแหย
เขาคงไม่กล้าเอาของราคาขนาดนี้ไปขายหรอก ถ้าไม่กำลังอดตายจริงๆ ------------------------------------
พวกเขามาถึงไนต์คลับพร้อมกับทีมงานอีกจำนวนหนึ่งที่ขับตามกันมาหลังเวลาเปิดไม่นาน ลูกค้าจึงยังไม่หนาแน่น
โต๊ะที่วินทร์จองเป็นโต๊ะยาวตั้งอยู่ตรงมุมขวาใกล้กับเวทีศิลปิน และมีทางเชื่อมไปยังห้องน้ำ ทำให้เดินออกไปทำธุระได้โดยไม่ต้องเบียดเสียดกับฝูงชน
หญิงสาวสองคนนั่งจับเข่าคุยกันอยู่ที่โต๊ะก่อนแล้ว ตอนที่พวกเขามาถึง คนหนึ่งชุดเครื่องแบบยี่ห้อเบียร์ เดาว่าเป็นสาวเชียร์ ส่วนอีกคนสวมเดรสสายเดี่ยวลงกากเพชรวิบวับ หน้าตาสะสวยกว่า
ตุลย์รู้สึกคุ้นหน้าเธออยู่บ้าง แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
วินทร์เข้าไปทักทายทั้งคู่อย่างสนิทสนม ก่อนจะแนะนำพวกเธอให้ตุลย์รู้จัก สาวเชียร์เบียร์คนนั้นมีนามว่า ‘เชอร์รี่’ ส่วนอีกคนชื่อ ‘อันดา’ ซึ่งถ้าเขาจำไม่ผิด เธอคือนักแสดงสมทบจากซีรีส์ที่ไม่โด่งดังนัก
ไม่นานแขกคนอื่นๆ ที่ดาราหนุ่มเชิญไว้ก็ทยอยมา ส่วนใหญ่เป็นคนที่เขาไม่คุ้นหน้า แต่บางคนเคยคุยด้วยเพราะเป็นทีมงานจากกองถ่ายโฆษณาก็มี
“วันนี้ช่วยเปิดทาวเวอร์เยอะๆ อุดหนุนรี่หน่อยน้าค้า”
พอสาวเชียร์อ้อนเสียงหวาน เบียร์สองทาวเวอร์ถูกสั่งมาลงที่โต๊ะ โดยที่มีหลายๆ คนผลัดเวียนดื่ม
เวลาผ่านไป คนเริ่มทยอยมากันเยอะขึ้น จากสิบเพิ่มเป็นยี่สิบคน เช่นเดียวกับจำนวนลูกค้าในคลับ บรรยากาศรอบๆ ก็ครึกครื้นขึ้นถนัดตา จวบจนราวๆ สี่ทุ่มครึ่ง นักร้องนำก็ขึ้นมาร้องเพลงฮิตบนเวที เรียกให้บางคนลุกออกไปยืนโบกไม้โบกมือร้องเพลงที่ฟลอร์เต้น ขณะที่บางคนก็ยืนดื่มที่โต๊ะ ขยับโยกย้ายร่างกายไปตามจังหวะ
เขาอาจไม่มีความทรงจำดีๆ กับไนต์คลับมากนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวเองคุ้นเคยกับบรรยากาศครื้นเครง แสงสีและอบายมุขเหล่านี้เหลือเกิน...
