พิมพ์หน้านี้ - เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งเรื่องเฮเดสและเจ้าชายค่ะ]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ชุน ที่ 03-04-2014 17:07:58

หัวข้อ: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งเรื่องเฮเดสและเจ้าชายค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 03-04-2014 17:07:58
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


ใกล้ปิดจองแล้ว เลยมาประชาสัมพันธ์อีกรอบค่ะ


ขายของค่า ^^
ประชาสัมพันธ์นิยายที่กำลังเปิดจองอยู่นะคะ

เฮเดส

ปิดจอง 31 ก.ค.2559



ชื่อเรื่อง : เฮเดส (Hades)
ผู้แต่ง : ชุนภุศ
ภาพปก : Leila
Full price: 339 บาท


คำโปรย

อายุสิบหกปี

เจ้าชายเฮเดสทรงซื้อตัวเด็กชายอายุแปดขวบมาจากลานประมูลทาส

อายุยี่สิบสองปี องค์รัชทายาทหนุ่มโปรดให้เขาในวัยสิบสี่เข้าถวายตัว

สิบปีต่อมา พระองค์จะทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงต่างแคว้น

ทว่าสิ่งที่ธามถวายให้ไปไม่ใช่แค่ร่างกาย

เจ้าชายเฮเดสไม่เคยรับสั่งบอกว่าพระองค์ทรงรู้สึกอย่างไรกับเขา

แต่ในฐานะมหาดเล็กที่ถวายงานใกล้ชิด

ธามรู้ว่าพระองค์ทรงมีเขาเพียงคนเดียวมาตลอดสิบปี

ประโยคเดียวที่เขาอยากทูลถามก่อนวันอภิเษกสมรสจะมาถึงก็คือ

...ฝ่าบาท ‘เคยรัก’ กระหม่อมบ้างรึเปล่า...




เจ้าชาย

ปิดจอง 7 ส.ค.2559


ชื่อเรื่อง : Princes / เจ้าชาย
ผู้แต่ง : ชุนภุศ
ภาพปก : 童童TUNG (ภาพจะตามมาภายหลัง)
Full price : 499 บาท

คำโปรย

 

เจ้าชาย 3 พระองค์แห่งแคว้นเรืองอรุณล้วนแต่ทรงเสน่ห์

 

เจ้าชายภีมเสน... เจ้าชายพระองค์โตทรงรับเจ้าชายศวัส เชลยจากอันธกาลเป็นพระชายา นั่นเป็นตำแหน่งที่ใครๆ ต่างใฝ่ฝัน ทว่าศวัสหวังเพียงว่า วันหนึ่งเขาจะหลุดพ้นจากฐานะที่แสนอัปยศเสียที

 

เจ้าชายศีลวัต... เจ้าชายรองผู้แสนเผด็จการและเอาแต่ใจทรงรักมั่นจริงใจต่ออานนท์ องครักษ์ประจำพระองค์มาโดยตลอด ทว่านั่นเป็นสิ่งที่องครักษ์หนุ่มไม่เคยปรารถนา

 

เจ้าชายอัทธายุ... เจ้าชายสามผู้มีน้ำพระทัยงดงามทรงลืมไทวา เด็กหนุ่มจากเผ่าไทวะไปนานแล้ว ไม่นึกว่าสิบปีต่อมา พระองค์จะต้องทรงรับเขาไว้ในฐานะเชลยศักดิ์

 

เจ้าชาย 4 พระองค์แห่งแคว้นเทพภวันทรงมีความรักในแบบของพระองค์เอง

 

เจ้าชายภีษมะ... เจ้าชายของชยาเป็นคนที่หาเรื่องแกล้งคนได้เก่งที่สุดในโลก

 

เจ้าชายธราธพ... เจ้าชายของวสุธาช่างแสนเอาแต่ใจ แต่เขาไม่ใช่คนเอาใจเก่ง สิ่งที่เขาให้ได้ มีแค่ความรักแบบไม่ค่อยแสดงออก

 

เจ้าชายภควัต... เจ้าชายของพฤชไม่ใช่เจ้าชาย ในสายตาของเขา พระองค์ทรงเป็นเพียงเด็กชายที่ไม่รู้จักถนอม ‘ของเล่น’

 

เจ้าชายจันทรัช... เจ้าชายของวาริศทรงอ่อนโยน อ่อนหวาน และแสนดี เป็น ‘เจ้าชาย’ ที่เขาจะไม่ยอมปล่อยมือจากพระองค์ไปตลอดชีวิต




รายละเอียดเพิ่มเติมและความคืบหน้า
ติดตามได้ที่เพจนาบูนะคะ
https://www.facebook.com/Nabupublishing?fref=ts


หรือสั่งซื้อเรื่องอื่นๆ ของสนพ.ได้ที่นี่ค่ะ
http://www.nabu-publishing.com/





อัพเดตค่ะ

ขอประชาสัมพันธ์หน่อยค่ะ

เวลา+ภีษมะ+จันทรัช+ภควัต+พฤช+ธราธพ จะตีพิมพ์กับสนพ.นาบูนะคะ รวมอยู่ในเล่มเดียวกัน ชื่อเรื่อง "เจ้าชาย" น่าจะเปิดจองเร็วๆนี้ค่ะ ฉบับ e-book ทั้ง 6 เล่มชุนจะหยุดขายหลังจากเซ็นสัญญากับสนพ.แล้ว ใครที่ซื้อ E-book เรื่องใดเรื่องหนึ่งไปแล้ว สามารถซื้อเก็บให้ครบได้เลยนะคะ เพราะจะไม่มีขายแยกแล้วน่ะค่ะ จะเป็นฉบับรวมเล่มอย่างเดียว จะว่าเป็นรวมเรื่องสั้นก็ได้ค่ะ ท่านที่ซื้อหนังสือเรื่องเวลาฉบับพิมพ์เองของชุนไปแล้วและไม่อยากซื้อซ้ำ ก็สามารถซื้อเรื่องสั้น 5 เรื่องเป็นแบบ e-book ได้ใน meb นะคะ (www.mebmarket.com) น่าจะลบเร็วๆ นี้

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็น กำลังใจ และการอุดหนุนตลอดมานะคะ :กอด1:

ชุนค่ะ




มีคนใจดีทำสารบัญให้ด้วยล่ะ^^


สารบัญ



พรุ่งนี้... ที่รอคอย
บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2666342#msg2666342)   บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2667785#msg2667785)   บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2671801#msg2671801)   บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2673661#msg2673661)   บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2676774#msg2676774) 
บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2680725#msg2680725)   บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2683190#msg2683190)   บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2685244#msg2685244)   บทที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2702567#msg2702567)   บทส่งท้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2703987#msg2703987)

วันวาน... สู่นิรันดร์
บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2704912#msg2704912)   บทที่ ๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2706135#msg2706135)   บทที่ ๒ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2711893#msg2711893)   บทที่ ๓ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2718332#msg2718332)   บทที่ ๔ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2721765#msg2721765)   บทที่ ๕ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2727263#msg2727263)
บทที่ ๖ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2728089#msg2728089)   บทที่ ๗ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2730587#msg2730587)   บทที่ ๘ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2734635#msg2734635)   บทที่ ๙ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2737008#msg2737008)

วันนี้... แค่มีเธอ
บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2739618#msg2739618)   บทที่ ๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2741126#msg2741126) + บทที่ ๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2741129#msg2741129)   บทที่ ๒ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2742255#msg2742255)   บทที่ ๓ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2743719#msg2743719)   บทที่ ๓.๕ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2744637#msg2744637)   บทที่ ๔ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2745851#msg2745851)   บทที่ ๔.๕ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2746787#msg2746787)
บทที่ ๕ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2747660#msg2747660)   บทที่ ๖ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2749413#msg2749413)   บทที่ ๗ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2750284#msg2750284)   บทที่ ๘ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2751157#msg2751157)   บทที่ ๙ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2751797#msg2751797)   บทที่ ๑๐ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2752566#msg2752566)   บทที่ ๑๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2753625#msg2753625)   บทส่งท้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2754261#msg2754261)



ป.ล.ขอบคุณ คุณอ๊ายอาย นะคะ กอดดดดดด :กอด1:
หัวข้อ: Re: เวลา (3 เม.ย.57)
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 03-04-2014 17:26:54
บทนำ


   ดินแดนทางใต้อันอุดมสมบูรณ์นี้ประกอบไปด้วยสองแคว้นใหญ่

คือเรืองอรุณ และอันธกาล

กับเผ่าเล็กๆ อีก 3 เผ่า

ได้แก่ ไทวะ ชุณหะ และเวณุ

เผ่าทั้งสามรวมตัวกันเป็นสมาพันธ์เพื่อป้องกันตนเองจากการรุกรานของแคว้นใหญ่ทั้งสอง
เพราะที่ตั้งของทั้งสามเผ่าอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองแคว้นพอดี

เรืองอรุณรักสงบ แต่อันธกาลเคยพยายามครอบครองเผ่าทั้งสามอยู่หลายครั้ง ทว่าไม่สามารถเอาชนะได้

ต่อมาอันธกาลส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับเรืองอรุณ
โดยยินดีจะยกเจ้าหญิงเพียงพระองค์เดียวของแคว้น
ให้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณ

ทว่าเรืองอรุณปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า

เจ้าชายรัชทายาทไม่โปรดผู้หญิง

หากส่งเจ้าชายรัชทายาทของอันธกาลมาแต่งงานด้วยจึงจะยอม

หรือไม่ก็ต้องแต่งกับเจ้าชายพระองค์อื่น

อันธกาลได้ข่าวกรองมาแล้ว ว่ารัชทายาทแห่งเรืองอรุณที่ ‘ไม่โปรดผู้หญิง’ นั้น

ทรงมีนางสนมเกือบห้าสิบนาง

แต่ทั้งที่รู้ว่าเรืองอรุณโกหก อันธกาลก็ยังยืนกรานจะเกี่ยวดองกับเจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณเท่านั้น
แต่ก็ไม่สามารถส่งเจ้าชายรัชทายาทของตนไปแต่งงานด้วยได้ จึงขอเปลี่ยนเป็นเจ้าชายรองแทน

เรืองอรุณไม่ยินยอม อันธกาลจึงล่าถอยกลับไป

ก่อนจะเปลี่ยนวิธีใหม่

คัดเลือกท่านหญิงที่เป็นราชนิกูลสามพระองค์ขึ้นมา

ส่งราชทูตไปเจรจากับเผ่าทั้งสาม บอกว่ายินดีจะเกี่ยวดองกับเผ่าทั้งสาม ขอเพียงทั้งสามเผ่าช่วยรบกับเรืองอรุณ

สมาพันธ์เผ่าตกลงยินยอม หลังจากอันธกาลยินดีแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการส่งตัวท่านหญิงสามองค์
ไปยังเผ่าทั้งสามในฐานะ ‘คู่หมั้น’ ของลูกชายคนโตของหัวหน้าเผ่าแต่ละเผ่า


ผลการรบปรากฏว่าเรืองอรุณเป็นฝ่ายชนะ


เจ้าชายรัชทายาทของอันธกาลถูกปลงพระชนม์กลางสนามรบ

เจ้าหลวงของอันธกาลถูกสำเร็จโทษประหารชีวิต

เจ้าหลวงแห่งเรืองอรุณส่งพระอนุชาร่วมพระมารดาไปปกครองอันธกาลในฐานะเมืองประเทศราช

และส่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เหมาะสมไปปกครองเผ่าทั้งสาม

ปลดหัวหน้าเผ่าให้เป็นเพียงที่ปรึกษา

ท่านหญิงแห่งอันธกาลต้องอยู่ที่เผ่าทั้งสามในฐานะตัวประกัน

ขณะที่เจ้าชายรองแห่งอันธกาลและลูกชายของหัวหน้าเผ่าทั้งสามถูกส่งตัวไปยังเรืองอรุณ

...ในฐานะเชลย...





เจ้าหลวงแห่งเรืองอรุณโปรดให้พระราชโอรสทั้งสามทรงแบ่งกันรับ ‘เชลยศักดิ์’ ไว้ในอุปการะ

หรืออีกนัยหนึ่งคือโปรดให้ช่วยกันควบคุมดูแล

เจ้าชายรองแห่งอันธกาลและคุณชายทั้งสามถูกสำนักนางบำเรอหลวงจับขัดสีฉวีวรรณ
และตกแต่งร่างกายเสียใหม่ด้วยเครื่องแต่งกายแบบเรืองอรุณ
ก่อนจะถูกพาตัวไปยังท้องพระโรงกลาง

คุกเข่าเรียงหน้ากระดานกลางท้องพระโรงให้เจ้าชายทั้งสามทรงเลือกไว้รับใช้ส่วนพระองค์

วันนั้นราชอาลักษณ์จดบันทึกเหตุการณ์เอาไว้ ดังนี้

เจ้าชายภีมเสน เจ้าชายรัชทายาท เสนาบดีมหาดไทยแห่งเรืองอรุณ

ขณะมีพระชนมายุ 35 พรรษา

โปรดให้เจ้าชายศวัส เจ้าชายรองแห่งอันธกาลซึ่งมีพระชนมายุ 25 พรรษา เป็นพระชายา

ประทานพระธำมรงค์เรือนทองฝังไพลินน้ำเอกที่ทรงสวมติดนิ้วพระหัตถ์ก้อยข้างซ้ายให้เป็นแหวนแต่งงาน




เจ้าชายศีลวัต เจ้าชายรอง เสนาบดีกลาโหมแห่งเรืองอรุณ

ขณะมีพระชนมายุ 30 พรรษา

โปรดให้คุณชายภูวัน บุตรชายคนโตของหัวหน้าเผ่าเวณุเป็นบาทบริจาริกา

ประทานเรือนเทพดำรูในเขตฝ่ายในพร้อมทั้งนางกำนัลสองนางให้รับใช้

และโปรดให้คุณชายวาริศ บุตรชายคนโตของหัวหน้าเผ่าชุณหะเป็นบาทบริจาริกาเช่นเดียวกัน

ประทานเรือนดรณีในเขตฝ่ายในพร้อมนางพระกำนัลสองนางให้รับใช้




เจ้าชายอัทธายุ เจ้าชายสาม เจ้ากรมโยธาธิการแห่งเรืองอรุณ

ขณะมีพระชนมายุ 29 พรรษา

ทรงรับคุณชายไทวา บุตรชายคนโตของหัวหน้าเผ่าไทวะไว้ในพระกรุณา

และประทานพระกรุณาให้พำนักร่วมพระตำหนัก






*****************************************************************************


เรื่องใหม่ค่ะ ^^

เป็นคล้ายๆ กับซีรี่ย์นิยายขนาดสั้นคือพอเขียนเรื่องยาวไม่จบก็เลยอยากจะเขียนเรื่องสั้นๆ จบเร็วๆ ดูบ้าง (แต่ไม่ใช่เรื่องสั้น)

ที่คิดๆ ไว้ก็คือ อยากให้ความยาวของทั้งสามเรื่องรวมกันแล้วเท่ากับเรื่องยาวหนึ่งเรื่องพอดี

ประกอบด้วยเรื่องของเจ้าชายสามพี่น้องแห่งแคว้นเรืองอรุณนะคะ

ทั้งสามเรื่องได้แก่

พรุ่งนี้ (ภีมเสน - เจ้าชายรัชทายาท)

วันนี้ (ศีลวัต - เจ้าชายรอง)

วันวาน (อัทธายุ - เจ้าชายสาม)

ขอถามความคิดเห็นว่า อยากให้เขียน พรุ่งนี้ หรือว่า วันวาน ก่อนดีคะ

เพราะคาดว่า วันนี้ จะเป็นไฮไลต์ของเวลา คิดว่าจะเอาไว้สุดท้ายเลยค่ะ (ปลื้มศีลวัตเป็นพิเศษ ^^)

หัวข้อ: Re: เวลา (3 เม.ย.57)
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 03-04-2014 22:53:41
 :hao7: เปิดเรื่องได้เริ่ดมาก น่าติดตามสุดๆ
ขอโหวต พรุ่งนี้ก่อนเลยนะ
เอา ราชากับราชินีก่อน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เวลา (3 เม.ย.57)
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 03-04-2014 23:17:26
 :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (1) 5 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 05-04-2014 08:48:00
พรุ่งนี้... ที่รอคอย
[/size][/size]



บทที่ 1

ศวัสไม่คาดคิดมาก่อนว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับเขา

หายนะครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้นนี้

จะว่าไปก็เป็นเพราะเจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณทรงปฏิเสธ ไม่รับเจ้าชายรองแห่งอันธกาลอย่างเขาเอาไว้

ในท้องพระโรง องค์รัชทายาทหนุ่มในฐานะที่ทรงดำรงตำแหน่งสูงสุด

มีพระชนมายุมากที่สุด

และเป็นเจ้าชายเพียงพระองค์เดียวที่ประสูติแต่องค์รานี

พระองค์ย่อมทรงมีสิทธิ์ทุกประการที่จะทรงเลือกเชลยก่อน

เจ้าพนักงานกรมวังกราบทูลประวัติคร่าวๆ ของเชลยแต่ละคนถวายเจ้าชายทั้งสามพระองค์

แม้ว่าเขาจะมีฐานันดรสูงกว่าใครทั้งหมด แต่ประวัติของเขาเสียหายมากกว่าคนอื่น

เพราะแม้ว่ามารดาจะเป็นพระชายาองค์หนึ่งของเจ้าหลวงแห่งอันธกาล

แต่ก็เป็นเพียง ‘หญิงบ้า’ คนหนึ่ง

ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ ทำอย่างไรกันบ้าง แต่เขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่มองใคร

“ศวัส”

ใครสักคนเรียกชื่อเขา ฟังแค่น้ำเสียงก็น่ากลัวแล้ว

ทหารนายหนึ่งบังคับจับคางของเขาให้เงยหน้าขึ้น

คนแรกที่เขามองเห็นประทับบนเก้าอี้บนยกพื้นที่อยู่ตรงกลาง เบื้องหน้าเขาพอดี

เขารู้โดยไม่ต้องมีใครบอกว่านี่เอง

เจ้าชายภีมเสน

“มานี่สิ”

แม้จะเป็นถึงเจ้าชาย แต่เมื่อบัดนี้กลายเป็นเพียงเชลย วิธีเดียวที่จะไปถึงองค์ตามรับสั่งได้คือคลาน

ท่ามกลางความเงียบที่กดดันเข้ามาทุกทิศทาง

ศวัสสั่นทั้งตัวอยู่เกือบตลอดเวลา

กว่าเขาจะคลานไปหยุดอยู่ตรงเบื้องพระพักตร์ก็ใช้เวลานาน

ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทรงรู้สึกอย่างไร

แต่เขารู้สึกว่าระยะทางมันช่างสั้นเหลือเกิน

เขาหมอบกราบตามที่สำนักนางบำเรอหลวงสอนมา

“ยื่นมือซ้ายมา”

อีกฝ่ายรับสั่งอยู่เหนือหัว เขาได้แต่ทำตาม มือสั่นจนแทบจะประคองไว้ไม่อยู่

งงจัด เมื่อเจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณทรงสวมแหวนให้ เขาสบสายพระเนตรสีเหล็กของพระองค์

“ต่อไปนี้เธอจะอยู่ที่นี่ ในฐานะชายาเพียงคนเดียวของฉัน”





เจ้าชายศวัสแห่งอันธกาลรู้ตั้งแต่อยู่ในสำนักนางบำเรอหลวงแล้ว ว่าจะต้องปรนนิบัติองค์รัชทายาทแห่งเรืองอรุณอย่างไร

แต่เขาทำไม่ได้ ไม่อาจทำใจได้

คืนนั้น คืนแรกที่เขาต้องไปอยู่ในพระตำหนักของเจ้าชายภีมเสน

โชคดีเหลือเกินที่เจ้าของพระตำหนักติดงานข้างนอก

เขาจึงมีโอกาสทำแจกันกระเบื้องใบหนึ่งในห้องนอนตกแตก

มหาดเล็กที่เฝ้าอยู่นอกห้องเข้ามาดูและจัดการเก็บกวาด ทำความสะอาดให้

แต่เขาเก็บเศษกระเบื้องเอาไว้แล้วชิ้นหนึ่ง

มันทั้งเจ็บ ทั้งเสียวมากทีเดียวตอนที่เขาใช้มันกรีดผิวเนื้อ

แต่เขาก็พอจะโล่งใจอยู่บ้างเมื่อปลอบใจตัวเองว่า มันจะเป็นความเจ็บเพียงครั้งเดียว

และครั้งสุดท้าย

พรุ่งนี้... เขาก็จะไม่เจ็บอีกต่อไป

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ข้อมือข้างซ้ายของเขาก็มีผ้าขาวพันเอาไว้อย่างแน่นหนา

ใครบางคนที่เฝ้าอยู่ในห้องรีบบอกต่อไปยังคนข้างนอกว่าเขาฟื้นแล้ว

ไม่นานนัก คนที่เขากลัวที่สุดก็เสด็จเข้ามา

สีพระพักตร์ดูเรียบๆ เฉยๆ เหมือนปกติ

แต่ดวงพระเนตรสีเหล็กมีแววเหมือนโล่งพระทัย

“อยากจะดื่มน้ำไหม”

เขาพยักหน้า เจ้าชายภีมเสนจึงตรัสสั่งให้มหาดเล็กนำน้ำมาให้เขาดื่ม

ส่วนพระองค์เองทรงประคองให้เขาลุกขึ้นนั่งพิงพระวรกาย

เจ้าชายรองแห่งอันธกาลกระหายน้ำ

แต่ไม่ใช่ความกระหายหรอก ที่ทำให้เขาสำลักน้ำจนคนที่ประทับซ้อนหลังต้องทรงลูบหลังประทานให้

มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจเสียจนเขารู้สึกว่าลำคอแห้งผากชนิดที่ว่าไม่ว่าจะดื่มน้ำอีกสักกี่แก้วก็คงไม่ชุ่มชื้นขึ้น

เจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณเป็นคนตัวใหญ่ ส่วนเขาเป็นคนตัวเล็ก

แต่เขาไม่คิดเลยว่าแค่นั่งเอนหลังพิงพระอุระ ก็รู้สึกเหมือนจะถูกพระองค์ทรงกลืนกินเข้าไปในอ้อมอกได้ทั้งตัวแบบนี้

“พวกเธอออกไปข้างนอกให้หมด สั่งคนเตรียมตั้งโต๊ะให้พร้อม อีกสักพักฉันจะพาพระชายาไปกินข้าว”

มหาดเล็กในตำหนักนี้ เจ้าชายเชลยไม่รู้จักเลยสักคน แต่กลับไม่อยากให้พวกเขาออกไปเลย

เชลยศักดิ์สะดุ้งเฮือก เมื่อถูกกอดรัดเอาไว้หลวมๆ

แต่คนนั่งซ้อนหลังไม่ได้บังคับให้เขาหันกลับไปเผชิญหน้า เพียงรับสั่งเบาๆ อยู่เหนือหัว

“ชีวิตไม่มีค่าหรือ”

คนถูกถามเงียบ คนตรัสถามไม่ได้ทรงคาดคั้นคำตอบ แต่เมื่อยังไม่มีเสียงตอบ พระองค์ก็ไม่รับสั่งอะไรต่อ

คนที่เพิ่งผิดหวังจากการฆ่าตัวตายมาหมาดๆ จึงต้องข่มความกลัวแล้วกราบทูลด้วยน้ำเสียงสั่นเบา

“ถ้าต้องอยู่อย่างทรมาน ก็สู้ตายเสียดีกว่าพระเจ้าค่ะ”

“ฉันทรมานเธอเมื่อไหร่”

ถึงยังไม่ได้ทรมาน แต่อีกไม่นานก็ต้องทรงทำ

แล้วเขาจะต้องรอให้พระองค์ทรงทำกับเขาก่อนหรือ ถึงจะมีสิทธิ์ฆ่าตัวตายได้

“ฝ่าบาทไม่ได้ทรงทำหรอกพระเจ้าค่ะ แต่หม่อมฉันอยากตายเอง”

“อย่าเพิ่งอยากเลย ที่นี่เพิ่งจะมีคนตายไปหลายคน”

เจ้าชายศวัสนิ่วหน้า อีกฝ่ายกำลังจะทรงเอาเรื่องผีมาขู่เขาหรือยังไง

“คนที่ฉันสั่งให้คอยดูแลเธอมีสี่คน ทุกคนทำหน้าที่บกพร่อง ปล่อยให้เธอพยายามฆ่าตัวตาย ฉันจึงสั่งประหารชีวิตทั้งหมด”

เจ้าชายเชลยสะดุ้งเฮือก หันขวับกลับไปมอง มองสีพระพักตร์ สบสายพระเนตร

ไม่เห็นแววล้อเล่นแล้วก็ได้แต่ครางทั้งที่อกกลวงโหวง

“ทำไม...”

“อย่าห่วงเลย พวกนั้นตายสบาย ไม่ต้องทรมาน”

ดวงตาสีน้ำตาลสวยของเชลยศักดิ์เต็มไปด้วยรอยสั่นไหว

เจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณรับสั่งเหมือนชีวิตคนเป็นผักปลา

“ถ้าเธอตาย แม้แต่ทหารองครักษ์ข้างนอกอีกสิบคนก็จะต้องตายตามเธอไปด้วย”

ขู่เขาหรือ เปล่าเลย แม้ไม่เคยรู้จักเจ้าชายพระองค์นี้มาก่อน แต่เขาก็คิดว่าตัวเองมองไม่ผิด

อีกฝ่ายไม่เคยต้องทรงขู่ใคร พระองค์ทรงทำได้โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร

เจ้าชายรองแห่งอันธกาลกลืนน้ำลายไม่ลงคอ

“เธอหลับไปสามวัน ตอนนี้น่าจะหิวมากแล้ว ไปเถอะ ไปกินข้าวกัน”

กินข้าว จะให้คนที่เป็นสาเหตุให้คนอื่นต้องตายไปถึงสี่คนอย่างเขากินข้าวลงได้ยังไง

“ฉันให้คนเตรียมอาหารอ่อนๆ ไว้ที่ห้องข้างๆ เดินไปคงไม่ทำให้เธอเหนื่อยมาก
ดีกว่านอนอุดอู้อยู่แต่ในนี้ แต่ถ้าเดินไม่ไหวฉันจะอุ้ม”

“หม่อมฉัน... เดินเองไหวพระเจ้าค่ะ”

ถ้าให้พระองค์ทรงอุ้ม เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

ตายแล้วก็เรื่องหนึ่ง แต่นี่ยังไม่ตาย

ถ้าต้องเสียเชิงชาย ก็คงจะอายจนมองหน้าใครไม่ได้




อาหารเรืองอรุณรสชาติแปลกลิ้น แต่ก็กินได้

ศวัสจำใจกินเข้าไปทุกอย่าง อย่างละคำสองคำ เพราะทันทีที่เขานั่งลง คนประทับหัวโต๊ะก็รับสั่งบอกเขาเนิบๆ

“กินเสีย ลองชิมให้หมดทุกอย่าง จะได้รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร
อาหารจานไหนที่เธอไม่แตะต้อง ฉันจะถือว่าคนทำทำหน้าที่บกพร่อง”

“แล้วก็จะทรงประหารชีวิตเขา”

คนพูดไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมเขาถึงปากไวอย่างนั้น พูดไปแล้วก็ตกใจ

ขณะที่เจ้าชายภีมเสนดูจะทรงแปลกพระทัยนิดๆ เช่นกัน แต่ก็แย้มพระสรวลแล้วตรัสชม

“เก่ง รู้ก็ดี”

อาหารมื้อนั้นรสชาติฝืดคอสิ้นดี



จบมื้ออาหาร องค์รัชทายาทหนุ่มก็ทรงแนะนำให้ ‘พระชายา’ ของพระองค์รู้จักกับนางพระกำนัลวัยกำดัด
รูปร่างหน้าตางดงามสองนาง

“นารา กับพิรุณ สองคนนี้จะคอยรับใช้เธอทุกเรื่อง ต้องการอะไรก็บอกใครคนใดคนหนึ่งได้”

ศวัสโล่งใจเป็นอันมาก ที่ในที่สุดองค์รัชทายาทหนุ่มก็ทรงออกจากพระตำหนักไปเสียที

นาราเป็นหญิงสาวที่ดูจะเข้ากับคนง่าย ยิ้มเก่ง พูดเก่ง และทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

ขณะที่พิรุณเป็นผู้หญิงที่สวยจับตากว่า ดูเป็นผู้ใหญ่กว่า อ่อนโยนกว่า แต่มีดวงตาที่ดูเศร้าๆ




เจ้าชายรองแห่งอันธกาลไม่คิดจะฆ่าตัวตายอีก

สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะนับตั้งแต่วันนั้น ‘พระสวามีในนาม’ ของเขาไม่ได้ เสด็จมาให้เขาเห็นอีกเลย

จนถึงวันนี้ก็เกือบจะครบสัปดาห์แล้ว แต่ละวันผ่านไปโดยไม่น่าเบื่อนัก

นารากับพิรุณพาเขาไปชมรอบๆ พระตำหนักอันกว้างใหญ่ รวมทั้งเดินชมห้องต่างๆ ในพระตำหนัก

หลายวันผ่านมาแล้ว แต่เขาก็ยังเดินดูไม่ทั่ว เพราะมัวแต่ติดใจห้องหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือที่น่าสนใจเต็มห้อง

“โปรดเล่มไหนก็ทรงหยิบอ่านได้ตามพระทัยเลยเพคะ องค์รัชทายาทประทานพระอนุญาตไว้แล้ว รับสั่งว่าพระตำหนักของพระองค์ก็เหมือนกับพระตำหนักของพระชายาเพคะ จะเสด็จไปที่ไหน ทำอะไรก็ได้ ยกเว้นก็แต่ห้องทรงงานเท่านั้น”

“แสดงว่าห้องบรรทมไม่ห้าม”

พลั้งปากไปอีกแล้ว พิรุณถึงกับชะงัก ขณะที่นารายกมือขึ้นปิดปาก หน้าแดง ก่อนจะเอ่ยสัพยอกอย่างเต็มที่

“ไม่ได้ทรงห้ามเพคะ พระชายาจะเสด็จไปหรือเพคะ”

“เปล่า! ไม่ใช่! ฉันแค่... สงสัย”

นาราหัวเราะคิกคัก ความสดใสร่าเริงของนางช่วยเยียวยาความรู้สึกโดดเดี่ยวของเจ้าชายต่างแคว้นได้มาก

ติดอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือนางเรียกเขาว่าพระชายา ขอร้องยังไงก็ไม่ยอมเรียกว่าองค์ชาย

“ปกติถ้าไม่มีหน้าที่ ใครก็ห้ามเข้าห้องบรรทมนะเพคะ แม้แต่พระสนมเองก็เถอะ”

พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของนางพระกำนัลสาวก็ผิดปกติไปนิดหนึ่ง นาราหันไปมองเพื่อน สีหน้าและสายตาดูเกรงใจอย่างไรชอบกล

ทว่าพิรุณกลับยิ้มบางๆ ตามปกติแล้วอธิบายต่อแทน

“แต่ฝ่าบาททรงเป็นพระชายาย่อมเป็นข้อยกเว้นเพคะ จะเสด็จเมื่อไหร่ก็ย่อมได้”

“ฉันถามดูเท่านั้น ไม่ได้คิดจะไป”

อยู่ให้ห่างเอาไว้เป็นดีที่สุด แต่สิ่งหนึ่งที่ติดพระทัยก็คือ

“องค์รัชทายาททรงมีพระสนมด้วยหรือ”

“โอ๊ย! มีสิเพคะ ตั้งเกือบจะห้าสิบนางแน่ะเพคะ อุ๊ย!” นาราโพล่งขึ้นมาแล้วก็นึกขึ้นได้ รีบปิดปากแล้วหัวเราะแหะๆ

“พระชายาคง... ไม่ทรงหึงหรอกนะเพคะ เพราะว่าก็แค่เคยมีเท่านั้นเอง ตอนนี้...” คนพูดหันไปมองเพื่อนอีกครั้ง

“ตอนนี้โปรดให้ทูลลาออกหมดแล้วเพคะ” พิรุณพูดต่อด้วยสีหน้านิ่งๆ เป็นปกติ

“ทำไม”

“ไม่มีใครทราบเหตุผลหรอกเพคะ” นาราบอก “แต่พระองค์โปรดให้ออกก็ต้องออก
หม่อมฉันคิดว่าอาจจะเป็นเพราะว่าทรงรักพระชายาเลยไม่ต้องการมีหญิงอื่นอีกก็เป็นได้เพคะ”

คนฟังถึงกับสะดุ้ง

รัก... รักเขาน่ะหรือ เป็นไปไม่ได้

“โปรดให้ลาออกตั้งแต่เมื่อไหร่”

“วันที่พระชายาทรงกรีดข้อมือเพคะ”

ศวัสนิ่วหน้า เวลาช่างประจวบเหมาะ ไม่แปลกที่นาราจะคิดว่าเป็นเพราะเหตุผลนั้น

แต่เขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แวบหนึ่งเมื่อมองเห็นสายตาของพิรุณ เขาก็สะดุ้งใจ

เพราะราวกับนางกำลังเคียดแค้นเขาอยู่ก็ไม่ปาน

แต่เมื่อมองดีๆ อีกทีก็ไม่เห็นสีหน้าและแววตาเช่นนั้นแล้ว

เจ้าชายรองแห่งอันธกาลได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้

“พระสนม... เป็นผู้หญิงใช่ไหม”

นาราหัวเราะขบขัน

“ก็ต้องเป็นผู้หญิงสิเพคะ”

ไม่ถูกล่ะ มีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง

เรืองอรุณปฏิเสธการแต่งงานระหว่างแคว้นเพราะอ้างว่าเจ้าชายรัชทายาทโปรดผู้ชาย

แต่คนที่ชอบผู้ชายจะมีนางสนมเกือบครึ่งร้อยได้ยังไง

“พระองค์... เคยมีพระสนมผู้ชายบ้างไหม”

“ไม่มีเลยเพคะ”

“แล้วทำไม...”

คำถามค้างอยู่แค่นั้น แต่นางพระกำนัลช่างพูดก็ช่างรู้ใจจนทูลตอบได้ถูกต้อง

“ทำไมถึงทรงรับพระชายามาเป็นพระชายาน่ะหรือเพคะ
หม่อมฉันคิดว่าต้องเป็นเพราะพระองค์ทรงหลงรักพระชายาตั้งแต่แรกเห็นเป็นแน่เพคะ”

คราวนี้นาราไม่หันไปมองหน้าเพื่อนเลย

“... ฉันดูเหมือนผู้หญิงหรือ”

“อุ๊ย! ไม่เหมือนเลยสักนิดเพคะ พระชายาทรงเป็นผู้ชายที่งดงามมากต่างหากเพคะ
ขนาดหม่อมฉันเห็นครั้งแรกยังรู้สึกใจเต้นเลย”

คำพูดนี้อาจจะไม่เกินจริง เพราะขณะพูด คนพูดถึงกับหน้าแดงปลั่ง

เจ้าชายรองแห่งอันธกาลเห็นแล้วยังอดยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกไม่ได้

“แย้มสรวลแบบนี้แล้วก็ยิ่งงามนะเพคะ หม่อมฉันใจสั่นจะแย่แล้ว”

คราวนี้เจ้าชายต่างแคว้นถึงกับหัวเราะออกมาดังๆ

เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนสาวรุ่นแก่แดดมากกว่าหญิงสาวผู้ตกหลุมรักชายหนุ่มอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

“ถ้าองค์รัชทายาททอดพระเนตรเห็น ก็คงจะยิ่งทรงหลงรักพระชายามากขึ้นแน่ๆ เลยเพคะ”

ศวัสหัวเราะไม่ออกอีกต่อไปแล้ว แม้จะฝืนยิ้มก็ยังลำบาก




แค่อ่านหนังสือในห้องหนังสือก็กินเวลาในแต่ละวันของเจ้าชายรองแห่งอันธกาลไปมากแล้ว

แต่ยังมีกิจกรรมอื่นให้เขาเลือกทำอีกมาก หน้าพระตำหนักเป็นสนามหญ้ากว้างขนาดสนามม้า

ถึงจะเคยขี่ม้าแค่ไม่กี่ครั้ง แต่เขาก็ชื่นชอบมันมากและอยากจะขี่อีก

“ทรงม้าได้เพคะ หม่อมฉันทูลแล้วนี่นาว่าจะทรงทำอะไรก็ได้ องค์รัชทายาทประทานพระอนุญาตแล้ว”

“ฉันขี่ไม่เก่งนัก”

“กราบทูลองค์รัชทายาทให้โปรดหาครูมาสอนสิเพคะ”

“ได้หรือ”

“ได้สิเพคะ พระชายาทรงเป็นพระชายา ทูลขอดีๆ อ้อนหวานๆ หน่อย
มีพระประสงค์อะไร องค์รัชทายาทก็ประทานให้หมดแหละเพคะ”

ถ้าอย่างนั้นก็อย่าดีกว่า

ที่ชั้นสองของพระตำหนักมีห้องหนึ่งที่มีเปียโน เจ้าชายรองแห่งอันธกาลเคยฟังและชื่นชอบ

นึกอยากจะเล่นเป็นแต่ไม่มีใครสอน จึงได้แต่ลองจิ้มคีย์บอร์ดแล้วฟังเสียงดู นาราแนะนำด้วยคำแนะนำเดิมว่า

“ทูลองค์รัชทายาทสิเพคะ พระองค์จะได้โปรดให้ครูมาสอน”

เขาปฏิเสธทันที

“ไม่อย่างนั้นก็ทูลขอให้ทรงเล่นให้ฟังก็ได้เพคะ องค์รัชทายาททรงเปียโนเก่งมากนะเพคะ
หม่อมฉันมีวาสนาได้ฟังครั้งหนึ่ง แต่ได้ยินว่าพระองค์ไม่ค่อยทรงเปียโนหรอกเพคะ เพราะว่าทรงมีงานมาก”
 
วรองค์สูงใหญ่น่าเกรงขามออกอย่างนั้น พระพักตร์ดุขนาดนั้น ทรงดนตรีได้ด้วยหรือ




นอกจากห้องหนังสือและห้องดนตรี ยังมีห้องวาดภาพ ห้องงานไม้ชิ้นเล็ก ห้องแผนที่

ห้องกระดาษ ห้องดอกไม้ ห้องประวัติศาสตร์ และอีกหลายๆ ห้องที่น่าสนใจ

สามารถใช้เวลาอยู่ในนั้นได้เป็นวันๆ นอกพระตำหนักยังมีเรือนกระจก

มีสระน้ำ ศาลากลางน้ำ และสวนดอกไม้ชนิดต่างๆ อีกมาก

แต่ศวัสไม่มีเวลาได้เที่ยวชมจนครบ เวลาแห่งความรื่นรมย์ของเขาหมดลง เมื่อพิรุณมาบอกว่า

“คืนนี้องค์รัชทายาทจะเสด็จมาหานะเพคะ”

“มาทำไม” สีหน้าของคนถามซีดลง

“บาดแผลของฝ่าบาทหายดีแล้ว จึงโปรดให้ถวายตัวเพคะ”

เจ้าชายต่างแคว้นนึกอยากจะกรีดข้อมือตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีกสักแผล แต่นาราเหมือนจะรู้ทันจึงรีบดักคอ

“พระชายาอย่าทรงทำร้ายพระองค์เองอีกนะเพคะ ถ้าไม่เห็นแก่พระองค์เองก็เห็นแก่หม่อมฉัน
หม่อมฉันรักพระชายานะเพคะ อย่าทรงทำให้หม่อมฉันต้องเสียใจไปชั่วชีวิตที่ดูแลพระชายาไม่ดีเลย”

อา... เขารู้แล้ว ที่แท้นางก็แค่พยายามทำให้เขาสบายใจ ทำให้เขารู้สึกเอ็นดู

จนกระทั่งเขาทำร้ายตัวเองอีกไม่ได้เท่านั้นเอง

เมื่อก่อนเขาคิดว่าตัวเองเหลือตัวคนเดียวแล้ว ต่อให้ตายไปก็ไม่เป็นไร

แต่ตอนนี้ เขาทำร้ายคนที่เขารู้สึกเอ็นดูเหมือนน้องสาวไม่ลงจริงๆ

ศวัสยิ้มซีดเซียว






“ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ฆ่าตัวตาย”



tbc.

*******************************************************


สรุปว่าจะเริ่มที่ "พรุ่งนี้" ก่อนนะคะ
ต่อด้วย "วันวาน"
แล้วก็จบด้วย "วันนี้"

พรุ่งนี้จะหม่นๆ เล็กน้อย
วันวานจะสดใสกว่า ถือเป็นการพักเบรก
ส่วนวันนี้จะหนักกว่าพรุ่งนี้ค่ะ

ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะคะ โปรดรับดอกไม้แทนใจไปคนละหนึ่งกำด้วยค่ะ :กอด1:

 :3123: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (1) 5 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 05-04-2014 13:38:34

น่าสนุกดีนะ

เป็นกำลังใจให้คนแต่งละกัน---สู้ๆ

+ 1 + เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (1) 5 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 06-04-2014 01:36:47
 o13 สนุกมาก ยกนิ้วให้เลย
อ่านแล้วติดจริงๆ ชักอยากให้เรื่องมันยาว

เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะ
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 2) 9 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 09-04-2014 22:54:10
พรุ่งนี้... ที่รอคอย
บทที่ 2


การถวายตัวที่ว่าดูจะไม่ใช่เรื่องเล็กเลย เพราะต้องใช้เวลาเป็นวันๆ ในการ ‘เตรียมตัว’ นาราบอกว่า

“องค์รัชทายาทจะได้พอพระทัยนะเพคะ”

แล้วมีใครสนใจความรู้สึกของเขาบ้างไหม

“ไม่ต้องทรงอายหรอกเพคะ พระวรกายของพระชายางดงามมาก”

นั่นไม่ใช่ประเด็น ความสำคัญมันอยู่ที่ว่าเขาเป็นผู้ชาย แต่อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงต่างหาก

“หรือถ้าทรงอาย จะให้หม่อมฉันถอดเป็นเพื่อนก็ได้นะเพคะ”

พอเถอะ แค่ชุดนุ่งน้อยห่มน้อยที่สวมใส่อยู่เพื่อจะได้สะดวกในการอาบน้ำและขัดสีฉวีวรรณให้เขานี่มันก็มากพอแล้ว
ถึงยังไงเขาก็เป็นผู้ชาย หวั่นไหวกับสรีระร่างกายของผู้หญิง

วันนี้ทั้งวันไม่รู้ว่าเขาเผลอมองหน้าอกใต้ผ้าเช็ดตัวของพิรุณไปกี่ครั้งกี่หนแล้ว

เจ้าชายแห่งเรืองอรุณไม่ทรงระแวงว่าเขาจะทำอะไรไม่ดีไม่งามกับนางพระกำนัลของพระองค์บ้างหรือยังไง

หรือคิดว่าเขาเป็นผู้หญิง

การเตรียมถวายตัวของผู้หญิงเป็นอย่างไรเขาไม่รู้ แต่ของผู้ชายมีขั้นตอนบางอย่างที่น่าอายนัก
เจ้าชายศวัสแห่งอันธกาลตกใจแทบสิ้นสติเมื่อพิรุณยืนกรานว่าจำเป็นต้องทำเพื่อป้องกันความผิดพลาด

ที่จริงแล้วเรื่องนี้เขาก็เรียนรู้จากสำนักบำเรอหลวงมาก่อน แต่ไม่คิดว่าพิรุณจะเป็นคนทำให้

“ถ้าไม่โปรดให้หม่อมฉันทำ จะมีคนจากสำนักบำเรอหลวงมาทำถวายนะเพคะ”

“หรือจะโปรดให้หม่อมฉันทำแทนก็ได้นะเพคะ”

นารากราบทูลด้วยสีหน้าแสดงความเห็นใจ เจ้าชายหนุ่มต้องรวบรวมกำลังใจอย่างมากกว่าจะกลั้นพระทัยรับสั่ง

“ฉัน... จะทำเอง”

จะยอมให้นางกำนัลที่พูดคุยอย่างสนิทสนมด้วยกันมาหลายวันทำให้ได้ยังไง ต่อไปท่าจะมองหน้ากันไม่ติด

“ไม่ได้นะเพคะ”

พิรุณบอกเสียงแข็งเสียจนเจ้าชายหนุ่มประหลาดใจ และดูเหมือนเจ้าตัวก็จะรู้ว่าทำตัวมีพิรุธ

“หม่อมฉัน... แค่อยากให้การถวายตัวคืนแรกเป็นไปด้วยดีเพคะ
อย่างน้อยก็ขอให้ผ่านคืนนี้ไป ถ้าทำให้ไม่พอพระทัยตั้งแต่คืนแรก
ฝ่าบาทจะทรงลำบากนะเพคะ”

คนฟังลังเล หลังจากนิ่งไปนาน ก็ตัดสินใจพยักหน้าให้

“งั้นก็... ทำเถอะ”

เขาไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะลำบาก
แต่กลัวว่าเจ้าชายที่ฆ่าคนเป็นผักปลาพระองค์นั้นจะทรงลงพระอาญานางกำนัลของเขา
เขาไม่อยากตื่นขึ้นมาแล้วรับรู้ว่าทำให้ใครต้องตายไปอีก

หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว พิรุณก็ถามกึ่งขออนุญาต

“สร้อยพระศอเส้นนั้นถอดออกได้ไหมเพคะ”

เจ้าชายแห่งอันธกาลจับสร้อยเงินห้อยล็อกเก็ตรูปหยดน้ำที่ทรงสวมติดพระศอมาตั้งแต่สิบปีที่แล้วไว้

“ทำไมหรือ”

“องค์รัชทายาทโปรดให้คนที่จะถวายงานเนื้อตัวเกลี้ยงๆ ไม่สวมใส่เครื่องประดับเพคะ”

“ตั้งแต่ใส่ ฉันก็ไม่เคยถอดเลย ขอใส่ไว้อย่างนี้เถอะ ถ้าองค์รัชทายาทตรัสสั่งให้ถอด ฉันจะถอดเอง”

พิรุณมีสีหน้าไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก






ท่ามกลางความเงียบ เสียงหัวใจของคนที่นั่งอยู่ตามลำพังบนเตียงดังขึ้นทุกที

“องค์รัชทายาทเสด็จ”

เสียงขานที่ดังอยู่ในห้องนอนส่วนนอกทำให้รู้ว่าพิรุณยังไม่ได้ออกจากห้องตามนาราไป
ไม่นานเจ้าของวรองค์สูงใหญ่ก็เสด็จอ้อมฉากไม้เข้ามา
คนที่จะต้องถวายตัวลุกขึ้นยืนแล้วค้อมตัวถวายความเคารพ
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็แปลกใจเพราะพิรุณเดินตามเข้ามาด้วย
นางถือถาดใส่ขวดแก้วเจียระไนใบเล็กๆ กับถ้วยใบย่อมที่มีลักษณะคล้ายเหยือกไว้

“พิรุณไม่ได้บอกเธอหรือ ว่านางจะต้องอยู่ด้วย”

ศวัสตกตะลึง

“อยู่... ทำไมพระเจ้าค่ะ”

องค์รัชทายาทหนุ่มเสด็จไปประทับลงบนเก้าอี้ พิรุณยังอยู่ที่เดิม
แต่คุกเข่าและก้มหน้าลงน้อยๆ ทำเอาเจ้าชายต่างแคว้นนึกขึ้นได้ว่า
โดยธรรมเนียมแล้วเมื่อเจ้าชายประทับ ข้ารับใช้จะต้องคุกเข่า ห้ามยืน
ขณะกำลังละล้าละลังว่าจะต้องคุกเข่าด้วยหรือไม่ เจ้าชายหนุ่มก็ตรัสตอบ

“ตามระเบียบต้องอยู่เพื่ออำนวยความสะดวก
และจะต้องมีมหาดเล็กหรือองครักษ์อีกคนคอยดูแลความปลอดภัยในกรณีที่นางสนมคิดไม่ซื่อ”

“แต่หม่อมฉันเป็นพระชายา!”

เจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณแย้มพระสรวลได้งดงามมาก
อาจจะละลายหัวใจของผู้หญิงได้ทุกคน

แต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่เจ้าชายรองแห่งอันธกาลอยากจะเห็นในเวลาเช่นนี้

“ยอมรับก็ดีแล้ว”

ไม่ต้องรอให้ร้องขอ พระองค์ก็ตรัสสั่ง

“วางของเอาไว้แล้วออกไปได้”

“แต่...”

พิรุณมีสีหน้าไม่ยินยอมพร้อมใจ
ศวัสไม่มีเวลามาคิดว่าทำไมหญิงสาวถึงอยากจะอยู่ด้วยนัก
มัวแต่โล่งใจว่าเพียงแค่ถูกเจ้าชายภีมเสนตวัดสายพระเนตรมองเพียงแวบเดียว นางก็หน้าซีด
เดินเข่าไปวางถาดทองไว้บนโต๊ะตรงเบื้องพระพักตร์ ก้มลงกราบครั้งหนึ่งแล้วล่าถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ

“สำนักนางบำเรอหลวงสอนมาแล้วใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”

แค่คิด ตัวก็สั่นสะท้านน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่  จำใจต้องพยักหน้าและคุกเข่าลง
ยังไม่ทันได้คลานไปหา อีกฝ่ายก็เสด็จมายืนอยู่ตรงหน้า
ปลายคางถูกพระหัตถ์ใหญ่ช้อนให้เงยขึ้นมองพระพักตร์

“นั่นมันระเบียบของผู้หญิงทั่วไป ลืมๆ มันไปเสีย เธอแค่ผ่อนคลายก็พอ”

ผ่อนคลายหรือ ยากยิ่งกว่าสั่งให้ไปตายเสียอีก

“ยืนขึ้น”

ขาสองข้างดูเหมือนจะอ่อนแรงขึ้นมาเฉยๆ ได้แต่ยืนตัวสั่นระริกอยู่เบื้องพระพักตร์พลางก้มหน้าก้มตา

สะท้านเฮือก

เมื่อจู่ๆ ก็ถูกสวมกอดไว้หลวมๆ ขนทั่วทั้งตัวลุกชั้นเมื่อถูกหอมตรงซอกคอ

“ฝ... ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นผู้ชาย”

“รู้แล้ว”

ปลายคางถูกเชยขึ้นอีกครั้ง ตาต่อตาประสานกันในระยะใกล้
ดวงพระเนตรสีเหล็กสะกดให้ยืนนิ่งเพื่อรอรับจุมพิตที่ร้อนผ่าว

แรกทีเดียวคนประทานจูบให้ก็พยายามจะทรงนุ่มนวลอ่อนโยน
แต่รสปากอันไร้เดียงสาเย้ายวนให้ต้องทรงดูดดื่มครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างรุนแรง

ในสายตาที่พร่ามัว ศวัสเห็นอารมณ์อันเข้มข้นลึกล้ำในดวงพระเนตรอย่างแจ่มชัด

“เป็นผู้ชาย... แล้วก็เป็นเมียของฉัน”

ยังไม่ทันจะปรับลมหายใจได้เป็นปกติ ริมฝีปากก็ถูกครอบครองอีกครั้ง
เนื้อตัวที่สั่นสะท้านเป็นลูกนกตกน้ำถูกลูบไล้ปลอบประโลมด้วยพระหัตถ์ของคนที่เขาตกอยู่ในกำมือ

ศวัสหูอื้อตาลาย

มัวเมาในรสจูบจนกระทั่งหลังติดเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทันรู้ตัว

พระหัตถ์ใหญ่ที่อุ่นจนร้อนสอดเข้ามาลูบไล้แผ่นอก
คนตกเป็นเบื้องล่างสะดุ้งเมื่อยอดอกถูกสัมผัส
เผลอครางเสียงสั่นพร่าเมื่อบริเวณไวสัมผัสถูกบดบี้
เคล้นคลึงอย่างเอาใจ

“ฝ... ฝ่าบาท...”

ยอดอกอีกข้างหนึ่งตกอยู่ในพระโอษฐ์
แม้จะมีเสื้อตัวบางขวางกั้น แต่ก็ยังรับรู้ถึงความอบอุ่นและเปียกชื้นได้เป็นอย่างดี
ร่างกายส่วนล่างที่พยายามดิ้นหนีถูกกดทับและเสียดสีกับพระวรกายที่ใหญ่โตกว่ามาก

ขณะที่กำลังสับสนมึนงงกับสัมผัสอันแสนแปลกประหลาดที่ได้รับ

ก็ถูกจับถอดเสื้อผ้าออกอย่างไม่รู้ตัว

“เธอสวยมาก แล้วก็ตัวหอม”

ไม่หอมได้หรือ เขาถูกจับตัวแช่อยู่ในอ่างน้ำดอกไม้เป็นครึ่งค่อนวันจนตัวแทบเปื่อย
แล้วยังถูกลูบไล้ด้วยน้ำหอมของผู้หญิงอีก

“ฝ่าบาท ทรงปล่อยหม่อมฉันไปได้ไหมพระเจ้าค่ะ จะโปรดให้ทำอะไรถวายก็ได้
จะลงโทษหรือดูถูกเหยียดหยามยังไงก็ได้ ให้สาสมกับที่หม่อมฉันเป็นเชลย
ขอแค่อย่าทรงทำลายศักดิ์ศรีของหม่อมฉันด้วยวิธีนี้”

“ศวัส”

เจ้าของชื่อสูดหายใจเข้าดังเฮือก
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกเรียกชื่อหรือเพราะถูกลูบแก้ม

“เธอรู้ดีว่าหนีฉันไม่พ้น เพราะฉะนั้นจงเงียบเสีย
และอย่าโทษตัวเองว่าไม่ได้พยายามดิ้นรน
เธอพยายามแล้ว แม้กระทั่งฆ่าตัวตาย แต่เธอก็ยังต้องอยู่ตรงนี้
สภาพของเธอเป็นอย่างนี้แล้ว นอนเปลือยอยู่ใต้ร่างของฉัน
และสภาพของฉันก็เป็นอย่างนี้”

คนรับสั่งทรงจับมือของเขาไปสัมผัสกับส่วนกึ่งกลางพระวรกาย

ศวัสเบิกตากว้าง ดวงตาไหวระริกด้วยความหวาดหวั่น
ทั้งแข็งชันและใหญ่โตอย่างนั้น

แล้วเขาจะเป็นยังไง

“รู้ใช่ไหมว่าเธอเลี่ยงไม่ได้ ทางเดียวคือต้องพยายามผ่อนคลาย ครั้งแรกของเธอ ฉันจะอ่อนโยนให้เป็นพิเศษ”

เจ้าชายแห่งอันธกาลส่ายหน้า เขารู้ แต่เขายอมรับไม่ได้
อย่างไรก็ดี คนเบื้องบนทรงเปลื้องฉลองพระองค์ออกแล้ว
พระวรกายแข็งแรงกำยำที่อยู่เหนือร่างของเขาดูใหญ่โตจนน่ากลัว
โดยเฉพาะส่วนที่ผงาดแข็งชูชัน

“ฝ่าบาท”

คนทูลเรียกเสียงเครือหลับตา

“อย่าร้องไห้”

เสียงที่กระซิบอยู่ข้างหูช่างอ่อนโยน แต่ความแข็งขืนร้อนผ่าวที่เสียดสีกับตัวเขาอยู่ไม่อนุญาตให้เขาหลงกล

“ขอได้ทรงโปรด เมตตาหม่อมฉันเถิดพระ... อะ... อื้ม...อื้อ...”

เจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณทรงกลืนกินคนใต้ร่างทีละน้อย
พระหัตถ์ฟอนเฟ้นไปทั่วเรือนกายขาวผ่องเนียนมือ
เจ้าชายแห่งอันธกาลสะดุ้งเมื่อส่วนกลางกายตกเป็นเชลยอยู่ในพระหัตถ์และถูกรูดรั้งเอาใจ
องค์รัชทายาทหนุ่มทรงกดจูบดูดดื่ม ซุกไซ้พระนาสิกไปทั่วผิวเนื้อหอมกรุ่น

“ไม่ต้องกลัว ฉันจะเมตตาเธออย่างดีในฐานะสามี อย่าเกร็ง แล้วทำหน้าที่ของเมียให้ดี”

หน้าที่อะไร ต้องทำยังไงเขาไม่รู้แล้วทั้งนั้น ความกลัวมีมากมายจนต้องร้องไห้
ทว่าทั้งที่สะอื้นขนาดนี้แล้ว อีกฝ่ายก็ยังไม่ทรงปรานีแม้แต่น้อย
ขยับพระหัตถ์ปลุกเร้าอารมณ์ไม่หยุดยั้งจนเขาเสียวสะท้านไปทั้งข้างบนและข้างล่าง

“ฮะ... ฮ่าห์.... อะ... อื้อ... อ้า... ฮ่าห์... ฝ่าบาท... อยะ... อ๊าา””

ตัณหาถูกปลดปล่อยออกมาอย่างรุนแรงขณะที่ยอดอกข้างหนึ่งถูกกัด

ทั้งเจ็บและเสียวในขณะเดียวกัน

ศวัสหลับตาหอบหายใจ

เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองมานิ่งๆ

สายพระเนตรที่มองมาทำให้ทั้งหวั่นกลัว

อับอาย

และหวั่นไหวในขณะเดียวกัน

เจ้าของพระวรกายใหญ่โตทรงก้มลงมาจูบเขาอีกครั้ง
เจ้าชายแห่งอันธกาลไม่มีแรงจะหุบปาก
จำต้องปล่อยให้อีกฝ่ายทรงส่งพระชิวหาล่วงล้ำเข้ามาในปาก
ทว่าถึงอารมณ์จะปั่นป่วนแค่ไหนก็ยังมีสติรับรู้รางๆ ว่าของเหลวอุ่นๆ ถูกราดลงบนช่องทางด้านหลัง

“อื้อ!”

นิ้วพระหัตถ์นิ้วหนึ่งสอดล้ำเข้ามาในร่างของเขาแล้ว แต่เสียงร้องกลับออกมาไม่ได้

“อย่าเกร็ง ฉันเข้าไม่ได้”

เข้าไม่ได้ก็ไม่ต้องเข้า!

“ถ้าฉันเข้าดีๆ ไม่ได้ เธอจะเจ็บมาก”

ศวัสหน้าซีด

“เพราะฉะนั้นผ่อนคลายซะ ให้ฉันเข้าไป”

ไม่! ไม่เอา! เจ้าชายต่างแคว้นเกร็งตัวเอาไว้

“อ๊า!”

“ฉันเตือนเธอแล้ว อย่าเกร็ง ถ้าไม่อยากเจ็บ”

เพราะพระองค์ทรงปวดหนึบไปหมด ใกล้จะทนไม่ไหวเต็มทีแล้ว
ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงไม่ต้องห่วง
แต่นี่เป็นศวัส
ความอดทนของพระองค์จะหมดเอาง่ายๆ

“ผ่อนคลายนะ เด็กดี”

คนถูกเรียกว่าเด็กดีหน้าแดงวาบ
ทว่าเมื่อเห็นสายพระเนตรอ่อนโยน ก็เผลอตัวผ่อนคลายขึ้นนิดหนึ่ง
จังหวะนั้นเองนิ้วพระหัตถ์ก็สอดลึกเข้ามาอีกจนต้องเผลอร้องคราง
เขาอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเมื่ออีกฝ่ายแย้มพระสรวลให้

เจ้าชายภีมเสนทรงจูบปลอบประโลมให้มัวเมา พลางขยับนิ้วพระหัตถ์เพื่อเปิดทาง
สอดเข้าออกแล้วเพิ่มจำนวน แยกปากทางอ่อนนุ่มให้ขยายตัวกว้าง
เมื่อพอจะได้ที่ก็จงใจถอนพระโอษฐ์ออกในจังหวะที่สอดใส่พระวรกายร้อนผ่าวเข้าไป

“อ้าาาาา!”

เพื่อที่จะได้ยินเสียงหวีดร้องก้องสะท้าน

ศวัสเสียวแปลบ ความเสียวซ่านระคนเจ็บปวดแล่นปลาบไปตามสันหลัง
เจ้าชายหนุ่มหอบหายใจดังฮั่กๆ
ขณะเจ้าชายภีมเสนทรงรอให้อีกฝ่ายหายใจเบาลงก่อนจะทรงขยับพระวรกายที่แข็งจนปวด

ความรู้สึกซาบซ่านแล่นพล่านไปทั่วร่าง ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ไม่มีสติสัมปชัญญะจะคิดอะไรทั้งสิ้น

ยอมแอ่นกายให้อีกฝ่ายทรงกัด และดูดเลียแต่โดยดี
ความเสียวซ่านช่วยบรรเทาความเจ็บปวดเบื้องล่างได้
ไม่นานนัก ช่องทางที่ถูกเสียดสีจนแทบลุกไหม้ก็สร้างความรู้สึกเสียวกระสันขึ้นมา
จนแก่นกายตั้งชันขึ้นมาอีกหน
ครั้นถูกจับกระตุ้นเพียงเล็กน้อย ก็ถึงกับปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง

ช่องทางอ่อนนุ่มที่บีบกระชับ ตอดรัดถี่ๆ
ส่งผลให้องค์รัชทายาทหนุ่มทรงลุถึงฝั่งในเวลาต่อมาไม่นาน


พระวรกายหนักๆ ทาบทับลงมาจนคนอยู่เบื้องล่างแทบจะจมหายลงไปในฟูก



tbc.

******************************


ได้กันเร็วเนอะ  :-[
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 2) 9 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 10-04-2014 01:15:13
 :m10: ฝ่าบาท เอ็นซีของท่านช่างร้อนแรงจริงๆ
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 2) 9 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 10-04-2014 01:24:39
ทันใจจังวุ้ย เดาว่าพิรุณคือสนมเก่า น่าสงสารนาง
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 3) 12 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 12-04-2014 09:12:45
พรุ่งนี้...ที่รอคอย
บทที่ ๓


   “อย่าฆ่าตัวตาย เพราะถ้าเธอตาย ฉันจะส่งคนไปโลกหน้าเป็นเพื่อนเธอหลายๆ คน”

เจ้าชายภีมเสนรับสั่งประโยคนั้นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะเสด็จออกจากห้องไป

ไม่นานนักพิรุณก็เข้ามา

เจ้าชายแห่งอันธกาลซึ่งกำลังทรงคับแค้นและชอกช้ำเหลือจะกล่าวรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดร่างกาย

“หม่อมฉันจะชำระพระวรกายถวายเพคะ ฝ่าบาทจะได้ทรงสบายตัว”

“ไม่เป็นไร”

เวลาอย่างนี้เขาอยากอยู่คนเดียว

“เป็นหน้าที่เพคะ”

น่าแปลกที่วูบหนึ่งคนฟังรู้สึกว่านางพระกำนัลสาวดูปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำหน้าที่นี้

“นาราล่ะ”

“ตอนนี้พักผ่อนอยู่เพคะ แต่ถ้าโปรดให้นางถวายงาน หม่อมฉันจะไปเรียกมาเข้าเฝ้า”

“ไม่เป็นไร พิรุณทำเถอะ”

จะต้องอายอะไรอีก ให้มือของผู้หญิงช่วยลบล้างสัมผัสของผู้ชายออกไปบ้างก็น่าจะดี




“ประทับอยู่บนพระที่นั่นล่ะเพคะ หม่อมฉันจะเช็ดพระวรกายถวาย”

คนที่สวมเสื้อเรียบร้อยแล้วและกำลังจะลงจากเตียงเพื่อไปห้องน้ำชะงัก

รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมขึ้นไปอยู่บนเตียงดังเดิม

ก็ดีเหมือนกัน

เพราะตอนนี้เขาปวดตัวไปหมด แค่ขยับตัวยังลำบาก

นางพระกำนัลสาวสวยจัดการเตรียมน้ำลอยดอกไม้กับผ้าสะอาดมาวางไว้บนตั่งปลายเตียง

ออกปากขออนุญาตแล้วจึงขึ้นมาบนเตียง

“ถ้าไม่สะดวกพระทัย จะทรงหลับพระเนตรก็ได้นะเพคะ”

เจ้าชายหนุ่มหลับตาลง

ก่อนจะลืมตาโพลงเมื่อส่วนไวสัมผัสถูกแตะต้อง

“หม่อมฉันแค่จะทำความสะอาดถวายเพคะ”

เจ้าของเตียงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

ก่อนจะพยักหน้าแล้วหลับตาลงอีกครั้ง แม้จะรู้สึกแปลกๆ

แปลกใจด้วยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ไม่รู้สึกเขินอายเลยแม้แต่น้อย

แต่ความปรารถนาจะลบสัมผัสของ ‘สามี’ ทิ้งไปมีมากกว่า

จึงยอมแม้กระทั่งให้นางใช้นิ้วล้วงเอาเชื้อพันธุ์ที่คั่งค้างอยู่ในช่องทางที่แสนน่าอายออกมา

นิ้วของผู้หญิง ยังไงก็ดีกว่าของผู้ชาย

แต่แปลกเหลือเกินที่ความทรงจำยามถูกสอดชำแรกยังไม่ยอมจางหายไป มีแต่จะยิ่งแจ่มชัดมากขึ้น

“ทำอะไร!”

สิ่งที่ลืมตาขึ้นมาเห็น

คือใบหน้างดงามของนางพระกำนัลสาวที่อยู่ห่างจากระหว่างขาของเขาไม่มาก

คราบของเหลวที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากบ่งบอกให้รู้ว่าไม่ได้เข้าใจผิด

ขณะที่เขาตกใจ นางกลับยิ้มอ่อนโยน

“หม่อมฉันทราบเพคะ ว่าฝ่าบาททรงรังเกียจสัมผัสขององค์รัชทายาท หม่อมฉันเห็นใจฝ่าบาทและเต็มใจทำอย่างนี้
ขอให้หม่อมฉันได้ช่วยลบล้างความรู้สึกไม่ดีให้ฝ่าบาทเถิดนะเพคะ”

เจ้าชายแห่งอันธกาลนิ่งอึ้ง ขณะที่ใบหน้าของพิรุณยังไม่ยอมเคลื่อนห่างออกไป ดวงตากลมโตคู่สวยมีแววเว้าวอน

เนิ่นนาน... ในที่สุดเจ้าชายต่างแคว้นก็พยักหน้าแล้วหลับตาลง

คราวนี้ความทรงจำยามถูกความแข็งขึงร้อนผ่าวตอกกระแทกไม่มีอยู่อีกแล้ว

เพราะถูกแทนที่ด้วยสัมผัสอันอ่อนนุ่มของเรียวลิ้นเล็กๆ ที่ตวัดพลิกพลิ้วอยู่ในช่องทางน่าอาย

...ครั้งแล้ว... ครั้งเล่า อย่างไม่คิดจะรังเกียจเลยแม้แต่น้อย





ห่างจากคืนแรกสามวัน เจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณก็เสด็จไปหาพระชายาของพระองค์อีก

ศวัสยังคงขัดขืน แต่น้อยลงกว่าเดิม

เจ้าชายแห่งอันธกาลมีทีท่ายินยอมพร้อมรับชะตากรรมมากขึ้น

แต่ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกขมขื่นยามถูกล่วงล้ำลดน้อยลง

คราวนี้ทรงเรียกร้องมากขึ้น เขาต้องรองรับพระองค์ถึงสองครั้งสองครา

ส่วนตัวเขาเองเสร็จสมไปมากครั้งกว่านั้น

เขารู้แล้ว ว่าที่เคยรับสั่งว่า ‘ครั้งแรกของเธอ ฉันจะอ่อนโยนให้เป็นพิเศษ’ นั้นเป็นความจริง

เพราะครั้งต่อมา พระองค์ทรงรุกรานเขาหนักขึ้นมาก

ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ส่งเสียงร้องออกไป แต่เอาเข้าจริงกลับกลั้นเสียงครวญครางเอาไว้ไม่ได้เลย

อารมณ์ถูกปลุกปั่นจนพลุ่งพล่าน สติสัมปชัญญะเหือดหาย

จนแอ่นผวาตัวเข้าหาการโหมกระทั้นของคนเบื้องบนอย่างลืมตัว

กลิ่นคาวคละคลุ้งของกิเลสตัณหาอบอวลเต็มห้อง
.
.
.
จนกระทั่งถูกกลืนหายเข้าไปในริมฝีปากเล็กๆ ที่แสนเย้ายวนของนางพระกำนัลคนงามจนหมดสิ้น




“สร้อยเส้นนี้สำคัญมากหรือ”

ครั้งหนึ่ง หลังจากเสร็จกิจกรรมบนเตียงแล้ว เจ้าชายภีมเสนเคยตรัสถามพระชายา

“สำคัญมากพระเจ้าค่ะ เป็นของที่แม่ของหม่อมฉันให้ติดตัวไว้ก่อนตาย”

ขณะทูลตอบ ก็ภาวนาไปด้วยว่าขออย่าให้อีกฝ่ายทรงยึดเอาไป หรือตรัสสั่งให้ถอดออกเพราะมันเกะกะเวลาร่วมสังวาส

“เป็นของนางเอง หรือนางได้มาจากใคร”

เจ้าชายแห่งอันธกาลแปลกใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะติดใจถาม

“ท่านแม่บอกว่าเป็นของประจำตระกูลพระเจ้าค่ะ”

“เธอรักแม่ไหม”

คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมาจากพระอุระเปล่าเปลือยที่ถูกบังคับให้นอนซบอยู่

เมื่ออีกฝ่ายไม่ว่าอะไร เขาก็ถือโอกาสลุกขึ้นนั่งเสียเลย

อยากจะขยับตัวออกห่างอีกฝ่ายให้มากที่สุด แต่ก็ตระหนักว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดทันทีที่มองเห็นสายพระเนตร

เจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณทรงอ่านยาก สีพระพักตร์ สายพระเนตร ล้วนไม่บ่งบอกว่าทรงรู้สึกยังไง คิดอะไรอยู่

คนที่พระองค์ทอดพระเนตรมองเสียอีก ที่รู้สึกว่าถูกอ่านเสียจนทะลุ

“ใครๆ ก็รักแม่พระเจ้าค่ะ”

“เคยโกรธนางไหม ที่นางทำให้เธอถูกรังเกียจจากคนในราชวงศ์”

คนถูกถามสะท้านใจ แม้จะเป็นเรื่องเก่าแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะลืมเลือนกันได้ง่ายๆ

เคยมีคนถามคำถามนี้กับเขาหลายคน แต่ไม่คิดว่าเจ้าชายภีมเสนจะทรงเป็นหนึ่งในนั้น

ไม่รู้ว่ามีพระประสงค์อะไร

ขณะที่เขาเงียบไปนาน คนที่เขารู้จากนาราว่ามีงานมากมายอยู่ตลอดเวลากลับทรงรอคอยเงียบๆ

โดยไม่เร่งเร้าหรือเปลี่ยนเรื่อง

“ท่านแม่ของหม่อมฉันใจดีมากพระเจ้าค่ะ ถึงนางจะ... เป็นหญิงบ้า
แต่ก็มีบางเวลาที่พูดกับหม่อมฉันอย่างปกติ ถึงจะเป็นตอนที่... พูดไม่รู้เรื่อง ก็ยังใจดี”

คนพูดไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรจึงกราบทูลออกไปยาวขนาดนั้น

เขาไม่ได้พูดเรื่องนี้กับใครบ่อยนัก และก็น้อยนักที่จะมีคนฟังเงียบๆ อย่างตั้งใจ ไม่มีเจตนาจะเสียดสีเยาะเย้ย

องค์รัชทายาทหนุ่มทรงยกพระพาหาขึ้นเป็นเชิงเรียกให้เข้าไปหา

คนเป็นพระชายาจำยอมอึกอักลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับเข้าไปนอนตรงตำแหน่งเดิมอย่างขลาดๆ

แต่อีกฝ่ายไม่ได้ทรงทำอะไรมากไปกว่าลูบไล้ต้นแขนเขาไปมา

อาจเพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เสร็จกิจแล้วยังไม่เสด็จจากไปทันที ศวัสจึงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยระคนทำตัวไม่ถูก

เมื่อไม่รู้จะพูดอะไรจึงพลั้งปาก

“ท่านแม่บอกว่า ให้หม่อมฉันมอบสร้อยเส้นนี้ให้กับคนที่หม่อมฉันรักพระเจ้าค่ะ”

“อืม”

ศวัสรอคอย แต่เจ้าของพระวรกายหนาอุ่นที่กอดเขาอยู่ก็ไม่ได้รับสั่งอะไรมากกว่านั้น

เขาไม่รู้เลย ว่าความรู้สึกผิดหวังบางเบาในอกนี้มาจากไหน

คืนนั้นเขาเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ แต่ตื่นขึ้นมาอีกทีก็สายแล้ว และเขาก็นอนอยู่บนเตียงคนเดียว

ไม่นาน พิรุณก็เข้ามาทำหน้าที่อย่างเคย แต่คราวนี้เขารู้สึกกระดากใจที่จะให้นางปรนนิบัติเช่นเดิมอีก

อาจเพราะตอนนี้เช้าแล้วก็เป็นได้

นางพระกำนัลสาวดูจะหงุดหงิด แต่ก็เพียงแวบเดียวอีกเช่นเคย

“ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันไม่ทำอย่างนั้นก็ได้ แต่ตอนเช้าๆ อย่างนี้ ถ้าได้ทรงผ่อนคลายสักหน่อยก็จะทำให้สบายตัวนะเพคะ”

ก่อนที่เจ้าชายต่างแคว้นจะทันได้ถามอะไร อีกฝ่ายก็ใช้มือน้อยๆ อันนุ่มนิ่ม

จับส่วนอ่อนไหวที่กึ่งแข็งกึ่งอ่อนตรงกลางกายของเขาเอาไว้

รูดรั้งเบาๆ แล้วครอบครองด้วยริมฝีปากที่ทั้งอ่อนนุ่ม ชุ่มชื้น และร้อนผ่าวทันที

“พิรุณ เดี๋ยวก่อน จะทำอะไร”

คนถูกถามช้อนสายตาขึ้นมามอง แต่ไม่ยอมถอนริมฝีปากออก

กลับเร่งเร้าปรนนิบัติอย่างดูดดื่มยิ่งกว่าเดิม

และคนที่ไม่เคยได้รับการปรนนิบัติทำนองนี้มาก่อนก็ไม่มีแรงจะขัดขืน

อารมณ์ถูกปลุกเร้าจนเตลิดเพริด

ครั้นถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด หยาดอารมณ์ขุ่นขาวก็พวยพุ่งออกมาอย่างรุนแรง

แต่ไม่ตกลงบนฟูกเลยแม้แต่หยดเดียว

ภาพของหญิงสาวหน้าตาสะสวยใช้ปลายลิ้นแลบเลียคราบกามารมณ์บนริมฝีปากนั้นตราตรึง
.
.
.
.

ฝังใจคนมองไปตลอดวัน




tbc.

