บุหรงเริงไฟ
บทที่ ๙ สถานะใจ
“นายทำบ้าอะไร โอลิเวอร์?”
เรื่องที่โอลิเวอร์ ไรท์เข้าไปป่วนเด็กของเอวาน เมื่อมาถึงหูผู้เป็นพี่ชายอย่างฟรานเชสโก้ เขาจึงได้เรียกอีกฝ่ายมาคุย คราวก่อนที่ให้คนไปเล่นไล่จับกับเด็กมันจนเป็นเรื่องก็หนหนึ่งแล้ว คราวนี้ยังไปประกาศศักดาแบบสิ้นคิดอีก มันช่างโง่เง่านักในสายตาเขา หากสิ่งที่โอลิเวอร์ทำคือการเป่าหูเด็กคนนั้นให้คล้อยตาม ระหว่างคนที่ไม่รู้จักกันเช่นพวกเขา กับ เอวาน เวสส์ที่อยู่ด้วยมาตั้งหลายปี คิดว่าเด็กมันจะเอนเอียงมาทางนี้หรืออย่างไร
“แค่ทักทายหลานรักของนายนิดหน่อยเอง” โอลิเวอร์ยกยิ้มกวนอารมณ์
“ด้วยการอยู่ดี ๆ ก็ไปบอกว่าเป็นญาติฝ่ายพ่อของเขา?” ผู้เป็นพี่ชายย้อนถาม
“ไม่ใช่อยู่ดี ๆ” คนพูดยิ้มยวนเมื่อเว้นช่วง ก่อนเอ่ยต่อ “ถ้าฉันไม่ปูทางไว้ก่อนแล้ว จะกล้าเดินเทิ่ง ๆ เข้าไปพูดแบบนั้นได้ยังไง?”
หัวคิ้วฟรานเชสโก้เริ่มมุ่นกับประโยคนั้น “หมายความว่ายังไง?”
อีกคนทำเป็นถอนใจ กายสูงใหญ่นั้นค่อยเดินไปทางตู้โชว์ที่เก็บไวน์ชั้นดีของพี่ชายเอาไว้ เขาหยิบขวดหนึ่งในนั้นออกมาแล้วพลิกดูพลางว่า
“ก็อย่างที่นายรู้ เด็กคนนั้นรู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นใคร... ฉันหมายถึงพ่อแท้ ๆ น่ะนะ” คนพูดยังเดินไปหยิบที่เปิดขวดไวน์ ราวไม่ได้กำลังพูดเรื่องที่สลักสำคัญอะไร
และเพราะฟรานเชสโก้รู้ ถึงได้เสนอเงินก้อนโตกับริชาร์ด พาร์เลอร์ นักพนันตัวยงเพื่อเอาไปใช้หนี้เวสส์ เพียงเพราะต้องการฮุบกิจการของตาเฒ่านั่นมา หนี้สินที่ตาเฒ่านั่นมีไม่ได้หมดไป แค่ย้ายมือจากเวสส์มาเป็นไรท์ก็เท่านั้น
ในความรู้สึกของโอลิเวอร์ เขาว่าสิ่งที่ผู้เป็นพี่ชายทำมันเป็นการลงทุนโดยไร้ประโยชน์ ขนาดเป็นหนี้เวสส์ ตาเฒ่านั่นยังไม่มีปัญญาจ่าย แล้วอย่างนี้มันไม่กลายเป็นหนี้สูญไปหรอกหรือ แต่ฟรานเชสโก้กลับว่าบริษัทของพาร์เลอร์มีชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจด้านรถยนต์อยู่บ้าง หากโอลิเวอร์อยากเข้าไปบริหารต่อ ตนก็ยกให้ แลกกับการไม่เข้าไปวุ่นวายกับลูกชายของสตีเฟ่น
‘ลงทุนขนาดนี้ ลูกสตีฟหรือลูกนายกันแน่?’นั่นคือสิ่งที่โอลิเวอร์พูดในตอนนั้น ก็เข้าใจล่ะว่าสตีเฟ่นเป็นน้องรัก ลูกชายของสตีเฟ่นก็ต้องเป็นหลานรักเป็นธรรมดา แต่เพียงเพราะอยากเหยียบตาเฒ่าวิตถารที่เคยคิดจะแตะต้องหลานรักไว้ใต้ฝ่าเท้า ถึงกับยอมทุ่มเงินไปโดยไม่ต้องคิด แถมยังยกผลประโยชน์ที่จะได้ให้เขาอีก คงมีแต่เขากระมังที่อยู่นอกสายตาคนบูชาครอบครัวแบบฟรานเชสโก้
“แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นสตีฟ”
เสียงของพี่ชายดึงโอลิเวอร์กลับมายังปัจจุบัน มันก็จริงที่เด็กคนนั้นรู้ว่าบิดาโดยสายเลือดหน้าตาเป็นเช่นไร แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ชื่อเสียงเรียงนามอะไร และอยู่ที่ไหน แล้วโอลิเวอร์เอาอะไรไปมั่นใจถึงขนาดเข้าไปแสดงตัวกับเด็กเช่นนั้นกัน
“ใช่ ตอนแรกเขาไม่รู้ แต่ฉันก็เปิดโลกทัศน์เขานิดหน่อย”
คนพูดไหวไหล่ หยิบแก้วไวน์แล้วเดินกลับมาที่ชุดโซฟาภายในห้องพร้อมที่เปิดขวด ไม่สนสายตาพี่ที่มองตาม ของหายากเลยนะนี่ ห้องทำงานพี่ชายของเขานี่มันเยี่ยมจริง
“นายทำอะไร?”