“วันนี้ไม่มีใครสั่งอะไรเพิ่มเหรอครับ” เดินรับแขกอยู่พักใหญ่ๆ วินทร์ก็กลับมาที่โต๊ะเพื่อเติมเหล้าและมิกเซอร์ โดยไม่ลืมหันไปยุเพื่อนขาดื่มใกล้ๆ “พี่ไม่เอาสักหน่อยเหรอครับคืนนี้ ยังไม่เมาเลยน้า”
“ไม่ไหวม้าง พรุ่งนี้พี่มีงาน”
“สักหน่อยสิคะ” สาวเชียร์ร่วมยุ ก่อนจะหันมาขยิบตาใส่ตุลย์ที่อยู่ตรงข้าม “น้องตุลย์ไม่เอาอะไรเพิ่มสักหน่อยเหรอ มาครั้งแรกนี่ ลูกค้าใหม่พี่ทำเรื่องลดให้ได้น้า”
“ไม่ดีกว่าครับ ผมยังไม่ยี่สิบเลย”
...ที่จริง เขาไม่ควรผ่านการ์ดเข้ามาได้ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะวินทร์เป็นลูกค้าวีไอพีหญิงสาวร้อง ‘เอ๊ะ’ เบาๆ ด้วยสีหน้าคล้ายตกใจ แต่ครู่เดียวเธอก็หันไปอ้อนขาดื่มเจ้าเก่าต่อ
“พี่ศักดา วันนี้ไม่เปย์เลยอ่ะ รี่ขาดทุนแย่แล้ว”
“โถ น้องรี่โอเค เปย์ก็ได้ๆ ถ้ามีคนดวลเหล้าด้วย... น้องตุลย์เด็กใหม่นี่นา มาดวลกันหน่อยมา ทาวเวอร์หรือช็อตก็ได้”
คนพูดดึงสาวเชียร์ไปโอบหลวมๆ ตอนที่เอ่ยท้าเขา อาจเพราะเขาดูเด็กที่สุดในบรรดาแขกและยังไม่บรรลุนิติภาวะ ฝ่ายนั้นจึงกะเอาชนะแบบหมูๆ อวดศักดาโชว์สาวสวยไปในตัว
...แต่ถ้าคิดว่าเขาเป็นไก่อ่อนล่ะก็บอกเลยว่าผิดถนัด“ช็อตแล้วกันครับ”
“อ่า ช็อตก็ช็อต”
ศักดาหันไปสั่งสาวเชียร์ เธอเดินหายไปพักหนึ่ง จากนั้นก็กลับมาพร้อมถาดที่มีแก้วช็อตและเหล้าขวดใหญ่
“เต็มแก้วแล้วกันเนอะ?” เชอร์รี่เลิกคิ้วถาม ก่อนรินเครื่องดื่มให้จนเต็มเมื่อพวกเขาพยักหน้า
พอแก้วแรกถูกเลื่อนให้โดยสาวสวย ศักดาก็ยกดื่มรวดเดียวหมดราวกับจะเกทับ
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเชิง แก้วต่อมาตุลย์จึงเป็นฝ่ายยกดื่มก่อนบ้าง เสียงฮือฮาดังจากแขกรอบๆ โต๊ะเมื่อเห็นว่ามีการดวลเหล้าเกิดขึ้น
“ต่อเลยๆ”
ศักดาโบกมือให้หญิงสาวรินเหล้าเพิ่ม เธอก็รินใส่ให้พวกเขาทั้งคู่ ก่อนส่งแก้วหนึ่งให้เขา อีกแก้วให้ขาดื่ม ตุลย์กระดกแก้วที่สามอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบน้ำ ดื่มตามทันที
น้ำทำให้เมาช้าลง... เป็นวิธีที่ใช้กันบ่อยสำหรับสายดื่ม แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะได้ผลนัก สำหรับการดวลเหล้าที่ต้องดื่มเป็นช็อตติดๆ กัน“รู้เรื่องเหมือนกันนะเนี่ยเรา”
ถูกแซว ตุลย์ก็ส่งแก้วน้ำเปล่าให้อีกฝ่ายทั้งที่หัวเราะ “พี่ไม่เอาหน่อยเหรอครับ เดี๋ยวจะเมาเร็วนะ”
“ยังก่อน ไอ้น้องพี่มันสายแข็ง”
“เร็วอีกๆ พักนานไปแล้ว!”