**********************


IsDeer - จุดประสงค์เบื้องต้นของการเขียนเรื่องนี้ก็คือฉากบนเตียงนี่แหละค่ะ หุหุ

iforgive - ถึงตอนนี้ ความคิดเกี่ยวกับพิรุณอาจจะ... เปลี่ยนไป... รึเปล่าคะ

อ๊ายอาย - เรื่องรวมเล่มคิดว่าจะทำเก็บไว้อ่านเองสักเล่มค่ะ แต่ก็ยังไม่ได้คิดจริงจังมาก
เรื่องอ่านแล้วอิ่ม แต่อยากอ่านต่อนี่นึกถึงเรื่องคุณครับ ระวัง บ้านนี้...ผัวดุ ขึ้นมาเลยล่ะค่ะ
ให้อารมณ์แบบนั้นเลย ชอบมากๆ

ฉากอัศจรรย์นี่ก็... น่าจะมีอยู่เป็นระยะๆ ค่ะ ^^
ว่าแต่ ฉากศวัสกับพิรุณนี่นับเป็นฉากนั้นด้วยมั้ยคะ น่าจะนับสินะ  :laugh: :mew5:
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 3) 12 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 12-04-2014 10:21:21
เอ่อ พิรุณ เกินคาดมากอ่ะ ทำแบบเพื่ออะไรกัน
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 3) 12 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 14-04-2014 09:45:28
เนิบๆ นิ่มๆ ค่อยๆ ระอุอุ่น...
มาคอยตอนต่อ อย่างใจจดใจจ่อ
++ค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 3) 12 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-04-2014 10:33:08
พิรุณมาแปลกจริงๆ ต้องการอะไรกันแน่
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 3) 12 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 14-04-2014 15:40:39
พิรุณจะรุกศวัสเหรอ  o22
สาวเสียบเหรอเนี่ย
องค์ชายถ้าเสียข้างหลังให้ผู้หญิง ฉันรับไม่ได้  :mew5:
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 4) 16 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 16-04-2014 11:01:52
พรุ่งนี้...ที่รอคอย
บทที่ ๔


หลังจากคิดมาทั้งวัน ศวัสก็ตัดสินใจพูดคุยกับพิรุณตามลำพังในห้องนั่งเล่นใกล้ห้องนอน
เขานั่งบนเก้าอี้ ส่วนพิรุณนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนพื้น
ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนที่กล้าทำเรื่องน่าอายโดยไม่ลังเลได้เลย

“ตอบฉันมาตามตรงได้ไหม เธอทำอย่างนี้ทำไม”

“ทำอะไรเพคะ”

สีหน้าสงบเสงี่ยม น้ำเสียงก็อ่อนโยน จนคนฟังเกือบจะเผลอคิดว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเขาคิดไปเอง

“อย่าให้ฉันต้องพูดให้ชัดเจนกว่านี้เลย ฉันรู้ว่าเธอรู้ แล้วฉันก็คิดว่า เธอไม่น่าจะทำเพราะเห็นใจฉัน”

พิรุณลังเลอยู่ชั่วอึดใจ

“หม่อมฉันทำเพราะความรักเพคะ”

เจ้าชายแห่งอันธกาลถึงกับตกตะลึง นิ่งอึ้งไปหลายอึดใจ

“ธ... เธอรักฉัน”

นางพระกำนัลสาวสวยหลบสายตา ไม่ยอมตอบ

“เป็นไปไม่ได้”

“อย่าทรงบีบบังคับให้หม่อมฉันต้องพูดเลยเพคะ ทรงทราบเพียงว่าหม่อมฉันจะแย่งชิงฝ่าบาทมาจากองค์รัชทายาทให้ได้ก็พอ”

“แต่ฉันเป็น...” ถึงยังไงก็ทำใจให้พูดออกไปไม่ได้ “เป็นเชลยของพระองค์ ส่วนเธอก็เป็นนางพระกำนัลของพระองค์
ถ้าองค์รัชทายาททรงทราบ ทั้งฉันและเธอจะต้องพระอาญา”

พิรุณส่ายหน้าอย่างมั่นใจ

“พระองค์จะไม่ทรงลงพระอาญาฝ่าบาทแน่นอนเพคะ ส่วนหม่อมฉัน ขอเพียงฝ่าบาททรงยืนกรานว่ารักหม่อมฉัน
จะโปรดให้หม่อมฉันได้เป็นพระชายา รับรองว่าองค์รัชทายาทก็จะประทานพระอนุญาตให้เรามีความสุขด้วยกันแน่เพคะ”

มีบางอย่าง หรือหลายอย่างในคำพูดของหญิงสาวที่ไม่ถูกต้อง ผิดปกติ หรืออาจจะผิดปกติทั้งหมดก็ได้

“แต่เธอก็รู้ว่าฉันถูก... ฉันต้องถวายงานทุกคืน ขอร้องทุกคืนให้ทรงละเว้น แต่ก็ไม่เคยทรงละเว้นให้สักครั้ง”

“ก็มีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นล่ะเพคะที่องค์รัชทายาทจะทรงฝืนพระทัยฝ่าบาท ถ้าเป็นเรื่องอื่น พระองค์คงไม่ทรงห้าม”

ถึงแม้ว่าเรื่องอื่นที่ว่าจะหมายถึงการที่ ‘เมีย’ ของพระองค์จะมี ‘เมีย’ น่ะหรือ

ท่าจะบ้า พิรุณมีความคิดบ้าๆ และถ้าเจ้าชายภีมเสนทรงยินยอมจริง พระองค์ก็คงจะทรงบ้าไปด้วย
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น เพราะถึงแม้พิรุณจะทำให้เขาหวั่นไหว
แต่เขาก็ไม่คิดจะทำเรื่องเสี่ยงพระอาญาถึงขนาดยอมให้พิรุณทำอะไรให้มากกว่าแค่ ‘ปลอบใจ’

“จะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าฉันขอห้ามว่าต่อไปนี้เธออย่า... ทำอะไรให้ฉันมากเกินความจำเป็นอีกเลย
ที่ผ่านมาฉัน... ข... ขอบใจมาก” 

ทั้งที่คิดไว้แล้วว่าอาจจะต้องเกลี้ยกล่อมมากกว่านี้ แต่นางพระกำนัลสาวก็ทำให้เขาแปลกใจด้วยการตอบรับง่ายๆ

“ได้สิเพคะ หม่อมฉันยินดีทำตามพระประสงค์”





“เป็นอะไร สีหน้าไม่ค่อยดี”

บางทีเขาก็คิดว่าเจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณเป็นผู้วิเศษ สามารถอ่านใจคนได้

“หม่อมฉัน...”

ต่อให้อยากบอก เขาก็บอกไม่ถูก อย่าว่าแต่เป็นเรื่องที่เขาบอกออกไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดเช่นเรื่องนี้เลย

“คืนนี้ทรงงดได้ไหมพระเจ้าค่ะ”

เสี่ยงกราบทูลออกไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้หวังหรอกว่า...

“งั้นจะทำอะไรกันดี”

“ก็ทำ...” พูดออกไปแล้วจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ “ทำอย่างอื่นได้หรือพระเจ้าค่ะ”

องค์รัชทายาทหนุ่มแย้มพระสรวล

“คืนนี้ได้ เธออยากจะทำอะไรล่ะ”

อะไรดีเล่า เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ทำกิจกรรมอย่างอื่นนอกจากกิจกรรมบนเตียง

“อ่านหนังสือในห้องหนังสือได้ไหมพระเจ้าค่ะ”

อีกฝ่ายทรงเลิกพระขนง คนเป็นพระชายาใจเต้นแรง สีหน้าก้ำกึ่งกันระหว่างมีหวังกับเตรียมใจรับความผิดหวัง

เจ้าชายภีมเสนทอดพระเนตรแล้วก็แย้มพระสรวลขำ

“ได้”

คนได้รับอนุญาตอย่างไม่คาดคิดดีใจจนแทบจะกระโดดตัวลอย





ถึงห้องหนังสือ มหาดเล็กเปิดไฟถวายจนสว่างไสวทั่วห้อง
ยกเครื่องว่างมาถวายสองที่แล้วก็ล่าถอยออกไปตามรับสั่ง
ภายในห้องเหลือเจ้าชายสองพระองค์อยู่กันตามลำพัง

“หม่อมฉันเลือกหนังสือเข้าไปนั่งอ่านในนั้นได้ไหมพระเจ้าค่ะ”

ในนั้นที่ว่าคือห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่ถูกกั้นแบ่งเอาไว้เป็นมุมส่วนตัว ผนังสองด้านเป็นชั้นหนังสือ
ด้านหนึ่งมีเตียงวางชิดไว้พร้อมหมอนอิงใบใหญ่หลายใบ ส่วนอีกด้านที่เป็นทางเข้าก่อเป็นผนังเพียงครึ่งเดียว
และเจาะเป็นช่องหน้าต่าง กลางห้องเป็นโต๊ะกระจกตัวเตี้ยสำหรับวางของเล็กๆ น้อยๆ กับเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง

“ได้ ไปเถอะ”

คนได้รับพระอนุญาตอย่างง่ายๆ กลับลังเลขึ้นมา ทว่าเมื่อพิจารณาแล้วว่าเตียงในห้องนั้นเล็ก
ผู้ชายสองคนนอนด้วยกันไม่ได้แน่จึงตัดสินใจหยิบหนังสือเล่มที่อ่านค้างไว้เข้าไปนั่งอ่านข้างใน

เพิ่งจะอ่านได้สองบรรทัดก็ต้องสะดุ้งเมื่อเจ้าของห้องที่แท้จริงเสด็จมายืนอยู่ตรงทางเข้า
พระวรกายสูงใหญ่ปิดทางเข้าออกไว้มิด คนในห้องรู้สึกเหมือนหนูที่ถูกต้อนให้มาอยู่ในกรงทันที

“ฝ่าบาท”

“เผื่อหิว” รับสั่งแล้วก็ทรงวางแก้วนมกับจานขนมไว้บนโต๊ะให้ “นมยังอุ่นอยู่ ดื่มเสียเลย เย็นแล้วจะดื่มไม่ได้”

กว่าจะรู้ตัวว่าต้องขอบพระทัย คนที่อุตส่าห์เอามาประทานให้ก็เสด็จกลับไปที่โต๊ะหนังสือที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้องเสียแล้ว

ภายในห้องเงียบสงบ เหมาะแก่การอ่านหนังสืออย่างยิ่ง
แรกๆ เจ้าชายแห่งอันธกาลก็รู้สึกอึดอัดอยู่บ้างเพราะตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าไม่ได้อยู่ตามลำพัง
แต่นานเข้าก็หลงอ่านหนังสือเพลินจนลืม ครั้นอ่านจนจบและหันไปมองทางหน้าต่าง
ก็เห็นว่าคนประทับหลังโต๊ะหนังสืออีกฝั่งหนึ่งของห้องทอดพระเนตรมองมาอยู่ก่อนแล้ว
ถึงจะเห็นไม่ชัด แต่เขาก็จดจำแววเนตรทรงอำนาจคู่นั้นได้

ไม่รู้ว่ามองเขาอยู่นานเท่าไหร่แล้ว แต่บนโต๊ะตรงเบื้องพระพักตร์ไม่มีหนังสืออยู่เลยสักเล่ม

หัวใจของคนถูกมองเต้นแรง ยิ่งแรงขึ้นอีกเมื่อเจ้าของวรองค์สูงใหญ่ทรงพระดำเนินตรงมาหา

“ง่วงนอนหรือยัง”

ศวัสส่ายหน้าหวือ

“ยังพระเจ้าค่ะ”

“หนาวไหม”

“ไม่หนาวพระเจ้าค่ะ”

อีกฝ่ายทรงพยักพระพักตร์ แต่ตรัสเรียก

“ใครอยู่ข้างนอกบ้าง”

“เกล้ากระหม่อมพระเจ้าค่ะ”

“บอกนาราหรือพิรุณหาผ้าห่มมาให้พระชายาสักผืน”

“รับด้วยเกล้าฯ พระเจ้าค่ะ”

ระหว่างรอ องค์รัชทายาทหนุ่มก็ไม่ทรงขยับไปไหนเลย
คนเป็นพระชายาถูกบังคับให้ต้องจ้องมองพระพักตร์อยู่อย่างนั้น
แม้จะยังคงรู้สึกอึดอัดระคนหวาดกลัว แต่ก็ไม่มากอย่างที่เคย
หนำซ้ำความรู้สึกที่คล้ายๆ กับขัดเขินยังตีตื้นขึ้นมาจนรู้สึกได้ชัด

ต่อเมื่อมหาดเล็กเคาะพระทวาร กราบทูลขอประทานพระอนุญาตและนำผ้าห่มผืนหนามาถวายแล้ว
เจ้าชายภีมเสนจึงเสด็จล่วงล้ำเข้ามา ภายในห้องแคบขึ้นทันตา

ศวัสยื่นมือออกไปรับ ทว่าอีกฝ่ายทรงคลี่ออกแล้วห่มประทานให้
แม้ร่างกายจะไม่ได้สัมผัสกันเลย
แต่คนนั่งอยู่บนเตียงกลับใจเต้นแรงยิ่งกว่าถูกสัมผัสโดยตรงเสียอีก

“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ”

ไม่เคยคิดเลยว่าจะรู้สึกอย่างนี้ รู้สึกว่าหัวใจพองฟูขึ้นมา
เพียงแค่เจ้าของพระพักตร์ดุๆ และสายพระเนตรทรงอำนาจทรงยกมุมพระโอษฐ์ประทานให้เพียงเล็กน้อย

คืนนั้นเขาก็เผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้อีก
รู้แต่เมื่อตื่นขึ้นมา ภายในห้องก็มืดแล้ว
แต่ตรงช่องกระจกเหนือหน้าต่างมีแสงฟ้าสางอยู่รำไร
และเพียงแค่ขยับตัวก็มีเสียงทัก

“ตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ”

“องค์รัชทายาทล่ะ” อีกครั้งที่ถามออกไปโดยไม่ได้คิด

“เสด็จกลับไปทรงงานตั้งแต่ฝ่าบาทบรรทมหลับเพคะ แต่มีพระบัญชาให้หม่อมฉันมานอนเป็นเพื่อน
พระองค์เป็นคนอุ้มฝ่าบาท จัดให้บรรทมในท่าสบายด้วยนะเพคะ”

แม้จะเห็นหน้าไม่ชัด แต่น้ำเสียงของนาราก็บอกชัดทีเดียวว่าต้องกำลังทำหน้าล้อเลียนอยู่เป็นแน่
น่าแปลกที่คราวนี้คนถูกสัพยอกก็เผลอยิ้มออกมาด้วย

รู้สึกดีเหลือเกินที่ตื่นมาแล้วพบนาราแทนที่จะเป็นพิรุณ

อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าพรุ่งนี้เป็นเช่นนี้อีกก็คงจะดี

อยู่ด้วยกัน แต่ไม่ต้องมีความสัมพันธ์บนเตียงเข้ามาเกี่ยวข้อง





ชะตากรรมของเขาคงจะไม่ดีงามอย่างที่หวัง คืนต่อๆ มาจึงไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีก
เพราะเมื่อเขากราบทูลขอ เจ้าชายภีมเสนก็รับสั่งว่า

“ก็ได้ ถ้าเธอยังมีแรงเหลือ”

ถึงแม้ว่าเขาจะเริ่มเคยชินกับเรื่องเช่นนั้นแล้ว แต่รอจนกระทั่งองค์รัชทายาทหนุ่มพอพระทัย เขาก็ไม่มีแรงเหลืออีกแล้ว
ต่อให้ไม่ถึงกับลุกไม่ขึ้น แต่ก็เพลียมากจนอยากจะหลับอย่างเดียว

ดีอยู่อย่างที่ตอนนี้พิรุณไม่ได้ปรนนิบัติให้เขารู้สึกสบายตัวด้วยวิธีการอันน่ากระอักกระอ่วนใจอีกแล้ว
นางเพียงแต่เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ และขออนุญาตช่วยปรนนิบัติในห้องอาบน้ำ
แต่การทำความสะอาดภายในนั้นเขาเป็นผู้ทำเอง

บางครั้ง... นางก็เผลอตัว... จูบเขาบ้างตามเนื้อตัว
เฉพาะจุดที่เจ้าชายภีมเสนทรงทิ้งร่องรอยเอาไว้
ตามหน้าอก แขน ท้อง หรือแม้แต่สะโพก
ครั้นเขาขยับตัวหนี นางก็มักจะทำหน้าเศร้าแล้วขอโทษ

“หม่อมฉันลืมตัวไปเพคะ ขอทรงอภัยด้วย”

บางครั้งนางก็ไม่ได้เผลอตัว แต่ตั้งใจจูบแล้วให้เหตุผลว่า

“หม่อมฉันสงสารฝ่าบาทเพคะ ทั้งที่ทรงเป็นผู้ชายแท้ๆ แต่กลับถูกกระทำเหมือนกับเป็นผู้หญิง”

เหตุผลนั้นมีอิทธิพลสั่นคลอนจิตใจของ ‘ผู้ถูกกระทำ’ ได้เสมอ
เจ้าชายแห่งอันธกาลมักจะปล่อยให้นางพระกำนัลสาวสวยจูบซ้ำย้ำรอยทุกรอยอย่างง่ายดายหากว่านางกราบทูลในทำนองนั้น

บ่อยครั้งที่เผลอมองนวลแก้ม มองตามริมฝีปากที่กดประทับ ขบเม้มไปตามเนื้อตัว
มองเลยไปถึงทรวงอกอิ่มที่โผล่พ้นคอเสื้อมาให้เห็นรำไร
แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อนางช้อนสายตาขึ้นมามอง

ครั้งหนึ่งถึงกับเผลอตัว ยอมให้นางประกบริมฝีปากด้วย
เพียงแค่นางขยับเรียวลิ้นยั่วเย้า แล้วเรียกเสียงพร่าอยู่ชิดริมฝีปากว่า

“ฝ่าบาท”

เขาก็เปิดปากออกแล้วเป็นฝ่ายเรียกร้องความหอมหวานจากริมฝีปากของนางอย่างเชื่องช้าในคราแรก

ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอย่างตะกละตะกลามในเวลาต่อมา

ความรู้สึกยามได้เป็นผู้ควบคุม
.
.
.
.
.

ชวนให้ใจฮึกเหิมลำพองเช่นนี้เอง




tbc.

********************************

พิรุณเป็นสาวเสียบ  :a5:

เป็นผู้หญิงค่ะ หญิงแท้แน่นอน
ตอนแรกกะจะเขียนคำเตือนไว้ ว่าเรื่องนี้ออกจะมีอะไรบางอย่างที่ดู 'จิตๆ' นิดนึง ก็เรื่องพิรุณนี่แหละค่ะ

แต่ตอนนี้คิดว่า คนอ่านคงจะรับได้... สินะ
นางก็มีเหตุผลของนางค่ะ อ่านๆ ไปคนอ่านคงจะเดาได้

คุณอ๊ายอาย - ถ้าชุนมีโครงการเมื่อไหร่จะบอกนะคะ

ขอบคุณทุกๆ ความคิดเห็นนะคะ :L1:
ตอนหน้าคิดว่าจะเป็นวันเสาร์ค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 4) 16 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-04-2014 11:58:26
ถ้าไม่มีพิรุณเรื่องนี้คงไม่มีดราม่าซินะ
555555
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 4) 16 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 16-04-2014 13:47:14
คือถ้าภีมเสนรู้เรื่องพิรุณจะทำอย่างไรกับเจ้าชายนะ
แล้วหล่อนไปหลงรักเจ้าชายตั้งแต่เมื่อไรกัน
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 4) 16 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 16-04-2014 16:15:53
ตอนแรกนึกว่าพืรุณจะรักภีมเสนเสียอีก
นางมีแผนรึปล่าว
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 4) 16 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 17-04-2014 18:21:44
เพิ่งได้ตามมาอ่านจากนิยายแนะนำค่ะ

เอ่อ พิรุณจิต ดูแล้วนางรักองค์ชายรัชทายาท จึงยากกินน้ำของพระองค์

หรือแม้แต่รอยจูบถึงจะไม่ได้ทางตรงก็เถอะ แล้วคงอยากทำให้ทั้งสองคนต้องแตกแยกกัน

ถ้าองค์ชายรองกระอั่กกระอ่วนกับพิรุณควาทูลสามีตามตรง และเลิกพฤติกรรมแบบนี้เถอะ

มันเหมือนการนอกใจเลยนะ !!
 :pig4: นักเขียน
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 4) 16 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 17-04-2014 23:11:23
รู้สึกกลัวพิรุณ  :sad4:
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 4) 16 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: puengkiss ที่ 19-04-2014 13:14:18
มารอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 4) 16 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: poogan_zadd ที่ 19-04-2014 19:47:42
ไม่จริงงงงงงงงง คือเหมือนพิรุณเป็นด้านมืดและภีมเสนเป็นด้านสว่างเลยค่ะ
ตอนที่อยู่ในห้องหนังสือ บรรยากาศละมุนมากๆ ไม่มีพิรุณแล้วกลับรู้สึกสบายใจดี โล่งดี
แต่พอจะเอนเอียงยอมรับได้ เหมือนจะมีใจให้ภีมเสนได้ ก็มีพิรุณมาคอยฉุดไว้ แล้วนี่ดูท่าจะเลยเถิด
กลัวใจศวัสมากๆ แต่แอบมีความรู้สึกว่าพิรุณไม่ได้รักศวัสแฮะ ไม่กล้าเดา รออ่านต่อไป

กรีดร้องอีกที อ๊ากกกกกก
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 5) 20 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 20-04-2014 14:22:22
พรุ่งนี้... ที่รอคอย
บทที่ ๕

“พระชายาไม่นึกอยากจะเสด็จออกไปข้างนอกบ้างหรือเพคะ”

นาราทูลถาม สีหน้าบอกชัดว่าตัวนางเองต่างหากที่อยากจะไป

“ฉันออกไปได้หรือ”

“อ้าว ได้สิเพคะ พระชายาไม่ใช่นักโทษนี่เพคะ ทำไมจะออกไปไม่ได้
เพียงแต่ต้องทูลขอประทานพระอนุญาตก่อนเท่านั้นเอง”

อย่างนั้นถึงไม่ใช่นักโทษก็คงจะใกล้เคียง
อย่างไรก็ดี การได้รู้ว่าสามารถออกนอกตำหนักได้เป็นความรู้ใหม่

“คืนนี้ฉันจะลองทูลขอดู”

“ทำไมต้องรอถึงคืนนี้ด้วยล่ะเพคะ วันนี้องค์รัชทายาทก็ประทับอยู่ในพระตำหนักนะเพคะ”

นี่ก็ความรู้ใหม่
นอกจากตอนกลางคืนที่ต้อง ‘ถวายงาน’ แล้ว
ศวัสก็ไม่เคยรู้ว่าตอนกลางวันเจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณทรงทำอะไรที่ไหนบ้าง
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ในพระตำหนักหรือไม่อยู่

วูบหนึ่งคิดว่า เป็นเพราะเขาไม่เคยใส่ใจใช่รึเปล่า
แต่พระองค์ก็คงไม่เคยสนพระทัยเหมือนกัน ว่าวันๆ หนึ่งเขาทำอะไรบ้าง

“เสด็จไปตอนนี้เลยก็ได้นะเพคะ ถ้าจะเสด็จไปเดี๋ยวหม่อมฉันไปหาฉลองพระองค์คลุมมาถวายก่อน
ถ้าองค์รัชทายาททอดพระเนตรเห็นว่าฉลองพระองค์ไม่หนาพอล่ะก็ หม่อมฉันต้องพระอาญาหนักแน่เลย”

“ทำไมต้องถูกลงโทษ”

“ก็พระองค์เพิ่งจะทรงกำชับหม่อมฉันมาน่ะสิเพคะ ว่าอากาศเริ่มหนาวแล้ว ให้ดูแลพระชายาให้ดีๆ”

“กำชับ... ตอนไหน”

สีหน้าของนาราเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเผลอตัวพูดผิด แต่แล้วก็งึมงำ “ไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

“หม่อมฉันต้องทูลรายงานทุกวันเพคะว่าแต่ละวันพระชายาทรงทำอะไรบ้าง
ทรงพระสำราญดีไหม โปรดหรือว่าไม่โปรดอะไร”

“ไปรายงานตอนไหน” ในเมื่ออยู่กับเขาแทบจะตลอดเวลา

“ตอนที่พิรุณถวายงานอยู่ในห้องสรงแล้วก็ห้องแต่งพระองค์ตอนเย็นเพคะ”

เดี๋ยวนี้ก่อนจะ ‘ถวายตัว’ เขาไม่ต้องถูกบังคับให้แช่ตัวอยู่ในอ่างน้ำที่มีกลีบดอกไม้ลอยอยู่เต็มไปหมด
หรือยอมให้พิรุณช่วยชำระล้างร่างกายให้แม้กระทั่งในส่วนลี้ลับอีกต่อไปแล้ว
เพราะตอนที่ถูกกอดเอาไว้เฉยๆ หลังจากเสร็จกิจ เขาไม่มีอะไรจะพูด
จึงเคยกลั้นความอายทูลขอว่า ขอไม่ต้องขัดสีฉวีวรรณให้มากมายอย่างผู้หญิงได้หรือไม่
เขารับรองว่าจะดูแลร่างกายให้สะอาดสะอ้าน ไม่ให้ต้องทรงขุ่นเคืองพระทัย
เจ้าชายภีมเสนยังแปลกพระทัยเสียด้วยซ้ำว่าเขาจะยอมให้ทำทำไมถ้าไม่ชอบ

‘เธอเป็นพระชายา ส่วนนางเป็นนางกำนัล ใครก็บังคับเธอไม่ได้ ถ้าเธอไม่ต้องการ’

‘แต่ฝ่าบาท... จะไม่โปรด’

‘ฉัน ‘โปรด’ เธอเสมอ ไม่ว่าเธอจะเป็นยังไง’

ขณะที่ใจเต้นตึกตัก ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทรงหมายความว่ายังไงกันแน่ เขาก็ได้รับการ ‘โปรด’ อีกครั้งตอนนั้นเลย
และถึงแม้จะรู้แล้วว่าคำว่า ‘โปรด’ ของพระองค์หมายความว่ายังไง เขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นจนไม่สามารถยอมให้พิรุณจูบได้

แม้นางจะพูดให้ถึงกับสะอึกว่า

‘เมื่อคืนนี้องค์รัชทายาทคงจะทรงใช้งานส่วนนี้ของฝ่าบาทหนักมากนะเพคะ
หยาดเชื้อพันธุ์ไหลออกมาเองมากขนาดนี้ ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงจะท้องไปแล้ว’

 


“สาลี่ยักษ์เมื่อวันก่อนที่พระชายาทรงชมว่าทั้งหวานทั้งกรอบ องค์รัชทายาทก็ประทานมาให้เพคะ
เพราะหม่อมฉันเคยกราบทูลว่าพระชายาโปรด”

นาราบอกเสียงใส ทว่าคนฟังกลับรู้สึกผิดขึ้นมาทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้ทำอะไรผิด

“หม่อมฉันสนิทกับองครักษ์ประจำพระองค์ขององค์รัชทายาท
เลยแอบรู้มาก่อนด้วยนะเพคะว่าพระองค์ทรงสั่งตัดเสื้อคลุมกันหนาวตัวใหม่เอาไว้เตรียมประทานให้พระชายา
เพราะว่าหอฤดูกาลพยากรณ์ว่าปีนี้อากาศจะหนาวกว่าปีที่แล้วมาก พระชายา... ทรงเป็นอะไรรึเปล่าเพคะ”

“... เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไร”

“แล้วจะเสด็จไปเข้าเฝ้าไหมเพคะ”

“ไปสิ”

จู่ๆ ก็นึกอยากจะเห็นหน้าคนที่หวาดกลัวจับจิตตั้งแต่แรกเห็นขึ้นมาจับใจ

“ต้องให้คนส่งหนังสือไปกราบทูลก่อนไหม”

“คนอื่นต้อง แต่พระชายาไม่ต้องหรอกเพคะ ยังไงองค์รัชทายาทก็ต้องประทานพระอนุญาตอยู่แล้ว”





ศวัสเคยเดินมาทางปีกซ้ายของพระตำหนักแล้วตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่มาอยู่
แต่พอรู้ว่าเป็นส่วนที่ประทับของเจ้าของพระตำหนักก็ไม่ได้มาอีก
วันนี้เมื่อมาอีกครั้งก็รู้สึกเหมือนเพิ่งมาเป็นครั้งแรก

เจ้าชายภีมเสนประทับอยู่ในห้องทรงงาน
มหาดเล็กเข้าไปกราบทูลเพียงครู่เดียวก็ออกมาทูลเชิญให้พระชายาเสด็จเข้าไปได้

เมื่อเข้าไปในห้อง กลิ่นแรกที่เตะจมูกคือกลิ่นยา

“ดีจริงที่วันนี้มาหาถึงนี่”

ทั้งที่คิดมาสารพัดว่าถ้าถูกถามว่ามาทำไมจะตอบว่าอะไรดี
เจอรับสั่งอย่างนี้เป็นประโยคแรกก็รู้สึกว่าเขากลัวไปเองไม่เข้าเรื่อง

“กินกลางวันมาหรือยัง”

“ยังพระเจ้าค่ะ”

“กินด้วยกันไหม ฉันจะได้สั่งให้ตั้งโต๊ะ”

คนถูกถามลังเล นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่

“หม่อมฉัน... จะมาทูลขอประทานพระอนุญาตออกไปข้างนอกพระเจ้าค่ะ” กราบทูลไปแล้วก็ได้แต่กลั้นใจรอคำตอบ

“ไปไหน”

ดีที่พระสุรเสียงถึงจะเรียบแต่ก็เป็นปกติ ไม่ได้แสดงว่าไม่พอพระทัย

“ไม่ได้อยากไปไหนเป็นพิเศษพระเจ้าค่ะ แค่...” จะทูลยังไงดี

“แค่อยากออกไปข้างนอกบ้าง”

“พระเจ้าค่ะ”

เจ้าชายต่างแคว้นยืนลุ้นอยู่ไม่นานก็ได้รับประทานพระอนุญาต

“ไปสิ ให้องครักษ์ตามไปเป็นเพื่อนสักสี่ห้าคน”

ศวัสชะงัก รู้ว่าฐานะที่แท้จริงไม่ใช่ ‘เพื่อน’ แต่เป็น ‘ผู้คุม’ ต่างหาก จะยังไงก็ช่าง ขอแค่เขาได้ออกไปก็พอ

“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันทูล...”

คนจะทูลลาชะงักเมื่อองค์รัชทายาททรงพระกรรสะแห้งๆ ออกมาหลายครั้งติดกัน

“ฝ่าบาท ประชวรหรือพระเจ้าค่ะ”

“ไม่สบายนิดหน่อย”

“... น่าจะตามหมอหลวง...”

“ฉันกินยาแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หาย จะไปเที่ยวก็ไปเถอะ”

แม้จะยังติดใจอยู่ แต่ดูท่าแล้วอีกฝ่ายคงจะไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ เจ้าชายต่างแคว้นจึงทูลลากลับไป

ขณะที่เดินห่างออกมาเรื่อยๆ หูยังได้ยินเสียงกรรสะดังแว่วมาอีกหลายครั้ง




นาราและพิรุณตามมาดูแล ‘พระชายา’ ทั้งคู่ ส่วนองครักษ์ติดตามนั้น
เอาเข้าจริงศวัสก็มองไม่เห็นแม้แต่คนเดียว แต่นาราบอกว่า

“องค์รัชทายาทคงจะโปรดให้ตามมาแบบไม่ให้เห็นตัวเพคะ พระชายาจะได้สบายพระทัย”

คนที่อยู่เหนือคนอื่นนับแสนนับล้านแบบนั้น จะใส่ใจความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ ของเชลยขนาดนี้เลยหรือ

“พระชายา พระชายา เอ่อ... คุณชาย... ขนมนั่นอร่อยมากเลยนะคะ ลองชิมสักหน่อยไหมคะ
หม่อมฉัน เอ่อ... บ่าวก็จะขอซื้อด้วยสักชิ้น”

“เอาสิ”

นาราอยู่ที่ไหน ศวัสก็รู้สึกว่าเขาจะอารมณ์แจ่มใสเบิกบานได้เสมอ
แม้แต่ตอนเป็นเจ้าชายของอันธกาล เขาก็ยังไม่เคยรู้สึกมีความสุขอย่างนี้
ไม่เคยมีอิสระ ไม่เคยมีใครสนใจไยดี ใส่ใจความรู้สึกของเจ้าชายที่มีแม่เป็นหญิงบ้า

หญิงบ้าที่เจ้าหลวงจำใจต้องรับเป็นพระชายา เพียงเพราะนางช่วยชีวิตพระองค์ไว้
และเรียกร้องตำแหน่งพระชายาเป็นสิ่งตอบแทน

ตลาดกลางเมืองหลวงแห่งเรืองอรุณมีสิ่งน่าดูน่าชมมาก บรรยากาศก็คึกคัก
เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน เจ้าชายต่างแคว้นเดินดูอย่างเพลิดเพลิน

“คุณชายต้องการอะไรก็ซื้อได้เลยนะคะ เรามีเงิน เอ๊ย... นายท่านให้เงินมาเยอะแยะเลยล่ะค่ะ
ถ้าไม่พอก็ยังให้องครักษ์ เอ๊ย บ่าวรับใช้กลับไปขอมาเพิ่มได้เลย
นายท่านยินดีจ่ายไม่อั้น ขอแค่คุณชายต้องการเท่านั้น”

บางครั้งศวัสก็นึกหมั่นไส้นางพระกำนัลที่เขาเอ็นดูเหมือนน้องสาวคนนี้อยู่บ้าง
เฉพาะตอนที่นางพูดจาสนับสนุน เทิดทูนความดีงามของนายเหนือหัวให้เขาฟังเสียจนเลิศลอย

“ถ้าฉันอยากจะซื้อทั้งตลาด ก็ซื้อได้ใช่ไหม”

“เอ่อ... เรื่องนั้น... เดี๋ยวหม่อม... เอ่อ... เดี๋ยวบ่าวขอกลับไปทูล... ไปถามนายท่านก่อนนะคะ”

เห็นนางทำท่าทางเลิกลั่ก มองไปรอบๆ ราวกับจะประเมินราคาของสิ่งของทั้งตลาดแล้ว
เจ้าชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาอย่างกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่

“ฉันล้อเล่น”

“โธ่ คุณชายล่ะก็”




เจ้าชายรองแห่งอันธกาลล้อเล่นเป็นแล้ว แต่เจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณท่าทางจะไม่รู้จักคำนี้
เพราะวันรุ่งขึ้น นาราก็มาบอก ‘พระชายา’ ของนางอย่างตื่นเต้นว่าให้ลงไปดูข้างล่าง ที่สนามหญ้าหน้าพระตำหนัก

“ตอนนี้เต็มไปด้วยของมากมายอย่างกับตลาดที่เราไปกันมาเมื่อวานเลยเพคะ”

ศวัสยืนตะลึงอยู่ตรงมุขหน้าของพระตำหนักนั่นเอง เพราะสิ่งที่นาราพูดนั้นไม่ผิดความจริงเลยแม้แต่น้อย

“องค์รัชทายาทโปรดให้ทหารไปกว้านซื้อมาทั้งตลาดจริงๆ เพคะ
ของอะไร ร้านไหน ที่มีวางขายอยู่เมื่อวาน ถูกซื้อมาหมดเลยเพคะ”

“เธอกราบทูล... ว่าฉันอยากจะได้หรือ ไม่ได้บอกหรือว่าฉันล้อเล่น”

“หม่อมฉันทูลแล้วนะเพคะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงยังโปรดให้ซื้อมาอีก”

“ไหนๆ ก็ประทานมาให้แล้ว ฝ่าบาทควรจะคิดหาวิธีจัดการก่อนนะเพคะ
แล้วก็คิดด้วยว่าคืนนี้จะขอบพระทัยพระองค์ยังไง ไม่เคยมีใครได้รับพระกรุณามากมายแบบนี้มาก่อน
นี่ไม่ใช่เงินน้อยๆ เลยนะเพคะ เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทเป็นที่โปรดปรานมาก”

พิรุณพูด เจ้าชายแห่งอันธกาลรู้สึกเหมือนถูกตำหนิและประชดอยู่กลายๆ
เพียงแต่น้ำเสียงของนางพระกำนัลสาวนุ่มนวลมาก และสีหน้าก็มีรอยยิ้มอ่อนโยนอยู่บางๆ
จึงชวนให้คิดว่าเขาอาจจะคิดไปเอง

วันนั้นทั้งวัน ศวัสก็ยังจัดการกับข้าวของต่างๆ ได้ไม่เรียบร้อย
ได้แต่สั่งให้องครักษ์ช่วยกันขนย้ายเข้ามาในพระตำหนักและจัดการกับบรรดาของที่จะเน่าเสียง่าย
อย่างผัก ผลไม้ เนื้อหมู เนื้อไก่ โดยให้นำไปไว้ที่ห้องเครื่อง




คืนนั้น ประโยคแรกที่พระชายาต่างแคว้นกราบทูลพระสวามีก็คือ

“ฝ่าบาททรงทำอย่างนี้เพราะอะไรพระเจ้าค่ะ”

เขาไม่เชื่อว่าเจ้าชายรัชทายาทอย่างพระองค์จะคิดไม่ได้
ว่าไม่ควรใช้จ่ายเงินทองมหาศาลเพื่อทำสิ่งไร้สาระเหมือนกับลูกเศรษฐีที่ไร้สติปัญญา
เอาแต่ผลาญเงินทองให้หมดไปโดยไร้ประโยชน์

“ทำอะไร”

“ก็ซื้อของมาทั้งตลาด”

“เธออยากได้ไม่ใช่หรือ”

“หม่อมฉันแค่ล้อเล่น”

“เธอบอกว่า ‘ถ้า’ ใช่ไหม ตอนนี้ก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ ว่า ‘ถ้า’ เธออยากได้อะไร ฉันก็จะให้”

คนรับสั่งไม่รับสั่งเปล่า แต่ยังขบกัดใบหูของอีกฝ่ายเล่น อ้อมกอดของพระองค์ไม่ได้รัดแน่นจนเกินไป
แต่คนถูกกอดไม่เคยดิ้นรนหลุดออกไปเองได้ หากว่าพระองค์ไม่ยินยอม

ก่อนที่เสื้อผ้าจะถูกถอดออกเป็นลำดับต่อไป ศวัสก็โพล่งออกไปอย่างเก็บกดมานาน

“สิ่งเดียวที่หม่อมฉันอยากได้คือขอให้ฝ่าบาททรงเลิกทำกับหม่อมฉันเหมือนหม่อมฉันเป็นผู้หญิงเสียทีพระเจ้าค่ะ
หม่อมฉันเป็นผู้ชาย เป็นพระชายาของฝ่าบาทไม่ได้ พระชายาของฝ่าบาทควรจะเป็นผู้หญิง”

ทั้งที่คิดว่าวันนี้ล่ะ จะไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว
แต่เพียงแค่ถูกเจ้าของดวงพระเนตรสีเหล็กกล้าจับจ้องมองมานิ่งๆ ในระยะประชิด

เขาก็อ้าปากไม่ออกอีกต่อไป

“ฉันเคยบอกแล้ว ว่ายกเว้นเพียงเรื่องนี้ เป็นได้หรือไม่ได้ เธอก็เป็นมาแล้วแทบทุกคืน ถ้าจำไม่ได้ ฉันจะช่วยทบทวนให้”

“ไม่... ไม่เอาพระเจ้าค่ะ...”

ทั้งที่คิดว่าเคยชินแล้ว ไม่มีอะไรที่จะต้านทานไม่ได้อีกแล้ว
แต่ในที่สุดเจ้าชายเชลยก็ตระหนักในคืนนั้นเอง
ว่าความเสียวสะท้านไปทุกอณูเนื้อเป็นยังไง

ไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นเมีย แต่รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายไม่ใช่ของตัวเอง
เป็นของคนที่กำลังกกกอด กลืนกินเขาเข้าไปอย่างรุนแรง เร่าร้อน

โจนจ้วง ทะยานลึกเข้ามาในร่างกายของเขาซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า

บดขยี้เขาจนหัวสั่นหัวคลอน

ถึงกระนั้นเขาก็ยังรู้สึกดีจนแทบบ้า

เจ็บใจ

แต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่ขยับส่ายสะโพก

แอ่นกายเข้าหาราวกับจะวอนขอให้สอดใส่เข้ามาลึกๆ




ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ เขาก็ต้องลงเอยด้วยการนอนหอบอยู่บนพระอุระของพระองค์แทบทุกคืน
ศวัสกำมือแน่นอย่างคับแค้นใจตัวเอง ตาแดงก่ำเพราะอยากจะร้องไห้เต็มทน
ยิ่งอีกฝ่ายทรงลูบหัวของเขาไปมาเบาๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าทั้งดวงตาและปลายจมูกร้อนขึ้นทุกที

“ทิ้งศักดิ์ศรีของเธอไปก่อน อย่าเพิ่งไปคิดถึง ชีวิตไม่ได้มีแค่เพียงวันนี้
อดทนนะ ศวัส คิดเอาไว้ว่า พอถึงวันพรุ่งนี้ ก็จะเป็นวันของเธอแล้ว
เธอจะไม่ต้องอดทนอีก”

“พรุ่งนี้... ฮึก... จะมีจริงหรือพระเจ้าค่ะ”

“มีสิ”   

“ฮึก”

“นอนเสีย พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว”





พรุ่งนี้จะมาถึงเมื่อไหร่เขาไม่รู้ รู้แต่ว่าตื่นมาทีไรก็เป็นแค่ ‘วันนี้’ ทุกครั้งไป
พิรุณไม่ได้ทำอะไรเขามากไปกว่าช่วยขัดถูร่างกายของเขาให้
ฝ่ามืออ่อนนุ่มสมเป็นมือของผู้หญิงลูบไล้ไปตามร่างกายของเขาอย่างอ่อนโยน อ้อยอิ่ง และยั่วเย้าอยู่ในที

บ่อยครั้งที่เขายอมให้นางจูบปลอบประโลมใจ

จูบ เพื่อเรียกศักดิ์ศรีของความเป็นผู้ชายที่เขาเหลืออยู่เพียงน้อยนิดกลับคืนมา

ตอนเช้ามีพิรุณ ส่วนตอนกลางวันก็มีนารา

เจ้าชายแห่งอันธกาลออกไปเที่ยวนอกวังเป็นประจำ และทะเลาะเล็กๆ น้อยๆ กับ ‘พระสวามี’ แทบทุกค่ำคืน
ที่ว่า ‘เล็กๆ น้อยๆ’ ก็เพราะว่ามีเพียงแค่เขาคนเดียวที่ชวนทะเลาะ
จะว่าเป็นการทะเลาะเพียงข้างเดียวก็ย่อมได้ เพราะอีกฝ่ายนอกจากไม่ทะเลาะด้วยแล้วยังทำให้เขาสงบปาก
ไม่มีแรงจะพูดอะไรอีกได้ในเวลาอันรวดเร็ว

กรีดร้องด้วยความรู้สึกสุขสมอย่างไม่อาจหักห้ามได้... จนกระทั่งเสียงแหบแห้ง

“วันนี้ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง”

จะต้องถามทำไม ในเมื่อน่าจะทรงทราบจากนาราอยู่แล้ว

“หลายที่พระเจ้าค่ะ”

“ชอบที่ไหนเป็นพิเศษไหม”

“... ย่านหอบุปผาพระเจ้าค่ะ ได้ยินว่ามีผู้หญิงสวยๆ ให้เลือกมาก”

ทั้งที่เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าอาจจะต้องถูกทำรุนแรงหรือไม่ก็ต้องได้เห็นปฏิกิริยาบางอย่างที่แสดงว่าไม่พอพระทัย
แต่แม้กระทั่งน้ำหนักมือที่ลูบผมของเขาอยู่ก็ยังไม่เปลี่ยนไป

“ผู้หญิงในสถานที่อย่างนั้นไม่ควรเกี่ยวข้องด้วย เธออาจจะติดโรคร้าย
ถ้าต้องการก็บอกนารา อยากได้แบบไหนก็บอกได้ทุกอย่าง นางจะเป็นคนจัดหามาให้เธอเอง”

เจ้าชายต่างแคว้นถึงกับลุกพรวดขึ้นมานั่งมองพระพักตร์ของอีกฝ่ายในความมืด แต่ก็จนใจที่มองไม่เห็น

“ฝ่าบาททรงหมายความว่ายังไง” คิดว่าเขาพูดเล่น คิดว่าเขาไม่กล้าทำใช่ไหม

“แต่ผู้หญิงที่นาราจะจัดหามาให้ก็เหมาะกับความสัมพันธ์แค่ชั่วคราว
ถ้าเธอต้องการผู้หญิงดีๆ ที่จะมีความสัมพันธ์ยาวนานถึงขนาดแต่งงานด้วย ก็ควรจะเลือกผู้หญิงที่มีชาติตระกูลดี”

คนฟังโกรธเสียจนหอบหายใจแรง

“หม่อมฉันเป็นพระชายาของฝ่าบาท ยังจะแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนได้อีกพระเจ้าค่ะ
ถึงอยากจะแต่ง แต่ผู้หญิงมีชาติตระกูลดีๆ ที่ไหนจะยอมแต่งด้วย”

เขาลืมไป ว่าทุกคำที่พูด ไม่มีคำไหนแสดงว่าคิดถึงความรู้สึกของคนฟังในฐานะที่เป็น ‘สามี’ เลยแม้แต่คำเดียว

“แต่งได้ ถ้าฉันอนุญาต แต่งแล้วก็ให้นางอยู่ที่นี่ เพียงแต่ตอนกลางคืน เธอจะต้องอยู่กับฉัน”

“จะบ้าหรือพระเจ้าค่ะ!”

ผู้ชายคนหนึ่งจะมีทั้งผัวทั้งเมียได้ยังไง มีสามีเป็นผู้ชาย มีภรรยาเป็นผู้หญิง แล้วอยู่ด้วยกันน่ะหรือ

วิปริตสิ้นดี!

“คิดไปก่อนก็ได้ว่าเธอต้องการอะไรกันแน่ ถ้าอยากได้ผู้หญิงชั่วคราวก็บอกนารา
แต่ถ้าต้องการผู้หญิงดีก็บอกฉัน พรุ่งนี้ฉันจะไปงานเลี้ยงบ้านเสนาฯ ยุติธรรม
จะได้พาเธอไปด้วย คงจะมีผู้หญิงมาร่วมงานกันมาก”

อ้อ ถ้าเขาไม่ไป พระองค์ก็จะได้พบกับผู้หญิงพวกนั้นเพียงพระองค์เดียวใช่ไหม

ไม่รู้ว่าคิดเช่นนั้นออกมาได้ยังไง ไม่ได้พิจารณาว่ามันหมายความว่ายังไง เพียงเพราะโมโหจึงได้กราบทูลตกลง

“หม่อมฉันจะไปพระเจ้าค่ะ”




งานเลี้ยงวันเกิดเสนาบดีผู้เฒ่าแห่งเรืองอรุณไม่มีสิ่งใดน่าสนใจเลยแม้แต่น้อย
เจ้าชายรองแห่งอันธกาลนึกเสียใจตั้งแต่เห็นสายตากระหายใคร่รู้จำนวนมากที่จ้องมองมาทางเขาแล้ว

เขาอยู่ในฐานะอะไร ใครในราชสำนักต่างก็รู้กันทั่ว ตอนนี้ไม่ใช่แค่นาราแล้ว
แต่ทุกคนในงานที่มีโอกาสพูดคุยกับเขาต่างเรียกเขาว่า ‘พระชายา’

ประหลาดนักที่องค์รัชทายาทกลับเป็นคนรับสั่งบอกว่า

“เรียกเขาว่าองค์ชายก็พอ”

เขาจึงพอจะสบายใจขึ้นมาบ้าง

จะว่าไป... พิรุณก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยเรียกเขาว่า ‘พระชายา’ เลย

จุดมุ่งหมายสำคัญที่มาในงานนี้คืออะไรเขายังไม่ลืม แต่ในอกกลับรู้สึกหน่วงๆ
อึดอัดใจเมื่อเจ้าชายภีมเสนทรงเป็นผู้แนะนำให้เขารู้จักกับธิดาคนหนึ่งของเจ้ากรมทหารราบ
รอยแย้มพระสรวลจางๆ ตรงมุมโอษฐ์ก่อนจะทรงผละไปทางอื่นนั้นราวกับจะบ่งบอกว่า
ผู้หญิงที่ทรงเลือกให้นี้เป็นผู้หญิงที่ ‘ดีพอ’ ที่เขาจะมีความสัมพันธ์ในระยะยาวด้วยได้

นางดีจริง ไม่มีทีท่ารังเกียจเลยแม้แต่น้อยแม้รู้ว่าเขาอยู่ในเรืองอรุณในฐานะอะไร
แต่เขาเองกลับไม่มีสมาธิที่จะคุยกับนางมากเท่าที่ควร
สายตามัวแต่วนเวียนไปยังเจ้าของวรองค์สูงใหญ่ในฉลองพระองค์สีเทาเข้ม
ที่กำลังถูกแวดล้อมด้วยหญิงสาวมากหน้าหลายตา

มีผู้หญิง ‘ดีๆ’ ให้เลือกมากมายออกอย่างนี้แล้วยังจะมาบังคับให้เขานอนด้วยอีกทำไม

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ศวัสกลัวมากที่สุดไม่ได้เกิดขึ้น
เจ้าชายรัชทายาทไม่ได้ทรงแตะเนื้อต้องตัวเขาเลย
ไม่ได้แสดงความเป็นเจ้าของให้เขาต้องรู้สึกอับอายใครต่อใคร

เขาเองต่างหากที่นึกยังไงก็ไม่รู้
ถึงได้ผละจากธิดาคนงามของเจ้ากรมทหารราบ
เดินตรงไปหาคนในวงล้อมของสาวๆ แล้วกราบทูลหน้านิ่ง

“หม่อมฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย อยากจะกลับแล้วพระเจ้าค่ะ”

ใครจะว่ายังไงก็ช่าง แต่พระองค์รับสั่งบอกเขาเอง
.
.
.
.
.

ว่าเขาจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ




tbc.

**************************************************


lizzii – พิรุณเป็นคนสำคัญค่ะ เพราะมีเธอ จึงมีเรื่องราวขึ้นมา ส่วนดราม่านี่ก็... อาจจะนิดหน่อยแหละค่ะ
เพราะว่าชุนค่อยไม่นิยมเท่าไหร่
iforgive - ขอบคุณค่ะที่ช่วยแนะนำเรื่องนี้ให้  :pig4: คำถามประจำบทนี้คือ... คิดว่าภีมเสนไม่รู้ว่าพิรุณทำอะไรเหรอคะ หึหึ
IsDear – พิรุณมีแผนค่ะ คงเฉลยตอนจบ แต่ระหว่างทางน่าจะค่อยๆ เดาได้เรื่อยๆ
อ๊ายอาย – ชอบพิรุณ  :a5:   นางก็มีเหตุผลที่ทำให้สามารถพูดได้อย่างมั่นใจอยู่ค่ะ เฉลยท้ายเรื่องเนาะ ส่วนศวัส ไม่ต้องห่วงค่ะ ภีมเสนเขาไม่ทำอะไรรุนแรงหรอกค่ะ (นอกจากเรื่องบนเตียง) เรื่องรามิเรสนั่นลุ้นไปก็เหนื่อยเปล่า กว่าจะลงเอยกันก็โน่นนนน (เมื่อไหร่?) ถึงรักกันแล้วก็คงไม่มีฉากอะไรด้วย เอาฉากมาลงเรื่องนี้แทน ^^
Sar2288 – That’s right! Exactly! Perfect! (มีคำอื่นอีกมั้ย) ศวัสนี่จะว่ากระอักกระอ่วนก็ใช่ แต่ยังไงดี พอถลำตัว ก็เหมือนจะถลาใจไปด้วย ไม่กล้าบอกภีมเสนหรอกค่ะ
Snowermyhae – เป็นชุน เจอแบบนี้ชุนก็กลัวนะ คุณอ๊ายอายก็ควรจะรู้สึกแบบเดียวกับคุณ  Snowermyhae นะคะ ไม่ใช่ เอิ่ม... ชอบซะงั้น ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะรู้สึกกลัวคุณแทน 555
puengkiss – ไม่ได้จ่ายค่าเน็ตสองเดือน ถูกตัด เมื่อวานเลยไม่ได้ลงตามนัด วันนี้ไปจ่ายมาแล้ว ใช้ได้แล้วค่ะ ^^
poogan_zadd – เรื่องพิรุณ ก็ตามที่คุณ Sar2288 คิดเลยค่ะ ส่วนศวัสนี่เบญจเพสพอดี ชีวิตก็เรียบๆ มาตลอด เจอทั้งภีมเสนทั้งพิรุณรุกเอาๆ เลยสับสนไปหน่อย (และไปเรื่อยๆ) น่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 5) 20 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 20-04-2014 15:33:23
ศวัสหึงแล้วเว้ยยยย 5555 อ่านบทนี้แล้วมีหลายจุดที่อดยิ้มไม่ได้จริง ๆ
ทั้งเรื่องที่ "โปรด" ทั้งเรื่องที่จริง ๆ แล้วภีมเสนคอยดูแลดูไม่ห่าง
ทั้งนาราที่รักจริง ๆ ขำตอนที่ไปเดินตลาดมาก ๆ พูดผิดพูดถูกอยู่นั่นแหละ
จุดที่อารมณ์สะดุดก็คงแม่ฝนพิษ (พิรุณ) นี่แหละ
ออกมาทีแหละ อารมณ์สะดุด หัวทิ่มตลอดสิน่า

ประโยคโดนใจสำหรับตอนนี้ คือ ... ‘ฉัน ‘โปรด’ เธอเสมอ ไม่ว่าเธอจะเป็นยังไง’
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 5) 20 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 20-04-2014 16:39:48
 :hao5: กีสสสสสสสสสสสส
ทำไมอยู่ๆฉันก็รู้สึกสงสารฝ่าบาทขึ้นมา
ทำไมรู้สึกเหมือนพระองค์แลดูโดเดี่ยวมากเลยอ่ะ
มีความต้องการแค่อยากได้ความรักจากชายาแต่ก็รู้ว่าชายาตอบความรักไม่ได้
เลยได้แค่รั้งทางกายไว้ ฮือๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 5) 20 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: poogan_zadd ที่ 20-04-2014 22:56:34
นี่มันอาการหึงชัดๆ อร๊ายยยยยยย ตั้งแต่บอกว่าไปเที่ยวย่านนั้นมา อิอิอิอิ
แต่ไม่เข้าใจภีมเสนเลย หรือเค้าจะชอบที่อีกคนหึง
ตอนนี้อ่านไปก็รู้สึกเพลินๆดีแต่ทำไมหน่วงหว่า โดนคุณชุนทำร้าย TT

ไปๆมาๆ เพิ่งย้อนนึกไปถึงตอนแรก...ทางนู้นเคยจะยกศวัสให้นี่หว่าแต่เรืองอรุณไม่เอา แต่ทำไมตอนนี้ดูรักมาก

มีอะไรอยู่เบื้องหลังงงงงง


ปล.รออ่านรามิเรสอยู่อีกเรื่องนะคะ จะช้าจะเรื่อยๆก็ช่าง เพราะฟิน 55
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 5) 20 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-04-2014 10:58:55
สงสารฝ่าบาทมาก คงเจ็บปวดมากจากแต่ล่ะคำที่พระชายาพูด  :sad4:
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 5) 20 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 21-04-2014 23:05:03
อืม น่าติดตาม
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 6) 22 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 22-04-2014 18:26:11
พรุ่งนี้... ที่รอคอย
บทที่ ๖

เจ้าชายรองแห่งอันธกาลเสด็จออกนอกวังเกือบทุกวัน
จนแทบจะรู้จักสถานที่ต่างๆ ในเมืองหลวงของเรืองอรุณครบถ้วนหมดแล้ว
แต่ละวันไม่เคยมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น

จนกระทั่งวันนี้

แม้ไม่อยากจะใช้เงินของ ‘พระสวามี’ มากนัก แต่ก็อยากจะตอบแทนน้ำใจของนาราและพิรุณบ้าง
จึงออกปากจะซื้อเครื่องประดับให้คนละชิ้น ในร้านเครื่องประดับนั้นเองที่ความสะสวยของพิรุณเตะตาต้องใจ
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เข้ามาในร้านพร้อมกับคนติดตามอีกนับสิบ

ศวัสออกตัวปกป้องว่าเขาเป็นคนรักของนางพระกำนัลสาว

“แกก็มีน้องสาวคนนั้นอยู่คนหนึ่งแล้ว ยังจะเอาคนนี้อีกเหรอวะ ควบสองนี่ไม่ยุติธรรมกับผู้หญิงนะเว้ย
อีกอย่าง คนรักของแกก็เล่นหูเล่นตา ยั่วยวนฉันเอง”

“บ่าวเปล่านะคะ คุณชาย” พิรุณขยับเข้ามากอดเขา

“อะฮ้า! นั่นไง ที่แท้ก็แค่สาวใช้ โกหกนี่หว่า งั้นก็ไปกับพี่เถอะน้องสาว พี่จะพาไปหาความสุขนะจ๊ะ
ต้องการอะไรก็บอกได้เต็มที่ ของในร้านนี้จะเลือกเอาสักกี่ชิ้นก็ได้”

พิรุณไม่พูดอะไรเลย เอาแต่กอดแขนแล้วยืนอยู่ข้างหลังเจ้าชายต่างแคว้น ศวัสปกป้องคนของเขาอย่างเต็มที่
แทบจะทันทีที่มีการยื้อยุดฉุดกระชากเกิดขึ้น ทหารองครักษ์นอกเครื่องแบบก็เข้ามาจัดการสถานการณ์
ทว่าอีกฝ่ายมีจำนวนคนมากกว่า และศวัสก็ไม่ยอมหนีไปก่อน แต่ยืนกรานว่าจะร่วมต่อสู้ด้วย
กว่าทหารประจำเมืองจะมาจัดการให้เรียบร้อย ศวัสก็ได้แผลจากการถูกปลายกระบี่เฉียดต้นแขนไปแล้วแผลหนึ่ง




เจ้าชายภีมเสนไม่ได้รับสั่งอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก
ไม่มีการตำหนิอย่างรุนแรงอย่างที่ศวัสนึกกลัว เพียงแต่รับสั่งว่า

“ต่อไปต้องระวังตัวมากกว่านี้ ห้ามเธอออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกอีกจนกว่าแผลจะหายดี”

นั่นเป็นโทษทัณฑ์ที่เจ้าชายรองแห่งอันธกาลยอมรับได้อย่างเต็มใจ
เพียงแต่รู้สึกตงิดใจอยู่บ้างที่อีกฝ่ายทรงใช้คำว่า ‘เที่ยวเล่น’ ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนดูถูกว่าเขายังเป็นเด็กอยู่

เขาไม่ใช่เด็กแล้ว ถึงจะอายุน้อยกว่าพระองค์ถึงสิบปีก็เถอะ

ปีนี้เขาอายุยี่สิบห้า ว่ากันว่าเป็นปีที่อาจจะมีเคราะห์จนถึงแก่ชีวิตได้... อย่างนั้นสินะ





ศวัสมัวแต่โล่งใจว่าเขาไม่ถูกลงโทษ แต่ลืมไปว่าชะตากรรมของคนอื่นอาจจะไม่เหมือนกับเขา

“โอ๊ย!”

พิรุณนิ่วหน้าครางทันทีที่เขาเบี่ยงหน้าหนีแล้วผลักไหล่นางออกเพื่อไม่ให้นางจูบเขาได้

“เป็นอะไร”

เขาแค่จับเบาๆ เท่านั้น

“ไม่มีอะไรเพคะ”

คนตอบหลบหน้าหลบตาแล้วยอมล่าถอยออกไปแต่โดยดี ทว่านั่นยิ่งดูมีพิรุธ
เจ้าชายหนุ่มจึงยึดต้นแขนของนางไว้ก่อนที่นางจะคลานลงจากเตียงไป

“พิรุณ บอกมา เธอเป็นอะไร ฉันทำให้เจ็บหรือ”

“ไม่ใช่ฝ่าบาทหรอกเพคะ”

พูดออกไปแล้วหญิงสาวก็มีสีหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูด ทว่าเจ้าชายแห่งอันธกาลไม่ใช่คนโง่
หลังจากใคร่ครวญดูแล้วก็นึกขึ้นมาได้

“องค์รัชทายาทใช่ไหม พระองค์ทรงทำอะไร”

หลังจากพยายามเค้นความจริงอยู่นานสองนาน ในที่สุดนางพระกำนัลสาวก็ยอมบอกความจริงด้วยการถอดเสื้อออก

เผยให้เห็นรอยถูกเฆี่ยนเต็มแผ่นหลัง

ศวัสไม่มีอารมณ์เพศเลยแม้แต่น้อยเมื่อเห็นร่างเปลือยครึ่งบนของสาวงาม

ในอกร้อนรุ่มเป็นไฟด้วยความโกรธ

“หม่อมฉันสมควรได้รับพระอาญาแล้วเพคะ เพราะหม่อมฉันส่งสายตายั่วยวนให้คนพวกนั้น ฝ่าบาทถึงทรงได้รับอันตราย”

หญิงสาวบอกเสียงเศร้าพลางยิ้มนิดๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร

“แต่เธอไม่ได้ทำ” แล้วเขาก็ไม่ได้บาดเจ็บมากมาย น่าจะไม่เท่ากับที่นางถูกเฆี่ยนเพียงครั้งเดียวเสียด้วยซ้ำ

“นาราเป็นคนกราบทูล ถ้านางทูลว่าหม่อมฉันทำ หม่อมฉันก็ต้องทำเพคะ”

คนฟังคลางแคลงใจ ไม่อยากจะเชื่อขึ้นมาทันที ทว่าเมื่อเขาเรียกนางพระกำนัลสาวที่แสนสดใสร่าเริงคนนั้นมาถาม
นางก็รับอย่างไม่บิดพลิ้วและไม่มีความรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย

“หม่อมฉันต้องกราบทูลไปตามจริงเพคะ พระชายาอาจจะไม่เห็น แต่หม่อมฉันเห็นเต็มตาว่าทั้งตอนที่คนพวกนั้นเข้ามาในร้าน และตอนที่พิรุณยืนแอบอยู่ข้างหลังพระชายา นางก็ยังส่งสายตาแบบนั้นอยู่ไม่เลิก แบบนี้จะไม่ให้พวกนั้นคิดว่านางให้ท่าจนเกิดเรื่องได้หรือเพคะ องค์รัชทายาทโปรดให้ลงพระอาญาเพียงเท่านี้ยังถือว่าเป็นพระกรุณาเสียด้วยซ้ำ”

ศวัสไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะดูคนผิดไป

หญิงสาวที่เขาเห็นว่าสดใสและจิตใจดีคนนั้น ไยกลายเป็นคนที่กล่าวโทษคนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉยได้

“พระชายา จะเสด็จไหนเพคะ”





อารมณ์โกรธของเจ้าชายรองแห่งอันธกาลรุนแรงราวกับพายุ พัดไปจนกระทั่งถึงปีกซ้ายของพระตำหนัก
แม้แต่มหาดเล็กก็ห้ามไม่ทันและไม่กล้าห้าม มัวแต่ละล้าละลัง
เพราะองค์รัชทายาทมีรับสั่งว่าถ้าพระชายาเสด็จมาเมื่อไหร่ให้เข้าเฝ้าได้ตลอดเวลา แต่ว่า...

ศวัสนิ่งอึ้งไป เมื่อเห็นว่าในห้องทรงงานนั้นนอกจากเจ้าของห้องแล้วยังมีคนอื่นอยู่อีก
เป็นชายวัยกลางคนสองคนซึ่งเขาจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่

“พวกท่านกลับไปก่อน”

หนึ่งในสองดูจะลังเล แต่แล้วก็ถวายคำนับพร้อมกับอีกคน สายตาที่มองมาทาง ‘พระชายา’ เจือแววตำหนิที่ไม่รู้จักเวลา

“ปิดประตู”

มหาดเล็กหน้าห้องปฏิบัติตามรับสั่ง ครั้นเหลือกันเพียงลำพัง ศวัสก็ยังนึกหาคำพูดไม่ออกในทันที
อารมณ์โมโหต่อเนื่องชะงักไปตั้งแต่เห็นว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องด้วยและเขาก็เพิ่งจะเสียมารยาทอย่างรุนแรง

“วันนี้อากาศเย็น ทำไมไม่ใส่เสื้อคลุมล่ะ”

อารมณ์โกรธที่ชะงักไปแล้วปะทุขึ้นมาใหม่ทันที

“หม่อมฉันมาทูลถามเรื่องพิรุณพระเจ้าค่ะ”

“พิรุณทำไม”

“ฝ่าบาทสั่งลงพระอาญานางทั้งที่นางไม่มีความผิด”

“นางบอกอย่างนั้นหรือ”

คนถูกถามงันไป ก่อนจะตั้งสติใหม่ได้

“นางยอมรับผิดเพราะนางเป็นผู้น้อย ฝ่าบาทจะทรงลงพระอาญาเสียอย่างนางจะทำอะไรได้ ถ้ากริ้วที่มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาก็ทรงลงพระอาญาหม่อมฉันดีกว่า เพราะหม่อมฉันเป็นคนอยากออกไปข้างนอกเอง อย่าพาลลงพระอาญาคนที่ไม่เกี่ยวข้อง พิรุณจะส่งสายตาให้คนพวกนั้นทำไมในเมื่อ...”

“ในเมื่ออะไร”

คนถูกถามไม่กล้าพูดต่อ ว่าในเมื่อนางบอกเองว่ารักเขา

“ในเมื่อนางไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำอย่างนั้น นางเป็นผู้หญิงนะพระเจ้าค่ะ ถูกเฆี่ยนตีขนาดนั้นมันโหดร้ายมาก นางเป็นไข้ด้วย ฝ่าบาทยังส่งนางไปรับใช้หม่อมฉันอีก”

“แล้วอยากจะให้ฉันทำยังไง”

คนถูกถามนิ่งอึ้งไปอีก คิดว่าจะต้องพูดกันยาว ไม่คิดว่าจะถูกถามแบบคำถามเดียวจอดแบบนี้ อยากจะให้ทำยังไงหรือ เขาเองก็ไม่ได้คิดมาก่อน

“ค... แค่ฝ่าบาทรับสั่งขอโทษนางก็พอ”

พูดออกไปแล้วก็ตระหนักได้เองว่าออกจะเป็นคำขอที่หนักหนาสาหัสไป องค์ชายจะรับสั่งขอโทษนางกำนัลได้หรือ

“ขอโทษเรื่องอะไร”

“ที่ทรงลงพระอาญานางทั้งที่นางไม่มีความผิดพระเจ้าค่ะ”

“นางรับสารภาพเอง ว่าทำจริง”

“ไม่จริง ฝ่าบาททรงบังคับนาง”

“ต้องการให้นางมาพูดตรงนี้ไหม”

ศวัสชั่งใจ แต่แล้วก็คิดว่าถ้าให้มาพูดตรงนี้ พิรุณคงไม่กล้าพูดแน่ เพราะขนาดต่อหน้าเขาคนเดียวแท้ๆ นางยังยอมรับเศร้าๆ ว่านางทำเอง

“ฝ่าบาททรงทราบอยู่แล้วว่านางจะต้องไม่กล้าพูด”

“อย่างนั้นเรื่องขอโทษก็ตกไป ถูกไหม”

ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น

“แล้วทหารองครักษ์ที่ติดตามไปเล่าพระเจ้าค่ะ กลุ่มคนพวกนั้นด้วย ฝ่าบาทโปรดให้ทำยังไง”

“เธอจะไม่ได้เห็นพวกเขาอีก”

“โปรดให้ประหารพวกเขา อีกแล้วหรือพระเจ้าค่ะ!”

คนทูลถามถึงกับกล้ายืนค้ำโต๊ะทรงพระอักษรแล้วยื่นหน้าเข้าไปถามจนเกือบจะถึงพระพักตร์ ผงะถอยนิดหนึ่งเมื่ออีกฝ่ายทรงลุกขึ้นยืนแล้วเสด็จอ้อมโต๊ะมาหา เจ้าชายต่างแคว้นรู้สึกกลัวจนต้องถอยหลังไปจนผนังห้อง

“พระชายาในเจ้าชายรัชทายาทบาดเจ็บถึงขั้นได้เลือด คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดต้องรับผิดชอบ”

“แต่พิรุณไม่ผิด”

แม้จะค้าน แต่เสียงก็เบาลง เพราะเจ้าของวรองค์สูงใหญ่ทรงกักเขาเอาไว้กับผนังห้องเสียแล้ว

“ทำไมถึงเดือดร้อนแทนนางนัก”

“ก็เพราะนางเป็นผู้หญิงน่ะสิพระเจ้าค่ะ ไม่ควรต้องรับโทษหนักขนาดนั้นเลย”

“จะหญิงหรือชาย ถ้าทำให้เมียฉันเจ็บ ก็ต้องรับโทษทุกคน”

“หม่อมฉันเป็นผู้ชาย! หม่อมฉันไม่ใช่เมียของฝ่าบาท!”

“ไม่ใช่หรือ”

พระสุรเสียงยังคงปกติ แต่มีบางอย่างร้องเตือนว่าเพื่อความปลอดภัย เขาไม่ควรดื้อดึงต่อไปอีก

“ไม่ใช่พระเจ้าค่ะ!”

คนกลั้นใจปฏิเสธเสียงแข็งสะดุ้งเฮือกทันทีที่ถูกบังคับให้แยกขาออก สองมือที่พยายามจะดันพระอุระออกถูกจับรวบแล้วยึดไว้เหนือศีรษะด้วยพระหัตถ์เพียงข้างเดียว อีกข้างหนึ่งปลดเข็มขัดแล้วสอดเข้ามาใต้เสื้อ ศวัสแขม่วท้องพลางดิ้นหนีเมื่อถูกปลุกเร้า

“ฝ่าบาท... อื้อ... อื้ม...”

“ไม่ใช่ก็เป็นเสียวันนี้เลย”

เจ้าชายรองแห่งอันธกาลตัวอ่อนเป็นเทียนถูกไฟลน กางเกงถูกปลดลงไปกองที่ข้อเท้า เนื้อตัวถูกฟอนเฟ้นโลมไล้เพียงไม่นาน อารมณ์ปรารถนาที่ถูกซ่อนเร้นไว้ก็โหมลุกฮือ ขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาเกี่ยวกระหวัดรัดบั้นพระองค์หนาเอาไว้ บั้นท้ายถูกบีบขย้ำหนักหน่วง ก่อนที่ช่องทางร้อนผ่าวจะถูกนิ้วพระหัตถ์ชำแรกเข้าไปพรวดเดียวมิด

“อ๊า!”

ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ด้านบน ด้านล่าง ล้วนได้รับการปรนเปรออย่างหนักหน่วง

“ฝ่าบาท”

เขาแค่เรียกเฉยๆ ไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย แต่คนถูกเรียกก็ทรงส่งพระวรกายร้อนจัดเข้าไปแทนที่ราวกับจะรู้ใจ ศวัสทั้งจุกและเจ็บ แต่ไม่นานก็มีอารมณ์ร่วมอย่างเต็มที่ อ้าปากหอบหายใจและตอบรับเมื่ออีกฝ่ายทรงสอดพระชิวหาเข้ามาดูดกลืน

เมื่ออารมณ์พลุ่งพล่านปั่นป่วนจนถึงขีดสุด หยดหยาดของความปรารถนาก็ทะลักล้นออกมาจนเปียกชุ่ม ศวัสขาสั่น แทบยืนไม่อยู่เมื่อองค์รัชทายาทหนุ่มทรงถอดถอนพระวรกายออกทั้งที่ยังไม่ถึงฝั่ง เขาถูกจับให้หันหน้าเข้าหาผนังอย่างง่ายดายและจำต้องใช้ผนังเป็นที่พยุงตัวเมื่ออีกฝ่ายทรงเสียบสอดเข้ามาจากด้านหลัง

ศวัสเผลอหวีดเสียงออกมาเมื่อองค์รัชทายาทหนุ่มทรงทะยานลึก เจ้าชายต่างแคว้นยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงร้อง ทว่าอีกฝ่ายทรงดึงมือออกแล้วยึดไพล่หลังเอาไว้

“ร้องออกมา เจ็บก็ร้อง เกลียดก็ร้อง สุขสมแค่ไหน... ก็ร้องออกมาให้ฉันได้ยิน”

“อ๊ะ... อ๊า!”

เจ้าชายภีมเสนทรงเคลื่อนไหวพระวรกายเข้าออกลึกล้ำต่อเนื่อง ศวัสได้ยินเสียงครางต่ำอย่างพอพระทัยอยู่หลายครั้ง อารมณ์ของเขาทะยานสูงขึ้นทุกทีตามการเคลื่อนขยับพระวรกาย ในที่สุดก็ปลดปล่อยอีกครั้งพร้อมๆ กับรู้สึกถึงสายธารอุ่นๆ ที่ฉีดเข้ามาในกาย

เจ้าชายต่างแคว้นกระตุกกายถี่ สั่นระริกไปทั้งตัวจนยืนไม่อยู่ ทรุดฮวบลงกับพื้นพลางหอบหายใจแรง ก่อนจะอุทานออกมาเมื่อถูกช้อนตัวขึ้นอุ้มอย่างง่ายดาย

หลังจากนั้นก็ถูกมอบความสุขสมจนแทบทนทานไม่ได้ให้อย่างน่าอาย ทั้งบนโต๊ะทรงพระอักษรและบนพระเก้าอี้ที่เขาต้องเป็นฝ่ายขยับกายอยู่เบื้องบน เพราะหากไม่ยอมขยับ อีกฝ่ายก็จะทรงปรนเปรอและเหนี่ยวรั้งไม่ให้เขาปลดปล่อย ทำอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาต้องยกตัวขึ้นแล้วขย่มลงมาเพื่ออ้ารับท่อนลำร้อนจัดราวกับเหล็กเผาไฟเข้าไปไว้ในกาย สอดแน่น บดเบียด เสียดสีจนลาวาแห่งตัณหาทะลักทลาย

ท่ามกลางสติอันรางเลือน ศวัสยังได้ยินรับสั่งดังอยู่ข้างหู

“ใครอยู่ข้างนอกบ้าง เข้ามา”

“อยะ... อย่า...”

เสียงเขาแหบแห้งไปหมด ขยับตัวก็ลำบาก แค่อีกฝ่ายทรงกดให้ซบนิ่งอยู่กับพระอุระ เขาก็หมดแรงจะเงยหน้า

“หาเสื้อคลุมมาให้ฉันสักตัว”





คนที่เดินมารนหาความลำบากใส่ตัวจนถึงที่ตื่นมาอีกครั้งในห้องที่ไม่คุ้นตา และพบว่าเจ้าของห้องเองก็ประทับอยู่บนเตียง ทอดพระเนตรมองเขาอยู่ คนนอนขยับตัวจะลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ต้องทรุดฮวบลงไปดังเดิม

“ค่อยๆ”

ถึงจะเจ็บใจที่ต้องให้อีกฝ่ายช่วยพยุง แต่คนไม่มีแรงก็จำใจต้องยอม

“หิวไหม กินข้าวกัน”

ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือประโยคที่เจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณรับสั่งกับคนที่พระองค์เพิ่งจะร่วมสังวาสด้วยอย่างดุเดือดจนสลบคาตัก

“ใครเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หม่อมฉันพระเจ้าค่ะ”

“นารา”

ศวัสพยักหน้า พลางขยับตัวออกห่าง

“หม่อมฉันอยากจะกลับห้อง”

“เธอไม่ได้กินข้าวมาสองมื้อแล้ว กินก่อนแล้วค่อยไป”

“หม่อมฉันไม่อยากกินพระเจ้าค่ะ”

“อยู่ด้วยกันมาเกือบสามเดือนแล้ว เธอเพิ่งเคยกินข้าวกับฉันแค่มื้อเดียว”

“เราไม่จำเป็นต้องกินพร้อมกันก็ได้พระเจ้าค่ะ ฝ่าบาทรับสั่งบอกว่า หม่อมฉันจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ แค่... ต้อง... อยู่กับฝ่าบาทตอนกลางคืน”

“ตอนนี้สามทุ่ม”

ศวัสพูดต่อไม่ถูก

“สามีภรรยาควรจะกินข้าวด้วยกัน”

“หม่อมฉันไม่ใช่พระชายาของฝ่าบาท”

“อย่างนั้นหรือ”

นั่นเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เพราะองค์รัชทายาทแห่งเรืองอรุณทรงมีวิธีทำให้พระชายาของพระองค์ยอมรับทั้งตัว ทั้งปากอยู่แล้ว

เจ้าชายรองแห่งอันธกาลไม่รู้ว่าร่างกายของเขามีชีวิตเป็นของมันเองหรืออย่างไร ถึงไม่ยอมฟังคำสั่งของเขาเลย เพราะแม้ว่าจะสั่งให้ตัวเองนอนนิ่งๆ คิดถึงสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระวรกายกำยำของคนร่วมห้อง แต่ก็ยังรับรู้ถึงความรู้สึกซาบซ่านไปทุกรูขุมขนตั้งแต่หัวจรดเท้า เจ้าชายภีมเสนทรงทำให้เขาเคยชินกับรสสัมผัสของพระองค์เสียแล้ว รวดร้าว ปวดหนึบไปทั้งตัวจนต้องเป็นฝ่ายยอมออกปากร้องขอ

“ได้โปรด... ขอได้ทรงโปรด... เลิกทรมานหม่อมฉัน...”

“บอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าอยากได้อะไรก็จะให้”

ยังไม่ทันจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ เงื่อนไขเก่าก็ถูกยื่นมาอีกครั้ง

“แต่ต้องบอกฉันก่อน ว่าเธอเป็นอะไรของฉัน”

ศวัสเม้มปากแน่นทั้งที่เกือบจะทานทนไม่ไหว รู้สึกได้ชัดเจนว่ากำลังผวาแอ่นเข้าหาอย่างกระหาย แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมถอนนิ้วพระหัตถ์ออกแล้วเติมเต็มด้วยสิ่งที่เขาต้องการเสียที

“พูดสิ”

“ปะ... เป็น... พระชายา”

“ภาษาชาวบ้านล่ะ ต้องพูดว่ายังไง”

“... อื้อ... มะ... ฮะ... ฮ่าห์... เมีย... เป็นเมีย... อ๊า!”
.
.
.
.
.

ทันทีที่ยอมรับ ช่องทางอันตะกละตะกลามของเขาก็ถูกตอกกระแทกเต็มลำ




tbc.