คำถามนั้นทำให้โอลิเวอร์หัวเราะในลำคอ ขณะรินไวน์อย่างใจเย็น “ฉันนึกว่านายจะฉลาดและรู้ทันฉันไปทุกเรื่องเสียอีก”
“.........” สายตาคมดุนั่นจับจ้องผู้เป็นน้องชายนิ่ง
“ถ้านายยังตามเรื่องเด็กนั่นอยู่ นายน่าจะรู้ว่าเมื่อไม่นานมานี้เอวานพามันกลับไปเยี่ยมบ้าน ฉันก็เลยให้คนไปจ้างวานพี่สาวของเด็กนั่นให้ไปกระซิบบอกน้องชายผู้น่าสงสารเสียหน่อย เผื่อจะตาสว่าง จะได้รู้ว่าพ่อของมันลงไปนอนเน่าอยู่ใต้พื้นดินที่มันไปเหยียบทุกปี”
“เด็กคนนั้นก็ยอมทำตามที่คนของนายบอกให้ทำง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ?” ฟรานเชสโก้เอ่ยถาม อะไรมันจะง่ายดายขนาดนั้น
“ตอนแรกเธอก็สงสัยว่าจะทำไปเพื่ออะไร แต่คงคิดแล้วว่าไม่มีผลอะไรกับน้องชายที่น่ารัก ก็แค่ไปชื่นชมผู้ปกครองของเด็กมันให้ฟังว่าหล่อเหลา ร่ำรวย มีญาติพี่น้องแสนยิ่งใหญ่แบบไรท์ แถมได้ค่าขนมอีก ก็เลยยอมทำ”
“เพราะแบบนั้นนายก็เลยเข้าไปแสดงตัว?”
“นี่มันแค่เริ่มต้น” โอลิเวอร์ยังว่าอย่างไม่อนาทร
“ถ้ามีเวลาว่างมากนักก็ไปดูแลงานในส่วนของนายซะ ปรามคนของนายบ้าง อย่าเข้าไปวุ่นวายในส่วนของห้องอาหารและคลับ มีหน้าที่แค่ส่วนไหนก็ดูแลแค่ส่วนนั้น เละเทะไม่เป็นท่า”
ฟรานเชสโก้บ่นยาว เมื่อโอลิเวอร์ปล่อยให้ลูกน้องเข้ามาดูแลงานในส่วนที่เคยเป็นของมากาเร็ต และยังลามไปวุ่นวายในส่วนที่เป็นของเธอในปัจจุบันอีก
ช่วงที่ผ่านมา มากาเร็ตยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง เธอเองก็คงเหนื่อยที่ต้องมางัดกับโอลิเวอร์บ่อย ๆ จึงถอยออกไปบริหารจัดการแค่ส่วนห้องอาหารและคลับเฮาส์ โดยเทขายหุ้นส่วนหนึ่งซึ่งเป็นสิทธิ์ของเธอ แต่โอลิเวอร์โต้ว่าหุ้นส่วนนั้นมันเป็นของไรท์มาตั้งแต่แรก เรื่องอะไรต้องมาซื้อหุ้นที่มันเป็นของครอบครัวตัวเอง แต่ฟรานเชสโก้ที่อยากให้เรื่องมันจบจึงซื้อส่วนนั้นคืนมา ก่อนที่จะมีใครที่ไหนมาชุบมือเปิบไป ทำให้เวลานี้เขามีหุ้นในมือมากที่สุด และสามารถตัดสินใจแบบเบ็ดเสร็จได้หากจำเป็น
และเมื่อหุ้นส่วนที่ตนเองอยากได้ตกไปอยู่ในมือของพี่ชาย โอลิเวอร์ก็ไม่สามารถปริปากอะไรได้ การจะลุกขึ้นมาเป็นศัตรูกับคนสายเลือดเดียวกันมันมีแต่เสียกับเสีย เลยคิดเสียว่าอย่างน้อยมันก็ยังคงเป็นของไรท์ ไม่ใช่คนนอกเช่นมากาเร็ต
“ในเมื่อนายก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทำไมไม่จัดการสักที เด็กนั่นเป็นลูกชายน้องสุดที่รักของนายไง สายเลือดไรท์ก็ควรอยู่กับไรท์ นี่ฉันทำเพื่อนายนะ”
