บทที่ 3 กลับโตเกียว
“นายท่าน!!!”
“พ่อ!!!”
ทันทีที่ปืนถูกลั่นไก เขาก็เปิดประตูออกมาพอดี เขาเอาตัวบังกระสุนผมไว้ กระสุนเจาะเข้าที่ไหล่ขวาของเขา ส่วนมือปืนสองคนนั้นโดนลูกน้องของเขาที่ตามมายิงกระจุย จนดับคารถ
“เรียกรถพยาบาล”บอดี้การ์ดคนที่ออกไปหาป้ายทะเบียนรถของจิ๊กโก๋คนที่จี้ผมหันไปบอกลูกน้องอีกคน ก่อนจะถอดเสื้อสูทสีดำมากดปากแผลของเขา ผมเองก็ประคองเขาอยู่ เพราะกระสุนฝังในทำให้เขาล้มลง
“ไม่ต้องเรียกแล้ว พาไปเลย”ผมพยุงเขาขึ้น พาเขาไปขึ้นรถลิมูซีนสีดำ ลูกน้องบางส่วนอยู่จัดการเรื่องต่างๆที่นี่ แต่ส่วนใหญ่ตามมาคุ้มกันเราสองคนไปโรงพยาบาล ผมประคองให้เขานั่งพิงอกผม บอดี้การ์ดคนนั้นก็เอาสูทเขากดแผลไว้
“คิม เป็นไรมั้ยลูก” เขาหันมาถามผม
“ผมไม่เป็นไร”ถึงแม้ว่าผมไม่อยากจะสนใจใยดีเขาแค่ไหน แต่เมื่อเห็นกับตาแบบนี้ เลือดเขาที่ไหลชุ่มลงมาถึงหน้าท้อง มือผมที่เปื้อนเลือดตอนกดแผล เขากะอักเลือดออกมาเล็กน้อย ผมเอื้อมไปเช็ดเลือดให้เขา
ไม่ว่ายังไง เขาก็ยังเป็นพ่อ แม้ผมจะยังไม่ยกโทษให้เขา แต่ก็อดเป็นห่วงเขาไม่ได้ ความทรงจำที่เลวร้ายยากจะลืม แต่ความทรงจำที่ดีๆ ก็ยังมีอยู่
วันนี้ผมจะขอลดทิฐิตัวเองสักวัน พาเขาไปส่งโรงพยาบาล ดูให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัย เรื่องหลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกที
“ยางามิ จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย รู้ให้ได้ว่าเป็นใคร แล้วถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก”
“ครับ”บอดี้การ์ดคนที่กดแผลพ่ออยู่ขานรับ ก่อนจะยื่นผ้าให้ผมกดแผลพ่อต่อ ส่วนเขาโทรศัพท์ไปสั่งการลูกน้อง ภาษาญี่ปุ่นรัวถี่ยิบซะจนผมฟังไม่ทัน
“พ่ออยากให้ลูก กลับโตเกียวกับพ่อ”
“นอนนิ่งๆ ไม่ต้องพูดมาก”ผมเอ่ยดุเขา
จนรถพามาถึงโรงพยาบาล บุรุษพยาบาลก็เอาเตียงมารับเขาแล้วเข็นเข้าห้องฉุกเฉิน ยางามิไปจัดการเรื่องประวัติคนไข้ ส่วนผมก็รออยู่หน้าห้อง ด้วยความกระวนกระวาย
กริ๊งงงงง
“ครับ”ผมรับโทรศัพท์ น้าโจโทรมา
(คิม น้าได้ยินเสียงปืนหลังร้าน เราเป็นยังไงบ้าง โดนยิงรึเปล่า)
“เปล่าครับ”
“คิม แต่น้าเห็นรอยเลือด”
“เขาโดนครับ”
“พ่อเรานะเหรอ”
“ครับ”
“มือปืนนั่นตั้งใจมาเก็บเขาเหรอ นั่นซินะ พวกมาเฟีย ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ขนาดมานั่งกินข้าวที่ร้านอาหารยังโดนลอบยิง น้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมต้องเดินทางนี้ด้วยนะ” น้าโจบ่นอย่างเอือมๆ ปนเป็นห่วง
“ผมขอโทษที่เรื่องนี้มาเกิดที่ร้าน”ร้านแกคงทำบากเพราะมีเรื่องยิงกันที่ร้านแก อาจทำให้ลูกค้าหายไปเยอะเหมือนกัน
“น้าไม่เป็นไรหรอก เราไม่โดนยิงแค่นั้นน้าก็ดีใจแล้ว”
“ขอบคุณครับ”
