15th Night : สปอนเซอร์
“...คุณพูดอะไรกับคุณซินดี้เหรอครับ จู่ๆ เธอถึงได้ยอมรับผม” ถามขณะที่ลิฟท์ค่อยๆ เคลื่อนตัวลงไปยังชั้นลานอดรถ
“ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกไปว่าเธออยากได้งานนี้จริงๆ”
“เหรอครับ”
ตุลย์รำพึง คำตอบนั้นไม่น่าแปลกใจ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนออกปากเสนอโอกาสให้เขาเอง...
ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้ว ผลงานจะออกมาเหลวเป๋วไม่มีชิ้นดีก็เถอะ“...ฉันรู้จักซินดี้มานาน ก่อนที่เธอจะเข้าวงการแมวมองอีก จะขอให้ช่วยเรื่องเล็กแค่นี้มันไม่ได้ลำบากอะไร”
“ครับ ผมก็พอเดาออกว่าพวกคุณสนิทกัน”
“ทำไมคิดแบบนั้น?” ศานนท์เหลือบมองเขา
ก่อนจะยิ้มมุมปาก เมื่อตุลย์ยักไหล่ราวกับว่าทุกอย่างมันชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่แล้ว
“ก็ใช่... ชัดจนเธอดูออกเลยเหรอ?”
“พวกคุณสองคนคุยกัน ปล่อยให้ผมเก้อตั้งนานสองนาน อีกอย่างเธอก็เรียกชื่อเล่นคุณชัดขนาดนั้น เป็นใครก็ดูออกว่าพวกคุณสนิทกัน”
“อือฮึ”
ศานนท์พยักหน้าคล้ายกำลังทำความเข้าใจ
“พูดแบบนี้ แปลว่าฉันทำเธอหึงเปล่า?”
สบกับแววตาขี้เล่นคู่นั้น ตุลย์ก็เค้นยิ้มแล้วเอนหลังพิงผนังลิฟท์
ศานนท์ไม่พูดอะไรแบบนี้มานานแล้ว ...วันนี้นึกยังไงจู่ๆ ถึงอยากหยอกเขาขึ้นมา“...ก็แล้วถ้าผมหึงล่ะ คุณจะทำยังไงครับ?”
ถูกหยอกกลับ อีกฝ่ายก็เลิกคิ้วคล้ายไม่เชื่อ “...แต่ถ้าเธอหึงจริงๆ ฉันก็ดีใจ”
“แล้วจะไม่เสียใจที่เล่นกับความรู้สึกผมหน่อยเหรอครับ? ก็คุณเป็นคนทำผมหึงแท้ๆ ฟังแบบนี้แล้วน่าน้อยใจจัง” ตุลย์แกล้งถอนหายใจยาวเสมือนประโยชน์เมื่อครู่ช่างทำร้ายจิตใจ
หนุ่มใหญ่เห็นเข้าก็ส่ายหัวทั้งที่อมยิ้ม
“เธอนี่นะ ตุลย์”
“ก็คุณหยอกผมนี่”
“..........”
คราวนี้ศานนท์หัวเราะ ไม่มีคำตอบ แต่แววตาที่มองกลับมานั้นทั้งขบขันและเอ็นดู ขณะเดียวก็แฝงความรู้สึกล้ำลึกข้างใน
เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไร แต่สิ่งที่สะท้อนออกผ่านแววตานั้น มันช่างน่ามองและชวนให้รู้สึกอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก...
ติ้ง!จมดิ่งอยู่ในความคิดชั่วขณะเดียว เสียงลิฟท์เตือนก็ทำให้เขาถอนสายตากลับมา เพียงเสี้ยววินาทีต่อจากนั้น ประตูก็เปิดออก ตุลย์ผงะผึงเพราะไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะถอยหลังกรูดเข้าไปด้านในติดผนังเร็วจี๋ ตอนที่ชายอายุราวสามสิบหอบกระเป่าเอกสารสวนเข้ามา
“ลงชั้นไหนครับ?”
