ตอนที่ 19
หน้าหนาวปีนี้อากาศเย็นสมกับชื่อฤดู วันเวลาเลยผ่านเข้าสู่ช่วงปิดเทอมและลากยากไปถึงปีใหม่ เป็นโอกาสดีที่ผมจะได้เดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด อยู่บ้านกับครอบครัวยาวๆ ให้หายคิดถึง ก่อนกลับมาเผชิญชีวิตที่เมืองกรุงอีกครั้งตอนเปิดเทอม
"มึงกลับบ้านคืนนี้ใช่ป้ะ" ไอ้เจนเอ่ยปากถามระหว่างที่พวกเรากำลังเพลิดเพลินกับอาหารมื้อระหว่างวันในช่วงบ่ายสามอย่างก๋วยเตี๋ยวเรือในตลาด
ผมพยักหน้ารับขณะคีบเส้นเข้าปาก วันนี้สั่งเส้นเล็ก รู้สึกว่ามันกินค่อนข้างลำบากนิดหน่อย สูดเข้าปากแล้วเหมือนจะไหลลงคอเลยไม่สะดวกขานรับด้วยเสียง
"กลับไงอ่ะ"
"นั่งรถเมล์เหรอ มึงต้องเผื่อเวลารถติดด้วยนะ"
"มันนั่งรถทัวร์"
"กูหมายถึงไปหมอชิตมั้ย"
"มึงก็ไม่เล่นกับกูเลย"
ฟังพวกมันต่อบทกันแล้วผมก็ได้แต่ส่ายหน้า อีกคนจริงจังอีกคนเอาแต่เล่น พวกมึงไปตกลงกันก่อนไหมแล้วค่อยมาคุยให้เป็นมันเรื่องเป็นราว
"แล้วสรุปมึงไปไง" สุดท้ายไอ้เจนก็ถามวกกลับมาเรื่องเดิม
"กูแนะนำขึ้นบีทีเอสไปลงหมอชิตแล้วต่อวิน รวดเร็วฉับไว"
"แต่แพงฉิบหาย"
"รถติดนะมึง"
"มึงช่วยดูการเงินเพื่อนมึงด้วย"
พวกมันเถียงกันอีกรอบจนผมเอือมระอา แต่เข้าใจดีว่าที่เถียงกันเพราะพวกมันผมห่วงผม ทั้งกลัวไปขึ้นรถไม่ทันแล้วก็ห่วงว่าจะไม่มีเงินขึ้นรถ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ผมไม่กังวลเลยสักนิด
"เดี๋ยวต้นสนไปส่ง"
คำตอบของผมช่วยสยบทุกความห่วงใยของเพื่อนรักทั้งสอง มันมองแล้วกระพริบตาปริบ สายตามีแววสงสัยฉายชัดขึ้นมา ผมรู้ว่าพวกมันอยากถามอะไร และผมเองก็พร้อมที่จะตอบทุกข้อสงสัยในเมื่อกล้าโพล่งออกไปแบบนั้น มาไกลขนาดนี้แล้วผมว่ามันสองคนคงรับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่แปลกไปในตัวผม
"ปลื้ม กูถามจริงๆ นะ" ไอ้ว่านเกริ่นออกมา มันหันไปสบตากับไอ้เจนที่พยักพเยิดหน้าให้ถึงได้หันกลับมาสบตากับผมซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
"ว่า"
"มึงคบกับต้นสนแล้วเหรอ"
เป็นคำถามที่ไม่ต่างจากที่ผมคาดไว้เท่าไรนัก แต่ก็เกินเลยไปจากที่คาดไว้ ผมคิดว่ามันจะถามว่า 'มึงชอบต้นสนเหรอ' หรือ 'ต้นสนชอบมึงเหรอ' อะไรทำนองนั้น ซึ่งการที่มันถามออกมาแบบนี้ทำให้ผมตอบอะไรได้ไม่เต็มปากนัก
