บทที่ 15
เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับกานต์ต่อไปดี ทั้งๆที่คิดว่าถ้าพาไปกินข้าวที่บ้านแล้วกานต์คงจะหายงอนผม แต่พอกลายมาเป็นแบบนี้ผมก็รู้สึกท้อใจเหมือนกัน
ผมไม่เข้าใจว่ากานต์จะโกรธอะไรผมนักหนา ทั้งๆที่ทั้งหมดก็เพื่อให้เขาเห็นว่าผมพยายามแสดงว่าเขาเป็นแฟนผมอย่างที่เขาต้องการ กานต์บอกว่าไม่ชอบกานเซอร์ไพรส์ เขาคงคิดว่าผมกำลังจะแกล้งเขา แต่พอสุดท้ายแล้วมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วทำไมเขายังถึงโกรธผมอยู่
ผมขับรถไปเรื่อยๆพร้อมกับความคิดในหัวที่วนไปวนมา จนกระทั่งมาถึงหอกานต์ ผมเห็นเขายืนรออยู่ที่หน้าหอ พอรถผมเทียบจอดเขาก็เปิดประตูรถเข้ามานั่งโดยที่ไม่พูดอะไรกับผมเลยสักคำและยังคงไม่สนใจผมจนถึงมหาวิทยาลัย ผมไม่ชอบบรรยากาศอย่างนี้เลยจริงๆ อุตส่าห์หาไปตั้งนานแล้วไม่น่ากลับมาอีกเลย ผมรู้สึกเหมือนว่าผมกำลังจะเป็นบ้า ครั้งนี้ผมจะไม่ยอมแล้ว ผมจะไม่ปล่อยให้กานต์เป็นฝ่ายกระทำเพียงฝ่ายเดียว
“กานต์” ผมเรียกหลังจากที่เราทั้งคู่ลงมาจากรถแล้ว แต่กานต์เดินนำผมไปเลยโดยไม่มีทีท่ารับรู้ว่าผมเรียกแต่อย่างใด ผมจึงวิ่งเข้าไปหาและดึงแขนกานต์ไว้
“กานต์ไม่ได้ยินเฟยเรียกเหรอ” ผมถามแต่เขาแค่หันมามองผมเฉยๆ
“บอกเฟยหย่อยได้ไหม ว่าเฟยทำอะไรผิด” ผมว่า
“เมื่อวานเราก็บอกเฟยไปแล้วไงจำไม่ได้เหรอ” กานต์ตอบ
“เฟยจำได้แต่เฟยไม่เข้าใจ” กานต์เงียบเหมือนไม่สนใจสิ่งที่ผมเพิ่งพูดไปเลย
“เฟยรู้ว่าเฟยผิดที่ไปต่อยไอ้แก็ปมัน เฟยรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องของเฟยที่จะเข้าไปยุ่ง แต่กานต์จะให้เฟยทนดูไอ้แก็ปมันลากป๊อบอย่างนั้นเหรอ” แต่กานต์ก็ยังคงเงียบเหมือนเดิม
“แค่เพื่อนจริงๆ” ผมเสริม
“แล้วเราหล่ะเฟย จำได้ไหมว่าวันนั้นโมโหแล้วพูดอะไรกับเรา” กานต์ถามผมเสียงจริงจัง
“ก็เพราะรู้ไงว่านั้นเฟยทำไม่ดีกับกานต์ ก็เลยพาไปกินข้าวเป็นการขอโทษไง” ผมว่าเสียงอ่อน แต่การเบือนหน้าหนีหันไปทางอื่น
“เฟยขอโทษสำหรับทุกอย่างที่เคยทำไม่ดีกับกานต์ เฟยยอมแล้วจะให้ทำอะไรก็ได้ แต่หายโกรธเฟยเถอะนะ” ผมว่า ส่วนกานต์แค่หันมามองผม เสยผมที่ปิดหน้าเขาไว้ก่อนจะหันหน้าทางอื่นอีกครั้ง
ผมหยุดพูดเพราะหวังกานต์จะพูดอะไรออกมาบ้างแต่เขาแค่ถอนหายใจเท่านั้น ผมมองเขาที่กำลังทำเป็นไม่สนใจอยู่ ผมต้องทำยังไงถึงกานต์ถึงจะพอใจ ที่ผ่านมาผมรู้ว่ามันยังดีไม่พอแต่ผมก็พยายามอยู่เขาน่าจะเห็นใจผมบ้าง