โอลิเวอร์ยุส่งขณะที่ในใจก็อดสงสัยไม่ได้เหมือนกัน ในเมื่อผู้เป็นพี่ชายรู้เรื่องนั้นมาก่อนเขาก็ตั้งนานแล้ว เหตุใดยังใจเย็นอยู่เป็นปี ๆ โดยไม่คิดจะขยับตัวทำอะไรเลย จนเด็กมันโตขนาดนี้แล้ว อีกหน่อยพอเด็กนั่นบรรลุนิติภาวะคงแตะไม่ได้แล้ว
“ถึงยังไงมันก็เป็นลูกสตีฟ ในฐานะพี่น้องฝั่งพ่อ เราตรวจดีเอ็นเอเพื่อครอบครองสิทธิ์เลี้ยงดูเด็กได้อยู่แล้ว” โอลิเวอร์ว่า
“นายกำลังฝันหวานอยู่รึไง?” ผู้เป็นพี่ชายสวนกลับมา “แน่นอนว่ามันตรวจได้ แล้วจะตรวจยังไง จะเดินเข้าไปขอมาดามเกวน เจฟเฟอร์สันที่รับรองบุตรบุญธรรมอย่างถูกต้องตามกฎหมายว่าขอพาเด็กไปตรวจดีเอ็นเอ คิดว่าเธอจะยอมเรอะ?”
“ไม่ยอมก็ใช้กฎหมายบังคับไปสิ” โอลิเวอร์ว่าอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องยาก
“บังคับยังไง จะเอาอะไรไปบังคับ?”
“.........” หัวคิ้วโอลิเวอร์ขมวดเมื่อฟรานเชสโก้เอาแต่ตั้งคำถาม
“ถ้าจะให้ถึงขั้นฟ้องร้องกัน ฉันก็จะถามนายอีกว่านายจะเอาอะไรไปฟ้อง แค่คำว่าสงสัยว่าจะใช่ ศาลไม่มีทางสั่งให้พิสูจน์เพียงเพราะมูลเหตุแค่นั้น ไม่งั้นอยู่ดี ๆ นึกอยากสงสัยว่าใครเป็นพ่อเป็นลูกก็ให้ศาลสั่งพิสูจน์กันได้ทั้งโลก”
“.........” โอลิเวอร์วางแก้วไวน์ในมือลงบนโต๊ะไม่เบานัก เอนหลังพิงพนักโซฟาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“ถ้าสมมติว่าเด็กคนนั้นคือสายเลือดของไรท์แต่ไม่มีกฎหมายรองรับ กว่านายจะดันขึ้นไปต่อกรกับมากาเร็ตได้ สู้นายปะทะกับเธอไปเลยยังได้ผลลัพธ์ที่เร็วกว่าเอาเด็กมาเป็นโล่เสียอีก” มองสีหน้าดื้อแพ่งของผู้เป็นน้องแล้วฟรานเชสโก้ก็ถอนใจ “ในเมื่อนายกลัวว่าจะมีคนมาแย่งผลประโยชน์ การเอาเด็กคนนั้นเข้ามา ผลประโยชน์ที่นายควรจะได้ไม่ต้องถูกแบ่งไปอีกหรอกเหรอ?”
“ถึงยังไงเด็กนั่นก็มีความเกี่ยวพันโดยสายเลือด ไม่เหมือนมากาเร็ต วิลสันที่เป็นคนอื่น แล้วอีกอย่าง เด็กกล่อมง่ายกว่าคนหัวแข็งแบบยายนั่น” โอลิเวอร์ยังว่า
“ถ้าเอาเด็กมาเพราะหวังเพียงผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้ พอโดนเชือดไป นายก็หาวิธีใหม่ เอวานไม่มีทางยอมปล่อยมาแน่” ฟรานเชสโก้ยังยกเหตุผลร้อยแปด
ขณะที่อีกคนท้าเหยง “นายจะกลัวอะไร เวสส์มันจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหนกันเชียว”
“ถ้ามีแค่เวสส์ก็คงไม่เท่าไร แต่ถ้ารวมเฟอร์ริงตันด้วย...”