เพราะผมกับต้นสนยังไม่คิดตั้งชื่อให้กับความสัมผัสที่เกิดขึ้นระหว่างกันเลย
"เปล่า ยังไม่ได้คบ"
"แต่เหมือนคนอยู่กินกันแล้วเนี่ยนะ" จะว่าไอ้เจนพูดเกินจริงก็ไม่ใช่ เพราะมันพูดถูก
ตกเย็นไปหา ว่างเมื่อไรต้องติดต่อหากัน ดูแล ห่วงใย ทำอะไรต่อมิอะไรที่เกินคำว่าเพื่อนธรรมดามาไกลโข แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครเอ่ยปากทวงถามถึงชื่อของความสัมพันธ์นี้ คงเพราะมันชัดเจนอยู่ในใจของเราแล้วล่ะมั้ง
ผมเชื่อว่าแบบนั้น
"กูไม่เคยคุยกับต้นสนเรื่องนี้เลย"
"แล้วจริงๆ มึงรู้สึกยังไงวะ ทำไมไม่พูดให้มันชัดเจน มึงไม่กลัวเขาคิดไปเองเหรอ" ไอ้ว่านสาดคำถามมาเป็นชุด แต่คำตอบของมันง่ายยิ่งกว่าข้อสอบไฟนอลเสียอีก
"เพราะเขาไม่ได้คิดไปเองไง"
พวกมันสองคนหันไปมองหน้ากันเหมือนรู้คำตอบของผมอยู่แล้ว เพียงแค่อยากถามเพื่อให้ข้อสันนิษฐานของตัวเองชัดเจนขึ้นเท่านั้น
"แล้วถ้าเป็นมึงล่ะที่คิดไปเอง" คำถามนี้ของไอ้เจนก็ตอบง่ายมาก
"ขอบใจพวกมึงที่เป็นห่วง แต่กูรู้ว่าเราต่างคนต่างรู้สึกยังไง กูไม่ได้คิดไปเอง ต้นสนก็เหมือนกัน"
"อกหักกูไม่ปลอบนะ"
"ให้แม่งร้องไห้ขาดใจตายไปเลย"
แล้วไอ้สองคนที่เพิ่งเถียงกันก่อนหน้านี้ก็เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย
"ยังไงพวกมึงก็ต้องปลอบกู" แต่วันนั้นคงไม่มีทางมาถึงแน่ ผมอยากจะพูดประโยคนี้ต่อแต่ก็หยุดไว้เพียงเท่านั้น มองเพื่อนรักทั้งสองที่พากันทำหน้าหมั่นไส้กับความมั่นใจอันเหลือล้นของผม
เพื่อนกันทำไมจะไม่รู้ว่าเป็นยังไง หากถึงวันที่ผมร้องไห้ให้กับความสัมพันธ์ครั้งนี้เมื่อไร พวกมันนั่นแหละที่จะวิ่งหน้าตั้งมาหาผมเป็นคนแรก
เสียงเคาะประตูห้องทำให้ผมละมือจากข้าวของที่กำลังยัดใส่กระเป๋า หันมองไปยังต้นเสียงด้วยความฉงนสงสัยว่าใครกันที่บุกมาหาเวลานี้ แต่ยังไม่ทันได้ใช้ความคิดเพื่อตั้งข้อสันนิษฐานคนที่อยู่ด้านนอกก็เคาะอีกรอบ ทำให้ผมต้องรีบลุกขึ้นไปส่องดูว่าใครกันที่มาหา
แต่เมื่อเห็นหน้าคนที่รออยู่หลังประตูผ่านช่องบานเกล็ดผมก็รีบเปิดประตูด้วยความเร็วแสง เจ้าตัวยิ้มกว้างท่าทางอารมณ์ดี ก่อนถอดรองเท้าเดินเข้ามาในห้องโดยไม่ต้องรอให้ผมอนุญาต
"บอกแล้วไงว่าจะไปหาที่คอนโด" ผลักประตูปิดแล้วผมก็หันไปบ่น ต้นสนนั่งลงบนพื้นข้างเตียง มองกระเป๋าที่ผมยังจัดไม่เสร็จแล้วตอบ