เป็นหนุ่มใหญ่ที่เอ่ยถามอย่างแนบเนียนไร้ที่ติ โดยไม่ลืมส่งส่งยิ้มบางๆ ให้เขา ผ่านเงาสะท้อนที่ฉายชัดบนผนังอลูมิเนียมราวกับรู้ว่ามองอยู่
ตุลย์กรอกตา
แต่ไอ้ที่เขาทำเมื่อกี้ ...มันก็น่าขันจริงๆ นั่นแหละพอหวนนึกถึงท่าทางที่ราวกับเด็กซ่อนความผิดจากพ่อแม่ ตุลย์ก็พาลอยากหัวเราะออกมาดื้อๆ สุดท้ายเขาเลยตีเนียนปิดปากไอกลบเกลื่อนไปตามเรื่องตามราว คนอื่นจะได้ไม่ผิดสังเกตุ
ไม่นานลิฟท์ก็ลงมาถึงลาดจอดรถ เท้าเหยียบพื้นปุ๊บ ก็ถูกหนุ่มใหญ่ถามถึงเรื่องมื้ออาหารเป็นอย่างแรก
“มื้อกลางวันนี้เธออยากทานอะไร?”
เขาส่ายหน้าเป็นเชิงว่า ‘อะไรก็ได้ไม่เรื่องมาก’
“คุณเถอะ ไม่ต้องกลับไปทำงานเหรอ?”
ปกติแล้วศานนท์ไม่คนที่มีเวลาเหลือมาเททิ้งเทขวาง
แต่... “พาเธอหาอะไรกินก่อน เดี๋ยวค่อยกลับ”
“เอางั้นเหรอครับ” เขาเลิกคิ้ว “ถ้าคุณเสียงานเสียการเพราะผมขึ้นมาไม่รู้ด้วยนะ”
“ตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรเสียหายนี่?”
ได้รอยยิ้มมั่นอกมั่นใจเป็นคำตอบแบบนี้ ตุลย์ก็ไม่รู้มัวโอ้เอ้อีกทำไม มื้อกลางวันคราวนั้นจึงจบลงที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนซึ่งอยู่ถัดจากสตูดิโอไปไม่ไกลนัก
...แต่ราวกับว่าจะกลัวเสียงานเสียการเพราะเขาจริงๆ หลังจากที่ศานนท์มาส่งเขาคราวนั้น หนุ่มใหญ่ก็วุ่นกับงานจนแทบไม่มีเวลาว่างอีก ฝ่ายนั้นจึงแก้ปัญหาด้วยการส่งคนมารับเขาที่มหาวิทยาลัยในเย็นวันจันทร์แทน ก่อนจะดิ่งตรงมายังสตูดิโอ
เขามาตามเวลานัดที่รับปากกับซินดี้ไว้ ซึ่งบรรยากาศความเป็นไประหว่างพวกเขาทั้คู่ก็ยังคงตึงเครียดเหมือนครั้งที่แล้วไม่มีเปลี่ยนแปลง
เห็นทีที่ศานนท์พูดจะเป็นเรื่องจริง เพราะพอไม่มีฝ่ายนั้นแล้ว ระดับความฟาดงวงฟาดงาของซินดี้ก็คล้ายจะเพิ่มขึ้นตามเวลาที่เจ้าตัวต้องเหยียบพื้นแผ่นดินผืนเดียวกับเขา
หลังจากดันทุรังให้เขาแก้ท่าโพสอยู่นานครึ่งค่อนชั่วโมง เธอก็หัวเดินกระทืบเท้าตึงตังออกไปสงบสติอารมณ์ ทิ้งช่างภาพและสตาฟไว้กับเขา พอคุมสติได้ก็กลับเข้ามาสอนต่อ แต่ก้นติดเก้าอี้ได้ไม่เท่าไหร่ก็ปรี๊ดแตกอีก
“โอ้ย! หยุดเลยค่ะ เจ้จะบ้าตายอยู่แล้ว นี่หนูได้เรียนอะไรจากที่ม. มาบ้างคะลูก ทำถึงได้ underqualified ขนาดนี้!”
ว่าพลางก็สับสันพัดจีนที่ถือมาเข้าคู่กับกี่เพ้ายาวใส่โต๊ะเสียงดังตึ่ง
“ฝีมือแบบนี้จะไปถ่ายคู่กับนางแบบคนอื่นได้ไงยะ นี่หล่อนเป็นเด็กคุณศานประสาอะไรเนี่ย!”