“ใครมันจะยื่นเท้าเข้ามาเสือกให้ตัวเองมีปัญหา” ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบ โอลิเวอร์ก็แทรกขึ้นมาเสียงหยัน
“นายอาจจะลืมว่าเอวาน เวสส์ก็เป็นลูกรักของอเล็กซานเดอร์ เฟอร์ริงตัน เมื่อลูกของเขามีปัญหา นายคิดว่าเขาจะอยู่เฉยหรือเปล่า?”
“.........” ความจริงข้อนี้ทำให้โอลิเวอร์นิ่งไป เฟอร์ริงตันก็พวกบูชาครอบครัวไม่ต่างอะไรกับฟรานเชสโก้
“กับคนที่นายคบเพื่อผลประโยชน์ พอถึงเวลาจะมีใครยื่นมือเข้ามายุ่งสักกี่คนกัน ในขณะที่เอวานมีทั้งเวสส์และเฟอร์ริงตัน นายมีอะไรพอจะไปต่อกรได้ ไม่มีใครช่วยถ้านายไม่มีผลประโยชน์มากพอ”
“.........” ท่าทีคนเป็นน้องยังกระด้างกระเดื่อง ไม่อยากยอมแม้จะจนด้วยเหตุผลแล้วก็ตาม
“หุ้นในคาสิโนส่วนที่เป็นของเราสามคนพี่น้อง มันก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไป แถมเวลานี้กำลังไปได้สวยเพราะลูกค้าที่หลากหลายขึ้น ซึ่งมากาเร็ตก็มีส่วนไม่น้อย”
“.........”
“ฉันรู้ว่านายรู้ ถึงได้ยังปล่อยให้เธอลอยหน้าอยู่ที่นี่แบบที่นายพูดเสมอว่าไม่ชอบ จนฉันนึกว่าจะอยู่ร่วมกันได้แล้วเสียอีก”
“นายเป็นพวกรักสงบตั้งแต่เมื่อไร?” โอลิเวอร์รวน
“ฉันเคยไม่รักสงบด้วยเหรอ?” ผู้เป็นพี่ย้อน
ฟรานเชสโก้ก็เป็นแบบนี้ แค่ไม่แตะครอบครัวที่บูชายิ่งก็จะไม่มีปัญหากับคนอย่างฟรานเชสโก้ หากเห็นว่ามีประโยชน์ก็ปล่อยผ่าน รกหูรกตาก็ทำให้หายไปแบบเงียบ ๆ ไม่กระโตกกระตากแบบโอลิเวอร์
ภายในห้องทำงานของฟรานเชสโก้กลับสู่ความสงบอีกครั้งเมื่อโอลิเวอร์ออกไปแล้ว แก้วไวน์ที่หมอนั่นดื่มยังตั้งอยู่ที่เดิมพร้อมขวดและที่เปิด หนุ่มเจ้าของห้องถอนใจ หยิบขวดไวน์ไปเก็บที่เดิมแล้วเดินไปหลังโต๊ะทำงาน เปิดชั้นเก็บของข้างโต๊ะก่อนหยิบซองใส่เอกสารในนั้นออกมา
รูปถ่ายมากมายถูกเลื่อนออกมาจากซอง มือหนาค่อยหยิบมาดูทีละรูป เวลานี้เขาเหมือนเป็นโรคจิตที่ตามติดชีวิตเด็กในรูปไปแล้ว เด็กผู้ชายที่ค่อยเติบโตขึ้นท่ามกลางความสดใสจากรอยยิ้มของเจ้าตัว
เมื่อรู้สึกว่าเด็กในรูปเป็นหนึ่งในสายเลือดของไรท์ ฟรานเชสโก้ก็ไม่อยากทำอะไรรุนแรง จากที่ไม่พอใจและอยากเหยียบย่ำสิ่งที่เกิดมาจากความรักจอมปลอมที่น้องชายเทิดทูนนักหนากระทั่งยอมทิ้งทุกอย่างไป แต่เมื่อคอยเฝ้ามองและเห็นว่าเด็กคนนั้น คนที่มีสายเลือดของไรท์ไหลเวียนอยู่ไม่ต่างจากเขากำลังมีชีวิตที่ดี หากเขาดึงเข้ามาในวังวนของความกระหายอยากที่ไม่มีวันจบสิ้น รอยยิ้มที่เขาเห็นอยู่ในวันนี้ก็จะไม่มีทางได้เห็นมันอีกต่อไป
