พรุ่งนี้... ที่รอคอย
บทที่ 7“หม่อมฉันเกลียดฝ่าบาท”
“ฉันรู้แล้ว”
“ไม่เคยเกลียดใครเลย แต่เกลียดฝ่าบาทเหลือเกินพระเจ้าค่ะ”
“แต่เธอก็ยังต้องอยู่กับฉัน”
“สักวัน หม่อมฉันจะหนีไปให้พ้น ฝ่าบาทรับสั่งว่า หม่อมฉันจะมีพรุ่งนี้”
“สิ่งที่จะทำให้เธอหนีฉันพ้นได้ มีแต่ความตายเท่านั้น”
“หม่อมฉันไม่กลัวตาย”
“แต่ฉันจะไม่ยอมให้เธอตาย”
เช้าอีกแล้ว เช้านี้ก็ยังคงเป็น ‘วันนี้’ อยู่ดี ไม่ใช่ ‘พรุ่งนี้’ อย่างที่หวัง แต่เจ้าชายรองแห่งอันธกาลจะไม่รอคอยให้วันพรุ่งนี้มาถึงเองอีกแล้ว
“พิรุณล่ะ”
คนนอนนิ่งบนเตียงถามเรียบๆ เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาหลังจากเขาออกปากอนุญาตมีเพียงคนเดียวคือนารา
“พักผ่อนอยู่เพคะ”
“ไปเรียกมาหาฉันที”
“แต่นี่เป็นห้องบรรทมขององค์รัชทายาท พิรุณไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาเพคะ”
“ฉันจะได้ทุกอย่างที่ต้องการไม่ใช่หรือ ไปตามพิรุณมา”
“พระชายาจะโปรดให้พิรุณทำอะไรหรือเพคะ หม่อมฉันทำถวายได้ไหม”
เจ้าชายเชลยไม่พูดว่าอะไร แต่เขารู้จักใช้สายตาต่างคำสั่งบ้างแล้ว
“งั้น... ก็ได้เพคะ หม่อมฉันจะไปตามมาเข้าเฝ้านะเพคะ”
เมื่อพิรุณมาถึง นาราก็ถูกสั่งให้ออกไป นางพระกำนัลสาวลังเล แต่เมื่อถูกสั่งอีกครั้งก็จำต้องออกไปอย่างเสียไม่ได้
คนนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงมองนางพระกำนัลสาวสวยที่เดินเข้ามาคุกเข่าอยู่ข้างเตียงนิ่งๆ ก่อนจะออกคำสั่งประโยคเดียว
“ปลอบใจฉันหน่อย”
พิรุณเผยยิ้มอ่อนโยน
“เพคะ”
นางพระกำนัลสาวรู้ดี ว่าเวลาที่รอคอยมาถึงแล้ว ครั้งนี้ จะไม่เหมือนครั้งก่อนๆ อีกต่อไป
เรือนร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาว เจ้าชายแห่งอันธกาลเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก ทั้งสวยงามละลานตา ทั้งแลดูน่าทะนุถนอมเป็นอย่างยิ่ง ติดอยู่อย่างเดียวเท่านั้น
คือไม่กระตุ้นตัณหาราคะมากอย่างที่ควรจะเป็น
ภายในหัวร้องเตือนว่านี่ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง แต่ศวัสพยายามไม่สนใจ ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกตอนนี้ต้องไม่ใช่ความรู้สึกผิด แต่เป็นความคับแค้นต่างหาก ตัดความลังเลสับสนออกไป แล้วสนใจแต่หญิงงามที่อยู่ตรงหน้าจะดีกว่า
“องค์รัชทายาททรงรุนแรงกับฝ่าบาทเหลือเกิน ถึงกับเลือดตกยางออก หม่อมฉันจะช่วยทำให้ฝ่าบาททรงลืมนะเพคะ”
เลือดออกตรงไหน ทำไมเขาไม่รู้สึกล่ะ
สติของเจ้าชายหนุ่มเลือนๆ ไป เมื่ออีกฝ่ายปรนเปรอด้วยริมฝีปากอุ่นนิ่ม เนื้อตัวของหญิงสาวอ่อนนุ่ม หอมกรุ่น ต่างจากสัมผัสแข็งแน่นของคนที่เขาคุ้นชินมากนัก