ตุลย์ได้แต่ถอนหายใจแรง เอ่ยขอโทษรอบที่สามสี่ร้อยไปตามระเบียบ เพราะตัวเขาเองก็หมดความอดทนทกับการต้องอยู่ภายใต้บรรยากาศเคร่งเครียดที่ทำให้หายใจไม่ทั่วท้องแบบนี้แล้วเช่นกัน
“เอางี้นะคะ...”
ซินดี้ยกมือกุมหัวก่อนจะหลับตายอมจำนน
“สัปดาห์นี้ไม่ต้องทำมาหากินอะไรกันทั้งนั้น เลิกเรียนแล้วมาหาเจ้ เดี๋ยวจะเริ่มสอนใหม่ตั้งแต่พื้นฐาน ถ้าส่งหล่อนไปถ่ายสัปดาห์หน้าในสภาพแบบนี้ เครดิตเจ้คงได้หลอมละลายหมดภายในวันเดียว เข้าใจมั๊ย!?”
“.......”
ในเมื่อตกปากรับงานมาแล้ว ตุลย์ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจำใจต้องทิ้งก๊วนเพื่อนไว้ที่ชมรม ส่วนตัวเองก็ขอตัวตรงดิ่งมาที่สตูดิโอทุกเย็น
คงเพราะต้องมาหมกตัวซ้อมอยู่เป็นประจำ โดยมีผู้ร่วมชาตากรรมเป็นช่างกล้องจำเป็นและสตาฟกลุ่มเล็กๆ พวกเขาจึงมีโอกาสได้ทานข้าวเย็นร่วมกันอยู่บ่อยๆ เนื่องจากซินดี้มักสั่งเลิกกองดึกๆ ดื่นๆ
นานวันขึ้นก็เริ่มสนิทกัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังโดนเธอด่าว่า ‘สอนไม่จำ’ อยู่บ่อยๆ
ทีแรกก็กดดัน แต่พอถูกด่าจนชินหูนานๆ ตุลย์ก็ไม่ค่อยได้เก็บมันมาคิดนัก จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญในชีวิตประจำวันๆ หนึ่ง... เรียกว่าถ้าไม่โดนเธอด่า ก็เหมือนมาไม่ถึงสตูดิโอ
“ไปลองเสื้อตัวนี้ออกมาแล้วถ่ายให้เจ้ดูหน่อย”
วันดีคืนดี จู่ๆ ซินดี้ก็ยื่นเสื้อฮู้ดหนังสีดำให้อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ตอนที่ตุลย์เพิ่งปลดกระเป๋าโยนปุ๊บนเก้าอี้อย่างคนเพิ่งมาถึง
“วันนี้จะถ่ายธีมนี้เหรอครับ?”
ซินดี้ไม่ตอบ แค่พยักหน้า “ไปๆ รีบๆ ลอง เจ้นั่งรอหล่อนจนรากจะงอกละย่ะ!”
ถูกเธอเร่ง ตุลย์ก็รับเสื้อมาสวมทับอย่างไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก
แต่จากประสบการณ์ที่อยู่กับเธอมาเกือบครบสัปดาห์ เขาก็ได้เรียนรู้ว่า ...บางครั้งไม่ต้องเข้าใจก็ได้
“ช่างกล้องเตรียมพร้อมนะคะ?”