เหตุที่สตีเฟ่นปิดบังซ่อนเร้นก็เพราะไม่อยากให้เขาไปดึงเด็กคนนั้นมา เพราะตัวสตีเฟ่นเองไม่เคยชอบการแก่งแย่งและอยากหนีไปให้ไกลสุดหล้า แต่ทำไม่สำเร็จ มีหรือที่จะอยากให้ลูกของตัวเองต้องมาแปดเปื้อน ต้องเข้ามารับช่วงต่อในสิ่งที่ตัวเองเคยผ่านพ้นมาและรู้ดีว่ามันสกปรกแค่ไหน
ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ฟรานเชสโก้เอาแต่เฝ้าดูเด็กคนนี้อยู่ห่าง ๆ รอยยิ้มที่ปรากฏบนรูปถ่ายช่างคุ้นตา มันช่างเหมือน เหมือนจนเกินไป ราวเห็นภาพทับซ้อนของผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่หยิ่งทะนง แม้แทบจะหมดสิ้นหนทางกลับยังเชื่อในอานุภาพของคำว่ารักจนน่าขำ
ใช่ น่าขำ เขานี่ล่ะที่น่าขำ น่าขำสิ้นดีที่เพิ่งรู้ว่าได้ทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดลงไปโดยไม่สามารถแก้ไขมันได้อีก...
..........
เครื่องบันทึกเสียงถูกนำออกมาจากกล่องเก็บของที่เอวานเกือบจะทิ้งไปแล้ว ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา หลังจากเปิดฟังไปเพียงครั้งเดียว เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับมันอีกเลย จนกระทั่งตอนนี้
เอวานเดินเข้าไปหาเด็กที่นั่งเหม่ออยู่บนเตียงนอนของเขา หลังจากที่เขาสารภาพทุกอย่างไป กลิ่นแก้วไม่ได้พูดอะไรนอกจากร้องไห้อยู่เงียบ ๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร จะเชื่อที่เขาพูดไหม หรือรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังดีหน่อยที่ยอมตามเขากลับมาโดยดี
ตัวสูงใหญ่ค่อยนั่งลงบนเตียง ส่งเครื่องบันทึกเสียงที่ไม่รู้ว่ายังใช้การได้อยู่ไหมไปให้เด็กข้างกาย กลิ่นแก้วนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ถึงค่อยหันมามองมันด้วยแววตาว่างเปล่า
“คำขอของสตีฟ ฉันได้มันมาในวันที่เขาหมดลมหายใจไปแล้ว”
“.........” ดวงตาที่ช้ำจากการร้องไห้มองสิ่งที่อยู่ในมือเอวานนิ่ง
“เธอพูดถูก เขาไม่อยู่ฟังคำปฏิเสธของฉันจริง ๆ” เอวานยังคงพูด ในขณะที่อีกคนไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใด “เธออยากฟังมันไหม?”
มองนิ่งอยู่นานกลิ่นแก้วถึงได้รับของชิ้นนั้นไป แต่ก็ถือเอาไว้บนหน้าตัก ไม่ได้คิดจะสนใจมันไปมากกว่านั้น พวกเขาต่างนั่งเงียบเมื่อเอวานไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะสิ่งที่อยากพูด เขาก็ได้พูดไปหมดแล้วที่สุสานนั่น ก็สุดแท้แต่ว่ากลิ่นแก้วจะคิดอย่างไร
“คุณช่วยเล่าให้ฟังได้ไหมครับ?”