“อืมๆ เราก็ไปดูพ่อเราเถอะไป เขาอุตส่าห์มาง้อถึงที่นี่ ตอนนี้เขาเจ็บอยู่ เราอย่าถือทิฐิอีกเลยนะคิม”
“ครับ สวัสดีครับ”ผมกดวางสาย เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า
มือปืนมันต้องการยิงผม ไม่ใช่ยิงเขา ถ้าเขาไม่เอาตัวมาบังวิถีกระสุน กระสุนนั่นปักกลางหัวใจผมพอดี แต่เพราะเอาตัวมาบัง หันหน้าเข้าหาผม มันเลยกลับจากซ้ายเป็นขวา นับว่าน่าหวาดเสียวเหมือนกัน ถ้าเพียงแค่เขาหันหน้าผิดด้าน เขาคงได้ไปเจอแม่ก่อนผมแน่ๆ
ผมไม่ยักรู้ว่าตัวเองถูกเพ่งเล็งด้วยเหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยไปทำอะไรให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจถึงขนาดจะฆ่าจะแกงกันขนาดนี้ เรื่องนี้คงต้องถามยางามิ เหมือนเขาจะไม่ได้เป็นแค่บอดี้การ์ด น่าจะเป็นคนสนิทของพ่อด้วย เห็นมีอะไรก็สั่งผ่านเขาตลอด
ว่าแล้วก็เดินมา ตายยากจริงคนบ้านนี้
“คุณหนูครับ”เขาเรียกผม ว่าคุณหนูงั้นเหรอ
“อะไรนะ”ผมขมวดคิ้ว ถามเขาเสียงแข็ง
“คะ...คุณหนู”เขาตอบอย่างงงๆ ทำหน้าเหมือนกับจะถามว่าพูดอะไรผิดไป
“ผู้ชาย”
“ห๊ะ ครับ”
“ผมเป็นผู้ชาย”
“.....”
“.....”
“ขอประทานโทษครับ คุณชาย ผมแค่อยากจะถามว่า คุณชายบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่าครับ”นับว่าเขาปรับสีหน้าได้รวดเร็วมาก ตอนแรกแปลกใจแต่ตอนนี้หน้าเป็นปกติแล้ว ยกเว้นสีแดงนิดๆ ตรงแก้มนั่น
“ไม่”
“ครับ”
เขานั่งข้างๆ ผม ผ่านไปสักชั่วโมงกว่าๆ หมอก็ออกมา
“ไม่โดนอวัยวะสำคัญครับ ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้ว จะย้ายไปห้องพิเศษที่ 401 นะครับ”
“ครับ อ้อ หมอครับ หวังว่าเรื่องนี้จะไม่แพร่งพรายไปเข้าหูใครนะครับ”ยางามิขู่ทั้งรอยยิ้ม แต่หมอหน้าซีดเผือด เหงื่อออกแล้วออกอีก
“คะ...คะ...ครับ”แล้วหมอก็รีบโกยอ้าวเข้าห้องส่วนตัวไปอย่างรวดเร็ว
“งั้นผมกลับแล้วนะ”ผมยืนขึ้น เตรียมตัวกลับ
“คุณชายไม่อยู่เฝ้าท่านหน่อยเหรอครับ”เขารีบมาดักหน้าผมไว้
“ไม่ล่ะ”
“คุณชายครับ ยกโทษให้ท่านเถอะครับ ท่านยอมตายแทนคุณชายได้เลยนะครับ”
“ถอยไป”
“คุณชายครับ อย่าหาว่าผมจุ้นจ้านเลยนะครับ แต่ 13 ปีมานี้ที่คุณชายกับคุณหญิงเล็กไม่อยู่ ท่านเองก็ทุกข์ใจมาก โหมงานหนักทุกวัน ไหนจะคอยคุ้มกันพวกคุณสองคนอยู่ห่างๆ แค่เพราะคุณไม่ได้เจอหน้าท่าน ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่ได้สนใจพวกคุณนะครับ”
“พูดไปก็เท่านั้น เรื่องมันเป็นอดีตไปแล้ว”
“คุณชายก็กำลังจมอยู่ในอดีตเหมือนกันครับ พอท่านรู้ข่าวว่าคุณหญิงเล็กเสียชีวิต ท่านก็ทิ้งงานทั้งหมดให้คุณไทจิดูแล ส่วนท่านก็มาหาพวกคุณที่นี่ ผมไม่เคยเห็นท่านเสียใจขนาดนี้มาก่อนเลยนะครับ”
“คุณก็ดูแลเขาดีๆ ละกัน”ผมเดินออกมา