เสียงจากโห่ร้องจากด้านหลังเร่งให้สาวเชียร์รินแก้วที่สี่ ก่อนที่ต่างคนจะกระดกเครื่องดื่มของตนเอง ฝ่ายศักดา
พอเหล้าหมดแก้วก็ยกน้ำดื่มตามแก้ขมคอ พลางชูแก้วเปล่าในมือเรียกเสียงโห่เชียร์จากแขกรอบๆ โต๊ะ
“เอามาอีก!”
ดูเหมือนเหล้าที่ศักดาสั่งจะแรงพอสมควร เพราะหลังจากดื่มติดต่อกันเข้าแก้วที่ห้า ตุลย์ก็เริ่มรู้สึกมึนศีรษะ ทรงตัวได้ยาก เช่นเดียวกับที่สมองตอบสนองสิ่งเร้าช้าลง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มั่นใจว่าตัวเองยังมีสติอยู่ระดับหนึ่ง
วินทร์คงจับสังเกตได้ถึงแตะไหล่เขา “ไหวหรือเปล่า ไม่ไหวก็พอนะ”
“ไม่พี่ ผมโอเค”
ตุลย์ยืนยันด้วยการยื่นแก้วให้สาวเชียร์รินใส่เป็นครั้งที่หก รอสองสามวิจนมั่นใจว่าไหวแน่ เขาก็ดื่มมันรวดเดียวแล้วดื่มน้ำทันทีท่ามกลางเสียงเชียร์เฮฮาและเพลงสดจากเวที ก่อนที่กองเชียร์จะพุ่งเป้าไปเร่งเร้าอีกคนที่เริ่มพูดจาไม่รู้เรื่อง หมุนแก้วในมือไปๆ มาๆ ไม่ยอมดื่มเสียที
“เร็วดิพี่ ช้าแบบนี้แพ้เด็กมันนะ!”
ถูกสบประมาณ ศักดาดื่มก็กระดกแก้วที่หกตามเขา ตามด้วยแก้วที่เจ็ดติดๆ
“น้องตุลย์สู้ๆ เร็วเข้า อย่าไปยอมแพ้!”
ตุลย์ดื่มแก้วที่เจ็ดตามอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็เลื่อนแก้วเปล่าให้สาวเชียร์ก็รินเพิ่ม
ทว่าดูเหมือนเขาไม่จำเป็นต้องดื่มที่เหลือ เพราะไม่ถึงห้านาทีหลังจากที่ศักดาดื่มแก้วที่เจ็ด เจ้าตัวก็ลงไปนอนฟุบโต๊ะ บ่นกระปอดกระแปดว่า ‘ไม่ไหวแล้วๆ’ ก่อนจะหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“โอ้โห น้องตุลย์คอแข็งเหมือนกันนะเนี่ย สุดยอดอ่ะ เจ็ดช็อตแล้วยังไม่ร่วงอีก ฮ่าๆ สายดื่มเหรอเรา”
รุ่นพี่ทีมงานจากกองโฆษณาตบไหล่เขาที ก่อนจะเข้ามากอดคอแรงๆ เหมือนมันเขี้ยว เล่นเอาตุลย์เซแถดๆ ไปชนโต๊ะ
“ก็นิดหน่อยอ่ะพี่ แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ดื่มแล้ว”
พอเหล้าที่เริ่มออกฤทธิ์หนักเข้า หัวก็มึนตึงจนต้องดื่มน้ำตามอีกหลายแก้ว มีบางคนพยายามมอมเหล้าต่อ แต่โชคดีที่เขามีสติพอปฏิเสธ ขณะบางคนก็เข้ามาชวนเต้นกอดคอร้องเพลงตามจังหวะบนเวที
หลังจากนั้น สติสัมปชัญญะของเขาเริ่มขาดๆ หายๆ เป็นช่วง รู้ตัวอีกทีก็หัวเราะไปกับมุกตลกหาสาระไม่ได้ของใครบางคนที่ไม่เคยรู้จัก
ตุลย์ไม่รู้ว่าวินทร์หายไปจากโต๊ะตั้งแต่เมื่อไหร่ ฝ่ายนั้นโผล่มาอีกทีก็ตอนดันฝ่าฝูงชนกลางฟลอร์เต้นตรง มาที่โต๊ะเพื่อเรียกเขา
“ได้เวลากลับบ้านแล้วนะครับ น้องตุลย์ ผู้ปกครองมารับโน้นแล้ว” เอ่ยแซวขณะที่ชี้ไปในความมืดใกล้ประตูหนีไฟ
เขาเห็นร่างสูงของใครบางคนเดินลัดเลาะผู้คนตรงมา ฤทธิ์แอลกอฮอล์บวกกับแสงสีทำให้สายตาจับภาพไม่ชัด กระทั่งร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้จนแทบประจันหน้า ตุลย์ก็ตกใจ
“...เต้?”