เป็นนานกว่ากลิ่นแก้วจะพูดขึ้นมา เอวานจึงค่อยหันมามอง สบเข้ากับตากลมที่ช้อนมองเขาอยู่ก่อนแล้วขณะฟังคำขอ
“เรื่องของพวกเขา... เรื่องพ่อกับแม่ของผม”
กลิ่นแก้วรู้ว่าตนไม่ใช่ลูกชายโดยสายเลือดของแคทเธอรีน เดลลาร์ เคยถูกเพื่อนล้อบ่อยครั้งที่ไม่เหมือนใครในครอบครัวเลย แต่แคทเธอรีนก็คอยปลอบโยนและบอกอยู่เสมอว่าเขาเป็นลูก ไม่ว่าใครจะพูดเช่นไร เขาก็เป็นลูกของเธอ หากเขาเก็บคำพูดของคนเหล่านั้นมาใส่ใจ แสดงว่าเขานึกเสียใจที่เป็นลูกของเธอ นั่นทำให้กลิ่นแก้วไม่ใส่ใจกับคำพูดของใครที่ไหนอีก จะเป็นมารดาที่แท้จริงหรือไม่แล้วอย่างไรล่ะ เพราะคนที่อุ้มชูและรักเขามากกว่าใครก็คือเธอคนนี้ แคทเธอรีน เดลลาร์ คนนี้คนเดียว
ช่วงที่ต้องย้ายมาอยู่กับน้าชายเช่นนายเจค กลิ่นแก้วเคยคิด เคยเฝ้าคิดว่าเหตุใดตนจึงไร้พ่อขาดแม่ ทั้งสองคนไม่ต้องการเขาหรือ เขาจึงถูกทอดทิ้ง แต่เมื่อได้รู้ว่าผู้เป็นบิดาที่แท้จริงอย่างสตีเฟ่น ไรท์เฝ้าตามหา นั่นทำให้กลิ่นแก้วรู้ว่าตนไม่ได้ไม่เป็นที่ต้องการ แต่มีเหตุให้ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ทำให้เกิดความอยากรู้ว่ามารดาที่แท้จริงของตนคือใคร และอดคาดหวังไม่ได้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ คาดหวังให้ใครสักคนที่สำคัญในชีวิตยังมีลมหายใจ แต่ก็คงได้แค่หวังเมื่อเอวานบอกว่าคนคนนั้นไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป
เรื่องมารดาของกลิ่นแก้ว เอวานรู้เพียงว่าเธอชื่อกิ่งกานต์ หญิงชาวเอเชียที่ถูกนายหน้าหลอกมาทำงานและปล่อยลอยแพ เธอเจอกับสตีเฟ่นได้อย่างไรนั้นเขาไม่รู้ แต่สตีเฟ่นดูจะรักเธอมากจนคิดวางมือจากทุกอย่างแล้วไปใช้ชีวิตด้วยกันที่ประเทศของเธอ ชีวิตที่สงบสุข ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องแก่งแย่ง แต่สิ่งที่วาดฝันไว้กลับไม่เป็นไปตามต้องการ เมื่อทั้งคู่ถูกไรท์จับแยกกัน สตีเฟ่นยอมกลับไรท์และทำทุกอย่างตามที่สั่งเพื่อแลกกับความปลอดภัยของสาวคนรัก โดยที่ไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้นเธอเป็นอยู่อย่างไร จะได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนอย่างที่คาดหวังไหม
กระทั่งเวลาผันผ่าน สตีเฟ่นก็ได้รับรูปถ่ายของลูกน้อยโดยไม่รู้ที่มา แต่นั่นทำให้เขาได้รู้ว่ากิ่งกานต์ไม่ได้ไปจากที่นี่ จึงได้ให้คนสนิทช่วยสืบหา แต่กว่าจะพบก็สายไป เมื่อเธอเสียชีวิตไปแล้ว และไม่รู้ว่าลูกของเธอกับเขาไปอยู่ที่ไหน
สตีเฟ่นหมดอาลัยในชีวิต อาการป่วยไข้ทางใจมันรักษาไม่หายจนส่งผลมาถึงร่างกาย จากคนเคยแข็งแรงกลับโรยราแทบไม่อยากหายใจให้เหนื่อยหนัก แต่เมื่อนึกถึงลูกน้อยที่ไม่รู้ดีร้ายอย่างไรจึงฮึดสู้ต่อโรคภัย จนได้รู้ว่าเด็กน้อยคนนั้นอยู่กับแคทเธอรีน เดลลาร์ และเอวานก็มารับไม้ต่อ
“วันที่เราเจอกันมันคือความบังเอิญ” เอวานเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีตที่ยังจำได้ดี “ฉันกำลังจะไปที่เดลลาร์ ดี เพราะหลังจากที่สตีฟขอให้ตามหาเธอต่อ ฉันก็ได้ข้อมูลมาว่าเธออาศัยอยู่ที่ร้านนั่น ซึ่งมันก็เป็นความโชคดีอยู่อย่างที่ได้เจอกับเธอตอนนั้นพอดี เพราะไม่อย่างนั้นเราคงคลาดกันไปอีก”
ถึงตรงนี้กลิ่นแก้วรู้สึกอยากขอบคุณความบังเอิญนั้นเหลือเกิน หากไม่เจอกับเอวานในวันนั้น เขายังไม่รู้เลยว่าจะเป็นเช่นไร ต้องกลับไปเผชิญชะตากรรมแบบไหน หรือต้องระหกระเหเร่ร่อนไปที่ใด
“ตอนนั้นเขาบอกกับฉันแค่ว่าอยากเจอเธอสักครั้ง ก่อนที่จะจากโลกนี้ไปไม่มีวันกลับ”
ได้รู้แบบนั้นแล้วกลิ่นแก้วก็สะท้อนในอก รู้สึกเจ็บร้าวเมื่อเรื่องที่ตนเองกำลังฟังคือเรื่องของบิดาซึ่งไม่มีโอกาสจะได้พบเจอกันอีกแล้ว นอกจากคำบอกเล่าเหล่านี้
“คุณก็เลยช่วยเขาตามหาผมเหรอครับ?”