ซินดี้กวาดสายตาเช็คทุกอย่างเป็นครั้งสุดท้าย พอเขาเข้าเฟรม และช่างกล้องให้สัญญาณ เธอก็พยักหน้า
“สาม สอง หนึ่ง เริ่มค่ะ”
การถ่ายเริ่มต้นขึ้นเหมือนทุกวัน โดยที่ทุกคนต่างต่างรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง ตุลย์ขยับตัวไปเรื่อยๆ และหยุดเป็นพักๆ เพื่อให้ช่างภาพได้เก็บภาพของเขา ขณะที่ใช้เสื้อผ้าเป็นลูกเล่นสอดรับกับท่าทางต่างๆ
สิ่งที่น่าแปลกใจคือมันปราศจากเสียงตำหนิ... ซินดี้เพียงแค่มองการเคลื่อนไหวของเขาไปเรื่อยๆ ราวกับผู้ชมที่กำลังชมภาพยนต์ ไม่มีการพูดขัด จนกระทั่งภาพเซ็ตแรกจบลง เธอจึงเข้ามาเลื่อนดูภาพจากช่างกล้องที่ฉายขึ้นจอใหญ่
“โอเค วันนี้พอแค่นี้แหละ” ซินดี้โบกมือบัดเป็นสัญญาที่ทุกคนเข้าใจดีว่าเลิกกอง
...ซึ่งนั่นทำให้ตุลย์ขมวดคิ้ว
“วันนี้มีตรงไหนไม่โอเคหรือเปล่าครับ?”
“ไม่” ซินดี้ตอบกระชับ แต่พอเขายืนละล้าละลัง เธอก็ถลึงตาใส่ “จะยืนรออะไรล่ะยะ เลิกกองแล้ว! ไปเก็บของสิ จะได้กินข้าว ไม่มีตรงไหนต้องแก้ I’m satisfied, you know?”
พูดจบก็เดินหนี
“เอ้า! จะตามมาก็ตาม เจ้สั่งพิซซ่าไว้ที่ออฟฟิศ ให้เด็กเอาขึ้นมาละ ใครจะกินก็ไปกินที่ออฟฟิศแล้วกัน ช้าอดหมดนะยะ”
สิ้นเสียงเธอทั้งกองก็ฮือฮา ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มทิ้งข้าวของ แห่ตามหลังเธอกลับออฟฟิศกันอย่างเร็วเหมือนฝูงอีแร้งลงซากวัวชนิดที่แทบหายวับในพริบตา
หลังจากที่หยิบกระเป๋า ตุลย์ก็ตามทุกคนกลับไปที่ออฟฟิศประจำ
แต่พอเปิดประตูเข้ามา เขาก็เจอกับซินดี้ที่กำลังจ้องเขม็งรออยู่ พลางชี้นิ้วใส่โซฟาฝั่งตรงข้ามยิกๆ
“มานั่งๆ”
“ทำไมเหรอครับ?”
“ทำไมอะไรยะ อุตส่าห์เป็นโค้ชให้ขนาดนี้ ฉันจะอยากรู้เรื่องส่วนตัวหล่อนบ้างไม่ได้หรือไงห๊ะ?” ซินดี้ยืนกรานด้วยสีหน้าประหนึ่งนางยักษ์
ที่นั่งตรงอื่นก็เต็มหมดแล้ว ครั้นจะให้เขายืนเก้อก็เสียมารยาทเกินไป ตุลย์จึงจำใจนั่งลงอย่างเสียไม่ได้ ครั้นพอก้นเขาแตะเก้าอี้ปุ๊บ เธอก็ยิงคำถามใส่
“เธอรู้จักกับคุณศานมานานแล้วเหรอ”
“ไม่ครับ แค่ประมาณสามสี่เดือน”
เธอพยักหน้าเข้าใจ “แล้วไปเจอกันได้ยังไงล่ะเนี่ย”
“เขาช่วยผม”
“ช่วยอะไร เรื่องเงินเหรอ?”
“ครับ”
“แปลว่าหล่อนร้อนเงินเหรอ?”
ซินดี้เลิกคิ้ว ปากก็เคี้ยวพิซซ่าหมุบหมับพลางๆ
“แล้วตอนนี้อยู่ในสถานะแบบไหนกับเขาล่ะ?”
“แล้วคุณเป็นอะไรกับคุณศานนท์ล่ะครับ คุณถึงได้อยากรู้” ตุลย์ย้อน เมื่อคำถามมันชักจะซอกแซกเรื่องส่วนตัวเกินเหตุจนเขาเริ่มอารมณ์เสีย
“ก็เขาเป็นคนที่ฉันปลื้ม จะสาระแนบ้างไม่ได้หรือไงล่ะ”
“.......”
