ตอนที่ 3ของมินิซีรีย์ตระกูลหลี่ มาแล้วจ้า
เจ้าสาวของเหวินฉาย
สกุลนานัยน์ตาชวนฝัน
จากเล่อเจียงไปมิคิดคำนึงถึง
ดั่งหญ้าผลิใบกลบรอยเท้าอาชา
สายลมอุดรโชยมาพร้อมความคะนึงหา
เฮ่อ.... บุรุษหนุ่มถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย อากาศยามบ่ายของหน้าร้อนช่างเป็นวันที่ทรมานเหลือเกิน หลังอาหารมื้อกลางวันชุดใหญ่กับน้ำชาอุ่นๆแน่นท้องทำให้หนังท้องตึง หนังตาก็พลอยหย่อนไปด้วย ง่วงก็ง่วงมิหน่ำซ้ำยังต้องทนนั่งเฉยๆรอคอยคนๆหนึ่ง ทั้งที่ไม่อยากคอย ดวงตาเฉยเมยเหลือบมองมารดาที่ยังสดชื่น นั่งแกะเมล็ดแตงโมทานอย่างอารมณ์ดี เห้อะ....คนที่สนุกอยู่คนเดียวก็คือท่านนั้นแหละ
เพี้ยะ...
“นั่งดีๆหน่อยสิ เหวินฉาย” หลี่ฮูหยินตีขาบุตรชายเบาๆ ที่เผลอหน่อยเป็นไม่ได้ต้องนั่งยกขาแบบกุ๊ยข้างถนนไม่มีผิด
“ท่านแม่....ข้าง่วงแล้ว ขอกลับห้องก่อนได้ไหม”
“เอ๊ะ....เจ้านี่นะ ข้าบอกว่าจะมาพบคนเจ้าก็ขอตามมาเองนะ พอทานอาหารเสร็จก็จะกลับเลยรึ อยู่รอพบแม่สื่อกับข้าก่อน”
“โอ้ยย....ท่านแม่ ข้าล่ะเบื่อจริงๆเลย พี่ใหญ่ก็แล้ว พี่รองก็แล้ว สุดท้ายก็มาเจ้ากี้เจ้าการเอากับข้าจนได้ ข้าอุตส่าห์ยอมตามท่านมาถึงเล่อเจียงก็ถือว่าอดทนมากแล้วนะ ข้าเบื่อ....ง่วงด้วย” ชายหนุ่มพร่ำบ่นอย่างหงุดหงิด เขาเพิ่ง 18 เท่านั้นนะทำไมถึงชอบหาเรื่องให้จริงๆ แถมยังต้องเดินทางข้ามเมืองมาด้วย ตอนแรกก็บอกว่ามาเก็บบัญชี เขาก็คิดว่ามีแต่งาน ไม่คิดว่ามารดาจะเจ้าเล่ห์ปานนี้
ก๊อก!!! ก๊อก!!! “หลี่ฮูหยิน ข้าเองคะ จางต้าเหนี่ยง”
ผู้ที่นัดหมายมาถึงก่อนที่สองแม่ลูกจะมีวาทศิลป์กันมากกว่านี้ หลี่ฮูหยินดึงแขนบุตรชายลงนั่งแรงๆ
“เชิญ....”
“ฮูหยิน” จางต้าเหนี่ยง เป็นหญิงชาวบ้านวัยสี่สิบเศษ แต่งกายสุภาพเรียบร้อย หากท่วงท่าการเดินและยิ้มกว้างอันเปิดเผยสบตาคนไปทั่วบอกได้ถึงความเชี่ยวชาญในอาชีพของนาง
“เชิญ....เชิญ มานั่งก่อน นี่บุตรชายคนที่สามของข้า ชื่อ เหวินฉาย”
“คุณชายหลี่ ยินดีเจ้าคะ” นางทักทายสุภาพ บุรุษหนุ่มได้แต่ยิ้มและก้มศีรษะทักทายเท่านั้น ทั้งหมดนั่งลงสนทนากัน “แหม....ต้องขอเรียนตามตรงว่า ข้าจางต้าเหนี่ยงเป็นแม่สื่อมาเป็นสิบกว่าปี เพิ่งได้เห็นคุณชายที่สง่างามมีสง่าราศีดียิ่งก็วันแหละเจ้าคะ”
สองสาวใหญ่หัวเราะฮะฮะฮะถูกใจกันใหญ่ เหวินฉายนั่งมองตาปริบๆ รู้อยู่หรอกว่าคนด้อยกว่าก็ต้องประสบสอพอคนมั่งมีกว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทว่า...ได้ยินชัดๆเช่นนี้แล้วกลับรู้สึกขัดหูพิกล
“มีสง่าราศีอะไรกัน ลูกชายข้ายังเด็กอยู่เลย”
“เด็กอะไรกัน หลี่ฮูหยิน คุณชายท่านออกจะสง่าผ่าเผย แค่เห็นแววตาท่านข้าก็รู้แล้วคุณชายฉลาดเฉลียว มีบุญบารมี หากคิดทำการค้าคงร่ำรวยมหาศาล หรือถ้ารับราชการต้องได้เป็นใหญ่เป็นโตจนใครต่อใครต้องอิจฉาแน่นอนเจ้าคะ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก....”