ขณะที่คิดว่าเขานอนอยู่ผิดตำแหน่ง ผู้ชายต้องอยู่ข้างบนจึงจะถูก กลางกายก็ได้รับการปรนนิบัติด้วยมือและปาก ความรู้สึกสุขสมก่อตัวขึ้น แต่อารมณ์บางอย่างที่ยังค้างคาทำให้รู้สึกได้ไม่เต็มที่
เป็นความรู้สึกแบบสุกๆ ดิบๆ ราวกับว่ากายสุขสม แต่ใจไม่ยอมรับ
“ให้หม่อมฉันขึ้นถวายนะเพคะ”
ภาพนางพระกำนัลสาวกำลังหย่อนตัวลงมาสวมครอบความเป็นชายของเขาเอาไว้ตรึงสายตาจนต้องกลั้นหายใจ ยามที่นางขยับตัว ควบขับอยู่บนกายของเขา ไม่ได้ช่วยทำให้เขารู้สึกดีมากมายอย่างที่คิด
“ฝ่าบาท... รัก... หม่อมฉันรักฝ่าบาทเพคะ...”
พิรุณหลับตาพริ้มขณะขยับกายขึ้นลงอย่างรุนแรง
วูบหนึ่ง ที่ความเสียใจแล่นปลาบทั่วหัวใจของเจ้าชายเชลย แต่อารมณ์ดิบก็พุ่งทะยานเช่นกัน
เขาถึงฝั่ง แต่ทำไมจึงไม่รู้สึกสบายใจอย่างที่ควร
กลับรู้สึกว่าได้ทำสิ่งสกปรกจนตัวเองแปดเปื้อน โสมมไปทั้งตัว
“หม่อมฉันจะแต่งงานพระเจ้าค่ะ”
เขาอุตส่าห์ให้พิรุณรออยู่ในห้องบรรทมด้วยกันเพื่อกราบทูลประโยคนี้ต่อเจ้าของห้อง ตั้งแต่ก้าวแรกที่พระองค์เสด็จเข้ามา
องค์รัชทายาทแห่งเรืองอรุณทรงชะงัก สีพระพักตร์แปรเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง คลับคล้ายจะเสียพระทัย แต่เพียงแค่แวบเดียวก็กลับเป็นปกติ
“เธอออกไปได้แล้ว” รับสั่งบอกพิรุณ
“หม่อมฉันอยากให้นางอยู่ด้วยพระเจ้าค่ะ”
“ออกไป”
พระสุรเสียงไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แต่อย่าว่าแต่พิรุณเลยที่รีบก้มลงกราบแล้วคลานออกจากห้องไป คนที่ไม่ได้ถูกสั่งให้ออกยังรู้สึกกลัวขึ้นมาจนใจสั่น
หลายอึดใจที่ถูกสายพระเนตรคู่นั้นทอดมองมานิ่งๆ ศวัสอึดอัดจนเหมือนจะหายใจไม่ออก
“กินข้าวด้วยกันก่อน มีอะไรไว้พูดกันตอนนั้น”
คนถูก ‘ชวน’ ไม่กล้าค้านแม้แต่ครึ่งคำ
ห้องเสวยกว้างขวาง แต่เจ้าชายภีมเสนโปรดให้จัดโต๊ะเสวยเล็กๆ ขนาดสองที่ริมพระบัญชร
อาหารบนโต๊ะล้วนแต่เป็นของที่เจ้าชายรองแห่งอันธกาล ‘โปรด’ ที่สำคัญคือเป็นอาหารของชาวอันธกาล
“ฉันเพิ่งรับพ่อครัวชาวอันธกาลมาคนหนึ่ง ต่อไปเธออยากจะกินอะไรเป็นพิเศษก็สั่งไปที่ห้องเครื่องได้”
ศวัสรู้สึกว่ามีก้อนอะไรอะไรบางอย่างติดตื้นอยู่ตรงลำคอ ทำให้กลืนข้าวแต่ละคำลงไปอย่างยากลำบาก ดวงตาก็ร้อนผ่าวจนต้องกะพริบตาถี่ๆ
มื้ออาหารผ่านไปอย่างเงียบเชียบ องค์รัชทายาทหนุ่มไม่ได้ทรงตำหนิที่คนร่วมโต๊ะกินช้าและน้อยคำ หลังจากอีกฝ่ายแทบจะไม่ขยับช้อนส้อมแล้ว พระองค์ก็ทรงเลื่อนจานผลไม้มาให้
เมื่อมหาดเล็กเลื่อนเครื่องเสวยไปเก็บเรียบร้อยแล้ว เจ้าชายภีมเสนจึงรับสั่ง
“อยากจะแต่งงานกับใคร”
“กับ... พิรุณพระเจ้าค่ะ”
“ทำไมถึงจะแต่ง”
เรื่องแบบนี้ยังต้องถามด้วยหรือ
“หม่อมฉัน... ได้นางแล้ว นางเป็นเมียของหม่อมฉันแล้วพระเจ้าค่ะ”