************************************************

แบบว่า... ไม่มีอะไรจะพูดค่ะ :o8:
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 6) 22 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 22-04-2014 20:27:09
พี่พูดเอง ..... สมน้ำหน้าชายรอง ชิ
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 6) 22 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 22-04-2014 21:09:27
สมน้ำหน้าไงบอกไม่ถูกแฮะ

เรื่องเยอะเอง
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 6) 22 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: poogan_zadd ที่ 22-04-2014 21:57:50
กรีดร้องงงงงงงงงงงง
หนีหึงเต็มขั้นแล้วใช่ไหม ใกล้จะดาร์คแล้วรึเปล่า ภีมเสนโหดเกินไปแล้ววว
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 6) 22 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 22-04-2014 23:32:37
 :haun4: รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะใจแตก เหอๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 6) 22 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-04-2014 03:48:29
ทำไมเรารู้สึกสงสารองค์ชายรัชทายาทไม่รู้  :mew5:
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 7) 24 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 24-04-2014 11:45:20
พรุ่งนี้... ที่รอคอย
บทที่ 7


“หม่อมฉันเกลียดฝ่าบาท”

“ฉันรู้แล้ว”

“ไม่เคยเกลียดใครเลย แต่เกลียดฝ่าบาทเหลือเกินพระเจ้าค่ะ”

“แต่เธอก็ยังต้องอยู่กับฉัน”

“สักวัน หม่อมฉันจะหนีไปให้พ้น ฝ่าบาทรับสั่งว่า หม่อมฉันจะมีพรุ่งนี้”

“สิ่งที่จะทำให้เธอหนีฉันพ้นได้ มีแต่ความตายเท่านั้น”

“หม่อมฉันไม่กลัวตาย”

“แต่ฉันจะไม่ยอมให้เธอตาย”




เช้าอีกแล้ว เช้านี้ก็ยังคงเป็น ‘วันนี้’ อยู่ดี ไม่ใช่ ‘พรุ่งนี้’ อย่างที่หวัง แต่เจ้าชายรองแห่งอันธกาลจะไม่รอคอยให้วันพรุ่งนี้มาถึงเองอีกแล้ว

“พิรุณล่ะ”

คนนอนนิ่งบนเตียงถามเรียบๆ เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาหลังจากเขาออกปากอนุญาตมีเพียงคนเดียวคือนารา

“พักผ่อนอยู่เพคะ”

“ไปเรียกมาหาฉันที”

“แต่นี่เป็นห้องบรรทมขององค์รัชทายาท พิรุณไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาเพคะ”

“ฉันจะได้ทุกอย่างที่ต้องการไม่ใช่หรือ ไปตามพิรุณมา”

“พระชายาจะโปรดให้พิรุณทำอะไรหรือเพคะ หม่อมฉันทำถวายได้ไหม”

เจ้าชายเชลยไม่พูดว่าอะไร แต่เขารู้จักใช้สายตาต่างคำสั่งบ้างแล้ว

“งั้น... ก็ได้เพคะ หม่อมฉันจะไปตามมาเข้าเฝ้านะเพคะ”

เมื่อพิรุณมาถึง นาราก็ถูกสั่งให้ออกไป นางพระกำนัลสาวลังเล แต่เมื่อถูกสั่งอีกครั้งก็จำต้องออกไปอย่างเสียไม่ได้

คนนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงมองนางพระกำนัลสาวสวยที่เดินเข้ามาคุกเข่าอยู่ข้างเตียงนิ่งๆ ก่อนจะออกคำสั่งประโยคเดียว

“ปลอบใจฉันหน่อย”

พิรุณเผยยิ้มอ่อนโยน

“เพคะ”

นางพระกำนัลสาวรู้ดี ว่าเวลาที่รอคอยมาถึงแล้ว ครั้งนี้ จะไม่เหมือนครั้งก่อนๆ อีกต่อไป

เรือนร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาว เจ้าชายแห่งอันธกาลเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก ทั้งสวยงามละลานตา ทั้งแลดูน่าทะนุถนอมเป็นอย่างยิ่ง ติดอยู่อย่างเดียวเท่านั้น

คือไม่กระตุ้นตัณหาราคะมากอย่างที่ควรจะเป็น

ภายในหัวร้องเตือนว่านี่ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง แต่ศวัสพยายามไม่สนใจ ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกตอนนี้ต้องไม่ใช่ความรู้สึกผิด แต่เป็นความคับแค้นต่างหาก ตัดความลังเลสับสนออกไป แล้วสนใจแต่หญิงงามที่อยู่ตรงหน้าจะดีกว่า

“องค์รัชทายาททรงรุนแรงกับฝ่าบาทเหลือเกิน ถึงกับเลือดตกยางออก หม่อมฉันจะช่วยทำให้ฝ่าบาททรงลืมนะเพคะ”

เลือดออกตรงไหน ทำไมเขาไม่รู้สึกล่ะ

สติของเจ้าชายหนุ่มเลือนๆ ไป เมื่ออีกฝ่ายปรนเปรอด้วยริมฝีปากอุ่นนิ่ม เนื้อตัวของหญิงสาวอ่อนนุ่ม หอมกรุ่น ต่างจากสัมผัสแข็งแน่นของคนที่เขาคุ้นชินมากนัก

ขณะที่คิดว่าเขานอนอยู่ผิดตำแหน่ง ผู้ชายต้องอยู่ข้างบนจึงจะถูก กลางกายก็ได้รับการปรนนิบัติด้วยมือและปาก ความรู้สึกสุขสมก่อตัวขึ้น แต่อารมณ์บางอย่างที่ยังค้างคาทำให้รู้สึกได้ไม่เต็มที่

เป็นความรู้สึกแบบสุกๆ ดิบๆ ราวกับว่ากายสุขสม แต่ใจไม่ยอมรับ

“ให้หม่อมฉันขึ้นถวายนะเพคะ”

ภาพนางพระกำนัลสาวกำลังหย่อนตัวลงมาสวมครอบความเป็นชายของเขาเอาไว้ตรึงสายตาจนต้องกลั้นหายใจ ยามที่นางขยับตัว ควบขับอยู่บนกายของเขา ไม่ได้ช่วยทำให้เขารู้สึกดีมากมายอย่างที่คิด

“ฝ่าบาท... รัก... หม่อมฉันรักฝ่าบาทเพคะ...”

พิรุณหลับตาพริ้มขณะขยับกายขึ้นลงอย่างรุนแรง

วูบหนึ่ง ที่ความเสียใจแล่นปลาบทั่วหัวใจของเจ้าชายเชลย แต่อารมณ์ดิบก็พุ่งทะยานเช่นกัน

เขาถึงฝั่ง แต่ทำไมจึงไม่รู้สึกสบายใจอย่างที่ควร

กลับรู้สึกว่าได้ทำสิ่งสกปรกจนตัวเองแปดเปื้อน โสมมไปทั้งตัว




“หม่อมฉันจะแต่งงานพระเจ้าค่ะ”

เขาอุตส่าห์ให้พิรุณรออยู่ในห้องบรรทมด้วยกันเพื่อกราบทูลประโยคนี้ต่อเจ้าของห้อง ตั้งแต่ก้าวแรกที่พระองค์เสด็จเข้ามา
องค์รัชทายาทแห่งเรืองอรุณทรงชะงัก สีพระพักตร์แปรเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง คลับคล้ายจะเสียพระทัย แต่เพียงแค่แวบเดียวก็กลับเป็นปกติ

“เธอออกไปได้แล้ว” รับสั่งบอกพิรุณ

“หม่อมฉันอยากให้นางอยู่ด้วยพระเจ้าค่ะ”

“ออกไป”

พระสุรเสียงไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แต่อย่าว่าแต่พิรุณเลยที่รีบก้มลงกราบแล้วคลานออกจากห้องไป คนที่ไม่ได้ถูกสั่งให้ออกยังรู้สึกกลัวขึ้นมาจนใจสั่น

หลายอึดใจที่ถูกสายพระเนตรคู่นั้นทอดมองมานิ่งๆ ศวัสอึดอัดจนเหมือนจะหายใจไม่ออก

“กินข้าวด้วยกันก่อน มีอะไรไว้พูดกันตอนนั้น”

คนถูก ‘ชวน’ ไม่กล้าค้านแม้แต่ครึ่งคำ




ห้องเสวยกว้างขวาง แต่เจ้าชายภีมเสนโปรดให้จัดโต๊ะเสวยเล็กๆ ขนาดสองที่ริมพระบัญชร

อาหารบนโต๊ะล้วนแต่เป็นของที่เจ้าชายรองแห่งอันธกาล ‘โปรด’ ที่สำคัญคือเป็นอาหารของชาวอันธกาล

“ฉันเพิ่งรับพ่อครัวชาวอันธกาลมาคนหนึ่ง ต่อไปเธออยากจะกินอะไรเป็นพิเศษก็สั่งไปที่ห้องเครื่องได้”

ศวัสรู้สึกว่ามีก้อนอะไรอะไรบางอย่างติดตื้นอยู่ตรงลำคอ ทำให้กลืนข้าวแต่ละคำลงไปอย่างยากลำบาก ดวงตาก็ร้อนผ่าวจนต้องกะพริบตาถี่ๆ

มื้ออาหารผ่านไปอย่างเงียบเชียบ องค์รัชทายาทหนุ่มไม่ได้ทรงตำหนิที่คนร่วมโต๊ะกินช้าและน้อยคำ หลังจากอีกฝ่ายแทบจะไม่ขยับช้อนส้อมแล้ว พระองค์ก็ทรงเลื่อนจานผลไม้มาให้

เมื่อมหาดเล็กเลื่อนเครื่องเสวยไปเก็บเรียบร้อยแล้ว เจ้าชายภีมเสนจึงรับสั่ง

“อยากจะแต่งงานกับใคร”

“กับ... พิรุณพระเจ้าค่ะ”

“ทำไมถึงจะแต่ง”

เรื่องแบบนี้ยังต้องถามด้วยหรือ

“หม่อมฉัน... ได้นางแล้ว นางเป็นเมียของหม่อมฉันแล้วพระเจ้าค่ะ”

ในที่สุดก็โพล่งออกไปแล้ว และเพียงแค่ถูกจ้องมองนิ่งๆ ก็รู้สึกเหมือนอากาศในห้องนี้จะน้อยเกินไปจนไม่พอจะหายใจ

“ได้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องแต่งงาน ฉันส่งนางไปรับใช้เธอ ถ้าเธอพอใจ จะให้รับใช้แบบไหนก็ได้”

คนฟังเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง

“นางเป็นผู้หญิงนะพระเจ้าค่ะ ได้นางแล้วไม่รับผิดชอบ หม่อมฉันจะเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ชายอยู่ได้อีกหรือพระเจ้าค่ะ”

สายพระเนตรคมจัดทอดมองมาอย่างพิจารณาระคนปรานี

“เธอยังอ่อนเดียงสาเกินไป”

“หม่อมฉันไม่ใช่เด็ก”

“ศวัส”

ไม่รู้เป็นไร ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์รุนแรงแค่ไหน ขอเพียงแค่ถูกพระองค์ทรงเรียกชื่อ เขาก็เป็นต้องยอมอ่อนลงและนิ่งฟังเสมอ

“ถ้าแต่งงานกับพิรุณแล้ว เธอจะมีความสุขไหม”

“มีพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันจะมีความสุข” มีเมียเป็นผู้หญิง ทำไมถึงจะไม่มีความสุขล่ะ

“ฉันอยากเห็นเธอมีความสุข จึงอยากให้เธอคิดทบทวนดูดีๆ ถ้าอยากจะแต่งงานกับผู้หญิง ฉันก็เห็นว่านาราน่าจะเหมาะ”

อะไรนะ นารา เขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่จะให้แต่งงานกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง บ้าไปแล้ว ขนาดเขาได้ชื่อว่าเป็นลูกชายของหญิงบ้า ยังไม่มีความคิดวิปริตแบบนี้อยู่ในหัวเลยแม้แต่กระผีกเดียว

“เลือกคนที่เธอชอบเขาจากใจจริง เพราะถ้าเธอชอบเสียแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอะไรผิด เธอก็ยังอภัยให้เขาได้ง่ายๆ และยังจะชอบเขาอยู่เสมอไป”

อารมณ์โมโหของคนฟังปะทุกรุ่น คับแค้นจนอยากจะร้องไห้ เขาไม่อยากจะฟัง อย่ารับสั่งราวกับทรงรู้จักความรู้สึกแบบนั้นดีเลย คนอย่างพระองค์จะเคยรู้สึกเช่นนั้นกับใครได้ยังไง ในเมื่อไม่น่าจะมีหัวใจเสียด้วยซ้ำ ขนาดคนที่พระองค์รับสั่งอยู่เสมอว่าเป็นเมียบอกว่าจะแต่งงานกับผู้หญิง ยังไม่โกรธ ไม่ห้ามเลยสักคำ มิหนำซ้ำยังจะแนะนำผู้หญิงคนอื่นให้อีก

“หม่อมฉันอยากจะแต่งงานกับพิรุณ ฝ่าบาทจะประทานพระอนุญาตได้ไหมพระเจ้าค่ะ” เขาต้องการรู้แค่นี้

ชั่วขณะนั้น เวลาเหมือนกับหยุดเดิน

“ได้สิ ฉันอนุญาต”

คนเป็นพระชายารู้สึกราวกับบางสิ่งบางอย่างในร่างกายแตกสลาย

ไหนล่ะ ความรู้สึกปลาบปลื้มยินดีที่จะได้เรียกศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายกลับคืนมา

ทิฐิเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่ผลักดันให้กล้ำกลืนความรู้สึกที่ทำให้ท้องไส้บิดเกร็งเขม็งเกลียวลงไป พยายามสงบใจ บังคับให้มือไม่สั่นขณะที่ถอดแหวนออกจากนิ้วนางข้างซ้าย

“หม่อมฉันอยากจะได้แหวนวงใหม่ ขอถวายวงนี้คืนพระเจ้าค่ะ”

แปลกที่เรื่องแค่นี้กลับทำให้พระพักตร์ที่นิ่งเฉยอยู่เป็นนิจแปรเปลี่ยนไปได้

“เธอเก็บเอาไว้เถอะ”

“แต่หม่อมฉันต้องสวมแหวนวงใหม่ในพิธี”

องค์รัชทายาทหนุ่มทรงนิ่งเงียบไปชั่วครู่

“ฉันให้แล้วไม่คิดจะเอาคืน”

“ของมีค่าเช่นนี้ หม่อมฉันกลัวเก็บไม่ดีแล้วทำหายพระเจ้าค่ะ”

คนกราบทูลวางแหวนไว้บนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นยืน

“หม่อมฉัน... ขอประทานพระอนุญาตกลับห้องพระเจ้าค่ะ”

“... ไปเถอะ...”

คนฟังถึงกับชะงัก ง่ายดายอย่างนี้เองหรือ ทำไมถึงปล่อยเขาไปง่ายๆ

อ้อ อีกไม่นานพระองค์คงจะเสด็จไปหา แล้วก็ตักตวงความสุขจากร่างกายของเขาเหมือนทุกคืน

คิดเช่นนั้นแล้วก็ไม่นึกแปลกใจอีก

“ศวัส”

คนเดินไปได้หลายก้าวแล้วหันกลับมา

“สร้อยของเธอ ให้ฉันได้ไหม”

“... ฝ่าบาททรงขอทำไมพระเจ้าค่ะ”

หัวใจเต้นโลดราวกับจะทะลุออกมาจากอก

“แทนแหวนที่ฉันให้”

ศวัสกำมือแน่น สูดลมหายใจเข้าแล้วกราบทูลเสียงห้วน

“หม่อมฉันตั้งใจว่าจะมอบให้พิรุณในวันแต่งงานพระเจ้าค่ะ”





วันแต่งงานของพระชายาในเจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณถูกกำหนดให้มีขึ้นในอีกสิบวันข้างหน้า เร็วจนแม้แต่เจ้าบ่าวเองยังตระหนก นาราเป็นคนบอกเหตุผลเมื่อถูกถาม

“องค์รัชทายาทรับสั่งว่าถ้าช้ากว่านี้จะไม่ทันเพคะ”

“ไม่ทันอะไร”

“หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ”

นางพระกำนัลสาวผู้นี้พูดน้อยลงมาก ตั้งแต่รู้ว่าพระชายาของตนจะแต่งงานกับพิรุณ หญิงสาวแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบใจมาก แต่ก็ยังปรนนิบัติรับใช้เจ้าชายต่างแคว้นอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เพียงแต่ยิ้มน้อยลง และไม่ช่างพูดเหมือนเดิม ทำเอาบรรยากาศรอบตัวของเจ้าชายหนุ่มหม่นหมองลงอย่างรู้สึกได้ชัด

ตั้งแต่แยกจากกันในคืนที่กินอาหารร่วมโต๊ะ  ศวัสก็ไม่ได้พบเจ้าชายภีมเสนอีก

ยามค่ำคืนที่จะได้นอนในห้องเพียงลำพังได้มาถึงแล้ว




อย่างไรก็ดี แม้องค์ไม่มา แต่พระกรุณาก็มาถึงไม่เคยขาด ค่าใช้จ่ายทุกอย่างในพิธี พระองค์ทรงจ่ายให้ทั้งหมด ตั้งแต่วิหารที่ใช้ทำพิธี ชุดเจ้าบ่าว ชุดเจ้าสาว บัตรเชิญ ของชำร่วย ดอกไม้ อาหาร ของที่ใช้ตกแต่งในพิธี รถม้า หรือแม้แต่เรือนหอ ทุกสิ่งอย่างเจ้าชายภีมเสนโปรดให้คนจัดการตามความต้องการของบ่าวสาวทุกประการ

พูดให้ถูกคือความต้องการของเจ้าสาวเพียงคนเดียว

พิรุณกระตือรือร้นกับการได้เป็นเจ้าสาวมาก      ผิดกับเจ้าชายแห่งอันธกาลที่นอกจากลองชุดแล้วก็ไม่แสดงความคิดเห็นเรื่องอะไรอีกเลย และพิรุณก็ถามความคิดเห็นเพียงแค่ครั้งเดียว เมื่อได้คำตอบว่า

‘ฉันตามใจเธอ’

หญิงสาวก็ไม่เคยถามอีก ซึ่งศวัสก็คิดว่าดีแล้ว

เจ้าชายภีมเสนไม่ได้ทรงเรียกร้องความสัมพันธ์ยามค่ำคืนจากเขาอีก พิรุณเองก็ไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวเขาเลยเช่นกัน หญิงสาวอ้างว่าต้องเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว จึงไม่ได้มาอยู่รับใช้เขาอีก คนเดียวที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลาคือนารา

นาราที่บ่อยครั้งจะมองเขาด้วยสายตาตัดพ้อ

“อยากจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ”

“หม่อมฉันพูดได้หรือเพคะ”

“ทำไมถึงพูดไม่ได้ล่ะ”

“สิ่งที่หม่อมฉันจะพูด คงไม่ใช่สิ่งที่พระชายาอยากจะฟัง”

“พูดไปเถอะ” เพราะไม่ว่าจะพูดอะไร ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว

“พระชายาไม่น่าทรงทำอย่างนี้เลยเพคะ องค์รัชทายาททรงดีต่อพระชายามาก ไม่เคยขัดพระประสงค์เลยสักอย่าง แล้วก็ไม่เคย... ไม่เคยนอกใจพระชายาเลย”

อา... นอกใจ เจ็บแปลบไปถึงแก่นกลางหัวใจเชียวล่ะ

“ก่อนจะมีพระชายา พระองค์ทรงมีพระสนมอยู่หลายสิบนาง แต่ละนางรูปร่างหน้าตาสะสวย พระองค์ยังโปรดให้ทูลลาออกจนหมด เพื่อจะได้มีพระชายาเพียงพระองค์เดียว ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทรงทำอย่างนี้ก็ได้ พระชายาไม่ทรงเห็นความดีของพระองค์บ้างเลยหรือเพคะ ทรงเป็นเจ้าชายแห่งอันธกาล น่าจะทรงทราบว่าไม่ว่าบ้านเมืองไหน เจ้าชายจะมีพระสนมนางในกี่นางก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ที่สำคัญ สิ่งที่พระชายาทรงทำกับพิรุณลับหลังพระองค์ ถ้าเป็นคนอื่นคงจะต้องพระอาญาสาหัสไปแล้ว แต่องค์รัชทายาทกลับทรงอภัยให้พระชายาได้ง่ายๆ”

คำพูดของนารามีเหตุผล เจ้าชายรองแห่งอันธกาลยิ้มเศร้าๆ แล้วตอบนางด้วยคำถามเบาๆ

“ถ้าผู้ชายคนหนึ่งไม่เคยนอกใจเธอเลย แต่เขาขืนใจเธอทุกคืน เธอจะยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีอยู่ไหม”

นาราตอบไม่ได้




ได้อยู่ตามลำพังเพียงแค่ไม่กี่วัน ศวัสก็รู้สึกว่าวันเวลาแต่ละวันช่างยาวนาน เขามีเวลาว่างมากพอจะคิดออก ว่าทุกสิ่งที่ทำลงไปก็เพื่อความสาแก่ใจ ซึ่งไม่ใช่นิสัยของเขาเลย ชั่วชีวิตที่ผ่านมาเขาได้แต่เป็นฝ่ายถูกกระทำและยอมรับในชะตากรรมอันโดดเดี่ยวที่คนในราชวงศ์มอบให้ ไม่เคยคิดจะลุกขึ้นมาปฏิวัติหรือแก้แค้นใคร แต่เจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณทรงเป็นคนไล่ต้อนเขา กดดันให้เขารู้สึกว่าทานทนไม่ได้

สรุปแล้วพระองค์เองที่เป็นคนเปลี่ยนแปลงเขา

ทำให้เขากลายเป็นคนอีกคนหนึ่ง

‘สร้อยของเธอ ให้ฉันได้ไหม’

แค่คิดถึง ทั้งหัวตาและหัวใจก็ร้อนผ่าว จะขอทำไม
.
.
.
.
.

ในเมื่อไม่มีเหตุผลดีๆ มอบให้





tbc.

******************************************

iforgive – สมน้ำหน้านี่ถูกต้องเลยค่ะ คิดว่า จำเป็นจะต้องมีบทให้ศวัสเป็นผู้ถูกกระทำ ให้คนอ่านได้สมน้ำหน้าบ้างค่ะ ถ้าตัดฉากนั้นไปจะกลายเป็นว่า ผู้ถูกกระทำ ในเรื่องนี้คือเจ้าชายรัชทายาทคนเดียวเลย ต้องแบ่งๆ กันถูกกระทำ แต่ไม่รู้ว่าทางกายหรือทางใจจะหนักกว่ากันสิน่า

fuku – บทนี้ศวัสก็ยังเยอะอยู่นะคะ เยอะกว่าเดิมเยอะเลยอ่า ชักจะเลยเถิด

poogan_zad – น้องสาวพี่บัวรึเปล่าคะ (ดูจากจำนวนกระทู้ คิดว่าน่าจะเพิ่งสมัคร) ขอบคุณที่เม้นต์ค่ะ ^^ แล้วก็ถ้าใช่ ก็ขอแก้ไขนิดนึงค่ะ เรื่องความหมายของชื่อภีมเสน บอกผิดน่ะค่ะ ไม่ได้แปลว่าโหดร้าย แต่แปลว่า น่ากลัว (ในสายตาของศวัส แต่จริงๆ แล้วก็ใจดีอยู่นะคะ ไม่มีบทโหดค่ะ ใกล้จบล่ะ)

อ๊ายอาย – หึง หื่น แต่ไม่หวงนะคะ อยากแต่งงานก็ให้แต่ง คิดๆ อยู่ว่าดูเป็นคนแปลกๆ พิกล แต่ก็พอมีเหตุผลอยู่ อีกสองตอนก็จบแล้วค่ะ เป็นบทที่ 8 แล้วก็บทส่งท้าย ตั้งใจว่าจะเคลียร์ทุกประเด็นแต่ยังไม่แน่ใจว่าจะสมเหตุสมผลมั้ย เรื่องขอคืนดีนี่ชุนขอคิดดูก่อนนะคะ รอพิจารณาความประพฤติของเสี่ยก่อนค่ะ ถ้ารับได้ถึงจะยอม ชุนไม่ง่ายหรอกนะคะ ขอบอก :laugh:

IsDear – ศวัสก็กำลังจะใจแตกเหมือนกันค่ะ (แตกสลาย 555)

Snowermyhae – ตอนเขียน ชุนก็ไม่เคยรู้สึกสงสารศวัสเลยค่ะ สงสารภีมเสนคนเดียวเลย



ถึงตอนนี้เพิ่งจะรู้สึกว่า เรานี่ชอบเขียนให้นายเอกเป็นคน "เรื่องเยอะ" เนาะ
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 6) 22 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 24-04-2014 11:52:41
ตอนที่แล้ว สมน้ำหน้า ตอนนี้ สมน้ำหน้าโครต ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
โกรธมาก  ทำไมโง่เขลา เอาแต่อารมณ์ขนาดนี้
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 7) 24 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 24-04-2014 12:20:13
หาเรื่องให้ตัวเองชัดๆ

เหอะๆ ได้งูพิษมาไว้ข้างหมอนแล้วจะรู้สึก
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 7) 24 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: KhunToOk ที่ 24-04-2014 13:53:24
ขออ่านถึงแค่ตรงนี้นะคะ เราทำใจอ่านต่อไม่ไหว ไม่ชอบใจนายเอกขึ้นมาปรี๊ดๆ

ไม่รู้จะสมน้ำหน้าหรืออะไรดี ไม่ใช่ว่าอวยพระเอกนะคะ แบบว่ายิ่งอ่านยิ่งสาสารพระเอก

ในใจรู้สึกไม่ดีกะนายเอกไปแล้วอ่ะค่ะ รับไม่ได้ สามคนผ้วเมีย มันไม่ใช่อ่ะค่ะ

ปอลอ อินไปไหมนะเรา 555++
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 7) 24 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: mholic ที่ 24-04-2014 14:15:45
อยากตบนางพิรุณสักฉาดสองฉาด
ไม่เจียมกะลาหัวจริง กินบนเรือนขี้บนหลังคาจริง :katai1:
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 7) 24 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 24-04-2014 16:36:46
 :hao5: สงสารภีมเสน
พิรุณนี่มันมีหวังจะเข้าใกล้ภีมเสนแล้วดีดศวัสทิ้งสินะเนี่ย
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 7) 24 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: poogan_zadd ที่ 24-04-2014 17:07:31
อุ้ย ไม่ใช่น้องสาวพี่บัวนะคะ จริงๆสมัครนานไว้นานแล้วค่ะแต่ก็หยุดอ่านไปก่อน
เพิ่งคึกจะกลับมาเม้นท์ก็ตอนอ่านนิยายคุณชุน เป็นเมมเบอร์เก๋ากึ้กเลยค่ะ 55
ตัวภีมเสน...คิดไปคิดมาก็น่ากลัวจริงๆด้วย TT ดูมีลับลมคมใน ดีบางเรื่องร้ายบางเรื่อง ถึงอย่างนั้นก็เชียร์เขานะ เขาดูรักศวัสมาก
แต่ประโยคที่ศวัสก็พูดน่าสงสารจริงๆ...อยากรู้ว่าภีมเสนคิดยังไง ทั้งอยากให้จบทั้งไม่อยากให้จบเลยเรื่องนี้ ฮือออ

แล้วก็รู้สึกว่าบทนี้เป็นบทที่เราอ่านแล้วรู้สึกบีบคั้นสุดๆเลยค่ะ อ่านไปปวดใจไปทั้งตอน ลุ้นว่าศวัสจะยกเลิกงานไหม
พิรุณจะยังไง ภีมเสนจะยังไง สุดท้ายก็ไม่ยังไง เขาจะแต่งงานกันซะงั้น ฮือออ

หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 7) 24 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 24-04-2014 18:45:51

“ถ้าผู้ชายคนหนึ่งไม่เคยนอกใจเธอเลย แต่เขาขืนใจเธอทุกคืน เธอจะยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีอยู่ไหม”


รู้สึกชอบและจี๊ดกับประโยคนี้มาก ทางกายกับทางใจมันคนละอย่างกัน ร่างกายยอม และจิตใจถูกบังคับ ใครคนไหนจะชอบลงได้? เจ้าชายทำให้นายเอกรู้สึกดีๆอะไรบ้างหรือยัง แต่ก็นะ สิ่งที่พระชายาทำออกจะดูเกินไปหน่อยเหมือนกัน

เดาว่าเรื่องของพิรุณนี่มีปม หรือเงื่อนงำ หรืออะไรบางอย่างแน่นอน เพียงแต่นางจะรู้มั้ยว่า ตัวเองกำลังทำร้ายใครอยู่????


ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ แล้วก็ชอรามิเรสมากๆเลยด้วย ขอบคุณนะคะคนเขียน  :bye2:
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 7) 24 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 24-04-2014 21:29:13
ที่ว่าไม่ทันเนี่ย....เจ้าชายรัชทายาทคงไม่ตายนะ

 :z10:


แอบหมั่นไส้พระชายานะ เหมือนยังไม่รู้ใจตัวเอง ที่ทำก็ประชดทั้งนั้น
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 7) 24 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 25-04-2014 03:13:01
รู้สึกสมน้ำหน้าศวัส สงสารภีมเสนมาก ไม่รู้ว่ามีเหตุผลอะไรที่ให้ทุกอย่าง แต่ดูน่าสงสารที่สุด
นารายังดูน่าคบกว่าพิรุณอีก  :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 7) 24 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: puengkiss ที่ 30-04-2014 21:52:35
สนุกมากเลยจ้า รอตอนต่อไปนะจ้า
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 7) 24 เม.ย.57
เริ่มหัวข้อโดย: puengkiss ที่ 09-05-2014 22:08:44
ยังรออยู่นะจ้า คุณชุนหายไปไหนๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 8) 10 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 10-05-2014 08:51:50
พรุ่งนี้... ที่รอคอย
บทที่ ๘

“องค์รัชทายาทไม่ได้เสด็จนะเพคะ”

คืนก่อนแต่งงาน นาราบอกเช่นนั้นโดยที่ว่าที่เจ้าบ่าวไม่ได้ถาม

คนฟังทั้งแปลกใจและไม่แปลกใจ รู้แต่ว่าเขาอยากให้พระองค์ไปร่วมพิธีด้วย ถ้าได้เห็นว่าพระองค์ทรงเสียพระทัยอยู่บ้าง... แค่เพียงนิดเดียว เขาก็คงจะรู้สึกดีจนสามารถมีชีวิตอย่างมีความสุขได้อีกยาวนาน

แต่ไม่ไปก็ดีเหมือนกัน ยังมีเวลาอีกมาก ที่เขาจะทำให้ทรงรู้สึกเจ็บปวดบ้าง

“หม่อมฉันไม่ได้รับอนุญาตให้พูด ถ้าพระชายาไม่ได้ถาม แต่หม่อมฉันทนไม่ไหวแล้วเพคะ จะถูกองค์รัชทายาททรงลงพระอาญาก็ยอม”

คนขาดความรู้สึกกระตือรือร้นไปนานแล้วก้มลงมองคนที่พับเพียบอยู่ข้างๆ อย่างสนใจขึ้นมา

“พิรุณไม่ใช่นางพระกำนัล นางเคยเป็นพระสนมขององค์รัชทายาทมาก่อนเพคะ”

ศวัสนิ่งอึ้ง

“แล้วนาง...” ทำไมยังอยู่ที่นี่

“พ่อของนางเคยช่วยชีวิตองค์รัชทายาทไว้ครั้งหนึ่งเพคะ นางจึงมีสิทธิ์พิเศษกว่าคนอื่น นางทูลขออยู่ที่นี่ต่อไป เป็นนางพระกำนัลคอยรับใช้พระชายาก็ยอม จนถึงตอนนี้หม่อมฉันก็ยังเดาไม่ถูกว่านางต้องการอะไรกันแน่”

เหตุผลน่ะหรือ ก็คงจะเหมือนกับเขานั่นแหละ... เพื่อแก้แค้น

ดี... รู้อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้รู้สึกผิดต่อนางน้อยลง

“นางเคยถวายตัวให้องค์รัชทายาทมาแล้ว เพราะฉะนั้นแค่มีความสัมพันธ์กับนางครั้งเดียว พระชายาไม่จำเป็นต้องทรงรับผิดชอบนางด้วยวิธีนี้เลย”

ศวัสฝืนยิ้มขื่น การที่เขาแต่งงานกับพิรุณ ไม่มีเหตุผลอะไรที่เกี่ยวข้องกับนางเลย

... ไม่มีเลย...

“อีกอย่าง หม่อมฉันคิดว่าตอนนี้องค์รัชทายาทน่าจะกำลังประชวรมากนะเพคะ”


ประโยคนี้ต่างหาก ที่สั่นสะเทือนหัวใจได้ทั้งดวง

“หม่อมฉันได้เข้าเฝ้าครั้งล่าสุดเมื่อห้าวันที่แล้ว พระพักตร์ดูซูบซีดลงมาก หม่อมฉันทูลถาม แต่รับสั่งว่าเสวยพระโอสถแล้ว ไม่ได้ทรงเป็นอะไรมาก แล้วก็รับสั่งว่าหม่อมฉันไม่จำเป็นต้องไปเข้าเฝ้าทูลรายงานกิจวัตรประจำวันของพระชายาอีก พระชายาน่าจะเสด็จไปทรงเยี่ยมพระองค์บ้างนะเพคะ คืนนี้ก็ได้ ถ้าเป็นพระชายา ไม่ว่าเวลาไหนองค์รัชทายาทก็โปรดให้เข้าเฝ้าได้อยู่แล้ว”

คงไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่รับสั่งนั่นล่ะ แต่ถึงจะเป็นมาก หมอหลวงก็คงจะต้องหายาดีที่สุดมารักษาให้หายโดยเร็วอยู่แล้ว เขาไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร อีกอย่าง การสั่งให้นาราเลิกรายงานเรื่องของเขา ก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าเลิกสนพระทัยเขาแล้ว

“เสด็จไหมเพคะ พระชายา”

“ฉันจะเข้านอนล่ะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”

“พระชายาเพคะ”

“...”

“หม่อมฉัน... ไม่ควรพูด แต่หม่อมฉันรู้จากมหาดเล็กที่อยู่เวรปีกซ้ายว่า... ว่าองค์รัชทายาทโปรดให้พิรุณเข้าเฝ้าคืนนี้”

คนฟังกำหมัดแน่น ถึงกระนั้นมือก็ยังสั่นระริก

“บอกฉันทำไม”

“เผื่อว่าพระชายาจะเสด็จไปเพคะ”

“ไปทำไม”

นาราสูดหายใจเข้าลึก สบสายตาของพระชายาราวกับจะหยั่งความรู้สึกและท้าทายอยู่ในที

“อย่างน้อย ก็เพื่อพาว่าที่เจ้าสาวของพระชายากลับมา”

คนฟังสะดุ้งเล็กน้อย นั่นสินะ ทำไมเขาถึงไม่มีความคิดเช่นนั้นอยู่ในหัวเลย คิดแต่ว่าถ้าไป ก็หมายถึงไปเพื่อกันผู้หญิงคนนั้นออกจาก ‘สามี’  ของเขา

“นอนเถอะ พรุ่งนี้... ก็เช้าแล้ว”






พิธีแต่งงานจัดขึ้นในวิหารหลังใหญ่ที่เจ้าสาวชื่นชอบเป็นพิเศษ แขกเหรื่อมากมายล้วนแต่เป็นคนที่เจ้าชายรองแห่งอันธกาลไม่รู้จักทั้งสิ้น อารมณ์ที่ควรจะชื่นบานกลับแห้งแล้งหม่นหมอง นาราเป็นคนช่วยแต่งตัวให้เขาเมื่อเช้านี้ นางบอกเขาเรียบๆ ว่า

“หม่อมฉันคิดมาตลอดเลยเพคะ คำถามที่พระชายาถามตอนนั้น ถ้าหม่อมฉันถูกผู้ชายคนหนึ่งขืนใจ หม่อมฉันคงไม่คิดว่าตัวเองโชคดี แต่ถ้าเขายินดีจะมีหม่อมฉันเพียงคนเดียว และดีต่อหม่อมฉันบ้าง หม่อมฉันก็จะพยายามลืมอดีต เพื่อจะได้ก้าวออกไปสู่อนาคตได้เพคะ คงจะมีสักวันที่หม่อมฉันจะมีความสุข”

อา... อนาคต... หมายถึง ‘วันพรุ่งนี้’ สินะ

“ขอบใจนะ ที่บอก แต่ฉันจะไม่รออนาคตแล้ว”





ท่ามกลางผู้คนมากมาย เจ้าชายรองแห่งอันธกาลรู้สึกเหมือนตัวคนเดียวอยู่หน้าแท่นพิธี เสียงดนตรีบรรเลงเพลงอ่อนหวานเมื่อเจ้าสาวก้าวเดินมาตามทางที่ลาดด้วยพรมสีแดงสด ใบหน้าสะสวยของนางซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมสีขาวโปร่งบาง

ถึงกระนั้นศวัสก็ยังเห็นว่าสีหน้าของพิรุณดูซีดเซียว และดวงตาก็แดงช้ำ

... อาจจะเป็นเพราะได้ ‘ถวายตัว’ เมื่อคืน...

เขาคงจะเป็นคนชั่วช้าขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เสียแล้ว ที่ไม่ได้รู้สึกคับแค้นใจแทนเจ้าสาวของเขาเลยแม้แต่น้อย หัวใจที่สั่นสะท้าน หนาวยะเยือกไปหมดนี้รู้ดีว่าเป็นเพราะโกรธที่องค์รัชทายาทที่แสนดีของนาราไม่ใช่คนดีงามอย่างที่นางเคยสรรเสริญเทิดทูนอีกแล้ว

“... ยินดีจะรับเจ้าชายรองแห่งอันธกาลเป็นสามี จะร่วมทุกข์และร่วมสุข จะรักและดูแลกันทั้งในยามดีและยามป่วยไข้ ตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่หรือไม่”

หัวหน้านักบวชคงจะผิดพลาดเสียแล้ว ที่ถามเจ้าสาวก่อน

พิรุณนิ่งเงียบไปหลายอึดใจ ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นแล้วตอบรับเสียงสั่นแต่หนักแน่น

“รับค่ะ”

“เจ้าชายศวัส เจ้าชายรองแห่งอันธกาล ฝ่าบาททรงยินดีจะรับพิรุณไว้เป็นพระชายา จะร่วมทุกข์และร่วมสุข จะรักและดูแลนางทั้งในยามดีและยามป่วยไข้ ตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่หรือไม่”

“...”

คนถูกถามนิ่งเงียบเนิ่นนาน ภายในห้องพิธีเงียบสงัดจนกระทั่งเริ่มมีเสียงซุบซิบดังขึ้นอื้ออึง ผู้ประกอบพิธีให้เอ่ยเรียกอีกครั้งอย่างเกรงใจ

“ฝ่าบาท”

“ฉัน...”

พูดออกไปสิ แค่พูดออกไปคำเดียวเท่านั้น เขาก็จะได้หลุดพ้นจากความอัปยศที่ต้องแบกรับอยู่ทุกค่ำคืน

“...”

“ฝ่าบาท...”

... สิ่งที่จะทำให้เธอหนีฉันพ้นได้ มีแต่ความตายเท่านั้น...

คงจะจริงอย่างที่รับสั่ง

“ฉันขอโทษ พิรุณ”

“ฮะ...” เจ้าสาวถึงกับผงะ ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะดังก้องราวกับคนบ้า “ฮ่ะๆๆๆๆ... ฮ่ะๆๆๆๆ...”

เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นทุกที พิรุณเปิดผ้าคลุมหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่แดงช้ำ รอยแย้มยิ้มบนริมฝีปากดูขมขื่นสุดจะพรรณนา

“หม่อมฉันสู้ฝ่าบาทไม่ได้จริงๆ ขนาดว่าฝ่าบาทไม่รู้อะไรเลยแท้ๆ ยังตัดใจพูดไม่ได้ ส่วนหม่อมฉัน ทั้งที่รู้อยู่แล้ว ยังทิ้งพระองค์มาได้ ยังรับฝ่าบาทเป็นสามีได้ เพียงแค่อยากจะทำให้พระองค์เสียพระทัยจนตายตาไม่หลับ”

“เธอพูดเรื่องอะไร” ศวัสขมวดคิ้ว หัวใจเต้นแรง สังหรณ์ใจถึงลางหายนะ

“ตอบหม่อมฉันมาก่อนสิเพคะ ว่าทำไมฝ่าบาทถึงไม่ยอมรับหม่อมฉันเป็นชายา”   

“ฉัน...”

“หลงรักองค์รัชทายาทหรือเพคะ”

“ไม่ใช่”

“แล้วเพราะอะไรล่ะเพคะ”

“เพราะ...”

พิรุณรอคอย แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่ได้คำตอบ

“หึ ไม่ต้องตอบก็ได้เพคะ แต่หม่อมฉันขอสร้อยพระศอของฝ่าบาทเป็นสิ่งตอบแทนได้ไหมเพคะ”

คนถูกขอกำล็อกเก็ตรูปหยดน้ำเอาไว้แน่น พิรุณเองก็รู้ ว่าเขาจะมอบมันให้กับคนที่เขารักเท่านั้น

“ถ้าไม่ได้ทรงรักองค์รัชทายาท ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บมันเอาไว้ถวาย”

ศวัสพยักหน้า

“ได้ แต่เธอต้องบอกฉันก่อนว่าเธอพูดเรื่องอะไร องค์รัชทายาททรงเป็นอะไร”

“พระองค์กำลังจะสิ้นพระชนม์เพคะ”

“...!!...” ไม่จริงน่า เป็นไปไม่ได้

“ถ้าเสด็จไปตอนนี้ อาจจะยังทันดูใจ”

คนฟังไม่รอแล้ว ไม่คิดจะสอบสวนต่อไปแม้แต่น้อยว่าเป็นความจริงหรือไม่ เจ้าชายรองแห่งอันธกาลออกวิ่ง ขาพันกันจนล้มหน้าคว่ำลงบนพรมแดงต่อหน้าธารกำนัล แต่ก็รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ฝ่าบาท! สร้อยของหม่อมฉันล่ะเพคะ”

ศวัสถอดสร้อยออกจากคออย่างไม่ลังเล






ตั้งแต่จำความได้ เขาไม่เคยวิ่งอย่างสุดฝีเท้าเช่นนี้มาก่อน ถึงกระนั้นก็ยังไม่ทันใจ หัวใจที่รุ่มร้อนเป็นไฟโลดแล่นไปถึงปีกซ้ายของพระตำหนักเจ้าชายรัชทายาทก่อนนานแล้ว

... สิ่งที่จะทำให้เธอหนีฉันพ้นได้ มีแต่ความตายเท่านั้น...

... แต่ฉันจะไม่ยอมให้เธอตาย...

รอยเลือดที่กระจายอยู่บนผ้าปูที่นอนผืนนั้น ไม่ใช่เลือดของเขา

‘อดทนนะ ศวัส คิดเอาไว้ว่า พอถึงวันพรุ่งนี้ ก็จะเป็นวันของเธอแล้ว เธอจะไม่ต้องอดทนอีก’

‘พรุ่งนี้... ฮึก... จะมีจริงหรือพระเจ้าค่ะ’
   
‘มีสิ... นอนเสีย พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว’

   “พระชายา!”
   
นาราตะโกนเรียก แต่เขาไม่หัน และไม่หยุด จนกระทั่งนางพระกำนัลสาวขี่ม้าอ้อมมาดักหน้าแล้วลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว

   “ใช้ม้าเถอะเพคะ”

   เจ้าชายรองแห่งอันธกาลขี่ม้าได้ไม่ค่อยคล่อง แต่ก็เหวี่ยงตัวขึ้นม้าแล้วควบขับออกไปโดยไม่ลังเล






   
บรรยากาศแห่งความตายลอยอวลตั้งแต่ก้าวแรกที่ย่างเข้าพระตำหนัก แม้แต่องครักษ์ที่ยืนเวรอยู่ด้านหน้าก็หน้าหมองกันทุกคน

   ศวัสไม่พูด ไม่ถามใครทั้งนั้น เขาวิ่งตรงไปยังปีกซ้าย ประตูห้องบรรทมไม่ได้ปิดเอาไว้ มหาดเล็กหลายนายคุกเข่ากลั้นน้ำตาอยู่หน้าห้อง เจ้าชายหนุ่มวิ่งพรวดเข้าไปข้างใน

   ในห้องมีคนอื่นอยู่ไม่กี่คน สองคนเป็นองครักษ์ประจำพระองค์ ส่วนคนอื่นนั้นศวัสไม่รู้จักและไม่คิดจะสนใจ

   ชายวัยกลางคนร่างผอมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างพระที่ลุกขึ้นยืนให้เจ้าชายต่างแคว้นเข้าไปนั่ง ทว่าศวัสไม่สนใจ เขาปีนขึ้นไปนั่งบนพระที่โดยไม่สนใจความเหมาะสม

   “ฝ่าบาททรงเป็นอะไร”

   พระพักตร์ของเจ้าชายภีมเสนทั้งหมองคล้ำและซูบผอม ผิดไปจากเมื่อสิบวันก่อนที่เขาเคยเห็นอย่างสิ้นเชิง คนมองเห็นตาแดงก่ำ น้ำตาไหลพรากออกมาเอง

   “หมอบอกว่าถูกพิษตาย” คนรับสั่งขยับมุมพระโอษฐ์ขึ้นนิดหนึ่งเป็นรอยยิ้มก่อนอธิบาย “เป็นพิษที่ได้รับเข้าไปแล้วต้องตายทุกคน ไม่รู้ว่าถูกพิษเข้าตอนไหน อาจจะเป็นตอนที่เข้าป่าล่าสัตว์เมื่อหกเดือนก่อน ดีที่พิษจะกำเริบเฉพาะตอนกลางวัน แล้วก็ดีที่หมอเก่ง”

   “ก็เลยจะทรงหายใช่ไหม”

   “เปล่า แต่บอกได้ว่าฉันจะมีเวลาอยู่อีกหกเดือน นับแล้วเห็นทีจะไม่พ้นวันนี้”

   เก่งบ้าเก่งบอน่ะสิ อย่างนี้ก็เรียกว่าหมอเก่งได้ด้วยหรือ

   เจ้าชายรองแห่งอันธกาลพยายามกลั้นสะอื้น ดึงห่อผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วคลี่ออกทั้งที่มือสั่น ในนั้นมีวัตถุสีดำก้อนกลมๆ อยู่ก้อนหนึ่ง

   “อ้าปากพระเจ้าค่ะ”

   “อะไรหรือ”

   “บอกให้อ้าก็อ้าสิ!”

   คนเจ็บแย้มพระโอษฐ์เหมือนจะขำ แต่ก็ยอมอ้าโดยดี

   “ฝ่าบาท! เดี๋ยวก่อนพระเจ้าค่ะ”

   หมอหลวงวัยกลางคนขยับเข้ามาห้ามอย่างร้อนใจ ทว่าศวัสป้อนมันเข้าพระโอษฐ์ไปแล้ว ของชนิดนั้นละลายทันทีที่ถูกน้ำลาย

   “เป็นยังไงบ้างพระเจ้าค่ะ” ใจเขาสั่นไปหมดแล้ว

   “หวานๆ เย็นๆ ดี หอมมากด้วย มันเป็นอะ... โอ้ก!..”

   “ฝ่าบาท!”

   หลายเสียงดังประสานกันเมื่อองค์รัชทายาทหนุ่มทรงกระอักพระโลหิตออกมาคำโต

   “พระชายาทรงทำอะไรลงไป”

   ทั้งหมอหลวงและบรรดาราชองครักษ์ล้วนแต่มีทีท่าแค้นเคือง ทว่าเจ้าชายภีมเสนทรงโบกพระหัตถ์ ไม่ให้เข้าใกล้พระชายาของพระองค์ ศวัสนั่งอึ้งตะลึงงัน ทำอะไรไม่ถูก

   “ม... มันเป็นยา... น่าจะเป็นยาที่รักษาโรคได้ทุกโรค แก้พิษได้ทุกอย่าง แล้วทำไมถึง... เป็นแบบนี้”

   “ยาแบบนั้นไม่มีอยู่ในโลกหรอกพระเจ้าค่ะ”

   หมอหลวงอดพูดอย่างเคืองๆ ไม่ได้

   เจ้าชายแห่งอันธกาลน้ำตาเอ่อ รีบใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบเลือดถวายทั้งที่มือสั่นจนคนเจ็บต้องช่วยจับเอาไว้ ลมหายพระทัยอ่อนและดูเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด

   “ไม่เป็นไร ศวัส เธอมาก็ดีแล้ว ฉันจะได้ขออโหสิกรรม”

   ศวัสร้องไห้โฮ

   “ไม่ต้องพระเจ้าค่ะ ไม่ต้องขอ อย่ารับสั่งแบบนั้น”

   “ต้องสิ กรรมใดที่ฉันทำไว้กับเธอ ทำให้เธอเจ็บช้ำ ไม่ว่าจะด้วยการกระทำหรือคำพูด ฉันขอให้เธอจงอภัยให้ฉันเถิด ฉันกล้าพูดได้เต็มคำ ว่าฉันไม่มีเจตนาจะทำให้เธอต้องเจ็บปวดหรือเสียศักดิ์ศรี”

   “ไม่ต้องพระเจ้าค่ะ... ฮือ... อย่าพูด”

   “มีใครบอกเธอหรือยัง ว่าวันนี้เธอหล่อมาก เป็นผู้ชายที่พร้อมจะเป็นที่พึ่งพิงของผู้หญิงได้”

   “พอแล้ว!”    

   องค์รัชทายาทหนุ่มแย้มพระสรวลจางๆ

   “เธอจะให้อภัยฉันได้ไหม”

   คนตรัสถามทรงลูบมือสั่นๆ ที่แสนเย็นเฉียบนั้นเบาๆ เจ้าชายเชลยสะอื้นฮักขณะพยักหน้ารัว

   “ขอบใจ ต่อไปเธอคงจะไม่ต้องรอวันพรุ่งนี้อีก”

   “รอพระเจ้าค่ะ! หม่อมฉันจะรอ”

   “รอทำไม”

   ไม่มีคำตอบ นอกจากเสียงสะอื้นไห้เบาๆ แต่ดังก้องไปทั้งห้องที่เงียบงัน

   ดวงพระเนตรสีเหล็กกล้าปรือลงใกล้จะปิดเต็มที

   “ยังไม่ได้ถามเลย ว่าเธอกลับมาอย่างนี้แล้วพิธีล่ะ”

   คนถูกถามกลั้นสะอื้นไว้สุดความสามารถ บีบกระชับพระหัตถ์ของคนเจ็บเอาไว้ด้วยสองมือ

   “หม่อมฉันเชื่อฝ่าบาทพระเจ้าค่ะ ฝ่าบาท... ฮึก เคยรับสั่งว่า ให้หม่อมฉันเลือกคนที่หม่อมฉันชอบ เพราะถ้าชอบแล้ว ก็จะ... ฮึก อภัยให้เขาได้ง่ายๆ และ... ฮึก ไม่ว่าเขาจะเป็นยังไง หม่อมฉันก็ยังจะชอบเขาเสมอไป”

   “เธอชอบฉันหรือ”

   ศวัสขยับริมฝีปาก แล้วก็เปลี่ยนใจ

   “พรุ่งนี้... พรุ่งนี้หม่อมฉันจะบอก เพราะฉะนั้น... ฮึก... ได้โปรด มีชีวิตอยู่จนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้เถิดพระเจ้าค่ะ”

   “บอกเลย... ไม่ได้หรือ”

   ศวัสส่ายหน้า องค์รัชทายาทหนุ่มแย้มพระสรวล พยักพระพักตร์เบาๆ ก่อนจะกระอักพระโลหิตออกมาอีกคำโต แล้วสลบไปทันที

   “ฝ่าบาททททททททททท! หม่อมฉันบอกแล้ว! บอกแล้วพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันรักฝ่าบาท ทรงตื่นขึ้นมาฟังก่อนพระเจ้าค่ะ ฝ่าบาท... ภีมเสน!...”

   “ทรงหลบไปก่อนพระเจ้าค่ะพระชายา กระหม่อมจะตรวจดูพระอาการ”

   ภายในห้องโกลาหลวุ่นวาย เจ้าชายรองแห่งอันธกาลถูกองครักษ์ประจำพระองค์จับแยกห่างออกมาจากพระที่เพื่อให้หมอหลวงตรวจได้สะดวก ศวัสดิ้นรนจนหมดแรง ได้แต่นั่งน้ำตาไหลพราก

   ... ต่อไปเธอคงจะไม่ต้องรอพรุ่งนี้อีก...
.
.
.
.
   รอ... เขาจะรอวันพรุ่งนี้

เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

ขอเพียงพรุ่งนี้มาถึงแล้วพระองค์ยังมีชีวิตอยู่
.
.
.
.
.
.
.

   ... เท่านั้นก็พอ...





tbc.




************************************************

เคยได้ยินจากที่ไหนก็จำไม่ได้ ว่า   “พรุ่งนี้... ก็สายเสียแล้ว”

แต่คาดว่า... เจ้าชายรองแห่งอันธกาลคงจะไม่เคยได้ยิน

คราวหน้าเป็นบทส่งท้ายสั้นๆ นะคะ




ป.ล. คุณ poogan_zadd – อุ่ย ขอโทษด้วยค่ะที่ทักผิด พอดีมีน้องของพี่ที่รู้จักคนนึงฝากพี่เขามาถามชุนเรื่องชื่อตัวละครน่ะค่ะ ว่ามีความหมายอะไรมั้ยเพราะอ่านยาก (หรืออ่านสะดุด ไม่แน่ใจ) ชุนเลยบอกไปว่า ภีมเสน แปลว่า โหดร้าย ในเม้นต์คุณ poogan ก็บังเอิญมีคำว่าโหดร้ายพอดี ชุนเลยคิดว่าอาจจะใช่น่ะค่ะ จริงๆ ภีมเสนแปลว่า น่ากลัว เป็นชื่อเจ้าชายที่สามมั้งคะ ไม่แน่ใจ ในเรื่องมหาภารตะที่เจ้าชายอรชุนเป็นพระเอกน่ะค่ะ ส่วน ศวัส ก็แปลว่า... พรุ่งนี้

ป.ล.2 มาช้าเพราะว่า... อารมณ์ศิลปิน น่ะค่ะ ไม่มีอะไร
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 8) 10 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 10-05-2014 10:10:41
ร้องไห้ตามศวัสเลยอ่ะคุณชุน แต่ก็สมน้ำหน้าอยู่เล็กๆ เพราะไม่ว่า นาราจะบอกอะไร ก็เอาแต่ทิฐิ งี่เง่า

เพราะตรอมใจสินะ ภีมเสนอาการถึงกำเริบ
รอบทส่งท้าย ว่าภีมเสนจะรอดไหม
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 8) 10 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 10-05-2014 12:16:43
 :m15: :m15:
เจ้าชาย.....โฮ
ห้ามตาย!!! ตายโกรธคนเขียน
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 8) 10 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 10-05-2014 13:45:20
 :o12:

ทำร้ายจิตใจคนอ่านเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 8) 10 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 10-05-2014 15:49:27
ขอให้ยาช่วยได้ทีเถอะ  :z3:
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทที่ 8) 10 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 11-05-2014 00:15:53
 :hao5: กีสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส
ทำใจไว้ส่วนหนึ่งว่าดราม่าแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้
น้ำตาตกเลยอ่ะ ภีมเสนอย่าเป็นอะไรไปนะ แง้  :sad4:
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทส่งท้าย) 11 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 11-05-2014 16:34:10
พรุ่งนี้... ที่รอคอย
บทส่งท้าย


เมื่อความลับเรื่ององค์รัชทายาทถูกยาพิษมาเป็นเวลานานไม่เป็นความลับอีกต่อไป คราวนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ถูกเปิดเผยออกมาหมด พิรุณยอมสารภาพว่า

“หม่อมฉันรักองค์รัชทายาท ทุ่มเททำเพื่อพระองค์มาตั้งหลายปี แต่พอฝ่าบาทมาถึง หม่อมฉันก็ต้องถูกปลด ไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์อะไรเลย อย่างนี้ยุติธรรมหรือเพคะ แต่ไม่ว่ายังไงองค์รัชทายาทก็ไม่ทรงยอมให้หม่อมฉันถวายงานต่อ หม่อมฉันไม่มีทางเลือก ทางเดียวที่หม่อมฉันจะสัมผัสพระองค์ได้ ก็มีแต่ต้องผ่านพระวรกายของฝ่าบาทเท่านั้น”

นั่นเป็นความจริงที่ทำให้ศวัสถึงกับขนลุกซู่ นางมีความสัมพันธ์กับเขา เพราะร่างกายของเขาถูกเจ้าชายภีมเสนครอบครองมาก่อนหน้านั้นแล้ว

เป็นความวิปริต ที่คิดไปแล้วก็มีส่วนน่าสงสาร และจะว่าไป      องค์รัชทายาทแห่งเรืองอรุณก็เป็นคนเลือดเย็นคนหนึ่ง ที่ยอมให้อดีตพระสนมของพระองค์มาคอยรับใช้พระชายา ได้เห็นภาพตำตาตำใจอยู่ทุกคืน

ความ ‘เลือดเย็น’ ของพระองค์มีมาก่อนหน้านั้นแล้ว พิรุณเคยทูลขอลาออกจากการเป็นพระสนมเพราะทนเห็นเจ้าชายหนุ่มทรงรับพระสนมคนใหม่เรื่อยๆ ไม่ได้ แต่เจ้าชายรัชทายาททรงปฏิเสธคำขอ เพราะตอนที่บิดาของนางมีความดีความชอบ ช่วยชีวิตพระองค์ไว้นั้น นอกจากพระองค์จะทรงรับนางเป็นพระสนมเพื่อตอบแทนแล้ว ยังทรงสนับสนุนเขามาเรื่อยๆ จนตอนนี้เขาเป็นขุนนางสำคัญคนหนึ่งที่ช่วย ‘หนุน’ พระองค์ได้

‘เธอกับฉัน เราอยู่กันด้วยหน้าที่ ไม่ใช่ความรัก’

‘มีวิธีอะไรที่จะทำให้หม่อมฉันไปจากฝ่าบาทได้ไหมเพคะ’

‘มีวิธีเดียว เลิกรักฉัน แล้วทำให้ฉันรักเธอ ถ้าฉันรักมากพอ ไม่ว่าเธอต้องการอะไรฉันก็จะให้ แม้ว่าจะต้องปล่อยให้เธอไปแต่งงานกับคนอื่น’

เพราะเหตุนี้ พิรุณจึงมั่นใจว่าหากเจ้าชายรัชทายาททรงรักเจ้าชายเชลยจริง พระองค์จะต้องทรงยอมให้ ‘พระชายา’ แต่งงานกับนางแน่

ใจหนึ่งภาวนาให้พระองค์ทรงห้าม เพราะนั่นอาจหมายความว่ายังไม่รักมากพอ แต่อีกใจก็อยากให้ทรงอนุญาต เพราะนั่นหมายถึงนางได้แก้แค้น แต่อะไรๆ ก็ผิดแผนไปเสียหมด

คืนก่อนแต่งงาน เจ้าชายภีมเสนรับสั่งบอกความจริงว่าพระองค์กำลังจะสิ้นพระชนม์ให้พิรุณรู้ ให้นางรู้ว่าต่อให้ได้แต่งงานกับเจ้าชายเชลย ก็จะไม่ได้สัมผัสพระองค์ทางอ้อมอีกต่อไป การแก้แค้นไร้ความหมาย พระสนมคนงามร้องไห้อยู่ทั้งคืน แต่สุดท้ายก็ถือคติว่า หากนางไม่มีความสุข ใครอื่นก็อย่าหวังว่าจะมี

“หม่อมฉันยังยินดีจะปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทนะเพคะ หม่อมฉันสาบานว่าจะไม่เรียกร้องอะไรมากกว่านี้ ขอเพียงได้สัมผัสองค์รัชทายาทผ่านฝ่าบาทบ้างเท่านั้น ฝ่าบาทเองก็จะทรงมีความสุขด้วย เพราะว่าหม่อมฉันเป็นผู้หญิง คงทำให้ฝ่าบาททรงสะดวกพระทัยกว่าการเป็นฝ่ายปรนนิบัติองค์รัชทายาท ถือว่าเราต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ อีกอย่าง ถ้าหม่อมฉันเกิดตั้งท้องขึ้นมา ฐานะของฝ่าบาทก็จะมั่นคงขึ้นนะเพคะ ลูกของหม่อมฉันก็ถือว่าเป็นลูกของเราสามคน”

คนฟังถึงกับพูดไม่ออก แต่อำนาจการตัดสินชะตากรรมของนางอยู่ที่เขา เขาจึงบอกให้นางไปเสีย

ไป แล้วอย่ากลับมาให้เขาเห็นหน้าอีก

และเพราะเขาไล่ให้นางไป บิดาของนางจึงต้องถูกย้ายไปอยู่ที่เมืองใกล้ชายแดนด้วย ตามพระบัญชาของเจ้าชายรัชทายาท
ดูท่าว่าเขาคงจะเลือดเย็นไม่แพ้องค์รัชทายาทแห่งเรืองอรุณเสียแล้ว แต่เขาทำได้ และไม่ลังเล






ตั้งแต่ศวัสมาอยู่ที่เรืองอรุณ ก็ไม่มีใครเคยถูกประหารชีวิตเพราะเขาเลยแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นคนที่บกพร่องต่อหน้าที่ตอนที่เขาพยายามจะฆ่าตัวตาย ลูกชายเศรษฐีและลูกน้องที่เข้ามาหมายชิงตัวพิรุณ หรือแม้แต่องครักษ์ที่ติดตามไปอารักขาในวันนั้น
เจ้าชายรองแห่งอันธกาลถูกหลอก

ความลับอีกอย่างหนึ่งที่เพิ่งรู้ก็คือ นาราเองก็เป็นถึงธิดาคนเล็กของเสนาบดีเกษตร






คืนนี้เป็นคืนแรกที่ศวัสย้ายมานอนห้องเดียวกับ ‘พระสวามี’

“อย่าเพิ่งนอนนะ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”

ถึงเจ้าของห้องจะรับสั่งบอกไว้อย่างนั้น แต่เมื่อเสด็จออกมาจากห้องแต่งพระองค์แล้ว ก็พลันพบว่าคนร่วมห้องนอนห่มผ้าเรียบร้อยอยู่บนเตียง หันหลังให้ ทั้งยังหลับตาพริ้มไปเรียบร้อย

คนแกล้งหลับรู้สึกถึงน้ำหนักตัวของคนที่เพิ่งนั่งลงบนเตียงได้ชัดเจน หัวคิ้วจึงขมวดเข้าหากันนิดหนึ่ง ก่อนจะถูกลูบศีรษะเบาๆ

“ศวัส”

เจ้าของพระหัตถ์เย็นๆ ลูบไล้ลงมาตามผิวแก้ม

“ถ้าลืมตาขึ้นมาตอนนี้ ฉันจะบอกทุกอย่างที่เธอถาม”

เปลือกตาของคนนอนสั่นไหว แต่ไม่ยอมลืม จึงถูกลงโทษด้วยการหอมแก้มแล้วกระซิบข้างหู

“ลักหลับเสียดีไหม”

ผ้าห่มกำลังจะถูกเลิกขึ้น ทว่าคนที่ ‘หลับ’ ไปแล้วยึดเอาไว้แน่น

“ไม่อยากให้ทำก็ลืมตาขึ้นมาคุยกันดีๆ”

รับสั่งอย่างกับว่าถ้าลืมตาขึ้นมาคุยแล้วจะไม่ ‘ทำ’ อย่างนั้นแหละ ศวัสลืมตาแต่ยังไม่ยอมลุก

“ฝ่าบาทโปรดผู้ชายหรือพระเจ้าค่ะ”

อีกฝ่ายทรงสั่นพระเศียร

“ไม่ชอบ แต่องค์หญิงใหญ่แคว้นอันธกาลร้ายกาจเหมือนแม่มด ฉันไม่อยากจะแต่งด้วยเลยหาข้ออ้าง บอกไปว่าชอบผู้ชาย”

แน่นอนว่าใครจะยอมส่งเจ้าชายรัชทายาทแคว้นตัวเองมาแต่งงานเพื่อเป็นเมียของเจ้าชายรัชทายาทอีกแคว้นหนึ่ง

ศวัสลุกขึ้นนั่ง

“แล้วทำไมถึงทรง... ทำอย่างนี้กับหม่อมฉันล่ะพระเจ้าค่ะ”

“เห็นหน้าครั้งแรกก็อยากได้”

คนฟังหน้าแดงวาบ แต่สายตายังคลางแคลง

“ไม่ใช่อย่างที่เธอเข้าใจหรอก ฉันเห็นว่าหน้าเธอเหมือนคนอยากจะตายเต็มที”

เจ้าชายรองแห่งอันธกาลนิ่วหน้า

“ตอนนั้นฉันรู้ตัวมาสองเดือนแล้วว่าถูกพิษและจะต้องตายแน่ ถึงจะไม่ใช่คนกลัวตาย แต่พอรู้ว่าจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นานก็อดจะใจหายไม่ได้ เธออายุยังน้อย ไม่ควรจะหมดอาลัยตายอยากในชีวิตด้วยเรื่องแค่นี้ ฉันจึงอยากให้เธอรู้จักคุณค่าของชีวิตมากขึ้น”

ศวัสงงหนัก ทั้งผิดหวังทั้งสับสน ใช่หรือ... ทำให้เขาอยากมีชีวิตต่อไป หรือทำให้เขาอยากตายเร็วกว่าเดิมกันแน่

“ฉันทำอย่างนั้น เธอคงเกลียดฉันมากจนอยากตายไปให้พ้น แต่เมื่อฉันตาย เธอก็จะมีความสุขเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เธอจะเรียนรู้ด้วยตัวเอง ว่าขอเพียงอดทนให้มาก ไม่ว่าความทุกข์จะสาหัสแค่ไหน เธอก็จะผ่านมันไปได้ ชีวิตยังมีวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่ารออยู่ เธอจะได้พบ ถ้าเธอไม่ด่วนฆ่าตัวตายไปเสียก่อน”

คนฟังเข้าใจดีแล้ว น่าแปลกที่เขาคิดว่า ต่อให้อีกฝ่ายทรงทำไปเพราะตัณหาราคะเพียงอย่างเดียว เขาในตอนนี้ก็คงไม่นึกแค้นเคืองพระองค์อีก สิ่งที่ยังติดใจก็คือ

“แล้วเรื่องที่โปรดให้พระสนมทูลลาออกทั้งหมดเล่าพระเจ้าค่ะ”

“พอรู้ตัวว่าจะตาย ฉันก็นึกอยากจะทำความดีเอาไว้บ้าง คิดอยู่ว่าจะทำยังไงถึงจะให้พวกนางลาออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่มีใครระแวงสงสัยเรื่องที่ฉันถูกพิษ ก็ประจวบกับได้ตัวเธอมาพอดี พออ้างว่าอยากจะมีชายาเพียงคนเดียวจึงให้ทุกคนลาออกให้หมด ก็ไม่มีใครสงสัยอีก”

“อ้อ”

คำนั้นไม่มีความหมาย เขาก็พูดไปอย่างนั้นเองเพราะไม่รู้จะพูดอะไร ยังทำใจรับไม่ทัน เมื่อรู้ว่าสำคัญตัวผิดมาตลอด

เจ้าชายภีมเสนทรงขยับเข้ามากอดพระชายาของพระองค์ไว้หลวมๆ ศวัสขัดขืนเล็กน้อยในคราแรก ก่อนจะยอมโอนอ่อน เอียงศีรษะซบลงบนพระอุระของอีกฝ่ายแต่โดยดี

“ตอนนี้ฝ่าบาททรงปลอดภัยแล้ว จะทรงมีพระสนมอีกกี่คนก็ย่อมได้”

“นั่นสิ”

คนในอ้อมกอดตัวแข็ง ขยับตัวจะผละออก แต่อีกฝ่ายไม่ทรงยอม บอกแล้วว่าถ้าพระองค์ไม่ทรงยอมปล่อยเขาเอง เขาก็หนีไปไหนไม่พ้น

“แต่มีเธอแค่คนเดียวก็ดีแล้ว เธอเป็นคนให้ชีวิตใหม่แก่ฉัน”

ศวัสน้ำตารื้น เจ็บปวดจนรวดร้าวไปทั้งอก

เจ้าชายภีมเสนไม่ได้ทรงต่างจากเจ้าหลวงแห่งอันธกาล ที่ทรงรับแม่ของเขาไว้เพียงเพราะนางเคยช่วยชีวิตพระองค์ไว้

“หม่อมฉัน... เป็นผู้ชาย”

“ฉันรู้”

“มีลูกถวายให้ไม่ได้”

“มีให้ไม่ได้ก็ไม่เอา”

คนถูกกอดไว้หลวมๆ เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ เจ้าของดวงพระเนตรสีเหล็กก้มลงมามอง แล้วก็ประทานจูบเบาๆ ให้ครั้งหนึ่ง

“เอาเธอแค่คนเดียว”

ศวัสนิ่งคิดอยู่ครู่ แล้วก็หน้าแดงเถือก เจ้าชายภีมเสนแย้มพระสรวล

“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องอย่างนั้นสักหน่อย เธอนี่ก็ลามกเหมือนกันนะ”

“ฝ่าบาทต่างหากพระเจ้าค่ะ”

จูบเขา แล้วก็พูดกับเขาแบบนั้น ใครได้ยินก็ต้องคิดแบบเขาทั้งนั้น

“ฝ่าบาท!”

เพราะมัวแต่เขินอาย จึงถูกอีกฝ่ายจับกดลงกับเตียงอย่างง่ายดาย มือสองข้างถูกยึดไว้ข้างตัว หมดสิทธิ์จะขัดขืน

“ยังไม่ได้ถามเลยว่าเธอเอายาเม็ดนั้นมาจากไหน”

รับสั่งถามเป็นการเป็นงาน ช่างตรงกันข้ามกับสภาพล่อแหลมของเขาเหลือเกิน

“...”

“บอกไม่ได้หรือ”

“แม่ของหม่อมฉันให้ไว้ก่อนตายพระเจ้าค่ะ” เห็นคนอยู่บนทรงตั้งใจฟังเป็นอย่างดี ศวัสก็กลืนน้ำลายลงคอครั้งหนึ่ง “นางเก็บเอาไว้ในล็อกเก็ตแล้วบอกว่า... ให้หม่อมฉันมอบให้...”

“คนที่เธอรัก”

ศวัสนิ่งเงียบ แล้วก็พยักหน้า

“แค่บอกรักฉัน ทำไมต้องทำหน้าเศร้า”

คนอยู่ล่างพยายามฝืนยิ้มฝืดๆ ก่อนจะหลับตาพริ้มเมื่ออีกฝ่ายทรงโน้มพระพักตร์ลงมาจูบปาก จูบหน้าผาก ก่อนจะทรงปล่อยแขนของเขาแล้วดึงแหวนทองฝังไพลินน้ำงามวงเดิมออกมาจากนิ้วพระหัตถ์ก้อย ยกมือซ้ายของเขาขึ้นแล้วสวมประทานให้ที่นิ้วนาง

“อย่าถอดออกอีก ได้ไหม”

เจ้าชายรองแห่งอันธกาลพยักหน้า

“ยังไม่ได้บอกเธอสินะ”

ศวัสขมวดคิ้ว

“แหวนวงนี้ แม่ของฉันก็ให้ไว้ก่อนตายเหมือนกัน”

คนฟังใจเต้นแรง

“รับสั่งว่า ให้มอบให้คนที่ฉันรัก”

ศวัสน้ำตาเอ่อ หยดน้ำร้อนๆ รินตกลงมาจากหางตา เมื่ออีกฝ่ายทรงจูบเปลือกตาซ้ายขวาแล้วกอดเขาเอาไว้

“หมู่นี้ขี้แยนะ แต่น้ำตาคงช่วยเธอไม่ได้ คืนนี้ยังไงเธอก็หนีฉันไม่พ้น ยอมรับชะตากรรมเสียเถอะ”

ครั้นรับรู้ถึงอาการพยักหน้าแรงๆ ของคนในอ้อมกอด           เจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณก็ทรงพระสรวล

“ดูท่าเมียฉันจะลามกไม่ใช่น้อยเลยนะ”

ตุ้บ!

“รู้จักทุบเสียด้วย”

“ฝ่าบาท!”

“ฮ่ะๆๆ”

คืนนั้น รับสั่งที่ได้ยินอยู่ข้างหูก่อนจะหลับไปก็คือ
.
.
.
.
.
.

“พรุ่งนี้ก็อยู่ด้วยกันนะ ศวัส”







THE END


จบจ้าาาาาาาาาาาาา :mew1:
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทส่งท้าย) 11 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 11-05-2014 16:50:45
ก่อนจบได้น้ำตาร่วงอีกนิดหน่อย ขอบคุณคนแต่งมากค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทส่งท้าย) 11 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 11-05-2014 17:20:31
 :heaven :heaven :heaven

ขอพิเศษตอนนึงได้ม๊าย อยากให้ศวัส แสดงความรักออกมาบ้าง

 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทส่งท้าย) 11 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 11-05-2014 18:02:07
ในที่สุดก็happy ending

มีความสุขที่สุด ไขทุกข้อสงสัย

 :pig4: นักเขียน
หัวข้อ: Re: เวลา : พรุ่งนี้ (บทส่งท้าย) 11 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 12-05-2014 00:25:39
 :impress2: ยาได้ผลด้วย เย้ในที่สุดก็มีความสุขซะที
ขอตอนพิเศษ คู่นี้หวานๆกันหน่อยจิ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทนำ) 12 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 12-05-2014 12:55:39
วันวาน... สู่นิรันดร์
บทนำ


เจ้าชายอัทธายุเป็นเจ้าชายที่ประสูติจากพระสนมเอก พระฉวีออกคล้ำเหมือนพระมารดา พระวรกายสูงใหญ่ พระโอษฐ์งดงามจนผู้หญิงยังอาย แต่หนวดเคราสั้นๆ รอบพระโอษฐ์และตามแนวพระหนุกลับทำให้พระพักตร์ติดจะดูเถื่อนๆ

เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงดำรงตำแหน่งเจ้ากรมโยธาธิการ โปรดงานช่าง และการเสด็จไปควบคุมการก่อสร้างตามเมืองต่างๆ ด้วยพระองค์เอง ไม่ค่อยจะได้ประทับอยู่ที่เมืองหลวงมากนัก รองเจ้ากรมโยธาธิการจึงต้องรักษาการแทนอยู่เกือบตลอดปี เมื่อเรืองอรุณเกิดศึกกับอันธกาล พระองค์ทรงควบคุมการสร้างเขื่อนอยู่ที่เมืองทางเหนือ ไม่ได้เสด็จกลับมาจนกระทั่งเสร็จศึกจึงรีบกลับตามพระบรมราชโองการ

เพื่อเลือกเชลยศักดิ์หนึ่งคนไปไว้ในปกครอง

เจ้าชายภีมเสนทรงเลือกเจ้าชายรองแห่งอันธกาล ทั้งยังประทานตำแหน่งพระชายาให้ เจ้าชายศีลวัตทรงเลือกคุณชายใหญ่แห่งเผ่าเวณุและเผ่าไทวะ คนแรกเป็นผู้ชายที่สวยราวกับผู้หญิง ส่วนคนหลังยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุ 17 ปี ผิวขาว หน้ากลม แก้มยุ้ย แถมยังใส่แว่นตากรอบดำเชยๆ ราวกับคนแก่ แต่เมื่อเทียบกับคุณชายใหญ่แห่งเผ่าชุณหะซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำสมชายชาตรีแล้ว ย่อมน่าเลือกมากกว่า

เจ้าชายอัทธายุทรงรักสงบ ไม่เคยคิดแก่งแย่งชิงดีกับใคร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทรงออกโอษฐ์ทูลขอคนที่พระเชษฐาพระองค์รองทรงเลือกไปแล้ว

“หม่อมฉันอยากจะทูลขอเด็กคนนั้นพระเจ้าค่ะ เจ้าพี่จะโปรดให้หม่อมฉันเอาอะไรมาแลกเปลี่ยน หม่อมฉันก็ยินดี”

เจ้าชายศีลวัตเป็นคนที่คนทั้งราชสำนักแทบจะไม่มีใครกล้าขัดพระทัย อีกทั้งคราวนี้พระองค์ยังมีความดีความชอบมากที่สุด แถมซ้ำยังไม่ได้ทรงรักใคร่ไยดีพระอนุชาต่างพระมารดามากนัก แต่เมื่อถูกของ่ายๆ กลางท้องพระโรง พระองค์กลับเพียงแต่ปรายสายพระเนตรไปทางองครักษ์ประจำพระองค์คนสนิทแวบหนึ่ง ยกยิ้มตรงมุมพระโอษฐ์ขึ้นเป็นปริศนาแล้วก็รับสั่งง่ายๆ ว่า

“อยากได้ก็เอาไป ไม่ต้องเอาอะไรมาแลก”

เจ้าชายสามยังไม่ทันได้ขอบพระทัย พระเชษฐาต่างพระมารดาก็ตรัสถาม

“ถูกใจหรือ”

พระอนุชาแย้มพระสรวลตอบแบบกระตุกๆ ไม่ค่อยเต็มที่ แต่ไม่ได้ทูลตอบ และอีกฝ่ายก็ไม่ได้ใส่พระทัยจะเอาคำตอบจริงจัง

เมื่อทอดพระเนตรไปทางเด็กหนุ่มที่ยังคุกเข่าอยู่เบื้องล่าง ก็เห็นว่าหน้ายังซีดอยู่ไม่หาย ดวงตากลมโตหลังแว่นสี่เหลี่ยมกรอบดำเชยๆ ดูเหมือนจะยังมีน้ำตาคลอๆ อยู่ แต่เหตุผลจริงๆ ที่ต้องเสี่ยงขัดพระทัยพระเชษฐาองค์รองก็เพราะคำคำเดียวจากปากแดงๆ สั่นๆ นั่น คำที่คงไม่มีใครได้ยิน แต่พระองค์ทรงอ่านได้ชัดเจน
.
.
.
.
.
.

“... พี่เขย”






tbc.