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์?”
“ห๊ะ?” หน้าตุลย์มีแต่เครื่องหมายคำถาม
เขาเงียบไปเกือบครึ่งนาทีด้วยความงุนงง กว่าจะนึกออกว่าตัวเองตัดสายเต้ที่คาเฟ่ และยังไม่ได้โทรบอกอีกฝ่ายว่าไปไหนตั้งแต่เย็น
“โทษที ลืมสนิทเลย...”
คลับคล้ายว่าคู่สนทนาถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง “ห้าทุ่มแล้ว กลับได้แล้ว”
“ฉันยังไม่เมา...”
“แต่นี่อ้อแอ้แล้วนะเรา กลับได้แล้วมั๊ง” คราวนี้เป็นวินทร์เสริม
“...ผมยังไหวนะพี่”
ตุลย์ยืนกราน ก่อนจะเซแถดๆ เมื่อเต้ผลักไหล่เขาเบาๆ คล้ายทดสอบว่ายังทรงตัวได้หรือไม่ จนต้องหันไปถลึงตาใส่ฝ่ายนั้น
“นั่นแหนะ ไม่ไหวแล้วล่ะ ไปๆ กลับได้แล้ว รอบหน้าค่อยมาใหม่ ผมจัดปาร์ตี้บ่อยจะตาย” วินทร์ตบไหล่เขา
ถูกเจ้าภาพไล่ ตุลย์ก็มีทางเลือกนอกจากยอมกลับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
เต้พาเขาเบียดเสียดฝูงชนหนาแน่นออกจากไนต์คลับ เรียกให้ถูกคือหิ้วปลีกเสียมากกว่า เพราะพอเหล้าแผลงฤทธิ์หนักเข้า ตุลย์ก็เดินเป๋ไปเป๋มา ทำท่าเหมือนสะดุดได้กระทั่งพื้นเปล่าๆ จบลงด้วยการที่เต้ต้องจับแขนเขาคล้องคอแล้วพยุงคนเมาอ้อแอ้ออกมา
ทีแรกชายหนุ่มกะจะพาตุลย์ซ้อนมอเตอร์ไซค์คันโปรดกลับ แต่เห็นสภาพเจ้าตัวแล้ว เขาก็ตัดใจทิ้งรถไว้ โบกแท็กซี่ แล้วหย่อนอีกฝ่ายใส่เบาะหลังรถแทน
“ขึ้นเองได้น่า ไม่ต้องจับ”
ปากพูดแบบนั้น แต่พอไม่จับ หัวคนเมาก็โขกกับขอบประตูเข้าอย่างจัง เล่นเอาเจ้าตัวมึนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะกุมศีรษะแน่นเหมือนเจ็บนักเจ็บหนา
“ขึ้นไปเร็ว ฉันต้องกลับมาเอารถอีก”
“รู้แล้วน่าๆ ๆ เป็นแม่ฉันเหรอ” ตุลย์ตอบปัดอย่างขอไปที
ท่าทางสะลึมสะลือไม่ค่อยมีสติ โดยที่มีขาขวาคาอยู่ในแท็กซี่ ทำให้เต้ต้องจับขาอีกข้างของคนเมายัดเข้าไปในรถ โดยที่ตนเองสอดตัวตามมาแล้วปิดประตูฉับ
คาดไม่ถึงว่า จู่ๆ ตุลย์จะคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อคล้ายโมโหฟิวส์ขาดที่เขาทำแบบนั้น แรงกระชากอย่างไม่ทันตั้งตัวส่งผลให้เต้ทรงตัวไม่อยู่จนเกือบล้มหน้าคะมำใส่อีกฝ่าย