“ไหนกานต์ว่าอยากจะให้กานต์ทำตัวเป็นแฟนกับกานต์ไม่ใช่เหรอ” ผมเริ่มพูดอีกครั้ง
“เฟยกำลังตั้งใจทำอยู่ มันอาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวกันบ้าง แต่ทำไมเหมือนว่าเฟยทำอยู่แค่ฝ่ายเดียว” ผมมองหน้ากานต์ที่ตอนนี้หันมามองผมแล้ว สายตาที่เขามองผมก็ดูอ่อนลง
“บางทีเฟยก็รู้สึกเหนื่อย” ผมพูดจบก็เดินมุ่งหน้าขึ้นตึกเรียนโดยไม่ได้หันมามองว่ากานต์มีปฏิกิริยาอย่างไร
*****
“มึงทะเลาะกับกานต์มาเหรอว่ะ” ปลายถามผมระหว่างที่กำลังเก็บของเตรียมกลับบ้าน
“อือ” ผมตอบ
“งั้นเย็นนี้ไปหาเบียร์เย็นๆกินกันดีกว่า” ผมส่ายหัวให้มันเพราะหลงนึกกว่ามันจะให้คำปรึกษาหรือพูดแสดงความเห็นใจกับผม
“ได้” แต่ผมก็ตอบตกลงมันโดยไม่ได้คิดอะไรมาก ก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนไป เมื่อผมเดินออกมาพ้นประตูก็เจอกานต์ยืนรออยู่แล้ว พอกานต์เห็นผมเขาก็รีบเดินเข้ามาหา
“วันนี้ไปกินชาบูกันไหม” กานต์ยิ้ม
“คงไม่ได้วันนี้เฟยมีนัดกับพวกไอ้ปลายแล้ว” ผมพูดจบก็เดินผ่านกานต์ไปเลย
“เฟย” กานต์ดึงแขนเสื้อผมไว้
“มีอะไร” ผมหันมาหากานต์แต่ไม่ได้มองหน้าเขาเลย
“เฟย” กานต์ชื่อผมซ้ำเสียงอ่อน แต่พอผมไม่ได้พูดตอบอะไรกานต์เลยปล่อยมือที่จับแขนเสื้อผม จากนั้นผมก็เดินจากานต์อีกครั้งโดยไม่พูดอะไรเลย
ตกเย็นผมไปกินเบียร์กับพวกไอ้ปลายตามที่ตกลงไว้ ร้านที่ผมไปก็เป็นร้านที่พวกผมไปประจำเวลาที่นัดกันไปดูบอลหรือเวลาที่อยากจะนั่งคุยกันเพราะร้านเป็นแบบเปิดโล่ง เลยไม่อึดอัดเหมาะแก่การนั่งชิลฟังเพลง จิบเบียร์ไปเรื่อยๆ แต่วันนี้ผมเน้นเป็นผู้ฟังเพราะไม่ค่อยมีอารมณ์อยากจะพูดสักเท่าไหร่
“มึงยังไม่ได้เคลียร์กับกานต์อีกเหรอวะ” ไอ้ปลายหันมาถามผม
“ทำไมวะ” ผมย้อมถามมันกลับ
“ก็กูเห็นกานต์เมื่อตอนเย็น ดูหน้าจ๋อยๆ พอกูทักก็ยิ้มแหยๆมาให้” ปลายว่า ผมได้แต่ฟังไม่ได้ตอบอะไรมันไป แค่กระดกเบียร์ดื่ม
ปกติเวลาผมมีเรื่องไม่สบายใจส่วนใหญ่ผมก็จะเราให้พวกมันฟังเพราะเราสนิทกันมากแต่สำหรับเรื่องนี้คงไม่ได้จริงๆ เพราะผมไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง แค่พวกมันไม่ว่าอะไรที่อยู่ดีดีผมก็มีแฟนเป็นผู้ชายผมก็รู้สึกโล่งใจมากแล้ว แต่จะให้ผมไปบอกว่าทั้งหมดที่เป็นแบบนี้เพราะกานต์ขู่ผมว่าจะปล่อยคลิปหากไม่ยอมตกลงคบกันเป็นแฟน คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