"ไม่มีอะไรทำเลยมาหา ปลื้มจะได้ไม่ต้องเดินไปไง"
"แล้วจอดรถไว้ไหน" ซอยหอผมค่อนข้างแคบ ที่จอดรถมีไม่เยอะ ที่ไม่อยากให้มารอที่นี่ก็เพราะกลัวต้นสนลำบากเรื่องหาที่จอด
"ขอเค้าจอดข้างหอ"
"ได้ด้วยเหรอ"
"ได้ไม่ได้ก็นั่งอยู่นี่แล้วไง"
"คร้าบๆ"
ผมขี้เกียจเถียงต่อเลยเดินไปหยิบของจำเป็นแล้วกลับมานั่งจัดกระเป๋าต่อ ของที่เอามีไม่มากนัก ความจริงพกกระเป๋าสตางค์ไปใบเดียวยังได้ แต่กลับบ้านทั้งทีเลยต้องมีของเล็กๆ น้อยๆ ติดไม้ติดมือกลับไปหน่อย
"เก็บของเสร็จแล้วเหรอ" ต้นสนถามตอนผมรูดซิบปิดกระเป๋า
"ของไม่เยอะ"
"กะว่าจะมาช่วยเก็บกระเป๋าสักหน่อย"
ฟังแล้วให้ความรู้สึกเหมือนผมกำลังจะย้ายบ้าน ไปเที่ยวที่ไกลๆ หรือไม่ก็ไปเรียนต่อต่างประเทศอะไรทำนองนั้น ต้องขอโทษด้วยที่ไม่มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ให้ช่วยเก็บของ แต่เป็นแค่กระเป๋าเป้เก่าๆ ใบหนึ่ง
"ไปกันเลยมั้ย" ผมถามอย่างคนเตรียมพร้อม แค่หยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายก็สามารถออกเดินทางได้เลย
"เดี๋ยวดิ เพิ่งมาถึงเอง" ต้นสนยื่นมือมาจับแขนผมทั้งที่ยังไม่ได้ลุกหนีไปไหน กระตุกแขนสองทีพลางพยักหน้าให้ผมก็ขยับไปนั่งข้างๆ ทันทีที่หัวไหล่ชนกัน เจ้าของผมยุ่งๆ เหมือนคนไม่รู้จักหวีก็เอนมาซบ มือที่เคยจับแขนเลื่อนมากุมกันไว้ แล้วเวลาในห้องนี้ก็เหมือนหยุดเดินไปชั่วคราว
ผมกระชับมือที่ต้นสนวางทับไว้ กลิ่นหอมแชมพูจางๆ ชวนให้ฝังจมูกลงไปก่อนจะเอนซบกันอีกที
"อ้อนเหรอ"
"จะไม่ได้เจอกันหลายวันเลยนะ"
"โทรคุยเอาก็ได้"
"จะไม่ได้กอดด้วยนะ" น้ำเสียงกระเง้ากระงอดเต็มที่ แต่ใช่ว่าจะงอนแบบไม่มีเหตุผลเพราะผมรู้ว่าแท้จริงแล้วต้นสนต้องการอะไร ซึ่งสิ่งที่ต้องการมันถูกระบุอยู่ในประโยคบอกเล่านี้อยู่แล้ว
ผมดึงคนที่ซบไหล่อยู่ให้เข้ามานั่งในอ้อมแขนแล้วโอบกอดเอาไว้ ส่วนสูงเราไม่ต่างกันมากก็จริงแต่ด้วยขนาดตัวที่บางกว่าทำให้ต้นสนดูตัวเล็กกว่าผม พอมาอยู่ในอ้อมกอดแบบนี้ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าผมจะกลืนเขาเข้าไปได้ทั้งตัว
"ไม่ได้ทำอะไรอีก" ผมถามชิดใบหู ต้นสนเอนหลังพิงแผ่นอกผมด้วยท่าทางสบายๆ แขนทั้งสองข้างกอดทับแขนที่ผมรัดเจ้าตัวเอาไว้
"ไม่ได้หอม"