*****************************************

ตอนพิเศษไม่มีนะคะ ชุนไม่ชอบเขียนตอนพิเศษน่ะค่ะ เพราะคิดว่าถ้าจะมีตอนพิเศษล่ะก็... เขียนเรื่องใหม่ซะดีกว่า

เพราะฉะนั้น ไม่ว่า วันวาน วันนี้ หรือ รามิเรส ก็ไม่มีตอนพิเศษนะคะ

อ่านเรื่องใหม่ดีกว่าค่ะ

 :bye2:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทนำ) 12 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 12-05-2014 15:56:03
 ไม่เป็นไรจ้า ตามตอนใหม่

เป็นกำลังใจให้เช่นเคย :mew1:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทนำ) 12 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 12-05-2014 22:49:39
พี่เขยอะไร  :hao4:

แล้วใครได้คุณชายร่างใหญ่ไปล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 1) 13 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 13-05-2014 11:23:33
วันวาน... สู่นิรันดร์
บทที่ ๑


เจ้าของวรองค์หนาใหญ่กำลังดำเนินออกมาจากห้องแต่งพระองค์พอดี ตอนที่มหาดเล็กประจำพระตำหนักพาคนที่ต่อไปจะอยู่ในการปกครองของพระองค์ไปตลอดมาขอประทานพระอนุญาตเบิกตัวเข้าเฝ้า

“มาส่งแล้วก็ออกไปเถอะ ปิดประตูด้วย”

คนรับสั่งสรงและเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดสำหรับเตรียมเข้าบรรทมเรียบร้อยแล้ว ขณะรับสั่งยังทรงเช็ดพระเกศาที่ใกล้จะแห้งแล้วไปด้วย

คุณชายแห่งเผ่าไทวะสะดุ้งเมื่อถูกขังเอาไว้ในห้องกับนายเหนือชีวิตตามลำพัง หน้าตาตื่น ดวงตาส่ายไปมาลอกแลกจนเจ้าของห้องทั้งขำทั้งสงสาร เมื่อพระองค์ประทับที่พระเก้าอี้เยื้องปลายพระที่ อีกฝ่ายก็คุกเข่าลงทันที

“ไม่ต้องคุกเข่า มานั่งใกล้ๆ ฉัน...” ชะงักไปนิด แล้วก็ทรงเปลี่ยนสรรพนาม “ใกล้ๆ พี่นี่มา”

คนถูกสั่งลังเล ไม่แน่ใจอย่างเห็นได้ชัด ละล้าละลังอยู่ครู่จึงตัดสินใจก้มตัวลงคลานตามที่ได้รับการกำชับมาอย่างเข้มงวด ทว่าคลานไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นปลายพระบาทมาหยุดอยู่ตรงหน้า คุณชายหนุ่มผงะถอยทันทีด้วยความกลัว

“กลัวอะไร จำพี่ได้ไม่ใช่หรือ”

คนถูกถามพยักหน้า ขยับปาก แต่คำที่พูดออกมาไม่ใช่คำเดียวกับที่คิดไว้ในหัว

“... ฝ่าบาท”

“เรียกพี่เหมือนเดิมก็ได้ มา ลุกขึ้น”

ประกอบรับสั่งคือพระหัตถ์ใหญ่ที่ยื่นออกมาประทานให้ คนบนพื้นมองพระหัตถ์สลับกับพระพักตร์อย่างสองจิตสองใจ ก่อนจะยื่นมือสั่นๆ ออกไป ทว่ายังไม่ทันจะถึง อีกฝ่ายก็ก้มลงมาดึงตัวเขาขึ้นอย่างรวดเร็วและง่ายดายราวกับตัวเขาไร้น้ำหนัก

“พี่เขย!”

“หึ” เจ้าชายหนุ่มทรงพระสรวลขำๆ

“ผ่านมาเป็นสิบปีแล้วยังเรียกคำนี้อยู่อีก”

คนถูกเย้าหน้าแดง ความรู้สึกก้ำกึ่งกันระหว่างขัดเขินกับกังวล

“ไทเปลี่ยนไปเยอะนะ พี่จำเกือบไม่ได้ ไม่ใช่แค่หน้าตา นิสัยก็ด้วย ทำไมไม่ค่อยพูดเลย กลัวพี่หรือ”

คนที่สูงเพียงไหล่ของอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ ขยับปากร่ำๆ จะพูดแล้วก็ไม่พูดอยู่หลายครั้ง

“จะพูดอะไรก็พูดมา”

“พี่ขะ... เอ่อ... ฝ่าบาท คืนนี้จะโปรดให้กระหม่อม... รับใช้... ไหมพระเจ้าค่ะ”

“รับใช้อะไร”

“ก็... สำนักบำเรอหลวงบอกว่า ถ้า... ฝ่าบาทโปรดให้รับใช้ ก... กระหม่อมก็ต้อง...”

คนฟังเกือบจะทรงขำอีกรอบ แต่ติดที่ว่าสงสารมากกว่าจึงทรงกลั้นเอาไว้

“ถ้ากลัวเรื่องนี้ก็เลิกกลัวได้แล้ว พี่ไม่บังคับให้ไททำอย่างนั้นหรอก”

สีหน้าของเด็กหนุ่มดูมีความหวังขึ้น

“จริงๆ นะพี่เขย! ไทไม่ต้องทำจริงๆ นะ”

เจ้าชายหนุ่มทรงพยักพระพักตร์ยิ้มๆ เท่านั้นเอง เชลยศักดิ์ก็กระโดดตัวลอย

“เย้! ขอบคุณครับพี่เขย ขอบคุณครับ พี่เขยใจดีที่สุด ไทรักพี่เขยที่สุดเลย เย้ๆ”

คนร้องเสียงดังลั่นห้องโผเข้ากอดเจ้าของวรองค์หนาใหญ่ไว้แน่น เขย่าตัวไปมาแถมยังเอาหน้าซุกๆ ถูไถอยู่กับพระอุระหนาๆ อย่างดีใจสุดชีวิต ขณะที่คนถูกกอดทรงยืนอึ้งไปในคราแรก ก่อนจะทรงหลุดเสียงสรวลออกมาอย่างขำๆ แล้วก็กอดตอบพลางขยี้ผมสั้นๆ ของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

ทั้งที่เกือบจะทรงลืมไปแล้วว่าทรงมี ‘น้องเมีย’ อยู่คนหนึ่ง มีทั้งๆ ที่พระองค์ยังไม่ทรงมี ‘เมีย’ นั่นแหละ แต่พอได้พบกันอีกครั้งในอีกสิบปีให้หลังแบบนี้ ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายก็ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกราวกับว่า

ระยะเวลาสิบปีนั้นไม่เคยมี




“ไทกลัวมากเลย กลัวจนเกือบจะฉี่ราดแน่ะตอนที่เจ้าชายรองทรงเลือกไท ตอนแรกไทไม่กลัวเท่าไหร่ เพราะยังมีความหวังว่าพี่เขยจะต้องเลือกไทแน่ๆ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าพี่เขยจะได้เลือกเป็นคนสุดท้าย ไทจะร้องไห้อยู่แล้ว ดีที่พี่เขยช่วย ไม่อย่างนั้นไทก็ไม่รู้จะเป็นยังไง แต่พอพี่เขยเลือกแล้วไทก็ยังกลัวอีก กลัวว่าพี่เขยจะเปลี่ยนไป ก็เลยยังไม่กล้าพูดกับพี่เขยเหมือนเมื่อก่อน”

“แล้วพี่ไม่เปลี่ยนไปเลยหรือ”

คนที่นั่งพูดจ้อยๆ อยู่บนเก้าอี้ทางขวาพระหัตถ์หยุดมองพระพักตร์อย่างพิจารณา ดวงตากลมโตสุกใสที่น้ำตาเพิ่งแห้งจับจ้องอยู่ที่พระพักตร์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเจ้าตัวจะใช้นิ้วกลางดันแว่นขึ้นอย่างเคยชิน

“พี่เขยตัวใหญ่ขึ้น หล่อขึ้นด้วย ไว้หนวดอีก เท่มาก”

คนถูกวิจารณ์ทรงขำ คำนี้เพิ่งจะเคยได้ยิน ปกติมีแต่คนบอกว่าดูดุขึ้น เถื่อนขึ้น ไม่รู้ว่ามองแก้มเป็นพวงของอีกฝ่ายนานเกินไปรึเปล่า แต่พระปรางของพระองค์ก็ชักจะพองๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว

“แล้วก็... แก่ขึ้นด้วย”

“ฮึ”

“จริงๆ นะครับ”

เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงักอย่างจริงจัง คนถูกพิจารณาว่าแก่ทรงทำอะไรไม่ได้ นอกจากทรงพระสรวลพระสุรเสียงลั่น

“สิบปีแล้ว ไทยังโตเป็นหนุ่มหล่อ แล้วพี่จะไม่แก่ได้ยังไง”

“ไทหล่อหรือครับ” ถามเอง แล้วก็ตอบเอง “แม่กับพี่ๆ บอกว่าไทอ้วน”

“ไม่อ้วน” คนรับสั่งทรงสั่นพระเศียร ขณะคนฟังตาเป็นประกาย “แค่อวบๆ”

ไทวายู่ปาก “ก็พี่เขยบอกให้ไทกินมากๆ”

เจ้าชายอัทธายุต้องทรงทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง ว่าพระองค์เคยรับสั่งบอกตอนไหน แต่ก็ทรงจำไม่ได้ ได้แต่ทรงคิดว่าก็อาจจะจริง เพราะตอนที่อีกฝ่ายอายุแค่เจ็ดขวบ เขาเป็นเด็กที่ค่อนข้างผอม

“เทียบกับเมื่อก่อน พี่ชอบไทตอนนี้มากกว่า”

“จริงหรือครับ”

อาจจะทรงรู้สึกไปเอง แต่สายตาหลังกรอบแว่นนั้นดูเปล่งประกายวาววามประหลาด

“อืม เด็กหนุ่มกำลังโตกินเยอะก็ดีแล้ว จะได้มีกล้ามเนื้อ” เทียบกับคนตัวใหญ่มากอย่างพระองค์แล้ว อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตัวใหญ่อะไรเลย

“ไทสายตาสั้นหรือ”

“ครับ สั้นไม่มาก ไม่ใส่ก็ได้ แต่ไทชอบใส่แว่นมากกว่า ไม่อย่างนั้นจะมองไกลๆ ไม่เห็น”

สำหรับคนที่ไม่ได้พบกันมานานถึงสิบปีแล้ว และจะต้องอาศัยอยู่ด้วยกันไปอีกนาน มีหลายเรื่องที่ต้องเรียนรู้กันใหม่ ไทวาดูจะไม่ง่วงเอาเสียเลย พูดจ้อยๆ แทบจะไม่หยุดปาก เจ้าชายสามซึ่งเพิ่งเดินทางกลับมาถึงวังเมื่อตอนเย็นจึงทรงฟังและรับสั่งพูดคุยด้วยเกือบตลอดทั้งคืน ทั้งที่ค่อนข้างจะทรงเพลีย

มีหลายเรื่องที่ปรารถนาจะทรงทราบเกี่ยวกับอีกฝ่าย หนึ่งในนั้นก็คือ

“พี่สาวของไทแต่งงานรึยัง”

“แต่งแล้วครับ พี่นฎามีลูกสองคนแล้ว คนโตเป็นผู้หญิง ชื่อหนูลี คนเล็กเป็นผู้ชาย ชื่อทิน พี่นวลกำลังท้องได้ห้าเดือน ส่วนพี่นาฏเพิ่งแต่งเมื่อปีที่แล้ว”

คนเล่าเล่าอย่างมีความสุข... ดูจะมีความสุขเป็นพิเศษ

“พี่เลยไม่มีโอกาสได้เป็นพี่เขยของไท”

“ก็ตอนนั้นพี่เขยไม่ยอมเลือกใครเลย ไทอุตส่าห์ลุ้นแทบตาย”

หึหึ เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณได้แต่ทรงพระสรวลอย่างขำๆ เฝื่อนๆ อยู่ในพระทัย รับสั่งเป็นนัยถึงขนาดนี้แล้วยังเรียกพระองค์ว่าพี่เขยอยู่อีก อยากจะทรงทราบจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะเรียกพี่เขยตัวจริงว่า พี่เขยๆ เหมือนอย่างที่เรียกพระองค์รึเปล่า   

“อื้อ ไทมีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกพี่เขยครับ”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องท่านพ่อ” สีหน้าของเด็กหนุ่มเคร่งเครียดจริงจังขึ้น “ท่านพ่อไม่ได้อยากจะเข้าร่วมกับอันธกาลนะครับ ทั้งไท ทั้งผู้อาวุโส แล้วก็ทุกคนในเผ่าของเราไม่มีใครอยากจะเป็นศัตรูกับเรืองอรุณเลย แต่อันธกาลวางยาพิษท่านแม่ ลุงหมอก็ไม่มียาถอนพิษ ท่านแม่ทรมานมาก ท่านพ่อก็เลยต้องเข้าร่วมด้วย พี่เขยอย่าเข้าใจเผ่าเราผิดนะครับ”

เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวลนิดๆ “แล้วพี่จะกราบทูลเจ้าพ่อให้ทรงทราบ”

ไทวาส่ายหน้า

“ไทแค่อยากให้พี่เขยรู้ เจ้าหลวงอาจจะไม่ทรงเชื่อก็ได้ แต่ไทอยากจะให้พี่เขยเชื่อไท”

เจ้าชายเจ้ากรมฯ ทรงนิ่วพระพักตร์เล็กน้อย ทำไมจะต้องเป็นพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงมีความสำคัญมากพอจะกำหนดชะตากรรมของเผ่าไทวะทั้งเผ่าได้เลย

“พี่เขยเชื่อไทไหม” สีหน้าของคนทูลถามเดือดร้อนจริงๆ เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวล

“อืม พี่เชื่อไท”

อาจจะเป็นธรรมดา ที่คนในความปกครองจำเป็นจะต้องทำให้ผู้ปกครองมีทัศนคติที่ดีต่อตัวเอง เด็กหนุ่มที่พลัดบ้านพลัดเมืองมาอยู่ในแคว้นของศัตรูเพียงลำพัง พระองค์ไม่พระทัยร้ายพอจะทำลายขวัญและกำลังใจของเขาอีก... ไทวาแย้มยิ้มกว้างขวางทั้งปากทั้งตา
 



เจ้าชายอัทธายุทรงมีพระขนิษฐาแท้ๆ อยู่พระองค์หนึ่ง พระชนม์ห่างกันหกปี ปีนี้เจ้าหญิงวรนารีจึงมีพระชนมายุ 23 พรรษา มากกว่าไทวาอยู่หกปีเช่นกัน แต่เมื่อทั้งสองพบกัน ก็พูดคุยกันราวกับอายุรุ่นราวคราวเดียวกันก็ไม่ปาน

“ไทพูดกับพี่ธรรมดาๆ เหมือนพูดกับเจ้าพี่ก็ได้”

“จะดีหรือพระเจ้าค่ะ”

“ดีสิ”

“งั้นก็... พี่น้อง”

เจ้าชายอัทธายุแย้มพระสรวลขำ พระองค์รับสั่งเรียกว่า ‘หญิงน้อง’ ก็ฟังดูธรรมดาๆ แต่พอไทวาเรียก ‘พี่น้อง’ ก็ฟังดูทะแม่งๆ ขึ้นมาทันที อย่างไรก็ดี ‘พี่น้อง’ คู่นี้ดูจะเข้ากันได้ดี ทำให้พระองค์พอจะทรงคลายกังวลไปได้   อยู่กับวรนารี เด็กหนุ่มคงจะไม่มีเวลานั่งเศร้าคิดถึงเผ่าของตัวเองมากนัก

หลังจากทรงฝากฝังเด็กหนุ่มในปกครองไว้กับพระขนิษฐาแล้ว เจ้าชายสามก็เสด็จไปกรม




“เจ้าพี่ไม่ค่อยได้อยู่ที่ตำหนัก แถมยังไม่ทรงเข้มงวด พวกมหาดเล็กก็เลยเหลวไหล ไม่ค่อยทำการทำงาน เสด็จกลับมาทีก็ทำความสะอาดกันทีอย่างนี้แหละ”

เจ้าหญิงวรนารีรับสั่งเล่าขณะทรงบัญชาให้บรรดามหาดเล็กเกือบยี่สิบคนทำนั่นทำนี่ไปด้วย ไทวามองมหาดเล็กทั้งหลายปฏิบัติตามรับสั่งอย่างเอาการเอางานแล้วก็นึกทึ่งในความสามารถของคนสั่งงาน

“พี่น้องจะให้ไทช่วยอะไรไหม ไทอยากช่วย”

“ตกแต่งห้องเจ้าพี่ใหม่ดีไหมล่ะ พี่ว่ามันดูจืดๆ น่าเบื่อเกินไป อ้อ ลืมไป ไทยังไม่เคยเห็นสินะ”

“เห็นแล้วครับ เมื่อคืนนี้ก็นอนด้วยกัน”

“ฮะ อะไรนะ”

“พี่เขยบอกว่าห้องอื่นยังไม่ได้ทำความสะอาด ก็เลยให้นอนด้วยกันก่อน”

คนเล่าเก็บงำรายละเอียดเอาไว้มิดชิด ไม่ยอมกราบทูลว่าเขาขอนอนกอดเจ้าของเตียงด้วย อ้างว่าไม่ชินกับสถานที่ เลยขอกอดเพื่อความอุ่นใจ ‘พี่เขย’ ลังเลนิดหน่อย แล้วก็ยอมให้เขานอนหนุนอกแน่นๆ นั้นอย่างคนใจดี

“อ้อ” เจ้าหญิงพระขนิษฐาทรงพยักพระพักตร์หงึกหงัก พระพักตร์ขาวสะอาดและจิ้มลิ้มพริ้มเพราทำให้ไม่ว่าจะทรงทำกิริยาอะไรก็แลดูน่ารัก “แล้วไทว่าห้องเจ้าพี่เป็นยังไงบ้าง จืดไหม”

“ก็เรียบๆ ดีครับ โล่งๆ ไม่ค่อยมีของตกแต่ง” ที่จริง เขาอยากจะบอกว่าเป็นห้องที่ดูอบอุ่นมากต่างหาก อบอุ่น... เหมือนกับเจ้าของห้อง

“ใช่ไหมล่ะ ต้องตกแต่งใหม่ด่วน”

“ไทว่ารอถามพี่เขยดูก่อนดีกว่า ถ้าพี่น้องตกแต่งเลย พี่เขยไม่ถูกใจ อาจจะถูกโกรธเอานะครับ”

“เจ้าพี่ ’ทัยดีจะตาย ไม่กริ้วหรอก อ้อ ต้องบอกว่าเป็นคนง่ายๆ ยังไงก็ได้มากกว่า”

แต่ก่อนก็เป็นอย่างนั้น แต่เวลาผ่านมานานแล้ว เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ถึงยังไงเรื่องแบบนี้ก็ไม่น่าจะทำโดยพลการ

“รอถามพี่เขยก่อนดีกว่าครับ ไทกลัวพี่เขยไม่ชอบ”

เจ้าหญิงวรนารีทรงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่คำถามหลังจากนั้นไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องแต่งห้อง

“ทำไมไทยังเรียกเจ้าพี่ว่าพี่เขยอยู่อีกล่ะ”

พระองค์ทรงทราบตั้งแต่เมื่อเช้านี้แล้ว ว่าเมื่อสิบปีก่อนพระเชษฐาเสด็จไปที่เผ่าไทวะ ตอนนั้นมีพระชนมายุ 19 พรรษา ถ้าจะทรงอภิเษกสมรสก็ถือว่าอยู่ในช่วงที่เหมาะ ธิดาทั้งสามคนของหัวหน้าเผ่าต่างมีความหวังว่าจะได้เป็นพระชายา วิธีหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงคิดเรื่องอภิเษกสมรสมากขึ้นคือบอกให้น้องชายเพียงคนเดียวเรียกเจ้าชายหนุ่มว่า ‘พี่เขย’ และอ้างว่าเด็กชายเรียกเองโดยไม่มีใครเสี้ยมสอน

“ไทไม่รู้ว่าจะเรียกว่ายังไงครับ เคยเรียกว่าฝ่าบาทแล้ว แต่พี่เขยบอกให้เรียกเหมือนเดิมก็ได้”

“อย่างนั้นหรือ”

ยังทรงสงสัยอยู่หน่อยๆ ว่าทำไมพระเชษฐาถึงทรงยอม แต่ก็ไม่ได้ติดพระทัยซักไซ้ต่อ จึงไม่ทรงทราบว่าที่จริงแล้วเจ้าชายหนุ่มรับสั่งให้เรียกว่า ‘พี่’ เฉยๆ ไม่ใช่ ‘พี่เขย’

“เอาเป็นว่าห้องของเจ้าพี่ยังไม่ต้องตกแต่งก็ได้ ตกแต่งห้องของไทก่อนดีกว่า ไป ไปเลือกห้องกัน”

ก่อนเสด็จไปกรม เจ้าชายอัทธายุรับสั่งบอกคนในปกครองของพระองค์แล้วว่าให้ทำตัวตามสบายเหมือนกับว่าพระตำหนักหลังนี้เป็นของเขาเอง จะเลือกเอาห้องไหนเป็นห้องนอนก็ตามใจ

ไทวาอยากจะทูลถามว่า งั้นเขาขอนอนห้องเดียวกับพระองค์ได้ไหม แต่ก็ไม่กล้าถึงขนาดนั้น จึงเลือกเอาห้องที่อยู่ใกล้กับห้องบรรทมมากที่สุดแทน




เจ้าชายหนุ่มเสด็จกลับมายังพระตำหนักตั้งแต่พระอาทิตย์เลยครึ่งฟ้าไปได้ไม่เท่าไร เพราะทรงห่วงว่าคนที่เพิ่งจากบ้านจากเมืองมาจะยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ภาพที่ทอดพระเนตรเห็นคือคนที่ทรงห่วงกับพระขนิษฐาของพระองค์กำลังละเลงสีบนผนังห้องในพระตำหนักของพระองค์อย่างสนุก ทั้งหน้าทั้งเสื้อผ้าเปื้อนสีเป็นหย่อมๆ กันทั้งคู่

“พี่เขย”

ไทวาดูกลัวๆ อยู่หน่อยๆ คงจะคิดว่าพระองค์อาจจะไม่พอพระทัย แต่พระขนิษฐากลับทูลชวน

“พอดีเลย เจ้าพี่ก็มาช่วยทาสีด้วยสิเพคะ ไทเขาอยากได้ห้องนี้ หญิงเลยให้เขาตกแต่งตามใจชอบ นี่เรากำลังวาดรูปสวนอยู่เพคะ จะได้ดูสดชื่นๆ”

คุณชายหนุ่มยังจ้องมองพระพักตร์อย่างหยั่งพระอารมณ์อยู่ เจ้าชายเจ้ากรมโยธาฯ จึงแย้มพระสรวลประทานให้เป็นเชิงบอกว่าพระองค์ไม่ได้ทรงว่าอะไร สีหน้าของอีกฝ่ายจึงค่อยดูดีขึ้น

“พี่วาดไม่เป็น เธอสองคนสนุกกันตามสบายเถอะ แล้วนี่กินกลางวันกันหรือยัง”

“ได้เวลาแล้วหรือเพคะ”

“เลยเวลามาแล้ว ไม่มีใครมาบอกหญิงหรือ” พระสุรเสียงชักจะไม่ค่อยดี ซึ่งไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก

“หญิงสั่งว่าไม่ให้มารบกวนเองแหละเพคะ”

พระเชษฐาทรงพยักพระพักตร์ แต่หันไปตรัสถามอีกคน

“ไทหิวไหม”

“หิวครับ”

“งั้นก็ไปล้างหน้าล้างมือ จะได้ไปกินข้าวกัน”




“หิวมากล่ะสิ”

คนที่กำลังกินอย่างเพลิดเพลินชะงักทันทีที่ถูกถาม เขารีบเคี้ยวข้าวจนหมดปาก

“ขอโทษครับ ไทกินมูมมาม”

“พี่ไม่ได้ว่า ไทกินน่าอร่อยจนพี่คิดว่าเรากำลังกินอาหารคนละอย่าง”

“นั่นสิเพคะ หญิงก็ว่าเขากินได้ดูน่าอร่อยมาก”

คนได้รับ ‘คำชม’ ยิ้มเขินๆ เผลอยกมือขึ้นถูจมูกไปสองสามครั้งทั้งที่ยังถือช้อนอยู่

“ก็อร่อยจริงๆ นี่ครับ ไทชอบ”

“อร่อยก็กินเยอะๆ”

เจ้าของพระตำหนักรับสั่งแล้วยังทรงตักกับข้าวประทานให้ ไทวาทูลขอบพระทัยเสียงดังฟังชัด แล้วก็ตักถวายทั้งสองพระองค์บ้าง เจ้าชายอัทธายุทอดพระเนตรริมฝีปากกับแก้มกลมๆ ของอีกฝ่ายจนเพลิน แล้วก็พลอยให้รู้สึกเจริญพระกระยาหารเป็นพิเศษ

“ไทชอบกินไก่หรือ”

“ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้า ดันแว่นขึ้น “ไทเป็นตัวกินไก่”

“อะแค่กๆๆๆ”

เจ้าหญิงวรนารีถึงกับทรงสำลัก

“ไทพูดอะไร หยาบคาย”

ขณะเจ้าชายอัทธายุทอดพระเนตรสีหน้าซื่อๆ ดูเหลอหลา ไม่เข้าใจว่าพูดอะไรหยาบคายตรงไหนของอีกฝ่ายแล้วก็ทรงพระสรวล

“นี่คิดเอาเองหรือมีใครบอก”

“คิดอะไรครับ”

“คิดว่าตัวเองเป็นตัวกินไก่”

“คิดเองครับ”

“แล้วเคยบอกใครไหม”

ไทวาส่ายหน้า “แต่คนที่เผ่าก็รู้กันทั้งนั้นว่าไทชอบกิน”

“ชอบกินก็บอกว่าชอบกินสิ” เจ้าหญิงพระขนิษฐารับสั่ง “พูดว่า... อย่างนั้น... ได้ยังไง”

เด็กหนุ่มนิ่วหน้า  ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงพูดไม่ได้

“ตัวกินไก่แปลว่าตัวเหี้ย”

“เจ้าพี่!” พระขนิษฐาทรงแหวสุรเสียงดังลั่น แต่ไทวายังทำหน้างง

“ตัวเหี้ยเป็นยังไงครับ”

เจ้าชายอัทธายุทรงเลิกพระขนง แล้วก็ทรงพระสรวลขำๆ ออกมาอีกรอบ ก่อนจะรับสั่งอธิบายประทานอย่างละเอียด ทำเอาคุณชายหนุ่มหน้าแดงวาบ ต้องหันไปขอประทานอภัยเจ้าหญิงซึ่งพระพักตร์แดงก่ำอย่างเคืองๆ  ฐานที่ทำให้ทรงระคายพระกรรณ

“ร้านหัวมุมถนนที่ทำไก่อบซอสอร่อยๆ นั่นยังขายอยู่ไหมหญิงน้อง”

“น่าจะขายอยู่นะเพคะ อาทิตย์ก่อนหญิงยังใช้ให้นงลักษณ์ไปซื้อมาให้กินอยู่เลย”

“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปกัน พี่จะพาตัวกินไก่ไปกิน”

ไทวาพยักหน้า ยิ้มแป้นอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะนึกขึ้นได้

“พี่เขยยยยยยยยยย! ไทไม่ใช่ตัวเหี้ยยยยยยย”

“ไทวา! พี่บอกว่าอย่าพูดหยาบคาย”

“ข... ขอโทษครับพี่น้อง”

“ฮ่ะๆๆๆๆ”




ช่วงบ่ายเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงถูกพระขนิษฐากักตัวเอาไว้ให้ช่วยตกแต่งห้องให้ผู้อาศัยคนใหม่ ทั้งที่พระองค์รับสั่งบอกเป็นคำรบสองว่าทรงวาดรูปไม่เป็น

“แต่ไทอยากให้พี่เขยวาดให้”

“... รูปต้นหญ้าได้ไหม”

คุณชายแห่งเผ่าไทวะพิจารณารูปวาดที่ยาวตลอดผนังด้านหนึ่งแล้วก็ตัดสินใจ

“พี่เขยวาดรูปปลาได้ไหมครับ ไทอยากได้ปลาในสระตรงนี้”

“ก็... น่าจะพอได้นะ แต่คงไม่สวย รูปสวนของไทจะมีตำหนิเสียเปล่าๆ ให้พี่ช่วยอย่างอื่นไม่ดีหรือ”

“ไม่เป็นไรครับ ไทเอาแค่สองตัวก็พอ จะได้ดูมีชีวิตชีวา” เว้นไปครู่ ก่อนจะเสริม “เอาตัวผู้นะครับ”

“หือ” เจ้าชายหนุ่มทรงทำพระพักตร์ประหลาด “แยกเพศด้วย แล้วพี่จะวาดยังไง” ปกติเพศของปลานี่ดูตรงไหนกันนะ

“วาดยังไงก็ได้ครับ แค่พี่เขยคิดว่ามันเป็นตัวผู้ก็พอ”

อาการมองสบสายพระเนตรแล้วเสหลบไปทางอื่น มอง แล้วก็หลบอีกหนแลดูน่าสงสัย

“ทำไมต้องเป็นตัวผู้ล่ะ” เจ้าหญิงวรนารีตรัสถาม

“ก็... สระน้ำมันเล็ก ถ้าเป็นตัวผู้กับตัวเมียเดี๋ยวมันออกลูกออกหลาน ไม่มีที่ให้ว่าย มันจะอึดอัดครับ”

เจ้าหญิงคนงามทรงพระสรวลคิก “แล้วทำไมไม่เอาตัวเมียสองตัว”

“ท... ไท ชอบตัวผู้” แทบจะกลั้นหายใจตอบกันเลยทีเดียว

เจ้าชายอัทธายุทรงนิ่วพระพักตร์ สะกิดพระทัย อะไรบางอย่างวาบขึ้นมาในพระเศียร แต่ก็ทรงจับเอาไว้ไม่ทัน

“ทำไมถึงชอบตัวผู้”

“ไม่ทราบครับ ก็แค่... ชอบ” คนทูลตอบก้มหน้า ครั้นแว่นตาตกลงมาจากดั้งก็ดันขึ้นไปใหม่แต่ไม่ยอมสบสายพระเนตรตรงๆ

“ไทนี่แปลกจัง” เจ้าหญิงพระขนิษฐาทรงรำพึง ขณะเจ้าชายสามรับสั่งอย่างพระทัยดี

“เอ้า ตัวผู้ก็ตัวผู้ พี่จะพยายามก็แล้วกัน วาดไม่สวยห้ามบ่นทีหลังนะ”

“... เอาตัวเล็กตัวนึง ตัวใหญ่ตัวนึงนะครับ”

สายพระเนตรของเจ้าชายหนุ่มฉายแววสงสัยอีกหน แต่ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไร









tbc.

**********************************************

Phut – ขอบคุณค่ะ หวังว่าจะชอบวันวาน ^^
IsDear – คุณชายรูปร่างสูงใหญ่แห่งเผ่าชุณหะก็ตกเป็นของเจ้าชายรองไปค่ะ (รายนี้เหมาเชลยสองคน)
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทนำ) 12 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 13-05-2014 11:25:01
 :impress2:

ไทรักพี่เขยสินะ ให้วาดแบบแฝงความนัย :hao3:

ขอให้พี่เขยรู้ตัวไวๆ ลุ้นๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 1) 13 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 13-05-2014 11:50:48
น้องไทกับพี่เขย น่ารักดีจัง

ปลาสองตัวนั้น มีนัยสำคัญนะ ตัวกินไก่แอบเจ้าเล่ห์  :laugh:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 1) 13 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 13-05-2014 12:01:27
เด็กน้อยกำลังรุกเจ้าชายรึ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 1) 13 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 13-05-2014 21:30:41
รู้สึกว่าพาร์ทนี้น่าใจใสใสไร้ดราม่ามั้ง?  :mew1:

น้องก็มีใจให้ เหลือแต่คุณพี่เขยว่าจะเปลี่ยนตัวเองเป็นสามีเมื่อไหร่  :m4:

ปอลิง: ตกเป็นของชายรอง อย่าบอกนะว่า 3p แซนวิช  :m10:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 1) 13 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: poogan_zadd ที่ 14-05-2014 03:30:42
กรีดร้องงงงงค่าาาาา
ไม่ได้เข้าบอร์ดนาน อัพวันวานแล้วหรือนี่
ตอนนี้เม้นท์แค่ของภีมเสนกับศวัสก่อนนะคะ คือกรี๊ดมากกก
ตอนแรกแอบตกใจว่าผู้เขียนจะเล่นงี้เลยอ่อ TT พออ่านตอนจบแล้วรู้สึกแฮปปี้ขึ้นมาเลยค่ะ
พอเรื่องมันเฉลยบรรยากาศอึดอัดก็บรรเทาลง อร๊าย ชอบมาก

อื้อหือ ความหมายชื่อเป็นแบบนี้เองเหรอคะ เลยชักอยากรู้ชื่อของคู่อื่นๆด้วยเหมือนกัน

อ่านต่อไปค่าาา
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 1) 13 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-05-2014 14:43:06
เข้ามาเจอพรุ่งนี้จบแล้วแอบเครียดก่อนอ่าน คิดว่าภีมเสนจะตาย ไม่งั้นได้กรีดร้องแน่ๆ

ส่วนพี่เขยกับตัวกินไก่ :katai2-1:น่ารักดีค่ะ คงไม่หน่วงใช่ไหม  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 2) 18 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 18-05-2014 09:33:53
วันวาน... สู่นิรันดร์
บทที่ ๒


พระตำหนักหลังใหญ่ไม่สามารถทำความสะอาดให้เสร็จได้ภายในวันเดียว แต่ห้องสำคัญๆ ที่ต้องใช้บ่อยๆ ได้รับการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ห้องที่ไทวาเลือกเป็นห้องนอนยังตกแต่งไม่เสร็จทั้งยังมีแต่กลิ่นสี คืนนี้เด็กหนุ่มจึงขอนอนห้องเดียวกับเจ้าของพระตำหนักอีกคืนหนึ่ง

“ถ้าพี่เขยอึดอัด เดี๋ยวไทนอนข้างล่างก็ได้ครับ”

“นอนข้างบนด้วยกันนั่นแหละ เตียงพี่ออกกว้าง ไทก็ไม่ได้นอนดิ้นไม่ใช่หรือ”

“ไม่ดิ้นครับ! ไทไม่นอนดิ้น” คนตอบกระตือรือร้น เสียงดัง ทั้งดวงตายังเป็นประกาย

เจ้าชายหนุ่มทอดพระเนตรเห็นแล้วก็แย้มพระสรวลเอ็นดู นึกอยู่ในพระทัยว่าดูท่าอีกฝ่ายจะกลัวการนอนคนเดียวหรือไม่ก็กลัวผีเสียละกระมัง ถึงได้ดูดีอกดีใจถึงเพียงนี้

“นอนไม่หลับหรือ”

คนที่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายพลิกตัวกลับไปกลับมาหลายครั้งแล้วตรัสถามขึ้นในความมืด

“ขอโทษครับ!” คนร่วมเตียงเผลอตอบเสียงดัง “ไททำให้พี่เขยนอนไม่หลับรึเปล่า”

“ก็มีส่วน”

“ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไร ไทยังไม่ง่วงหรือไม่สบายใจเรื่องอะไร”

คนนอนใจเต้นแรงอยู่นานแล้วลังเล แล้วก็ตัดสินใจทูลถามเบาๆ

“ไท... นอนกอดพี่เขยอีกได้ไหม”

“หนาวหรือ” ปกติอากาศแบบนี้พระองค์ไม่ทรงห่มผ้าด้วยซ้ำไป

“เปล่าครับ ไท... คิดถึงบ้าน” โกหกคำโตไปเสียแล้ว

“งั้นก็มานี่มา”

อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ขยับแข้งขยับขากอดก่ายหมับราวกับพระองค์ทรงเป็นหมอนข้าง ทั้งยังซุกหน้าลงบนพระอุระของพระองค์อีก เจ้าชายอัทธายุทรงพระสรวลเบาๆ แม้จะทรงรู้สึกประหลาดๆ อยู่บ้าง ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีใครกล้านอนกอดก่ายพระองค์เอาตามใจชอบอย่างนี้มาก่อน แปลกที่พระองค์ไม่ได้ทรงขัดเคืองพระทัยที่เด็กหนุ่มที่จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับพระองค์เลยถือวิสาสะถึงขนาดนี้

“อย่าคิดมาก คิดเสียว่าบ้านพี่ก็เหมือนบ้านไท ถ้าคิดถึงก็เขียนจดหมายไปหาบ้าง”

“ได้หรือครับ”

“ได้ แต่พี่ต้องขอตรวจสอบจดหมายของไทก่อน ไม่ใช่ไม่เชื่อใจ แต่มันเป็นขั้นตอน”

“ไทเข้าใจครับ”

“ไท” เจ้าชายหนุ่มทรงมุ่นพระขนง ครั้นอีกฝ่ายขานรับว่าครับ พระองค์ก็ตรัสถามตามตรง “ทำไมใจเต้นแรงจริง”

คนในอ้อมพระพาหาดูเหมือนจะสะดุ้งเฮือก น้ำเสียงที่ทูลตอบละล่ำละลักผิดปกติ

“ท... ไทดีใจ”

“อ้อ” ถึงจะทรงตอบรับราวกับเข้าพระทัย แต่ความจริงกลับยังไม่ทรงหายสงสัย “อยากได้อะไร อยากทำอะไร หรืออยากไปไหนก็บอกพี่หรือบอกหญิงน้องก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจ ส่วนมหาดเล็กที่นี่ไทก็ใช้ได้ทุกคน พวกเขาจะรับคำสั่งจากไทเหมือนรับคำสั่งจากพี่ จำชื่อได้หมดทุกคนรึยัง”

“จำได้ครับ”

น้ำเสียงที่ฟังดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษทำให้คนฟังทรงเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายอยากจะอวดเต็มที่ จึงตรัสถามอย่างเอาใจเด็กหนุ่ม

“ชื่ออะไรบ้าง”

“มีสิบสองคน ชื่อวิวัฒน์จัดสวน สมควรเลี้ยงไก่ ไผทว่องไว ธงชัยมีเขี้ยว เขียวผมบาง หูกางสมนึก ถึกไว้หนวด ขวดจมูกโด่ง โย่งตัวใหญ่ วินธัยไฝยักษ์ จักรปลูกผัก แล้วก็ศักดาฆ่าปลวกครับ”

“หึหึ” คนฟังเกือบจะทรงหลุดขำตั้งแต่เด็กหนุ่มยังพูดไม่จบ แต่ก็อุตส่าห์ทรงรอจนอีกฝ่ายรายงานครบถ้วนจึงทรงพระสรวลพระสุรเสียงดัง

“ฮ่ะๆๆๆๆ”

“ไม่ตลกสักหน่อย ก็ไทจำไม่ได้เลยต้องหาวิธีให้จำได้ง่ายๆ พี่เขยหัวเราะเยาะไททำไม” เสียงหัวเราะห้าวๆ ที่ดังอยู่เหนือหัวนี่ไม่ว่าฟังเมื่อไร เขาก็รู้สึกว่าอกใจเต้นแรงทุกครั้ง อกอุ่นๆ แน่นๆ ที่สั่นไหวอยู่ใต้ฝ่ามือก็ให้ความรู้สึกดีเสียจนอยากจะซุกหน้าลงไปแนบแล้วสูดกลิ่นให้ลึกๆ

“ไม่ได้หัวเราะเยาะ แต่ตั้งชื่อใหม่ให้แบบนี้เจ้าของชื่อเขารู้รึเปล่า”

“รู้ครับ”

“อืม หึหึ”

หลังจากเสียงสรวลแผ่วหายไปก็ไม่มีเสียงใครพูดอะไรขึ้นมาอีก ไม่นาน ลมหายพระทัยของเจ้าชายหนุ่มก็เข้าออกอย่างสม่ำเสมอ แต่คนที่ยังตื่นเต้นอยู่ไม่หายกลับยังไม่ง่วงเลยแม้แต่น้อย รออีกพักใหญ่จึงกลั้นหายใจทูลเรียกเบาๆ

“พี่เขยครับ”

เงียบ ไม่มีเสียงตอบ แสดงว่าบรรทมหลับไปแล้ว

“ไทคิดถึงพี่เขย”

“คิดถึงทำไม พี่ก็อยู่ที่นี่”

เฮือก!

คนสะท้านขึ้นทั้งตัวผงะออกอย่างตกใจ แต่เจ้าของท่อนพระพาหาใหญ่กำยำกอดกระชับเอาไว้ ไทวากลอกตาลอกแลกอยู่ในความมืด ใจเต้นไม่เป็นส่ำ

... คิดว่าหลับไปแล้วเสียอีก ดีที่อีกฝ่ายไม่ได้รับสั่งคาดคั้นเอาคำตอบจริงจัง...







“เจ้าพี่น่ะทรงบ้างานจะตาย หายากนะเนี่ยที่จะทรงหยุดงานแล้วพาใครออกมาเที่ยว”

รับสั่งของเจ้าหญิงวรนารีทำเอาคุณชายแห่งเผ่าไทวะรู้สึกหัวใจพองฟูขึ้นมา ตลาดใหญ่กลางเมืองหลวงของเรืองอรุณพลันน่าเดินเล่นขึ้นมาอีกอักโข ถึงแม้ว่าสายตาของหญิงสาวมากหน้าหลายตาที่มองมาทางเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณจะทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลยก็เถอะ

“อยากได้อะไรก็ดูๆ ไว้ก่อน อย่าเพิ่งซื้อ เอาไว้ซื้อตอนขากลับ”

รับสั่งบอกทั้งพระขนิษฐาและ ‘น้องเขย’ แล้วก็แย้มพระสรวลตอบหญิงสาวนางหนึ่งที่เดินสวนกันและส่งยิ้มมาให้ ไทวามองตามแล้วเผลอยู่ปาก

“ไทเป็นอะไร”

เจ้าหญิงคนงามซึ่งอยู่ในฉลองพระองค์แบบหญิงสาวชาวบ้านตรัสถาม และเจ้าของวรองค์สูงใหญ่ที่ดำเนินนำหน้าก็ทรงหันพระพักตร์กลับมามอง

“เปล่าครับ”

เด็กหนุ่มดันแว่นขึ้น พลางคิดว่าเขาควรจะเก็บความรู้สึกไว้ให้มิดชิดกว่านี้







“จุดธูปเทียนบูชา ถวายดอกไม้ไหว้พระก่อนจะได้เป็นสิริมงคล พระท่านจะได้คุ้มครองให้ไทอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข”

เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรง ‘ธรรมะธัมโม’ ผิดจากรูปลักษณ์ภายนอก คนที่ออกความคิดว่าการออกมาเที่ยววันนี้ควรเริ่มต้นที่วัดหลวงก็คือพระองค์ วันนี้ไม่ใช่วันพระ คนที่มากราบพระในโบสถ์จึงมีเพียงประปราย เจ้าชายหนุ่มทรงจุดธูปประทานให้ทั้งพระขนิษฐาและ ‘น้องเขย’ 

“ไม่ต้องขอเยอะ เดี๋ยวพระท่านจะจำไม่หมด”

ไทวาพนมมือสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย เด็กหนุ่มหลับตา นึกเรื่องที่อยากจะขอ แต่แล้วก็หรี่ตาขึ้นนิดๆ มองไปทางเจ้าของพระพักตร์ที่มีหนวดเคราเขียวครึ้มอยู่รอบคาง เผลอจ้องพระโอษฐ์หยักสวยงดงามใต้ไรหนวดอย่างลืมตัว แล้วก็ต้องรีบหลับตาหันหน้าตรงเมื่ออีกฝ่ายทรงลืมพระเนตรขึ้น

เขาขอสิ่งที่ต้องการมากที่สุดไปหนึ่งอย่าง

“อธิษฐานนานเชียว ต้องขอหลายอย่างแน่ๆ” เจ้าหญิงวรนารีทรงเดา หลังจากเขานำธูปไปปักในกระถางและก้มลงกราบพระอีกครั้งเรียบร้อยแล้ว

“ขออย่างเดียวเองครับ”

“ขออะไร” สีพระพักตร์ของเจ้าหญิงคนงามบอกความอยากรู้อย่างเปิดเผย

ไทวาหน้าแดง เม้มปาก

“แค่นี้ก็บอกไม่ได้หรือ”

“ไทกลัวคำอธิษฐานไม่เป็นจริง”

“ไม่บอกพี่ก็รู้ หน้าแดงอย่างนี้ต้องขอเรื่องผู้หญิงแน่” เจ้าหญิงพระขนิษฐารับสั่งอย่างมั่นพระทัย “คิดถึงคู่หมั้นล่ะสิ   สวยไหม      ท่านหญิงแห่งอันธกาล”

คนถูกถามเผลอหันขวับไปมองพระพักตร์เจ้าชายสามอย่างร้อนรน ขยับปากจะแก้ตัวว่าเขาไม่ได้คิดถึงนางเลย ก่อนมาก็ได้บอกด้วยวาจาไปแล้วว่าขอให้เป็นอิสระต่อกัน หากนางพบรักกับใครก็แต่งงานได้เลยโดยไม่ต้องห่วงว่ายังหมั้นหมายอยู่กับเขา แต่พอเห็นรอยแย้มพระสรวลราวจะสัพยอกหยอกแซวของเจ้าชายหนุ่ม ใจเขาก็พลันฝ่อลง

จะแก้ตัวทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย เป็น ‘พี่เขย’ จริงๆ หรือก็ไม่ใช่

“หญิงอย่าแซวเขามาก ปกติเขาไม่ถามกันไม่ใช่หรือ ว่าอธิษฐานอะไร”

“งั้นหญิงถามเจ้าพี่ เอ๊ย... พี่ธายก็ได้ อธิษฐานว่าอะไรหรือคะ” อยู่นอกวัง พระองค์จึงไม่รับสั่งคำราชาศัพท์

“พี่ขอให้ไทอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข”

คุณชายเชลยจ้องมองพระพักตร์ด้วยหัวใจปั่นป่วน ครั้นอีกฝ่ายแย้มพระสรวลอย่างคนใจดีมาให้ ความซาบซึ้งตื้นตันก็แผ่ลามไปทั่วทั้งอก

“ขอบคุณครับ พี่เขย”

“พระประธานที่นี่ท่านศักดิ์สิทธิ์ ไทจะต้องมีความสุขแน่”

หัวใจของคนฟังเต้นแรงขึ้นอย่างมีความหวัง ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ หรือ ถ้าอย่างนั้น เขาก็พอจะมีหวังสินะ

... ขอให้พี่เขยรักไท... เหมือนที่ไทรักพี่เขยด้วยเถิด...

“เสี่ยงเซียมซีกันไท”

เจ้าหญิงคนงามทรงชวน ไทวาหันมองพระพักตร์ของเจ้าชายสาม ครั้นอีกฝ่ายทรงพยักพระพักตร์ให้เป็นเชิงบอกว่าตามใจ เขาก็เข้าไปนั่งคุกเข่าใกล้ๆ เจ้าหญิงวรนารี แล้วเขย่ากระบอกใส่ติ้วไม้พร้อมๆ กับพระองค์

“พี่ได้เลขห้า ไทได้เลขอะไร”

“เลขสามครับ”

“ไปดูคำทำนายกัน”

เจ้าหญิงทรงดึงกระดาษบอกคำทำนายมาสองใบ อ่านใบเลขห้าของพระองค์จบแล้วก็แย้มพระสรวลพระพักตร์บาน

“หญิงจะสมหวังด้วยล่ะค่ะ พี่ธาย ดีใจจริงๆ อย่างนี้คำอธิษฐานของหญิงต้องเป็นจริงแน่”

“พี่น้องอธิษฐานว่าอะไรครับ”

“แหมทีนี้ล่ะมาถามพี่ ทีพี่ถามล่ะไม่ยอมบอก” ถึงจะทรงบ่น แต่ดูก็รู้ว่าไม่ได้ทรงจริงจัง “พี่ขอให้ได้พี่สะใภ้ภายในปีนี้จ้า อยากให้พี่ธายแต่งงาน จะได้อยู่ติดตำหนัก เลิกเอาแต่เสด็จโน่นนี่ทั้งปีเสียที”

‘พี่ธาย’ เพียงแต่แย้มพระสรวลแล้วก็สั่นพระเศียรนิดๆ เป็นเชิงเอ็นดู ขณะที่ไทวาหุบยิ้ม หน้าซีด

“เป็นอะไรรึเปล่า ไท” เจ้าชายอัทธายุทรงเป็นห่วง

“ปะ... เปล่าครับ ไท... ไทแค่อยากรู้ของตัวเองบ้าง”

“ของไทมีว่าอย่างนี้จ้ะ พี่อ่านให้ฟังนะ ใบที่สามทายว่ามีทั้งดีร้าย จะวุ่นวายภายในจิตคิดสับสน ตกอยู่ในแดนศัตรูต้องทุกข์ทน แต่มีคนอุปถัมภ์ช่วยค้ำจุน เดชะบุญทำไว้ในอดีต จะช่วยขีดดวงชะตาให้ร้ายหาย ความเป็นอยู่ทั้งปวงสุขสบาย จะคลี่คลายความกังวลที่ทนมา อนาคตทายว่าจะสดใส ปราศโรคภัยอายุยืนเป็นสุขศรี ถ้าสามารถลืมอดีตที่เคยมี จะโชคดีมีสุขทุกวันวาร”

“ไม่เอา! ไทไม่ลืม! พี่เขย ไทไม่ลืมพี่เขยเด็ดขาด”

ทั้งเจ้าชายอัทธายุและเจ้าหญิงวรนารีต่างทรงนิ่งอึ้งไป ไทวารู้ตัวว่าเผลอแสดงอาการที่ไม่สมควรออกไป แต่ใจเขาพลุ่งพล่านจนไม่มีอารมณ์จะคิดหาคำพูดกลบเกลื่อน ได้แต่มองพระพักตร์ของเจ้าชายหนุ่มด้วยสีหน้าและสายตาเว้าวอนจนน่าสงสาร

“ไทหมายความว่ายังไง” เจ้าหญิงพระขนิษฐาตรัสถาม ไทวาหันไปมองพระพักตร์

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร”

“เกี่ยวกับพี่หรือ”

“... เปล่าครับ ไม่เกี่ยวกับพี่เขย” จะให้เขาพูดที่นี่ ตอนนี้น่ะหรือ ไม่ ยังไงก็ไม่ได้

“ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว แต่ถ้าอยากพูด อยากบอก หรืออยากให้พี่ช่วยอะไรก็อย่าเกรงใจ อย่าคิดว่าเป็นคนอื่น ไทก็เหมือนน้องชายคนหนึ่งของพี่”

คุณชายหนุ่มมองพระพักตร์ของคนที่ยิ้มนิดๆ มาให้อย่างคนใจดี แล้วก็นึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาเป็นกำลัง

... เขาไม่ได้อยากจะเป็นแค่น้องชาย...







“ไม่อร่อยรึไง ตัวกินไก่”

คนถูกแซวเหลือบตาขึ้นมองทั้งที่ไก่ยังคาปาก เขาหน้าบึ้ง ทั้งเคือง ทั้งน้อยใจ ทั้งหมดอาลัยตายอยากปนเปกันไปหมด

“โกรธหรือ”

ไทวาส่ายหน้า ยังคงนั่งแทะไก่ต่อไป

“กินเลอะเทอะไปหมดแล้ว”

ประกอบรับสั่งคือการยื่นพระหัตถ์มาเช็ดคราบมันๆ ที่ข้างแก้มประทานให้ ไทวาแทบจะอ้าปากคายไก่ออกมาด้วยความตกตะลึง นั่งอึ้ง มือสั่น ปากสั่น น้ำลายยังเต็มปาก ขณะปล่อยให้น้ำตาร่วงพรู

“เฮ้ย! เป็นอะไร” เจ้าชายหนุ่มถึงกับทรงอุทาน แต่คนถูกถามยังคงหลับหูหลับตาร้องไห้พลางส่ายหน้า ลูกค้าที่นั่งอยู่โต๊ะข้างเคียงเริ่มมองมาอย่างสนใจกึ่งสงสัย เจ้าหญิงวรนารีเองก็ทรงงง

“ไท เป็นอะไร กระดูกไก่ติดคอรึเปล่า”

“ฮึก... ฮื้อ...”

คุณชายหนุ่มอยากจะขำก็ขำไม่ออก อยากจะโวยวายก็ไม่ได้ ได้แต่ใช้หลังมือเช็ดน้ำตา

“เอ้า เอาเข้าไป ไม่ต้องเช็ด อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวพี่เช็ดให้ หญิงน้องมีผ้าเช็ดหน้าไหม”

เจ้าหญิงพระขนิษฐาถวายซับพระพักตร์ผืนงามละเอียด  เจ้าชายเจ้ากรมฯ ทรงรับไปแล้วก็เช็ดหน้าเช็ดตาให้คนชอบกินไก่แต่อมไว้ไม่ยอมเคี้ยว

“หยุดร้องก่อน ไท เดี๋ยวไก่ติดคอ เคี้ยวให้หมดแล้วเดี๋ยวค่อยพูดกัน”

ถึงจะต้องใช้เวลาอยู่บ้าง แต่ในที่สุดเด็กหนุ่มก็หยุดร้องไห้  เจ้าหญิงวรนารีที่ทรงสรุปเอาเองไปแล้วว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอะไรยังรับสั่งอย่างช่างสังเกต

“พอถอดแว่นแล้วไทดูหน้าตาน่ารักขึ้นเป็นกองเลยนะ”

คนได้รับคำชมหน้าแดง เคี้ยวไก่จนหมดปากแล้วจึงแย้งเสียงเบา

“พี่เขยบอกว่าไทหล่อ”

เจ้าหญิงคนงามทรงหันไปทางพระเชษฐาที่ประทับฝั่งตรงข้ามเป็นเชิงทูลถาม ทว่าเจ้าชายอัทธายุไม่ได้รับสั่งตอบ

“บอกได้รึยังว่าร้องไห้ทำไม”

ไทวาลังเล นิดหน่อย แทนที่จะตอบกลับทูลถาม

“พี่เขยใจดีแบบนี้กับทุกคนเลยหรือครับ”

“ก็ใช่น่ะสิ” คนตรัสตอบคือเจ้าหญิงวรนารี “นี่อย่าบอกนะว่าไทร้องไห้เพราะว่าเจ้าพี่ เอ่อ พี่ธายใจดีด้วย ถ้าอย่างนั้นก็ล่ะร้องไห้เสียน้ำตาเปล่าแล้วล่ะ เห็นพักตร์ เอ๊ย หน้าเถื่อนๆ แบบนี้แต่เป็นคนใจดีที่หนึ่ง กับใครก็ใจดีกับเขาไปทั่ว เสด็จ... เอ๊ย ไปที่ไหนเมืองอะไรก็มีแต่ผู้หญิงหลงความใจดีของท่าน แต่ไม่ยักกะเห็นท่านหลงรักผู้หญิงคนไหนเสียที พี่ล่ะลุ้นแล้วลุ้นอีก”

ยิ่งฟัง ไทวายิ่งรู้สึกห่อเหี่ยว แต่ก็ยังมีกำลังใจอยู่บ้างที่รู้ว่าตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมา ช่วงเวลาที่เขากำลังเติบโตเพื่อที่จะไม่ได้เป็นแค่ ‘เด็ก’ อีกต่อไปนั้น เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณยังไม่ทรงมีใคร

“ทำไมพี่เขยถึงยังไม่แต่งงานล่ะครับ”

คนที่กลับไปใส่แว่นเหมือนเดิมแล้วถามอย่างไม่ปกปิดความกระตือรือร้น

“ยังอกหักจากพี่สาวของไทอยู่”

ไทวาเบิกตากว้าง ครั้นเจ้าของพระพักตร์หล่อเหลาแบบดิบๆ ทรงกระตุกมุมพระโอษฐ์ขึ้นนิดหนึ่ง เด็กหนุ่มก็แทบจะร้องโธ่ออกมาด้วยความโล่งใจ

“พี่เขย!” เขาเกือบจะหัวใจวายตายอยู่แล้ว

“ฮ่ะๆๆๆๆ”

“บอกหน่อยสิครับว่าทำไม ไทอยากรู้”

“ที่นี่น่ะหรือ”

ในร้านอาหารที่มีผู้คนพลุกพล่าน โต๊ะข้างๆ มีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด เด็กยกอาหารเดินไปเดินมาแทบไม่ขาดระยะ... ไทวาพยักหน้าหงึกหงัก ดวงตากลมโตที่ยังไม่หายแดงทอประกายเจิดจ้า สายพระเนตรของเจ้าชายหนุ่มฉายแววเอ็นดู แล้วก็ตรัสตอบง่ายๆ

“พี่ยังไม่รักใคร พี่รักงาน”

“ทำไมถึงไม่รักล่ะครับ พี่เขยไม่เคยเจอผู้หญิงแบบที่ชอบหรือ พี่เขยชอบผู้หญิงแบบไหน” แล้วผู้ชายล่ะ คิดจะชอบผู้ชายบ้างรึเปล่า รูปร่างหน้าตาแบบไทพอจะเข้าตาพี่เขยบ้างไหม

เจ้าชายอัทธายุทรงพระสรวลเบาๆ “นี่รับสินบนจากหญิงน้องมาใช่ไหม”

“พี่ธายอย่าใส่ความหญิงสิคะ ไทเขาถามของเขาเองต่างหาก ไม่เกี่ยวกับหญิงสักหน่อย”

พระขนิษฐาพระพักตร์ง้ำ ขณะไทวาพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงสนับสนุน

“ไม่เคยคิดสักทีว่าชอบแบบไหน คิดแต่ว่าถ้าวันหนึ่งชอบผู้หญิงคนไหนขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะรู้เอง” ปรายสายพระเนตรไปทางพระขนิษฐาแล้วก็รับสั่งต่อเป็นเชิงล้อๆ ว่า “สงสัยกำลังรอคอยนางฟ้าที่สวรรค์ส่งลงมาเกิดอย่างที่หญิงว่า”

ไทวาใจฝ่อ นางฟ้าหรือ... ทำยังไงดี อย่างเขาคงจะเป็นไม่ได้

“รีบกินเข้าเถอะ อย่ามัวแต่คุย ชอบไม่ใช่หรือ หือ ตัวกินไก่”

หึ อย่างเขา... ก็คงจะเป็นได้แค่ตัวกินไก่ในสายตาของพี่เขยเท่านั้นเอง

เด็กหนุ่มจิ้มปีกไก่ทอดในจานมาแทะแก้เครียด






tbc.

******************************************************

Phut – รักมานานหลายปีแล้วค่ะ ส่วนพี่เขยก็ฉลาดอยู่นะคะ ตอนนี้ก็เริ่มสงสัยล่ะ

Sar2288 – พี่เขยวาดปลาให้แบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ กว่าจะรู้ความนัยก็... คงสักพักล่ะค่ะ

iforgive – รุกค่ะ แต่ก็ไม่มากมาย ออกแนวเปิดเผยความรู้สึกตัวเอง แต่พออีกฝ่ายทำท่าจะสงสัยก็พยายามปกปิด กึ่งกล้ากึ่งกลัวน่ะค่ะ

อ๊ายอาย – ไม่จบเศร้าหรอกค่ะ (อยากอยู่ แต่ยังไม่กล้า) ภีมเสน... ถึงจะมีเหตุผลอื่น แต่หื่นก็เป็นเหตุผลหลักอยู่นะคะ  :o8: ส่วนไทน่ะพลาดไปแล้วค่ะ ตอนนี้ ตัวกินไก่ กลายเป็นชื่อเล่นไปซะแล้ว วันวานสดใสกว่าพรุ่งนี้ค่ะ ดราม่ามั้ย ก็... อืม ไทวาอาจจะเสียน้ำตานิดหน่อย แต่ก็จะผ่านอารมณ์นั้นไปอย่างรวดเร็วค่ะ... คิดว่า  ขอบคุณสำหรับดอกไม้นะคะ  :pig4:

IsDear – ใสๆ ค่ะ น่าจะดราม่ากระจิ๊ดเดียวตอนท้าย (แบบไทวาคิดไปเอง... ประมาณนั้น) จากพี่เขยเป็นสามีนี่จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก คือธายเขาไม่มีคนอื่น แต่ก็รักใครยากอยู่เหมือนกัน ส่วนเจ้าชายรอง... ไม่นิยมเสวยแซนด์วิชนะคะ ครั้งละคนค่ะ (แต่อาจจะไม่ใช่คนละครั้ง) มีตัวจริงอยู่ค่ะ (แต่ดอกไม้รายทางเพียบ)

poogan_zadd – เรื่องชื่อ จริงๆ กะให้มีความหมายเป็นพิเศษแค่ ศวัส คนเดียวค่ะ คนอื่นๆ ก็อาจจะบังเอิญตรงลักษณะบ้าง ไม่ตรงบ้าง อย่าง ไทวา แปลว่า ฟ้า, สวรรค์ (แต่เขาก็บอกอยู่ว่าตัวเองไม่ใช่นางฟ้า) ส่วนอัทธายุ แปลว่า... ชั่วชีวิต

Snowermyhae – อารมณ์ของวันวานก็จะเป็นอย่างตอนนี้แหละค่ะ คิดว่าใสๆ นะคะ ถ้าจะหน่วงก็แบบ... ไม่หนักน่ะค่ะ ไทวาอาจจะเครียดบ้างนิดหน่อย แต่คิดว่าคนอ่านคงไม่เครียดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 2) 18 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 18-05-2014 11:13:04
คุณชายแห่งเรืองอรุณนี่น่าจะโคลนนิ่งไว้แจกสาว ๆ บ้างนะคะ
องค์ชายใหญ่ก็น่า  องค์ชายสามก็ใช่  องค์ชายสองก็โดน
อยากได้ ขอครั้งละคน คนละหลายครั้งก็ได้ค่ะ แอร๊ยยย
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 2) 18 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 18-05-2014 11:43:56
ไทวาให้อารมณ์เด็กน้อยน่ารักมากเลย

ถ้าเจ้าชายสามจะรัก ก็คงเพราะความเดียงสาแบบเด็กๆขี้อ้อนนี่แหล่ะ

ไทวาเอ้ยหมั่นกอดหมั่นอ้อนเข้าลูก เด๋วเจ้าชายสามก็เคลิ้มเสร็จตัวกินไก่ลากลงน้ำไปเอง :laugh:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 2) 18 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-05-2014 14:06:46
พี่เขยต้องสงสัยบ้างแหล่ะไทหลุดออกมาขนาดนี้ สงสารไท ตอนนี้ก็เป็นแค่ตัวกินไก่ไปก่อนนะ อนาคตคงได้เป็นนางฟ้าของพี่เขย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 2) 18 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 18-05-2014 14:36:01
ไท น่ารัก รู้ใจตัวเองดีมาก ไม่อึนไม่มึน

ชอบตอนที่กอดพี่เขยแล้วพี่เขยถามว่าทำไมใจเต้นแรง อ่านแล้วเขินอ่ะ :-[
รู้จักหาโอกาสดีมากลูก

อยากอ่านต่อแย้วววววววว :hao7:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 2) 18 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 18-05-2014 23:25:12
ตัวกินไก่ก็ปิดท้ายได้ฮาซะงั้น  :laugh:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 25-05-2014 02:48:20
วันวาน... สู่นิรันดร์
บทที่ ๓


“ปลาพี่เขย ปลาพี่เขยชอบปลาไทบ้างไหม ที่ยังไม่ได้แต่งงานเพราะรอให้ปลาไทโตก่อนใช่รึเปล่า”

“ใช่แล้ว ปลาไท ปลาพี่เขยชอบปลาไทมาก ปลาไทน่ารัก”

“น่ารักตรงไหนอ่า ปลาไทอ้วนนะ”

“ไม่อ้วนๆ ปลาไทแค่อวบๆ เอง ปลาไทต้องกินเยอะๆ พี่ชอบคนกินเยอะๆ”

“พี่เขยจะได้กอดแล้วอุ่นใช่ไหม”

“ใช่ ปลาพี่เขยชอบนอนกอดปลาไท นอนกอดตัวกินไก่แล้วอุ่นที่สุดเลย”

“แล้วทำไมพี่เขยไม่ให้ไทนอนด้วยอีกแล้วล่ะ ทำไมถึงไล่ไทมานอนห้องนี้”

“... เฮ้อ...”

คนจิ้มๆ ปลารูปร่างประหลาดบนผนังห้องแล้วพูดเองเออเองเป็นวรรคเป็นเวรถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาบนพื้นที่มีพรมผืนหนาปูรองไว้อย่างดี คว้าหมอนใบใหญ่มากอด ซุกหน้าแล้วส่ายไปส่ายมาอย่างเบื่อๆ อยู่พักใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจอีกรอบ แล้วเหล่ตาไปมองปลาตัวใหญ่บนผนังอย่างตัดพ้อ

นอนไม่หลับ ไม่รู้สึกง่วงด้วย อยากไปเคาะประตูขอนอนด้วยแต่ก็ไม่กล้า กลัวว่าอีกฝ่ายจะหลับไปแล้วและเขาจะไปรบกวน ทว่าหลังจากกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่หลายรอบแล้วก็ยังไม่ง่วง จึงตัดสินใจว่าจะออกไปเดินเล่น






“ปลาพี่เขย!”

เจ้าชายอัทธายุทรงชะงัก หันไปทอดพระเนตรคนที่เพิ่งออกมาจากห้องใกล้ๆ ขมวดพระขนงหน่อยๆ เมื่อทรงดำริว่าอาจจะฟังผิด

“ยังไม่นอนอีกหรือ”

“ปลาไท เอ๊ย! ไทนอนไม่หลับครับ ปลาพี่เขย เอ๊ย! พี่เขยล่ะครับ ไปไหนมา”

“พี่ทำงานอยู่ เห็นดึกแล้วเลยจะกลับมานอน นี่จะไปไหน มาหาพี่รึเปล่า”

“ไทว่าจะออกไปเดินเล่นครับ”

“ที่ไหน ในสวน”

“ครับ”

“ไปคนเดียวไม่กลัวผีหรือ”

“ม... มีด้วยหรือครับ”

“ฮ่ะๆๆ” เด็กคนนี้น่าแกล้งดีจริงๆ “โตแล้วยังกลัวผีอยู่อีก ไม่มีหรอก พี่ล้อเล่น เข้าไปนอนเถอะ ดึกแล้ว”

คุณชายแห่งไทวะเม้มปากนิดหนึ่งอย่างชั่งใจ

“ไทขอไปนอนกับพี่เขยได้รึเปล่า”

เจ้าชายอัทธายุทรงเลิกพระขนง “แล้วทำไมไม่นอนห้องตัวเอง”

“ไทนอนไม่หลับ ไทอยากนอนกอดพี่เขย” อายสุดๆ ไปเลย แต่ก็อยากจะลองเสี่ยงดู

“เป็นเด็กติดพี่รึไง” ไทวาหน้าม่อย “เอ้า จะนอนก็มา”

“ด... ได้เหรอครับ”

“ช้าเดี๋ยวพี่เปลี่ยนใจนะ”

“ป... ไปแล้วครับ ไชโย้! ไทรักพี่เขยที่สุดเลย”

คนสมใจยิ้มแป้น รีบวิ่งกึ่งกระโดดเข้าไปหา เจ้าชายอัทธายุทรงพระสรวลอย่างเอ็นดู

คืนนั้น เด็กหนุ่มผิวขาวตัวอวบนุ่มนอนละเมอ เป็นชื่อปลาอะไรสักอย่าง กับอีกประโยคหนึ่งที่เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงได้ยินชัดเจน

“ไทรักพี่เขย รักพี่เขยที่สุด”

คนฟังแย้มพระสรวลพลางส่ายพระพักตร์

“ไทวา เจ้าเด็กขี้ประจบ”

“พี่เขยรักไทนะ... ฮึก... รักไท... อย่าแต่งงานกับใครนะ...”

รอยแย้มพระสรวลเอ็นดูบนพระพักตร์ของเจ้าชายหนุ่มค่อยๆ จางหายไป
 





เจ้าหญิงวรนารีทรงพยายามจะทาสีและวาดรูปในห้องบรรทมของพระเชษฐาให้ได้ ทว่าเจ้าชายอัทธายุทรงยืนกรานปฏิเสธ ครั้นพระขนิษฐาทรง ‘ตื๊อ’ หนักเข้า พระองค์ก็ทรงยอมให้ครึ่งทางตามที่ไทวาเสนอวิธี คือวาดภาพทิวทัศน์ลงบนผ้าใบผืนใหญ่แล้วนำไปขึงไว้ที่ผนังห้องบรรทมด้านหนึ่ง

ช่วงนี้คุณชายเชลยจากเผ่าไทวะจึงหมกมุ่นอยู่กับการวาดภาพบนผืนผ้าใบแทบจะทั้งวันทั้งคืน ส่วนเจ้าหญิงวรนารีนั้นเสด็จมาทรงช่วยบ้างไม่มาบ้างเพราะไม่ได้ทรงว่างอยู่ตลอด

เจ้าชายอัทธายุก็เสด็จที่กรมตลอดทั้งวันและทุกวัน โชคดีที่มหาดเล็กบางคนพอจะมีฝีมือเรื่องการลงสีวาดภาพอยู่บ้าง ไทวาจึงไม่ต้องทำคนเดียวทั้งหมด

“ทำไปเรื่อยๆ ก็ได้ เหนื่อยก็พักบ้าง พี่ไม่รีบ”

“แต่ไทอยากให้เสร็จเร็วๆ ไทตั้งใจเต็มที่เลย พี่เขยว่าเป็นยังไงบ้างครับ ชอบไหม” คนถามหน้าตาสดใสและเต็มเปี่ยมด้วยความกระตือรือร้น ทั้งที่ใบหน้าเปื้อนเหงื่อ เหงื่อเม็ดใหญ่ตกจากคิ้วลงมาถึงตาจนต้องถอดแว่นออก เช็ดเหงื่อตามหน้าผาก ตามคิ้ว แล้วค่อยใส่กลับดังเดิม

“สวยมาก”

“ไทว่าจะวาดสักสิบผืน พี่เขยจะได้มีผนังห้องหลายๆ แบบเอาไว้เปลี่ยน จะได้ไม่เบื่อ ดีไหมครับ”

“ไม่ต้องทำให้พี่มากหรอก ขอผืนนี้ผืนเดียวก็พอ พี่ไม่ค่อยได้อยู่ที่นี่ อีกไม่นานก็คงต้องเดินทาง”

“พี่เขยจะไปไหนครับ!” คนทูลถามหน้าเสีย

“ยังไม่ได้ไป ว่าจะรอให้ไทชินกับที่นี่เสียก่อน”

งั้นต่อให้ต้องอยู่ไปชั่วชีวิตเขาก็จะไม่ชิน!






ไทวาคุยเรื่องนี้กับเจ้าหญิงวรนารี ปรากฏว่าเจ้าหญิงพระขนิษฐารับสั่งบอกวิธีแก้ปัญหาให้ได้ทันทีราวกับทรงคิดไว้นานแล้ว

“พี่ถึงอยากให้เจ้าพี่ทรงอภิเษกกับใครสักคนไงล่ะ ถ้าแต่งงานแล้วเจ้าพี่ก็จะไม่เสด็จไปไหนบ่อยๆ อย่างนี้หรอก เอาอย่างนี้นะ เรามาช่วยกันหาคู่ให้เจ้าพี่ดีไหม”

“ไทว่าไม่ดี” เด็กหนุ่มทูลตอบทันควัน

“ทำไมล่ะ”

“เอ่อ... ไทคิดว่าพี่เขยคงไม่ชอบถ้าเราไปจับคู่ให้ท่าน”

“ไม่ได้จับคู่” คำสุดท้ายคนรับสั่งทรงลากพระสุรเสียงยาว “แค่จัดฉาก เอ๊ย! เปิดโอกาสให้ท่านได้เจอใครๆ บ้างเท่านั้นเอง ไทก็เห็นใช่ไหมล่ะว่าเจ้าพี่ท่านทำแต่งาน แล้วผู้หญิงที่ไหนจะบุกไปหาท่านที่กรมล่ะ”

ไทวาเผลอพยักหน้า ใช่... ขนาดเขายังไม่กล้าขอไป

“ตกลงว่าเรามาร่วมมือกันนะ”

“ร่วมมือยังไงครับ”

“แค่ทำตามที่พี่บอกก็พอ ตกลงนะ”

ไม่ตกลง! ไม่ตกลง! ไม่ตกลง!






“พี่เขย ทำไมไทถึงนอนกับพี่เขยไม่ได้แล้วล่ะครับ”

ไทวาทูลถามขณะนั่งแช่เท้าอยู่ในลำธารสายเล็กๆ หลังพระตำหนัก ข้างๆ กับสะพานหินเล็กๆ เจ้าชายอัทธายุประทับอยู่ในท่าเดียวกับเขา คือพระกรสองข้างเท้าไปด้านหลัง แล้วเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรดวงดาวที่เดียรดาษเต็มท้องฟ้า

“ก็บอกไปแล้ว ว่าโตแล้วต้องหัดนอนคนเดียว อยู่ที่นี่ตั้งหลายอาทิตย์แล้วยังไม่ชินอีกหรือ ตำหนักพี่ไม่มีผีหรอก”

“แต่ไทอยากนอนกับพี่เขย”

คนฟังทรงชะงักไปนิดหนึ่ง ไม่มากพอที่จะทำให้คนพูดหน้าม่อยรู้สึกผิดปกติ

“ถ้าพี่ต้องไปทำงานไกลๆ ไม่อยู่กับไท ไทจะนอนกับใคร”

“... ก็ต้องนอนคนเดียวสิครับ ไทจะนอนกับใครล่ะ”

“ถึงตอนนั้นก็นอนได้ใช่ไหม”

“ครับ” ถ้าไม่ได้แล้วจะให้ทำยังไง

“แล้วทำไมตอนนี้ถึงนอนคนเดียวไม่ได้”

“ก็ไท...”