“ท่านรักคุณนะครับ แม่ของคุณด้วย ท่านรักพวกคุณทุกคนมากกว่าชีวิตท่าน เพื่อให้พวกคุณปลอดภัย ท่านยอมทำทุกอย่าง ยอมทุกๆ อย่างจริงๆนะครับ”เขาพูดเสียงอ่อน น้ำเสียงขมขื่นเมื่อนึกถึงยามหลัง
ผมเดินกลับออกมา ลืมไปว่ารถอยู่ที่ร้านน้าโจ ผมเลยเรียกแท็กซี่แถวนั้นกลับบ้าน รักผมงั้นเหรอ รักแม่งั้นเหรอ ถ้ารักกันแล้วทำไมถึงได้ไล่ออกมาล่ะ เรื่องในวันนั้นเขาจะอธิบายว่ายังไง
“ผมทำถูกแล้วใช่มั้ยครับ แม่”
ผมกลับมาบ้าน อาบน้ำแต่งตัวเตรียมเข้านอน อีกเดือนนึงผมก็จะเรียนจบ เมื่อถึงตอนนั้น ผมจะทำยังไงนะ ผมจะให้อภัยเขาแล้วไปอยู่กับเขารึเปล่า แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ คนที่ไล่ผมกับแม่ออกมา หล่อนคงไม่ยอมหรอก ผมข่มตานอกให้หลับ แต่ไม่หลับ หน้าของพ่อและคำพูดของยางามิคอยหลอกหลอนผม หลังจากพยายามหลับอยู่ครึ่งค่อนคืน แล้วผมก็ไม่ได้นอนทั้งคืน
ผมตื่นเช้าไปมหาลัย พวกไอทัศ ไอเอก ไอเป้ก็อยู่กันครบ
“เมื่อวานไอเอกมันบอกกูว่าพ่อมึงโดนยิงงั้นเหรอ”ไอทัศมันถามผมด้วยความเป็นห่วง
“อืม”
“มึงโอเคใช่ปะ”ไอเป้มันถามผม ก่อนจะยื่นขนมให้อีกตามเคย
“เออ”
“เย็นนี้มึงไปเยี่ยมพ่อมั้ยวะ”ไอเอกมันถามผม ทุกคนหันมามองหน้าผมผมหายหัวเบาๆ พวกมันเงียบไป แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร
พอเรียนเสร็จผมก็ไปทำงานที่ร้านน้าโจตามปกติ ผมเข้าไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้อง น้าโจก็เดินเข้ามา
“ไม่ไปเยี่ยมพ่อเราหน่อยเหรอ”
“เมื่อคืนพาไปส่งโรงบาลแล้วครับ”
“ใจดำจังน้า เรานะ เขาอุตส่าห์ยอมเจ็บแทน เราจะใจแข็งไปถึงไหน”
“.....”
“โอเค ไม่ไปก็ไม่ไป งั้นช่วยไปจัดการรอยเลือดตรงหลังร้านที”
“ครับ”
ผมเดินไปหลังร้าน หยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดไปด้วย แต่พอเปิดประตู รอยเลือดที่หน้าประตูทำให้ผมแปลกใจ อาจเป็นเพราะเมื่อคืนมันมืด ทำให้ผมมองเห็นไม่ค่อยชัดว่าเลือดเขาออกเยอะแค่ไหน แต่พอตอนนี้พึ่งสี่โมงกว่าๆ รอยเลือดที่เห็นนี่เยอะเอาการเหมือนกัน เช็ดไปเช็ดมาผมก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เขาคงจะเจ็บมากน่าดู
ผมควรไปเยี่ยมเขารึเปล่า แต่ว่า ไปหน่อยก็คงไม่เสียหายหรอกมั้ง เขาเจ็บเพราะผมนี่ ผมไม่อยากติดหนี้บุญคุณเขาหรอกนะ แต่ถ้าจะลางานก็คงไม่เหมาะ แต่ให้ไปหลังเที่ยงคืนพยาบาลคงไม่ให้เข้าเยี่ยมแล้ว
“ไปเถอะ น้าให้หยุดวันนึง”
“ครับ”ผมตกใจที่อยู่ๆ น้าโจแกก็มายืนอยู่ข้างหลัง ผมรีบเช็ดรอดเลือดให้เสร็จแล้วเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับ
ผมขับรถไปโรงพยาบาล ขับเรื่อยๆ ไม่ได้รีบมาก อีกอย่าง ผมไม่รู้จะทำตัวยังไงเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาด้วย จะบอกเขาว่าอะไรนะ มาเยี่ยมงั้นเหรอ ไม่เอาหรอก เดี๋ยวเขาก็คิดว่าเรายกโทษให้แล้วหรอก ยังไม่ยกโทษให้หรอก หรือจะบอกว่าทางผ่าน คนละทางกันเลยเหอะ