ในที่สุดก็โพล่งออกไปแล้ว และเพียงแค่ถูกจ้องมองนิ่งๆ ก็รู้สึกเหมือนอากาศในห้องนี้จะน้อยเกินไปจนไม่พอจะหายใจ
“ได้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องแต่งงาน ฉันส่งนางไปรับใช้เธอ ถ้าเธอพอใจ จะให้รับใช้แบบไหนก็ได้”
คนฟังเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
“นางเป็นผู้หญิงนะพระเจ้าค่ะ ได้นางแล้วไม่รับผิดชอบ หม่อมฉันจะเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ชายอยู่ได้อีกหรือพระเจ้าค่ะ”
สายพระเนตรคมจัดทอดมองมาอย่างพิจารณาระคนปรานี
“เธอยังอ่อนเดียงสาเกินไป”
“หม่อมฉันไม่ใช่เด็ก”
“ศวัส”
ไม่รู้เป็นไร ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์รุนแรงแค่ไหน ขอเพียงแค่ถูกพระองค์ทรงเรียกชื่อ เขาก็เป็นต้องยอมอ่อนลงและนิ่งฟังเสมอ
“ถ้าแต่งงานกับพิรุณแล้ว เธอจะมีความสุขไหม”
“มีพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันจะมีความสุข” มีเมียเป็นผู้หญิง ทำไมถึงจะไม่มีความสุขล่ะ
“ฉันอยากเห็นเธอมีความสุข จึงอยากให้เธอคิดทบทวนดูดีๆ ถ้าอยากจะแต่งงานกับผู้หญิง ฉันก็เห็นว่านาราน่าจะเหมาะ”
อะไรนะ นารา เขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่จะให้แต่งงานกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง บ้าไปแล้ว ขนาดเขาได้ชื่อว่าเป็นลูกชายของหญิงบ้า ยังไม่มีความคิดวิปริตแบบนี้อยู่ในหัวเลยแม้แต่กระผีกเดียว
“เลือกคนที่เธอชอบเขาจากใจจริง เพราะถ้าเธอชอบเสียแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอะไรผิด เธอก็ยังอภัยให้เขาได้ง่ายๆ และยังจะชอบเขาอยู่เสมอไป”
อารมณ์โมโหของคนฟังปะทุกรุ่น คับแค้นจนอยากจะร้องไห้ เขาไม่อยากจะฟัง อย่ารับสั่งราวกับทรงรู้จักความรู้สึกแบบนั้นดีเลย คนอย่างพระองค์จะเคยรู้สึกเช่นนั้นกับใครได้ยังไง ในเมื่อไม่น่าจะมีหัวใจเสียด้วยซ้ำ ขนาดคนที่พระองค์รับสั่งอยู่เสมอว่าเป็นเมียบอกว่าจะแต่งงานกับผู้หญิง ยังไม่โกรธ ไม่ห้ามเลยสักคำ มิหนำซ้ำยังจะแนะนำผู้หญิงคนอื่นให้อีก
“หม่อมฉันอยากจะแต่งงานกับพิรุณ ฝ่าบาทจะประทานพระอนุญาตได้ไหมพระเจ้าค่ะ” เขาต้องการรู้แค่นี้
ชั่วขณะนั้น เวลาเหมือนกับหยุดเดิน
“ได้สิ ฉันอนุญาต”
คนเป็นพระชายารู้สึกราวกับบางสิ่งบางอย่างในร่างกายแตกสลาย
ไหนล่ะ ความรู้สึกปลาบปลื้มยินดีที่จะได้เรียกศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายกลับคืนมา
ทิฐิเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่ผลักดันให้กล้ำกลืนความรู้สึกที่ทำให้ท้องไส้บิดเกร็งเขม็งเกลียวลงไป พยายามสงบใจ บังคับให้มือไม่สั่นขณะที่ถอดแหวนออกจากนิ้วนางข้างซ้าย