ผมเริ่มมึนๆบ้างแล้ว จึงขอตัวกลับก่อน แต่ความจริงแล้วผมไม่ได้กลับบ้าน ผมตั้งใจจะไปหากานต์ เพราะอยากจะเคลียร์ปัญหาให้มันจบๆไป ผมขับรถมาไม่นานก็มาถึงหอของกานต์ พอผมจอดรถเรียบร้อยก็เดินมาที่ประตูทางเข้าพร้อมกับกดโทรศัพท์โทรออกหากานต์
“ว่าไงเฟย” กานต์ทักผม
“มีอะไรหรือเปล่าเฟย” กานต์เมื่อผมเงียบไม่ได้ตอบอะไรเขาไป
“คืนนี้เฟยของค้างหอกานต์นะ” ผมบอก
“ทำไมล่ะ” กานต์ถาม
“เฟยอยู่ข้างล่างหอแล้ว ลงมาเปิดประตูให้เฟยหน่อย” ผมพูดต่อโดยไม่สนใจที่กานต์ถาม เขาเงียบคงจะกำลังคิดว่าผมจะทำอะไรถึงมาขอค้างที่หอคืนนี้
“งั้นรอเราแป็บหนึ่งนะ” กานต์บอกผมก่อนจะกดวางสายไป
ไม่นานกานต์ก็ลงมาเปิดประตูให้ผม เขาขมวดคิ้วนิดหนึ่งเมื่อเห็นว่าผมมีอาการมึนๆแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร กานต์เดินนำผมไปยังห้องเงียบๆโดยผมก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
“ตามสบายเลยนะ” กานต์หันมาบอกผมก่อนจะเดินเข้าห้องไป
ผมเดินตามหลังกานต์เข้าห้อง ครั้งนี้จะนับเป็นครั้งที่สองก็ได้ที่ผมมาที่ห้องนี้ถึงแม้ว่าครั้งแรกผมจะจำอะไรไม่ค่อยได้ก็ตาม ผมมองไปรอบๆห้องระหว่างที่เดินมาที่โต๊ะจีนตัวเล็กที่ตั้งอยู่เยื้องๆกับเตียงนอน ห้องกานต์ไม่ได้ใหญ่มากนักแต่มีห้องน้ำในตัว แถมยังมีระเบียงเล็กอยู่ด้วย ข้างๆเตียงมีโต๊ะหนังสือซึ่งพอผมมองดีก็รู้สึกว่ากล้องที่ถ่ายผมคืนนั้นก็จะตั้งอยู่บนโต๊ะตัวนี้ แต่ตอนนี้มีเพียงโน้ตบุ๊กกับกองหนังสือวางอยู่
“บอกที่บ้านแล้วหรือยังว่าจะมานอนห้องเรา” กานต์มองหน้าผมสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย
“บอกแล้ว” ผมตอบ
“งั้นอาบน้ำก่อนดีกว่า จะได้หายมึน” กานต์พูดจบก็ลุกขึ้นไปค้นเอาผ้าขนหนู เสื้อ กางเกงและแปรงสีฟัน ออกมาให้ผมจากตู้เสื้อผ้า
“โชคดียังเหลือแปรงสีฟันที่เราซื้อมาอยู่” กานต์ยื่นของทั้งหมดให้ผม
ผมรับของแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไป น้ำเย็นๆช่วงไล่อาการมึนไปได้บ้าง ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นานนัก พอออกมาผมก็เห็นกานต์นั่งเล่นโน้ตบุ๊กอยู่ ผมเดินผ่านกานต์มานั่งเช็ดหัวที่ปลายเตียง
“ให้เราเช็ดหัวให้ไหม” กานต์หันมาถามผม ผมพยักหน้าแทนคำตอบ กานต์จึงหยิบผ้าขนหนูจากมือผมไปแล้วเริ่มต้นเช็ดหัวให้ผม