“อย่ามาจับกูยัดใส่รถ กูไม่ใช่หมูใช่หมา”
ร่างโปร่งจ้องเขาถมึงทึงเหมือนจะเอาเรื่อง พอพยายามแกะมือออก เจ้าตัวก็ยิ่งขยำปกเสื้อแน่น จนชักคอเจ็บขึ้นมาหน่อยๆ
เขารู้ว่าตุลย์ไม่ค่อยสบอารมณ์ที่อยู่ๆ ก็ถูกลากออกมาจากคลับ แต่ไม่นึกว่าจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ...“โอเค ขอโทษ”
นานหลังเอ่ย กว่าตุลย์จะยอมปล่อยมือจากคอเขา ร่างโปร่งบ่นกระปอดกระแปดงึมงำฟังไม่ได้ศัพท์ จากนั้นเจ้าตัวก็เขยิบไปนั่งริมหน้าต่างเหมือนรำคาญ ทั้งที่สภาพตัวเองอ้อแอ้ ชนิดที่แค่นั่งตรงๆ ยังไม่ได้
พอเจ้าตัวปัญหาซบหน้าต่างหลับไป ความเงียบก็โรยตัวขณะที่รถเคลื่อนตัวออกไปตามถนนโล่งสุดระยะสายตา ครั้นแล้ว ชายหนุ่มจึงต่อสายหาอดีตเจ้านายของพ่อ
“เจอตุลย์ที่คลับแล้วเหรอ?” ปลายสายถามเรียบๆ
“ครับ กำลังพากลับ”
“อื้ม ฉันคงถึงบ้านช้ากว่า ฝากดูแลเขาจนกว่าฉันจะกลับบ้านแล้วกัน”
เหลือบมองสภาพเมายับของคนข้างๆ เต้ก็ลอบถอนหายใจเงียบๆ
"ครับ"
ถ้าไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้มีพระคุณของพ่อ และเขาถูกคาดทัณฑ์บนอยู่ ก็คงไม่ต้องมานั่งเป็นเบ๊ให้เจ้านี่หรอก...-----------------------------------------------
เชิญทุกคนพบว่า หนูตุลย์คอทองแดงค่ะ ถถถถถถถถถถถถถถถถ
ตอนนี้รีบขัดมากก ไม่แน่เท่าไหร่ค่ะ ว่าอารมณ์ไปถึงหรือเปล่า
แถมเมลล่า ก็ป่วยด้วย ฮา แต่ไม่ได้เป็นไข้หวัดโบโรน่า เอ้ย โคโรน่า นะคะ
ไปแค่เชียงรายเอง แถมขับรถอย่างเดียว
สำหรับช่วงหลังนี้ ไม่มีคุณศานนท์ ฮื้อๆๆๆ ออกมานิดเดียว แต่ตอนหน้าเสี่ยมาเต็มตอนแน่นอนค่ะ
มีคนถามว่าเสี่ย เปย์ได้อีกมั้ย อืม... จะว่าได้ก็ได้ แต่อาการเปย์นี้อยู่ไม่ยืดค่ะ เพราะอะไร ติดตามน้า
อีกราวสองสามตอน จะเข้าสู่คลื่นลูกสุดท้ายของเรื่องแล้ว
ขอบคุณทุกคนที่คอนเม้นท์และติดตามค่ะ <3
คงไลค์เพจหมดแล้ว แต่ก็จะแปะต่อ ถถถ
I’m Caramella