“หม่อมฉันอยากจะได้แหวนวงใหม่ ขอถวายวงนี้คืนพระเจ้าค่ะ”
แปลกที่เรื่องแค่นี้กลับทำให้พระพักตร์ที่นิ่งเฉยอยู่เป็นนิจแปรเปลี่ยนไปได้
“เธอเก็บเอาไว้เถอะ”
“แต่หม่อมฉันต้องสวมแหวนวงใหม่ในพิธี”
องค์รัชทายาทหนุ่มทรงนิ่งเงียบไปชั่วครู่
“ฉันให้แล้วไม่คิดจะเอาคืน”
“ของมีค่าเช่นนี้ หม่อมฉันกลัวเก็บไม่ดีแล้วทำหายพระเจ้าค่ะ”
คนกราบทูลวางแหวนไว้บนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นยืน
“หม่อมฉัน... ขอประทานพระอนุญาตกลับห้องพระเจ้าค่ะ”
“... ไปเถอะ...”
คนฟังถึงกับชะงัก ง่ายดายอย่างนี้เองหรือ ทำไมถึงปล่อยเขาไปง่ายๆ
อ้อ อีกไม่นานพระองค์คงจะเสด็จไปหา แล้วก็ตักตวงความสุขจากร่างกายของเขาเหมือนทุกคืน
คิดเช่นนั้นแล้วก็ไม่นึกแปลกใจอีก
“ศวัส”
คนเดินไปได้หลายก้าวแล้วหันกลับมา
“สร้อยของเธอ ให้ฉันได้ไหม”
“... ฝ่าบาททรงขอทำไมพระเจ้าค่ะ”
หัวใจเต้นโลดราวกับจะทะลุออกมาจากอก
“แทนแหวนที่ฉันให้”
ศวัสกำมือแน่น สูดลมหายใจเข้าแล้วกราบทูลเสียงห้วน
“หม่อมฉันตั้งใจว่าจะมอบให้พิรุณในวันแต่งงานพระเจ้าค่ะ”
วันแต่งงานของพระชายาในเจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณถูกกำหนดให้มีขึ้นในอีกสิบวันข้างหน้า เร็วจนแม้แต่เจ้าบ่าวเองยังตระหนก นาราเป็นคนบอกเหตุผลเมื่อถูกถาม
“องค์รัชทายาทรับสั่งว่าถ้าช้ากว่านี้จะไม่ทันเพคะ”
“ไม่ทันอะไร”
“หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ”
นางพระกำนัลสาวผู้นี้พูดน้อยลงมาก ตั้งแต่รู้ว่าพระชายาของตนจะแต่งงานกับพิรุณ หญิงสาวแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบใจมาก แต่ก็ยังปรนนิบัติรับใช้เจ้าชายต่างแคว้นอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เพียงแต่ยิ้มน้อยลง และไม่ช่างพูดเหมือนเดิม ทำเอาบรรยากาศรอบตัวของเจ้าชายหนุ่มหม่นหมองลงอย่างรู้สึกได้ชัด
ตั้งแต่แยกจากกันในคืนที่กินอาหารร่วมโต๊ะ ศวัสก็ไม่ได้พบเจ้าชายภีมเสนอีก
ยามค่ำคืนที่จะได้นอนในห้องเพียงลำพังได้มาถึงแล้ว
อย่างไรก็ดี แม้องค์ไม่มา แต่พระกรุณาก็มาถึงไม่เคยขาด ค่าใช้จ่ายทุกอย่างในพิธี พระองค์ทรงจ่ายให้ทั้งหมด ตั้งแต่วิหารที่ใช้ทำพิธี ชุดเจ้าบ่าว ชุดเจ้าสาว บัตรเชิญ ของชำร่วย ดอกไม้ อาหาร ของที่ใช้ตกแต่งในพิธี รถม้า หรือแม้แต่เรือนหอ ทุกสิ่งอย่างเจ้าชายภีมเสนโปรดให้คนจัดการตามความต้องการของบ่าวสาวทุกประการ
พูดให้ถูกคือความต้องการของเจ้าสาวเพียงคนเดียว
พิรุณกระตือรือร้นกับการได้เป็นเจ้าสาวมาก ผิดกับเจ้าชายแห่งอันธกาลที่นอกจากลองชุดแล้วก็ไม่แสดงความคิดเห็นเรื่องอะไรอีกเลย และพิรุณก็ถามความคิดเห็นเพียงแค่ครั้งเดียว เมื่อได้คำตอบว่า