ผมกดจมูกลงบนแก้มขาวที่ซับสีเลือดจางๆ อย่างหนักหน่วงจนได้ยินเสียงดังฟอดชัดเจน
"ไม่ได้จูบ" พูดแล้วเอี้ยวหน้ามาหัน
ผมขยับเข้าไปแนบริมฝีปากที่เปิดรอรับอย่างจงใจ กดจูบย้ำๆ ก่อนรุกล้ำเข้าไปยังพื้นที่ที่เจ้าตัวยินดีให้เข้าไปเยี่ยมชม ทว่าความสุขสมกลับมาพร้อมความทรมานที่ผมต้องพยายามฝืนมือตัวเองเอาไว้ ใจมันอยากจะสัมผัสผิวกายภายใต้เสื้อยืดตัวบาง แต่ถ้าหากยอมปล่อยให้เป็นแบบนั้นย่อมไม่ดีแน่
นานนับนาทีกว่าจะผละออกจากกัน ผมจูบย้ำอีกครั้ง ซับริมฝีปากที่ฉ่ำน้ำและแดงเจ่อ ก่อนถามถึงความต้องการอย่างถัดไป
"มีอะไรอีกมั้ย"
"พอแค่นี้ก่อนก็ได้"
ได้ฟังคำตอบผมก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้
วันนี้คงต้องพอก่อนอย่างที่ต้นสนบอก ไม่อย่างนั้นผมอาจจะไปขึ้นรถทัวร์รอบที่จองไว้ไม่ทันก็เป็นได้ เพราะมัวแต่ทำอะไรๆ ที่จะไม่ได้ทำระหว่างที่ไม่ได้เจอกันจนไม่ได้ออกจากห้องเสียที
ต้นสนขับรถมาส่งผมที่หมอชิต สภาพการจราจรไม่ได้แย่นักทำให้เราไม่ต้องทนติดแหง็กบนท้องถนน เลยเหลือเวลาอีกนานนับชั่วโมงว่ารถทัวร์จะออก จากที่คิดว่าจะโดนทิ้งไว้ที่นี่คนเดียวเลยกลายเป็นว่ามีต้นสนตามมาด้วย แถมบอกอีกว่าจะส่งผมขึ้นรถก่อนแล้วค่อยกลับ
ที่นี่ไม่มีอะไรให้ทำนักนอกจากนั่งรอ ปกติผมจะเล่นมือถือ กินข้าว หรือไม่ก็พกหนังสือมาอ่านฆ่าเวลา ส่วนวันนี้นั้นเราเลือกซื้อขนมมานั่งกินเพื่อรอเวลา
"กลับเวลานี้ถึงบ้านกี่โมงเหรออ่ะ"
"ประมาณตีห้า"
ต้นสนพยักหน้ารับ หยิบขนมใส่ปากแล้วมองบรรยากาศโดยรอบที่เต็มไปด้วยผู้คน
"อยากไปเที่ยวบ้านปลื้มบ้างจัง"
"ไม่มีอะไรให้เที่ยวหรอกนอกจากทุ่งนา แถมร้อนด้วย" บ้านผมนับว่าค่อนข้างกันดาร อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง เดินทางไปไหนมาไหนถ้าไม่มีรถนั้นลำบากมาก
"เที่ยวบ้านก็อยู่แต่บ้านไง ไม่ต้องออกไปไหน"
"น่าเบื่อตาย"
ต้นสนหัวเราะเบาๆ เหม่อมองไปข้างหน้าเหมือนไม่มีจุดหมายแล้วอมยิ้มอยู่อย่างนั้น เว้นจังหวะเอาไว้จนผมคิดว่าประเด็นเรื่องบ้านที่ต่างจังหวัดน่าจะจบลงไปแล้วแต่กลับไม่ใช่ เมื่อเจ้าตัวตอบกลับประโยคก่อนหน้านี้ของผมออกมา
"อยู่กับปลื้มไม่เบื่อหรอก"
อะไรทำให้คนคนหนึ่งคิดแบบนี้ได้ผมเองก็ไม่แน่ใจนัก ต่อให้สนิทกันก็เถอะมันก็ต้องมีบ้างที่รู้สึกเบื่อ แต่ถ้าหากถามผมว่าเบื่อไหมหากต้องอยู่กับต้นสนในสถานที่ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย คำตอบที่ได้ก็คงเหมือนกัน