ผมหันไปเห็นร้านขายดอกไม้ ไปเยี่ยมไข้ก็คงต้องมีของฝากซินะ อืมงั้นแวะซื้อสักหน่อยแล้วกัน ผมซื้อดอกลิลลี่มาหนึ่งดอก แล้วก็แวะซื้อข้าวต้มหมูเจ้าโปรดของผมมาด้วย 2 ถุง เผื่อยางามิด้วย
พอถึงโรงพยาบาล ผมก็เดินไปยังห้อง 401 พอผมมาถึงพวกบอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้าประตูอยู่ 4-5 คนก็หลีกทางให้ผม นี่เขาต้องมีคนติดตามมากขนาดนี้ตลอดเวลาเลยรึไง พอผมเข้าไปในห้อง ข้างในเหลือแค่เขากับยางามิ ทั้งสองคนหันมามองผม ยางามิมองด้วยสายตาแปลกใจ ส่วนสายตาเขาดู...ดีใจ
ผมไม่ได้พูดอะไร เอาดอกไมไปวางไว้ในแจกันข้างหัวเตียง ก่อนจะเอาข้าวต้มไปยื่นให้ยางามิ
“ข้าวต้ม ให้เขา เผื่อคุณด้วย”
“แหะๆ ผมทานแล้วละครับ เชิญคุณชายเถอะครับ”เขาบอกก่อนจะเอาข้าวต้มไปใส่ถ้วยมาให้ผม พ่อนอนอยู่บนเตียงกำลังดูทีวีอยู่ เขาหันมาหาผม
“ทานข้าวด้วยกันนะ”
“ผมซื้อข้าวต้มมา”
“รู้แล้ว”
“อืม”
ยางามิส่งถ้วยข้าวต้มให้ผม แล้วเขาก็เลื่อนโต๊ะอาหารของผู้ป่วยมาให้พ่อแล้ววางข้าวต้มของพ่อลงบนนั้น จากนั้นเขาก็ขอตัวออกไปข้างนอก พอไม่มีเขาอยู่ ห้องเงียบสิ้นดี ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไร บอกแล้วไงว่าผมไม่รู้จะพูดอะไร ผมนั่งกินข้าวต้ม เขาก็กินข้าวต้มเงียบๆ แขนขวายังยกไม่ค่อยขึ้น แต่เขาก็ใช้แขนซ้ายจัดการข้าวต้มได้ ไม่มีปัญหา การนั่งกินข้าวเย็นด้วยกันครั้งแรกในรอบ 13 ปีนี้ดูแปลกๆ พิกล ถึงแม้ว่าเราสองคนจะไม่ได้พูดอะไร แต่ผมก็ไม่ไดรู้สึกอึดอัด เหมือนกับว่าเราทั้งสองคนพอใจจะให้มันเงียบอย่างนี้ จนกระทั่งกินเสร็จ ผมก็เก็บจานไปล้างแล้วผมก็มานั่งดูทีวีเหมือนเดิม แต่ว่าความคิดนึงแวบเข้ามาให้หัวผม สิ่งที่ผมค้างคาใจมาตลอด
แม่เองก็ตายไปแล้ว ผมเองก็ยังพอจำความได้ ผมรู้ว่าทั้งสองคนมีเรื่องปิดบังผม ทั้งพ่อและแม่นั่นแหละ ผมอยากรู้ว่าทำไมผมกับแม่ต้องระเห็จมาอยู่ที่นี่ ผมอยากรู้ว่าทำไมพ่อถึงขาดการติดต่อไป ผมอยากรู้ต้นตอของปัญหาทั้งหมด ว่ามันเกิดมาจากจุดไหน และตอนนี้ ผมกำลังเปิดใจพร้อมที่จะรับฟัง ถ้าเขาต้องการจะอธิบาย ตอนนี้ก็เหมาะแล้ว เพราะว่าผมอยู่ในช่วงอาการ .....ใจอ่อน
“เมื่อ 13 ปีก่อน ...ทำไม” ผมเริ่มเปิดประเด็น
“โกรธมากเลยละสิ”
“เหตุผลล่ะพ่อ”
เขากดรีโมทปิดทีวี ก่อนจะลุกขึ้นนั่งดีๆ ผมเห็นเขานิ่วหน้า แต่ก็ไม่ได้เข้าไปช่วย เพราะมันมีให้เห็นแค่แวบเดียวแล้วหน้าพ่อก็ปกติพอดีกับที่นั่งท่าสบาย
“อยากฟังเรื่องไหนล่ะ”
“ทั้งหมด”