‘ฉันตามใจเธอ’
หญิงสาวก็ไม่เคยถามอีก ซึ่งศวัสก็คิดว่าดีแล้ว
เจ้าชายภีมเสนไม่ได้ทรงเรียกร้องความสัมพันธ์ยามค่ำคืนจากเขาอีก พิรุณเองก็ไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวเขาเลยเช่นกัน หญิงสาวอ้างว่าต้องเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว จึงไม่ได้มาอยู่รับใช้เขาอีก คนเดียวที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลาคือนารา
นาราที่บ่อยครั้งจะมองเขาด้วยสายตาตัดพ้อ
“อยากจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ”
“หม่อมฉันพูดได้หรือเพคะ”
“ทำไมถึงพูดไม่ได้ล่ะ”
“สิ่งที่หม่อมฉันจะพูด คงไม่ใช่สิ่งที่พระชายาอยากจะฟัง”
“พูดไปเถอะ” เพราะไม่ว่าจะพูดอะไร ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว
“พระชายาไม่น่าทรงทำอย่างนี้เลยเพคะ องค์รัชทายาททรงดีต่อพระชายามาก ไม่เคยขัดพระประสงค์เลยสักอย่าง แล้วก็ไม่เคย... ไม่เคยนอกใจพระชายาเลย”
อา... นอกใจ เจ็บแปลบไปถึงแก่นกลางหัวใจเชียวล่ะ
“ก่อนจะมีพระชายา พระองค์ทรงมีพระสนมอยู่หลายสิบนาง แต่ละนางรูปร่างหน้าตาสะสวย พระองค์ยังโปรดให้ทูลลาออกจนหมด เพื่อจะได้มีพระชายาเพียงพระองค์เดียว ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทรงทำอย่างนี้ก็ได้ พระชายาไม่ทรงเห็นความดีของพระองค์บ้างเลยหรือเพคะ ทรงเป็นเจ้าชายแห่งอันธกาล น่าจะทรงทราบว่าไม่ว่าบ้านเมืองไหน เจ้าชายจะมีพระสนมนางในกี่นางก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ที่สำคัญ สิ่งที่พระชายาทรงทำกับพิรุณลับหลังพระองค์ ถ้าเป็นคนอื่นคงจะต้องพระอาญาสาหัสไปแล้ว แต่องค์รัชทายาทกลับทรงอภัยให้พระชายาได้ง่ายๆ”
คำพูดของนารามีเหตุผล เจ้าชายรองแห่งอันธกาลยิ้มเศร้าๆ แล้วตอบนางด้วยคำถามเบาๆ
“ถ้าผู้ชายคนหนึ่งไม่เคยนอกใจเธอเลย แต่เขาขืนใจเธอทุกคืน เธอจะยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีอยู่ไหม”
นาราตอบไม่ได้
ได้อยู่ตามลำพังเพียงแค่ไม่กี่วัน ศวัสก็รู้สึกว่าวันเวลาแต่ละวันช่างยาวนาน เขามีเวลาว่างมากพอจะคิดออก ว่าทุกสิ่งที่ทำลงไปก็เพื่อความสาแก่ใจ ซึ่งไม่ใช่นิสัยของเขาเลย ชั่วชีวิตที่ผ่านมาเขาได้แต่เป็นฝ่ายถูกกระทำและยอมรับในชะตากรรมอันโดดเดี่ยวที่คนในราชวงศ์มอบให้ ไม่เคยคิดจะลุกขึ้นมาปฏิวัติหรือแก้แค้นใคร แต่เจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณทรงเป็นคนไล่ต้อนเขา กดดันให้เขารู้สึกว่าทานทนไม่ได้
สรุปแล้วพระองค์เองที่เป็นคนเปลี่ยนแปลงเขา
ทำให้เขากลายเป็นคนอีกคนหนึ่ง
‘สร้อยของเธอ ให้ฉันได้ไหม’
แค่คิดถึง ทั้งหัวตาและหัวใจก็ร้อนผ่าว จะขอทำไม
.