ไทวาอับจนคำพูด เขาได้แต่เตะขาในน้ำไปมา แสงจันทร์สะท้อนให้เห็นว่าเสี้ยวหน้าด้านข้างดูหมองๆ ไม่สมกับเป็นเด็กหนุ่มที่มักจะมีชีวิตชีวาอยู่เสมอเอาเสียเลย

“แกว่งขามากๆ ปลามันจะตายเอานะ”

“ไทไม่ได้เตะถูกปลานะ มันว่ายน้ำเร็วจะตาย ปลาจะตายได้ยังไง”

“สำลักกลิ่นเท้าไทไง”

“พี่เขยยยยยยย!” เสียงเรียกลากยาวของคนหน้าเง้ากับเสียงสรวลห้าวๆ ดังทำลายความสงบเงียบยามค่ำคืน “เท้าไทสะอาดนะ ไม่เหม็นสักหน่อย นี่ไง สะอาดๆ”

คนยืนยันยกเท้าสองข้างขึ้นมาจากลำธาร กระดิกไปมาราวกับจะให้สะเด็ดน้ำ และให้คนนั่งข้างทอดพระเนตรเห็นชัดๆ

“แช่อยู่ตั้งนานก็ต้องสะอาดสิ ป่านนี้ปลาพี่ตายไปกี่ตัวแล้วก็ไม่รู้”

“อะไร ไทก็แช่พร้อมพี่เขย ถ้าปลาตายก็ต้องเป็นเพราะเท้าของพี่เขยด้วยนั่นแหละ ยกขึ้นมาดูเลยว่าสะอาดรึเปล่า”

เด็กหนุ่มเผลอพูดลามเลยไม่สมควรโดยไม่รู้ตัว ทว่าคนฟังไม่ทรงถือสา ยอมยกพระบาททั้งคู่ขึ้นมาง่ายๆ

“เท้าพี่เขยใหญ่จัง” คนพูดมองพระบาทสีเข้มกับเท้าสีอ่อนของตัวเอง แล้วหันไปมองพระหัตถ์ที่เท้าอยู่เบื้องหลัง “มือก็ใหญ่กว่าของไท” ก่อนจะเลื่อนขึ้นมามองแถวต้นพระพาหา

“แขนก็ใหญ่ ท... ไทขอลองจับดูหน่อยได้ไหมครับ”

ความมืดยามราตรีซ่อนสายพระเนตรของเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ไทวาจึงไม่เห็นประกายอย่างหนึ่งในนั้น เป็นประกายตาของผู้ผ่านโลกมามากกว่าที่แม้จะรู้ทัน แต่ก็เอ็นดูกึ่งสงสารระคนกัน

“เอาสิ”

คนที่รู้ตัวดีว่าไม่บริสุทธิ์ใจพยายามทำตัวเป็นปกติที่สุดเมื่อจับต้นพระพาหาล่ำๆ ใต้ฉลองพระองค์เนื้อบางแล้วบีบไปบีบมาเบาๆ ครั้นรู้สึกตัวว่าชักจะจับนานผิดปกติก็รีบกลบเกลื่อน

“ไทอยากแขนใหญ่แบบพี่เขยบ้าง” เด็กหนุ่มดันแว่นขึ้นแก้เก้อ

“แขนขาคนเราต้องสมดุลกับตัวถึงจะเหมาะ ไทตัวเล็กกว่าพี่ ถ้าแขนใหญ่เท่าพี่อาจจะต้องเดินหิ้วแขนตัวเองก็ได้”

ไทวานึกสภาพตัวเองเดินหลังงอเพราะถูกแขนถ่วงแล้วก็หัวเราะร่วน เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวลเมื่ออีกฝ่ายกลับมาร่าเริงได้เหมือนเดิม นั่งเงียบๆ กันอยู่สักพัก เด็กหนุ่มก็ทูลถามหยั่งเชิง

“พี่เขย” คนถูกเรียกทรงหันไปมอง “พี่เขยเมื่อยไหมครับ”

เจ้าชายเจ้ากรมฯ ทรงเลิกพระขนง

“ไทนวดให้เอาเปล่า”

“นวดเก่งหรือ”

“ก็ไม่เก่งเท่าไหร่ แต่ไทเห็นพี่เขยทำงานกลับมาเหนื่อยๆ ทุกวันเลยอยากนวดให้ ไทนวดให้เอาไหมครับ”

“ลองดูก็ได้”

คนจะได้เป็นหมอนวดยิ้มกว้าง ก่อนจะดึงขาขึ้นมาจากน้ำแล้วขยับไปคุกเข่าอยู่เบื้องพระขนองอย่างกระตือรือร้นแล้วลงมือนวดแบบคนร้อนวิชา ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีวิชาความรู้ในด้านนี้เลย เพียงแต่หาโอกาสถึงเนื้อถึงตัวอีกฝ่ายเท่านั้น

“เป็นยังไงบ้างครับ ไทนวดสบายไหม”

“อืม สบาย”

คนรับสั่งตอบไม่ได้ทรงเอาใจเด็ก แต่การมีคนมาบีบๆ จับๆ ให้อย่างเอาใจใส่ก็ให้ความรู้สึกเพลิดเพลินดี แม้ว่าจะไม่ได้ช่วยให้พระองค์ทรงหายเมื่อยสักเท่าไรก็ตาม ฝ่ายคนนวดก็ขยำเอาๆ สลับข้างไปมาอย่างขยันขันแข็งในตอนแรกๆ ใจเต้นแรงขึ้นหน่อยๆ เมื่อคิดว่าแผ่นหลังของอีกฝ่ายช่างกว้างและดูอบอุ่นแข็งแรงดีจริงๆ เหมือนกำแพงหนาที่ทั้งมั่นคงและปลอดภัย ครั้นนวดไปๆ ก็ชักจะเริ่มเมื่อย แรงเริ่มตก

“พี่เขยหายเมื่อยรึยังครับ”

“อืม ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณครับ” พระสุรเสียงเจือความขบขันเอาไว้หน่อยๆ เพราะทรงรู้ทัน ทว่าหมอนวดไม่ทันได้สังเกต ไทวาโขกหน้าผากลงบนพระปฤษฎางค์หนากว้างแล้วแนบนิ่งอยู่อย่างนั้น

“เหนื่อยหรือ”

เด็กหนุ่มส่ายหน้ากับแผ่นหลังหนาอุ่น เผลอสูดลมหายใจเอากลิ่นอายเฉพาะพระองค์เข้าไปเต็มลมหายใจ

“ไม่เหนื่อยครับ แต่พี่เขยหายเมื่อแล้ว ไทอยากขอรางวัล”

“อ้อ ทำดีหวังผล”

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย” ครั้นได้ยินพระสุรเสียงหึหึก็เปลี่ยนเป็นยอมรับง่ายๆ “ใช่ก็ได้ครับ คืนนี้ขอไทนอนกับพี่เขยอีกได้เปล่า”

“ไท”

เรียกแล้วก็เงียบอย่างนี้ เจ้าของชื่อก็พอจะรู้เหมือนกันว่าต้องทำอะไร เด็กหนุ่มขยับกลับไปนั่งท่าเดิม ที่เดิม... แต่ใกล้กว่าเดิมนิดหนึ่ง

“นอนห้องตัวเองดีแล้ว พี่ก็นอนอยู่ห้องข้างๆ มีอะไรก็มาเรียกได้”

คนฟังยื่นปากออกมานิดๆ แต่เพราะเตรียมใจไว้แล้วจึงไม่ได้ผิดหวังมากนัก

“พี่เขยจะเดินทางอีกเมื่อไหร่ครับ”

“น่าจะอีกสองเดือน มีโครงการตัดถนนผ่านป่าที่สุรกานต์” ทรงหมายถึงเมืองทางตะวันออก และพระองค์ก็เพิ่งตัดสินพระทัยเมื่อครู่นี้เอง เวลาสองเดือนน่าจะกำลังดี ไม่มากเกินไปจนทำให้เด็กหนุ่มถลำลึกหลงผิดไปมากกว่านี้ และไม่น้อยเกินไปจนเป็นการทอดทิ้งให้เขาต้องทุกข์ทนอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย

คนฟังเม้มปากนิดๆ ดวงตาสดใสหลังแว่นบ่งบอกการตัดสินใจ... ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่เช่นกัน

“งั้นสองเดือนนี้พี่เขยตามใจไทหน่อยได้ไหมครับ”

“หือ ยังไง”

“ไทอยากไปเที่ยว พี่เขยพาไปนะครับ”

“เรื่องแค่นี้” ไม่ยากเลย คิดว่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้ต้องลำบากพระทัยเสียอีก “เอาสิ ไทอยากไปไหน”

แผนนี้เจ้าหญิงวรนารีทรงเป็นคนคิดแล้วอาศัยปากเขาพูด ก่อนที่เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณจะทรง ‘เดินทาง’ อีกครั้ง เจ้าหญิงพระขนิษฐาตั้งพระทัยจะหา ‘พี่สะใภ้’ ให้พระเชษฐาให้ได้ ไทวาไม่ได้อยากได้ ‘พี่สะใภ้’ เขาแค่อยากตักตวงเวลา ทำเพื่อตัวเองให้เต็มที่ จะได้ไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง
 



หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 25-05-2014 02:50:13
ทะเลสาบนอกเขตเมืองเป็นสถานที่ที่หนุ่มสาวนิยมมาเที่ยวกันตามลำพังเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง ทว่าในฤดูร้อนตอนกลางวันที่แดดร้อนเปรี้ยงอย่างนี้กลับไม่ค่อยมีใครมา เจ้าหญิงวรนารีทรงสงสัยเป็นกำลังว่าเวลานัดหมายกับหญิงสาวที่พระองค์ทรงหมายตาว่าจะให้เป็นพี่สะใภ้มันตอนบ่ายใกล้จะเย็นโน่น แล้วไทวาชวนพระเชษฐาของพระองค์มาทำไมตั้งแต่เที่ยงวันอย่างนี้ แต่ก็ไม่มีโอกาสตรัสถาม เพราะเด็กหนุ่มเกาะติดเจ้าของวรองค์สูงใหญ่แจ

 เจ้าชายสามโปรดให้มีองครักษ์นอกเครื่องแบบตามเสด็จเพียงสองคน และเมื่ออกมากับไทวา องครักษ์ทั้งสองนายก็กลายเป็นคนช่วยถือของไป เพราะคุณชายหนุ่มซื้อของจากร้านค้าแทบทุกร้านในตลาดมาเป็นเสบียง ส่วนเงินก็ใช้ของตัวเอง พูดให้ถูกคือเงินที่เจ้าชายหนุ่มประทานให้มาตั้งแต่วันแรกๆ ที่มาอยู่ซึ่งเป็นจำนวนมากโข และเด็กหนุ่มก็ใช้จ่ายอย่าง ‘ไม่ต้องเกรงใจ’ ตามที่พระองค์รับสั่งบอกเปี๊ยบ

ใต้ร่มไม้ใหญ่ใบหนาที่อยู่ไม่ห่างจากริมทะเลสาบมากนักเป็นสถานที่ที่ไทวาเลือกนั่งกินอาหารมื้อกลางวัน องครักษ์สองนายถูกเขาชวนมานั่งร่วมวงเดียวกันทว่าทั้งสองปฏิเสธเพราะเกรงจะไม่เหมาะสมเนื่องจากเจ้าหญิงพระขนิษฐาเสด็จมาด้วย ครั้นเจ้าหญิงคนงามรับสั่งชวนซ้ำอย่างไม่ถือพระองค์ วงข้าวก็ประกอบด้วยคนห้าคน

ไทวากินไปคุยไป เด็กหนุ่มทำให้องครักษ์ทั้งสองนายหายเกร็งด้วยการถามนั่นถามนี่แทบไม่หยุดปาก แต่ก็สามารถกินได้เร็วกว่าใครเพื่อน องครักษ์นายหนึ่งซึ่งไทวาเรียกว่า ‘พี่ทิวคิ้วดก’ ถึงกับออกปาก

“คุณชายกินน่าอร่อย”

“อ้าว พี่ไม่อร่อยหรือครับ”

“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ ผมแค่มองคุณชายกินแล้วนึกถึงลูกชายที่บ้านน่ะครับ กินอะไรก็ท่าทางน่าอร่อยไปหมด เมียผมก็เลยกินตามลูกจนตัวกลมไม่ยอมยุบ”

“ตัวกลมไม่ดีหรือครับ นุ่มๆ ดีออก อ้วนแล้วพี่ทิวคิ้วดกก็เลยไม่รักรึเปล่า”

องครักษ์หนุ่มหัวเราะ “ขึ้นชื่อว่าเมียแล้วผมก็รักอยู่วันยังค่ำแหละครับ แต่พูดตามตรง ผู้หญิงหุ่นดียังไงมันก็ชวนมองมากกว่าผู้หญิงอวบ ผู้หญิงอ้วนใช่ไหมล่ะครับ”

“ฉันก็ผู้หญิงนะ นั่งนินทาผู้หญิงอย่างนี้ไม่เกรงใจฉันบ้างรึไง”

เจ้าหญิงวรนารีแสร้งรับสั่ง ทำเอาองครักษ์หนุ่มหน้าซีด ก่อนจะมีสีหน้าดีขึ้นเมื่อพระองค์ทรงเฉลยว่าทรงแกล้งเล่น ขณะที่ไทวาเหลือบมองพระพักตร์ที่มีหนวดเคราบางๆ แลดู ‘เท่มาก’ ของเจ้าชายสามแล้วก็มองไก่ในมือตัวเองนิ่ง

“อิ่มแล้วหรือ ไท ทำไมไม่กินต่อล่ะ”

“ไท... อิ่มแล้วดีกว่า”

“กลัวอ้วนหรือ”

เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ลังเล แล้วก็พยักหน้า เจ้าหญิงวรนารีถึงกับทรงพระสรวล

“โธ่ ไท ไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย ไม่ต้องกลัวอ้วนหรอก อวบนิดหน่อยอย่างไทนี่พี่ก็ว่าน่ารักดีออก”

สีหน้าของเด็กหนุ่มบ่งบอกความไม่แน่ใจ

“เป็นตัวกินไก่ก็กินๆ เข้าไป ไม่ต้องห่วงเรื่องไม่เป็นเรื่อง”

เจ้าชายหนุ่มรับสั่งแล้วก็ทรงหยิบน่องไก่ชิ้นใหญ่ใส่จานข้าวประทานให้อีก องครักษ์สองนายถึงกับเผลอมองพระพักตร์ คิดเหมือนกันว่า... ด่ากันตรงๆ ว่าเป็นตัวเหี้ยอย่างนี้เลยหรือ ขณะไทวาหน้ามุ่ย

“พี่เขยก็กินเหมือนกัน ว่าแต่ไทได้ไง”

องครักษ์สองนายหันขวับ มองเด็กหนุ่มอย่างตกใจ ทว่า ‘ตัวกินไก่’ สองคนไม่มีใครสนใจพวกเขา เจ้าชายอัทธายุแย้มพระสรวล

“ไม่ได้ว่า แค่อยากให้กินเยอะๆ เดี๋ยวคนไทวะจะหาว่าพี่เลี้ยงคุณชายของพวกเขาไม่ดี กินไปเถอะ ถึงจะตัวอ้วนปี๋พี่ก็ไม่หลงคิดว่าไทเป็นหมูหรอกน่า”

คนฟังรู้สึกดีขึ้นมานิดหนึ่ง ย้ำว่านิดเดียว ใช่สิ... เขาจะเป็นหมูได้ยังไง ก็เขาเป็นตัวกินไก่ไปแล้วนี่

หลังจบอาหารคาวก็ตามด้วยอาหารหวานซึ่งเจ้าหญิงวรนารีทรงปฏิเสธไม่รับ หลังอาหารหวานจึงตามด้วยผลไม้ ไทวาอาสาเป็นคนผ่าแตงโมเอง เด็กหนุ่มไม่ได้หั่นเป็นชิ้นใส่จาน แต่ผ่าเป็นสามเหลี่ยมชิ้นพอดีๆ ส่งให้ทุกคน

“กินแบบนี้อร่อยกว่า”

แบบนี้ที่ว่าคือแทะกิน เจ้าหญิงพระขนิษฐาทรงขอแบบหั่นใส่จานแล้วใช้ส้อมจิ้ม ทว่าเมื่อถูกไทวาคะยั้นคะยอให้กินแบบเดียวกับเขา พระองค์ก็ทรงลองดู

ไทวากินแตงโมได้น่าอร่อยกว่าใครเพื่อน เจ้าหญิงวรนารีทรงบ่นว่าเม็ดก็ไม่ยอมแคะออก ส่วนเจ้าชายอัทธายุทรงขู่ว่า

“ระวังมันจะไปงอกเป็นต้นในท้อง”

“ดีเลยครับ ไทจะได้ไม่ต้องซื้อกิน มีอยู่ในท้องอยู่แล้ว”

เจ้าชายหนุ่มทรงพระสรวลหึหึ แล้วก็เสวยแตงโมของพระองค์ไป เมื่อหมดชิ้น คนผ่าก็ถวายชิ้นใหม่ถึงพระหัตถ์ ไปๆ มาๆ แตงโมสองลูกใหญ่ก็หมด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนผ่าแตงโมแทะกินได้น่าอร่อยเหลือเกิน






บ่ายคล้อย ธิดาคนเล็กของเสนาบดีธรรมการก็ ‘บังเอิญ’ มาเดินเล่นแถวริมทะเลสาบกับสาวใช้คนสนิท เจ้าหญิงวรนารีจึงตรัสชวนให้มานั่งร่วมวงกับพระองค์และพระเชษฐา คำภาวนาของไทวาไม่เป็นจริงสักอย่าง นางทั้งสวย ทั้งมารยาทดี แถมยังพูดคุยกับเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณได้อย่างไม่เคอะเขินอีกด้วย สาวใช้ของนางชื่อบุปผา ส่วนชื่อของคุณหนูคนสวยน่ะหรือ... ไทวาจำไม่ได้หรอก มันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น

“แดดไม่มีแล้ว เจ้าพี่ทรงพาเจนจิราไปนั่งเรือเล่นสิเพคะ”

คุณชายหนุ่มอยากจะเอามือปิดหูให้รู้แล้วรู้รอด

“อยากไปไหม” เจ้าชายหนุ่มตรัสถาม

“อยากไปเพคะ”

แล้วแม่คนงามก็ช่างไม่รู้จักเล่นตัวเสียบ้างเลย ไทวาไม่ใช่ผู้หญิง แต่เขาก็รู้มาว่าเป็นผู้หญิงควรจะสงวนท่าทีไว้บ้างไม่ใช่รึไง แล้วทำไม...

“งั้นก็ไป ไทไปกับพี่ไหม”

“ไปคะ...”

“เดี๋ยวไทจะไปกับหญิงเพคะ... ใช่ไหมไท”

“... อั๊บ... ไทไปกับพี่น้อง” กล้ำกลืนฝืนใจตอบสุดๆ ไปเลย






ไทวาพายเรือเป็นและพายคล่องเสียจนเจ้าหญิงวรนารีทรงชม ทว่าสายตาของเด็กหนุ่มคอยวนเวียนอยู่แต่เรือของเจ้าชายอัทธายุ... คนที่เขาอยากจะพายเรือให้นั่ง

“คู่นั้นดูสมกันดีนะ ไทว่าไหม”

“ไทว่าไม่เห็นจะสม”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

คุณชายหนุ่มนิ่งเงียบ เขาจะตอบได้ยังไงล่ะ ว่าถ้าไม่ใช่เขา ใครก็ไม่สมกับเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทั้งนั้น

“ไทไม่ชอบเจนจิราหรือ เมื่อกี้ก็เห็นคุยกันถูกคอดีนี่นา พี่ว่าเจนจิราเขาก็ดูจะชอบไทมากนะ”

รับสั่งเสียเขาดูเป็นตัวร้ายไปเลย ไทวาถอนหายใจเบาๆ พยายามใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์

“พี่เขยก็ชอบนางหรือครับ”

“โธ่! เจ้าพี่น่ะเคยโปรดใครเสียที่ไหนล่ะ คนที่ชอบน่ะพี่เองแหละ ก็เลยอยากให้เจ้าพี่ท่านโปรดด้วย มีคนชอบท่านมากออกนะ แต่คนนี้พี่มองแล้วว่าเพียบพร้อมที่สุด สวย ชาติตระกูลดี ไม่มีประวัติด่างพร้อย เป็นกุลสตรี งานบ้านงานเรือนก็เก่ง วิชาความรู้อื่นก็มี ไม่ทำให้เจ้าพี่ทรงอายใครแน่”

“ไท...” สีหน้าของเด็กหนุ่มดูลังเล แต่ก็ดูอยากจะพูดเต็มที

“หือ”

“ไทก็เป็นลูกชายหัวหน้าเผ่านะครับ ทำกับข้าวก็ได้ อบไก่ได้อร่อยมากๆ ซักผ้าก็พอได้ ไทปลูกผักเก่ง เลี้ยงไก่เลี้ยงปลาก็เก่ง เขียนหนังสือ อ่านหนังสือก็คล่อง ความรู้อื่นก็มีเหมือนกัน ดีด้วย”

เจ้าหญิงคนงามทรงกะพริบพระเนตรปริบๆ ก่อนจะทรงพระสรวลออกมาสุรเสียงดัง

“ไทพูดเหมือนจะเป็นคู่แข่งของเจนจิราอย่างนั้นแหละ นางจะมาเป็นชายาของเจ้าพี่ ไม่มาแย่งตำแหน่งน้องชายสุดที่รักของไทหรอกจ้ะ พี่ยังไม่หวงเลย ไทนี่หวงเจ้าพี่ยิ่งกว่าพี่เสียอีกนะ”

ไทวานิ่งเงียบ ขณะหันไปมองเรืออีกลำที่ลอยอยู่ห่างๆ ด้วยสายตาตัดพ้ออย่างห้ามไม่อยู่ เจ้าหญิงวรนารีทรงฉุกพระทัย

“ไท... หรือว่า...”

“เฮ้ย!”

“เอ๊ะ!”

เรืออีกลำกำลังประสบปัญหา ธิดาคนสวยของเสนาบดีธรรมการคุกเข่าโน้มตัวเด็ดดอกบัวจนตัวเองตกลงไปในทะเลสาบโดยที่เจ้าชายอัทธายุทรงคว้าตัวไว้ไม่ทัน แรกทีเดียวเจ้าชายหนุ่มทรงรอที่จะยื่นพระหัตถ์ให้หญิงสาวแล้วดึงนางขึ้นมา ทว่าเจนจิรากลับจมลงไปราวกับตัวทำจากก้อนหิน พระองค์จึงทรงกระโดดตามลงไปช่วย

ไทวารีบพายเรือไปยังจุดเกิดเหตุทันที

ตั้งแต่ถูกช่วยขึ้นมาบนเรือได้ เจนจิราก็นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง เจ้าชายอัทธายุซึ่งทรงเปียกไปทั้งองค์เช่นกันรับสั่งเรียกอยู่หลายครั้งแต่นางก็ยังไม่รู้สึกตัว ครั้นทรงก้มองค์ลงไปอีกนิดเพื่อจะได้รับสั่งเรียกใกล้ๆ ไทวาซึ่งกำลังพายเรือตรงมาด้วยความเร็วปานเรือแข่งก็รีบตะโกนทูลราวกับคนสติแตกเสียก่อน

“ไม่ๆๆๆๆ พี่เขยไม่ต้องครับ เดี๋ยวไทช่วยเอง ไทช่วยพี่เจนเองครับ พี่เขยออกมาห่างๆ”

พายเรือมาจอดเทียบเสร็จ       ก็เผลอยัดพายใส่พระหัตถ์ของเจ้าหญิงวรนารีไว้เสร็จสรรพ ส่วนตัวเองรีบก้าวไปอยู่ในเรือของเจ้าชายหนุ่มทันที ไทวาหายใจหอบนิดๆ สีหน้าและสายตาที่มองไปทางธิดาของเสนาบดีธรรมการแลดูประหลาดคล้ายคนโรคจิต เขาดึงพระอังสาหนาๆ ของเจ้าชายสามให้ขยับออกห่าง

“ไทผายปอดให้เองครับ พี่เขยไปอยู่ที่เรือไทก่อนก็ได้ ไม่ต้องห่วงครับ ไทผายปอดเป็น ไทเรียนมา”

เจ้าชายอัทธายุทรงยอมขยับตามใจคนตื่นตระหนกเกินเหตุ

“พี่ว่าไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกไท เดี๋ยวนางก็คงฟื้น”

เด็กหนุ่มจัดที่จัดทางให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว ถอดแว่นออก เตรียมตัวจะ ‘ปฐมพยายาบาล’ อย่างเต็มที่แล้ว ก่อนจะชะงักเมื่อเพิ่งเข้าใจความหมาย

“พี่เขยว่าอะไรนะครับ ไม่ต้องผายปอด”

“แต่หญิงว่านอนนิ่งอย่างนี้น่าเป็นห่วงนะเพคะ ผายปอดดีกว่าเพคะ แต่เจ้าพี่ทรงทำดีกว่าเพราะเจ้าพี่ก็ทรงรู้วิธี”

เจนจิราแสร้งสลบ เรื่องแค่นี้ทำไมพระองค์จะไม่ทรงทราบ แต่ในเมื่อกล้าทุ่มเทถึงขนาดนี้แล้ว พระองค์ก็คงจะต้องทรงสนับสนุนบ้าง แม้จะไม่ทรงคาดคิดมาก่อนว่าเจนจิราจะใจกล้าขนาดนี้ แต่ก็นับว่าถูกพระทัยอยู่ไม่น้อย

“ไททำเองครับ ไททำเป็น”

เจ้าหญิงวรนารีทรงฉุกพระทัยอีกครั้ง

“แต่ว่า... มันจะไม่เหมาะ...”

ไทวาไม่ฟังแล้ว เขาโน้มตัวลง แล้วบอกกับคนที่เพิ่งจมน้ำมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

“ไทจะผายปอดให้นะครับพี่เจน อาจจะเหมือนไทจูบพี่เจน แต่ไทไม่ได้คิดไม่ดีนะครับ แค่จะช่วยเท่านั้น”

คิ้วงามๆ ของคุณหนูคนสวยขมวดเข้าหากัน และก่อนที่ริมฝีปากของไทวาจะประกบกับริมฝีปากของนาง หญิงสาวก็ไอค่อกไอแค่กออกมาสองสามครั้ง แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“... ไท... เกิดอะไรขึ้นหรือ...”

“พี่เจนจมน้ำครับ”

หญิงสาวทำท่าว่าจะลุกขึ้นนั่ง ไทวาจึงช่วยพยุง

“ฝ่าบาท หม่อมฉันกลัวจังเลยเพคะ”

คนทูลอ้อนเสียงสั่นน้ำตาคลอโผตัวเข้าไปหมายจะอาศัยพระอุระกว้างเป็นที่ปลอบขวัญตัวเอง ทว่าคุณชายหนุ่มแห่งเผ่าไทวะชิงเอาตัวเข้าไปตัดหน้า รับตัวของคนที่กำลังสั่นเป็นลูกนกเข้าไว้ในอ้อมกอดได้พอดี เด็กหนุ่มตบไหล่อันบอบบางของนางเบาๆ พลางปลอบเสียงนุ่ม

“โอ๋ ไม่ต้องกลัวนะครับคนเก่ง ตอนนี้พี่เจนปลอดภัยดีแล้วนะครับ โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง”

เจ้าชายอัทธายุทอดพระเนตรสีหน้าเหวอๆ งุนงงของหญิงสาวแล้วก็ปรารถนาจะทรงพระสรวลออกมาดังๆ ทว่าเพราะทรงทราบว่าเสียมารยาทจึงได้แต่กลั้นเอาไว้อย่างเต็มที่ เหลือเพียงประกายความขำขันที่เต้นระริก พราวพรายอยู่ในสายพระเนตร






เจนจิราเปียกชุ่มไปทั้งตัว เสื้อผ้าสีอ่อนบางพลิ้วแนบไปกับผิวกายจนเห็นเป็นรูปร่างชัดเจน ไทวาจึงถอดเสื้อของตัวเองให้อีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล เขาแอบเห็นรูปรอยของยอดอกของคุณหนูคนสวยด้วย ไม่อยากจะคิดเลยว่า ‘พี่เขย’ ได้เห็นหรือไม่ เจนจิรารับเสื้อรับเอาไว้อย่างจำใจ แต่เมื่อเห็นฉลองพระองค์ที่เปียกชุ่มของเจ้าชายสามแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างหมดหวัง

คุณหนูบ้านเสนาบดีธรรมการมากับรถม้าที่บ้าน เจ้าหญิงวรนารีทรงแนะนำให้พระเชษฐาเสด็จไปส่งหญิงสาวถึงที่บ้าน

เจ้าชายอัทธายุทอดพระเนตรมองคนสามคนตรงเบื้องพระพักตร์ด้วยสายพระเนตรของคนที่ผ่านโลกมามากกว่า คนหนึ่งอยากได้พี่สะใภ้ คนหนึ่งวาดหวังเต็มเปี่ยมอยู่อย่างเงียบๆ ส่วนอีกคน... ก็อยากจะให้พระองค์ทรงปฏิเสธแทบใจจะขาด หน้าตาเศร้าๆ อ้อนๆ นั้นแลดูทั้งน่าสงสารและน่าเอ็นดูระคนกัน

สายพระเนตรเผลอตกลงไปมองตรงยอดอกสีอ่อนที่ชูชันผ่านเสื้อตัวในสีขาวบางๆ ของเด็กหนุ่ม แล้วก็รีบดึงสายพระเนตรขึ้น ตัดสินพระทัยได้ทันที

“ต่างคนต่างกลับดีกว่า” ประโยคหลังรับสั่งบอกกับเจนจิรา “อย่าลืมกินยากันไว้ จะได้ไม่เป็นไข้ วันหลังฉันคงมีโอกาสไปเยี่ยมท่านเจ้าคุณบ้าง”

คุณหนูคนสวยทูลรับคำด้วยรอยยิ้มเฝื่อนๆ ขณะที่ไทวายิ้มหน้าบานอย่างไม่คิดจะปกปิด ขากลับ คุณชายหนุ่มทูลถามคนที่ฉลองพระองค์ยังไม่แห้งดีอย่างเป็นห่วง

“พี่เขยหนาวไหมครับ”

สายลมยามเย็นตีปะทะหน้า ยิ่งควบม้าเร็วเท่าไร ก็ยิ่งปะทะแรงเท่านั้น

“ถ้าหนาว ไทจะทำยังไง”

“พี่เขยเอาเสื้อไทไปใส่สิครับ ไทไม่หนาว เอาไหม”

คนเป็นพี่เขยโดยไม่ได้สมัครใจทอดพระเนตรจุดสองจุดตรงหน้าอกของคนถามอีกหน เสื้อตัวบางถูกลมตีจนตึง ยอดอกเล็กๆ ตั้งชันเห็นเด่นชัดยิ่งกว่าเดิม

“พี่ไม่หนาว เรารีบกลับกันดีกว่า”
.
.
.
.
.
.

ก่อนที่ยอดอกชูชันของเด็กผู้ชายจะกลายเป็นภาพติดตา




tbc.

******************************************************




iforgive – ถ้าโคลนนิ่งได้นี่ชุนขอเก็บไว้เอาไว้ให้ตัวเองก่อนเลยค่ะ แต่ก็อย่างว่า... ผู้ชายดีๆ มีแต่ในนี้ยายยยยยย เอาไว้ลงจบทุกคู่แล้วชุนถามคุณ iforgive ใหม่ดีกว่า ว่าถ้าเลือกได้แค่คนเดียวอยากได้คนไหน

sar2288 – อายุ 17 เองค่ะ แถมมีพี่สาวตั้ง 3 คน เป็นน้องคนเล็กก็เลยเด็กๆ แล้วก็ขี้อ้อน ตอนนี้พี่เขยก็ชักจะหลงเสน่ห์ (ยอดอก?) ของตัวกินไก่แล้วล่ะค่ะ

snowermyhae – พี่เขยรู้ความจริงแล้วค่า แต่อนาคตนางฟ้าของพี่เขยคงจะต้องใช้ความพยายามหน่อย เพราะพี่เขยชักจะเว้นระยะห่างล่ะ (แต่ดันเห็นภาพติดตาซะได้)

Phut – เนอะๆ ชุนก็ชอบไทวาค่ะ ที่รู้ว่ารักแล้วก็พยายามหาทางให้ได้ความรักตอบ (ไม่เหมือนใครบางคนจากอีกเรื่อง555)

IsDear – ถ้าไม่ฮาเข้าไว้เดี๋ยวจะกลายเป็นเศร้าแทนน่ะสิคะ ตอนนี้หลงรักเขาข้างเดียวอยู่นี่นา

ป.ล. รามิเรสน่าจะประมาณวันพุธนะคะ บอกไว้ก่อนเผื่อมีคนถามถึงค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 25-05-2014 09:37:56
อ่านไปลุ้นไป แอบหน่วงนิดๆ เหมือนพี่เขยมีแววจะไม่ยอมรับรักไทง่ายๆ

แต่พอถึงตอนท้ายพี่เขยนี่ก็แอบหวั่นไหวบ้างแหละเนอะ :-[

ลุ้นๆ รอไทชนะใจพี่เขย

คุณชุน....เค้ารออยู่นะอยากให้มาไวๆ

ขอบคุณจ้า :mew1:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 25-05-2014 10:05:07
อวบจนจุกโผล่ออกมาเตะตาเตะใจท่านชายเลย 55555
เห็นใจท่านชายจริง ๆ เหมือนโดนรุกล้ำทางเพศทั้งชายทั้งหญิงเลย
แต่ะคนก็เหลือเกินจริง ๆ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 25-05-2014 10:29:17
อาจเป็นภาพติดตาพี่เขยไปตลอดชีวิตเลยก็ได้นะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 25-05-2014 11:24:04
“ไทก็เป็นลูกชายหัวหน้าเผ่านะครับ ทำกับข้าวก็ได้ อบไก่ได้อร่อยมากๆ ซักผ้าก็พอได้ ไทปลูกผักเก่ง เลี้ยงไก่เลี้ยงปลาก็เก่ง เขียนหนังสือ อ่านหนังสือก็คล่อง ความรู้อื่นก็มีเหมือนกัน ดีด้วย”
ไทเอ๊ย ทั้งน่ารักและน่าสงสารในเวลาเดียวกันเลย

ไทน่ารัก ช่างอ้อน ตรงไปตรงมา ปกป้องพี่เขยจากท่านหญิงสุดชีวิต
องค์ชายสามใจอ่อนไวๆนะคะ เห็นแก่จุกน้อยๆของตัวกินไก่ด้วยเถอะ :m13:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-05-2014 11:52:50
ขำไท กันท่าเต็มที่ 55555
เผลอแป๊บเดียวขึ้นเรื่อง 2 แล้วอ้ะ
ชอบแบบนี้ หน่วงนิดเดียว น่ารักดี ^^
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: poogan_zadd ที่ 25-05-2014 22:43:12
น่ารักมากกกกก รู้สึกไทซื่อๆใสๆ ส่วนอัทธายุก็อบอุ่น
ฉากผายปอดอ่านแล้วได้แต่อมยิ้ม สงสารคุณหนูที่แผนพัง ยังลุ้นอยู่จะดราม่าตอนท้ายไหม

รอตอนต่อไปอยู่นะคะ ตอนแรกรู้สึกเฉยๆกับตอนของวันวานแต่พออ่านตอนนี้จบชอบมากกกก
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 26-05-2014 01:27:10
 :hao6: อั๊ยยะ ติดตามซะแล้ว
รีบๆรักสิจ๊ะ จะได้เห็นของจริง อิอิ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 4) 29 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 29-05-2014 07:58:09
วันวาน... สู่นิรันดร์
บทที่ ๔


หลังจากวันนั้น เจ้าหญิงวรนารีก็ยังทรงหาโอกาสให้หญิงสาวที่พระองค์ทรงหมายมั่นปั้นมือว่าจะเอามาเป็นพี่สะใภ้ให้ได้ได้มีโอกาสพบกับพระเชษฐาของพระองค์อยู่เนืองๆ เจ้าชายอัทธายุทรงรู้ทันพระขนิษฐาทุกอย่าง และเคยรับสั่งบอกไปตามตรงแล้วว่า

“เจนจิราไม่มีตรงไหนน่าตำหนิ แต่พี่เอ็นดูนางเหมือนน้อง ไม่เคยคิดอยากได้นางมาเป็นพี่สะใภ้ให้หญิงเลย”

แต่เจ้าหญิงพระขนิษฐาทรงมีความเชื่อของพระองค์เอง

“ตอนนี้ยังไม่นึกรัก ถ้าได้ทรงใกล้ชิดกับนางบ่อยๆ อาจจะทรงนึกรักขึ้นมาโดยไม่ทรงรู้องค์ก็ได้เพคะ”

ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่คงจะยาก เจ้าชายหนุ่มทรงละเอียดอ่อนพอที่จะรับสั่งกำชับว่า

“หญิงอยากทำอะไรก็ทำ แต่อย่าพูดโกหกเพื่อให้ความหวังนาง อย่าหลอกให้นางคิดไปเองว่าพี่อาจจะมีใจให้ ตอนนี้พี่ไม่คิดเรื่องมีความรัก แล้วก็ยังไม่อยากจะมีครอบครัว”

สองประโยคท้าย หมายพระทัยว่าจะทำให้เด็กหนุ่มในปกครองของพระองค์ซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วยเก็บเอาไปคิดแล้วตัดใจเสีย ทว่าดูๆ แล้วอีกฝ่ายไม่น่าจะเข้าใจ เพราะทันทีที่ฟังจบก็พลันยิ้มหน้าชื่นตาเป็นประกาย พระองค์จึงต้องทรงพยายามต่ออีกนิด

“ไทล่ะ”

“ครับ” ดวงตาหลังแว่นฉายแววงุนงง

“ไม่คิดจะเขียนจดหมายไปหาคู่หมั้นบ้างหรือ” มีแต่เขียนจดหมายไปหาพ่อแม่เท่านั้น แถมเนื้อความในจดหมายยังพูดถึงแต่พระองค์ มีแต่คำว่าพี่เขยใจดีอย่างนั้น พี่เขยใจดีอย่างนี้เต็มไปหมด

“ว่าจะเขียนคืนนี้ครับ”

คำตอบที่ไม่คาดคิดทำเอาคนตรัสถามทรงนิ่งไปอึดใจ

“งั้นหรือ ก็ดี”

ไทวายิ้มแป้น แต่ไม่ขยายความอะไรอย่างที่มักจะชอบทำ หลังจากรับสั่งเรื่องอื่นๆ ต่ออีกสักพัก เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณก็ตรัสถามขึ้นมาเรียบๆ

“คู่หมั้นของไทชื่ออะไร”

“ท่านหญิงปณาลีครับ อายุมากกว่าไทสามปี แต่หน้าเด็กมาก ตอนแรกไทคิดว่าอายุน้อยกว่าไทเสียอีก นิสัยดีมากเลย ชอบกินแต่ผักด้วย เวลามีไก่ ไทเลยซัดเรียบคนเดียว”

“ชอบนางไหม”

“ชอบครับ”

ชอบ... อย่างนั้นหรือ... แล้วที่ละเมอว่ารักพระองค์นั่นล่ะ สีหน้าเศร้าๆ ตอนที่พระองค์รับสั่งกับเจนจิรานั่นล่ะ คิดจะปั่นหัวพระองค์เล่นหรือ

“พี่เขย... โกรธอะไรไทหรือครับ”

“หือ”

“เจ้าพี่พระพักตร์บึ้งแน่ะเพคะ” พระขนิษฐาทรงขยายความ

“อ้อ พี่... นึกถึงเรื่องงาน ว่าจะกลับกรมเร็วหน่อย” ช่วงนี้พระองค์เสด็จกลับมาเสวยกลางวันที่พระตำหนักเกือบทุกวัน เพราะถ้าวันไหนไม่เสด็จกลับ พอกลับมาถึงตอนเย็น ไทวาจะหน้าเศร้าเป็นหมาหงอยทุกครั้งไป

“พี่ไปก่อน สองคนอยู่ด้วยกันดีๆ ล่ะ อย่าตีกัน”

“พี่เขย! ไทไม่ใช่เด็ก / เจ้าพี่! หญิงไม่ใช่เด็ก”

“หึหึ”





 
ถึงจะทรงตกโอษฐ์รับคำว่าจะประทานเวลาสองเดือนให้อย่างเต็มที่ แต่คนรักงานอย่างเจ้าชายอัทธายุก็เสด็จไปทรงงานที่กรมแทบทุกวันมิได้ขาด ไทวาซึ่งที่จริงแล้วก็ไม่ได้อยากจะไปเที่ยวไหนๆ โดยมีผู้หญิงอื่นนอกจากเจ้าหญิงวรนารีไปด้วยก็รู้สึกพอใจที่จะได้อยู่ติดพระตำหนักบ้าง ถ้าได้ไปเที่ยวแล้วต้องเห็นพี่เขยของเขายิ้มให้คนอื่น เห็นผู้หญิงมากหน้าหลายตายิ้มให้พี่เขย เขาอยู่ที่ตำหนักแล้วรอรับพี่เขยกลับมาดีกว่า เจ้าหญิงวรนารีเคยรับสั่งบอกเขาว่า

“พี่ไม่ค่อยได้มาดูแล ไทต้องควบคุมดูแลพวกมหาดเล็กแทนพี่นะ อย่าให้ขี้เกียจหรือเหลวไหลเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นตำหนักนี้จะเละเทะไม่เป็นระเบียบอีก”

และเจ้าชายสามก็ประทานสิทธิ์ในการดูแลให้อย่างเต็มที่ ไทวาจึงแบ่งงานให้บรรดามหาดเล็กทำอย่างเป็นระบบตามความต้องการของเขาเอง แบ่งเป็นเวรทำความสะอาดห้องต่างๆ และดูแลทุกสิ่งเกี่ยวกับห้องต่างๆ เช่นห้องสรง ห้องแต่งพระองค์ ห้องทรงงาน ห้องหนังสือ ห้องเสวย เป็นต้น ส่วนในเวลาที่เจ้าของพระตำหนักไม่อยู่และมหาดเล็กอยู่ว่าง เขาก็ใช้ให้พวกนั้นมาปลูกผัก ปลูกดอกไม้

เพราะเหตุนี้ รอบๆ พระตำหนักของเจ้าชายอัทธายุจึงกลายเป็นสวนผักผลไม้ไปภายในเวลาไม่นาน ส่วนมหาดเล็กก็กลายเป็นชาวสวน

“ข้างหลังนี่เราจะปลูกผักหลายๆ อย่าง ขุดบ่อเลี้ยงปลา แล้วก็ขุดสระน้ำ ข้างๆ ปลูกดอกไม้ หน้าตำหนักปลูกต้นไม้ใหญ่ๆ เอาไว้ให้ร่ม”

ไทวาได้อย่างที่ต้องการทุกอย่าง เพราะไม่ว่าอยากได้อะไร ขอเพียงเขาไปกราบทูลว่า ‘พี่เขยๆ ไทอยากได้...’ เจ้าชายอัทธายุก็จะทรงตามใจ และรับเป็นพระธุระจัดการให้อย่างดี กระทั่งบ่อปลาและสระน้ำหลังพระตำหนักก็ทรงวางแผนและควบคุมการขุดด้วยพระองค์เองจนเสร็จเรียบร้อย

“เลี้ยงปลาเอาไว้กินครับ อีกหน่อยจะเลี้ยงไก่ด้วย”

ไทวาบอกโครงการขณะนั่งแช่เท้าอยู่ในลำธารข้างสะพานหินโค้ง ที่ตรงนี้เป็นที่ประจำในยามค่ำคืนของเขากับเจ้าชายเจ้ากรมโยธาฯ เมื่อต้องแยกกันนอนคนละห้อง เขาก็ขอใช้ช่วงเวลาก่อนนอนในแต่ละคืนพูดคุยกับอีกฝ่ายตามลำพังให้ได้มากที่สุด

“เลี้ยงเอาไว้กินหรือ”

“ครับ”

“กินดิบรึกินสดล่ะ”

“กินสด... เอ๊ะ... มันก็เหมือนกัน...”

“ลากไปกินในน้ำด้วยใช่ไหม”

“พี่เขย! ว่าไทเป็นตัวเหี้ย!”

คนถูกว่ากำมือชกพระพาหาล่ำๆ ดังตุ้บตั้บไปหลายที ทว่านอกจากอีกฝ่ายจะไม่ทรงสะดุ้งสะเทือนแล้วยังทรงพระสรวลสุรเสียงลั่น เขาเองต่างหากที่ชักจะเจ็บมือ แต่ก็ยังไม่วายชกซ้ำเข้าไปอีก คราวนี้ถูกเจ้าชายหนุ่มทรงยึดมือไว้

“พอแล้ว”

ไทวาชะงัก ต่างฝ่ายต่างนิ่งและมองหน้ากันอยู่หลายอึดใจ ไทว่าเป็นฝ่ายทูลเรียกก่อน

“พ... พี่เขย” เจ้าชายอัทธายุทรงรอฟัง “ท... ไทขอกอดพี่เขยหน่อยได้ไหม”

“... กอดทำไม”

“อยากกอด”

เรียบง่าย ตรงไปตรงมาเช่นนี้เอง ทั้งสีหน้าและสายตาหลังกรอบแว่นเชยๆ ของเด็กหนุ่มบ่งบอกความหมายอย่างเดียวกับที่พูด เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวล พยักพระพักตร์

“เอาสิ”

“ขอบคุณครับ!”

ไทวากอดหมับ เจ้าชายสามทรงรับเด็กหนุ่มเข้ามาไว้ในอ้อมพระพาหา เขาไม่ได้ตัวเล็กบางอย่างผู้หญิง แต่เมื่อพระองค์ทรงกอดไว้อย่างนี้ ก็ช่างพอเหมาะพอดีกับพระอุระอย่างไม่น่าเชื่อ รอยยิ้มสดใสและประกายตาดีใจยังติดสายพระเนตร

หัวใจของไทวาเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ และพระองค์ก็ทรงทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด

หัวใจ... อยู่ตรงหน้าอกข้างซ้ายสินะ และบนหน้าอกก็มีหัวนม... ที่น่าจะเป็นสีชม...

“พี่เขย”

“หะ... หืม”

“ไท...” ไทรักพี่เขย “ไทเลี้ยงไก่ได้ไหม”

“เลี้ยงแล้วจะกินมันลงหรือ”

“กินลงสิครับ ไก่เป็นอาหารของคน ไทชอบกินไก่” หยุดไปครู่ ก็รีบพูดต่ออย่างนึกขึ้นได้ “แต่ไทไม่ใช่ตัวกินไก่”

เจ้าชายอัทธายุทรงพระสรวลเบาๆ ไทวาสูดลมหายใจเข้าลึก สูดกลิ่นฉลองพระองค์และซึมซับบรรยากาศอบอุ่นไว้จนเต็มปอด ก่อนจะคลายอ้อมแขนนิดหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น คำพูดที่จะพูดพลันถูกลืมไปเมื่อเห็นพระโอษฐ์หยักสวยที่อยู่ใต้เรียวพระมัสสุสั้นๆ

“มีอะไร จะขอเลี้ยงหมูอีกหรือ”

คนถูกถามหน้าบึ้ง แต่ไม่ยอมปล่อยแขน

“ไม่ได้จะพูดอย่างนั้นสักหน่อย”

“หึ”

“ไท... อยากลองจับหนวดพี่เขย ขอ... จับหน่อยได้ไหมครับ”

คราวนี้เจ้าชายหนุ่มเพียงแต่ทอดพระเนตรมองนิ่งๆ ทำเอาคนถามใจคอไม่ค่อยดี แววตาไหวระริก เกือบจะถอดใจอยู่แล้ว ตอนที่อีกฝ่ายทรงจับมือเขาไปวางบนเคราสากๆ ของพระองค์

ไทวาค่อยๆ ลูบไล้ไปตามแนวพระหนุคมสันอย่างตื่นเต้น ลูบไปลูบมา ซ้ายขวา ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปแตะเรียวพระมัสสุสั้นๆ    บางๆ แล้วก็หัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ

“จั๊กจี้มือดีจัง ไทชอบหนวดพี่เขยมากเลย”

เจ้าของหนวดอยากจะตรัสถามนัก ว่าเคยทำอย่างนี้กับใครรึเปล่า ลูบๆ หนวดเครา แล้วก็บอกชอบด้วยสายตาหลงใหล

ถ้าเคยทำ ก็อย่าได้ทำแบบนี้กับใครอีก

ไทวานิ่งอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะทำใจกล้า เลื่อนมือลงมาแตะพระโอษฐ์เบาๆ แล้วค่อยๆ ลูบ เจ้าชายอัทธายุทอดพระเนตรสีหน้าและแววตาของคนในอ้อมกอดแล้วคำคำหนึ่งก็พลันผุดขึ้นมา

... เด็กหื่น...

ยื่นหน้าขึ้นมาหาพระองค์แล้ว

“ไท”

เฮือก!

“คะ... ครับ”

“เป็นอะไรรึเปล่า เห็นนิ่งไป”

ไทวาดูเคอะเขินอย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มดึงมือออกและผละออกจากอ้อมพระพาหา เจ้าชายหนุ่มทรงผ่อนพระปัสสาสะออกเบาๆ ไม่ใช่โล่งใจ แต่เป็นเสียดาย

ปากแดงๆ นั่นน่าขบดึงเอามากๆ แต่เวลานี้ยังไม่ควร... ไม่ใช่ตอนที่พระองค์ยังไม่ตัดสินพระทัย

“ขึ้นนอนกันสักทีดีไหม”

ไทวาจ้องมองพระโอษฐ์อีกหน แล้วก็ได้แต่พยักหน้าทั้งที่ตาสว่าง ไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย ระหว่างทางเดินกลับ เจ้าของพระตำหนักก็ทรงชวนคุย

“พรุ่งนี้พี่ว่าจะตัดผม ไทตัดด้วยกันไหม”

“ไทตัดให้ครับ ไทตัดเป็น!”

สมเป็นเด็ก เมื่อกี้ยังดูซึมๆ อยู่ ตอนนี้กลับมากระตือรือร้นได้อีกแล้ว

“จริงหรือ”

“จริงครับ ไทตัดให้ตอนนี้เลยก็ได้ พี่เขยให้ไทตัดให้นะ”

“เอาก็เอา แต่เอาไว้พรุ่งนี้เช้าดีกว่า”

“ครับ!”

คืนนั้น ไทวานอนคว่ำหน้า พูดกับปลาสองตัวที่ไม่รู้ว่าเป็นพันธุ์อะไรบนผนังห้อง

“ดีใจจังเลย จะได้ตัดผมคนเป็นครั้งแรกแล้ว ทุกทีได้แต่ตัดขนแกะ แต่มันคงไม่ต่างกันมากหรอกเนอะปลาพี่เขยเนอะ พรุ่งนี้ไทจะตัดให้หล่อเลย”






เช้าวันรุ่งขึ้น คุณชายเชลยชาวไทวะก็ไปเคาะประตูห้องบรรทมของผู้ปกครองตั้งแต่แสงอาทิตย์เพิ่งจะแตะขอบฟ้า ในมือมีกรรไกรเล่มใหญ่อยู่เล่มหนึ่ง

หลังจากมหาดเล็กผู้รู้งานจัดการเปลี่ยนกรรไกร และเตรียมอุปกรณ์รวมทั้งสถานที่ไว้พร้อมแล้ว ช่างตัดผมที่ดูมั่นอกมั่นใจเป็นอันมากก็สั่งว่า

“ไม่ต้องอยู่ดูหรอก ถ้ามีคนยืนดูผมจะเกร็ง”

มหาดเล็กหนุ่มหันมองพระพักตร์ของเจ้าชายสาม ครั้นพระองค์ทรงพยักพระพักตร์ เขาก็ค่อยๆ คลานเข่าถอยหลังออกจากห้องไปอย่างเรียบร้อย

“ไม่มีใครแล้ว พร้อมรึยัง ช่างไท”

“พร้อมครับ”

เจ้าชายหนุ่มทอดพระเนตรอีกฝ่ายผ่านกระจกแล้วก็แย้มพระสรวล แซวแล้วไม่มีการเก้อเขินเลยอย่างนี้แหละ ไทวา

“พี่เขยไม่ต้องดูกระจกหรอกครับ เอาไว้ดูทีเดียวตอนไทตัดเสร็จ รับรองว่าหล่อแน่”

“เอาอย่างนั้นหรือ” เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงัก พระองค์ก็ทรงคว่ำกระจกลงอย่างง่ายๆ

“ไทเคยตัดให้ใครมาบ้าง” คนที่ไม่รู้องค์ว่ากำลังเป็นหนูทดลองตรัสถามอย่างชวนคุย ทว่าช่างมือใหม่ที่ถือกรรไกรมือหนึ่งถือหวีมือหนึ่งกลับว่า

“เยอะมากครับ นับไม่ถ้วน” คิดๆ แล้วก็คงจะเป็นพันตัวได้ “พี่เขยหลับตาสิครับ ไทต้องการสมาธิ”

ลางสังหรณ์ไม่ดีเริ่มมา... ถ้าเคยตัดมานับไม่ถ้วนแล้วทำไมถึงยังต้องการสมาธิมากขนาดนี้ แต่เจ้าชายหนุ่มก็ตัดสินพระทัยหลับพระเนตรลงตามคำสั่งของช่าง

ไทวาตื่นเต้นจนมือสั่นไปหมด เขาหวีพระเกศามือหนึ่ง ตัดอีกมือหนึ่ง พอผ่าน ‘กริ๊บ’ แรกไปได้ พระเกศาปอยหนึ่งร่วงลงบนผ้าคลุม ‘กริ๊บ’ ต่อๆ ไปก็ง่ายขึ้น ความสนุกสนานเริ่มมา เด็กหนุ่มเล็มไปเล็มมาอย่างเพลิดเพลิน เล็งซ้าย เล็งขวา เดี๋ยวตัดข้างหน้า เดี๋ยวตัดข้างหลัง พิจารณาดูแล้วว่าแต่ละข้างสั้นยาวไม่เท่ากันเขาก็เล็มเพิ่มทีละนิดทีละหน่อยไปเรื่อยๆ

ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง เสียงดัง ‘กริ๊บๆๆ’ ก็หยุดลง ขณะที่สีหน้าของช่างตัดผมซีดไปถนัดตา

“เสร็จแล้วหรือ”

“...”

ไม่มีเสียงตอบ เจ้าชายหนุ่มจึงทรงลืมพระเนตรขึ้นแล้วหันพระพักตร์กลับไปในจังหวะที่ช่างตั้งท่าจะเล็มอีกทีพอดี ปลายกรรไกรอยู่ห่างจากพระนาสิกไปไม่มาก

“ขอโทษครับ!” ไทวารีบวางกรรไกร

“ไม่เป็นไร ไท พี่ผิดเอง” คำปลอบไม่ทำให้สีหน้าของอีกฝ่ายดีขึ้น “แล้วนี่เสร็จแล้วใช่ไหม”

ไทวาจำใจพยักหน้า เจ้าชายอัทธายุจึงทรงหันไปหยิบกระจกขึ้น เด็กหนุ่มทำท่าว่าจะไปฉวยกระจกมาไว้เสียเอง ปากอ้าหมายจะร้องห้าม แต่ก็ไม่ได้ทำทั้งสองอย่าง

เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงพิจารณาพระเกศาทรงใหม่อยู่หลายอึดใจ ก่อนจะหันกลับมาตรัสถามประโยคเดียว

“นี่ไทโกรธแค้นอะไรพี่รึเปล่า”

“ท... ไท... ไท...”

“เมื่อกี้ได้ใส่แว่นไหม” ดอกที่สอง

“ไท... ไทไม่คิดว่าจะออกมาเป็นแบบนี้ ตะ... แต่แบบนี้ก็หล่อดีนะครับ พี่เขยหล่ออยู่แล้ว ตัดทรงไหนก็หล่อ” เด็กหนุ่มกราบทูลเสียงสั่นๆ เบะหน้า น้ำตาเหมือนจะคลอๆ เจ้าชายอัทธายุจึงทรงปลอบอย่างพระทัยดี

“เอ้า ไทว่าหล่อ พี่ก็ว่าหล่อ”

ช่างตัดผมมือใหม่มองพระพักตร์นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นอีกฝ่ายทรงพยักพระพักตร์ให้เป็นเชิงยืนยันว่าพระองค์รับสั่งจริงๆ ไม่ต้องคิดมาก เขาก็น้ำตาร่วงพรู

“ขอโทษ... ขอโทษครับ”

ตาพร่ามัวจนต้องถอดแว่นออกแล้วเช็ดน้ำตาป้อยๆ เจ้าชายหนุ่มทั้งขำทั้งสงสารจนต้องอ้าพระกรออกเล็กน้อย ยังไม่ทันรับสั่งอะไร เด็กหนุ่มที่ตัวไม่ใช่น้อยๆ ก็โผเข้ามากอดพระองค์ไว้แน่นเสียแล้ว

“ไทขอโทษ ขอโทษครับพี่เขย ไทไม่ได้ตั้งใจจะตัดเยอะแต่มันไม่เท่ากัน ไทเลยตัดไปเรื่อยๆ”

“ไม่ต้องเสียใจ พี่ไม่ได้ว่า” เจ้าชายหนุ่มรับสั่งบอกพระสุรเสียงนุ่ม ครั้นเด็กหนุ่มเงยหน้าเปื้อนน้ำตาขึ้นมามองพระพักตร์ พระองค์ก็แย้มพระสรวล แล้วปลอบใจไปอีกประโยคหนึ่ง

“แค่ไทอุตส่าห์ปล่อยหูสองข้างของพี่ไว้ พี่ก็ดีใจแล้ว”

“ฮึก... ฮืออออออออ! พี่เขยแกล้งไท”

“ฮะๆๆๆๆ”






วันนั้น ตั้งแต่มหาดเล็ก องครักษ์ ยันเจ้าพนักงานทั้งกรมโยธาธิการ ไม่มีใครไม่มองพระเกศาของเจ้าชายอัทธายุนานเป็นพิเศษ แต่นอกจากเจ้าชายหนุ่มจะไม่ทรงรู้สึกเก้อเขินแล้วยังแย้มพระสรวลประทานตอบคนมองอย่างพระอารมณ์ดี ครั้นทรงนึกถึงสีหน้าเปื้อนน้ำตาของช่างตัดผม ก็ยิ่งทรงพระอารมณ์ดี




เย็นวันนั้น พระอาทิตย์จวนตกดินเร็วกว่าทุกวัน เจ้าชายเจ้ากรมโยธาฯ ทรงมีคนรอรับอยู่ที่พระตำหนักดังเช่นทุกวัน คนที่วิ่งโผล่พ้นออกมาจากพุ่มไม้ข้างพระตำหนักนั้นมีสภาพเดียวกับที่พระองค์ทรงคุ้นเคย คือทั้งมือทั้งเสื้อผ้าเปื้อนเศษดินและเปียกชื้นเป็นบางแห่ง แต่บางอย่างแตกต่างไปจากเดิม และสะดุดสายพระเนตรตั้งแต่แรกเห็น

เด็กหนุ่มวิ่งเข้ามาหยุดห่างจากพระองค์มากกว่าวันอื่นๆ สีหน้าเก้อเขิน ไม่มั่นใจอย่างเห็นได้ชัด เหลือบตาขึ้นมองพระพักตร์ แล้วก็หันไปทางอื่น ดันแว่นสายตาขึ้นแก้เก้อ

“ไท... ไม่หล่อแล้วใช่ไหมครับ วันนี้พี่น้องเอาขนมมาฝาก เห็นหัวไทแล้วก็หัวเราะใหญ่เลย บอกว่า... ว่าไทหน้ากลม ผมเกรียนแบบนี้ดูเหมือนลูกชิ้นเปี๊ยบเลย”

“ไทตัดเองหรือ”

ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายตรัสถามด้วยพระอารมณ์ไหน แต่เขาก็ตอบไปตามจริง

“ให้ช่างตัดให้ครับ” ช่างตัวจริงที่เขาเสนอให้มาตัดเล็มพระเกศาให้ดูดีกว่านี้ แต่พระองค์รับสั่งว่าไม่ต้อง จะเสด็จไปกรมทั้งอย่างนั้นนั่นแหละ

“คิดยังไงถึงตัด”

คราวนี้สีหน้าของเด็กหนุ่มชักจะไม่ค่อยดี

“ไม่หล่อเลยใช่ไหมครับ”

“อืม”

“ไท... รู้ครับ... แต่ไทอยากจะหัวเกรียนเป็นเพื่อนพี่เขย”

คนกราบทูลเสียงอ่อยหน้าม่อย ทว่าในสายพระเนตรของคนมองอยู่ไม่วางตา เด็กหนุ่มตัวอวบหัวเกรียนที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดงช่างดึงดูดความสนใจของพระองค์ไปได้ทั้งหมดจริงๆ

ไทวาตกใจเล็กน้อยเมื่อถูกกอดโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ผมสั้นๆ แทบติดศีรษะของเขาถูกอีกฝ่ายทรงขยี้ไปมาแรงพอสมควร เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณรับสั่งอยู่เหนือหัว พระสุรเสียงอบอุ่นอาบไล้หัวใจของเขาอย่างอ่อนโยน... เฉกเดียวกับแสงตะวันในยามเย็น

“ไม่หล่อก็ไม่เป็นไร พี่ว่าทรงนี้น่ารักดี ขอบคุณมากครับ ไทวา”
.
.
.
.
.
.

เด็กคนนี้เอาใจใส่ความรู้สึกของพระองค์มากเหลือเกิน




tbc.

*************************************

ตอบเม้นของดไปก่อนนะคะ
ตอนแรกว่าจะลงรามิเรสเมื่อวาน
แต่หน้าจอโน้ตบุ้กเป็นสีขาว มีแต่เสียงเปิดเครื่อง ไม่มีภาพ ไม่มีตัวหนังสือ
ไม่รู้เป็นอะไร คงจะต้องยกไปร้านซ่อมวันเสาร์นี้ (ใช้มาราวๆ 8 ปีได้แล้ว) วันนี้เลยลงวันวานไปก่อนค่ะ
ใช้คอมที่ทำงาน แล้วก็ใช้ต้นฉบับในอีเมล (ต้นฉบับรามิเรสไม่ได้เอาเข้าเมล มีอยู่ในโน้ตบุ้กอย่างเดียวเลยค่ะ)

ไปแล้วนะคะ รีบอ่ะค่ะ ขอให้อ่านสนุกนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 29-05-2014 08:28:51
เริ่มสงสารท่านชาย ไทเอ้ยไท ขนแกะกับผมคนมันเหมือนกันที่ไหนล่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 29-05-2014 09:54:30
องค์ชาย 3 หลงเสน่ห์ไทแล้วดิ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 4) 29 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 29-05-2014 17:57:50
ไทเอ้ย น่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้พี่เขยไม่รักให้มันรู้ไปซิ เนอะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 4) 29 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 30-05-2014 00:13:18
 :o8: น่ารักจัง
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 4) 29 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: poogan_zadd ที่ 31-05-2014 15:42:42
มุ้งมิ้งไม่ไหวแล้วค่ะ อ่านแล้วชุ่มชื่นหัวใจมากกก
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 4) 29 พ.ค.57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 31-05-2014 17:08:36
องค์ชายสามสกินเฮด มีไรเคราด้วย ต้องเท่มากแน่ๆ :m3:
ไทน่ารัก ช่างอ้อน ตรงไปตรงมา ใครอยู่ใกล้ก็หลงนะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 5) 5 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 05-06-2014 08:31:25
วันวาน... สู่นิรันดร์
บทที่ ๕

ไทวาไม่เสียดายผมเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าผมทรงใหม่จะทำให้หน้าเขาดูกลมขึ้นอีกก็ตาม เพราะเจ้าชายอัทธายุมักจะทรงขยี้ผมของเขาเล่นอยู่บ่อยๆ และเขาก็ชอบสัมผัสของพระองค์เหลือเกิน นอกจากนี้ หลังจากมองไปมองมา เขาก็เห็นว่าฝีมือตัดผมของตัวเองก็ใช้ได้อยู่เหมือนกัน ครั้นบอกความคิดนี้กับเจ้าชายหนุ่ม พระองค์ก็รับสั่งแนะนำอย่างหวังดี

“พี่ว่าเป็นช่างตัดผมคงไม่รุ่ง ตัดแค่ขนแกะเหมือนเดิมก็พอแล้ว”

ไทวาหน้ามุ่ย และเมื่อเขามองไปที่หนวดเคราของอีกฝ่าย เจ้าชายสามก็ทรงกระแอมขึ้นเสียสองครั้ง รับสั่งว่า

“หนวดเครานี่พี่เล็มเองได้ คงไม่รบกวนไท”

“ไทยังไม่ได้พูดอะไรเลย”

เจ้าชายอัทธายุแย้มพระสรวล ขณะไทวาคิดว่า ถ้าเขายังไม่ได้จูบกับพี่เขยเลยสักครั้งล่ะก็ เขาไม่มีวันยอมให้อีกฝ่ายโกนหนวดโกนเคราออกเด็ดขาด





อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าไม่ได้มีแต่เขาเท่านั้นที่เห็นว่าเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงหล่อเหลามากขึ้น สีหน้าของคุณหนูบ้านเสนาบดีธรรมการบ่งบอกชัดเจนว่าหลงใหลความหล่อแบบดิบๆ ของพระองค์มากยิ่งขึ้นเช่นกัน เจ้าหญิงวรนารียังทรงทำหน้าที่ ‘แม่สื่อ’ อย่างต่อเนื่อง นานวันเข้า พระองค์ก็ทรงทราบว่าปัญหาอยู่ตรงไหน

“คราวนี้ไทไม่ต้องไปได้ไหม พี่อยากให้เจนจิรามีโอกาสอยู่กับเจ้าพี่ตามลำพังบ้าง”

มีเจนจิราที่ไหน ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะไม่มีไทวาอยู่ด้วย

“... แต่ไทอยากไปด้วยครับ ไทชอบน้ำตก”

“เอาไว้วันหลังพี่จะพาไปนะ แต่พรุ่งนี้พี่ขอ ไทจะทูลเจ้าพี่ว่าไม่สบาย ไม่อยากไป หรืออะไรก็ได้ แค่ให้เจ้าพี่เสด็จไปพบกับเจนจิราแค่สองคนก็พอ นะ แล้วพี่จะเลี้ยงขนมอร่อยๆ เยอะๆ”

ไทวาไม่อยากจะยอมเลย เขาไม่ได้อยากไปเที่ยวน้ำตกวันหลัง ไม่อยากได้ขนม สิ่งเดียวที่อยากได้ ก็คือคนที่เจ้าหญิงวรนารีกำลังทรงพยายามจะทำให้เป็นของคนอื่น

แต่เขาก็จำใจต้องยอม

เจ้าชายอัทธายุตรัสถามถึงสามครั้ง ว่าเจ้าหัวลูกชิ้นของพระองค์จะไม่ไปด้วยกันแน่หรือ

“ไหนว่าสองเดือนนี้อยากให้พี่พาเที่ยวให้เต็มที่ พรุ่งนี้พี่ว่างแค่วันเดียวเท่านั้นนะ”

“ไท... ไทจะเลี้ยงปลาอยู่ที่นี่ พี่เขยไปเถอะครับ”

เนื่องจากเจ้าชายหนุ่มรับสั่งว่า ให้เลี้ยงปลาให้โตก่อน แล้วค่อยคิดเรื่องเลี้ยงไก่ดูอีกที ตอนนี้ไทวาจึงมีเรื่องให้อ้างอยู่แค่นี้ เป็นเรื่องที่ทั้งคนพูดและคนฟังต่างก็รู้ว่าไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แต่เจ้าชายสามก็ไม่ได้ตรัสชวนอีกเป็นครั้งที่สี่ และไทวาก็ไม่ได้ดึงดันจะขอไปด้วยอย่างทุกครั้ง

คุณชายแห่งไทวะไม่ใช่คนที่จะอดทนเก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้ได้นานนัก เพราะฉะนั้นไม่ว่าพี่เขยของเขากับคุณหนูคนสวยไปทำกิจกรรมอะไรกันมาบ้าง เขาก็ถามเอาตรงๆ อย่างหมดเปลือก สิ่งที่ทำให้เขายังพอจะโล่งใจอยู่ได้ ก็คือทีท่า สีหน้า น้ำเสียง ของเจ้าชายหนุ่มไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรกับหญิงสาวผู้นั้นเป็นพิเศษ

อย่างไรก็ตาม วันเวลาที่เหลืออยู่น้อยลงทุกทีทำให้เขาไม่อยากจะอดทนทำเพื่อใครอีกแล้ว นอกจากตัวเอง

ไม่ว่าเจ้าชายเจ้ากรมโยธาฯ จะเสด็จไปไหนกับเจนจิรา แฝดหัวเกรียนของพระองค์เป็นต้องตามไปด้วยทุกครั้ง ครั้นเจ้าหญิงวรนารีชักจะ ‘ไม่ปลื้ม’  ไทวาก็ปลุกปลอบสร้างกำลังใจให้ตัวเองแล้ว ‘เปิดอก’ คุยกับพระองค์ตามลำพังในบ่ายวันหนึ่ง ในศาลาใกล้บ่อเลี้ยงปลา

“ไทขอโทษครับ”

“ขอโทษเรื่องอะไร” เจ้าหญิงคนงามตรัสถามทั้งที่พอจะทรงทราบ

“ที่ไททำอย่างที่พี่น้องขอไม่ได้ครับ ไทไม่อยากให้พี่เขยกับพี่เจนอยู่ด้วยกัน”

“ทำไมล่ะ” รับสั่งถามพระสุรเสียงเบา พระทัยค่อยๆ เต้นแรงขึ้น มีพระดำริมาก่อน ว่าเหตุผลจริงๆ คงจะเป็นเรื่องนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะโพล่งออกมาตรงๆ คิดว่าประโยคแรกที่พูดน่าจะเป็น ‘ไทอยากไปเที่ยวด้วย’

“ไทหึง”

เจ้าหญิงวรนารีทรงสูดพระอัสสาสะเข้าดังเฮือก

“ไทรักพี่เขยครับ”

คนฟังยิ่งทรงตกตะลึง ถึงกับรับสั่งไม่ออกอยู่หลายนาที และทั้งๆ ที่เตรียมใจมาแล้วว่าไม่ว่าจะเจอปฏิกิริยายังไงก็จะไม่หวั่นไหว แต่เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดกลับยิ่งกว่าหวั่นไหว เขารอให้อีกฝ่ายรับสั่งอะไรออกมาบ้างไม่ไหว จึงต้องเป็นฝ่ายพรั่งพรูออกมาเสียเอง

“รักมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ไทไม่รู้ว่าตอนนั้นไทรักพี่เขยแบบไหน แต่ไทไม่เคยลืมพี่เขยเลย เวลาที่มีใครถามเรื่องผู้หญิงที่ชอบ ไทก็นึกถึงใครไม่ออก คิดถึงแต่พี่เขยคนเดียว ไท... ไม่อยากให้พี่เขยแต่งงานกับใคร อยากให้พี่เขยรักไทอย่างที่ไทรักพี่เขย... รักไทแค่คนเดียว ไท...”

“เดี๋ยว! พอก่อน”

พระองค์รู้สึกว่านี่มันชักจะมากเกินไปเสียแล้ว เกินกว่าที่พระองค์จะทรงทำพระทัยรับได้หมดในคราวเดียว แต่พอรับสั่งไปแล้วก็เสียพระทัยเล็กน้อย ที่ทำให้อีกฝ่ายถึงกับหน้าเสีย ดวงตาหลังกรอบแว่นสั่นไหวระริก

“พี่... คิดว่า... ไทอาจจะเข้าใจผิด”

ก็รับสั่งไปอย่างนั้นเอง ความจริงแล้วพระองค์ทรงเชื่อเกินครึ่ง ร่ำๆ จะตรัสถามอยู่หลายครั้งหลายหน แต่ก็ทรงทนรอให้อีกฝ่ายพูดออกมาเอง

“ไทพูดจริงๆ ครับ ไทเข้าใจความรู้สึกของตัวเองดี”

“ไท... มีคู่หมั้นแล้วไม่ใช่หรือ พี่จำได้ว่าไทบอกว่าชอบนาง”

“ชอบแบบเป็นเพื่อนกันครับ ไทบอกท่านหญิงแล้ว ก่อนมาเป็นตัวประกันที่นี่ ไทก็ตกลงกับนางแล้ว ว่าให้ถือว่าไม่มีพันธะต่อกัน ถ้านางรักใคร ก็ให้แต่งงานกับเขาไปเลย”

พระขนงคู่งามของเจ้าหญิงแห่งเรืองอรุณมุ่นเข้าหากัน สีพระพักตร์เคร่งเครียด ขยับพระโอษฐ์ แล้วก็กลับเม้มเข้าหากัน เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง

“แล้วไท... มาบอกพี่ทำไม อยากให้พี่ช่วยทูลเจ้าพี่ให้หรือ”

“อย่านะครับ! อย่าบอก” เด็กหนุ่มทูลห้ามเสียงดัง สีหน้าตื่นตะลึง “ไทขอร้อง พี่น้องอย่าบอกพี่เขย ไทยังไม่อยากให้พี่เขยรู้ ถ้ารู้ พี่เขยอาจจะเกลียดไทก็ได้”

เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณไม่ใช่คนที่จะกริ้วหรือเกลียดใครง่ายๆ แต่สำหรับเรื่องนี้ แม้แต่พระขนิษฐาเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ยังไม่แน่พระทัย ว่าถ้าพระเชษฐาทรงทราบแล้วจะมีพระดำริเช่นไร

“แล้วคิดจะบอกรึเปล่า”

คนถูกถามเม้มปากแน่น ดวงตาหลังกรอบแว่นหลุบต่ำ ก่อนจะเหลือบขึ้น เปล่งประกายแน่วแน่

“บอกครับ ไทจะบอกก่อนที่พี่เขยจะต้องเดินทางแน่ๆ แต่ตอนนี้ไทยังไม่กล้า”

“ไม่กลัวว่าเจ้าพี่จะทรงเกลียดไทแล้วหรือ”

ไทวาเงียบไปอีก

“พี่น้อง... เกลียดไทรึเปล่า”

คนถูกย้อนกลับด้วยคำถามเดียวกันอย่างกะทันหันทรงชะงัก

“อยากรู้ด้วยหรือ”

“อยากรู้ครับ”

“อยากรู้ทำไม”

“เพราะว่าไทรักพี่น้อง ไม่อยากให้พี่น้องเกลียดไท” สายตาคู่นั้นจริงจัง จริงใจเกินกว่าจะเป็นการหลอกลวง เจ้าหญิงวรนารีแย้มพระสรวลออกมานิดหนึ่ง

“พี่เกลียดไทไม่ลงหรอก”

“ทำไมล่ะครับ”

“คงเพราะ... พี่ก็รักไทเข้าแล้วล่ะมั้ง” ก่อนที่ไทวาจะได้ยิ้มกว้างไปกว่านี้ รับสั่งต่อไปก็ตามมา “แต่พี่ก็รักเหมือนน้อง ไม่เคยคิด... ว่าจะให้ไทมาเป็น... พี่สะใภ้”

เด็กหนุ่มหุบยิ้ม หน้าซีด แม้จะเข้าใจ แต่ก็อดเสียใจไม่ได้

“ไท... ทราบครับ”

“ยังไม่ได้บอกเลย ว่าทำไมไทถึงตัดสินใจบอกพี่”

“ไทอยากให้พี่น้องช่วยครับ” ดูเหมือนคนพูดจะเรียกกำลังใจของตัวเองกลับมาได้อย่างรวดเร็ว “ช่วยให้โอกาสไทได้พยายามทำให้พี่เขยรัก อยากให้พี่น้องเลิกสนับสนุนพี่เจน... แล้วก็ขอร้องให้พี่น้องอย่าขัดขวางไท ไทรักพี่เขย แล้วก็รู้ว่าพี่เจนก็รักพี่เขยเหมือนกัน ถ้าต้องแข่งขันกับผู้หญิงที่เพียบพร้อมถึงขนาดนั้น ไทก็อยากจะแข่งขันอย่างยุติธรรม อยากให้พี่เขยตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่อยากให้ทำเพราะพี่น้องเป็นน้องสาวที่พี่เขยรักมาก”

คุณชายแห่งเผ่าไทวะช่างเข้าใจพูดเหลือเกิน เจ้าหญิงแห่งเรืองอรุณทรงยอมรับ แต่ก็ใช่ว่าพระองค์จะทรงทำใจได้ทันที

“พี่ขอเวลาคิดก่อนนะไท บอกตามตรงว่าพี่ยังสับสนอยู่ พี่ไม่ได้เกลียดไท แต่ยิ่งรู้แน่ว่าไทรักเจ้าพี่ พี่ก็ยิ่งอยากจะ... อยากจะให้เจ้าพี่ทรงเลือกเจนจิรา”

ไทวารู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมาอย่างกะทันหัน ราวกับอีกฝ่ายได้กดหัวเขาลงไปในบ่อน้ำ เขาพยายามจะฝืนยิ้มแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้ เสียงเขาสั่น ตาเขาร้อน เมื่อทูลตอบ

“ไม่เป็นไรครับ แค่พี่น้องไม่เกลียดไท ไทก็ดีใจ”

ต่างฝ่ายต่างนั่งกันอยู่เงียบๆ ครู่ใหญ่ ในที่สุดเจ้าหญิงวรนารีก็ทรงยืนขึ้นและบอกลา ไทวายืนส่งเสด็จ ทว่าหลังจากทรงยืนนิ่งอยู่อีกชั่วอึดใจ เจ้าหญิงคนงามก็ตรัสถามคำถามเดิมที่ยังไม่ได้คำตอบ

“ไทไม่กลัวหรือ ว่าถ้าเจ้าพี่ทรงทราบแล้วจะเกลียดไท”

ไทวาส่ายหน้า “พี่เขยไม่เกลียดไทหรอกครับ พี่เขยใจดี”

“ก็คงจะจริง แต่ก็คงจะรักตอบไทไม่ได้”

“รักได้สิครับ” ประโยคนี้ดังฉะฉานและหนักแน่น “พี่เขยต้องรักไทได้แน่ๆ”

“ทำไม...” ถึงได้เชื่อมั่นขนาดนั้น

“เพราะไทรักพี่เขย”

เหตุผล... ก็มีแค่นี้เอง ไม่มีการบรรยายสรรพคุณความดีของตัวเอง ไม่มีเหตุผลอื่นอีกแล้ว

เพราะเขารักอีกฝ่ายได้ อีกฝ่ายก็ต้องรักเขาได้เช่นกัน... เด็กคนนี้เอาความมั่นใจมากมายมาจากไหนกัน
 




 เจ้าหญิงวรนารีทรงตกโอษฐ์รับคำ สัญญาแล้วว่าจะไม่กราบทูลเรื่องที่คุยกันในวันนั้นให้พระเชษฐาทรงทราบ ทว่าเพียงแค่วันรุ่งขึ้น พระองค์ก็เสด็จออกจากวังไปหาเจ้าชายหนุ่มถึงที่กรม

“หญิงมีเรื่องเกี่ยวกับไทจะกราบทูล แต่เจ้าพี่ต้องสัญญาก่อนนะเพคะว่าถ้าทรงทราบแล้วจะไม่กริ้วหรือว่าเกลียดไท”

ห้องทรงงานของเจ้ากรมโยธาธิการเก็บเสียง และด้านนอกก็มีองครักษ์ประจำพระองค์ยืนอยู่

“เรื่องไม่ดีหรือ สีหน้าหญิงดูจริงจังมาก” พระเชษฐายังรับสั่งถามด้วยพระสุรเสียงเรื่อยๆ ไม่ได้เคร่งเครียดตาม

“หญิงก็ทูลไม่ถูกเพคะว่าดีหรือไม่ดี แต่เจ้าพี่คงจะตกพระทัย”

“ถ้าหญิงคิดว่าพี่ควรรู้ก็บอกมาเถอะ โกรธหรือไม่โกรธพี่จะตัดสินใจเอง”

ครั้นพระขนิษฐายังทรงลังเล ไม่แน่พระทัย พระองค์ก็แย้มพระสรวลพลางรับสั่งเย้า

“ที่มาถึงนี่ก็เพราะอยากจะบอกไม่ใช่รึ ถ้าไม่บอกพี่ หญิงคงเสียความตั้งใจ”

“ไทเขารักเจ้าพี่เพคะ”

บทจะบอก เจ้าหญิงคนงามก็รับสั่งโพล่งออกไปเลย บอกแล้วแทนที่จะโล่ง กลับทรงเครียดยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าคนฟังทรงชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด

“... เขาบอกหญิง หรือหญิงเดาเอาเอง” ไม่มีการถามว่ารักแบบไหน พระองค์ทรงทราบอยู่แล้ว

“เขาบอกหญิงเองเพคะ เมื่อวานนี้”

แล้วรายละเอียดต่างๆ ก็พรั่งพรูออกจากพระโอษฐ์ราวกระแสน้ำ ละเอียดยิบแทบจะคำพูดต่อคำพูด รับสั่งจบก็โล่งพระทัยขึ้นมากที่ได้กราบทูลเสียที ก่อนที่จะกังวลพระทัยขึ้นมาอีกครั้ง

“สรุปว่าไทถอนหมั้นกับท่านหญิงอันธกาลแล้ว”

พระขนิษฐาถึงกับทรงงุนงงไปชั่ววูบ ไม่คาดว่าเรื่องแรกที่ตรัสถามจะเป็นเรื่องนี้

“ก็... น่าจะใช่เพคะ”

เจ้าชายหนุ่มทรงพยักพระพักตร์

“เจ้าพี่ไม่ทรงรู้สึกอะไรบ้างหรือเพคะ” พระองค์ทรงสงสัยเต็มทน ครั้นอีกฝ่ายทรงเลิกพระขนงขึ้นเป็นเชิงถาม เจ้าหญิงคนงามจึงทรงขยายความ “ไทเขาเป็นผู้ชายนะเพคะ เขารักเจ้าพี่อย่าง... อย่างผู้หญิงรักผู้ชาย เจ้าพี่ไม่ทรงตกพระทัยเลยหรือเพคะ”

“เด็กคนนั้นเขาเก็บความรู้สึกไม่เก่ง รู้สึกยังไงก็แสดงออกตรงๆ หญิงไม่คิดอย่างนั้นหรือ”

“แสดงว่าเจ้าพี่ทรงทราบก่อนที่หญิงจะมาทูลอีกหรือเพคะ”

เจ้าชายอัทธายุไม่ได้ตรัสตอบ

“พี่ไม่คิดว่าเขาจะกล้าบอกหญิง”

ตอนนี้ชัดเจนแล้ว ว่าถึงจะทรงทราบแล้วก็ไม่ได้เกลียด และไม่ได้โกรธ ไม่เลย... แม้สักน้อย หาไม่ คงไม่ได้เห็นรอยละมุนติดมุมโอษฐ์

“แล้วเจ้าพี่จะทรงทำยังไงต่อไปเพคะ”

พระเชษฐาทรงเลิกพระขนง “พี่ต้องทำอะไร” ครั้นเห็นคนประทับตรงข้ามพระพักตร์มุ่ย ก็พลันแย้มพระสรวลแล้วทรงเฉลย “คงไม่ทำอะไร ไทเขาขอไม่ให้หญิงมาบอกพี่ ถ้าพี่ทำอะไรผิดปกติ เขาอาจจะเคืองหญิงก็ได้ที่ผิดสัญญา”

“แต่...” ทอดพระเนตรสีพระพักตร์รอฟังของพระเชษฐาแล้วก็ทรงฮึดฮัดขัดพระทัย “หญิงแค่อยากจะรู้ว่าเจ้าพี่ทรงรู้สึกยังไงกับไทเพคะ”

คราวนี้เจ้าชายหนุ่มทรงเงียบไปครู่ คำตอบเรียบเรื่อย แต่จริงจังกว่าที่ผ่านมา

“ยังเร็วเกินไปที่จะบอก”

แค่นั้น พระขนิษฐาก็ตาโต ทำไมจะทรงฟังไม่ออก แบบนี้ก็แสดงว่า... ไทวามีหวังน่ะสิ

“ไม่ทรงรังเกียจเลยหรือเพคะที่เขาเป็นผู้ชาย”

“หญิงน้อง” พระสุรเสียงห้าวทุ้ม แต่ให้ความรู้สึกอ่อนโยนเหลือเกิน “พี่ไม่เคยรังเกียจคนที่รักพี่ ความรักไม่ควรเป็นสิ่งที่ถูกเกลียด”

เจ้าหญิงวรนารีทรงนิ่งเงียบไปนาน แล้วก็ทรงพยักพระพักตร์เนิบๆ ยอมรับได้อย่างเต็มพระทัย ถึงกระนั้นก็ยังปรารถนาจะทรงทราบให้ชัดเจน

“แปลว่าเจ้าพี่จะประทานโอกาสให้ไท ถ้าเขาทำให้เจ้าพี่ทรงรักตอบได้ หญิงก็มีสิทธิ์จะได้พี่สะใภ้เป็นผู้ชายที่อายุน้อยกว่าหญิงตั้งหกปีหรือเพคะ”

“อาจจะ”

เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณไม่เคยทรงปิดกั้น แท้จริงแล้วทรงเปิดเอาไว้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นโอกาสที่คนอื่นจะเข้าหาหรือว่าพระทัยของพระองค์เอง เพียงแต่ไม่เคยมีคนเข้ามานั่งอยู่ในพระทัยของพระองค์ได้ เพราะฉะนั้น หากเด็กผู้ชายคนหนึ่งจะเข้ามาถึงในพระทัยของพระองค์ได้ พระองค์ก็ไม่คิดจะต้านทานหรือผลักไส





“พี่คิดว่าจะทำตามที่ไทขอ พี่จะไม่ช่วยเหลือเจนจิราอีก ไม่ใช่เพราะพี่เข้าข้างไทนะ แต่ไทพูดถูก ว่าพี่ควรจะปล่อยให้ไทกับเขาแข่งกันอย่างยุติธรรม ยังไงพี่ก็อยากได้พี่สะใภ้เป็นผู้หญิง แต่ถ้าเจ้าพี่ทรงรักไท เลือกไท พี่ก็เต็มใจรับไทเป็นพี่สะใภ้”

“ขอบคุณมากครับ พี่น้อง”

น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเปี่ยมความมีชีวิตชีวา ประกายตาเจิดจ้าสดใส แต่ความรู้สึกสำนึกขอบคุณในใจของเขามันมากกว่าคำขอบคุณเพียงประโยคเดียวนั้นหลายเท่า

เจ้าหญิงวรนารีทรงถอยห่างออกมาเป็นเพียง ‘ผู้ดู’ และพบว่าการดูอยู่อย่างใกล้ชิดโดยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องนั้นน่าสนุกกว่าการเอาตัวเข้าไปพัวพันมากนัก ได้เห็นอะไรดีๆ อย่างที่ไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน

ผู้หญิงคงจะมีสัญชาตญาณดีเป็นพิเศษ เพราะแม้ว่าพระองค์จะไม่ได้รับสั่งบอก แต่เจนจิราก็ดูจะรู้ได้เองว่าคุณชายหนุ่มแห่งเผ่าไทวะคือคู่แข่งที่น่ากลัว





วันหนึ่งเมื่อไทวาออกไปเที่ยวข้างนอกกับมหาดเล็ก 2-3 คน ระหว่างที่กำลังเลือกซื้อต้นไม้ คุณหนูบ้านเสนาบดีธรรมการก็ใช้ให้คนรับใช้มาตามเขาไปพูดคุยกันที่ริมลำธารแห่งหนึ่ง

“ไทชอบองค์ชายสามใช่ไหม” เจนจิราถามอย่างไม่อ้อมค้อม

“ครับ” คนตอบบอกเสียงสดใส แค่ตอนทูลเจ้าหญิงวรนารีเท่านั้นที่เขากลัว แต่กับหญิงสาวผู้นี้ เขาไม่รู้สึกอย่างนั้น

“ชอบอย่างที่... ผู้หญิงชอบผู้ชายน่ะหรือ”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า ชนิดที่ว่าถ้าเป็นแต่ก่อนผมคงกระจายไปแล้ว แต่ตอนนี้เหลือแต่ผมสั้นเกรียน จึงเป็นไปไม่ได้

“ชอบอย่างที่ผู้ชายชอบผู้ชายครับ”

“อย่ามายียวนพี่นะไทวา”

“พี่เจนอย่าเพิ่งโกรธครับ ก็ไทเป็นผู้ชาย จะไปชอบอย่างผู้หญิงได้ยังไง แต่ถ้าพี่เจนหมายความว่าไทอยากให้พี่เขยรักไท เป็นของไทคนเดียวรึเปล่า ไทอยากครับ”

เจนจิราหน้าเครียด แต่เมื่อมองสีหน้าและแววตาจริงใจของเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วก็ต้องชะงักไป นั่นแววตาของคนกำลังมีความรัก รักอย่างบริสุทธิ์มากเสียด้วย หญิงสาวพยายามข่มใจ แล้วตัดสินใจพูดตรงๆ

“พี่ก็... ชอบพระองค์”

“ไททราบครับ”

“และคิดว่าพี่เหมาะสมกับพระองค์มากกว่าไท” มากกว่าใครๆ

“...”