“โมโมโกะ ผู้หญิงที่ลูกเจอวันนั้น เป็นภรรยาที่จดทะเบียนสมรสกับพ่อ เธอเป็นลูกสาวหัวหน้าแก๊งฟูจิมิยะ มาเฟียที่ค่อนข้างจะมีอิทธิพลในอดีต พ่อของพ่อเลยให้พ่อแต่งงานกับเธอ เพราะตอนนั้นแก๊งพ่อไม่ค่อยแข็งแรงมั่นคงเท่าไหร่ เพราะอาของพ่อทรยศแก๊ง ทำให้เรามีปัญหาทั้งภายในและภายนอกจากคู่แข่งคนสำคัญคือแก๊งโทระซึกิ แต่งงานกันได้ 2 ปี หล่อนคลอดลูกสาวให้พ่อคนนึง พี่สาวของลูก อายากะ หลังจากนั้นอีก 1 ปี พ่อก็มาเจอกับแม่ที่มาเที่ยวญี่ปุ่น รักแรกพบเป็นยังไงวันนั้นพ่อได้ประจักษ์เห็นด้วยตนเอง พ่อเห็นแก่ตัว จึงขอให้แม่ของลูกอยู่กับพ่อ ถ้าในมุมมองของคนนอก แม่ลูกก็คือเมียน้อย แต่สำหรับพ่อ รินลดา คือผู้หญิงที่พ่อรัก คือภรรยาที่พ่อควรจะแต่งงานด้วย คู่ชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของพ่อ”
“ทำไมพ่อไม่เปิดเผยล่ะ มาเฟียมีเมียหลายคนไม่มีใครกล้าว่าหรอก”
“ปัญหามันอยู่ที่โมโมโกะ พ่อไม่กล้าบอก เพราะเธอขี้หึงมาก และหึงแรงเสียด้วยส่วนพ่อของเธอที่เป็นหัวหน้าแก๊งฟูจิมิยะอาจจะรู้สึกเสียหน้า พ่อไม่กล้าเสี่ยงให้แม่ตกอยู่ในอันตราย ตอนนั้นพ่อไม่มีความสามารถพอจะปกป้องแม่ของลูกได้เลย เลยมาหาได้แค่เสาร์-อาทิตย์ อ้างกับโมโมโกะ ว่าต้องบินไปดูงานที่ฮ่องกงที่พึ่งเปิดกิจการใหม่ โดยให้ยางามิปลอมตัวไปแทน แล้วก็ไม่มีใครจับได้ จนกระทั่งโมโมโกะ เกิดระแคะระคายเรื่องนี้เข้า เลยตามพ่อมาจนเจอบ้านหลังนั้น แล้วเธอก็รอให้พ่อออกไปในเช้าวันจันทร์ เรื่องหลังจากนั้นลูกรู้ดี”
“แล้วทำไมต้องไล่เราสองคน ทำไมต้องบอกว่าไม่รักแม่แล้ว”ผมถามอย่างไม่เข้าใจ ทำไมตอนนั้นพ่อต้องดึงดันจะให้เราไปให้ได้ ถ้าพ่อไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้น ทำไมต้องยอม
“เธอขู่พ่อ ลูกอาจจะคิดว่าพ่อขี้ขลาด พ่อยอมรับ เพราะถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกและแม่ของลูก พ่อกลัวไปหมด พ่อไม่อยากเสียเธอไป โมโมโกะ บอกว่าถ้าไม่ไล่ลูกกับแม่ไป เธอจะฆ่าให้หมดทั้งสองคน ตอนนั้นฟูจิมิยะมีอิทธิพลมากเกินไป ถ้าลำพังพ่อตัวคนเดียวพ่อไม่กลัวหรอก ถึงไหนถึงกัน ตายเป็นตาย แต่แม่ของลูกกับลูกเป็นเหมือนดวงใจของพ่อ ถ้าพ่อจะต้องเสียลูกไปไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง พ่อเลือกจากเป็นมากกว่าจากตาย ”
“ดังนั้นจึงไล่มา ถ้าพ่อเพียงแค่จะอธิบายให้พวกเราฟัง เราคงจากกันด้วยดี”
“แม่ลูกจะไม่ยอมไป พ่อกับแม่เคยคุยกันแล้วเรื่องทางออกที่เป็นไปได้ แต่ไม่ว่ายังไงจะไม่แยกจากกันเด็ดขาด นั่นคือสิ่งที่เธอเคยบอกกับพ่อ”
“พ่อเลยบอกว่าหมดรัก”
“ใช่ ตอนนั้นพ่อก็กินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวัน เป็นห่วง และเสียใจ รู้สึกผิดต่อรินลดาที่ทำร้ายจิตใจเธอ เกลียดที่ตัวเองขี้ขลาด สมเพชที่พ่อเป็นถึงหัวหน้าแก๊งมาเฟียในตอนนั้น แต่ต้องทำตามคำสั่งปู่ของลูก และพ่อของโมโมโกะที่เป็นคนนอก และที่เกลียดที่สุดก็คือ มันเป็นความจริงที่ว่า พ่อไม่สามารถปกป้องคนที่พ่อรักได้เลย พ่อเดินหนีปัญหา แม่ของลูกคงจะไม่ให้อภัยพ่อ”
“.......”