มันไม่น่าเบื่อเลย
"คราวหน้าก็กลับด้วยกันดิ"
"ไปได้ใช่มั้ย"
"ถ้าไม่คิดว่ามันบ้านนอกน่ะนะ"
"เห็นเราเป็นคนยังไง" คำพูดเหมือนจะโกรธแต่หน้ากลับยิ้ม
"คนดื้อ"
"จะบ่นอะไรอีก"
"ไม่บ่นแล้วขี้เกียจ ให้พักหูก่อน ค่อยบ่นตอนเปิดเทอม"
"งั้นเดี๋ยวจะโทรไปให้บ่น"
ผมแย่งถุงขนมในมือต้นสนมาถือไว้เองด้วยความมันเขี้ยว ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในที่สาธารณะคงจะจับจูบแรงๆ สักที โทษฐานกวนประสาท
เรานั่งคุยกันจนได้เวลาที่ต้องแยกย้าย ต้นสนเดินมาส่งผมถึงหน้าทางเข้าชานชาลา พอคิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีกนานเลยอดไม่ได้ต้องดึงเข้ามากอดแน่นๆ สักที พอผละออกเลยบ่นส่งท้ายเสียหน่อย
"กลับบ้านก็ระวังไอ้ห้าตัวนั้นด้วย" ผมฝากฝังถึงสัตว์เลี้ยงสุดที่รักของต้นสน หวังว่าเปิดเทอมคงไม่เห็นรอยแผลอะไรเพิ่ม
"ครับๆ"
"เจอกันเปิดเทอม"
"เดินทางปลอดภัยนะ"
"ถึงบ้านแล้วจะโทรหา"
ต้นสนพยักหน้ารับแล้วยิ้มกว้าง โบกมือลาเป็นสัญญาณให้ผมรีบไปขึ้นรถก่อนจะเลยเวลา แต่หมุนตัวหันหลังให้ได้แป๊บเดียวก็หันกลับไปหาอีก
"ขับรถกลับก็ระวังด้วย"
"รับทราบครับ"
ได้คำตอบรับผมก็หันหลังให้ เดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับไปมองอีก
พอคิดว่าช่วงนี้จะไม่ได้บ่น ไม่ได้เจอหน้า มันก็ชักรู้สึกเหงาๆ อยู่เหมือนกัน
ทุ่งนา หนองน้ำ ถนนลาดยางเส้นเล็กๆ และแสงแดดยามเช้า
ผมมองวิวข้างทางที่ไม่ว่าจะจากไปนานแค่ไหนก็ยังเหมือนเดิม อาจจะมีเปลี่ยนแปลงไปบ้างนิดหน่อยที่ตัวอาคารบ้านเรือน จากบ้านไม้กลายเป็นบ้านปูน ทำให้หมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้ดูทันสมัยขึ้นมาอีกเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วไม่มีอะไรที่แตกต่างออกไปในความรู้สึกของผมอยู่ดี
ผมลงจากรถทัวร์ตอนตีห้าเศษในตัวเมืองกำแพงเพชรที่ห่างไกลจากบ้านหลายสิบกิโลเมตร พ่อต้องขับรถออกมารับเพราะไม่มีรถโดยสารเข้ามาถึงหมู่บ้าน เป็นอีกหนึ่งความลำบากที่ผมไม่รู้ว่าเมื่อไรความพัฒนาจะเข้าถึงชนบทที่นี่สักที