เอวานถอนหายใจ “เขาเป็นทุกข์”
“.........”
“และฉันคิดว่ามันคงเป็นความปรารถนาเดียวในชีวิตของเขา เขามีลมหายใจอยู่เพื่อรอเธอ”
“.........” มือเรียวกำเข้าหากัน ทำให้ของที่ถืออยู่กดกับผิวเนื้อจนเจ็บ คำว่ามีลมหายใจอยู่เพื่อรอเขา มันกระทบใจรุนแรงเหลือเกิน
“แต่เอาเข้าจริงฉันกลับโดนต้มซะเปื่อย” เอวานยิ้มขันเมื่อนึกถึงมัน ก่อนนี้เขายังเจ็บปวด โกรธเกรี้ยว เคืองขุ่น สารพัดจะเป็น แต่เมื่อเวลาผ่านพ้น กลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องตลก “หมอนั่นรู้ดีว่าเธออยู่ที่ไหน และคอยดูแลเธออยู่ห่าง ๆ มาตลอด แต่เพราะเขากำลังจะตาย เลยคาดหวังที่จะให้ใครสักคนมาดูแลเธอต่อจากเขา คนที่จะปกป้องเธอได้ คนที่พอจะคานอำนาจไรท์ได้ และฉันก็ดันกลายเป็นคนที่ถูกเลือก”
กลิ่นแก้วพอเข้าใจความรู้สึกของเอวาน การตกเป็นเบี้ยล่าง การถูกหลอกใช้และปั่นหัว ไม่แปลกอะไรที่เอวานจะโกรธ แต่สุดท้ายความโกรธเหล่านั้นกลับหาที่ลงไม่ได้ เพราะคนต้นเรื่องไม่อยู่แล้ว ทิ้งไว้เพียงปัญหากับภาระที่หนักอึ้ง
“ฉันเคยไม่พอใจที่เขามันเจ้าเล่ห์ วางแผนสารพัดเพื่อมัดมือชกฉัน แต่วันนี้ฉันกลับรู้สึกขอบคุณ”
อุ้งมือใหญ่ค่อยสัมผัสข้างแก้มเนียน ปลายนิ้วปัดไล้เบา ๆ ขณะที่สายตาของทั้งคู่สบกันด้วยความรู้สึกที่ต่างไป
“ถ้าไม่ใช่เพราะสตีฟ ฉันคงไม่ได้เจอเธอ”
“..........” น้ำตาที่คิดว่ามันหยุดไหลไปแล้วกลับร่วงผล็อยลงมาอีก
“อย่าร้องไห้ เพราะมันทำให้ฉันปวดใจทุกทีที่สาเหตุของการร้องไห้มันมาจากฉัน”
กายสูงใหญ่ค่อยโน้มไปหา กดจูบซับน้ำตาที่ไหลเคลียแก้ม ค่อยเลื่อนมายังริมฝีปาก กดย้ำลงไปอย่างต้องการปลอบประโลม ต่อเมื่อริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นรับจูบ เอวานจึงค่อยบดเบียดกลีบปากนุ่มช้า ๆ...
..........
หลังจากเหตุการณ์นั้นก็ดูเหมือนทุกอย่างจะยังดำเนินไปเป็นปรกติ แต่ในความรู้สึกส่วนลึกกลับไม่ค่อยปรกติสักเท่าไรนัก เมื่อการหักห้ามใจดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับเอวาน สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงความเผลอไผล เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง เขาควรจะหยุดเมื่อได้สติ แต่เขากลับยังปล่อยให้มันเป็นไป ทั้งที่เคยบอกกับกลิ่นแก้วแล้วว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก
“อยากเรียนศิลปะป้องกันตัว?”