“วุ้ย....ข้าพูดจริงนะคะ คนเราน่ะสวรรค์สร้าง ดูคิ้วคุณชายสิคะขนคิ้วหนาขึ้นเป็นระเบียบ หางคิ้วเรียวเหมือนคันศร จมูกได้รูปรับกับดวงตาพยัคฆ์ โบราณว่าไว้ว่าจะมีทั้งทรัพย์ ทั้งอำนาจ”
“ต้าเหนี่ยง เจ้าดูโหว้งเฮ้งเป็นด้วยหรือ”
“ข้าดูคนมามาก ไม่ผิดหรอกคะ อย่างคุณชายเหวินหลงนี่ถือได้เป็นลูกพยัคฆ์ จะหาคู่ให้เหมาะก็ต้องเป็นคุณหนูที่มีชาติตระกูลถึงจะคู่ควรเสริมบารมีให้ว่าที่สามี เช่นนี้จะอยู่กันอย่างมีความสุข จริงไหมเจ้าคะ” จางต้าเหนี่ยงหยิบของในห่อผ้าที่พกพามาด้วยให้ทั้งคู่ชมดู เป็นภาพวาดหญิงสาวที่งดงามยิ่ง
“นี่คือ คุณหนูตระกูลหยู ชื่อ หยูอี้หลาน บิดานางคือท่านหยูซือ พ่อค้าผ้าไหมในเมืองนี้”
ภาพวาดนั้นงามมาก ทว่าจะเชื่อได้มากแค่ไหน ในเมื่อผู้ว่าจ้างจ่ายเงิน คนเขียนก็ต้องเขียนให้ได้ดั่งใจสิ เหวินฉายไม่เชื่อภาพเหล่านี้หรอกจนกว่าจะเห็นตัวจริงเสียก่อน หลี่ฮูหยินหันมามอง เขาส่ายหน้า ไม่ชอบ...
“งั้นคุณหนูท่านนี้เป็นอย่างไรเจ้าคะ คุณหนูตระกูลหลี่”
“เอ๊ะๆ แซ่เดียวกัน ไม่ได้หรอก ขอเป็นแซ่อื่นเถอะ”
“อ้อ....งั้นคุณหนูตระกูลติง เป็นไงเจ้าคะ” ภาพที่เห็นทำให้บุรุษหนุ่มสนใจ มีไผที่มุมปากด้วย ไม่รู้ว่าปากดี หรือปากร้ายกันแน่นะ เหวินฉายนึกเล่นๆ “คุณหนูติงซี่เอ๋อ บุตรสาวท่านติงฮุยเจียง ร้านข้าวสารใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ไงเจ้าคะ”
“อ๋อ เถ้าแก่ติงคนนั้นนั่นเอง ข้ารู้จักๆ”
“อ้อ..คนกันเองนี่ งั้นก็คุยกันง่ายหน่อย ว่าไงเจ้าคะ ถูกใจไหมถ้าไงข้านัดติงฮูหยินมาดื่มน้ำชากันพรุ่งนี้เลยดีไหม”
“มันจะไม่เร็วไปหน่อยหรือ” ชายหนุ่มท้วง
“แหม..ไม่เร็วหรอกคะ คุณหนูท่านนี้เป็นที่หมายปองของคุณชายทั้งหลายในเมืองนี้เลยนะ คุณหนูซีเอ๋อน่ะ งดงามปานเทพธิดา อ่อนน้อมถ่อมตน สุภาพเรียบร้อยเป็นเบญจกัลยาณีที่หาได้ยากยิ่งในยุคนี้ ข้ากล้าเอาศีรษะเป็นเดิมพันเลยว่า คุณสมบัตินางเทียบได้กับไซซีหรือหวังเจาจวิน เลยทีเดียว”
“เห้อะ” เหวินฉายเค่นเสียงหัวเราะประชดออกมา
“อาฉาย”
“เทียบกับไซซี หรือหวังเจาจวินหรือ น้าต้าเหนี่ยง...ข้าน่ะไม่อยากได้ภรรยาระดับนั้นหรอก เพราะความงามมักนำภัยมาสู่ตน แถมสองนางที่ท่านกล่าวมาน่ะไม่ได้ตายดีทั้งคู่เลยนะ”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้ากัน” หลี่ฮูหยินตาขวางใส่
“ก็หรือไม่จริงล่ะท่านแม่ ไซซีน่ะโดนถ่วงน้ำตาย ส่วนหวังเจาจวินต้องไปตายเดียวดายอยู่นอกด่านโน่น ถ้าคุณหนูติงที่กล่าวมานั้นเทียบได้กับทั้งคู่ล่ะก็ มีหวังทั้งบ้านได้วุ่นวายตายแน่ นั้นเรียกว่าหาภรรยานำโชคหรือนำเคราะห์ให้กันแน่”