เมื่อเริ่มเข้าเขตหมู่บ้านรถของพ่อก็แล่นช้าๆ ไปตามถนนสองเลนที่ขนาบไปด้วยบ้านเรือนและทุ่งนา เพิ่งจะเจ็ดโมงเช้าแต่ชีวิตในต่างจังหวัดกลับดูคึกคัก คนเฒ่าคนแก่ออกมานั่งรับลมเย็นของฤดูหนาวที่หน้าบ้าน ผู้ใหญ่วัยกลางคนดำเนินชีวิตประจำวันแบบเกษตรกรเพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มองแล้วรู้สึกสบายใจมากกว่าความคึกคักวุ่นวายในเมืองหลวง
ขับมาจนเกือบท้ายหมู่บ้านในที่สุดก็ถึงบ้านอันแสนอบอุ่นของผม บ้านไม้ยกสูงที่มีระเบียงยื่นออกมา ใต้ถุนบ้านผูกเปลเอาไว้ เป็นมุมพิเศษที่ผมชอบเป็นการส่วนตัว เวลาเบื่อๆ ไม่มีอะไรทำก็มักมานั่งเล่นหรือไม่ก็ใช้เป็นที่นอนกลางวัน ว่าแล้ววันนี้คงต้องมานอนให้หายคิดถึง
เครื่องยนต์ดับสนิทที่หน้าบ้านผมก็รีบเปิดประตูลงจากรถ พ่อตามลงมาพลางเอ่ยบอกตอนผมกำลังถอดรองเท้าอยู่หน้าบันได
"แม่ทำกับข้าวไว้รอแหนะ"
"กลิ่นหอมมาถึงนี่เลย"
ถอดรองเท้าได้ผมก็ไม่รอช้าวิ่งขึ้นบันไดเสียงดังตึงตังจนพ่อตะโกนด่าตามหลัง โยนกระเป๋าทิ้งไว้หน้าประตูแล้วเดินตรงเข้าไปในครัว ตามกลิ่นหอมๆ ฝีมือแม่ครัวมือฉมังที่กำลังสรรค์สร้างมื้อพิเศษต้อนรับลูกชายคนนี้อยู่ จะมีอะไรให้ผมกินบ้างนะ
"แม่" ผมเข้าไปกอดแม่จากด้านหลังเลยโดนตีมือกลับมา
"ระวังสิลูก ไปนั่งพักก่อนไป ใกล้จะเสร็จแล้วเดี๋ยวแม่ยกไปให้"
"มีอะไรกินบ้าง"
"ผัดถั่วฝักยาวใส่หมูของโปรดไอ้แสบคนนี้ไง"
"มาๆ เดี๋ยวปลื้มช่วยดีกว่า" ผมเดินไปชานบ้านตักน้ำในโอ่งล้างมือโดยไม่สนใจคำไล่ของแม่ก่อนหน้านี้ ปกติผมเป็นลูกมือให้แม่ประจำอยู่แล้ว แถมยังได้ทำงานกับป้านกอีก บอกเลยว่าฝีมือตอนนี้เป็นพ่อครัวได้สบาย
อาหารมื้อแรกหลังกลับมาบ้านเกิดเป็นเมนูที่หาวัตถุดิบได้จากละแวกบ้าน อย่างเช่นผัดเผ็ดนก ต้มยำไก่บ้าน น้ำพริกผักต้ม พวกเรานั่งล้อมวงกินกันหน้าทีวี ผมกินไปพูดไป แชร์ประสบการณ์จากเมืองกรุงที่พ่อแม่คงฟังจนเบื่อแต่ท่านก็ยังยิ้มรับถามโต้ตอบกลับมาสร้างเสียงหัวเราะอยู่หลายครั้ง เสียดายอยู่อย่างที่พี่ปริม พี่สาวผมต้องพักที่สุโขทัยกว่าจะได้กลับบ้านก็ช่วงวันหยุด ไม่อย่างนั้นครอบครัวคงได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันกว่านี้
หลังจากกินข้าวเสร็จผมก็โดนไล่ให้ไปนอน พ่อออกไปทำงานส่วนแม่จัดการงานบ้านหรือไม่ก็รับจ้างทำงานในสวนเวลามีคนมาจ้างนานๆ ครั้ง