เหมือนว่าเอวานจะกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ได้ไม่นานก็มีเรื่องใหม่มาให้คิดแทน เมื่อวันหนึ่งกลิ่นแก้วก็มาขออนุญาตไปเรียนการต่อสู้ป้องกันตัว ด้วยเหตุผลที่ว่าอย่างน้อยก็ช่วยเหลือตัวเองเวลาคับขันได้ ช่วงนี้มีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้นบ่อย ตอนเจอโอลิเวอร์ก็รู้สึกเป็นภาระให้ทอมัสต้องพะวงกับเด็กที่ไม่รู้จักเอาตัวรอดแบบตนเอง
“เฟอร์ริงตันมีสถานที่ฝึกเฉพาะทางเอาไว้ฝึกบอดีการ์ด แต่ถ้าเธอแค่อยากรู้วิธีป้องกันตัวขั้นพื้นฐาน ฉันก็จะขอเซย์ให้” เอวานว่าอย่างนั้น หลังจากนิ่งฟังเหตุผลจากเด็กของตนอยู่สักพัก
กลิ่นแก้วออกจะแปลกใจที่อีกฝ่ายยอมง่าย ๆ แต่เมื่อได้ยินชื่อเฟอร์ริงตันก็เริ่มจะไม่แปลกใจแล้ว เอวานยอม แต่ก็ยังมีข้อแม้เหมือนเดิม
“ไม่ต้องถึงขั้นเฟอร์ริงตันก็ได้มั้งครับ แค่โรงเรียนสอนศิลปะป้องกันตัวธรรมดาก็ได้”
“ฉันไว้ใจที่นี่มากกว่า”
“.........” จะแย้งอะไรได้ ก็คุณเขาพูดมาแบบนั้นแล้ว เอาเถอะ ก็ยังดีกว่าไม่ได้ไปล่ะนะ
อันที่จริงโรงเรียนประเภทนี้ก็มีให้เลือกมากมาย ที่ที่เอวานไปฝึกมือบ่อย ๆ ก็ไม่เลวนัก แต่อย่างที่บอก หากจะปล่อยเด็กให้ไปไกลตา เขาก็ไว้ใจเซย์มากกว่า ถึงแม้จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเด็กของเขา แต่ก็ยังถือว่าสนิทกันอยู่
ทางด้านโอลิเวอร์ที่โผล่มาจนเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อคราวนั้น ช่วงนี้กลับเงียบหายไปราวไม่เคยมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นมาก่อน บทจะมาก็มา บทจะหายก็หาย พอนิ่งนอนใจหน่อยก็คงโผล่มาอีก ไม่น่าไว้ใจเลยจริง ๆ
เอวานติดต่อเซย์เรื่องจะให้เด็กไปเรียนป้องกันตัว ซึ่งอีกฝ่ายก็ว่าจะช่วยดูให้ ช่วงนี้ยังไม่เปิดภาคเรียนใหม่ทำให้กลิ่นแก้วไปสถานฝึกบอดีการ์ดของเฟอร์ริงตันทุกวัน ตอนแรกเอวานก็เห็นดีด้วยอยู่หรอก แต่พอนานวันเข้ากลับรู้สึกว่าไม่น่าให้ไปเลย เพราะมันกลายเป็นข้ออ้างที่กลิ่นแก้วเอามาใช้ในการหลบหน้าเขา
ปรกติถ้าได้ไปโรงเรียน เวลาเขากลับเจฟเฟอร์สันช่วงวันหยุด กลิ่นแก้วจะต้องมาหา มาพูดเรื่องที่โรงเรียนให้ฟัง หรือแม้แต่ช่วงปิดภาคเรียนแล้วไปช่วยงานมารดาของเขาก็ยังมีเรื่องมาเจื้อยแจ้วให้ฟังทุกที แต่หลังจากไปเรียนศิลปะป้องกันตัวอะไรนั่นก็ไม่ค่อยได้เห็นหน้า อ้างว่าเหนื่อยบ้าง อยากพักผ่อนบ้าง หรือบางครั้งก็ออกงานสังคมกับมารดาของเขา กลับดึกก็ง่วง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เพราะวันธรรมดาเขาไม่ได้กลับมานอนที่เจฟเฟอร์สัน ได้กลับเฉพาะช่วงเย็นของวันหยุด และออกไปทำงานในเช้าวันธรรมดา ทำให้เวลาเจอกันที่มันค่อนข้างน้อยยิ่งน้อยขึ้นไปอีก
...หรือบางที การอยู่ห่างจากเขาอาจจะดีกับกลิ่นแก้วมากกว่าก็ได้...
.........