“.......”
พ่อไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งมา พ่อโดนบังคับ ด้วยกรอบแห่งศีลธรรมและความกตัญญู พ่อรักเราสองคน.....
“แล้วทำไมถึงมาตอนนี้”
“เวลามักเล่นตลกกับเราเสมอ”
“หมายความว่าไง”
“โมโมโกะพึ่งตายไปเมื่อสองสามเดือนก่อน ปู่ของลูกตายไปเมื่อห้าปีที่แล้วพร้อมๆ กับที่พ่อของโมโมโกะเองก็เสียไปเช่นเดียวกัน อาของลูกเลยทำการยึดแก๊งฟูจิมิยะ และหันหัวหอกมาทางพ่อ ตอนนี้พ่อมีอำนาจและบารมีของตนเองพอ พ่อไม่กลัวอะไรอีกแล้ว อีกทั้งแก๊งของเรา แก๊งซากุรากะก็กลายเป็นแก๊งใหญ่ทรงอิทธิพลมากกว่าที่เคยเป็นมา พ่อโหมงานหนักสร้างรากฐานให้มั่นคงให้เหนือกว่าปู่ของลูก เหนือกว่าพ่อของโมโมโกะ เพื่อที่สักวันนึง เราจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง”
“แต่แม่ดันมาตายเสียก่อน แม่คงจะดีใจกว่านี้ถ้าได้รู้ความจริงจากปากพ่อ”
“พ่อว่าแม่เองก็คงรู้อะไรๆ มาบ้าง แม่ของลูกไม่ใช่คนโง่ เธอคือวิญญาณอีกครึ่งนึงของพ่อ เราเป็นคนคนเดียวกัน พ่อว่าแม่รู้ แต่ที่โกรธ คงโกรธความอ่อนแอของพ่อ โกรธที่พ่อเลือกหนีปัญหา โกรธที่ต้องแยกจากกัน”
“.......”
“.......”
เรานั่งเงียบกันอยู่สักพัก เพื่อให้ผมได้มีเวลาทำใจ ผมกับพ่อมองไปยังดอกลิลลี่ตรงหัวเตียง คิดถึงคนคนเดียวกัน แม่ชอบดอกลิลลี่เสมอ แม้ตอนนี้ที่บ้านก็พอมีดอกลิลลี่อยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากนัก ดอกลิลลี่ทำให้แม่คิดถึงพ่อ แม่จึงออกมาดูมันเป็นครั้งคราว ผมไม่รู้ว่าแม่รู้เรื่องอย่างที่ทึกทักเอาเองรึเปล่า แต่สิ่งที่อยู่ในแววตาแม่ตลอดมาคือความเศร้า ความเหงาและเปล่าเปลี่ยว ไม่ใช่โกรธแค้น รวดร้าวเหมือนที่มีในวันที่เราออกจากญี่ปุ่น บางทีการรักใครสักคนมันก็ไม่ง่ายเหมือนกัน ไม่ง่ายเลยกับการใช้ชีวิตในสายทางนี้ ตอนนี้ผมหลุดพ้นแล้ว แต่กลับไม่รู้สึกถึงอิสระ จิตใจของผมได้รับการปลดปล่อยจากความไม่เข้าใจ แต่กลับไม่ได้รู้สึกเติมเต็มช่องว่างในจิตใจ ผมรู้ว่าที่ที่ผมจะเรียกว่าบ้านมันอยู่ที่ไหน และที่นี่ไม่ใช่บ้านผม ผมรู้ว่าถ้าไม่อยากประสบชะตากรรมอันรันทดแบบพ่อ ผมควรจะอยู่ที่นี่และใช้ชีวิตอย่างปกติ แต่ผมกลับไม่เคยรู้สึกว่าที่นี่คือที่ของผม ครอบครัวเพียงคนเดียวของผมอยู่ตรงหน้าผม แต่ผมกลับผลักไสไล่ส่งเขา ทั้งๆ ที่ความทรมานของคนไล่นั้น มากกว่าคนที่ไปหลายเท่านัก ทั้งเขาและผม อีกทั้งแม่เองก็ทุกข์ใจจากการจากลามามากพอแล้ว ผมคิดว่าถึงเวลาแล้ว ที่ผมจะวางทิฐิลง ถึงเวลาแล้วที่ผมจะเผชิญหน้ากับความจริง ผมเป็นลูกของเขา และผมเป็นลูกของแม่ด้วย ผมจะไม่ทำให้ท่านทั้งสองต้องผิดหวังอีก เราจะกลับมาเป็นครอบครัวอีกครั้ง