“ขับรถทั้งที่เมาๆอย่างนี้ไม่ดีเลยนะ” กานต์บ่น ผมแค่ฟังอย่างเดียวไม่ได้ตอบอะไรทั้งที่ผมคิดว่าผมไม่ได้เมาอะไรแค่มึนๆเฉย แต่ยอมรับว่าไม่ดีที่ขับรถในสภาพที่ไม่พร้อมอย่างนี้
“หิวข้าวหรือเปล่า” กานต์ถาม แต่มือเขายังคงขยี้ผมของผมไปเรื่อยๆ
“เฟย ยังไม่หายโกรธเราเหรอ” กานต์ถามผมหลังจากที่ผมไม่ได้ตอบอะไรเขาเลย
“เรางี่เง่ามากไปเองแหละ” กานต์ว่า
“เราขอโทษนะ” กานต์พูดก่อนจะเงียบไป
หลังจากนั้นทั้งห้องก็มีแต่ความเงียบและความรู้สึกอึดอัด แต่ผมรู้สึกว่าครั้งนี้คนที่ปล่อยรังสีความอึมครึมก็คือผมไม่ใช่กานต์
“ผมแห้งแล้ว เดี๋ยวเราเอาผ้าไปตากก่อนนะ” กานต์ว่าก่อนจะลุกออกไปที่ระเบียง ผมมองตามกานต์ไปแล้วก็ถอนหายใจเพราะรู้สึกโมโหตัวเองที่ทำตัวงี่เง่า ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะมาเคลียร์ปัญหาแต่ตัวผมเองกลับทำตัวเป็นปัญหาไม่ยอมพูดเสียเอง
“ถ้าง่วงก็นอนก่อนได้เลยนะ หรือถ้าจะดูโทรทัศน์ รีโมตอยู่ตรงหัวเตียงนะ” กานต์ยิ้มเจื่อนๆให้ผม ก่อนจะหันไปหาโน้ตบุ๊ก ผมนั่งอยู่แบบนั้นสักพักแล้วก็ล้มตัวลงนอนมองดูกานต์แล้วก็หลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่กานต์เขย่าตัวปลุกผมในตอนเช้า
“ตื่นได้แล้วเฟย” กานต์เรียกผม
“อือ” ผมครางตอบ
“ตื่นได้แล้วเฟย” กานต์ว่าพร้อมเขย่าตัวผม
“ขออีกห้านาที” ผมบอกกานต์แล้วก็พลิกตัวคว่ำหน้านอนต่อ
*****
การคัดตัวผู้ถือคฑาเดินนำขบวนสำหรับกีฬามหาวิทยาลัยปีนี้มาถึงแล้ว ผมเองในฐานะที่เป็นตัวแทนเมื่อปีที่แล้วจึงมีหน้าที่มาช่วยในการคัดเลือกและการซ้อมอย่างเลี่ยงไม่ได้ และนั่นทำให้ผมกลับมาเจอป๊อบอีกครั้ง เราต่างไม่ได้พูดคุยอะไรกันเพียงแค่ยิ้มทกทายกันเท่านั้น ผมหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้และสถานการณ์ที่จะก่อให้เกิดการสนทนา ส่วนป๊อบเองถึงแม้ว่าจะไม่ได้เมินผมไปเลยสักทีเดียวแต่เขาก็ระวังตัวไม่เข้ามาใกล้ผมเช่นกัน แต่ผมก็รู้สึกว่ามันดีแล้วที่เป็นอย่างนี้ เพราะอย่างน้อยกานต์ก็จะไม่ได้เอาป๊อบมาเป็นสาเหตุในการหาเรื่องผมอีก ซึ่งอันที่จริงผมต่างหากที่กำลังทำตัวมีปัญหาอยู่
พอผมต้องมาใช้เวลาเกือบทุกเย็นมาฝึกซ้อมให้ผู้ถือคฑารุ่นใหม่ บางวันกานต์จึงต้องกลับบ้านเองอย่างเสียไม่ได้ และผมก็ยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกับเขาเลย
“กานต์วันนี้รีบกลับหรือเปล่า” ผมถามระหว่างที่เรากำลังกินข้าวกลางวันกันอยู่
“ไม่ได้รีบไปไหนนะ” กานต์เงยหน้าขึ้นมามองผม
“งั้นวันนี้รอเฟยได้ไหม เฟยจะได้ขับรถไปส่งกานต์ที่หอ” ผมว่า
“ไม่ดีกว่า” กานต์ตอบแทบจะทันที ผมได้แต่มองหน้ากานต์อย่างเงียบๆ รู้สึกน้อยใจเล็กๆที่ถูกปฏิเสธ ผมเลยตั้งหน้าตั้งตากินข้าวโดยไม่พูดกับกานต์อีกเลย จนกว่าเขาจะรู้ตัวก็ระหว่างที่เรากำลังเดินกลับตึกเรียนกัน
“เฟย รีบไปไหนเนี่ย” กานต์เรียกถามผมจากด้านหลังเพราะว่าผมเดินนำหน้าเขาอยู่ ผมได้ยินที่กานต์เรียกแต่ไม่ได้หยุดเดิน
“เฟย” กานต์คว้ามือผมไว้ ผมเลยต้องหันไปหาเขาตามแรงดึก
“เปล่า” ผมตอบแต่กานต์ยังคงจับมือผมอยู่
“งอนอะไรเราเนี่ย” กานต์ถาม ส่วนผมแอบยิ้มในใจ
“เฟย” กานต์เรียกผมเสียงอ่อน
“ก็น้อยใจนิดหน่อย” ผมพูดเร็ว
“น้อยใจเหรอ” กานต์ทวน
“ก็กานต์ไม่เห็นจะสนใจเฟยเลย เมินเฟยตลอด อีกอย่างตั้งแต่เกิดเรื่องกานต์ไม่เห็นถามเฟยสักคำว่าเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ผมว่า
“แถมยังมาโกรธเฟยอีก” ผมเสริม
“เราขอโทษที่งี่เง่าเรื่องที่เฟยพาไปกินข้าวที่บ้าน” กานต์ว่า
“แต่เรื่องที่เฟยไปต่อยกับแก็ป เราไม่สนใจหรอกนะว่าเฟยจะเจ็บหรือเปล่า” กานต์เสริมเสียงดุ
“ทำไม เพราะเฟยไปต่อยไอ้แก็ปใช่ไหมหรือว่าเพราะป๊อบ” ผมถาม
“ไม่เกี่ยวกับป๊อบแล้วก็ไม่ใช่เพราะแก็ป แต่เป็นเพราะว่าเฟยไม่รู้จักระงับอารมณ์ตัวเอง คิดบ้างไหมเฟย ว่าถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่มันไม่ดีกับตัวเฟยเองเลยนะ เราก็แค่เป็นห่วง” กานต์จบประโยคด้วยเสียงเบา แต่ผมได้ยิน
“เป็นห่วงเฟยเหรอ” ผมยิ้ม พยายามมองตากานต์ที่ตอนนี้เบือนหน้าหนีผมอยู่
“งั้นเย็นนี้กลับพร้อมเฟยนะ” ผมกลับมาเรื่องเดิมเมื่อเห็นโอกาส
“ไม่” ผมอยากจะเอาหัวลงไปโขกกับพื้นเหลือเกินหลังจากฟังที่กานต์ตอบผม
“ทำไม” ผมขมวดคิ้วใส่
“ก็กว่าเฟยจะเลิกก็เย็น เฟยจะได้ตรงกลับบ้านไปเลยไม่ต้องแวะส่งเราที่หอไง” กานต์อธิบาย แต่ผมไม่อยากฟังเลยหมุนตัวหันหลังให้เขา
“เฟย” กานต์เรียกผม พร้อมกับเอามือสอดเข้ามาที่มือของผมอีกครั้ง ผมเลยจับมือกานต์ไว้แน่นแล้วจึงหันหน้าไปหาเขา
“นะกานต์” ผมขอเสียงอ้อน คิดว่ากานต์คงจะเห็นใจผมบ้าง แต่กานต์กลับทำหน้าลำบากใจแล้วก็ส่ายหน้า ผมยังไม่ยอมแพ้จึงเบะปาก ทำหน้าจ๋อยกลับไป
“ตกลงเฟย” กานต์กำลังกลั้นขำอยู่