“พี่เป็นลูกสาวเสนาบดี ได้ร่ำเรียนความรู้สำหรับการเป็นกุลสตรีชั้นสูงที่ดีมา ทั้งฐานะ รูปร่างหน้าตา คุณสมบัติ เรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสมคู่ควรกับองค์ชาย พี่แต่งงานกับพระองค์ได้ มีลูกถวายให้พระองค์ได้ แล้วไทล่ะ มีอะไรบ้าง”

“ไท...”

“ไทเป็นผู้ชาย แต่งงานกับพระองค์ไม่ได้ มีลูกถวายให้ก็ไม่ได้ ไทเป็นลูกชายหัวหน้าเผ่าที่เป็นกบฏ มาอยู่ที่นี่ในฐานะเชลย การที่ไทพยายามจะทำให้องค์ชายสามโปรด ใครๆ จะไม่คิดหรือว่าไทกำลังคิดไม่ซื่อ พยายามจะจับองค์ชายเพื่อจะได้ช่วยเหลือเผ่าของตัวเอง”

“ไทไม่ได้...”

“ไทอาจจะไม่ได้คิด แต่คนอื่นต้องคิดแน่ แม้แต่องค์ชายเองก็เถอะ ถึงตอนนี้จะไม่ทรงคิด แต่ต่อไปต้องทรงคิดได้แน่ พระองค์ทรงเป็นเจ้าชายแคว้นใหญ่ เพียบพร้อมทุกอย่าง ทั้งพระรูปพระโฉม ฐานันดร แล้วยังทรัพย์สมบัติ”

“ไทไม่ได้อยากได้สมบัติของพี่เขย ไม่ได้คิดเรื่องการเมือง”

ไทวาหวั่นไหว... ยิ่งกว่าหวั่นไหว หัวใจพลุ่งพล่าน ตัวสั่น หวั่นกลัว เขาไม่กลัวผู้หญิงตรงหน้า แต่ถ้อยคำที่นางพูดน่ากลัวเกินไป มันไม่จริง แต่เขาก็รู้ว่าแก้ตัวได้ยาก

“ไม่สำคัญหรอกว่าไทจะคิดยังไง ที่สำคัญคือคนอื่นจะมองยังไงต่างหาก องค์ชายทรงเป็นเจ้าชาย การเลือกพระชายาต้องเลือกที่เหมาะสม...” หยุดไปครู่ หญิงสาวจึงปิดท้ายด้วยประโยคเด็ดที่สั่นคลอนหัวใจของไทวาได้มากยิ่งกว่าประโยคไหน

“พี่คงไม่ต้องพูดถึงรูปร่างหน้าตาของไทนะ”

เด็กหนุ่มหน้าซีด ใจสั่น ดวงตาและปลายจมูกร้อนผ่าว แค่ยืนกลั้นน้ำตา เขาก็แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงทำอย่างอื่น

“ตัดใจจากพระองค์เถอะ”

ไทวาตัวสูงกว่าเจนจิรา แต่ตอนนี้หญิงสาวดูตัวใหญ่กว่าเขามาก เด็กหนุ่มยืนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาหวั่นไหว ก่อนจะหลับตาลงเมื่อมั่นใจว่าน้ำตาจะไม่ไหลลงมาแน่

เนิ่นนาน... เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ร่องรอยความหวั่นไหวนั้นก็เลือนหายไปแล้ว เด็กหนุ่มยิ้มให้คนที่รักผู้ชายคนเดียวกับเขา

“ขอบคุณครับที่บอกไท ไทไม่เคยคิดอย่างนี้เลย ต่อไป... ไทก็คงจะไม่คิด เรื่องยากๆ แบบนี้ ไทให้พี่เขยเป็นคนคิดดีกว่า พี่เขยคงคิดเก่งกว่าไท ไม่ว่าพี่เขยจะตัดสินใจยังไงไทก็จะยอมรับ ไทแค่รู้ว่าไทอยากได้อะไร และไทก็อยากจะพยายามต่อไปเพราะพี่เขยเป็นผู้ชายที่มีค่าสำหรับความพยายาม”

ก็แค่รักเท่านั้น ทำไมจะไม่ได้ล่ะ

เมื่อรักแล้ว ผิดหรือ ที่จะพยายามทำให้อีกฝ่ายหนึ่งรักตอบ ไม่ตัดใจหรอก ไม่มีวัน ถึงยังไงเขาก็มีโอกาสใกล้ชิดมากกว่าอยู่แล้ว

“พี่เจนก็...
.
.
.
.
.
.

มาพยายามด้วยกันนะครับ”







tbc.


*****************************************
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 5) 5 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 05-06-2014 09:28:53
รักไทมากกก น้องตรงไปตรงมากับความรู้สึกตัวเองจริงๆ

จากคำพูดที่โต้ตอบกับเจนจิรา ทำให้รู้ว่านอกจากจะน่ารักแล้ว น้องยังฉลาดมากอีกด้วย

ท่านหญิงก็เลือกเอานะ กับคนที่น่ารักตรงไปตรงมา อยู่แล้วน่าจะเย็นสบาย

กับผู้หญิงร้ายลึกที่อาจทำให้บ้านร้อนเป็นไฟได้ อยากได้พี่สะใภ้แบบไหน
 :L2: นักเขียน
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 5) 5 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: milkshake✰ ที่ 05-06-2014 09:52:15
น้องไทเข้มแข็งมากจริงๆ อ่ะ
สู้ๆ นะลูกลุยไปเลยยยย 55555555
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 5) 5 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 05-06-2014 11:57:38
อื้อฮือ  มาดนางร้ายหลุดเลย  เจนจิรา ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะเนี่ยะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 5) 5 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 05-06-2014 12:13:54
 :m31:
ไทเข้มแข็งมาก  :katai2-1:
แอบสงสารนึกว่าจะถอดใจเพราะคำพูดเจนจิราซะแล้ว
สู้ต่อไปลูก
ขอบคุณจ้า :L2:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 5) 5 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-06-2014 17:17:30
ไม่นานหรอกก พี่เขยต้องตกหลุมน้องไทแน่ๆ
เจนจิรานางดูฉลาดดี แต่น้องไทก็ฉลาดไม่แพ้กัน
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 5) 5 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 06-06-2014 01:25:38
"มาพยายามด้วยกัน" มองโลกในแง่ดีไปมั้ยลูก
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 6) 6 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 06-06-2014 12:05:12
วันวาน... สู่นิรันดร์
บทที่ ๖

วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายอัทธายุ เจ้าหญิงวรนารีทรงรับเป็นพระธุระจัดการเรื่องต่างๆ ถวายโดยมีไทวาคอยช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ตอนเช้าจึงมีการทำบุญเลี้ยงพระที่พระตำหนัก มีบรรดาเชื้อพระวงศ์และขุนนางบางคนมาร่วมพิธีด้วย ตอนบ่าย เจ้าชายหนุ่มเสด็จไปที่กรม และกลับมาในตอนเย็นพร้อมกับของขวัญหลายชิ้น

ตอนค่ำ มีงานเลี้ยงเล็กๆ ที่ห้องโถงชั้นล่างของพระตำหนัก เจ้าหญิงวรนารีทรงนำคนของพระองค์มาตกแต่งสถานที่ ส่วนไทวาจัดการเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม ผักสวนครัวหลังพระตำหนักที่พอจะเก็บได้ถูกเก็บจนเกลี้ยง มหาดเล็กหลายคนช่วยกันจับปลาอย่างสนุกสนาน รายการอาหารส่วนใหญ่เป็นของที่เจ้าชายหนุ่มโปรดและไทวาชอบ... เฉพาะอาหารจานไก่มีถึงสี่อย่าง

เสื้อผ้าชุดใหม่ของไทวาที่เจ้าหญิงวรนารีทรงสั่งตัดให้ แต่เจ้าชายอัทธายุทรงจ่ายเงินเสร็จทันพอดี คืนนี้เด็กหนุ่มจึงแต่งขาว เข้ากันได้ดีกับฉลองพระองค์สีน้ำเงินเข้มของเจ้าชายสามซึ่งเขาเป็นคนเลือกถวาย ขณะที่เจนจิราแต่งเหลือง เข้ากันได้ดีกับสีน้ำเงินเช่นกัน

บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความสดใสชื่นมื่น หลังจากการรำถวายพระพรผ่านไปสองชุด เจ้าของงานก็รับสั่งขอบใจทุกคนที่มาในงาน ไทวาถูกเรียกให้ขึ้นไปบนยกพื้นเตี้ยๆ ด้วยกัน เจ้าชายสามทรงแนะนำว่าเขาเป็นเหมือน ‘น้องชาย’ คนหนึ่งของพระองค์ ไทวาหน้าเสียในฉับพลัน ยิ่งมองเห็นรอยยิ้มของคุณหนูบ้านเสนาบดีธรรมการยิ่งอยากจะร้องไห้

คณะนักดนตรีบรรเลงเพลงขับกล่อมตลอดเวลา ทว่าไทวาไม่มีอารมณ์สุนทรีย์เลย เจ้าชายอัทธายุทรงสังเกตเห็น เข้าพระทัย แต่ไม่ได้รับสั่งอะไรเพื่อให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้น โดยมากจะมีพระปฏิสันถารกับบรรดาขุนนาง ขณะที่ไทวาก็มีคนเข้ามาพูดคุยด้วยเนืองๆ เขาพยายามรักษาสีหน้าให้ดูเป็นปกติที่สุด ทว่าเมื่อเจ้าชายหนุ่มทรงเต้นรำกับเจนจิรา เขาก็เผลอน้ำตาร่วงโดยไม่รู้ตัวจนคนยืนข้างทัก เด็กหนุ่มรีบปาดน้ำตา ครั้นมองไปเห็นว่าเจ้าหญิงวรนารีกำลังทอดพระเนตรมองมา เขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยิ้ม แล้วเดินตรงไปโค้งถวาย

“เต้นรำกับกระหม่อมสักเพลงเถิดพระเจ้าค่ะ ฝ่าบาท”

เจ้าหญิงคนงามแย้มพระสรวล ก่อนวางพระหัตถ์ลงบนมือที่ยื่นมารอรับ ทั้งโล่งพระทัยที่อีกฝ่ายดูจะ ‘ไม่เป็นอะไรมาก’ และนึกชื่นชมที่เขาวางตัวได้ดี

คุณชายแห่งเผ่าไทวะไม่ทำให้เผ่าของเขาต้องเสียหน้า เด็กหนุ่มเป็นผู้นำที่ดี เจ้าหญิงวรนารีทรงเพลิดเพลินกับการเต้นรำมาก หนึ่งเพลงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครั้นขึ้นเพลงที่สอง ไทวาก็กราบทูล

“เดี๋ยวไทขอแลกคู่นะครับ พี่น้อง”

“แลกกับคู่ไหน”

“คู่พี่เขยครับ”

“เอาสิ”

เต้นกับพระเชษฐาน่ะได้อยู่แล้ว ถึงตอนเปิดฟลอร์จะทรงเต้นคู่ไปแล้วรอบหนึ่งก็เถอะ แต่ว่าไทวาจะเต้นกับเจนจิราทำไม หรือว่ามีเรื่องอะไรต้องพูดกัน เดี๋ยวคงต้องคอยทรงจับตาดู

คุณชายหนุ่มแห่งไทวะพาคู่เต้นเข้าไปใกล้กับเจ้าของงาน ครั้นได้จังหวะตอนใกล้จะจบเพลงจึงบอกสตรีแสนสวยในชุดเหลือง

“ไทขอแลกคู่หน่อยนะครับ พี่เจน”

เจนจิราชะงักนิดหนึ่ง แล้วก็ยิ้มหวานให้

“ได้สิจ๊ะ”

“ขอบคุณครับ”

หญิงสาวชำนาญเรื่องการเต้นรำอยู่แล้ว การเปลี่ยนคู่ระหว่างเต้นก็เคยทำอยู่บ่อย ถึงกระนั้นก็ยังงุนงงไปถนัด เมื่อเด็กหนุ่มจับมือของนางไปส่งให้เจ้าหญิงวรนารีที่ดูจะไม่ทันได้ตั้งตัว ส่วนตัวเองจับคู่กับเจ้าชายอัทธายุหน้าตาเฉย

เจ้าของงานทรงชะงักไปเช่นกัน ทว่าเพียงวูบเดียวก็ยกพระโอษฐ์ขึ้นมานิดหนึ่ง แววเนตรมีประกายขำขันอย่างกลั้นไม่อยู่

... เห็นทีต้องประเมินความกล้าใหม่เสียแล้ว...

การเปลี่ยนคู่เกิดความทุลักทุเลเล็กน้อย เมื่อต่างฝ่ายต่างจะประคองแผ่นหลังของอีกฝ่าย แต่ไทวาก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนไปแตะพระอังสาข้างขวาของเจ้าชายหนุ่มแทน ครั้นเริ่มก้าวเท้า เด็กหนุ่มก็ก้าวตามความเคยชิน ทำให้ชนกับพระอุระของเจ้าชายหนุ่ม ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน แล้วหัวเราะขึ้นเบาๆ

“เดี๋ยวพี่เป็นผู้หญิงให้เอง ไทเต้นไปตามปกติเถอะ”

“แต่ว่า...” เด็กหนุ่มจะแย้ง แต่ก็เปลี่ยนใจ “ก็ดีนะครับ แหะ”

แล้วการเต้นรำแบบผิดแบบแผนก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น คนหนึ่งแตะไหล่ วางมือแบบผู้หญิง แต่ก้าวเท้าแบบผู้ชาย อีกคนประคองหลัง จับมือแบบผู้ชาย แต่ก้าวเท้าแบบผู้หญิง

“คิดยังไงมาเต้นคู่กับพี่”

“อยากเต้นครับ”

“ไม่กลัวใครหาว่าแปลกหรือ” เว้นไปครู่จึงรับสั่งต่อขำๆ “ผู้ชายเหมือนกัน แถมยังหัวเกรียนเหมือนกันอีก”

“ไทกลัวแต่พี่เขยเท่านั้น”

“ยังไง”

“ไทกลัวพี่เขยจะอาย ถ้าพี่เขยไม่อาย ไทก็ไม่กลัวอะไร”

มีรอยหวั่นไหวและวาดหวังอยู่ในแววตาของคนพูด เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวลอ่อนโยน

“อายทำไม สนุกดี พี่เพิ่งเคยก้าวขาแบบผู้หญิง แล้วนี่พี่ต้องหมุนตัวด้วยไหม”

ไทวายิ้มแป้น สว่างไสว จังหวะการก้าวเท้าเปี่ยมชีวิตชีวา เมื่อถึงจังหวะที่เหมาะสม เด็กหนุ่มก็เขย่งปลายเท้าขึ้น ชูมือข้างที่จับพระหัตถ์ของอีกฝ่ายไว้ขึ้นสูง เจ้าชายอัทธายุทรงเลิกพระขนงขึ้นเป็นเชิงถามว่าเอาจริงหรือ เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก ซ้ำยังดันพระขนองเป็นการนำ เจ้าชายหนุ่มจึงทรงหลุดเสียงสรวลอย่างทึ่งๆ ออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะทรงหมุนองค์ ก้มพระเศียรลงเล็กน้อยเพื่อลอดใต้วงแขนของเด็กหนุ่ม หลังจากหันกลับมามองตากันใหม่    ไทวาก็หัวเราะขึ้นก่อน ตามด้วยเสียงสรวลของเจ้าชายสาม

“เอาอีกนะครับ”

ทูลถามแล้วก็ไม่รอคำตอบ ไทวายกแขนขึ้นอีก เจ้าชายอัทธายุทรงสั่นพระเศียรคล้ายระอา แต่ก็ทรงยอมหมุนองค์แต่โดยดีอีกหลายครั้ง

“พอแล้ว”

ไทวายอมพอ เขาครอบครองเจ้าของงานเอาไว้เพียงคนเดียวตลอดสามเพลง ก่อนจะยอมปล่อยให้อีกฝ่ายทรงเป็นอิสระ เด็กหนุ่มรู้ว่าเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงเป็นบุคคลสาธารณะ แต่เพราะไม่อยากจะเห็นภาพบาดตาบาดใจจึงเลี่ยงออกไปยืนรับลมอยู่ตรงระเบียง






“คุณชายไทวา”

เด็กหนุ่มหันไปตามเสียงเรียก คนที่เดินออกมาเป็นชายหนุ่มผิวขาว รูปร่างสูง หน้าตาหล่อเหลาคมคาย เค้าหน้าละม้ายใครสักคนที่เขารู้จัก

“ขอคุยด้วยได้ไหม”

“ครับ”

อีกฝ่ายยกยิ้มมุมปากแล้วเดินมายืนข้างๆ

“ผมชื่อจิรภัทร เป็นพี่ชายของเจนจิรา”

สีหน้างุนงงของไทวาแปรเปลี่ยนเป็นระแวง

“ผมน่าจะอายุมากกว่า ขออนุญาตแทนตัวว่าพี่”

“...ครับ”

“พี่รู้มาว่าไทชอบองค์ชายสาม”

“...”

“เรามาร่วมมือกันไหม”

“ร่วมมือทำอะไรครับ”

“ทำให้องค์ชายทรงเลือกไท ไม่ใช่เจนจิรา”

ความหวาดระแวงของคนฟังแปรกลับเป็นความงุนงงอีกครั้ง

“ทำไม... ถึงทำแบบนี้ล่ะครับ”

“พี่ไม่ต้องการให้เจนจิราแต่งงานกับองค์ชายสาม พระองค์ทรงเดินทางบ่อย เจนจิราคิดว่านางจะทำให้พระองค์อยู่ติดตำหนักได้ แต่พี่คิดว่ายาก ผู้ชายอย่างนั้นทรงรักงาน รักการเดินทาง ถึงจะมีชายาก็คงจะปล่อยให้เหงาอยู่ที่ตำหนักแน่”

ไทวานิ่งเงียบ ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดอะไรในเวลานี้ แต่ในที่สุดก็ถาม

“แล้วพี่คิดว่าผมจะทำได้หรือครับ ถ้าเป็นผม พี่เขยจะยอมอยู่ที่นี่หรือ”

“หึหึ ก็คงไม่” ชายหนุ่มเถรตรงพอจะยอมตอบอย่างตรงไปตรงมา “แต่ไทเป็นผู้ชาย จะติดตามพระองค์ไปด้วยก็ไม่แปลก ซ้ำยังไม่ลำบากเหมือนผู้หญิง”

ดวงตาของคนฟังเป็นประกายเจิดจ้า นั่นสินะ ทำไมเขาไม่เคยคิด มัวแต่กังวลเรื่องเวลาสองเดือนอยู่ได้ นี่ถ้าเขาติดตามพี่เขยไปด้วยได้ ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องพี่เจนแล้ว

“แต่อีกแค่สามอาทิตย์พระองค์ก็จะทรงออกเดินทาง ถ้าไม่รีบทำให้พระองค์ทรงรักเร็วๆ กว่าจะมีโอกาสก็คงอีกนาน”

“ไม่เป็นไรนี่ครับ ถึงยัง... ไม่รักก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวไทขอตามพี่เขยไปด้วยก็ได้ ถ้าได้ตามไปทุกที่ ไทก็มีเวลาถมเถ” ความอารมณ์ดีทำให้เผลอใช้สรรพนามแทนตัวที่เคยชิน

คุณชายบ้านเสนาบดีธรรมการยกยิ้มมุมปาก ดวงตาฉายแววเอ็นดูในความไร้เดียงสา

“ลืมแล้วหรือ ว่ามาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร”

สีหน้าดีใจของเด็กหนุ่มคลายลง แต่ก็ยังดูไม่เข้าใจอยู่ดี

“ตัวประกันทางการเมือง ถ้ายังถูกควบคุมอยู่ในวังก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าติดตามองค์ชายออกนอกเมืองไป ก็อาจจะควบคุมยาก”

ไทวานิ่งอึ้ง เป็นความผิดของเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณแท้ๆ ที่ปฏิบัติต่อเขาดีเกินไปจนเขาลืมฐานะที่แท้จริงของตัวเอง

“แต่ถ้าเป็นคนรักขององค์ชาย นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง”

คุณชายแห่งไทวะนิ่งเงียบเนิ่นนาน ก่อนจะถามขึ้นเบาๆ

“ที่พี่บอกว่าให้ร่วมมือกัน... คือทำยังไงหรือครับ”

“แกล้งทำเป็นหลงรักพี่สิ”

“ฮะ อะไรนะครับ”

“ถ้าพระองค์พอจะมีใจให้ไทอยู่บ้าง ก็คงจะทรงหึง แต่ถ้าไม่หึง... ก็ควรจะตัดใจซะ”






งานเลี้ยงเลิกราแล้ว ในที่สุดไทวาก็ไม่ต้องทนเห็นสายตาหลงใหลคลั่งไคล้ของหญิงสาวคนไหนที่มองมาทางเจ้าชายอัทธายุอีก เจ้าหญิงวรนารีก็เสด็จกลับพระตำหนักของพระองค์ไปแล้ว เวลานี้เด็กหนุ่มอยู่กับเจ้าชายเจ้ากรมฯ ตามลำพังในห้องนั่งเล่น บนพื้นพรมหนานุ่มมุมห้องเต็มไปด้วยหมอนอิงกระจัดกระจายและของขวัญกองโตที่ยังไม่ได้แกะ

“ให้ไทแกะจะดีหรือครับ”

ปากถาม แต่สีหน้าสีตาดูกระตือรือร้นเป็นอันมาก เจ้าของวันเกิดทอดพระเนตรแล้วก็ทรงเอ็นดูอยู่ไม่น้อย

“ไทแกะดีแล้ว พี่ไม่ค่อยถนัด”

“แกะได้ทุกอันรึเปล่าครับ”

“ทุกอันสิ” รับสั่งกลั้วเสียงสรวล ไม่เข้าพระทัยว่าทำไมจะต้องมียกเว้น

ดวงตากลมโตหลังกรอบแว่นเป็นประกายวาววาม ก่อนจะฉวยกล่องสี่เหลี่ยมแบนๆ เล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือซึ่งห่อด้วยกระดาษสีน้ำเงินเข้มขึ้นมาถือ กล่องนี้เขาเล็งเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่เห็นคุณหนูบ้านเสนาบดีธรรมการถือมาแล้ว

เด็กหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองพระพักตร์คนประทับใกล้ๆ นิดหนึ่ง เมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะทรงทักท้วง เขาก็จัดการแกะกระดาษห่อออก ถึงจะใจร้อน แต่ก็พยายามแกะให้เรียบร้อยที่สุด

มันคือกรอบรูป

รูปใบเล็กขนาดพกพาได้ที่อยู่ในกรอบสีขาวบางนั้นเป็นรูปวาดของพระตำหนักหลังนี้เอง วาดได้เหมือนเสียจนน่าตกใจ มุมขวาล่างเป็นภาพเหมือนของคุณหนูคนสวย นั่งอยู่บนชิงช้าดอกไม้และกำลังแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน ลายเซ็นตรงมุมภาพบ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นคนวาดภาพนี้เอง ไทวาพลิกไปด้านหลัง ตั้งท่าจะแกะรูปออกมาจากรอบ แต่แล้วก็นึกขึ้นได้

“ไทขอแกะดูข้างหลังหน่อยได้ไหมครับ”

เจ้าชายหนุ่มทรงพยักพระพักตร์

ข้างหลังภาพมีกลอนบทหนึ่งเขียนไว้ด้วยลายมืองดงามเป็นระเบียบ บทกลอนไพเราะ และมีความหมายว่า ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปไกลถึงแค่ไหน แต่สถานที่ที่เป็น ‘บ้าน’ ก็ยังรอคอยการกลับมาของพระองค์เสมอ

ไทวาหน้าซีด ยังไม่ทันไร คุณหนูคนสวยก็รวมตัวเองเข้าไปในคำว่า ‘บ้าน’ ของเจ้าชายหนุ่มเสียแล้ว ทั้งเป็นการสื่อความหมายที่ชาญฉลาด และเป็นของขวัญที่งดงามเสียจนน่าตกใจ

“เขียนว่าอะไร”

เด็กหนุ่มขยับปากจะอ่านให้ทรงฟัง แต่แล้วก็กลับยื่นภาพนั้นถวาย

“ไทไม่รู้เลยว่าพี่เจนวาดรูปสวย รูปเล็กแบบนี้แต่ยังวาดได้ละเอียดเหมือนจริงขนาดนี้ เก่งจังเลยนะครับ”

“ได้ยินหญิงน้องพูดเหมือนกันว่านางชอบขนาดจ้างครูมาสอน” หลังจากส่งภาพคืนมาให้ไทวาเก็บใส่กรอบไว้ดังเดิมแล้วก็รับสั่งยิ้มๆ “แต่ฝีมือเห็นจะสู้ไทไม่ได้”

“จริงหรือครับ” เด็กหนุ่มทูลถามกระตือรือร้น

“อืม นางวาดได้แผ่นเล็กแค่นี้ แต่ไทเล่นวาดเต็มผนังห้อง”

เด็กหนุ่มหน้าสลด ไม่ยักกะหน้าคว่ำแล้วทูลต่อว่าอย่างที่คนรับสั่งทรงคิด

“เป็นอะไร อิจฉาหรือ”

ถามเล่น แต่คนถูกถามกลับเหลือบตาขึ้นมามองแล้วพยักหน้าจริงๆ เจ้าชายหนุ่มทรงร้องหึ อย่างขำๆ กึ่งเอ็นดู

“ไปอิจฉานางทำไม แค่เรื่องวาดรูป รูปที่ไทวาดให้ พี่ก็ชอบ”

“รู้ได้ยังไงครับ!”

ต่างฝ่ายต่างตกใจ เด็กหนุ่มมองพระพักตร์แล้วก็เข้าใจว่าเขาเข้าใจผิดไปเอง แต่ดูจะกลบเกลื่อนไม่ทันแล้ว

“ไทก็วาดรูปเป็นของขวัญให้พี่หรือ” ของขวัญที่พระขนิษฐาทรงกระซิบว่าไทวาเตรียมเอาไว้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

“ป... เปล่าครับ ไม่ใช่”

“แล้วจะให้อะไรพี่ล่ะ”

“ไท... ไทไม่ได้เตรียมอะไรไว้”

เจ้าของวันเกิดทอดพระเนตรมองราวกับจะทรงรู้ทัน ไทวาหลบสายตา

“ไม่ได้เตรียมไว้จริงๆ ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษหรอก แค่ไทกับหญิงน้องช่วยกันเตรียมงานให้ พี่ก็ขอบใจมาก พี่ไม่ได้มีงานอย่างนี้หลายปีแล้ว... อาหารวันนี้อร่อยมาก”

สีหน้าของเด็กหนุ่มดีขึ้นมานิดหนึ่ง แต่ใจก็ยังกังวลอยู่แต่เรื่องเดิม

“รูปนี่ พี่เขยจะเอาไปตั้งไว้ตรงไหนครับ” ถามแล้วก็แทบจะกลั้นหายใจรอ ภาพเล็กขนาดนี้ เหมาะกับการวางไว้บนโต๊ะทำงานมากที่สุด หรือต่อให้เอาใส่อกเสื้อแล้วพกไปไหนมาไหนด้วยก็ยังได้

“ไทคิดว่าตรงไหนดี”

เด็กหนุ่มมองซ้ายมองขวา แล้วก็ชี้ไปตรงตู้เตี้ยๆ สำหรับวางแจกันตรงมุมห้อง

“ข้างแจกันดีไหมครับ”

เจ้าชายหนุ่มทอดพระเนตรมองตาม ไทวารู้สึกตัวทันทีว่าเขากำลังอิจฉาคู่แข่งจนทำเรื่องร้ายกาจเข้าเสียแล้ว ขณะกำลังจะกลับคำ อีกฝ่ายก็รับสั่ง

“ไทเอาไปวางสิ”

คนถูกสั่งทำหน้างงๆ ไม่แน่ใจว่าฟังถูกหรือไม่ แต่พอเจ้าของวันเกิดทรงพยักพระพักตร์ซ้ำ เขาก็ทำตามทั้งที่ยังรู้สึกก้ำกึ่งกันระหว่างดีใจกับรู้สึกผิด

หลังจากนั้นคุณชายแห่งไทวะก็ช่วยเจ้าชายหนุ่มทรงแกะของขวัญอยู่จนเกือบครึ่งคืนจึงได้ไปนอน






ไทวาในชุดนอนถอดแว่นเตรียมนอนแล้ว เด็กหนุ่มนอนคว่ำอยู่บนเตียง ในมือมีภาพขนาดใหญ่ ยาวราวสองฟุต กว้างราวหนึ่งฟุตอยู่ เป็นภาพท้องฟ้า ทุ่งหญ้า และลำธาร บนท้องฟ้ามีก้อนเมฆ ในทุ่งหญ้ามีพ่อไก่ แม่ไก่และลูกเจี๊ยบเจ็ดตัว ส่วนในลำธารมีปลาหน้าตาประหลาดอยู่สองตัว แลดูคล้ายกับภาพฝีพระหัตถ์ของเจ้าชายสามที่ทรงวาดไว้บนกำแพงห้อง ใต้ท้องปลาตัวใหญ่เขียนไว้ว่า ‘ปลาธาย’ ใต้ท้องปลาตัวเล็กเขียนว่า ‘ปลาไท’ ส่วนตรงมุมขวาล่างมีภาพตัวการ์ตูนล้อเลียนอยู่ ดูก็รู้ว่าเป็นไทวาหัวเกรียนที่นั่งเหยียดขาอยู่บนหญ้า ถือน่องไก่ไว้ทั้งสองมือ มือหนึ่งแทะกินอย่างเอร็ดอร่อย อีกมือยื่นไปทางเจ้าชายหนุ่มซึ่งประทับขัดสมาธิแล้วเชิดพระพักตร์ไปทางอื่นอย่างงอนๆ

เด็กหนุ่มลูบพระพักตร์ของคนงอนอย่างเบามือ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ไท หลับหรือยัง พี่เข้าไปได้ไหม”

ไทวารีบผุดลุกขึ้นนั่ง มองซ้ายมองขวาหาที่ซ่อนภาพ

“ไทวา”

“ครับ”

เผลอขานรับไปแล้วจะหลอกว่าหลับแล้วก็ไม่ได้

“เปิดประตูให้พี่ที”

เอาวะ ซุกไว้ใต้หมอนก่อนก็แล้วกัน... เด็กหนุ่มเดินไปเปิดประตู เจ้าชายอัทธายุซึ่งอยู่ในฉลองพระองค์สำหรับเข้าบรรทมแล้วเช่นกันเสด็จเข้ามาในห้อง ประทับบนเก้าอี้ตัวหนึ่งตรงชุดเก้าอี้ข้างเตียง ไทวาปิดประตูแล้วเดินตามมานั่งใกล้ๆ

“พี่เขยนอนไม่หลับหรือครับ” ถามไป สายตาก็เหลือบไปทางเตียง ดูว่ามีส่วนใดของกรอบรูปโผล่ออกมาให้เห็นบ้างหรือไม่

“ที่เตียงมีอะไรหรือ”

“ไม่! ไม่มีอะไรครับ แล้ว... พี่เขยมาหาไททำไม”

“พี่นอนไม่หลับ ไทล่ะ กำลังจะนอนรึยัง”

“ยังครับ ไทก็นอนไม่หลับ”

ต่างฝ่ายต่างเงียบกันไป... จะทำอะไรล่ะทีนี้

“พี่ลองคิดดูแล้ว” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พอไม่มีแว่นแล้วก็ทำให้มองเห็นขนตายาวๆ ได้ชัดเจนขึ้น ดวงตากลมโตแลดูกระตือรือร้นที่จะฟัง “วันเกิดมีแค่ปีละครั้ง เราไม่ได้เจอกันตั้งสิบปีแล้ว อีกไม่นานพี่ก็จะเดินทาง พี่อยากได้ของขวัญจากไท”

ไทวาใจเต้นแรง เขานึกถึงรูปที่อยู่ใต้หมอน

“แต่ว่า... ไท... ไม่ได้เตรียม... ไว้...” ไม่อยากโกหก แต่ไม่อยากถูกเปรียบเทียบกับภาพที่ยังไงเขาก็สู้ไม่ได้

“ไม่ต้องเป็นของอะไรใหญ่โต ต่อให้ไทเดินลงไปเก็บดอกไม้ในสวนมาให้พี่สักดอก พี่ก็จะเก็บไว้อย่างดี”

พูดแบบนี้... จะให้เขาดีใจจนตายหรือยังไง ความรู้สึกอยากจะไปเอารูปที่อยู่ใต้หมอนมาถวายให้ยิ่งรุนแรงมากขึ้น

“แต่นั่นก็ดอกไม้ของพี่เขย ไทอยากให้ของที่เป็นของไท”

เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวล

“แต่ว่า ไทไม่มี” นิ่งคิดอยู่ครู่ จึงนึกออก “เอางี้ ไทนวดให้ดีไหมครับ พี่เขยจะได้สบายตัว แล้วก็จะได้นอนหลับสบาย” เขาจะได้ถือโอกาสถึงเนื้อถึงตัวอีกฝ่ายด้วย

“เมื่อวานก็เพิ่งนวด วันนี้จะไม่ให้อะไรที่พิเศษกว่านั้นบ้างหรือ”

ไทวาหน้านิ่วคิ้วขมวด กลอกตาไปมา ทำปากบึน แต่ก็ยังคิดไม่ออก

“พี่เขยอยากได้อะไรล่ะครับ”

“ร้องเพลงให้ฟังสักเพลงได้ไหม”

“ฮะ”

“เพลงอะไรก็ได้”

“ไทร้องเพลงไม่ค่อยเป็นหรอกครับ เอาอย่างอื่นได้ไหม”

“เพลงที่ร้องบ่อยที่สุด มีไหม”

“จะว่ามีก็มีอยู่หรอกครับ แต่ว่าจะให้ร้องอวยพรวันเกิดมันก็แปลกๆ นะครับ”

“ไม่ใช่ร้องอวยพร แค่ร้องให้ฟังเป็นของขวัญ” จะได้ร่าเริงขึ้น

ไทวานิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก “เอาก็เอาครับ แต่พี่เขยฟังแล้วอย่าหัวเราะนะ”

“อืม”

“ท้องทุ่งแห่งนี้... แสนกว้างหญ่าย ใต้ท้องฟ้าสีครามแสนสดใส
เราเที่ยวท่องไปตามใจได้แสนสบาย กินหญ้า กินหญ้า ดื่มน้ำ ดื่มน้ำ
หญ้าอร๊อย อร่อย ธารน้ำใส ชื่นจ๊าย... ชื่นจาย เล็มหญ้า

ส่ายก้น เอ้า... ส่ายก้น กระดุกกระดิก กระดุ๊กกระดิ๊ก
กินหญ้า ส่ายก้น เอ้า ส่ายก้น กินหญ้า...
มีเนื้อ มีหนัง มีนม มีขน ให้คนเขาตัดขนเราไปขาย

กินหญ้าตรงนั้นสิ ดื่มน้ำตรงนี้สิ จะได้มีขนฟูๆ แสนนุ่มสบายให้คนเขาตัดไปขาย
ทุ่งนี้มีหญ้ามากมาย กินตามสบายเลย กิน – ตาม – สะ – บาย – เล้ยยยย
ฮุ่ย ฮุ่ย ฮุ่ย ฮุ่ยๆ”

คนฟังแย้มพระสรวลจนพระปรางแทบจะปริ ดวงพระเนตรเป็นประกายพราวพรายหยาดเยิ้มด้วยความขำขัน แต่ก็ยังทนไม่ทรงพระสรวลออกมา ตามสัญญา ไอ้ฮุ่ยๆๆ ที่ว่านั่นต้อนแกะหรือว่าไล่ตัวอะไรกันแน่

“แกะใช่ไหม”

“ก็แกะสิครับ พี่เขยคิดว่าตัวอะไร”

“ควาย”

เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง “ตัวเหี้ยยังไม่พอ นี่ยังว่าไทเป็นควายอีก ไท... ไทเหมือนควายตรงไหน”

เจ้าชายหนุ่มทรงสั่นพระเศียร ทั้งระอาทั้งเอ็นดู

“พี่ไม่ได้ว่าไท”  เรื่องที่ทรงสงสัยมากที่สุดตอนนี้ก็คือ “มีท่าไหม”

“ท่าอะไรครับ”

“ท่าเต้นประกอบเพลง”

“ก็... มีครับ อย่าบอกนะว่าพี่เขยจะให้ไทเต้นให้ดู”

“ไม่ได้หรือ”

ไทวานึกถึงท่าเต้นแล้วก็กระอักกระอ่วนใจ จะดีหรือ

“วันนี้วันเกิดพี่”

เด็กหนุ่มเหลือบไปมองนาฬิกาตั้งโต๊ะด้านข้าง ยังไม่เที่ยงคืน

“สิบนาที น่าจะเต้นได้สักสองรอบ... หรือสาม”

“รอบเดียวก็พอแล้วครับ! ท่าเต้นมันน่าอาย”

เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวล “น่าอายยังไง”

“ไทบอกไม่ถูก”

“งั้นก็เต้น” ไทวายังคงลังเล “อีกไม่กี่นาทีก็จะพ้นวันเกิดพี่แล้วนะ พี่ไม่ได้ขอของขวัญจากใครเลย แค่ไทคนเดียว”

ดวงตาของเด็กหนุ่มพองโต เป็นประกายวาววับ

“งั้นไทเต้นให้ดูก็ได้ พี่เขยห้ามหัวเราะด้วย”

คุณชายแห่งไทวะร้องเพลงต้อนแกะซ้ำอีกรอบ ท่าเต้นประกอบแลดูน่ารักดี ไม่มีตอนไหนน่าอาย ยกเว้น

“ส่ายก้น เอ้า... ส่ายก้น กระดุกกระดิก กระดุ๊กกระดิ๊ก กินหญ้า ส่ายก้น เอ้า ส่ายก้น...”

ทอดพระเนตรก้นกลมๆ ที่ขยับส่ายไปมาแรงๆ นั่นแล้วอย่าว่าแต่หัวเราะเลย แม้แต่จะทำพระทัยให้สงบนิ่งเอาไว้ยังไม่ได้

“มีเนื้อ มีหนัง มีนม...”

... นมสีชมพู...

“อีกรอบได้ไหม”

“พี่เขย ไทว่ามันน่า...”

“หันหลังมาให้พี่ดู”

“...”

ไม่ทรงทราบว่าสีพระพักตร์ของพระองค์ตอนนี้เป็นอย่างไร แต่ดูจากสีหน้าระแวงสงสัยกึ่งๆ กลัวของเด็กหนุ่มแล้วก็คาดว่าไม่น่าจะปกตินัก เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณปรับสีพระพักตร์ให้แลดูอ่อนโยนลงทันที

“ถ้าไทอายก็หันหลัง ถ้าไม่เห็นหน้าพี่ ก็จะได้ไม่ต้องอาย”

เด็กหนุ่มนิ่งคิดเล็กน้อย เหลือบตาไปดูนาฬิกา... อีกสามนาที... เอาก็เอา

รอบที่สองนี้ทำเอาไทวาได้ประสบการณ์ชีวิตว่า ตอนที่เต้นแบบไม่เห็นหน้า ทำให้รู้สึกอายกว่าตอนเห็นหน้ามากนัก ขณะที่เจ้าชายเจ้ากรมโยธาฯ ทรงประจักษ์ว่าพระองค์ทรงมีความอดทนอดกลั้นน้อยกว่าที่เคยทรงคิดเอาไว้ และก่อนที่อะไรๆ จะเลยเถิด พระองค์ก็ทรงยืนขึ้น แล้วรับสั่งกับเด็กหนุ่มผิวขาวที่กำลังหน้าแดงซ่านด้วยพระสุรเสียงที่พยายามจะให้เป็นปกติที่สุด

“ไทเต้นน่ารักดี ไม่น่าอายเลย เป็นของขวัญที่วิเศษมาก”

ไทวายิ่งหน้าแดง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าปลื้มใจ

“พี่จะกลับห้อง ไทก็นอนเถอะ”

เด็กหนุ่มพยักหน้า แล้วเดินตามไปส่ง ครั้นอีกฝ่ายทรงก้าวพ้นประตูไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

“พี่เขยครับ”






คืนที่เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณมีพระชนมายุครบสามสิบพรรษา พระองค์ทรงได้รับภาพภาพหนึ่งจากเชลยในปกครองมาเป็นของขวัญ และประทับทอดพระเนตรข้อความที่ถูกซ่อนเอาไว้หลังภาพอยู่เป็นนาน

ตอนที่เสด็จไปหาอีกฝ่ายถึงที่ห้อง ความตั้งพระทัยแรกนั้นไม่ใช่จะไปทวงของขวัญ แต่ถึงแม้ว่าจนตอนนี้พระองค์ก็ยังไม่ทรงทราบว่าไทวายืนคุยอะไรกับจิรภัทรอยู่เป็นนาน แต่ข้อความตัวเท่าหม้อแกงที่อยู่หลังภาพก็ทำให้เรื่องจิรภัทรดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเท่าใดนักแล้ว

เจ้าชายหนุ่มทรงไล้พระหัตถ์ไปตามตัวอักษรช้าๆ


... ปลาไทรักปลาธายที่สุดในโลก...


หึ... เจ้าเด็กติ๊งต๊อง






tbc.



******************************************************

น่าร้ากกกกกกกกกกกกกกกก อ่ะ เราชอบค่ะ (เขียนเองชอบเอง555)

โน้ตบุ๊กต้องเปลี่ยนจอ แต่จะครบอาทิตย์แล้วยังไม่ได้จอใหม่เลยค่ะ
เบื่อๆ เลยลงนิยายแก้เบื่อ (มีในสต๊อกอยู่แล้วน่ะค่ะ)
หลายวันที่ผ่านมาดูตำนานลู่เจินที่สำนักงานวันละ 6-7 ตอน
อยู่จนถึงเกือบห้าทุ่มค่อยปิดสำนักงานทุกคืนเลย

เสาร์อาทิตย์ไม่มานะคะ อยู่บ้าน น่าจะยังไม่มีโน้ตบุ๊กใช้ค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 6) 6 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-06-2014 12:43:48
ปลาไทมันน่ารักกกกก
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 6) 6 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 06-06-2014 13:51:22
เค้าก็ชอบบบบบบบ

ขำก๊ากเลยตอนแลกคู่เต้นรำไม่คิดว่าไทจะกล้าขนาดนั้น

บรรยากาศตอนเต้นคู่กันน่ารักเนอะ เจ้าชายก็ใจดี๊ใจดี

เหมาะสมกันสุดๆ

เจ้าชายแอบหื่นไม่เบาเลยนะอยากเห็นพี่ธายหึงไทแล้วสิ

 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 6) 6 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 06-06-2014 14:04:19
เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่รอคอยมากๆเลย

ชอบปลาไทน่ารัก ปลาธายใจอ่อนเร็วๆนะ

พี่ชายคุณเจนมีแผนแน่ๆเลย อย่าทำร้ายปลาไทเลย น่าสงสาร เด็กมันซื่อ

 :pig4: นักเขียน
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 6) 6 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 06-06-2014 20:08:46
เหมือนจะเริ่มหึงเล็กน้อยแล้วนะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 6) 6 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 07-06-2014 04:02:16
ขำไทอ่ะ ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก  :m20:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 7) 9 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 09-06-2014 08:23:54
วันวาน... สู่นิรันดร์
บทที่ ๗


เมื่อไม่มีเจ้าหญิงวรนารีคอยสนับสนุน เจนจิราก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหนๆ กับเจ้าชายอัทธายุบ่อยนักแล้ว ทว่าคราวนี้หญิงสาวใช้วิธีนำขนมที่ทำเองไปถวายถึงที่กรมโยธาธิการแทน ไทวารู้เรื่องนี้ดีเพราะเจ้าชายหนุ่มมักจะทรงนำตะกร้าขนมกลับมาที่พระตำหนักแล้วตรัสชวนให้เด็กหนุ่มกินด้วยกันเสมอ

“อร่อยจังครับ”

“ชอบก็กินเยอะๆ”

“พี่เขยชอบไหม” สิ่งที่ต้องการรู้จริงๆ คือเรื่องนี้

“ก็ดี แต่พี่ไม่ค่อยชอบของหวาน ไทกินเถอะ”

“งั้นถ้าไททำไม่หวาน พี่เขยจะกินของไทไหม”

“ทำเป็นด้วยหรือ”

“เป็นครับ! ถึงจะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ไททำอร่อยนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไทจะทำ พี่เขยกลับมาเร็วๆ นะครับ ไม่งั้นหมด อดกินไม่รู้ด้วย”

“ถ้าพี่ติดงาน ไทจะไม่เก็บไว้ให้เลยหรือ หัวเกรียนแล้วยังใจร้ายอีก ตัวกินไก่”

“ไทล้อเล่น ถ้าหมดเดี๋ยวไททำให้ใหม่ก็ได้ครับ ไทแค่อยากให้พี่เขยกลับมาเร็วๆ พี่เขยนั่นแหละ หัวเกรียนแล้วยังใจร้าย แค่กลับมาเร็วๆ หน่อยก็ไม่ได้ รู้อยู่ว่าไทรอ”

“ไทวา”

“ครับ” ขานรับแล้วก็ชิงพูดเสียเองอย่างรู้ตัว “ขอโทษครับ ไทพูดไม่ดี ลามปามผู้ใหญ่”

เจ้าชายสามทรงจับหัวเกรียนๆ ของเด็กหนุ่มโยกไปมาเบาๆ

“ไม่ใช่อย่างนั้น” จะรับสั่งยังไงดี บอกดีไหม ว่าชักจะพูดจาน่ารักเกินไปแล้ว ตรงไปตรงมาและใสซื่อเสียจนแทบจะไม่อยากไปทำงานพรุ่งนี้ อยากจะประทับอยู่ที่พระตำหนักทั้งวัน

“พรุ่งนี้พี่จะกลับมาเร็วๆ”

“จริงนะครับ!”

“อืม”

“เย้!”

เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวล ไทวามักจะเผื่อแผ่ความสดใสร่าเริงมาให้คนที่อยู่ใกล้ๆ เสมอ ประกายตาสุกใสและสีหน้าดีใจอย่างเปิดเผยทำให้คนมองเห็นพลอยอารมณ์ดีและมีความสุขตามไปด้วย

เป็นความสุขที่เสพติดได้อย่างง่ายดายเสียด้วย






วันนี้ไทวาทำกับข้าว อาหารที่ขึ้นโต๊ะเสวยครึ่งหนึ่งเป็นอาหารไทวะ คุณชายหนุ่มคะยั้นคะยอให้คนประทับหัวโต๊ะทรงลองนั่นลองนี่อย่างกระตือรือร้น จังหวะหนึ่งเด็กหนุ่มยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ส่วนเจ้าชายอัทธายุก็ทรงตักแผ่นแป้งทอดซึ่งห่อเป็นรูปถุงใบเล็กๆ ขึ้นมาเสวย แล้วก็ต้องทรงเบิกพระเนตรกว้าง ไทวาหันมาเห็นพอดี

“พี่เขย!” เด็กหนุ่มลุกพรวดไปยืนลูบพระปรางที่เต็มไปด้วยหนวดเคราสากๆ มือหนึ่ง อีกมือแบรอไว้ตรงพระโอษฐ์ “คายออกมาครับ! คายออกมาก่อน พี่เขย”

ความร้อนจากน้ำซุปที่อยู่ในห่อแป้งกระจายไปทั่วพระโอษฐ์ ทว่าแม้ปรารถนาจะทรงคายออกมาตามคำแนะนำ แต่เจ้าชายหนุ่มก็ตัดสินพระทัยกลืนลงไป รู้สึกได้ชัดเจนว่าน้ำซุปลวกพระศอเป็นทางตลอดไปจนกระทั่งถึงพระนาภี

“พี่เขย! ทำไมไม่คายล่ะครับ กลืนทำไม”

เด็กหนุ่มหน้าเสีย มือยังไม่ละจากพระปรางสากๆ ของอีกฝ่าย ซ้ำยังลูบไปลูบมาราวกับจะช่วยผ่อนเพลาความทรมานลงให้

“มันร้อน”

“ร้อนแล้วทำไมถึงไม่คายเล่า”

“หึ” ทอดพระเนตรเห็นหน้ามุ่ยๆ ของคนไม่ได้ดั่งใจแล้วก็อดจะแย้มพระสรวลออกมาไม่ได้ เจ้าชายหนุ่มทรงจับมือของคนห่วงเอาไว้ “เพราะว่ามันร้อนไง ถึงไม่คาย เดี๋ยวมือไทก็พองพอดี แถมยังจะสกปรก”

“มือไทไม่พองหรอก ปากพี่เขยนั่นแหละจะพอง ดื่มน้ำก่อนครับ”

แก้วน้ำถูกยกมารอให้ถึงพระโอษฐ์ เจ้าชายอัทธายุทรงชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะทรงวางพระหัตถ์ทับมือของอีกฝ่าย แล้วยอมให้เด็กหนุ่มป้อนถวายแต่โดยดี

ตอนที่ถูกทอดพระเนตรมองนิ่งๆ นั่นแหละ ไทวาจึงรู้สึกตัวว่ามือทั้งสองข้างของเขาล้วนแต่ตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ แถมหน้าของเขายังอยู่ใกล้พระพักตร์เอามากๆ จากตกใจจึงกลายเป็นขัดเขินขึ้นมาเสียเฉยๆ หน้าเห่อร้อนเสียจนต้องค่อยๆ ดึงมือออกมา วางแก้วน้ำแล้วจึงกลับมานั่งที่ตัวเอง

หันกลับไปมองพี่เขย ก็เห็นว่ายังมองมายิ้มๆ ตามปกติ แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าไม่ปกติเสียได้ก็ไม่รู้

คุณชายแห่งไทวะตักแป้งห่อน้ำซุปขึ้นมาแล้วเอาเข้าปากบ้าง

“ไท!”

“อูย... ร้อนๆ... ร้อนๆๆ”

เด็กหนุ่มร้องอู้อ้า หน้าตาบิดเบี้ยว เอามือพัดๆ ตรงปาก แล้วก็ตัดสินใจกลืนลงไปทั้งที่ร้อนมากจนน้ำตาคลอ

“ฮ่า! ร้อนจังเลย”

เจ้าชายอัทธายุทรงลุกมายืนข้างๆ จับไหล่ของเด็กหนุ่มให้หันมาแล้วก้มพระพักตร์ลงทอดพระเนตร

“รู้ว่าร้อนแล้วกินทำไม”

“ก็ไทอยากขอโทษพี่เขย ไทลืมบอก ทำให้พี่เขยถูกลวกปาก ไทก็เลยทำเป็นเพื่อน”

“มันใช่เรื่องไหม ไทวา ไหนดูซิ ปากพองรึเปล่า”

เด็กหนุ่มเงยหน้าเมื่อถูกอีกฝ่ายทรงจับปลายคางเชิดขึ้น สีหน้าม่อยๆ ดวงตาหงอยๆ ที่ยังมีน้ำตาอยู่คลอๆ กับริมฝีปากแดงๆ ฉ่ำวาวที่เปียกน้ำลายทำเอาคนทอดพระเนตรทรงจับจ้องอยู่นานกว่าที่ตั้งพระทัย ไทวาที่รู้แล้วว่าถูก ‘พี่เขย’ จับจ้องที่ตรงไหนพลันกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก

“พี่เขย...”

สิ้นเสียงทูลเรียกเบาๆ ริมฝีปากของเด็กหนุ่มก็ถูกช่วงชิงความเป็นอิสระไป ปากแดงๆ อวบอิ่มถูกพระชิวหาเปียกชื้นแลบเลีย โลมไล้เบาๆ ช้าๆ สัมผัสนิ่มๆ เปียกๆ ตรงริมฝีปาก กับลมหายพระทัยร้อนผ่าวที่รินรดทำเอาคนถูกปล้นปากถึงกับใจสั่นสะท้าน สองมือขยุ้มฉลองพระองค์ของอีกฝ่ายเอาไว้แน่นเมื่อถูกงับปากเบาๆ ขบเม้ม ดูดดุนอย่างหยอกล้อ เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงและเล็มริมฝีปากฉ่ำๆ ของเด็กหนุ่มในปกครองอย่างอ้อยอิ่ง ไรพระมัสสุและพระฑาฐิกะสั้นๆ รอบพระโอษฐ์ครูดผิวแก้มของคนถูกจูบ ไทวาหวิววาบ กำซาบใจเสียจนเนื้อตัวสั่น ครั้นเจ้าชายหนุ่มทรงถอนพระโอษฐ์ออกอย่างช้าๆ เด็กหนุ่มก็หายใจแบบเหนื่อยๆ ทำท่าจะเป็นลม

“พี่เขย...”

คุณชายหนุ่มยังยึดฉลองพระองค์ตรงพระอุระเอาไว้เป็นหลักไม่ให้เป็นลมทั้งๆ ที่กำลังนั่ง เจ้าชายอัทธายุแย้มพระสรวลเป็นปกติ ทั้งที่ต้องกลั้นพระทัยไว้อย่างหนักหน่วงที่จะไม่ฉกพระโอษฐ์ลงไปชิมริมฝีปากสุกแดงของเด็กหนุ่มอีกครั้ง หน้าแดงเรื่อ ตาเชื่อมๆ แบบนั้นมันน่า...

“พี่เขย... จูบไททำไม”

“พี่ไม่ได้จูบ” ถามแบบนี้ มันน่าจูบซ้ำอีกหลายๆ รอบ

“ไม่ได้จูบละ... แล้วทำอะไร”

“เลีย”

ไทวาหน้าแดงเถือก หลบตาเล็กน้อย ปล่อยให้อีกฝ่ายทอดพระเนตรอาการเขินอายของเขาไปจนพอพระทัย

“ปากไทจะได้ไม่พอง ตอนนี้รู้สึกเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นไหม”

ดวงตาที่หันกลับมามองมีรอยไหวระริก พวงแก้มอิ่มเป็นสีแดงซ่าน แต่ก็พยักหน้า “ดีขึ้นครับ”

“แล้วลิ้นล่ะ”

“ครับ”

“พองไหม” คนถูกถามทำท่าคิดจริง “ถ้าพอง พี่จะได้เลียให้”

“มะ... ไม่! ไม่พองครับ...”

ละล่ำละลักตอบแล้วทำสีหน้าไม่แน่ใจว่าตอบแบบนั้นจะดีหรือไม่นั่นหมายความว่ายังไง

“คือ... ไท... ไท...” เอายังไงดี อยากให้พี่เขยเลียให้จังเลย แต่ก็ยังใจสั่นๆ อยู่เลย กลัวว่าตัวเองจะเป็นลมไปซะก่อน ทำยังไงดีนะ

“ไม่พองก็ดีแล้ว”

ใช่ว่าจะไม่ทอดพระเนตรเห็นสีหน้าและแววตาเสียดายของเด็กหนุ่ม แต่เพราะทอดพระเนตรเห็น จึงต้องรีบเสด็จกลับไปประทับที่เดิมแล้วรับสั่ง

“ต่อไปก็ค่อยๆ กิน จะได้ไม่ลวกอีก”

“... ครับ” เขายังจะกินต่อได้อีกหรือ มือยังสั่นอยู่เลย

ไทวาทอดสายตาตกลงตรงพระโอษฐ์หยักสวยใต้ไรพระมัสสุบางๆ แล้วก็หน้าร้อนยิ่งกว่าน้ำซุปที่กลืนลงคอเมื่อครู่เสียอีก นึกถึงตอนที่ถูกเลียปากเมื่อครู่นี้แล้วก็อยากจะวิ่งกลับไปที่ห้องแล้วเอาหน้าซุกหมอน นอนดิ้นๆ เกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงใจจะขาด






คืนนั้น คุณชายแห่งไทวะนอนเอาหมอนปิดหน้า ยิ้มไม่หุบอยู่เป็นชั่วโมง จ้องมองปลาบนผนังเหนือหัวเตียงแล้วก็ค่อยกระถดตัวเข้าไปใกล้ ทำปากจู๋ แล้วก็ประทับจูบลงไปบนปาก ‘ปลาพี่เขย’ แล้วก็กลับมานอนหงาย ถีบขาขึ้นฟ้าถี่ๆ อย่างเพ้อๆ เรียก ‘พี่เขยๆ’ สลับกับถอนหายใจอย่างเป็นสุขอยู่จนค่อนคืนจึงผล็อยหลับไปทั้งที่ปากเปื้อนยิ้ม ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงใช้ภาพสีหน้าและริมฝีปากของเขาเป็นเป็นเครื่องมือปลดเปลื้องพระอารมณ์ด้วยพระองค์เองไปเสียรอบหนึ่ง





คุณชายบ้านเสนาบดีธรรมการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของไทวาได้เกือบสองสัปดาห์แล้ว และในสายพระเนตรของเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณ นายทหารหนุ่มทำราวกับว่ารู้จักกับเด็กหนุ่มในปกครองของพระองค์มาหลายปี ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะคนของพระองค์เองก็พูดจาสนิทสนมกับอีกฝ่ายอย่างง่ายๆ เช่นเดียวกัน

“ไทชอบกินไก่”

ออกมาเที่ยวด้วยกันห้าคน แวะกินอาหารร้านในตลาดที่มีอาหารรายการไก่อร่อยขึ้นชื่อ สั่งอาหารเสร็จ เด็กหนุ่มก็บอกกับคนนั่งตรงข้ามที่ยังอยู่ในเครื่องแบบทหารว่าอย่างนั้น

“พี่ก็ชอบกิน”

แน่นอนว่าจุดประสงค์ที่บอกคือไม่ต้องการให้แย่งกิน แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ เมื่ออาหารจานไก่มาถึง จึงมีคนสองคนผลัดกันจิ้มแต่ไก่มากินสลับกันแบบชิ้นต่อชิ้น ไทวากินจนปากมัน เจ้าชายเจ้ากรมโยธาฯ ทอดพระเนตรเห็นแล้ว ว่าตอนที่ลิ้นสีชมพูสดแลบเลียคราบมันบนริมฝีปากอิ่มแดง สายตาของนายทหารหนุ่มเป็นประกายวาววามเพียงใด

เจนจิราก็เผลอมองเพลินเพราะไม่เคยเห็นพี่ชายที่แสนจะเคร่งขรึมเข้มงวดต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาทำตัวราวกับเด็กๆ แบบนี้มาก่อน หญิงสาวไม่เข้าใจจนกระทั่งนายทหารหนุ่มบอกในภายหลังว่า

จีบเด็ก... ก็ควรจะทำตัวให้เข้ากับเด็กได้

ขณะที่เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงตระหนักได้ทันที

ในที่สุดไก่อบแสนอร่อยก็เหลืออยู่ชิ้นสุดท้าย ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน ในมือมีส้อมเป็นอาวุธเตรียมพร้อม แต่ไม่มีใครยอมจิ้ม

“พี่ภัทรครับ”

“อะไร”

“ผีกระสือครับ”

เด็กหนุ่มชี้นิ้วไปข้างหลังพร้อมกับทำหน้าตาตื่น ชายหนุ่มผิวขาวร่างสูงโปร่งหันไปทางที่อีกฝ่ายชี้ทั้งที่รู้ว่าไม่มีผีกระสือที่ไหนโผล่ออกมาตอนกลางวันแสกๆ เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง ไก่อบชิ้นสุดท้ายก็อันตรธานไปแล้ว ในขณะที่เด็กหนุ่มแว่นตาหนาตรงหน้าอมยิ้มแก้มตุ่ยเคี้ยวไก่ตุ้ยๆ อย่างมีความสุขเป็นพิเศษ

“หึหึ หลอกพี่หรือไท”

“ช่วยไม่ได้นี่ครับ พี่ภัทรอยากเชื่อไทเอง” คนเพิ่งกลืนไก่ลงคอยิ้มแป้น แถมยังยักคิ้วให้เสียอีก

“ไม่ได้เชื่อ”

“ไม่ได้เชื่อแล้วหันไปทำไมล่ะ”

“ยอม” คนตอบยกยิ้มนิดๆ หล่อเหลา “พี่ยอมให้หลอก ถ้าจะได้เห็นไทมีความสุข เป็นไง ชิ้นสุดท้ายนี่อร่อยกว่าชิ้นอื่นใช่ไหม”

ไทวาอึ้งไปนิดหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายแกล้งจีบเขาอยู่หรือไม่ แต่ก็ตัดสินใจไม่คิดมาก ยิ้มแล้วตอบไปตามตรง

“อื้อ อร่อยมากครับ”

“เล่นอะไรเป็นเด็กๆ”

ไทวาหันขวับไปมองคนประทับข้างๆ หน้าเสียเมื่อเห็นพระพักตร์เรียบเฉยของเจ้าชายหนุ่ม ทั้งโต๊ะเงียบกริบ เจ้าชายอัทธายุทรงรู้องค์เช่นกันว่าเผลอแสดงออกมากเกินไปจึงผ่อนพระปัสสาสะออกเบาๆ ยังไม่ทันจะรับสั่งอะไร นายทหารหนุ่มก็พูดขึ้นเสียก่อน

“นั่นสิ ไม่อิ่มเดี๋ยวพี่สั่งจานใหม่ให้ก็ได้ รีบกินจนปากเลอะเทอะไปหมด เอ้า เช็ดปากก่อน”

ทั้งเอาใจ ทั้งห่วงใย ทั้งอาทร... เบ็ดเสร็จภายในไม่กี่ประโยค

... จีบอย่างต่อเนื่องต่อหน้าต่อตา...

“ขอบคุณครับ”

ไทวาที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่รู้ว่าทำไม ‘พี่เขย’ ถึงดูพระอารมณ์ไม่ดีรีบรับผ้าเช็ดหน้าเนื้อดีสีน้ำตาลผืนใหญ่มา ยังไม่ทันจะสัมผัสถูกปาก ผ้าในมือก็ถูกดึงไปเสียก่อน

เจ้าชายอัทธายุไม่รับสั่งอะไรเลย ขณะเช็ดคราบมันบนปากอิ่มประทานให้จนเรียบร้อย ก่อนจะยื่นผ้าประทานคืนให้เจ้าของ ขณะที่ไทวายังตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะตกใจ จะสลด จะเขิน หรือจะดีใจดี

หลังจากนั้นเจ้าชายหนุ่มก็ตรัสเรียกลูกจ้างในร้านมารับรายการอาหารเพิ่ม

“ไก่อบจานใหญ่สามจาน”

ไทวาตาโต

“กินไม่หมดไม่ต้องกลับ”

เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ สีหน้าบอกชัดว่ายังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น






พระอารมณ์ของเจ้าชายเจ้ากรมฯ ดูเป็นปกติดีแล้ว ไทวาคุยกับพระองค์ได้อย่างสนุกสนานเหมือนเดิม ขณะที่กำลังสองจิตสองใจว่าจะทูลถามเรื่องเมื่อกลางวันดีหรือไม่ คนที่เป็นฝ่ายเสด็จมาคุยกับเขาถึงที่ห้อง และชวนเขาออกมานั่งดูดาวตรงระเบียงห้องด้วยกันก็ตรัสถามขึ้นเสียก่อน

“ไทรู้ตัวไหมว่ากำลังถูกจีบ”

เด็กหนุ่มนิ่วหน้า “ใครจีบครับ”

“จิรภัทร”

เด็กหนุ่มนิ่งเงียบ หลุบตา สีหน้าบอกความลังเล แล้วก็เหลือบตาขึ้นมองคนประทับตรงข้าม

“พี่ภัทรก็แค่คุยกับไทปกติ ไม่ได้จีบไทหรอกครับ”

“เขาจีบไท”

“พี่เขย... ไม่ชอบหรือครับ” ทำไมถึงต้องทำเสียงดุด้วย

“... เปล่า”

ต่างฝ่ายต่างเงียบไป

“พี่แค่อยากจะบอกให้ไทรู้ตัว”

ไทวานิ่วหน้า

“จะได้พิจารณาถูก ว่าสมควรจะรับรักเขาไหม ชอบเขารึปะ...”

“ไทไม่ได้ชอบพี่ภัทรนะครับ!” เด็กหนุ่มโพล่งเสียงดัง “ไทไม่มีวันชอบใครได้หรอกครับ ไทไม่ได้ชอบใครทั้งนั้น ไทชอบพี่เขย... ชอบพี่เขยคนเดียว”

ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะต้องมาสารภาพเอาในเวลาแบบนี้ ในสถานการณ์แบบนี้ เขายังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับความผิดหวังเอาไว้เลย ก็แค่อยากจะบอก ไม่อยากให้เข้าใจผิด

ดูสีพระพักตร์อึ้งๆ ของอีกฝ่ายแล้ว ไทวาก็เจ็บปวดก่อนจะได้คำตอบเสียอีก เขาไม่กล้าพอจะทูลถามว่าอีกฝ่ายทรงรู้สึกยังไงกับเขา เพียงแต่ยังไงก็อยากจะอธิบาย

“พี่ภัทรก็รู้ว่าไทชอบพี่เขย พี่ภัทรอาสาจะช่วย บอกให้ไทแกล้งทำเป็นหลงรักพี่ภัทร พี่เขยจะได้หึง แต่ไทตอบพี่ภัทรไปแล้วว่าไทไม่ต้องการ ไทอยากจะทำให้พี่เขยรักไทด้วยตัวของไทเอง พี่ภัทรจะจีบไทหรือเปล่าไทไม่รู้ เขาอาจจะแค่พยายามช่วยไท แกล้งทำให้พี่เขยหึงก็ได้ แต่ไทไม่ได้คิดอะไรกับพี่ภัทรจริงๆ พี่เขยเชื่อไทนะครับ”

 เจ้าชายอัทธายุทรงนิ่งเงียบ

“พี่เขย...”

น้ำเสียงเดือดร้อน สีหน้าอ้อนวอนแบบนั้น ยิ่งมอง ก็ยิ่งเห็นว่าน่ารัก ขนาดไม่รู้ว่าพระองค์ทรงหึง ยังพยายามอธิบายอย่างร้อนรนกระวนกระวาย บอกออกมาอย่างหมดเปลือก เด็กผู้ชายที่เพิ่งจะสารภาพรักกับพระองค์อย่างซื่อตรงช่างน่ารักเหลือเกิน

“ไทชอบพี่”

“ครับ”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ไม่รู้ครับ ไทไม่รู้”

“ทำไมต้องร้องไห้”

“ขอโทษครับ” น้ำตาเม็ดเป้งร่วงลงมา เจ้าตัวพยายามเช็ดออกอย่างน่าสงสาร

“พี่ไม่ได้ว่า” ไม่ได้อยากจะทำให้ร้องไห้เลย ยิ่งเห็นว่าสะอึกสะอื้นขนาดหนักยิ่งทรงสงสาร

“ไทขอโทษ... ฮือ... ไทขอโทษครับพี่เขย”

เด็กหนุ่มถอดแว่นตาออกถือไว้มือหนึ่ง อีกมือปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่องราวเขื่อนแตก

“ไทวา พี่...”

“พี่เขยโกรธไทไหม ฮึก... เกลียดไทรึเปล่า เกลียดไทแล้วใช่ไหม”

ไม่เคยคิดว่าจะต้องมานั่งฟูมฟายน้ำตานองต่อหน้าคนที่ชอบแบบนี้เลย กับเจ้าหญิงวรนารีที่เป็นคนสำคัญของพี่เขย กับเจนจิราซึ่งเป็นคู่แข่งคนสำคัญ หรือแม้แต่จิรภัทรซึ่งเป็น ‘คนอื่น’ เขายังสามารถบอกว่ารักพี่เขยได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ซ้ำยังมั่นใจจนดูเหมือนอวดดีเสียอีก บอกว่ามั่นใจว่าจะต้องได้รับความรักตอบแน่ หรือต่อให้ไม่ได้รักกลับคืนก็ไม่เห็นจะเป็นไร แต่พอเอาเข้าจริง
พออยู่ต่อหน้าคนที่ชอบ ก็ไม่มีอะไรอยู่ในความควบคุมเลยสักอย่าง

“ร้องไห้ทำไม พี่ไม่ได้โกรธไท เกลียดยิ่งแล้วใหญ่ ทำไมถึงคิดไปเองเป็นตุเป็นตะขนาดนี้”

“โฮฮฮฮฮฮฮ! พี่เขยว่าไทอ่ะ! ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียดแล้วว่าไททำไม”

“เอ้า!”

เจ้าชายหนุ่มทรงตบพระนลาฎดังฉาด เงยพระพักตร์ขึ้นแล้วกลอกพระเนตรขึ้นฟ้า แย้มพระสรวลมุมโอษฐ์อย่างขำๆ

ให้ตายสิ ไม่เคยถูกใครสารภาพรักแล้วรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลย

ไทวา เจ้าเด็กคนนี้นี่... น่ารักเป็นบ้า!

“แล้วจะให้พี่ทำยังไง”

“ไม่รู้ ฮึก... ไทไม่รู้” หยุดไปครู่จึงพูดต่อ “ปวดหัวด้วย ฮึก ไทคิดไม่ออก”

เจ้าชายอัทธายุเกือบจะทรงพระสรวลออกมารอมร่อ พระอารมณ์ดีแบบสุดๆ ฉุดไม่อยู่ ทั้งเอ็นดู ทั้งสงสาร ทั้ง...

จากที่คิดว่าจะอ้าแขนให้เดินเข้ามาหา ก็เปลี่ยนเป็นลุกจากเก้าอี้แล้วดำเนินเข้าไปรวบตัวคนที่กำลังสะอื้นฮักๆ น้ำมูกน้ำตาไหลปนกันมั่วเข้ามากอดไว้แน่นๆ ไทวาอ้าแขนสองข้างโอบรอบบั้นพระองค์หนาๆ ของอีกฝ่ายไว้แนบแน่น ซบหน้าเช็ดน้ำตาและน้ำมูกกับฉลองพระองค์สีอ่อน

“พี่เขย กอดไทหน่อย ไม่เกลียดไทก็กอดไทหน่อยครับ”

“ก็กอดอยู่นี่ไง”

“ฮึก... แน่นๆ กอดแน่นๆ”

เจ้าชายหนุ่มทรงกระชับอ้อมพระพาหา ขยับโยกตัวเด็กหนุ่มไปมาราวกับปลอบเด็กให้หายโยเย ขยี้ผมเกรียนๆ แล้วก็หอมหัวแรงๆ ไปทีหนึ่ง

... หอม...