จางต้าเหนี่ยงถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธที่ถูกหักหน้ากลางวงสนทนา เป็นแม่สื่อบางครั้งก็ต้องพูดเกินความจริงไปบ้าง แต่ก็เป็นแค่สีสัน มิคาดคิดว่าจะถูกฉีกหน้าด้วยฝีปากเด็กเมื่อวานซืน
“คุณชายพูดมาก็ถูกนะ ข้าคงกล่าวเกินไปจริงๆ ดูท่า....คุณชายคงมิถูกใจคุณหนูติงเสียแล้ว น่าเสียดาย....เชื้อหงส์แท้ๆแต่กลับตีค่าเพียงนกกระจาบ”
เหวินฉายมองหน้าอย่างไม่พอใจ นี่หาว่าเขาตาไม่มีแววหรือไงกัน
“สำหรับข้าแล้ว จะหงส์หรือนกกระจาบก็มีค่าพอกัน ถ้าเป็นคนดีจริง เรื่องของคนสองคนเป็นเรื่องที่ต้องพูดกันยาวนาน คนรู้จักกันผิวเผินรับอามิสสินจ้างมามีหรือจะรู้จักเนื้อของทองแท้”
“อาฉาย.....เจ้าเงียบได้แล้ว” หลี่ฮูหยินดุด่าก่อนหันมายิ้มให้แม่สื่อ “ต้าเหนี่ยงอย่าถือสาลูกชายข้าเลยนะ เขายังเด็กพูดจาอะไรไม่ค่อยคิดเท่าไร เรามาดูกันต่อดีกว่า”
“เสียใจด้วย หลี่ฮูหยิน” นางหันมายิ้มเย็นใส่ “ข้านำภาพดูตัวมาเพียงเท่านี้ ถ้าท่านอยากดู คงต้องเอาไว้วันหลังแล้วล่ะคะ”
“อ้าว??”
“ขอตัวก่อน” นางว่าน้ำเสียงเย็นเฉียบก่อนเดินออกจากห้องไปไม่เหลียวหลัง นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นนางแน่ หลี่ฮูหยินหันมามองบุตรชายตาเขียวปั๊ด
“ไม่ใช่ความผิดข้านะ” ชายหนุ่มรีบหยิบเมล็ดแตงโมแล้วลุกจากโต๊ะไปให้ไวที่สุด ก่อนจะเจอฝ่ามือของมารดาสั่งสอน หนอย....แม่สื่อตัวแสบ โดนแขวะแค่นี้ทำเป็นมีน้ำโห อีโธ่เอ้ย......ริจะเป็นแม่สื่อก็ต้องชะเลียให้เก่งกว่านี้สิฟะ ไม่เอาไหนเสียเลย
ร่างสูงออกมายืนที่หน้าต่างระเบียงทางเดินของโรงเตี้ยม แทะเมล็ดแตงโมไป มองถนนย่านใจกลางเมืองของเล่อเจียงอย่างเพลินตา ลมเย็นๆทำให้อารมณ์เย็นตามและสังเกตเห็นบางอย่าง ผู้หญิงเมืองนี้หน้าตาสะสวย แม้จะเป็นลูกชาวบ้านก็มีดวงตาอ่อนหวาน ผิวสวยและรอยยิ้มละมัย เอ...หรือว่าคุณหนูติงนี่จะสวยจริงๆนะ....
ความสงสัยนี้เก็บงำไว้จนถึงหัวค่ำ เหวินฉายรอจนมารดาหลับจึงย่องออกมานอกห้องลงมาหาบ่าวรับใช้ที่นอนเฝ้ารถม้าอยู่หลังโรงเตี้ยม คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง ส่องแสงสว่างจนเห็นเงาของตนเอง สองนายบ่าวจูงม้าออกมาอย่างเงียบเชียบดุจโจรขโมยของ
“คุณชายจะไปไหนดึกดื่นค่ำคืนเช่นนี้”
“ข้าอยากไปที่แห่งหนึ่ง”
*************
(โปรดติดตามตอนต่อไป)