.
.
.
.
ในเมื่อไม่มีเหตุผลดีๆ มอบให้
tbc.
******************************************
iforgive – สมน้ำหน้านี่ถูกต้องเลยค่ะ คิดว่า จำเป็นจะต้องมีบทให้ศวัสเป็นผู้ถูกกระทำ ให้คนอ่านได้สมน้ำหน้าบ้างค่ะ ถ้าตัดฉากนั้นไปจะกลายเป็นว่า ผู้ถูกกระทำ ในเรื่องนี้คือเจ้าชายรัชทายาทคนเดียวเลย ต้องแบ่งๆ กันถูกกระทำ แต่ไม่รู้ว่าทางกายหรือทางใจจะหนักกว่ากันสิน่า
fuku – บทนี้ศวัสก็ยังเยอะอยู่นะคะ เยอะกว่าเดิมเยอะเลยอ่า ชักจะเลยเถิด
poogan_zad – น้องสาวพี่บัวรึเปล่าคะ (ดูจากจำนวนกระทู้ คิดว่าน่าจะเพิ่งสมัคร) ขอบคุณที่เม้นต์ค่ะ ^^ แล้วก็ถ้าใช่ ก็ขอแก้ไขนิดนึงค่ะ เรื่องความหมายของชื่อภีมเสน บอกผิดน่ะค่ะ ไม่ได้แปลว่าโหดร้าย แต่แปลว่า น่ากลัว (ในสายตาของศวัส แต่จริงๆ แล้วก็ใจดีอยู่นะคะ ไม่มีบทโหดค่ะ ใกล้จบล่ะ)
อ๊ายอาย – หึง หื่น แต่ไม่หวงนะคะ อยากแต่งงานก็ให้แต่ง คิดๆ อยู่ว่าดูเป็นคนแปลกๆ พิกล แต่ก็พอมีเหตุผลอยู่ อีกสองตอนก็จบแล้วค่ะ เป็นบทที่ 8 แล้วก็บทส่งท้าย ตั้งใจว่าจะเคลียร์ทุกประเด็นแต่ยังไม่แน่ใจว่าจะสมเหตุสมผลมั้ย เรื่องขอคืนดีนี่ชุนขอคิดดูก่อนนะคะ รอพิจารณาความประพฤติของเสี่ยก่อนค่ะ ถ้ารับได้ถึงจะยอม ชุนไม่ง่ายหรอกนะคะ ขอบอก
IsDear – ศวัสก็กำลังจะใจแตกเหมือนกันค่ะ (แตกสลาย 555)
Snowermyhae – ตอนเขียน ชุนก็ไม่เคยรู้สึกสงสารศวัสเลยค่ะ สงสารภีมเสนคนเดียวเลย
ถึงตอนนี้เพิ่งจะรู้สึกว่า เรานี่ชอบเขียนให้นายเอกเป็นคน "เรื่องเยอะ" เนาะ