“ผมจะกลับไปกับพ่อ”
เขาหันมามองหน้าผมด้วยความดีใจ ริมฝีปากยิ้มกว้าง เขาดูเด็กลงไปสักสิบปีเลย
“แต่ต้องหลังจากผมเรียนจบ อีกเดือนนึง”
“ไม่เป็นไร พ่อรอได้”
“พ่อจะกลับไปก่อนก็ได้”
“กลับไปพร้อมกันดีกว่า”
“แล้วงานพ่อล่ะ”
“ทิ้งให้ไทจิมันทำไป”
“ใครกันครับ ไทจิ”
“ลูกบุญธรรมของโมโมโกะ เธอยืนยันจะให้ไทจิเป็นผู้สืบทอดของพ่อ เธอกันท่าลูกจนตายไปแล้วก็ยังไม่ยอมวางมือ”พ่อพูดอย่างเจ็บใจ แต่ผู้หญิงคนนั้นแค้นได้ยาวนานเสียจริง
“ผมไม่ต้องการเป็นผู้สืบทอดของพ่อ”
“มันเป็นของลูก ของลูกมาตั้งแต่ต้น และไทจิก็รู้ดี เขาไม่ว่าอะไร”
“ยังไงเรื่องมันก็ยังมาไม่ถึง เราอย่าคุยเรื่องนี้กันเลยครับ .....ผมแค่อยากกลับบ้าน ก็เท่านั้นเอง”
พ่อพยักหน้า
“พ่อกอดหน่อยได้มั้ย”
ผมเงยหน้ามองพ่อ แววตาอ้อนวอนจนผมไม่กล้าปฏิเสธ ผมลุกขึ้นไปนั่งบนเตียงข้าๆ พ่อ ก่อนจะยอมให้พ่อกอด เรากอดกันแน่นเหมือนครั้งสุดท้ายที่พ่อกอดผมเมื่อ 13 ก่อน และนานกว่าครั้งนั้นมาก กอดของพ่ออบอุ่นและคุ้นเคย เป็นอ้อมกอดนี้เองที่ผมโหยหามาตลอด
หลังจากนั้นประมาณ 3-4 วันเขาก็ออกจากโรงพยาบาล เขาจัดการซื้อบ้านเช่าหลังนั้นให้เป็นชื่อของผม เขาบอกว่าอยากจะเก็บบ้านหลังนี้ไว้เป็นบ้านพักต่างอากาศหลังที่ 2 เพราะหลังแรกเป็นคฤหาสน์หลังโตที่อยู่ในย่านคนรวยที่เขาพักตั้งแต่มาไทย แต่หลังนี้เป็นความทรงจำของแม่ เป็นที่ที่ผมโตมา ผมเองก็อยากเก็บไว้เหมือนกัน พอเขาออกจากโรงพยาบาล เขาก็ขนของมาไว้บ้านผม และอยู่ที่บ้านผมจนกว่าเราจะกลับญี่ปุ่น
ผมบอกน้าโจว่าผมจะกลับญี่ปุ่น และบอกเรื่องราวเล็กๆน้อยๆ ให้น้าแกรู้บ้าง ส่วนพวกไอทัศ พอมันรู้ว่าผมจะไปญี่ปุ่น มันก็งอนไม่คุยกับผมหลายวันเลยเหมือนกัน แต่พอมันคิดได้ว่าเวลาที่จะอยู่ด้วยกันเหลือน้อยแล้ว มันก็ดีกับผมมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ พาผมไปเที่ยว พาไปซื้อของที่ระลึก ถ่ายรูปทำเฟรนชิพ สร้างความทรงจำที่ดีระหว่างกัน
เดือนนึง เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก วันรับปริญญา ผมดีใจที่ในที่สุด ฝันของแม่ก็เป็นจริง แม่รอคอยที่จะเห็นวันนี้ของผม แต่ก็ไม่ได้เห็น แต่ผมก็ดีใจนะ เหมือนชีวิตสำเร็จมาแล้วครึ่งทาง