“ฮือออออ!”

ไทวาไม่ทำอะไรนอกจากร้องไห้ ยิ่งปลอบ ยิ่งอ่อนโยนด้วยก็ยิ่งร้อง เจ้าชายอัทธายุทรงทำอะไรไม่ได้นอกจากกอดตัวกินไก่ที่แสนน่ารักของพระองค์เอาไว้อย่างนั้นอยู่เป็นชั่วโมง







tbc.

**********************************************

อีกสองตอนจะจบแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 7) 9 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 09-06-2014 11:24:37
คุณพี่เขยคะ ถ้าอิฉันเป็นไทวา อิฉันละลายตรงนั้นเลยค่ะ 555
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 7) 9 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Chise ที่ 09-06-2014 16:57:14
หนูไทวาน่ารักมากกก พี่เขยก็อ่อนโยนจนใจละลาย
หลงรักตัวกินไก่เข้าแน่แล้วซินะเจ้าชาย ดีใจกับหนูไทวาด้วย
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 7) 9 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 09-06-2014 19:21:40
ชอบเรื่องนี้ที่สุดเลย อ่านแล้วมีความสุขจัง

ไทวา น่ารักมากๆเลย ตรงไปตรงมา ซื่อๆแต่ไม่โง่นะ

องค์ชายสาม ทรงอ่อนโยนมากๆ ตอนนี้ทั้งหยอดทั้งแถเลย หุ หุ

หลงองค์ชายตามไทวาไปด้วยเลย :m1:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 7) 9 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 10-06-2014 00:42:15
 :m25: อ๊ายยย 'เลีย'

พี่เขยเขาน่ะรู้ไหม
ช่วงท้ายนี่มันก๊าวใจดีจัง  :hao7:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 7) 9 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 10-06-2014 14:25:35
 :-[

ชอบง๊าาา

ความสัมพัน...ใกล้แล้ว

รอเขากระชับสัมพันกันแบบแน่นๆ :hao3:

ตอนต่อไปจงมา.... :hao6:


ขอบคุณจ้า :L2:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 7) 9 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-06-2014 22:14:25
น้องไทน่ารักขึ้นทุกตอนเลย  :hao6:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 8) 14 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 14-06-2014 09:04:10
วันวาน... สู่นิรันดร์
บทที่ ๘


เช้าวันรุ่งขึ้น ไทวาตาบวมตุ่ย แต่ก็ยังมานั่งร่วมโต๊ะเสวยตามเวลา ยิ้มแย้มและพูดคุยกับเจ้าชายสามตามปกติ ราวกับเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

คนประทับหัวโต๊ะทอดพระเนตรตาช้ำๆ ปรือๆ กับรอยยิ้มเต็มปากเต็มแก้มของเด็กหนุ่มแล้วก็ไม่อาจจะทรงปล่อยผ่านไปได้อีกต่อไป

“วันนี้พี่ว่าจะเข้ากรมตอนบ่าย”

“แล้วตอนเช้าไปไหนหรือครับ” น้ำเสียงก็แหบแห้งเล็กน้อย

“คุยกับไท”

ไทวาชะงัก

“พร้อมจะคุยกับพี่ไหม”

ดวงตาหลังกรอบแว่นไหวระริก บอกให้รู้ว่าที่ทำเหมือนไม่เสียใจ ไม่รู้สึกอะไรแล้วนั้นไม่จริงเลย เด็กหนุ่มนิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะระบายยิ้ม

“พร้อมครับ”

ที่จริงเขาก็พร้อมมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่เมื่อคืนมันกะทันหันไปหน่อยเขาจึงเสียหลัก ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรจนปวดตาไปหมด

อาทิตย์หน้า พี่เขยก็จะออกเดินทาง






เจ้าชายสามตรัสสั่งให้มหาดเล็กน้ำผ้ากับน้ำเย็นมาถวาย ตรัสสั่งให้คนตาบวมนอนราบบนเก้าอี้บุไหมตัวยาว สอดหมอนใบนุ่มรองใต้ศีรษะประทานให้ ก่อนจะประทับขัดสมาธิบนพื้น จุ่มผ้าสะอาดลงในอ่างน้ำ บิดหมาด

“หลับตา”

ไทวาหลับตาอย่างว่าง่าย เพราะทั้งแสบ ทั้งหนักเต็มที ถึงกระนั้นก็ยังห่วง

“พี่เขยบอกว่าจะคุยกับไท”

“ก็นอนไปคุยไป”

รับสั่งพลางทรงดึงแว่นตาของเด็กหนุ่มออกวางไว้บนโต๊ะ โปะผ้าชุบน้ำเย็นลงบนเปลือกตาบวมๆ ซ้ำยังทรงวางพระหัตถ์ทับลงไปโดยไม่ลงน้ำหนักมากนัก

“รักพี่จริงหรือ”

ไทวาตัวเกร็ง จะดึงพระหัตถ์ออก ทว่าเจ้าชายหนุ่มไม่ทรงยอม

“ครับ รักครับ” แค่สารภาพรัก ในอกก็ปวดหนึบ รู้สึกแน่นจนเกือบจะหายใจไม่ออก

“เพราะรักก็เลยต้องร้องไห้ใช่ไหม”

เด็กหนุ่มนิ่งอึ้ง ก้อนสะอื้นตีตื้นขึ้นมาถึงลำคอ เขาพยักหน้า

“ตัดใจได้ไหม”

เฮือก!

ไทวาจะลุกขึ้นนั่ง ทว่าเจ้าชายอัทธายุทรงกดตัวไว้

“นอนไป ตาจะได้ดีขึ้น”

“พี่เขยปล่อยไท ไทอยากมองหน้าพี่เขย ไทอึดอัดครับ”

น้ำเสียงร้อนรนกับสีหน้าเดือดร้อนสาหัสทำให้เจ้าชายเจ้ากรมฯ ทรงยอมปล่อยให้เด็กหนุ่มลืมตาแล้วลุกขึ้นมานั่ง

ไทวาจ้องมองพระพักตร์คมคายของเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณนิ่งๆ อกใจปั่นป่วน แล้วดวงตาที่แสบร้อนอยู่แล้วก็ทวีความร้อนผ่าวขึ้นอีกครา น้ำตาเอ่อคลอ ทว่าเด็กหนุ่มกลั้นใจปาดทิ้งไปก่อนจะไหลลงมาอาบแก้ม เขาไม่อยากให้พี่เขยคิดว่าเขาใช้น้ำตาเป็นเครื่องมือเรียกร้องความสงสาร

“ไทวา”

“ครับ”

“ไม่ต้องร้องไห้ พี่แค่อยากคุยกับไทให้เข้าใจ แค่ไทไม่คิดไปเองก่อนที่พี่จะบอก ไทก็จะไม่ต้องเสียใจ”

“ครับ”

ไม่ทันได้ตีความว่าอีกฝ่ายหมายความว่ายังไงกันแน่ คิดแค่ว่าไม่ว่าจะรับสั่งอะไรก็จะเชื่อฟังเท่านั้น เจ้าชายอัทธายุรับสั่งเบาๆ ค่อยๆ

“ถ้ารักพี่แล้วต้องเจ็บ ก็ตัดใจได้ไหม”

ไทวาส่ายหน้า “ไม่ได้ครับ”

“ทำไม”

“เพราะไทมีพี่เขยอยู่ในใจมาตั้งนานแล้วครับ ถ้าจะตัดใจ ไทคงต้องขอเวลาอีกสักสิบปี”

“ถ้าพี่สั่งให้ไทตัดใจล่ะ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้”

ถึงจะตาบวม ปรือจนแทบปิด ทว่าเจ้าชายเจ้ากรมฯ ก็ทอดพระเนตรเห็นชัดเจนว่าแก้วตาของเด็กหนุ่มหดเล็กลงจนเหลือนิดเดียว หน้าซีด ปากสั่นระริก

“พี่เขย... ใจร้าย”

คนใจร้ายกลับแย้มพระสรวลอ่อนโยนรับคำต่อว่า

“แต่พี่เขยไม่มีสิทธิ์สั่งไท”

เจ้าชายหนุ่มทรงเลิกพระขนง สีพระพักตร์ประหลาดพระทัยอย่างเห็นได้ชัด ไทวาดูจะต้องใช้กำลังใจในการพูดมาก ทว่าแม้น้ำเสียงจะสั่นพร่า เด็กหนุ่มก็กราบทูลอย่างชัดเจน

“ไทเป็นเชลย พี่เขยจะสั่งให้ไทไปตายก็ยังได้ แต่ความรักของไท ใครก็ไม่มีสิทธิ์มาบังคับ ไทแค่รักพี่เขยเท่านั้น ไม่ได้บังคับให้พี่เขยรักไทสักหน่อย ต่อให้... สักวันหนึ่งพี่เขยแต่งงานไป” แค่คิดถึง ก็แทบจะทานทนไม่ได้ “ไทก็ไม่ได้ไม่ได้ทำอะไรผิดต่อใคร ก็แค่รักเท่านั้นเองนี่ครับ พี่เขยไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ ไม่จำเป็นต้องสงสาร ถ้าไทรักแล้ว จะความเจ็บปวดหรือคำประณามด่าว่าจากใคร ไทก็เต็มใจจะแบกรับไปตลอดชีวิตเอง”

ใช่... ก็แค่รัก

แต่ทำยังไงดี ความรู้สึกที่พระองค์มีต่อเจ้าเด็กนี่มันชักจะรุนแรงจนเกือบจะเกินความควบคุมเสียแล้ว ทั้งที่ก็เป็นแค่เด็กผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น เด็กผู้ชายที่ทำให้พระองค์ใจเต้นแรง ดวงตาช้ำเรื่อคู่นั้นทั้งมีเสน่ห์อย่างประหลาด และมุ่งมั่นยิ่งกว่าใครๆ พูดขนาดนี้แล้ว จะพระทัยแข็งต่อไปลงคอได้ยังไง

“ตัดใจไม่ได้ก็ไม่ต้องตัด”

“ม... หมายความว่ายังไงครับ” ใจเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมาจากอก

“พี่รักไท”

ไทวาเบิกตากว้าง น้ำตาร่วง เจ้าชายอัทธายุทรงจับมือเย็นๆ ของเด็กหนุ่มแล้วดึงเบาๆ ไทวาปลิวตามแรงดึงมานั่งลงบนพระเพลาให้เจ้าชายหนุ่มทรงลวนลามแก้ม พระหัตถ์อุ่นปาดน้ำตาออกจากแก้มช้าๆ ไทวายังคงนิ่งอึ้งราวกับเป็นใบ้ ทั้งที่อยากจะเห็นพระพักตร์ให้ชัดๆ แต่ดวงตากลับพร่ามัว เมื่อเห็นว่าเช็ดยังไงก็คงไม่แห้ง เจ้าชายสามจึงทรงกอดเด็กหนุ่มเอาไว้แทน ไทวากอดตอบทั้งที่เนื้อตัวสั่นสะท้าน ทูลถามกระท่อนกระแท่น

“จริงนะ รักไทจริงๆ นะ ไม่ใช่สงสารไทใช่ไหม”

“ไม่ได้สงสาร”

พระองค์ทรงถูกผู้หญิงสารภาพรักมากี่คน แต่ละคนดูน่าสงสารกว่านี้กี่เท่า ไทวาไม่รู้หรอก ถ้าพระองค์ทรงสงสารแล้วบอกว่ารัก ก็ไม่รู้ว่าป่านนี้ทรงบอกรักไปกี่สิบคน

“พี่เขยอย่าหลอกไทนะ ไทมีแค่พี่เขยคนเดียว... มีแค่คนเดียวมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว”

“ไทอาจจะรักพี่อย่างพี่ชาย”

“เปล่านะ!” เด็กหนุ่มปล่อยมือ มองพระพักตร์หน้าตาตื่น ก่อนที่ดวงหน้ากลมๆ จะบิดเบี้ยวเหยเก

“เป็นอะไร”

“ท... ไทปวดท้องครับ” ปวดจนตัวงอ

“ใครอยู่ข้างนอกบ้าง ตามหมอมา!”






คุณชายแห่งเผ่าไทวะหมดสติไปก่อนที่แพทย์หลวงจะมาถึง เจ้าชายอัทธายุทรงวางผ้าเย็นลงบนดวงตาช้ำๆ ลูบหัวลูบท้องประทานให้อยู่ตลอดเวลา สีพระพักตร์กังวลจนกระทั่งแพทย์หลวงมา

“เป็นอาการที่เกิดจากความเครียดพระเจ้าค่ะ ขอเพียงดื่มยาที่กระหม่อมจัดถวาย กับทำใจให้สบาย ระมัดระวังไม่ให้เกิดความเครียดขึ้นอีกก็ทรงวางพระทัยได้พระเจ้าค่ะ”

“ขอบใจมาก หมอ”

แพทย์หลวงทูลลากลับไปแล้ว เจ้าชายสามทรงผ่อนพระปัสสาสะออกเบาๆ ช้อนตัวเด็กหนุ่มขึ้นอุ้มอย่างระมัดระวังไปวางไว้บนพระที่ของพระองค์เองเพราะห้องบรรทมอยู่ใกล้กว่าห้องของอีกฝ่าย

ไทวารู้สึกตัวอีกครั้งตอนเย็น และเห็นเจ้าของห้องซึ่งประทับอยู่บนพระเก้าอี้ข้างเตียงส่งยิ้มมาให้แทบจะทันที

“พี่เขย...”

เจ้าชายอัทธายุเสด็จมาประคองให้คนอยากลุกลุกขึ้นมานั่งได้สะดวก ทั้งยังสอดพระเขนยรองหลังประทานให้ ส่วนพระองค์เองก็ประทับอยู่บนพระที่ด้วย ไปไหนไม่ได้เพราะถูกอีกฝ่ายยึดพระหัตถ์เอาไว้

“ยังปวดท้องอยู่ไหม”

ไทวาส่ายหน้า “ไม่ปวดแล้วครับ”

“ไม่ปวดแล้วก็ต้องกินยา แต่เดี๋ยวกินข้าวเย็นก่อนค่อยกินยาตามก็ได้”

“ครับ” เขาไม่ชอบกินยาเท่าไร แต่ก็ไม่อยากจะงอแงให้พี่เขยลำบากใจ เด็กหนุ่มเม้มปาก ชั่งใจอยู่ไม่นานก็ตั้งท่าจะทูลถาม แต่ไม่ทันอีกฝ่าย

“ตาล่ะ ปวดไหม” ไม่บวมแล้วเพราะทรงเปลี่ยนผ้าประคบให้บ่อยๆ แต่อาจจะยังเจ็บ

เด็กหนุ่มส่ายหน้า

“พี่เขยรักไท... อย่างน้องชายหรือครับ” ทูลถามแล้วก็กลั้นใจรอคำตอบ ยอมรับว่ากลัวเหลือเกิน

“เมื่อก่อนอาจใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่”

เด็กหนุ่มหน้าตาตื่น ใจเต้นตึกตัก

“แล้ว... รัก... อย่างไหนครับ”

“อย่างที่อยากจะได้เป็นเมีย”

“พี่เขย!” ดีใจอย่างกับได้โลกทั้งใบมาไว้ในครอบครอง แต่ก็เขินจนหน้าร้อนผ่าว ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะรับสั่งอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้

“เข้าใจความหมายของพี่ไหม”

เด็กหนุ่มพยักหน้าช้าๆ อย่างอายๆ อกใจยังคงเต้นแรงอย่างตื่นเต้นไม่หาย เขินจนทำอะไรไม่ถูก

“เข้าใจแน่หรือ”

“เข้าใจครับ”

“เข้าใจว่ายังไง”

ไทวามองสบสายพระเนตร แล้วก็หลบตา ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองใหม่ คลานเข้าไปใกล้ แล้วก็ยืดตัวขึ้นจูบพระโอษฐ์ใต้เรียวพระมัสสุบางๆ เบาๆ... รู้สึกจั๊กจี้ไปถึงหัวใจ เห็นประกายสายพระเนตรวาววามกึ่งแปลกพระทัยกึ่งพึงพอใจที่ทอดมองมาแล้วก็หน้าแดงเถือก ครั้นเสไปมองบนโต๊ะข้างเตียง เห็นแว่นวางอยู่จึงแก้เก้อด้วยการหยิบมาใส่ ครั้นหันกลับมาอีกที ยังไม่ทันพูดอะไรก็ถูกอีกฝ่ายทรงกดให้นอนราบลงกับเตียง

เจ้าของพระวรกายใหญ่โตทรงโน้มพระองค์ตามลงมา ดึงแว่นตาออกไปวางที่โต๊ะดังเดิม

“เห็นหน้าพี่ไหม”

ไทวาพยักหน้า

“แน่ใจหรือ” คนตรัสถามแย้มพระสรวลมุมโอษฐ์ “ไหนบอกซิ ว่าปากพี่อยู่ตรงไหน”

บอกน่ะบอกได้อยู่หรอก แต่ว่า

“พี่เขยปล่อยแขนไทก่อนสิครับ” แขนสองข้างถูกยึดไว้อย่างนี้ เขาจะชี้ได้ยังไง

เจ้าชายอัทธายุไม่ทรงปล่อย แต่ก้มพระพักตร์ลงมาอีก “ใกล้แบบนี้ ชี้ได้รึยัง”

เด็กหนุ่มมองพระโอษฐ์สลับกับพระเนตรอย่างงงๆ อยู่ครู่ แล้วก็พลันนึกออก

“พี่เขย...” ทูลเรียกเสียงเบาราวกระซิบ หน้าขาวแดงซ่าน

“ว่ายังไง”

คนถูกถามดันตัวเองขึ้นเล็กน้อย เงยหน้า ยื่นปากไปนิดเดียวก็ชนกับพระโอษฐ์ พอผละออก อีกฝ่ายก็ทรงตามประกบติด ประทานจุมพิตนุ่มๆ เบาๆ ซ้ำๆ อยู่หลายครั้งให้เคยชิน ขบเม้ม ดูดดื่มความหอมหวานนุ่มนิ่มของริมฝีปากแดงๆ แสนน่ารักนั้นตามแต่พระทัย ก่อนจะใช้พระชิวหาดันกลีบปากให้อ้าออก ไทวาเผยอปากอย่างว่าง่าย หวามใจลึกล้ำเมื่อพระชิวหาอุ่นชื้นรุกล้ำเข้ามาในปากแล้วพัวพันกับลิ้นของเขา ดูดกลืนแรงๆ ราวกับจะดึงเข้าไปในพระโอษฐ์ของพระองค์เอง

เสียงครางอาอืมอย่างพึงพอใจโหมไฟในพระวรกายของเจ้าชายหนุ่มได้ไม่ยาก

“อ๊ะ!”

ไทวาแอ่นกายขึ้นเมื่อยอดออกถูกสะกิดเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายทรงถอนพระโอษฐ์ออก เด็กหนุ่มก็หอบเบาๆ และประจักษ์ว่ากระดุมเสื้อถูกปลดออกหมดแล้ว ตั้งแต่หน้าอกจรดหน้าท้องเปิดเปลือยสู่สายพระเนตร พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับหัวเข็มขัดของเขาเอาไว้แล้ว ส่วนสองมือของเขาไม่รู้ว่าโอบกอดพระองค์เอาไว้ตั้งแต่เมื่อไร

“พี่เขย”

ไทวายึดพระหัตถ์ไว้ ไม่ได้อยากจะขัดขืน แต่ถ้ายอมนอนนิ่งๆ ให้ทรงถอดเอาตามพระทัย ก็ดูจะน่าละอายใจตัวเองเกินไป เจ้าชายอัทธายุไม่ได้ทรงฝืนดึงดัน เพียงแต่ก้มลงเลียหยาดน้ำใสๆ ที่ไหลย้อยลงมาถึงลำคอขาวๆ ของอีกฝ่าย สลับกับดูดซับเบาๆ ขึ้นไปจนถึงมุมปาก แล้วประกบจูบดูดดื่มอีกหนจนคนถูกจูบเผลอปล่อยมือจากพระหัตถ์มาขยำฉลองพระองค์เอาไว้แทน

เพียงแค่เผลอตัวมัวเมาไปกับพระโอษฐ์ร้อนๆ กับพระมัสสุที่ครูดเบาๆ ไปทั่วปาก ทั่วแก้ม ตลอดไปจนถึงซอกคอซ้ายขวาและใบหู เข็มขัดก็ถูกปลดทิ้งลงข้างเตียง ตามด้วยกางเกงทั้งชั้นนอกและชั้นใน หลังจากนั้นก็เป็นเสื้อ คนที่ยังไม่รู้ตัวว่าถูกเปลื้องผ้าเป็นชีเปลือยหอบครางพลางบอกอย่างใสซื่อ

“ไทเสียวจังเลย”

เจ้าชายอัทธายุทรงหยุดกึก พระทัยเต้นแรง หวามลึก และฮึกเหิมรุนแรงขึ้นอีก

“หนวดพี่เขยทิ่มคอไท ตะ... แต่ไทชอบ” คนพูดถึงกับหัวเราะเบาๆ อายๆ ประกายสายพระเนตรของเจ้าชายหนุ่มวาววับขึ้นโดยที่เด็กหนุ่มไม่ทันเห็น ได้ยินเพียงรับสั่งพระสุรเสียงนุ่ม

“เดี๋ยวไทจะเสียวกว่านี้อีก”

ไทวายังไม่ทันประมวลผลความคิด อีกฝ่ายก็ทรงสาธิตด้วยการแตะพระชิวหาลงบนยอดอกสีชมพูเข้ม เด็กหนุ่มสะท้านกายเฮือก

“อ๊ะ! พี่เขย”

เลียอยู่ไม่กี่ครั้ง พระองค์ก็ทรงขบเม้มเบาๆ สลับกับดูดดึง กลืนกินเข้าไปให้สมกับที่ได้แต่ทรงคิดถึงมานานหลายคืน โดยไม่ทรงลืมยอดออกอีกข้างหนึ่งซึ่งเต่งตึงรอคอยการบดบี้เคล้นคลึงอย่างเอาใจจากพระองค์อยู่

ไทวาแอ่นกายขึ้นตามพระโอษฐ์จนแผ่นหลังแทบไม่ติดเตียง ไม่ได้สำเหนียกเลยว่าขาสองข้างถูกแยกออกกว้างเสียแล้ว
ดวงหน้าแดงเรื่อ นัยน์ตาปรือปรอย เสียงครางอย่างน่ารัก กับแผ่นอกขาวๆ และยอดอกบวมเป่งของเด็กหนุ่มล้วนกระตุ้นพระอารมณ์ของเจ้าชายเจ้ากรมฯ ได้อย่างดีเยี่ยม ทว่าเนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกของไทวา พระองค์จึงตั้งพระทัยว่าจะค่อยเป็นค่อยไป
คุณชายหนุ่มถูกประทับจูบตีตราแทบทั้งตัว เรียวขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นเพื่อประทับรอยตรงซอกขาด้านใน ผิวเนื้ออ่อนถูกพระมัสสุครูดเป็นรอยแดง และเมื่อแก่นกายที่ตั้งชันอย่างน่าอายถูกเลียตลอดความยาว เขาก็สะท้านเฮือก

“พี่เขย... อยะ... อย่าครับ...”

เจ้าชายหนุ่มทรงรับสัดส่วนน่าอายนั้นเข้าพระโอษฐ์ไปแล้ว ไทวาทำอะไรไม่ได้ นอกจากขยุ้มพระเกศาสั้นเกรียนที่เขาเป็นคนตัดเองกับมือไว้เพื่อระบายความเสียวซ่าน สองขาอ้ากว้างอย่างลืมตัว ถึงจะอาย แต่ก็อยากจะเห็น  ไทวาก้มลงมองในจังหวะเดียวกับที่เจ้าชายอัทธายุทรงเปลี่ยนจากพระโอษฐ์เป็นพระหัตถ์แล้วเงยพระพักตร์ขึ้นมามอง

เด็กหนุ่มอายจนแทบอยากตาย แต่ก็เสียวจนเกือบจะขึ้นสวรรค์อยู่รอมร่อ

เจ้าชายสามทรงขยับพระหัตถ์ช้าลง ไทวาบิดกายอย่างทรมานกึ่งรัญจวน

“พ... พี่เขย”

เด็กหนุ่มยื่นมือมาหมายจะช่วยตัวเอง ทว่าเจ้าชายหนุ่มทรงปัดทิ้งแล้วสวมพระโอษฐ์ครอบลงไปบนสัดส่วนน่ารักที่ทั้งแข็ง ทั้งร้อน และเปียกเยิ้มอีกหน

ท่าทางการกัดปาก ตาฉ่ำปรือ ร้องอื้ออ้าแลดูน่าเอ็นดูเป็นอันมาก วันนี้พระองค์จะทรงเอ็นดูให้ขาดใจไปเลย

“พ... พี่เขย ปล่อยไท ไทจะ... จะ... จะถึง... อ๊า!”

เด็กหนุ่มเงยศีรษะขึ้นจนสุดล้า ยอดอกชูชันเบ่งบานไสวยั่วสายตา    ไทวาดิ้นกระแด่ว กระตุกกายถี่ๆ เหมือนปลาที่ถูกวิดขึ้นมาจากหนองน้ำ ในขณะที่น้ำในตัวถูกดูดจนแห้ง

ไทวาหอบแฮ่ก หลับตานิ่ง

เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงดึงตัวเด็กหนุ่มมากอดเอาไว้ ลูบเหงื่อที่เปียกชุ่มเต็มหน้าประทานให้ แล้วจูบริมขมับขาวๆ เบาๆ รอจนอีกฝ่ายหายใจเป็นปกติขึ้นแล้วลืมตามองจึงแย้มพระสรวลให้

“เหนื่อยล่ะสิ ตัวกินไก่ เหนื่อยก็หลับตา นอนไป”

ดวงตาคู่ซื่อมีแววลังเล

“อะไร”

“พี่เขย... ไม่เข้ามาในตัวไทหรือครับ”

เจ้าชายอัทธายุทรงชะงัก... เจ้าเด็กนี่...

“ไทไม่น่ารักเหรอครับ ปากไทไม่อร่อย นมไทไม่ใหญ่เหรอครับ พี่เขยถึงอดใจได้ ไทขาวนะ ตัวนุ่มด้วย พี่เขยไม่มีอารมณ์กับไทเพราะไทเป็นผู้ชายเหรอค... ครับ...”

หางเสียงสะดุดเมื่ออีกฝ่ายทรงดันช่วงล่างของเขาไปชิดช่วงล่างของพระองค์ ไทวาเบิกตากว้าง น้ำลายเหนียวหนับเมื่อทูลถามเสียงสั่น

“พี่เขยสะ... ใส่อะไรไว้ข้างใน... เหรอครับ”

เจ้าชายหนุ่มทอดพระเนตรสีหน้าแตกตื่นของอีกฝ่ายอย่างขำๆ

“อยากรู้ก็ลองจับดูสิ”

ไม่รอให้เด็กหนุ่มตอบรับหรือปฏิเสธ พระองค์ก็ทรงจับมือสั่นๆ ของเขามาจับกลางพระวรกายที่ปวดหนึบไปหมด ไทวาสะดุ้งเฮือกขยับจะชักมือออก แต่อีกฝ่ายทรงบังคับให้กดแนบลงไปอีก

“ยังคิดว่าพี่ไม่มีอารมณ์กับไทอยู่ไหม”

“ละ... แล้วทำไม...”

“พี่อยากให้ความสำคัญ อยากค่อยเป็นค่อยไป ไม่อยากรังแกคนป่วย”

คนฟังเต็มตื้นขึ้นมาในอก

“แต่ไท... อยากให้พี่เขยทำกับไท” เด็กหนุ่มบอกเสียงเบา หน้าแดงก่ำ ทั้งที่มือยังสั่นอยู่ไม่หาย ทั้งๆ ที่หวั่นกลัวกับขนาดอันไม่คาดคิด แต่ไม่รู้ทำไม ยิ่งจับ ยิ่งลูบ ก็ยิ่งตื่นเต้น

“ไทพูดเองนะ อย่าหาว่าพี่ใจร้ายทีหลัง”

“ครับ”

“ถึงไทจะร้องไห้อ้อนวอน พี่ก็จะไม่หยุด”

คนถูกขู่ดูจะกลัวขึ้นมาหน่อยๆ แต่ก็ทำใจกล้า พยักหน้า

ใจเต้นถี่แรงเมื่อได้เห็นพระวรกายเปล่าเปลือยของคนที่อยู่ในหัวใจมาตลอดสิบปี ไทวามองพระวรกายสวยงามกำยำ เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นๆ น่าซุกซบตาไม่กะพริบ เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวลมุมโอษฐ์ ทาบองค์ลงมากดจูบเบาๆ ตรงมุมปากนิ่มๆ รับสั่งเบาๆ ทว่าแหบพร่าอยู่ข้างหู

“หน้าตาหื่นเกินไปแล้ว ตัวกินไก่ น้ำลายไหลยังไม่รู้ตัวอีก”

ไทวาตะปบปากตัวเอง ก่อนจะรู้ว่าถูกหลอก

“พี่เขย อะ... อื้อ... อื้ม...”

เสียงดูดปากดังจ๊วบจ๊าบน่าละอายดังขึ้นในห้องเงียบ ขณะที่ไทน้อยที่เกือบจะหลับไปแล้วถูกปลุกขึ้นมาอีกหนจนตื่นอย่างง่ายดาย ไทวารู้สึกเหมือนพี่เขยมีมืองอกออกมาสักสิบมือทำให้เขากระสันรัญจวนจนบิดเร่า ครวญครางกึ่งสะอื้นอย่างหักห้ามเอาไว้ไม่ไหว เจ้าชายอัทธายุไม่ทรงรังเกียจที่จะใช้พระโอษฐ์ปรนเปรอให้เด็กหนุ่มอีกรอบ ความวาบหวามซาบซ่านทำให้พอจะเมินความเจ็บจากการถูกรุกรานช่องทางด้านหลังไปได้บ้าง

เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงพยายามอดทนอย่างยิ่งยวดที่จะไม่แทงพรวดเข้าไปทีเดียว ปากทางกลางจีบยับย่นสีชมพูเข้มเปิดอ้าออกเมื่อถูกสอดใส่ซ้ำๆ แต่พอทรงดึงนิ้วพระหัตถ์ออกมาจนเกือบสุดก็ทำท่าจะปิดตัวแนบแน่นอีกหน

นิ้วที่สองดูท่าจะลำบาก

ไทวาน้ำตารื้น พยายามกลั้นเสียงสะอื้นแต่ก็ทนไม่ไหว เจ้าชายหนุ่มทรงวกขึ้นไปจูบปากปลอบประโลม เด็กหนุ่มน้ำตาไหลเป็นทาง เอาแต่เรียก

“พี่เขย... ฮึก... พี่เขย...”

ซ้ำๆ โดยไม่มีคำว่าเจ็บหรือเสียงร้องห้ามออกมาแม้แต่คำเดียว

“ผ่อนคลายหน่อยครับ คนดี ทนเจ็บนิดเดียวเท่านั้น ขอพี่เข้าไปอีกนิ้ว”

เด็กหนุ่มทั้งเจ็บทั้งเสียวจนแทบจะไม่มีสติ แต่ก็พยายามทำตามรับสั่ง นิ้วพระหัตถ์นิ้วที่สองสอดเข้าไปได้ในที่สุด เจ้าชายหนุ่มทรงอ้าออกจากกันเพื่อขยายปากทางเข้า สอดลึก และหมุนวนไปทั่วๆ เพื่อหาจุดที่อีกฝ่ายจะรู้สึกดี

“อ๊ะ!”

ไทวาจิกปลายเท้า แอ่นก้นกลมๆ ขึ้นและตอดรัดนิ้วพระหัตถ์แรงๆ

“ตรงนี้สินะ”

เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างอายๆ เจ้าชายหนุ่มทรงกดย้ำซ้ำๆ ไปพร้อมๆ กับการรูดรั้งแก่นกายที่ใกล้จะปลดปล่อยเต็มที

ไทวาหวีดร้องเสียงดังอย่างสุขสมไปอีกรอบ เจ้าชายอัทธายุทรงใช้โอกาสตอนนี้ทาบพระวรกายแข็งชันจนเกือบจะเป็นหินของพระองค์เข้ากับร่องก้นขาวๆ ถูไถปากทางเข้าสองสามครั้งก่อนจะจรดส่วนปลายเข้าไปตรงรูเล็กแคบ

ไทวาพยายามข่มความเจ็บปวดอย่างเต็มที่ แต่ก็เจ็บจนต้องยกมือขึ้นมากัดจนเลือดซึม ขณะเจ้าชายสามเองก็ทรงพยายามจะอดทน ทว่าแม้ต่างฝ่ายจะพยายามจนเหงื่อโทรมร่างไม่ต่างจากเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เจ้าชายหนุ่มก็ยังทรงเข้าไปไม่ได้

ความอดทนของพระองค์จวนเจียนจะระเบิด ร่ำๆ จะทรงแทงพรวดเข้าไปข้างในอยู่หลายครั้งหลายหน ไม่ว่าจะมองหน้า มองปาก มองตา มองตัว มองหัวนม มองตรงไหนไทวาก็กำลังยั่วพระองค์อยู่ทุกที่

ถ้าไม่รักจริง ก็คงจะทรงโจนจ้วง ทะลวงเข้าไปแล้ว แต่นี่...

เจ้าชายเจ้ากรมฯ ทรงโน้มองค์ลงไปจูบปากแดงช้ำของเด็กหนุ่มเร็วๆ ก่อนจะทรงผละออก

“พี่เขย!”

ไทวาผวาตาม ความมืดที่เริ่มปกคลุมห้องทำให้เห็นไม่ชัด จึงต้องคว้าแว่นตามาสวมแล้วคลานตามไปถึงขอบเตียง เจ้าชายอัทธายุทรงหันกลับมาอย่างพยายามอดทน ส่วนกึ่งกลางพระวรกายผงาดง้ำ ผงกหงึกอย่างน่ากลัว

“ไทนอนพักไปก่อน พี่ไปห้องน้ำเดี๋ยว”

“พี่เขย”

เด็กหนุ่มฉวยข้อพระหัตถ์เอาไว้ อายสุดอาย แต่เขาก็รู้ว่าเรื่องอย่างนี้รอไม่ได้

“ไททำให้ครับ ไทอยากทำให้พี่เขย”

“ไท... อึก...”

แค่ถูกมือนุ่มๆ แตะต้อง ก็ทรงเสียววาบไปทั้งท่อนลำ ไม่ต้องพูดถึงตอนที่อีกฝ่ายใช้สองมือช่วยขยับชักขึ้นลงถวายอย่างไม่ประสีประสา แต่ดูก็รู้ว่าพยายาม

เด็กหนุ่มขยับออกมามากขึ้น เจ้าชายอัทธายุทรงก้าวเข้าใกล้ตามแรงดึง ไทวาตวัดลิ้นแลบเลียส่วนปลายอย่างกล้าๆ กลัวๆ ครั้นเหลือบตาขึ้นไปมองสบกับสายพระเนตรที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา เขาก็ทั้งสะท้านใจทั้งเกิดความฮึกเหิมอย่างแรงกล้า ตัดสินใจรับท่อนลำใหญ่โตที่แค่จับก็ร้อนแทบจะลวกมือเข้าไปในโพรงปากชุ่มชื้น

เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงก้มลงทอดพระเนตรริมฝีปากแดงๆ ที่ขยับเข้าขยับออก เสียดสีกับส่วนนั้นของพระองค์ ขยับปากและเรียวลิ้นอย่างตั้งอกตั้งใจ และพยายามจะรับพระองค์เข้าไปให้ได้ลึกๆ แล้วก็ทรงนึกรักขึ้นมาเป็นกำลัง รู้สึกดีจนแทบจะแตกออกมาเสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็ทรงยั้งเอาไว้

ไทวาชาไปหมดทั้งปากทั้งมือ อุปาทานไปเองรึเปล่าก็ไม่รู้ ที่รู้สึกว่าสัดส่วนใหญ่โตของพี่เขยพองขยายขึ้นอีก ความพยายามจะกลืนกินเข้าไปให้หมดทำให้ถึงกับสำลัก กระอักกระไอจนตัวโยน เจ้าชายอัทธายุทรงเชยคางมนขึ้น ลูบแก้มลูบปากประทานให้

“ใจเย็นๆ ไท ไม่ต้องรีบ ไม่หมดก็ไม่เป็นไร พี่ใกล้แล้ว”

“พี่เขยรู้สึกดีไหม” ไทวาทูลถามน้ำตาคลอ รู้สึกเหมือนยังถูกสากหินทิ่มคออยู่ ปากชาจนแทบหุบไม่ลง

“ดีครับ ดีมาก”

ไทวาหน้าร้อนผ่าว กลืนน้ำลายลงคอแล้วก็รับพระองค์เข้าไปในปากอีกครั้ง ดูดแรงๆ และเลียเร็วๆ ยิ่งเจ้าชายหนุ่มทรงครางซี้ดอย่างพึงพอใจมากเท่าไร เขาก็ยิ่งขยับเร็วขึ้นอีก

“อา... ไท... ไทวา พอแล้ว พี่จะแตก”

แค่ได้ยินพระสุรเสียงแหบพร่าก็เสียวซ่านไปทั้งตัว เจ้าชายอัทธายุทรงดึงผมเกรียนๆ ของเด็กหนุ่มแรงๆ ทว่าแทนที่ไทวาจะถอนปากออก เขากลับดูดแรงขึ้น แม้จะถูกดึงอีกครั้งจนเจ็บหนังศีรษะแต่ก็อดทน

“ท... ไท... อาห์...”

หยาดพระอารมณ์ขุ่นร้อนพุ่งพรวดเข้าไปในลำคออย่างกะทันหัน แม้จะเตรียมใจรับเอาไว้แล้วแต่เพราะมีมากมายเหลือเกินจึงรับเอาไว้ได้ไม่หมด ถึงกระนั้นเมื่อถอนปากออกแล้วก็ยังขยับมือชักถวาย

เด็กหนุ่มหลับตาเมื่อลาวาสีขาวพุ่งกระฉูดมาถึงดวงตา ครั้นลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ภาพที่เห็นผ่านแว่นตาเปรอะเปื้อนก็คือสายพระเนตรเข้มข้นลึกล้ำที่ทอดมองลงมา

แสงสุดท้ายของวันภายนอกหน้าต่างค่อยๆ ลับหายไปแล้ว ทว่าก่อนหน้านั้น ภาพหยาดอารมณ์สีขุ่นข้นสาดพ่นไปตรงแว่นตาเชยๆ แล้วค่อยๆ หยดแหมะลงมาบนเตียง เผยให้เห็นดวงตาที่มองมาอย่างแสนรักก็ได้กลายเป็นภาพติดพระเนตรของเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณไปเสียแล้ว

เร้าอารมณ์เสียจนอารมณ์ดิบถูกปลดผนึกให้ลุกฮือ

ว่ากันว่า เวลาสนธยาต่อค่ำเช่นนี้...
.
.
.
.
.
.

สัตว์ป่าจะออกหากิน









tbc.

*************************************************


รู้สึกตัวเองหื่นๆ ยังไงชอบกล  :o8:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 8) 14 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 14-06-2014 09:29:56
ว๋ายยยยยย  เจ้าชายสามช่างหื่นล้ำหน้า เจ้าชายใหญ่ไปซะแล้ว
โถ ไทวาเด็กน้อย ขำที่บอกว่าใส่อะไรไว้อ่ะ ... กระบองล่ะมั๊ง ไทวา 5555

....
รามิเรสเขาล่ะ หายไปนานแล้วนะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 8) 14 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 14-06-2014 10:04:45
เข้ามาดูบ่อยมาก ในที่สุดก็อัพแล้ว คิดถึงองค์ชายสามกับตัวกินไก่

แล้วไทวาก็สมหวัง ซะที องค์ชายก็มิได้ทำให้ผิดหวังทั้งเจ้าเล่ห์ทั้งหื่นเลย

อ่านเพลินๆมาถึง ประโยคนี้ 'ไทวาดิ้นกระแด่ว กระตุกกายถี่ๆ เหมือนปลาที่ถูกวิดขึ้นมาจากหนองน้ำ' :jul3: ขำมาก เห็นภาพสุดๆ

แล้วน้องไทก็ได้รู้ ว่าพี่เขยพกปืนฉีดน้ำกระบอกใหญ่มา เอาซะเลอะแว่นเลย  :laugh:

รอคอยเวลาสัตว์ป่าออกหากิน ต่อไป หุ หุ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 8) 14 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 14-06-2014 14:57:41
 :m25:

โอ้ว...อารมณ์ดิบของเจ้าชายถูกปลุกแล้ว :hao6:

หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 8) 14 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-06-2014 16:09:02
พี่เขยเป็นเสือซ่อนเล็บดีๆนี่เอง  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 8) 14 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-06-2014 18:35:18
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 8) 14 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-06-2014 18:56:30
ว๊ายยยยยยย
เขิลแทน
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 8) 14 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 15-06-2014 01:30:19
 :jul1: ว๊ายยยยยยยยยยยยยยยย
อยู่ๆเอ็นซีก็มาเฉยเลย
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 9 - จบ) 16 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 16-06-2014 19:48:27

วันวาน... สู่นิรันดร์
บทที่ ๙


ไทวาเป็นไข้ อาการไม่น่าเป็นห่วง แต่เจ้าชายเจ้ากรมโยธาธิการผู้แสนจะทรงรักงานก็ประทับอยู่ติดพระตำหนักเพื่อดูแลเอาใจใส่ให้ตัวกินไก่ของพระองค์ได้รับความสะดวกสบายที่สุด

ติดอยู่ก็แต่ว่าไทวาเอาแต่คะยั้นคะยอให้พระองค์เสด็จไปที่กรมอยู่เรื่อย ซ้ำยังไม่ยอมมองพระพักตร์ของพระองค์อีก เอาแต่ซ่อนหน้าอยู่ใต้หมอนบ้าง ใต้ผ้าห่มบ้าง

“อายทำไม ไม่เห็นมีอะไรน่าอาย”

เมื่อคืนพระองค์ก็ไม่ได้ทรงเข้าไปในตัวของเด็กหนุ่ม เพียงแต่ถูไถอยู่แค่ภายนอกเท่านั้น เมื่อเช้าก็หว่านล้อมกึ่งบังคับตรวจดูบริเวณร่องก้นกลมกลึงไปรอบหนึ่ง เห็นว่าถูกเสียดสีจนแดง ผ่านมาคืนหนึ่งแล้วยังไม่หายก็ทรงหักห้ามพระทัย ไม่ทำอะไรทั้งที่ก้อนก้นเด้งๆ นั่นส่ายไปส่ายมายั่วยวนพระอารมณ์เหลือเกิน

“ก็ไทอาย พี่เขยไปทำงานก่อนสิครับ ให้ไททำใจหน่อย เดี๋ยวพอตอนเย็นพี่เขยกลับมาไทก็ไม่อายแล้ว” แน่นอนว่าเสียงอู้อี้ทั้งหมดนั่นพูดผ่านผ้าห่ม

“พี่อยากอยู่ดูแลไท”

คนใต้ผ้าห่มเงียบไปหลายอึดใจ ก่อนจะค่อยๆ โผล่หน้าออกมา ไทวาสวมแว่นตานอน แน่นอนว่าเป็นแว่นตาอันเดิมที่ได้รับการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว แต่ภาพติดตาก็คือภาพติดตา แค่เห็นแว่นตา ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็ฉายซ้ำในพระเศียรเป็นฉากๆ

“พี่เขยหื่น!”

“อะไร พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“ก...  ก็... พี่เขยมองไทแบบนั้นทำไมเล่า”

“แบบไหน”

“ก็แบบ... แบบ... ฮึ่ย!”

คนประทับข้างเตียงแย้มพระสรวลขำๆ ก่อนจะเปลี่ยนมาประทับบนเตียงแทน ไทวาขยับจะถอยกรูด ทว่าขยับไม่ได้เพราะอีกฝ่ายประทับบนผ้าห่ม

“หื่นก็เพราะรักไท”

เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง อกใจเต้นกระหน่ำ หน้าร้อนเหมือนจะไข้ขึ้นอีก แต่ก็อดยิ้มแก้มปริไม่ได้

“ทำไมพี่เขยพูดบ่อยจัง” งึมงำเบาๆ ที่จริงก็เพิ่งจะครั้งที่สอง เพียงแต่เขาไม่คิดว่าจะรับสั่งบอกง่ายๆ แบบนี้ วันก่อน ตอนที่เขาร้องไห้แทบเป็นแทบตายยังไม่รับสั่งเลยด้วยซ้ำ

“เขินหรือ”

“ครับ” ไม่เขินก็แปลกล่ะ

“เตรียมใจไว้ พี่จะพูดให้ฟังบ่อยๆ” รับสั่งพลางทรงดึงแว่นตาออกมาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง “ไหนๆ ก็ไม่หลับแล้ว พี่ถามอะไรหน่อย”

“ครับ”

“วันแรกที่มาอยู่ที่นี่ ไทกลัวว่าพี่จะทำอะไรไท พอพี่บอกไม่ทำอะไร ไทก็ดีใจใหญ่ พี่เลยนึกว่าไทรักพี่แบบพี่ชาย แล้วทำไมเมื่อคืนไม่เห็นกลัว”

ไทวาเม้มปากเล็กน้อย แต่รู้สึกเจ็บก็เลยเลิกเม้ม

“ไทไม่ได้กลัวพี่เขยจะทำอะไร แต่ไทไม่อยากให้พี่เขยกอดไททั้งที่ไม่ได้รัก”

“ถ้าพี่ไม่รัก ก็ไม่มีสิทธิ์ได้กอดไทสินะ”

ไทวานิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วก็ส่ายหน้า “ถึงพี่เขยไม่รัก ไทก... ก็คิดว่า จะอะ... เอาตัวเข้าแลก”

เจ้าชายหนุ่มทรงเบิกพระเนตร เลิกพระขนงสูง

“ก็... พี่เขยจะไปแล้ว จะกลับมาเมื่อไรก็ไม่รู้ ถึงยังไงไทก็เป็นผู้ชาย ไม่ท้องอยู่แล้ว แล้วไทก็รักพี่เขย ถึงพี่เขยไม่รักไทก็ไม่เป็นไร ขอแค่ยอมกอดไทสักครั้ง ไทก็ดีใจที่ได้พี่เขยมาเป็นของไท แค่ตัวก็ยังดี เพราะว่าถ้าพี่เขยเดินทางแล้วไปเจอผู้หญิงที่พี่เขยรักแล้วก็แต่งงานกับนาง ถึงตอนนั้นถึงไทอยากจะกอดพี่เขย ไทก็ทำไม่ได้แล้ว ตะ... แต่ว่าพี่เขยก็รักไท... ไทโชคดีจังเลย... อ๊ะ! พี่เขย”

ไทวาถูกรวบกอดไว้ทั้งตัว ผ้าห่มที่ห่ออยู่เป็นเหมือนดักแด้ ขยับดิ้นไปไหนไม่ได้ พระพักตร์คมเข้มของเจ้าชายอัทธายุอยู่ใกล้กับหน้าเขาเอามากๆ เด็กหนุ่มหน้าแดงเรื่อ

“ยั่วเก่งไปแล้วนะ ไทวา”

“ฮะ” ทั้งตกใจ ทั้งงง “ท... ไทไม่ได้ยั่ว” อะไรกัน เขาแค่พูดไปตามความจริงเท่านั้นเอง

คนยั่วไม่รู้ตัวพูดอะไรไม่ได้แล้ว เพราะปากถูกปิดด้วยจุมพิตดูดดื่มแสนหวาน พระนาสิกโด่งๆ กดลงบนแก้ม สูดกลิ่นแรงๆ ดังฟอด ก่อนที่ทั่วทั้งหน้าและลำคอของเขาจะถูกจูบถูกหอมซ้ำๆ พระมัสสุสั้นๆ ครูดผิวแก้มผิวคอจนแดงเถือก ทั้งจั๊กจี้และรู้สึกดีไปพร้อมๆ กัน

เจ้าชายอัทธายุทรงผละออกมาทอดพระเนตรเด็กหนุ่มนิ่งๆ ดวงตาของไทวาหยาดเยิ้ม ประกายความสุขฉายชัด ทว่าสายพระเนตรของพระองค์คงจะทำให้เขากลัว ไทวาเริ่มขยุกขยิก หาทางดิ้นรน

“ท... ไทเป็นไข้อยู่นะครับ ปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลยด้วย”

“พี่ไม่ทำอะไรหรอก ขอแค่นี้เอง ไหนๆ ก็เกงานแล้ว พี่นอนกับไทเลยแล้วกัน”

“พี่เขย!” ไหนบอกไม่ทำอะไรเขาไง

“นอนเฉยๆ”

“แต่พี่เขยจะติดไข้”

“พี่แข็งแรงน่า มา นอนดีๆ”

ยอมหรือไม่ยอมก็ต้องยอม เพราะเจ้าชายหนุ่มทรงสอดพระองค์เข้ามาแล้ว ไทวาถูกดึงไปนอนบนพระอุระหนากว้าง เด็กหนุ่มใจเต้นแรงนิดๆ เขินอายหน่อยๆ แต่ในที่สุดก็ผล็อยหลับไป






เจ้าหญิงวรนารีเสด็จมาหาไทวาตอนบ่าย ทอดพระเนตรเห็นอะไรหลายๆ อย่าง เป็นต้นว่า สีหน้าสีตามีพิรุธแต่ดูมีความสุขเป็นพิเศษของคนที่ห้องตัวเองมีไม่นอน มานอนป่วยอยู่บนพระที่ของเจ้าของพระตำหนัก ริมฝีปากบวมๆ กับรอยแดงๆ เต็มคอ และภาพวาดขนาดหนึ่งคูณสองฟุตที่แขวนอยู่เหนือหัวพระที่ของพระเชษฐา

“พี่น้อง โกรธไทไหม”

“โกรธทำไมล่ะ ไทปลุกปล้ำขืนใจเจ้าพี่หรือ”

“เปล่านะ! พี่เขยกอดไทเอง!”   

เจ้าหญิงคนงามทรงพระสรวล ขณะคนที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าโพล่งอะไรออกไปหน้าแดงซ่าน

“งั้นพี่ก็ต้องเรียกไทใหม่สินะ”

ไทว่าขมวดคิ้ว

“เรียกว่า พี่สะใภ้ ไง”

ดวงหน้ากลมขาวของเด็กหนุ่มแดงแป๊ด ทว่าประกายตาฉายแววแห่งความสุขแจ่มชัด

คุณชายหนุ่มแห่งไทวะคิดว่า ขอเพียงเจ้าหญิงวรนารีทรงยอมรับเขาได้ คนอื่นจะคิดอย่างไรเขาก็จะไม่เก็บมาคิดมาก ไม่หวั่นไหว ทว่าในความเป็นจริงแล้วไม่ง่ายถึงขนาดนั้น






การนัดพบเพื่อไปเที่ยวข้างนอกเกิดขึ้นอีกครั้งเพราะเจ้าหญิงพระขนิษฐารับสั่งว่าไม่รู้ว่าจะได้เที่ยวกับพระเชษฐาอีกเมื่อไร เจ้าชายอัทธายุรับสั่งกับตัวกินไก่ของพระองค์ว่า

“ขี่ม้าตัวเดียวกับพี่นะ”

ไทวาพยักหน้ารับอย่างเขินๆ กึ่งดีใจ เพราะอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อประกาศให้ทั้งคุณชายและคุณหนูบ้านเสนาบดีธรรมการรู้โดยที่เขาไม่ต้องพูดอยู่แล้ว ว่าพี่เขยเป็นของเขา

อาจจะถือว่าเป็นความโชคดีก็ได้ที่ทั้งจิรภัทรและเจนจิราดูจะเข้าใจสถานการณ์ดี คุณชายหนุ่มยอมถอยเมื่อเจ้าชายสามทรงเป็นฝ่ายเอาใจเด็กหนุ่มตลอดเวลาชนิดไม่เปิดโอกาสให้ทำคะแนน ขณะที่เจนจิราก็ทำอะไรไม่ได้มาก เมื่อไม่ว่านางจะพยายามทำอะไรกับเจ้าชายอัทธายุ ไทวาก็เป็นต้องเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแนบเนียนและดูเหมือนจะใสซื่อไร้เดียงสาอยู่เรื่อย

อย่างไรก็ดี หญิงสาวยังคงทิ้งก้อนหินก้อนหนึ่งซึ่งหนักราวภูเขาทั้งลูกลงบนอกของเด็กหนุ่ม

“ธรรมเนียมของเรา ผู้หญิงของเจ้าชายมีได้เป็นร้อย เป็นคนแรกก็ไม่ใช่ว่าจะได้เป็นคนสุดท้าย ยิ่งเป็นเจ้าชายที่ต้องทรงเดินทางบ่อยยิ่งมีโอกาสพบผู้หญิงที่ต้องพระทัยได้มาก ไทอย่าเพิ่งดีใจไป หรือต่อให้พระองค์ยังไม่ทรงมีคนอื่น แต่สิ่งที่ทรงรักมากที่สุดก็คงยังเป็นงานอยู่ดี ถ้าไม่เชื่อพี่ ไทก็ลองทูลถามดูก็ได้ ว่าจะทรงยกเลิกกำหนดการเสด็จเพื่อไทได้ไหม”






“พี่เขยไม่ไปได้ไหมครับ”

ไทวาท่องประโยคสั้นๆ นั้นอยู่ในใจไม่รู้กี่รอบ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่กล้าทูลถามเพราะกลัวคำตอบ อีกอย่างหนึ่งก็คือ เขาคิดว่าถ้าพี่เขยรักงาน ถ้าการทำงานเป็นความสุขของพระองค์ เขาก็ไม่อยากจะขัดขวาง ไม่อยากทำให้พี่เขยลำบากใจ เพราะความกลัวที่แท้จริงของเขาไม่ได้อยู่ที่พี่เขยรักงานมากกว่า แต่อยู่ที่การรักคนอื่นนอกจากเขาต่างหาก

จนถึงตอนนี้ เจ้าชายอัทธายุก็ยังไม่เคยทรงล่วงล้ำเข้าไปในตัวของคุณชายแห่งไทวะ ทั้งที่จูบกันทุกวัน เล้าโลมและปลดปล่อยอารมณ์ให้กันเกือบทุกคืน อาบน้ำด้วยกันก็เคย แต่พอถึงเวลาที่พระองค์ทรงพยายามจะเข้าไปแล้วเด็กหนุ่มเจ็บจนน้ำตาร่วงพรู ทุกอย่างก็กลับสู่ระดับเดิม ไม่ก้าวหน้า

“ไม่เป็นไร ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า ไม่ต้องคิดมาก”

ถึงเจ้าชายหนุ่มจะรับสั่งอย่างนั้น แต่ไทวาก็ไม่สบายใจ






พรุ่งนี้ เจ้าชายเจ้ากรมฯ จะทรงออกเดินทางแล้ว คืนนี้ ไทวาตั้งใจว่าจะทุ่มสุดตัว ทว่าพออีกฝ่ายทรงทำให้เขาสบายตัวไปเรียบร้อย พระองค์ก็ทรงทำเหมือนจะพอแค่นั้น

“พี่เขย”

“อะไร”

“ทำไมไม่ทำล่ะครับ”

“พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า มากกว่านี้เดี๋ยวไทจะไม่มีแรง”

ไม่มีแรงจะลุกไปส่งน่ะหรือ ไม่เป็นไรหรอก เขาไหวแน่ๆ สิ่งที่จะทำให้เขาทนไม่ไหว คือการไม่ได้พี่เขยคืนนี้ต่างหาก เด็กหนุ่มปีนขึ้นไปบนพระวรกาย อ้าขาออกคร่อมพระองค์ไว้แล้วก้มลงกราบทูลเสียงปร่า

“ไทอยากเป็นของพี่เขย พี่เขยทำกับไทนะ เข้ามาในตัวไท... อ๊ะ!”

เด็กหนุ่มถูกจับพลิกมาอยู่ข้างใต้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ประกายสายพระเนตรคมกล้าดูน่ากลัวกว่าทุกครั้ง ไทวาใจสั่น นึกเสียใจขึ้นมานิดหน่อย

“ไท”

“ค... ครับ”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่อยากให้ไทนึกเอาไว้” เด็กหนุ่มนิ่วหน้า “ว่าไทเป็นคนขอพี่เองนะ”

รนหาที่เอง แถมยังพูดในเวลาเหมาะเจาะ ตอนที่พระองค์ทรงอดทนจนสุดจะทนเสียด้วย

“ค... ครับ”

เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงผละออกห่างจากเด็กหนุ่มชั่วครู่เพื่อถอดฉลองพระองค์ ไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้ง ไทวาก็ยังรู้สึกปลาบปลื้มกึ่งเขินอายที่ได้เห็นเนื้อตัวทุกสัดส่วนของเจ้าชายหนุ่มอยู่ดี สีหน้าอายๆ นั้นกระตุ้นเร้าพระอารมณ์ของคนหื่นเต็มพิกัดได้เป็นอย่างดี

ไทวาสุขสมไปรอบหนึ่งแล้ว เจ้าชายอัทธายุจึงไม่ทรงเล้าโลมมากนัก หลังจากจูบปากสั้นๆ และเล่นกับยอดอกชูชันสองข้างของเด็กหนุ่มอยู่พักหนึ่ง พระองค์ก็ทรงจัดท่าให้อีกฝ่ายอยู่ข้างบน คร่อมพระองค์ไว้ แล้วหันก้นกลมกลึงมาทางพระองค์

“ช่วยพี่หน่อย”

ไทวาหน้าแดงจัด ตื่นเต้นจนอกใจเต้นตูมตามเพราะเพิ่งเคยอยู่ในท่านี้เป็นครั้งแรก แต่พอเห็นสีพระพักตร์อ้อนๆ นิดๆ ของอีกฝ่ายแล้วก็ไม่ลังเลอีก ถึงแม้ว่าจะยังนึกขยาดกับขนาดของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อยก็เถอะ

พระประสงค์ที่แท้จริงของเจ้าชายอัทธายุไม่ได้อยู่ที่การให้เด็กหนุ่มช่วยพระองค์ แต่เป็นการให้เขาช่วยตัวเอง ถ้ามีอะไรทำก็คงจะไม่พะวักพะวงกับความเจ็บเบื้องล่างมากนัก หลังจากทรงเอาใจใส่ส่วนกลางลำตัวที่แสนน่ารักของเด็กหนุ่มไปไม่นานนัก พระองค์ก็ให้เวลากับช่องทางคับแคบที่ร้อนผ่าวอย่างเต็มที่

ไทวาเหงื่อออกเต็มตัวเมื่อเจ้าชายหนุ่มทรงสอดนิ้วพระหัตถ์เข้าไปได้ถึงสามนิ้ว เขาทั้งปวด ทั้งตึง ทั้งเสียวซ่านไปหมด ยิ่งเวลาที่อีกฝ่ายทรงกดย้ำซ้ำๆ ตรงจุดที่เขารู้สึกดี เขายิ่งอยากจะไปเสียให้ได้ ทว่าพอเผลออ้าปากร้องครวญคราง ก็กลับถูกตีก้นไม่เบาไม่แรงไปครั้งหนึ่ง แต่ถึงกับสะดุ้งเฮือก สัดส่วนที่ผงาดกล้าทิ่มแทงพระอุระหนา ทำให้ยิ่งเสียว

“อมไป อย่าคาย แล้วก็อย่ากัดของพี่ล่ะ”

ถึงจะรู้สึกแปลกใจขึ้นมาแวบหนึ่งที่อีกฝ่ายพูดเหมือนสั่ง แต่แปลกที่มันกลับทำให้เขายิ่งมีอารมณ์ ยิ่งถูกกระตุ้นจากด้านหลังยิ่งเสียวสะท้าน

“อ๊ะ... อ๊า... พ... พี่เขย...”

เผี๊ยะ!

“ไทวา ดูดดีๆ”

เด็กหนุ่มสะอื้นฮัก แต่ก็ยอมครอบปากลงไป เจ้าชายอัทธายุทรงทราบว่ากำลังเสี่ยง เพียงแค่ไม่ถึงสัปดาห์ พระองค์ก็เผลอทรงแสดงธาตุแท้ออกมาแล้ว ไทวาอาจจะสงสัย ถ้ามีเวลาคิดอีกหน่อยอาจจะนึกกลัวพระองค์ขึ้นมา แต่ร่างกายขาวผ่องที่กลายเป็นสีชมพูทั้งตัว ช่องทางคับแคบที่กำลังเต้นตุบและขยายอ้าให้เห็นถึงภายในที่อยู่ตรงหน้ากับปฏิกิริยาน่าอายและเสียงร้องอื้ออ้าเร้าอารมณ์ทำให้พระองค์ทรงทนต่อไปไม่ไหว

ไทวาถูกจัดท่าให้อีกครั้ง พระเขนยใบใหญ่ถูกสอดรองไว้ใต้ลำตัว เด็กหนุ่มอยู่ในท่าคุกเข่าหันหลัง สะโพกถูกยกให้สูงขึ้น แก้มก้นกลมกลึงลอยเด่นดูยั่วยวน สะดุ้งเมื่อท่อนลำแข็งขึงร้อนผ่าวทาบถูบริเวณร่อง ใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อส่วนนั้นจ่ออยู่ตรงปากทาง และถึงกับกลั้นหายใจเมื่ออีกฝ่ายทรงดุนดันเข้ามา

“ไทวา อย่าเกร็ง”

เด็กหนุ่มพยายาม

“หายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลายหน่อย”

เจ้าชายหนุ่มทรงพยายามทุกทาง ไทวาเจ็บปวด ตึงแน่นเหมือนร่างกายจะฉีกขาดแต่ก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ หลังจากพยายามจนเหงื่อท่วมตัวทั้งคู่ ในที่สุดก็เข้าไปได้ถึงครึ่งหนึ่ง ถึงตอนนี้ไทวาก็น้ำตานอง กัดหมอนแน่นจนแทบขาด น้ำลายเปียกเยิ้ม

เจ้าชายอัทธายุทรงจูบซับเหงื่อตามแผ่นหลังประทานให้ทั้งที่ปรารถนาจะทรงดันเข้าไปให้สุด

“ไทวา”

พระสุรเสียงที่ตรัสเรียกทั้งแหบพร่าและอ่อนโยน เด็กหนุ่มหันหน้ามาตามพระหัตถ์ที่ช้อนประคอง อ้าปากออกรับจูบดูดดื่มทั้งที่เหนื่อยจนหอบ ขณะที่กำลังเคลิ้ม อีกฝ่ายก็ทรงเริ่มขยับช้าๆ ไทวาครางเสียงอื้ออ้า ทั้งเจ็บทั้งเสียว แต่ก็รู้สึกดีเอามากๆ

เจ้าชายอัทธายุทรงอดกลั้นเต็มที่ ข้างในของไทวาแน่นมาก ทั้งแน่นทั้งร้อน รัดรึงของพระองค์เอาไว้จนแทบจะขยับไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ตอดตุบอย่างเชิญชวน

“พี่จะขยับแล้วนะ ไท”

ก็แล้วเมื่อกี้ยังไม่ได้ขยับรึไง

“ค... ครับ... อ๊า! ฮะ... ฮ่าห์... พ... พี่เขย ไท ไทจะ...” เจ็บ แต่พยายามจะไม่ร้อง

“ทนหน่อยครับ เดี๋ยวก็ดีเอง”

ไม่ต้องเดี๋ยว ตอนนี้ก็ดีแล้ว เจ็บ แต่ก็ดี

เจ้าชายสามเองก็ทรงรู้สึกดี... ดีเป็นบ้า ช่องทางคับแคบที่บีบรัดทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยม

“ท... ไทรักพี่เขย ร... รักพี่เขยครับ”

แต่ประโยคนี้กลับดียิ่งดีกว่า

“พี่ก็รักไท”

สะโพกขาวๆ ของเด็กหนุ่มถูกดึงให้เข้ามาหาพระวรกายแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ช่องทางหวานเชื่อมถูกแทรกสอดแนบชิด ไทวาสั่นระริกไปทั้งตัว ส่วนที่สั่นมากที่สุดถูกกอบกุมไว้ในอุ้งพระหัตถ์ใหญ่ที่ขยับชักให้อย่างเอาใจ

เด็กหนุ่มสุขสมไปถึงสองรอบ ก่อนที่เจ้าชายอัทธายุจะทรงลุถึงฝั่งตามไปด้วยความอิ่มเอมพอกัน






ปวดเมื่อยไปทั้งตัว แต่ก็ยังตื่นขึ้นมาเพราะส่วนลึกในใจกังวลว่าจะไม่ทัน

“พี่เขย...” เสียงของเด็กหนุ่มแหบแห้ง คนประทับนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ แต่แต่งพระองค์เรียบร้อยแล้วทรงกดจูบบนริมฝีปากแล้วก็แย้มพระสรวลให้

“เลิกเรียกพี่เขยได้แล้ว”

“แล้ว... ให้ไทเรียกว่าอะไร”

“พี่ธาย”

แววพระเนตรของเจ้าชายอัทธายุยิ้มได้ แถมยังยิ้มแบบที่ทำให้ไทวาเขินจนต้องหลบสายตา

“ว่าไง”

“พ... พี่ธาย”

“ครับ”

“ไทไม่ได้เรียกสักหน่อย แค่เรียก” เอ๊ะ ยังไง “ลองเรียกตามที่พี่เขย เอ่อ... พี่ธายบอก”

“หึ” เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวลเอ็นดู ก่อนจะทรงดึงองค์ขึ้นประทับ “ลุกไหวไหม”

ไทวาหน้าเสียทันที นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายต้องออกเดินทาง เด็กหนุ่มพยักหน้า

“ไหวครับ พี่เขย เอ่อ... พี่ธายรอก่อนได้ไหม เดี๋ยวไทอาบน้ำแต่งตัวแล้วจะไปส่ง”

“ไปส่ง” เจ้าชายเจ้ากรมฯ ทรงเลิกพระขนง

“ก็... พี่เขยจะเดินทางวันนี้นี่ครับ” อีกฝ่ายงง เขาก็งง

“ใช่ แต่ถ้าไทไม่ไหว พี่เลื่อนไปสักวันสองวันก็ได้”

“ไม่เป็นไรครับ ไทไม่ได้ไปด้วยสักหน่อย”

“ทำไมถึงไม่ไป”

สีพระพักตร์ชักจะไม่ค่อยดี ไทวางงยิ่งกว่าเดิม เด็กหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นนั่ง เจ็บจนร้องครางออกมาเบาๆ แต่พอหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ดีขึ้นบ้าง หลังจากจ้องหน้ากันอยู่ครู่ เจ้าชายสามก็ทรงถอนพระทัยเบาๆ

“ไม่อยากไปกับพี่หรือ”

“อยากสิครับ! แต่ไทเป็นเชลย ต้องอยู่ในวังไม่ใช่หรือครับ ตามพี่เขยไปไม่ได้”

“ใครบอก”

นั่นสิ ใครบอก รู้สึกว่าจะเป็น... พี่เจน... ใช่ไหม... หรือว่าพี่ภัทร

“ไทเป็นเมียพี่ ผัวไปไหน เมียก็ต้องไปด้วย พี่ก็คิดว่าไทรู้”

ไม่รู้ และไม่ต้องมาผัวๆ เมียๆ ตอนนี้ได้ไหมเล่า รับสั่งได้ไม่อายปาก หรืออาจจะทรงอายไม่เป็น แต่เขาอายนี่นา ถึงลึกๆ แล้วจะรู้สึกดีใจก็เถอะ

“ก็เลยไม่ได้ถาม” หลังจากถอนพระทัยอีกรอบ ก็ดูจะพระอารมณ์ดีขึ้น “ไทวา”

“ครับ”

“ไปกับพี่ไหม พี่อยากให้ไทไปด้วย... ทุกที่ที่พี่ไป”

เด็กหนุ่มมองพระพักตร์ เห็นรอยแย้มพระสรวลและประกายสายพระเนตรรักใคร่อย่างไม่ปิดบังนั่นแล้วก็น้ำตาคลอ หน่วยตาร้อนผ่าว และก่อนที่เขาจะทันร้องออกมาอีกฝ่ายทรงรวบตัวเขาไปกอดไว้เสียแล้ว

“ไปครับ! ขอบคุณครับ ฮึก พี่ธาย ไทคิดว่าจะถูกทิ้งให้อยู่ที่นี่คนเดียวซะแล้ว”

เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงพระสรวลเบาๆ อย่างคนมีความสุข

“ไม่ทิ้ง แล้วก็ไม่ต้องขอบคุณพี่ พี่ต่างหากที่ต้องขอบคุณไท”

พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ทุกคนเสมอ เพียงแต่ไม่มีใครเข้ามาถึงในพระทัยของพระองค์เอง แต่วันนี้... มีแล้ว บางที พระองค์อาจทรงรอคอยเด็กคนนี้มาตลอดสิบปีก็เป็นได้ รอให้เขาเติบโต รอให้โชคชะตานำพาเข้ามาหา และมาทำให้พระองค์ทรงหลงรักตอบ ไทวาในวันวานแทบจะไม่มีความหมายสำหรับพระองค์เลย แต่นับแต่นี้และตลอดไป เขาจะเป็นคนที่มีตัวตน เป็นคนสำคัญในทุกช่วงเวลาของชีวิต

“ขอบคุณครับ ไทวา”

ที่ทำให้วันวานไม่ใช่แค่วันวาน แต่ได้กลายมาเป็นวันนี้ เป็นพรุ่งนี้ และเป็นทุกๆ วันที่มีความหมาย

“ถ้าพอจะลุกไหว ก็ไปเข้าเฝ้าเจ้าพ่อด้วยกันนะ พี่เกริ่นไว้แล้วว่าจะพาเมียไปแนะนำ เจ้าพ่อก็อยากจะคุยกับไท แล้วพอออกเดินทางเมื่อไหร่ เราจะไปไทวะก่อน พี่จะได้สู่ขอไทจากพ่อแม่ให้เรียบร้อย กินลูกชายเขาไปแล้วขืนไม่ไปบอกกล่าวให้ถูกต้องคงไม่ดี”

คราวนี้ ไทวาปล่อยโฮออกมาจริงๆ แล้ว และเจ้าชายอัทธายุก็ทรงมีความสุขเหลือเกิน ที่เด็กหนุ่มดูจะยังไม่รู้ตัวว่าพระองค์ทรงมีความสุขกับการได้เห็นน้ำตาของคนที่รัก

ยิ่งร้อง... ก็ยิ่งอยากจะเอ็นดูให้มากๆ...
.
.
.
.
.
.


ด้วยวิธีเฉพาะของพระองค์เอง



      

end





จบค่ะ (พร้อมๆ กับแย้มๆ ธาตุแท้ของพี่เขย)

ขอบคุณทุกๆ ความคิดเห็นที่เป็นกำลังใจที่ดีให้กันเสมอมานะคะ :pig4: :L1:

หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 9 - จบ) 16 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 16-06-2014 20:31:34
เหยยย ชายสามซาดิสต์เหรอ ตาย ๆ ๆ ไทวาเอ้ยยยย
ขอตอนพิเศษของสองคนนี้ด้วยน๊า ท่าจะแซ่บเว่อร์
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 9 - จบ) 16 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 16-06-2014 20:52:56
กรีดร้องดังๆ...ไม่อยากให้จบเลย ชอบมากกกก

เจ้าชายซาดิสต์! คนอ่อนโยนใจดี ซาดิสต์!! จะเปลี่ยนใจก็ไม่ทันแล้วนะไท แต่ดูท่าไทจะชอบนะ :hao6:

คนเขียนเคยบอกว่าไม่ชอบเขียนตอนพิเศษ งั้นเรื่องนี้ขอบทที่10 มีไหม (ขอเผื่อคนเขียนใจอ่อน)

ขอบคุณจ้า :L2:

หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 9 - จบ) 16 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: puengkiss ที่ 16-06-2014 22:04:04
สนุกมากเลยค้า มารอเจ้าชายองค์ต่อไปนะค้า
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 9 - จบ) 16 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-06-2014 23:03:40
พี่เขยเป็นซาดิสม์เหรอเนี่ย  :-[
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 9 - จบ) 16 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-06-2014 23:17:47
 :katai2-1: :hao6:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 9 - จบ) 16 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 17-06-2014 02:10:52
 :katai2-1: พี่ธายกินเด็กห่างเป็นรอบเลยนะพี่

เป็นไงมั่งพี่ เค้าว่ากันว่ากินเด็กแล้วอายุยืนนะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 9 - จบ) 16 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 17-06-2014 02:42:23
 :o8: เข้าใจความรู้สึกชอบเห็นคนน่ารักๆร้องไห้เลยล่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 9 - จบ) 16 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 17-06-2014 13:04:41
 :m4: ไทวาสมหวังแล้ว เด็กน้อย ดีใจด้วยจริงๆ

ว่าแต่พี่ธายซาดิสต์เหรอ แต่เหมือนไทก็ชอบนะ :o8:

หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทนำ) 19 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 19-06-2014 19:23:11
วันนี้... แค่มีเธอ
บทนำ



“แม่! แม่! อย่าทำอะไรแม่หนูเลย แม่หนูกำลังไม่สบาย ได้โปรด! อย่าทำอะไรแม่! หนูขอร้อง อย่า!”

“เฮ้ย! ไอ้เด็กนี่เกะกะจริงโว้ย แกไปทำให้มันเงียบทีซิ”

“แกก็ไปเองซิวะ ข้าขอชิมอีนังนี่ก่อนเถอะ แม่ง ขนาดป่วยอยู่ยังสวยฉิบหาย”

“โอ๊ย! ไอ้เด็กบ้า กัดมาได้”

“แกเอามันไปมัดไว้ก่อนซิวะ”

“อย่านะ! อย่าทำอะไรแม่หนู”

“หนีไปซะลูก หนีไป ไม่ต้องห่วงแม่ โอ๊ย!”

“มัดเร็วๆ สิวะ”

“เออๆ”

“แม่จ๋า! ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยแม่หนูด้วย”



************************



“ฝ่าบาท”

“อืม รีบไปดู”



************************

“หยุดเดี๋ยวนี้ ไอ้โจรชั่ว!”

“อื้อ... พี่... พี่ชาย พี่ชายช่วยแม่หนูด้วย”

“หุบปากซะไอ้เด็กบ้า”

“โอ๊ย!”

“พวกแกเป็นใครวะ”

“คนผ่านทาง”

“ถ้าฉลาดก็ผ่านไปซะ แล้วพวกข้าจะไม่ทำอะไร”

“อย่านะ! อย่าไป พี่ชายช่วยแม่ของหนู โอ๊ย!... ช่วย... ช่วยแม่ของหนู”

“วลัช ดนุช”

“พระเจ้าค่ะ”

“ช่วยเด็กกับแม่”



************************



 “ขอบพระคุณมากนะเจ้าคะ ฉัน... ขอฝากลูกด้วย ช่วยพาเขาไปหาพ่อของเขาที... ช่วย...”

“พ่อของเขาเป็นใคร”

“...”

“ได้ ฉันรู้จัก จะพาไปส่งให้ถึงที่”

“ขอบ... พระคุณ... เจ้าค่ะ...”

“นางป่วยมาก สิ้นใจไปแล้วพระเจ้าค่ะ”

“แม่! แม่จ๋า! แม่อย่าทิ้งหนูไป ฮือ... แม่!” 



************************



“เธออยากจะให้ฉันทำยังไงกับคนพวกนี้”

“ฆ่า! ฆ่ามันให้ตาย ให้มันตายตามแม่ของหนูไป”

“ฮะ... เฮ้ย! ไม่เอา ไม่เอาขอรับ นายท่านได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย”

“ใช่ๆ พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะทำให้มันตายนะขอรับ อีกอย่าง นังผู้หญิงคนนี้มันก็เป็นผู้หญิงหากินอยู่ในหอบุปผา พวกเราก็เคยไปใช้บริการบ่อยๆ แต่วันนี้มาทำดีดดิ้น”

“นั่นสิ นี่พวกเราก็ตั้งใจไว้ว่าพอเอาเสร็จก็จะจ่ายเงินให้”

“ไม่จริง! มันเอาแหวนของแม่หนูไป”

“คนพวกนี้ถึงจะสมควรตาย แต่ก็ต้องรอให้ศาลตัดสินก่อนจึงจะลงโทษได้”

“ไม่! หนูไม่รอ หนูขอร้อง พี่ชาย ได้โปรดฆ่าพวกมันให้หนูที นะ พี่ชาย ได้โปรด ฆ่ามันให้ตายให้หมด แล้วพี่ชายจะให้หนูทำอะไรก็ได้”

“เธอกล้าฆ่าทั้งสามคนด้วยมือของเธอเองไหม”

“...”

“ถ้าไม่กล้า ก็ต้องเอาตัวไปให้ศาลตัดสิน”

“กะ... กล้า! หนูกล้า!”

“เฮ้ย! อย่านะเว้ยไอ้เด็กบ้า”

“ดนุช”

“พระเจ้าค่ะ”

“เอาดาบให้เขา”



************************



    “เธอเป็นหนี้ชีวิตฉันนะ สักวันหนึ่ง ฉันจะให้เธอตอบแทน”



************************




tbc.