ประโยคอันแสนจะมั่นใจนั้น ทำเอาตุลย์พูดต่อไม่ออก
“แต่ฉันไม่แข่งกับหล่อนหรอกย่ะ เพราะถ้าแข่ง หล่อนก็แพ้ไปนานแล้ว” เธอป้องปากหัวเราะเสมือนว่าได้ชนะตั้งแต่ยังไม่เริ่มเกม แล้วหยิบขวดชาสำเร็จรูปที่วางไว้ข้างๆ มารินใส่แก้ว
“ตอนนี้ฉันอยากรู้ชีวิตความเป็นไปของหล่อน”
“ผมก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องคู่แข่ง” ตุลย์ตอบตามจริง
เขาไม่มีความรู้สึกพิเศษอย่างที่เรียกว่า ‘รัก’ต่ออีกฝ่าย มันเป็นแค่การแลกเปลี่ยนความพึงพอใจระหว่างคนสองคน
ดังนั้นไม่ว่าศานนท์จะมีเด็กซุกไว้อีกกี่สิบคน หรือจริงๆ สัปดาห์นี้ เจ้าตัวจะโกหกว่าติดงานเพื่อหนีไปนั่งแอ้วสาวโดยเฉพาะ มันก็ไม่ใช่กงการอะไรของเขาอยู่ดี
“หือ แน่เหรอยะ?” ซินดี้เลิกคิ้วเหมือนไม่เชื่อ
“คุณศานน่ะออกจะดีเพรียบพร้อม ทั้งนิสัยทั้งฐานะ ถึงจะติดตรงหน้าจืดกับไม่ค่อยดูแลตัวเองไปหน่อย ...แต่ใครจะไปสนใจเรื่องนั้นในเมื่อเขาเป็นสุภาพบุรุษแล้วก็รวยขนาดนั้น”
“......”
“หล่อนน่ะมันร้ายที่จับเขาได้ โดนเทเมื่อไหร่น้ำตาจะเช็ดหัวเข่า”
พูดจบเธอก็จิ๊ปากแล้วหันไปดื่มชา ถึงจะบอกว่าไม่ใช่คู่แข่ง สายตาที่มองก็แสดงความอิจฉาไม่ปกปิด
ซินดี้อยากจะเป็นอะไรกับศานนท์ก็ช่างเถอะ เขาไม่ค่อยอินกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อะไรของเธอหรอกแต่พอพูดถึงหนุ่มใหญ่แล้ว ตุลย์ก็นึกได้ว่ายังมีอีกอย่างที่เขาข้องใจ
“เมื่อกี้คุณบอกว่าคุณศานนท์มีฐานะ” เขาท้าวความ “แล้วเงินที่ว่า ...เขาได้มาจากงานแบบไหนเหรอครับ”
“อะไรยะ หล่อนไม่รู้เหรอ!?” ระดับเสียงของเธอแทบจะเข้าขั้นอุทาน
ตุลย์แค่ส่ายหน้า พลางหวังว่ามันจะไม่ใช่เรื่องต้องห้ามอะไรที่เขาไม่ควรสาระแน
“แสดงว่ายังไม่เคยตามเขาไปออฟฟิศล่ะสิ”
เธอถอนหายใจเอือมๆ ราวกับจะด่าว่า ‘นังเด็กนี่ช่างโง่เขลาเบาปัญญา’ ก่อนจะยัดขวดชาใส่มือเขา
“รู้จักไอ้นี่มั้ย”
ตุลย์พิจารณาขวดชาสำเร็จรูปในมือซึ่งมีตราดอกไม้ขาวอยู่บนฝา ยี่ห้อนี้มักจะพบได้บ่อยๆ ตามร้านสะดวกซื้อ ซึ่งแม้แต่เขาเองก็เคยซื้อดื่ม
“ครับ”
“ก็ไอ้นี่หล่อนถืออยู่นั่นแหละ คือโปรดักส์ของคุณศานเขา”
“คุณหมายถึงเจ้าของชา...?”