วันนี้พ่อเองก็มา พ่อพาลูกน้องมาแค่ 3 คนเดินตาม แต่ที่รออยู่ข้างนอกผมว่าเพียบแน่ พ่อยื่นชื่อลิลลี่สีขาวให้ผม เราถ่ายรูปกัน พ่อยิ้มแก้มแทบปลิ เหมือนภูมิใจในตัวผมไม่น้อย พวกไอภูมิมันก็พากันมาสวัสดีพ่อ เพื่อนในคณะหลายคนแปลกใจเพราะรู้ว่าผมไม่มีพ่อ เลยค่อนข้างงงๆ แต่ผมก็ไม่ได้อธิบายอะไร เพราะเดี๋ยวก็ไม่เจอกันแล้ว ยกเว้นพวกไอทัศที่ผมบอกหมดเปลือกเพราะเดี๋ยวมันโกรธอีก
วันพรุ่งนี้ผมต้องขึ้นเครื่องกลับญี่ปุ่น ผมตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ไหนจะเรื่องพี่ไทจิกับพี่อายากะ ผมไม่รู้ว่าเขาทั้งสองคนจะคิดยังไงกับผม กับพี่ไทจิ ผมแย่งตำแหน่งเขา ส่วนพี่อายากะผมเองก็แย่งความรักจากแม่ของเขาไป มันไม่แปลกเลยถ้าทั้งสองคนจะเกลียดผม แต่ผมก็คงไม่สบายใจถ้ามันจะเป็นอย่างนั้น
ผมเก็บของไปเท่าที่จำเป็น แน่นอนว่าผมต้องเอาอัฐิกับกล่องไม้นั่นไปด้วย ทันทีที่พ่อเห็นกล่องไม้ พ่อก็เองไปดูแล้วก็เข้าห้องไปเลย แต่ผมเห็นแวบๆ ว่าพ่อร้องไห้ เขาสองคนคงรักกันมาก ผมเองก็หวังจะเจอคู่ชีวิตที่ดีแบบนี้เหมือนกัน สักวันหนึ่ง
นั่งเครื่องไปญี่ปุ่นประมาณ 7 ชั่วโมง พอลงจากเครื่องก็มีลิมูซีนมารับ ส่วนรถที่ตามรู้สึกว่าจะเป็นโตโยต้านะ ถ้าผมจะไม่ผิด ผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องรถสักเท่าไหร่ รู้ยี่ห้อรถก็หรูแล้ว จากที่เห็นขบวนมีประมาณ 5 คัน รวมของพ่อผมที่อยู่ตรงกลางด้วย ผมหันมาใช้ภาษาญี่ปุ่นอย่างเต็มตัว ยังไงผมก็เรียนเอกนี้มาและเป็นภาษาเกิดผม เรื่องนี้สบายมาก รถแล่นไปได้สัก 2 ชั่วโมงก็เลี้ยวขึ้นมาบนเนินเขา คฤหาสน์หลังโตรออยู่เบื้องหน้า คนรับใช้ชายหญิงเรียงกันสองแถวคอยต้อยรับเหมือนหนังมาเฟียในโทรทัศน์ มาเจอกับตัวแบบนี้ ผมอดขนลุกไม่ได้เลย พ่อก้าวลงจากรถก่อน ผมลงมาตามหลัง ทันใดนั้นทุกคนก็ก้มหัวให้ผม ก่อนจะกล่าวอย่างพร้อมเพรียงว่า
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ นายท่าน คุณหนู!!!”
ผมซึ้งอยู่นะครับ แต่ผมไม่ใช่คุณหนูครับ=_= จะต้องให้บอกอีกกี่ครั้งว่าผมเป็นผู้ชาย!!!
------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคำติชม จะนำไปแก้ไขนะค่ะ
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่า