เวลาเดินเข้าสู่ช่วงสาย กินข้าวอิ่มแล้วหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน บวกกับความอ่อนเพลียจากการเดินทางที่หลับไม่เต็มตื่นนัก ผมเลยหยิบหมอนติดมือลงมาจากบ้านตั้งใจจะงีบสักตื่นบนเปลใต้ถุนบ้าน แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรไปบางอย่าง
ผมหยิบมือถือขึ้นมาปลดล็อกหน้าจอหลังจากเอนตัวลงนอน ข้อความจากต้นสนค้างอยู่ตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะกลับถึงบ้านแล้วเช่นกัน
เพราะอยากได้ยินเสียงมากกว่าคุยผ่านตัวอักษรผมเลยกดโทรออก เสียงสัญญาณดังเพียงครั้งเดียวปลายสายก็กดรับอย่างกับรออยู่
(ถึงบ้านแล้วเหรอ) คำทักทายตอนรับโทรศัพท์ไม่ต้องมี มาถึงก็โยนคำถามใส่กันเลย
"ถึงนานแล้ว"
(ไม่เห็นบอก)
"ถึงตอนตีห้า ตื่นหรือยังล่ะ"
(ยังไม่ตื่นก็บอกได้ เดมไปหาก็ไม่ตอบนะ จะสิบโมงแล้วเนี่ย)
"ก็โทรมาหาเลยนี่ไง"
ปลายสายเงียบไปซึ่งผมเดาว่าต้นสนต้องยิ้มอยู่แน่ๆ เพราะผมเองก็ยิ้มอยู่เหมือนกัน และยิ่งยิ้มกว้างไปกันใหญ่เมื่อเจ้าตัวพูดขึ้นมาอีกครั้ง
(คิดถึงแล้วเนี่ย)
ผมเงยหน้ามองเพดานแล้วยิ้มค้าง อยู่ๆ ก็โพล่งออกมาตรงๆ แบบไม่มีอ้อมค้อม ทำเอาอยากเห็นหน้าตอนเจ้าตัวพูดประโยคนี้ออกมา
"คิดถึงเหมือนกัน"
(งั้นก็รีบกลับมาเลย)
"เปลี่ยนเป็นให้มาหาแทนได้ป้ะ"
(ได้นะ ส่งโลมาดิ)
"ปลาโลมาอ่ะนะ"
(โลมาไม่ใช่ปลา)
"แล้วเป็นไร"
(สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม)
"เก่งหนิ"
(อยู่แล้ว)
ยิ่งคุยบทสนทนาของเราก็เริ่มไร้แก่นสารขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมกลับสนุกที่เราได้คุยกันแบบนี้ แค่พูดอะไรก็ได้ที่อยากจะพูด มีคนคอยรับฟังและโต้ตอบกลับมาแม้มันจะเป็นเรื่องที่ไร้สาระแค่ไหนก็ตาม
ผมยังคงคุยเรื่องสัพเพเหระกับต้นสนไปเรื่อยเปื่อย ผลัดกันเล่าผลัดกันฟัง ยิ้มจนเมื่อยปาก หรือบางทีก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ทั้งที่เพิ่งจากกันยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแต่กลับมีเรื่องคุยกันเยอะแยะเหมือนไม่ได้เจอหน้ากันมาแรมปี
เป็นแบบนี้จากที่คิดว่าจะงีบสักตื่นคงจะไม่ได้นอนเสียแล้วล่ะมั้ง
TBC
คิดถึงเลยมาหา กลับมาแล้วค่ะ ตอนนี้ก็ยังคงความอ้อนเช่นเดิม ^^
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า