ห๊ะ? ตุลย์ยิ่งคิดก็ยิ่งขมวดคิ้ว เขามองหน้าซินดี้อยู่นานราวกับเพิ่งถูกหลอกด้วยคำโป้ปดที่เป็นไปไม่ได้
เขารู้ว่าอีกฝ่ายมีฐานะก็จริง แต่คิดว่าเป็นธุรกิจขนาดกลาง ไม่ใช่ของที่ทำรายได้ปีละหลายพันล้านแบบนี้! แปลว่าตลอดเวลาที่สามสี่เดือนที่ผ่านมานี้ เขาใช้อยู่กับคนที่มีเงินมหาศาลพอจะเอาไปโปรยทิ้งในแม่น้ำเล่นได้งั้นเหรอ!?คิดถึงวีรกรรมที่เคยทำ ตุลย์ก็พาลหนาวสันหลังขึ้นมาดื้อๆ
และราวกับรู้ว่าเขายังไม่อยากเชื่อ...
“โน่น”
เธอชี้ไปยังมุมห้องซึ่งมีชาอยู่อีกหลายลัง ส่วนข้างๆ นั้นคือน้ำดืมยี่ห้อหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนแคมเปญถ่ายภาพจะที่เริ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า
“พวกนั้นคือบรรณาการจากสปอนเซอร์ กินกันจนเป็นเบาหวานตายได้สิบชาติ”
เห็นแล้วก็ได้แต่เก็บความรู้สึกตื่นตะลึงที่ตีกันจนมั่วไว้ในใจ
แบบนี้เหรอ สปอนเซอร์ที่ศานนท์พูดถึง...“ทีนี้เข้าใจหรือยัง ไอ้คำว่ารวยที่ฉันหมายถึงน่ะ?”
---------------------------
กลับมาแล้วค่าทุกคนนน สงกรานต์ที่หายวับไปเลยเพราะ ปั่นหนูตุลย์คู่กับ CV 5555+
เส้นทางความเป็นผู้ใหญ่นี่มันลำบากจริงๆ อยากกลับไปเป็นเด็กไม่รู้จักโตเกาะขาพ่อแม่ #โดนต่อยเพราะเป็นปลิง
ทีนี้เราก็เฉลยความลับหนึ่งอย่างของลุงกันไปแล้ว มีความลับอีกหลายอย่างเลยล่ะค่ะ สำหรับคาแรกเตอร์ของศานนท์
มีใครรู้สึกหรือเปล่าว่าโปรไฟล์ลุงนี่ไม่หรูหราฟู่ฟ่าเหมือนเสี่ยคนอื่นเลยน้า! อย่างเพิ่งย่ามใจค่ะ 555+ ตอนหน้า(ตอนที่ 16 เด้ออ ไม่ใช่ 15.2 แฮร่!)
พบกับการไล่ล่า(?) จะมันส์หรือจะกร่อยต้องรอดู
แต่งานนี้มีวิ่ง มีปืน มีดริฟท์รถ 5555+
นี่เมลล่าพานักอ่านไปจักรวาลคู่ขนานหรือไงเนี่ย ถถถถถ
ส่วนสำหรับเรื่องภูมิหลังของลุง ขอให้ดูกันไปยาวๆ ค่ะ ลุงมีเหตุผลน้า ที่ทำไมไม่ขับสปอนท์หรูๆ แพงๆ เฟี้ยวฟ้าว หรือซื้อคฤหาสเลี่ยมทองแพงๆ #โดนต่อย
แต่ตัวเหตุผลก็ไม่ได้พิเศษอะไรมากค่ะ เพียงแต่มันมีเบื้องหลังอยู่ อิอิ #ลุงปลงแล้ว
สุดท้ายขอบคุณนักอ่านทุกท่านมากค่ะ รบกวนฝากเพจเช่นเคย
https://www.facebook.com/Iamcaramellaแล้วจะรีบกลับมาต่อเจ้าค่ะ
เมลล่าต้องไปเตรียมตัวสัมภาษณ์ก่อน สวัสดีสงกรานต์ย้อนหลังค่ะ
Edit: แก้ไขข้อมูลตามคอมเม้นท์ที่ 291 (คุณ alternative)แล้วเจ้าค่าา
เนื่องจากเมลล่าไม่มีความรู้ด้านนี้เลย หากพบจุดไหนที่ไม่สมเหตุสมผล ไม่สนุก หรือคิดว่ายืดไป
สามาถท้วงเมลล่าได้เลยค่า
กราบขอบพระคุณอีกรอบ