เรื่องตอนพิเศษ ยังยืนยันว่า เอาเป็นเรื่องใหม่ไปแทนดีกว่าค่ะ
ชุนชอบทั้ง พรุ่งนี้ และ วันวาน
แต่ถ้าถามว่าในเวลา ชอบวันไหนมากที่สุด
ก็คงจะเป็น "วันนี้" ค่ะ ^^

หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทนำ) 19 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 19-06-2014 19:42:47
มาให้อยาก แล้วจากไป ... สั้นเนาะ อยากอ่านแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทนำ) 19 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 19-06-2014 20:26:03
แหงะ เจ้าชายรองเลือดเย็น "เอาดาบให้เขา"แล้วตายมั้ย
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทนำ) 19 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 19-06-2014 22:03:00
งง  :mew5:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทนำ) 19 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-06-2014 22:31:55
วันนี้เปิดมาก็น่าติดตามอีกแล้วววว
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทนำ) 19 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 20-06-2014 10:54:53
ติดตามจ้า

แต่เราชอบ วันวานนะ อ่านแล้วมีความสุข

อารมณ์ดี ชอบองค์ชายสามกับไทวามากๆ

อยากจะอ่านเรื่องวันนี้ ที่คนแต่งชอบมากด้วย ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทนำ) 19 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 20-06-2014 13:03:11
 :mew2: :mew2: :mew2:ติดตามตอนต่อไปปปปปปปปปปป :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทนำ) 19 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: himoru ที่ 20-06-2014 16:08:03
ทำไมเราถึงพึ่งเปิดมาเจอออออ
ทั้งที่อ่านรามิเรสอยู่แท้ๆ
พึ่งอ่านตอนแรกจบค่ะ
มาเม้นต์ก่อน
พระชายาจะฆ่าตัวตาย โฮกกกกก
ภาษาของนักเขียนยังสวยเหมือนเรื่องรามิเรสเลยค่ะ
ชอบทั้งสองเรื่อง ยังไงจะค่อยๆอ่าน ค่อยๆเขียนตอบนะคะ
ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทนำ) 19 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 20-06-2014 23:56:35
วันนี้พีคสุด
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 1) 21 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 21-06-2014 14:11:59
วันนี้... แค่มีเธอ
บทที่ ๑


เรืองอรุณมีเจ้าชายสามพระองค์ มีเพียงเจ้าชายศีลวัตซึ่งเป็นเจ้าชายรองเท่านั้นที่พระมารดายังมีพระชนม์ชีพอยู่ องค์รานีสิ้นพระชนม์ตั้งแต่เจ้าชายรัชทายาทมีพระชนมายุได้สิบห้าชันษา ส่วนพระสนมเอกก็สิ้นพระชนม์ตั้งแต่เจ้าชายสามมีพระชนมายุได้เพียงเจ็ดชันษา ดังนั้นเจ้าชายศีลวัตจึงทรงกลายเป็นพระราชโอรสองค์โปรดของเจ้าหลวงด้วยบารมีของพระราชชายาซึ่งเป็นพระมารดา

ในบรรดาเจ้าชายทั้งสามแห่งเรืองอรุณ เจ้าชายศีลวัตทรงเกเรมากที่สุด หนีเรียนบ่อย และสร้างความเดือดร้อนให้แก่ฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ในพระราชวังไม่เว้นแต่ละวันโดยที่พระมารดาทรงกำราบไม่ได้ เพราะเพียงแค่พระโอรสทรงประท้วงด้วยการไม่ยอมเสวย พระนางก็ต้องทรงเปลี่ยนเป็นฝ่ายอ้อนวอนแทน ไม่ว่าจะทรงอบรมด้วยพระวาจามากเท่าไร พระโอรสก็ไม่ทรงเชื่อฟัง ต่อให้ทรงเปลี่ยนวิธีเป็นการลงพระอาญาพระพี่เลี้ยงแทน เจ้าชายน้อยก็หาได้สนพระทัยไม่ พระราชชายาจึงทูลปรึกษาพระสวามี และเจ้าหลวงก็ทรงแนะนำให้พระนางทรงหา ‘เพื่อนดีๆ’ ให้พระโอรสสักคนหนึ่ง

“เลือกเด็กที่อายุไล่ๆ กันแล้วก็มาจากตระกูลดีๆ จะได้ชักชวนกันไปในทางที่ดี ไม่เหลวไหล”

เจ้าชายศีลวัตเพิ่งจะมีพระชนมายุสิบสองชันษา พระราชชายาจึงทรงเลือกบุตรชายคนเล็กของเสนาบดียุติธรรมซึ่งมีอายุสิบเอ็ดปีมาเป็น ‘เพื่อนเล่น’ ทว่าเจ้าชายน้อยทอดพระเนตร ‘เพื่อนใหม่’ แค่เพียงแวบเดียวก็กราบทูลพระสุรเสียงเด็ดขาดว่า

“หม่อมฉันไม่เอา”

แล้วก็เสด็จออกจากพระตำหนักไปด้วยการวิ่งเร็วจี๋จนใครก็จับไม่ทัน พูดให้ถูกก็คือไม่มีใครกล้าจับ

“เพื่อนน่ะมันต้องเลือกเอง พ่อแม่เลือกให้จะใช้ได้รึ คนอื่นอาจจะได้ แต่เจ้าศีลวัตนี่ยาก เธอเป็นแม่ ก็น่าจะรู้ดีกว่าคนอื่นไม่ใช่รึ”

เมื่อเจ้าหลวงรับสั่งเช่นนั้น พระราชชายาจึงโปรดให้เสนาบดีวังจัดหาบุตรชายของข้าราชบริพารมาให้พระโอรสทรงเลือกด้วยวิธีของพระองค์เอง

ห้องทรงพระสำราญชั้นล่างสองห้องถูกจัดไว้ให้เป็น ‘ห้องรอเรียก’ ห้องหนึ่ง และเป็น ‘ห้องสอบ’ ห้องหนึ่ง

การคัดเลือกใช้เวลาเพียงไม่นาน ผลก็ปรากฏว่าไม่มีใครผ่านการคัดเลือกแม้แต่คนเดียว บางคนกลับออกมาจากห้องสอบอย่างปลอดภัยดีทุกประการ บางคนคลำศีรษะป้อย บางคนหน้าซีด บางคนก็หน้าบึ้งตึงอย่างแค้นเคือง ทั้งๆ ที่ได้รับการทดสอบอย่างเดียวกัน ครั้นเจ้าหลวงเสด็จมาตรัสถามถึงวิธีการทดสอบ พระโอรสก็กราบทูลง่ายๆ

“หม่อมฉันถามคำถามเดียว ว่าถ้าหม่อมฉันจะหนีเรียน เขาจะไปกับหม่อมฉันไหม ถ้าไป เขาจะถูกเจ้าแม่สั่งเฆี่ยนห้าสิบที”

“ได้คำตอบว่ายังไงบ้างล่ะ”

“บางคนก็ไป บางคนก็ไม่ไปพระเจ้าค่ะ มีบางคนกล้าถามว่าถ้าไม่ไปจะถูกหม่อมฉันลงโทษไหม หม่อมฉันก็ว่าไม่ แต่ก็อาจจะถูกเจ้าแม่สั่งเฆี่ยนอีกห้าสิบทีโทษฐานที่ไม่ตามไปห้ามไม่ให้หม่อมฉันก่อเรื่อง”

เจ้าหลวงทรงพระสรวลพระสุรเสียงดัง

“แล้วกันสิ ไปรึไม่ไปก็ถูกลงโทษ แล้วจะเลือกถูกรึ”

“คนฉลาดก็ต้องเลือกไปสิพระเจ้าค่ะ เพราะถึงจะถูกลงโทษ แต่ก็ยังได้เอาใจหม่อมฉันด้วย”

“แล้วคนที่ถูกลูกตบหัวล่ะ ตอบว่ายังไง”

“หึ ขี้ฟ้อง”

“ก็ไม่ถึงกับอย่างนั้นหรอก ใครจะกล้า พ่อถาม เขาก็จำใจต้องเล่าให้ฟัง”

“คนอื่นเขาตอบแค่ไป กับไม่ไป มันดันตอบว่าไม่ไป แล้วจะไปบอกเจ้าแม่ด้วยว่าหม่อมฉันหนีไปไหน หม่อมฉันก็สาธิตให้ดูว่าถ้าบอกจะโดนอะไรน่ะสิพระเจ้าค่ะ”

“ถ้ามีใครมาให้เลือกอีก ก็จะทดสอบด้วยคำถามนี่น่ะรึ”

“พระเจ้าค่ะ” ยังจะมีใครมาอีก   

“แล้วต้องตอบว่ายังไงลูกถึงจะถูกใจ”

“หม่อมฉันก็ไม่ทราบ”

แปลว่าไม่ว่าจะตอบยังไงก็ไม่ถูกใจทั้งนั้น เจ้าหลวงทรงสรุปได้เช่นนั้น ทว่าพระนางเรวดีไม่ทรงย่อท้อ โปรดให้เสนาบดีวังจัดหาเด็กชายที่มีชาติตระกูลดีเข้ามารับการคัดเลือกอีก คราวนี้โปรดให้บอกเป็นการลับแก่ผู้เข้ารับการคัดเลือกทุกคนล่วงหน้าด้วยว่าคำถามคืออะไร

อย่างไรก็ดี แม้จะสามารถคิดหาคำตอบมาก่อนได้ ก็ยังไม่มีใครตอบคำถามได้ถูกพระทัยเจ้าชายรองแห่งแคว้นเสียที และทั้งๆ ที่ทรงใช้เวลาในการ ‘คัดทิ้ง’ เร็วมาก เจ้าชายน้อยก็ยังดูจะทรงหงุดหงิดเต็มที ร่ำๆ จะออกจากพระตำหนักไปเที่ยวเล่นเรื่อย พระราชชายาจึงตัดสินพระทัยอย่างกะทันหัน โปรดให้หาเด็กชายวัยใกล้เคียงกับพระโอรสมาให้หมด ขอเพียงเป็นลูกชายของขุนนางหรือคหบดี จะเป็นลูกของขุนนางระดับล่าง หรือเกิดจากอนุภรรยาก็ไม่เป็นไร เพราะหากพ้นจากวันนี้ไป เห็นทีพระโอรสคงจะไม่ทรงยอมเลือกอีก

ไม่มีใครตอบคำถามได้ถูกพระทัยเจ้าชายศีลวัตแม้แต่คนเดียว หลังจากผู้เข้ารับการคัดเลือกคนสุดท้ายออกจากห้อง เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณก็รับสั่งกับพระพี่เลี้ยง

“ยังมีใครอีกก็รีบให้มา ภายในครึ่งชั่วโมงถ้าไม่มี ฉันจะไม่เลือกใครอีกทั้งนั้น”

ภายในเวลาที่กำหนด คนของสำนักพระราชวังสามารถหา ‘ตัวเลือก’ เพิ่มมาได้เพียงคนเดียว คนพามานั้นรู้สึกว่าใจคอไม่ค่อยดีนัก พระนางเรวดีทรงอึ้งไปหลายอึดใจเมื่อทอดพระเนตรเห็นเด็กชายผิวเข้มที่สวมเสื้อผ้าค่อนข้างเก่าและเปรอะเปื้อนหลายแห่ง ผมเผ้าทั้งยาวและยุ่ง

“ไปเอาเด็กที่ไหนมา”

“ขอเดชะฯ พระอาญามิพ้นเกล้าฯ นี่เป็นบุตรชายคนเล็กของเจ้ากรมทหารม้าพระเจ้าค่ะ”

“แม่ของเด็กเป็นใคร”

“เอ่อ... เป็นหญิงคณิกาคนหนึ่งพระเจ้าค่ะ แต่ว่า... บุตรชายของขุนนางและคหบดีที่ยังไม่ได้มารับการคัดเลือกมีเพียงเด็กคนนี้คนเดียว และพระราชชายาก็รับสั่งว่า ไม่ว่าจะเกิดจากภรรยาคนไหน...”

“คนไหนก็ได้แต่ต้องไม่ใช่...”

พระนางเรวดีรับสั่งไม่ทันจบ พระโอรสก็เสด็จออกมาจาก ‘ห้องสอบ’ เสียก่อน เด็กชายต่างฐานะต่างมองกันแวบหนึ่ง ก่อนฝ่ายที่สูงศักดิ์กว่ามากจะกราบทูล

“คนนี้คนสุดท้ายแล้วนะพระเจ้าค่ะเจ้าแม่ หม่อมฉันเบื่อเต็มที”

รับสั่งจบก็เสด็จเข้าห้องไปอย่าง ‘เบื่อเต็มที’ ดังว่า พระมารดาจึงต้องทรง ‘เลยตามเลย’ เด็กชายที่คุกเข่าอยู่ตรงเบื้องพระพักตร์จึงถูกส่งเข้าไปใน ‘ห้องสอบ’






เสียงตุ้บตั้บและเสียงข้าวของหล่นทำให้พระราชชายาเสด็จเข้าไปในห้องสอบทันทีโดยมีบรรดาพระพี่เลี้ยงตามเข้าไปด้วย ภาพพระโอรสกำลังต่อสู้กับเด็กชายมอมแมมอย่างอุตลุดทำเอาพระหทัยแทบวาย

“ตายแล้ว รีบเข้าไปช่วยลูกฉันสิ ยืนเฉยกันอยู่ทำไม”

“ไม่ต้องเข้ามา!”

คนที่กำลังจะเข้าไปช่วยชะงักทันที ไม่รู้ว่าจะทำตามรับสั่งของใครดี พระราชชายาเองก็ไม่ได้รับสั่งอะไรอีก จนกระทั่งพระโอรสทรงถูกชกเปรี้ยงเข้าอย่างจังตรงปลายพระหนุจึงได้ตรัสสั่งพระสุรเสียงเฉียบ

“เข้าไปช่วยลูกฉันเดี๋ยวนี้”

พระพี่เลี้ยงสาวรีบทำตาม บางคนจึงถูก ‘หมัดหลง’ ของพระโอรสเข้าให้เพราะคน ‘ถูกช่วย’ ไม่ทรงยินยอมให้จับแยก ขณะที่คนที่ดึงตัวเด็กชายต่ำศักดิ์ออกมาไม่ได้รับอันตรายใดๆ เนื่องจากเด็กชายหยุดขยับตัวทันทีที่ถูกแยก

แพทย์หลวงถูกตามตัวมาอย่างรวดเร็ว เจ้าชายศีลวัตทรงยอมถอดฉลองพระองค์ตัวบนออกให้ถวายการรักษาแต่โดยดี ระหว่างที่แพทย์หลวงทำความสะอาดแผลฟกช้ำทั้งหลาย สายพระเนตรก็ไม่ละจากเด็กชายที่คุกเข่าอยู่ตรงเบื้องพระพักตร์เลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะขณะตรัสถามพระสุรเสียงขึ้ง

“ทำร้ายเจ้าชายมีโทษตัดหัวเชียวนะ รู้ไหม”

“ไม่รู้”

“ตบปาก!”

“เดี๋ยว!”

เจ้าชายน้อยทรงห้ามไม่ทัน เด็กชายคู่กรณีจึงถูกพระพี่เลี้ยงของพระองค์ตบปากตามรับสั่งของพระราชชายาดังฉาด เลือดที่ซึมตรงมุมปากอยู่แล้วพลันไหลลงมา ทว่าแทนที่จะมีสีหน้าโกรธแค้น เจ้าตัวกลับก้มหน้านิ่งๆ ไม่มองใคร

“ถ้าฉันไม่ได้สั่ง ห้ามทำอะไรเขาทั้งนั้น เข้าใจไหม” รับสั่งดุจัดทำเอาพระพี่เลี้ยงที่เพิ่งลงมือไปเกรงกลัวจนต้องรีบก้มหน้าทูลรับคำ

“มันทำร้ายลูกนะ ศีลวัต ตามกฎต้องเอาตัวไปตัดหัวแล้ว ลูกจะให้มันอยู่ทำไม หรืออยากจะลงโทษเอง”

“กลัวถูกตัดหัวไหม” พระโอรสตรัสถามคู่กรณี

“ไม่กลัว”

“ดี งั้นก็เอาตัวไป...”

“เจ้าแม่” พระสุรเสียงมีกระแสขัดเคือง “เราแค่เล่นกัน”

“อะไรนะ”

“เล่นกันพระเจ้าค่ะ”

“เล่นอะไร ลูกเจ็บถึงขนาดนี้ ดูซิ หน้าก็เขียว ท้องก็เขียว ไม่เจ็บแย่หรอกหรือจ๊ะ อีกกี่วันถึงจะหาย ลูกเป็นถึงเจ้าชาย ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายลูกทั้งนั้นนะศีลวัต ถึงไม่ตัดหัวก็ต้องถูกเฆี่ยน”

พระโอรสมองพระมารดานิ่งอยู่ครู่แล้วก็หันกลับไปตรัสถามคนที่คุกเข่าอยู่อีก

“กลัวถูกเฆี่ยนไหม”

คนถูกถามเงยหน้า ทำให้เห็นว่าเบ้าตาซ้ายที่ถูกหมัดเข้าไปเต็มๆ เริ่มจะเป็นสีม่วงอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่ก็ทูลตอบ

“กลัว”

“หือ” พระสุรเสียงออกจะผิดหวัง “ถ้าไม่ยอมถูกเฆี่ยนก็ต้องถูกตัดหัว จะเอาอย่างนั้นหรือ”

อีกฝ่ายพยักหน้า ทำเอาผู้ทรงศักดิ์สูงกว่ามากทรงขมวดพระขนง

“ยอมถูกตัดหัวหรือ”

คนถูกถามพยักหน้าอีกหน เจ้าชายผู้เอาแต่พระทัยพระพักตร์ตึงทันทีแล้วก็ไม่รับสั่งอะไรอีก ครั้นแพทย์หลวงใส่ยาถวายเสร็จ พระองค์ก็ตรัสสั่ง

“ใส่ยาให้เขาด้วย”

“อะไรกัน มันทำให้ลูกเจ็บนะ”

“หม่อมฉันก็ทำเขาเจ็บเหมือนกัน”

“แต่มัน...”

“เจ้าแม่จะให้เขามาเป็นเพื่อนของหม่อมฉันไม่ใช่หรือพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันไม่ชอบให้เพื่อนมีแผล”

“แม่ให้ลูกเลือกเพื่อนคนไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่คนนี้”

“ทำไมพระเจ้าค่ะ”

“ประวัติไม่ดีพอ” ยังไม่ทันจะตรัสเล่า ‘ประวัติ’ พระโอรสก็กราบทูลอย่างเอาแต่ใจเสียก่อน

“แต่หม่อมฉันจะเอาคนนี้”

“เลือกคนอื่น คนนี้แม่ไม่ให้เลือก”

พระราชชายาก็ทรงเด็ดขาดในบางคราวเหมือนกัน แต่เพราะทรงรักพระโอรสมาก เมื่อเจ้าชายน้อยทรงต่อรองขอมาเป็นข้าในพระองค์ ต่อไปจะให้เป็นองครักษ์ประจำพระองค์ พระองค์จึงทรงยอมอย่างเสียไม่ได้ อย่างไรก็ดี เจ้าชายศีลวัตไม่ทรงลืมถามเจ้าตัว

“อยากเป็นองครักษ์ของฉันไหม”

คนถูกถามนิ่งคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า

“ทำไมถึงไม่อยาก”

นอกจากพระสุรเสียงจะดังแล้วยังทรงยืนอย่างกะทันหันจนใครๆ ตกอกตกใจ

“ไม่อยาก”

ราวกับน้ำมันราดลงบนกองไฟ เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณทรงแผดพระสุรเสียงลั่น

“ฉันเป็นเจ้าชาย ฉันสั่งให้เป็นของฉันเธอก็ต้องเป็น!”

คนถูกสั่งไม่มีปฏิกิริยาอะไรนอกจากมองเฉย ก่อนจะก้มหน้านิ่ง






วันนั้นเจ้าหลวงเสด็จมาทรงเยี่ยมพระโอรสองค์รอง เจ้าชายศีลวัตทรงยอมเล่าแต่โดยดีอีกเช่นเคย

“หม่อมฉันถามเขาว่าจะหนีเรียนไปด้วยกันหรือจะไปทูลเจ้าแม่ เขาว่าเขาจะนั่งเรียนจนหมดเวลา ใครถามว่าหม่อมฉันไปไหน ถ้าเขารู้เขาก็จะตอบ ถ้าไม่รู้ก็ตอบว่าไม่รู้ แต่ถ้าไม่มีใครถามเขาก็ไม่บอก พอหม่อมฉันถามว่าถ้าเจ้าแม่จะทรงเฆี่ยนล่ะ เขาก็ว่าเขาจะทูลให้เฆี่ยนหม่อมฉันแทน หม่อมฉันก็ตบหัวเขาไปทีนึงน่ะสิพระเจ้าค่ะ ไม่คิดว่าเขาจะกล้าตบกลับ หม่อมฉันไม่ทันตั้งตัวก็เลยหัวแทบทิ่ม ทีนี้พอโมโหก็เลยชกเข้าให้ แต่เขาหลบได้ หม่อมฉันยิ่งโมโหใหญ่ จะชกให้ได้ แต่เขาไม่ยอมให้หม่อมฉันชกดีๆ สู้กันไปสู้กันมาหม่อมฉันก็หายโมโห กลายเป็นสนุกเสียนี่ ไม่มีใครเล่นกับหม่อมฉันอย่างนี้เลยสักคน”

เจ้าหลวงทอดพระเนตรพระหนุสีม่วงๆ ของพระโอรสด้วยสายพระเนตรปรานี พลางตรัสถาม

“ถ้าต่อไปเขาเป็นเหมือนคนอื่น ไม่กล้าเล่นอย่างนั้นกับลูกอีก ลูกจะเบื่อเขาไหม”

คนถูกถามทรงขมวดพระขนง

“หม่อมฉันไม่ยอมให้เขาเป็นเหมือนคนอื่นหรอกพระเจ้าค่ะ”







หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 1) 21 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 21-06-2014 14:18:36

อานนท์ไม่ได้เป็นเหมือนคนอื่น แต่เด็กชายวัยสิบขวบก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณทรงคาดหวังเอาไว้

“เล่นต่อสู้กัน เต็มที่เลย ไม่ต้องออมมือ”

ครั้งนั้นอานนท์ก็ทำตามคำสั่งดี การต่อสู้แบบสูสีที่ต่างฝ่ายต่างเจ็บตัว ได้แผลไปพอๆ กันนั้นทำให้เจ้าชายน้อยพอพระทัยมาก ทว่าหลังจากพระราชชายาทรงทราบ เหตุการณ์ก็เปลี่ยนไป

เต็มที่... คือเจ้าชายศีลวัต ไม่ออมมือ... ก็ยังเป็นเจ้าชายศีลวัตเพียงคนเดียว ส่วนเด็กชายผิวคล้ำตัวผอมที่เตี้ยกว่าพระองค์เพียงเล็กน้อยกลับยืนเฉยๆ ปล่อยให้พระองค์ทรงชกเอาๆ ตามใจชอบ

“สู้สิ! อานนท์ ทำไมไม่สู้ กำหมัดขึ้นมา”

ยิ่งยืนเฉย พระองค์ยิ่งกริ้วและไม่ทรงยั้งพระหัตถ์เลย คราวนั้นเด็กชายถึงกับเป็นไข้ เจ้าชายศีลวัตโปรดให้คนไปตามหมอหลวงมารักษา แต่พระองค์ไม่เสด็จไปทรงเยี่ยมเลยสักครั้ง ครั้นหายดี ยังไม่ยอมรับสั่งกับ ‘เพื่อนเล่น’ อยู่หลายวัน ทำเหมือนอีกฝ่ายไม่มีตัวตน ถ้าเป็นคนอื่น ถูกทำเช่นนี้ใส่อาจจะร้องไห้หรือคุกเข่าอ้อนวอนขอประทานอภัยไปนานแล้ว แต่อานนท์กลับเพียงแค่เดินตามเสด็จต้อยๆ ตามหน้าที่ ถวายการรับใช้ทุกอย่างตามหน้าที่ ถึงจะถูกแกล้งไม่ให้ความร่วมมือบ้างก็ยังพยายามและอดทน ไม่มีรับสั่งกับเขา เขาก็ไม่พูด

แล้วคนที่ทนไม่ได้ ต้องพูดก่อนก็คือผู้เป็นเจ้าชาย ถึงแม้จะรับสั่งด้วยอย่างดุๆ ห้วนๆ ก็ตาม

นอกจากนี้เด็กชายยังทำตามที่เคยพูดไว้ คือหากเจ้าชายศีลวัตทรงหนีเรียนไปก่อเรื่องที่ไหนแล้วพระราชชายาตรัสถาม ถ้าเขารู้เขาก็กราบทูลตามตรง เป็นผลให้ถูกเจ้าชายศีลวัตทรงลงพระอาญาหลายครั้ง ให้นั่งคุกเข่าหน้าห้องบรรทมทั้งคืนบ้าง ให้อดข้าวเย็นบ้าง ให้ยืนคาบไม้เรียวแล้วขู่ว่าถ้าน้ำลายยืดเมื่อไหร่จะตีบ้าง แต่ก็ไม่เคยทรงตีหรือตรัสสั่งให้ใครตีอีกฝ่ายเลย

ในทางตรงข้าม หากอานนท์ทูลตอบไม่ได้ว่าเจ้าชายศีลวัตเสด็จไปที่ไหน แล้วเกิดมีเรื่องมีราวขึ้นในเวลาต่อมา เช่นห้องเครื่องถูกไฟไหม้ ดอกไม้หายากของพระญาติพระวงศ์ชั้นสูงที่มีพระชนมายุมากแล้วถูกตัดทิ้ง ปลาในบ่อตายเกลี้ยง หรือนกราคาแพงมหาศาลถูกปล่อยหมดกรง แล้วสืบสวนได้ความว่าเป็นฝีมือของเจ้าชายรองแห่งแคว้น เจ้าชายน้อยก็จะทรงถูกเจ้าหลวงรับสั่งตำหนิและโปรดให้ไป ‘ขอโทษ’ เป็นอันจบเรื่อง ส่วนอานนท์ซึ่งไม่ได้มีส่วนรู้เห็นอะไรเลยก็จะถูกพระราชชายาทรงลงพระอาญา บางครั้งให้อดอาหาร แต่เจ้าชายศีลวัตก็ทรงหาวิธีเอาของกินไปให้ ครั้นอานนท์ปฏิเสธไม่กิน พระองค์ก็เอาขนมที่ทรงอุตส่าห์แอบเก็บไว้ตั้งแต่ตอนกลางวันยัดเข้าปาก

“กินเข้าไปเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่กิน ฉันจะยัดให้ติดคอตายไปเลย”

บางครั้งเด็กชายวัยสิบขวบก็ถูกลงโทษให้ทำงานหนัก เช่นทำสวนหรือขัดถูห้องน้ำในเรือนแถวของข้ารับใช้ หากเขาต้องทำงานหนักตลอดวัน เมื่อกลับมาถึงห้องพัก ก็จะมีอาหารดีๆ ขนมอร่อยๆ และนมอุ่นๆ รออยู่ในห้องแล้ว ของพวกนั้นส่วนใหญ่เขาชอบ แต่ที่ไม่ชอบก็คือ คนที่รออยู่ในห้อง

“ล้างมือมารึยัง ยังก็รีบไปล้างให้สะอาดเลย ฉันรอจนท้องกิ่วไปหมดแล้ว”

บ่อยครั้งที่อานนท์สงสัยเหลือเกิน ว่าใครใช้ให้รอไม่ทราบ

เมื่อเด็กชายเพียงคนเดียวที่พระองค์ทรงรับไว้เป็น ‘เพื่อนเล่น’ ต้องถูกพระมารดาของพระองค์ลงโทษบ่อยๆ เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณก็ทรงผ่อนเพลา ‘วีรกรรม’ เด็ดๆ ลงไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เลิกไปเสียทีเดียว เพียงแต่คราวนี้หากจะทรง ‘ปฏิบัติภารกิจ’ ก็จะทรงพาอานนท์ไปด้วยทุกครั้ง ครั้นพระมารดาจะทรงลงพระอาญาเด็กชาย เจ้าชายศีลวัตก็จะทรงดึงมือผอมๆ คล้ำๆ ของคนตัวเล็กกว่าให้มายืนอยู่ข้างหลัง

“ถ้าเจ้าแม่จะลงโทษอานนท์ ก็ต้องลงโทษหม่อมฉันด้วยพระเจ้าค่ะ”

พระราชชายาทรงขัดเคืองพระทัย แต่ก็ต้องทรงยอมปล่อยไปก่อน





นานหลายเดือนทีเดียวกว่าเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณจะทรงทราบว่าพระองค์ทรงปกป้อง ‘เพื่อนเล่น’ เอาไว้ไม่ได้ ครั้งหนึ่งทรงตบไหล่อีกฝ่ายหนักๆ แน่นอนว่าอานนท์ไม่ถึงกับทรุด แต่สีหน้าที่มักจะเรียบเฉยอยู่เป็นนิจกลับมีแววเจ็บปวด เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดซึมเต็มหน้า

“เธอเป็นอะไร”

“กระหม่อมไม่ได้เป็นอะไรพระเจ้าค่ะ”

“โกหก ถอดเสื้อออก”

เด็กชายร่างผอมยืนนิ่ง

“ฉันสั่งให้เธอถอด ถอดออกเดี๋ยวนี้!”

แผ่นหลังที่ปรากฏแก่สายพระเนตรเต็มไปด้วยรอยแผลถูกเฆี่ยน ทั้งรอยเก่าและรอยใหม่ปะปนกัน บริเวณที่พระองค์ทรงตบลงไปเมื่อครู่นี้ถึงกับมีเลือดซึม

ไม่ต้องทรงเค้นเอาจากเจ้าตัว เจ้าชายน้อยก็ทรงทราบว่าใครเป็นคนทำ

“แม่ไม่ได้ทำ”

“แต่สั่งให้นางพวกนี้ทำ”

‘นางพวกนี้’ ซึ่งได้แก่บรรดานางข้าหลวงต่างก้มหน้า หลบสายพระเนตรวาวโรจน์กันวูบวาบทั้งที่ไม่ได้มีความผิดเลยแม้แต่น้อย

“ก็ไม่ใช่อีกนั่นล่ะ คนลงโทษน่ะ เป็นคนที่มีสิทธิ์จะสั่งสอนมันได้เต็มที่ โทษฐานที่ไม่ดูแลลูกให้ดี ปล่อยให้ลูกไปเล่นซน”

“ใครพระเจ้าค่ะ” พระสุรเสียงของพระโอรสกร้าวเสียจนพระนางเรวดียังทรงชะงัก

“เจ้ากรมทหารม้า”

“แต่อานนท์เป็นของหม่อมฉัน ใครก็ไม่มีสิทธิ์ลงโทษทั้งนั้น นอกจากหม่อมฉันคนเดียว”

“แม่ว่าลูกเข้าใจผิดแล้วนะจ๊ะ ศีลวัต คนของลูกน่ะแม่เป็นคนจัดหามาให้ แล้วมันก็เป็นแค่ ‘ข้าในพระองค์’ ได้เงินทุกเดือน ชีวิตมันน่ะไม่ใช่ของลูก แต่ยังเป็นของเจ้ากรมทหารม้าที่เป็นพ่อ”

“เธอได้เงินเดือนด้วยหรือ”

คนที่ถูกลากมาทั้งที่ยังไม่ได้ใส่เสื้อพยักหน้า “พระเจ้าค่ะ”

“แล้วเงินอยู่ไหน”

ทำไมพระองค์ไม่เคยทอดพระเนตรเห็น ทั้งที่ในห้องพักของอีกฝ่ายซึ่งอยู่ข้างห้องบรรทมนั้นถูกพระองค์ทรงค้นจนปรุไปหมดแล้ว

“แม่ให้เจ้าคุณวังจัดการส่งไปให้เจ้ากรมทหารม้าทุกเดือน”

ดวงพระเนตรของเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณลุกวาบด้วยความกริ้ว หลังจากขบพระทนต์แน่นด้วยความอดทนอดกลั้นก็ทรงประกาศกร้าว

“หม่อมฉันจะซื้อตัวอานนท์มาเป็นของหม่อมฉัน แพงเท่าไหร่หม่อมฉันก็จะหาเงินมาซื้อให้ได้”

เจ้ากรมทหารม้าถูกเรียกตัวมาเข้าเฝ้าทันทีตามพระบัญชาของเจ้าชายศีลวัต

“ฉันอยากได้อานนท์มาเป็นของฉัน ท่านจะขายเท่าไหร่ก็ว่ามา”

คนฟังถึงกับงุนงงไปวูบหนึ่งเพราะคนพระอารมณ์ร้อนทรงเข้าเรื่องรวดเร็วเหลือเกิน ครั้นมองไปทางพระราชชายา พระนางก็รับสั่งขยายความให้เขาเข้าใจมากขึ้น

วินาทีนั้นใจเขารู้สึกปีติเหลือเกินที่ลูกชายที่เขาไม่เคยต้องการและเป็น ‘ตัวซวย’ ของเขามาตลอดสองปีกลายเป็นคนที่มีประโยชน์ขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด

“กระหม่อมไม่บังอาจเรียกร้องเงินทองพระเจ้าค่ะ เพียงแค่ฝ่าบาทโปรดให้มันมีโอกาสได้ถวายงาน ก็นับเป็นวาสนาของมันและเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลของกระหม่อมอย่างยิ่งแล้วพระเจ้าค่ะ เพียงแต่...”

“เพียงแต่อะไร”

“เพียงแต่วันหน้า หากฝ่าบาทได้ทรงเฉลิมพระยศพระเกียรติยิ่งใหญ่ ขอทรงสนับสนุนกระหม่อมบ้างเท่านั้นพระเจ้าค่ะ”

“จะให้ช่วยทูลเจ้าพ่อให้เลื่อนยศให้ อย่างนั้นสินะ”

“เอ่อ... ก็... คล้ายๆ อย่างนั้นพระเจ้าค่ะ”

“ได้ ฉันรับปาก ตอนนี้อานนท์ก็เป็นของฉันอย่างสมบูรณ์แล้วใช่ไหม”

“พระเจ้าค่ะ กระหม่อมยินดีถวาย จะทรงใช้ให้ทำอะไรก็สุดแท้แต่จะโปรดพระเจ้าค่ะ”

“ท่านไม่มีสิทธิ์ในตัวเขาอีกแล้วนะ”

“พระเจ้าค่ะ”

ตลอดการ ‘เจรจา’ ไม่มีใครสนใจสีหน้าและแววตาของเด็กชายผิวเข้มร่างผอมเลยแม้แต่คนเดียว






“ลูกทำอย่างนี้ไม่ฉลาดเลย”

พระนางเรวดีรับสั่งตรงๆ เมื่อทรงเรียกพระโอรสมาเข้าเฝ้าตามลำพัง

“ไม่ฉลาดยังไงพระเจ้าค่ะ”

“รู้รึเปล่าว่าเจ้ากรมทหารม้าน่ะไม่เป็นที่โปรดปรานขององค์รัชทายาท”

“ทำไมเจ้าพี่ภีมเสนถึงไม่โปรดเขาล่ะพระเจ้าค่ะ”

“เรื่องนี้แม่ก็ไม่รู้ แต่ข่าวนี้ไม่ผิดแน่ องค์รัชทายาทน่ะดูยาก โปรดใครไม่โปรดใครก็ไม่แสดงออก แต่กับเจ้ากรมทหารม้า องค์รัชทายาทรับสั่งคัดค้านเขาในที่ประชุมหลายครั้ง เบี้ยหวัดของเจ้ากรมคนนี้ก็ไม่เพิ่มมาสองปีแล้วเพราะทำงานผิดพลาดมาก ความผิดพลาดนั่นองค์รัชทายาทก็เป็นคนรับสั่งอีกนั่นแหละ”

“แล้วทำไมหรือพระเจ้าค่ะ”

“โธ่ ศีลวัต ก็ถ้าลูกโปรดปรานเจ้าเด็กอานนท์มากเกินไป องค์รัชทายาททรงทราบเข้าจะไม่พอพระทัยเอาน่ะสิ ยิ่งถ้าต่อไปสนับสนุนเจ้ากรมทหารม้าจริง องค์รัชทายาทอาจจะทรงคิดว่าลูกคิดจะเป็นศัตรูของพระองค์”

“เจ้าพี่คงไม่ทรงคิดอย่างนั้น”

“ทำไมจะไม่คิด ลูกรู้ตัวรึเปล่าว่าตั้งแต่รานีสิ้นไปตั้งแต่สองปีที่แล้ว ลูกก็กลายเป็นคนที่องค์รัชทายาททรงกลัว เพราะว่าแม่กลายเป็นที่โปรดปรานของเจ้าพ่อ ถึงยังไม่ได้เป็นรานี แต่อีกไม่นานก็คงจะได้รับการแต่งตั้งแน่ เพราะฉะนั้นระหว่างที่แม่ยังไม่ได้เป็นรานี ลูกต้องทำตัวดีๆ ให้เจ้าพ่อโปรดปราน ขยันเรียนหนังสือ แล้วก็อย่าเพิ่งทำอะไรให้องค์รัชทายาทไม่พอพระทัย ตอนนี้เจ้าพ่อลูกก็ทรงทราบแล้วนะ วันก่อนยังถามแม่ว่าลูกชอบเพื่อนใหม่คนนี้มากหรือ”

“ชอบอะไรกัน ทำอะไรไม่ถูกใจหม่อมฉันเลยสักอย่าง”

“ไม่ชอบก็ดีแล้ว จะใช้ให้ทำอะไรก็ใช้ไป แต่อย่าไปเอ็นดูมันมาก”

พระโอรสทรงพยักพระพักตร์ส่งๆ ไปอย่างนั้นเอง ความจริงในพระทัยมีอยู่เพียงประการเดียว

... พระองค์จะไม่ทรงยอมให้อานนท์เป็นของใครเด็ดขาด ต่อให้ต้องเป็นศัตรูกับเจ้าชายภีมเสนก็ตาม...






อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นมา เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณก็ไม่ได้ทรงสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนในพระราชวังอีกเพราะทรงมีงานใหม่คือการเป็นครู

“เธอชอบเรียนหนังสือหรือ”

“ชอบพระเจ้าค่ะ”

นั่นเป็นครั้งแรกที่เจ้าชายน้อยทรงได้ยินว่าคนของพระองค์ชอบอะไร เพราะอานนท์ไม่เคยมีอะไรที่ชอบเลย ไม่ว่าจะเป็นของกิน ของใช้ หรือกิจกรรมต่างๆ ให้กิน ให้ใช้ ให้ทำอะไรเขาก็กิน ก็ใช้ ก็ทำอย่างนั้นโดยไม่แสดงออกว่าชอบหรือไม่ชอบ

“มันสนุกตรงไหน”

“กระหม่อมอยากอ่านเขียนหนังสือได้ อยากมีความรู้มากๆ พระเจ้าค่ะ”

... คนยิ่งมีความรู้มาก ก็จะมีโอกาสเลือกทางเดินให้ชีวิตของตัวเองมาก...

... แม่อยากให้ลูกได้เรียนหนังสือ จะได้ไม่ต้องขายแรงกายแลกเงินเหมือนแม่...

“เรียนหนังสือน่าเบื่อจะตาย ไม่เห็นจะท้าทายตรงไหนเลย”

ถึงจะรับสั่งอย่างนั้น แต่ก็ทรงสอนหนังสือ อธิบายข้อความยากๆ และสอนการบ้านประทานให้เด็กชายตัวผอมทุกคืน ทำเอาอานนท์นึกทึ่งและศรัทธาเจ้านายของเขาขึ้นมาหน่อยๆ เพราะอีกฝ่ายทรงอธิบายให้เขาเข้าใจได้ง่ายกว่าที่เขาฟังจากครูเสียอีก

“เรียนหนังสือแล้วก็ต้องเรียนต่อสู้ด้วย ต่อไปเธอจะต้องเป็นองครักษ์ของฉัน ต้องต่อสู้ให้เก่งๆ”

อานนท์มีพรสวรรค์ในการต่อสู้ เมื่อเรียนกับครูซึ่งเป็นพระอาจารย์ของเจ้าชายรอง เด็กชายแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ แต่เมื่อเจ้าชายศีลวัตรตรัสสั่งให้ประลองกับพระองค์ เขาเป็นต้องแกล้งแพ้เสมอจนถูกกริ้วบ่อยๆ

“ฉันซื้อเธอมา เธอเป็นของฉันแล้ว ฉันสั่งอะไรเธอก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำ ฉันจะส่งเธอกลับไปคืนเจ้ากรมทหารม้า”

ดูเหมือนในประโยคเหล่านั้นจะมีข้อความบางแห่งที่ได้ผลดี ทำให้อานนท์ยอมทำตามรับสั่งในที่สุด และทำให้เจ้าชายศีลวัตตรัสถ้อยคำเหล่านั้นบ่อยๆ แทบทุกครั้งที่มีพระประสงค์จะให้อีกฝ่ายทำอะไรสนองพระทัย






ถึงแม้ว่าเจ้าชายศีลวัตจะไม่ได้ทรงก่อเรื่องอีก แต่ก็ใช่ว่าจะเลิกเล่นซนไปเสียทีเดียว วันนั้นพระองค์ทรงชวนอานนท์เข้าไปใน ‘ห้องสมบัติ’ ของพระมารดา

“เจ้าแม่จ่ายเงินซื้อของพวกนี้ปีละมากๆ แต่ฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะมีประโยชน์อะไรเลย แค่เอาไว้อวดคนที่มาเยี่ยมเท่านั้น หรือเธอว่ายังไง ชอบชิ้นไหนไหม”

อานนท์เกิดวันไหนก็ไม่รู้สิ แต่นี่ก็ใกล้จะครบหนึ่งปีที่เขามาอยู่กับพระองค์แล้ว ถ้าทรงทราบว่าเขาชอบอะไรล่ะก็...

“ฝ่าบาท”

“หือ ชอบชิ้นไหนหรือ”

“ทรงโยนเล่นอย่างนั้น ถ้าตกแตกขึ้นมา พระราชชายาจะกริ้วนะพระเจ้าค่ะ”

“ไม่หรอกน่า ฉันรับแม่นจะตาย” รับสั่งแล้วก็ทรงสาธิตให้ดูอีกรอบ ด้วยการโยนกวางหยกตัวนั้นสูงขึ้นกว่าเดิม “แล้วฉันก็เคยทำแตกมาแล้วตั้งหลายชิ้น เจ้าแม่แค่ทรงดุนิดหน่อยเท่านั้น ฉันไม่เคยถูกตีสักหน”

แต่ก็ทรงทราบดีว่าถ้าคราวนี้พระองค์ทรงทำเสียหายอีก คราวนี้คนที่จะถูกลงพระอาญาแทนจะกลายเป็นอานนท์ หลังจากโยนเล่นอีกครั้งหนึ่งให้อีกฝ่ายใจหายเล่นๆ แล้วพระองค์ก็ทรงวางลงที่เดิม

“แก้วคริสตัลอันนี้สวยไหม”

อานนท์มองคริสตัลชิ้นใหญ่ในพระหัตถ์ แล้วก็พยักหน้า แก้วคริสตัลรูปเทพนารีสูงขนาดหนึ่งศอกนั้นทั้งใสเป็นประกายแวววาม ทั้งมีรายละเอียดมากมายที่อ่อนช้อยเสมือนจริงอย่างยิ่ง  เขาถึงกับใจกระตุกเมื่ออีกฝ่ายทรงทำท่าจะโยนมันขึ้น เจ้าชายศีลวัตทรงพระสรวลเมื่อเห็นคนที่มักจะหน้าเฉยอยู่เสมอดูตกใจ

“คงจะราคาแพงน่าดู ได้ยินว่าเจ้าแม่จะประทานให้ตาแก่หัวหน้าหอทำนาย ไม่รู้จะประทานให้มันทำไมทุกปี แล้วก็ให้แต่ของแพงๆ ทั้งนั้น”

เมื่ออานนท์ไม่มีความคิดเห็น พระองค์ก็ทรงชินเสียแล้วที่จะรับสั่งเล่าเรื่อยๆ

“รู้ไหม ฉันเคยเกือบจะมีน้องด้วยนะ แต่เจ้าแม่ทรงแท้งซะก่อน ตอนนี้ฉันก็ยังอยากจะมีน้องสาวสักคนนะ เจ้าแม่ก็เสด็จไปขอพรที่มหาวิหารหลวงบ่อยๆ คงจะขอน้องให้ฉันอีก ที่หาของขวัญไปให้ตาแก่หอทำนายนั่นก็คงอยากจะให้ทำนายให้ล่ะมั้งว่าจะมีน้องให้ฉันได้เมื่อไหร่ หึ แต่ฉันไม่เชื่อหรอกว่าตาแก่นั่นจะรู้ บางทีเจ้าแม่ก็ทรงงมงาย เธอว่าไหม”

แน่นอนว่าอานนท์ไม่ว่า อีกฝ่ายจึงทรงผ่อนพระปัสสาสะออกอย่างเบื่อๆ

“ถ้าฉันมีน้องนะ ฉันจะอุ้มแล้วก็โยนเล่นสูงๆ อย่างนี้”

รับสั่งจบก็ทรงโยนแก้วคริสตัลในพระหัตถ์ขึ้น ทว่าตุ๊กตาแก้วกลับตกลงมาเร็วกว่าที่ทรงคาดเอาไว้

“ฝ่าบาท!”

เพล้ง!

เจ้าชายศีลวัตทรงยืนตะลึง ขณะอานนท์หน้าซีด

“นั่นเสียงอะไร ใครไปดูซิ”

“เก็บเร็วอานนท์ เผื่อจะเอาไปซ่อมได้”

เด็กชายทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว ทว่ายังช้ากว่านางข้าหลวงที่มายืนอยู่หน้าห้องแล้ว

“พระราชชายาเพคะ อานนท์...”

“หุบปากเดี๋ยวนี้!”

เจ้าชายรองตรัสสั่งเสียงเฉียบ นางข้าหลวงเม้มปากทันที ทว่าไม่ทันการณ์เสียแล้ว






“จับองค์ชายไว้ดีๆ อย่าให้หลุดมาได้ ถ้าหลุดเมื่อไหร่ ฉันจะสั่งเฆี่ยนให้หลังขาดทุกคน แล้วใครไปเอาไม้เรียว ทำไมยังไม่มา”

“มาแล้วเพคะ”

“ปล่อย! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้! เจ้าแม่ รับสั่งให้นางพวกนี้ปล่อยหม่อมฉันนะพระเจ้าค่ะ”

“ลงมือ”

ขวับ!

“เจ้าแม่!”

“เฆี่ยนให้แรงอีก”

“อย่าตี! หยุดเดี๋ยวนี้! ฉันสั่งให้หยุด หยุดสิ!”

ขวับ! ขวับ! ขวับ!

“โธ่โว้ย! หม่อมฉันบอกแล้วว่าหม่อมฉันเป็นคนทำแตกเอง จะทรงตีก็ตีหม่อมฉันสิพระเจ้าค่ะ เจ้าแม่! อานนท์ไม่ผิด หยุดตีเขาเดี๋ยวนี้”

เจ้าชายศีลวัตทรงแผดพระสุรเสียงลั่นพระตำหนักทั้งที่พระองค์ไม่ได้ทรงถูกตีสักเผียะ นางข้าหลวงสี่นางช่วยกันยึดพระองค์ไว้ยังแทบจะยึดไม่อยู่ ขณะที่คนคุกเข่าเปลือยหลังให้เฆี่ยนกลับไม่ร้องเลยสักแอะ ก้มหน้า และไม่มองมาทางนายน้อยของเขาเลย

เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณทรงดิ้นรนจนเหนื่อยแล้วก็ทรงหยุด เปลี่ยนเป็นรับสั่งด้วยพระสุรเสียงเย็นชา

“ยุพา” นางข้าหลวงซึ่งมีหน้าที่เฆี่ยนถึงกับเผลอหยุดมือ

“หยุดทำไม เฆี่ยนต่อไป” พระราชชายาตรัสสั่ง ทว่านางข้าหลวงสาวยังไม่ทันลงมือก็ต้องชะงักอีกรอบ

“ถ้าเฆี่ยนเขาอีก ฉันจะเอาคืน จะเอาคืนให้เจ็บกว่าเป็นร้อยเท่า!”

ยุพาหน้าซีด ตัวสั่น ทว่าเมื่อมองไปทางพระราชชายาและถูกสั่งด้วยสายพระเนตรดุดันเฉียบขาด นางก็จำต้องกัดฟันแล้วหวดไม้เรียวลงไปบนแผ่นหลังเล็กๆ นั่นอีกครั้ง

สายพระเนตรวาวจ้าของเจ้าชายรองแห่งศีลวัตไหวระริกราวกับทรงถูกฟาดเสียเอง พระนางเรวดีทอดพระเนตรเห็นแล้วก็ทรงหวั่นพระทัยขึ้นมา เด็กอานนท์คนนี้มีอิทธิพลต่อพระโอรสของพระองค์มากจนน่ากลัว แต่ก็เพราะอย่างนี้ พระองค์จึงทรงมีโอกาสทำให้พระโอรสเป็นอย่างที่พระองค์ต้องการ

“เธอสี่คนก็เหมือนกัน” พระสุรเสียงของเจ้าชายศีลวัตเหี้ยมเกรียมเกินเด็กวัยสิบสาม “ถ้ายังไม่ปล่อยฉัน วันหน้าถ้าฉันมีอำนาจเมื่อไหร่ ฉันจะไม่ให้พวกเธอได้ตายดี” 

เพียงแค่หนึ่งในสี่เผลอปล่อยมือเล็กน้อย เจ้าชายน้อยก็ทรงสะบัดหลุดจากการยึดทันที

“ว้าย! ฝ่าบาท!”

ยุพาถูกเตะจนล้ม ไม้ในมือถูกเจ้าชายศีลวัตทรงกระชากไปแล้วฟาดลงมาไม่ยั้ง

“โอ๊ย! โอ๊ย! ฝ่าบาท ทรงเมตตาหม่อมฉันด้วยเพคะ ประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วย โอ๊ย! พระราชชายา ทรงช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ โอ๊ย! ฮือออ”

นางข้าหลวงทั้งหลายต่างนั่งตัวสั่นลีบ ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเพื่อน และพระนางเรวดีก็ทอดพระเนตรมองเฉย ปล่อยให้พระโอรสทรงเฆี่ยนตีนางข้าหลวงของพระองค์จนพอพระทัย นั่นหมายถึงยุพาเนื้อแตกยับไปทั้งตัว และเจ้าชายศีลวัตก็ทรงเหนื่อยจนหอบ

“อือ”

เสียงครางเบาๆ นั้นไม่น่าจะมีใครได้ยินเสียด้วยซ้ำ แต่เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณกลับทรงหันขวับ ทิ้งไม้ และเสด็จไปประคองคนของพระองค์ไว้ทันที

“อานนท์”






บุตรชายคนเล็กของเจ้ากรมทหารม้านอนหลับไปแล้ว นอนคว่ำอยู่บนพระที่ของเจ้าชายศีลวัตนั่นเอง เจ้าของพระที่ไม่ทรงยอมให้เขากลับไปพักที่ห้องของตัวเอง ต่อไปนี้พระองค์จะให้อานนท์นอนในห้องบรรทม ระหว่างที่บนพื้นยังไม่มีฟูก ก็โปรดให้เด็กชายนอนบนพระที่ของพระองค์ไปก่อน นางข้าหลวงทายาลงบนแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยปริแตกนั้นอย่างเบามือที่สุด โชคดีที่เด็กชายวัยสิบเอ็ดขวบไม่ร้องครางออกมาเลย ไม่อย่างนั้นนางคงไม่แคล้วถูกเจ้าชายศีลวัตที่ทอดพระเนตรมองอยู่ตลอดเวลาทรงลงพระอาญา

เสียงประตูถูกเปิดออก ในพระตำหนักนี้ คนที่จะเข้ามาในห้องบรรทมของพระองค์โดยไม่ต้องขออนุญาตได้มีอยู่เพียงคนเดียว

“ให้นอนบนเตียงอย่างนี้แล้วลูกจะนอนที่ไหน”

คนถูกถามทรงเฉย ไม่ทรงหันมาทอดพระเนตรพระมารดาเสียด้วยซ้ำ พระราชชายาจึงเสด็จไปประทับบนเก้าอี้ข้างพระบัญชรที่เปิดกว้าง ใกล้กับหัวเตียง

เนิ่นนาน กว่าพระโอรสจะทูลถามขึ้นโดยไม่ละสายพระเนตรจากแผ่นหลังของคนบนเตียง

“หม่อมฉันเป็นถึงเจ้าชาย แค่คนของตัวเองคนเดียว ก็ยังไม่มีอำนาจมากพอจะปกป้องหรือพระเจ้าค่ะ”

“ลูกเป็นเจ้าชาย แต่อย่าลืมว่าแม่เป็นพระราชชายา”

“แล้วหม่อมฉันต้องเป็นอะไร ถึงจะปกป้องเขาได้”

ลางสังหรณ์ของพระนางเรวดีรุนแรงขึ้น สายพระเนตรของพระโอรสที่ทอดมอง ‘คนของตัวเอง’ ดูเฉยเมย แต่ให้ความรู้สึกมุ่งมั่นอย่างน่ากลัว

“เป็นเจ้าหลวง”

พระโอรสทรงเงยพระพักตร์ขึ้น

“หรืออย่างน้อย ก็ต้องเป็นเจ้าชายรัชทายาท”

เจ้าชายศีลวัตขยับพระโอษฐ์จะทรงแย้ง แต่แล้วก็เพียงพยักพระพักตร์เนิบๆ

“หม่อมฉันเข้าใจแล้ว”

พระราชชายาทรงลอบผ่อนพระปัสสาสะออกอย่างแผ่วเบา คำทำนายของหัวหน้าหอทำนายจะต้องไม่เป็นจริง ทุกวันนี้พระองค์ทรงพยายามเอาใจตาแก่นั่นด้วยการให้ของล้ำค่าทุกปี แต่มันก็ยังไม่เปลี่ยนคำทำนาย บอกแต่ว่าจะพยายามสวดมนต์เพื่อสร้างบุญกุศลถวายให้คำทำนายลดความรุนแรงลงเท่านั้น

พระโอรสของพระองค์มีทั้งรูปร่างหน้าตาและลักษณะเปี่ยมด้วยสง่าราศี ทั้งสติปัญญายังเฉลียวฉลาด แต่มันกลับทำนายออกมาได้ ว่าศีลวัตจะไม่มีอนาคต

... พระโอรสจะไม่ทรงมีวันพรุ่งนี้พระเจ้าค่ะ...

... วันพรุ่งนี้อันสว่างไสวเรืองรอง เป็นดวงพระชะตาของเจ้าชายภีมเสน...





tbc.



*********************************


iforgive – บทที่ 1 ยาวเป็นพิเศษค่ะ บทอื่นๆ จะสั้นกว่านี้ ตอนหน้า... พวกเขาจะเติบโต... อย่างรวดเร็ว ^^

Phut – ตายเรียบทั้งสามคนค่ะ 555 ตายจริง ไม่หลอกอย่างในเรื่องพรุ่งนี้

IsDear – งงไปก่อนก็ได้ค่ะ ลืมไปก่อนได้ยิ่งดีเลย เหตุการณ์นั้นจะกล่าวถึงอีกทีก็ตอนท้ายเรื่องนู่นเลยค่ะ

lizzi – หวังว่าจะติดตามกันไปเรื่อยๆ จนจบค่ะ คงอีกไม่นานล่ะ

Sar2288 – ถ้าชุนเป็นคนอ่าน ชุนก็ชอบวันวานนะคะ ชอบเรื่องที่อ่านแล้วไม่รู้สึกว่าจิตตก แต่ในฐานะคนเขียนก็ชอบแนววันนี้มากกว่า แต่ถ้าคนอื่นเขียน ชุนไม่อ่านนะคะ เรื่องแนวเดียวกับวันนี้นี่ถ้าใครเขียนมาให้อ่าน ชุนขอลาขาดกันเลยทีเดียว จะว่าจัดอยู่ในแนวดราม่าก็คงได้  แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ค่ะ อารมณ์จะหนักกว่า พรุ่งนี้ นิดนึง (มั้ง)

ormn – เอาตอนใหม่มาเสิร์ฟค่ะ

himoru – ยินดีต้อนรับเข้าสู่เวลาค่ะ ชุนก็คิดว่าน่าจะประชาสัมพันธ์เรื่องนี้ในเรื่องรามิเรสสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้ทำสักที ลงไปลงมาก็ใกล้จะจบซะแล้วก็เลยเลยตามเลยค่ะ หวังว่าจะชอบทั้งพรุ่งนี้และวันวานนะคะ

snowermyhae – สำหรับชุนก็เป็นอย่างนั้นค่ะ วันนี้พีคสุด แต่สำหรับคนอ่านก็ไม่แน่ แล้วแต่ชอบค่ะ คงต้องติดตามกันต่อไป
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 1) 21 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 21-06-2014 15:30:41
อิแม่........ โอ๊ยยยยยยย สงสารศีลวัต
นี่เลี้ยงลูกเป็นเครื่องมือเลยนะเนี่ย
มันแหม่งๆ ตั้งแต่ลูกดื้อไม่เชื่อฟังแล้ว  ใช้วิธีหาเพื่อนมาลงโทษแทนแล้ว
นี่ศีลวัตยังฉลาด ถ้าโง่นี่กลายเป็นกระบือให้แม่จูงซ้ายจูงขวาแน่ๆ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 1) 21 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 21-06-2014 16:31:49
'... พระโอรสจะไม่ทรงมีวันพรุ่งนี้พระเจ้าค่ะ...' หวั่นกับประโยคนี้จริงๆ

ยิ่งชื่อเรื่อง วันนี้ ด้วย ยิ่งหวั่น ว่าองค์ศีลวัตคงไม่ได้แก่ตายแน่ๆ

อานนท์น่าสงสารมากๆ คนที่เลือกตาย แทนที่จะโดนเฆี่ยน คือคนที่ไม่หวังอะไรกับชีวิตแล้ว

หรือไม่ก็คนที่โดนทรมานจนคิดว่า ความตายยังน่ากลัวน้อยกว่า

ปกติจะไม่อ่านเรื่องดราม่าเลย เพราะถ้าอ่านจะจิตตก อารมณ์ไม่ค่อยดี

แต่เรื่องนี้ตามอ่านแน่ๆค่ะ แม้จะหวั่นที่คนเขียนบอกว่า หนักกว่าพรุ่งนี้ อันนั้นก็แทบแย่แล้วนะคะ

แต่ก็อยากรู้ที่คนเขียนเคยตอบคุณiforgiveว่า องค์ชายทั้งสามคนใครน่าเลือกที่สุด

ตอนนี้ที่หนึ่งในใจคือองค์ชายสามนะ อยากรู้ว่าองค์ศีลวัตจะทำให้เปลี่ยนใจได้มั้ย
 :pig4: นักเขียน
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 1) 21 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 21-06-2014 17:50:27
อร๊ายผูกพันกันแต่เด็ก เจ้าชายรองมาแนว'คนข้าใครอย่าแตะ' จิ้นแล้วฟิน (คิดไปไกลล่วงหน้า)

แต่แว้บๆว่าโตมาเย็นชาจัง หรือคิดไปเองหว่า?

เจ้าชายไม่มีพรุ่งนี้หวังว่า ตัวเอกคงไม่ตายตอนจบ

ชอบเรื่องหนักๆแต่ต้องจบมีความสุข(แอบบังคับ)

ตอนนี้มายาวจุใจดีจ้ะ

ติดตามเช่นเคย

ขอบคุณจ้า
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 1) 21 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 21-06-2014 19:49:22
ผ้าเช็ดหน้า พร้อมละ จัดมาเลย ดราม่าหนัก ๆ
แม้ว่ามันยากที่จะทำใจ แต่จะกัดฟันอ่านไป
เพียงเพราะหลงคารมคนแต่งที่บอกว่า ชอบศีลวัตที่สุด
ส่วนตัวแล้วตอนนี้ ชอบองค์ชายรัชทายาทที่สุด
อยากเป็นมหาราณี .... ครุคริ

ปล. แม่นางร้ายมากกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 1) 21 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: poogan_zadd ที่ 21-06-2014 22:31:59
อื้อหืออ เม้นท์น้องไทวาไม่ทันเลย จบไปซะแล้ว
แว้บมาบอกก่อนสั้นๆว่าอ่านไปได้บทเดียวก็สัมผัสได้จริงๆค่ะว่าวันนี้จะพีคที่สุด
ชอบนิสัยของศีลวัตด้วย โตขึ้นแล้วเข้มข้นแน่นอน เดี๋ยวจะต้องรับเชลยมาอีกสองคน

รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 1) 21 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-06-2014 00:18:30
สงสารอานนท์มาก โดนเฆี่ยนตั้งแต่ยังเด็ก โหดร้ายมาก แต่เหมือนนางมีแผนอะไรในใจนะคะเนี่ย
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 1) 21 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 22-06-2014 00:18:39
เหมือนเจ้าชายรองจะคู่กับอานนท์
แต่เดี๋ยวต้องมี นายบำเรอเข้ามาอีกสองคน
มันจะวุ่นขนาดไหนเนี่ย

หวังว่าจะจบแฮปปี้นะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 1) 21 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-06-2014 08:02:05
ห่วงหัวใจกับคำทำนายแล้วก็สงสารอานนท์ด้วย
เห้อออ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 2) 22 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 22-06-2014 20:14:27
วันนี้... แค่มีเธอ
บทที่ ๒


เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณทรงรับบาทบริจาริกาคนแรกเมื่อมีพระชนมายุสิบหกชันษาตามธรรมเนียมทั่วไปของเชื้อพระวงศ์แห่งเรืองอรุณ แม้จะทรงมีพระตำหนักเป็นของพระองค์เองอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นกลาง แต่เรื่องการจัดหาผู้หญิงที่จะมาเป็น ‘ฝ่ายใน’ ของพระองค์ พระราชชายาทรงเป็นผู้จัดการประทานให้

พระนางเรวดีโปรดให้คนของพระองค์ไปหาภาพเขียนของหญิงสาวในตระกูลผู้ดีมาถวายให้พระโอรสทอดพระเนตร ซึ่งล้วนแต่เป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสะสวยงดงาม มีกิริยามารยาทดี ที่สำคัญคือเป็นบุตรีของข้าราชบริพารที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายเจ้าชายรัชทายาท






“เธอว่าคนไหนดี”

เจ้าของห้องรีบยืนขึ้น ไม่ต้องถวายความเคารพเพราะอีกฝ่ายเสด็จเข้ามาวันละนับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะวันที่เขาไม่ต้องอยู่เวรอย่างวันนี้

ห้องของอานนท์อยู่ติดกับห้องบรรทม มีประตูเชื่อมระหว่างห้อง พระนางเรวดีเคยรับสั่งคัดค้านว่าไม่เหมาะสม แต่เจ้าชายศีลวัตถือว่าเป็นพระตำหนักของพระองค์เอง จะโปรดให้เป็นไปอย่างไรก็ย่อมได้ แน่นอนว่าอานนท์ซึ่งตอนนี้เป็นทั้งมหาดเล็กและนักเรียนองครักษ์ไม่เคยเปิดเข้าไปในห้องบรรทม แต่อีกฝ่ายกลับเปิดเข้ามาห้องเขาบ่อยราวกับเป็นห้องของพระองค์เอง

“เจ้าแม่ส่งรูปวาดผู้หญิงมาให้ฉันเลือก”

มหาดเล็กสองนายที่ตามเสด็จมาวางม้วนภาพวาดสองหอบลงบนโต๊ะหน้าชุดเก้าอี้กลางห้อง ก่อนจะทูลลาออกจากห้องไป เจ้าของวรองค์สูงโปร่งซึ่งยังอยู่ในเครื่องแบบทหารสีเขียวขี้ม้าประทับลงบนเก้าอี้ คนรู้หน้าที่ดีจึงเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวหนึ่งโดยไม่ต้องรอให้สั่ง

“ฉันดูแล้ว เลือกไม่ถูก เธอเลือกมาสักคนก็แล้วกัน”

“จะทรงอภิเษกสมรสหรือพระเจ้าค่ะ”

เจ้าชายหนุ่มทรงขมวดพระขนง

“ถามมาได้ ฉันเพิ่งอายุสิบหก จะรีบแต่งไปทำไม”

“เลือกพระสนมหรือพระเจ้าค่ะ”

“นั่นแหละ”

“พระสนมของฝ่าบาท ฝ่าบาทน่าจะทรงเลือกเอง”

“ฉันก็เพิ่งสั่งให้เธอเลือกไปหยกๆ เธอก็รีบๆ เลือกมาสักคน เสร็จแล้วจะได้ไปเที่ยวกัน”

“จะเสด็จไหนพระเจ้าค่ะ”

“ไปดูมายากลที่ตลาด”

“คณะที่มาแสดงในวังหรือพระเจ้าค่ะ”

“ใช่”

“ฝ่าบาททอดพระเนตรแล้ว ถ้าโปรดก็มีรับสั่งให้เข้ามาแสดงอีกได้”

“ฉันอยากไปดูที่ตลาด จะไปหรือไม่ไป”

“ไปพระเจ้าค่ะ”

อานนท์เรียนรู้มานานแล้ว ว่าประโยคที่ดูเหมือนคำถามนั้นแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ มันเป็นคำสั่งที่เขาตอบรับได้เพียงอย่างเดียว ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ รีบๆ ตอบรับไปเสีย  อีกฝ่ายพอพระทัยแล้วเขาจะได้ไม่ต้องถูกกริ้วและถูกแกล้ง ยังไงก็ตาม เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับการที่เขาติดสอบที่โรงเรียนในวันที่คณะมายากลมาแสดงหน้าพระที่นั่ง  ก็เลยไม่ได้ดูการแสดงหรอกกระมัง

“ไปก็เลือกเข้า”

เด็กหนุ่มผิวเข้มที่สูงขึ้นมากแต่ยังผอมอยู่เหมือนเดิมรู้ว่าเลี่ยงไม่ได้ จึงเลือกภาพหนึ่งถวาย เป็นหญิงสาวที่ดูเรียบร้อย และเป็นธิดาคนเล็กของเสนาบดีวัง เจ้าชายทหารทรงรับไปทอดพระเนตรแล้วก็พยักพระพักตร์ง่ายๆ

“ให้ใครส่งไปถวายเจ้าแม่ด้วย ฉันไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวมารับ”






ตามธรรมเนียมของเรืองอรุณ การถวายตัวทุกครั้งจะต้องมีผู้อยู่ในห้องเพื่อถวายความปลอดภัยด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นมหาดเล็กที่เจ้านายไว้วางพระทัย เว้นแต่ผู้ถวายงานจะเป็นพระชายา จึงไม่ต้องมีผู้อยู่ในห้อง

“คืนพรุ่งนี้เธอไปกับฉัน”

“พรุ่งนี้ไม่ใช่เวรของกระหม่อม”

“ใครเป็นคนจัดเวรให้เธอ”

อานนท์เกือบจะทูลตอบอยู่แล้ว ว่าหัวหน้ามหาดเล็กประจำพระตำหนัก แต่พอเห็นพระพักตร์ของคนเอาแต่ใจ ก็รู้แจ้งขึ้นมาทันที

“ฝ่าบาทพระเจ้าค่ะ”

“รู้ก็ดี พรุ่งนี้เป็นเวรของเธอ”






เหตุที่อานนท์ไม่อยากอยู่เวรเพราะสถานที่ถวายตัวคือในพระตำหนักของพระราชชายา หลังจากถวายตัวแล้ว หากเป็นที่พอพระทัย เจ้าชายรองโปรด ก็อาจจะโปรดให้เป็นพระสนมและมีเรือนส่วนตัวอยู่ในเขตฝ่ายใน ถ้าไม่โปรดก็อาจจะได้เป็นนางข้าหลวงของพระราชชายาต่อไป

อีกอย่าง เขาก็พอจะรู้ว่าจะต้องทำหน้าที่อะไร ถึงจะไม่ได้เห็น แต่ก็คงจะได้ยิน






“นั่งเก้าอี้ก็ได้ ยืนนานเดี๋ยวจะเมื่อย”

ถึงอีกฝ่ายจะรับสั่งอย่างนั้น แต่อานนท์ก็ไม่ขำหรือรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ตำแหน่งของเขาอยู่หลังม่าน ถ้าไม่ตั้งใจมองก็จะไม่เห็น หญิงสาวผู้มีหน้าที่ถวายงานจะไม่รู้เลยว่ามีคนอยู่ตรงนี้ เว้นแต่นางจะคิดร้ายต่อเจ้าชายหนุ่มเท่านั้น

และต่อให้เป็นเช่นนั้นจริง เขาก็อาจจะไม่ต้องทำหน้าที่เลยด้วยซ้ำ เพราะในเรื่องการต่อสู้ เจ้าชายศีลวัตทรงเก่งกว่าเขาเสียอีก ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงเลย

แต่ถึงอย่างนั้น อานนท์ก็ยังใจเต้นแรง

มหาดเล็กหนุ่มน้อยได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามา เป็นฝีเท้าของผู้หญิง เขาไม่เห็นอะไร แต่ได้ยินเสียงสนทนา พระสุรเสียงของเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณทรงเสน่ห์นัก ทุ้ม กังวาน และนุ่มอย่างที่เขาไม่ค่อยได้ยินบ่อยนัก บุตรสาวคนเล็กของเสนาบดีวังผู้นี้ชื่อ วิไลเรขา เจ้าชายศีลวัตรับสั่งกับนางเพื่อให้นางรู้สึกผ่อนคลายขึ้น

“ฝะ... ฝ่าบาทเพคะ...”

“หืม อะไรจ๊ะ”

คำพูดคำจาหวานหูแบบนี้ อานนท์เพิ่งเคยได้ยินจากพระโอษฐ์ของเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณเป็นครั้งแรก แน่ล่ะ กับผู้หญิงคนแรกในชีวิต ผู้หญิงที่งดงามและเป็นกุลสตรีเช่นนี้ พระองค์ย่อมต้องทรงรู้สึกดีๆ ด้วยเป็นธรรมดา ถึงจะไม่เคยรับสั่งแต่ก็ทรงเรียนรู้มาแล้ว ก่อนที่จะทรงมีประสบการณ์ครั้งแรกจะมีพระอาจารย์มาถวายความรู้เรื่องนี้ ทั้งเรื่องการพูดจาและการปฏิบัติต่อผู้หญิง รวมทั้งขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ

เจ้าชายศีลวัตทรงฉลาดเฉลียว ย่อมทรงเรียนรู้ได้รวดเร็วและดียิ่ง

“หม่อมฉันอายเพคะ”

“จะอายทำไม เธอสวยไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัวแบบนี้”

ถึงจะมองไม่เห็น แต่คนยืนอยู่หลังม่านก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะ ในเมื่อตอนที่พระอาจารย์สอน เจ้าชายรองทรงบังคับให้เขาไปนั่งฟังด้วยทุกครั้ง

... เธอชอบเรียนไม่ใช่หรือ นั่งฟังด้วยกันนี่ล่ะ จะได้มีความรู้มากๆ...

ทั้งที่เขาเพิ่งจะอายุสิบสี่เท่านั้น

“อ๊ะ... อื้ม... ฝ่า... ฝ่าบาท...”

“รู้สึกดีไหม หืม ดีรึเปล่า”

“ด... ดี... ดีเพคะ”

ต้องโทษพระอาจารย์กระมัง ที่สอนละเอียดเกินไป เพราะแค่ได้ยินเสียง  เขาก็รู้ว่ากิจกรรมดำเนินไปถึงขั้นตอนไหนแล้ว ไม่คิดว่าเสียงผิวกายในส่วนน่าละอายจะเสียดสีกันได้ดังถึงเพียงนี้

เสียงครวญครางของหญิงสาวดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่น่าเชื่อว่าหญิงสาวที่ดูเรียบร้อยขนาดนั้นจะกรีดร้องเสียงดังลั่นห้อง         ขณะที่อานนท์ไม่ได้ยินพระสุรเสียงของเจ้าชายศีลวัตเลย

“อานนท์”

พระสุรเสียงของเจ้าชายหนุ่มต่ำพร่า เจ้าของชื่อยืนขมวดคิ้ว ลังเล

“อานนท์”

จะต้องออกไปรึเปล่า ทรงได้รับอันตรายหรือ จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเขายังได้ยินเสียงคุณหนูคนสวยครวญครางเสียงแหบแห้งอยู่เลย

“อานนท์ ออกมา”

ในพระตำหนักห้ามพกพาอาวุธ แต่เขาเป็นคนเดียวที่ได้รับการยกเว้น อานนท์กระชับกระบี่สั้นในมือ กระชากม่านออกแล้วยืนจังงัง

เจ้าชายศีลวัตทรงเคลื่อนพระวรกายไปข้างหน้าอย่างรุนแรงอีกไม่กี่ครั้งแล้วหยุดนิ่ง

เสียงกรีดร้องของวิไลเรขาดังก้องอยู่ในหัวเขา ขณะที่สายตาถูกตรึงให้จับจ้องเพียงสายพระเนตรเข้มข้นล้ำลึกของเจ้าชายศีลวัตที่มองตรงมาทางเขาอย่างแน่วแน่

มหาดเล็กหนุ่มยืนตะลึงอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณทรงถอดถอนพระวรกายออก บุตรีเสนาบดีวังที่เมื่อครู่คุกเข่าหันหน้ามาทางปลายเตียง หันสะโพกให้พระองค์อยู่ทรุดฮวบลงบนเตียงและสลบไปทันที ขณะที่อานนท์เผลอมองกึ่งกลางพระวรกายของเจ้าชายหนุ่มแล้วก็รู้สึกตัว รีบหันกลับไป

“อาบน้ำให้ฉันหน่อย”






ช่วยอาบน้ำนี่ก็เป็นหนึ่งในงานประจำ เขาทำมาตั้งแต่อายุสิบสอง ถ้าเป็นมหาดเล็กคนอื่นจะต้องรอถวายงานอยู่แค่หน้าห้อง มีแต่เขาคนเดียวที่ต้องเข้าไปถวายงานถึงในห้องสรง พระวรกายของเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณเขาเห็นบ่อยแล้ว เห็นมาตลอดสองปี

ทว่าคืนนี้ อานนท์รู้สึกราวกับเพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรกก็ไม่ปาน

มหาดเล็กหนุ่มเดินไปไขน้ำลงอ่าง ผสมน้ำร้อนกับน้ำเย็นให้ได้อุณหภูมิที่พอเหมาะ เขายืนขึ้น แต่ยังไม่ทันหันมาก็ต้องสะดุ้งเฮือกขึ้นสุดตัว

“ฝ่าบาท!”

คนที่เขาเรียกยืนชิดอยู่ข้างหลังเขานี่เอง พระหัตถ์ข้างหนึ่งกอดเอวเขาไว้ ส่วนอีกข้างจับส่วนกลางลำตัวของเขาแล้วบีบเบาๆ

“เห็นแล้วมีอารมณ์หรือ”

“ข... ขอประทานอภัย ฝ่าบาท ทรงปล่อยเถิดพระเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นไร เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ” เจ้าชายหนุ่มรับสั่งพลางขยับพระหัตถ์บีบนวดส่วนที่ตื่นตัวขึ้นมาแล้วของมหาดเล็กหนุ่มอย่างต่อเนื่อง

“ฝ่าบาท ปล่อยกระหม่อมพระเจ้าค่ะ กระหม่อมจะถวายง... งาน”

“อึดอัดแบบนี้จะทำงานได้หรือ ต้องปลดปล่อยออกมาถึงจะสบายตัว”

คนรับสั่งก้มพระพักตร์ลงมากระซิบอยู่ข้างหู คนถูกกอดอารมณ์ปั่นป่วนมากขึ้นทุกที สองมือพยายามดึงพระหัตถ์ที่รั้งเอวไว้ออก ทว่าดึงไม่หลุดเสียที และเขาก็ไม่กล้าหักหาญพระองค์มากนัก

“เคยช่วยตัวเองไหม”

คนถูกถามหน้าร้อนวาบ แต่เขาเป็นคนผิวเข้ม อีกฝ่ายจึงคงไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ

“ว่าไง เคยทำรึเปล่า ตอบความจริงมา อย่าโกหก”

เจ้าชายหนุ่มเริ่มทรงถอดเข็มขัดของเขาแล้ว อานนท์รีบพยักหน้า

“ทำตอนไหน! ใครสอน!”

พระพาหาแข็งแรงกอดรัดแน่นเข้า หลังของอานนท์บดเบียดแนบชิดพระวรกายที่เขารู้ดีว่าเปลือยเปล่าตลอดร่าง ส่วนกึ่งกลางพระวรกายดุนดันสะโพกของเขาอยู่ จู่ๆ มหาดเล็กหนุ่มก็ใจสั่นสะท้าน

“ร... โรงเรียน เคยทำที่โรงเรียนพระเจ้าค่ะ”

อ้อมแขนที่รัดแน่นเหมือนงูยิ่งกระชับแน่น อานนท์พยายามรั้งไว้แล้ว แต่เข็มขัดก็ยังถูกปลดอยู่ดี กางเกงรูดลงไปกองอยู่ที่ข้อเท้า มหาดเล็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกเมื่อพระหัตถ์อุ่นๆ สอดลอดชั้นในเข้าไปจับหมับเข้าที่สัดส่วนอันร้อนผ่าวของเขา

“ฝ่าบาท กระหม่อมทำอะไรผิดหรือพระเจ้าค่ะ ทรงลงพระอาญาอย่างอื่นเถิดพระเจ้าค่ะ” อย่าทรงแกล้งเขาด้วยวิธีนี้ นี่มันเกินไปแล้ว

“เกิดอารมณ์กับใครถึงได้ทำ แล้วทำให้ใครเห็นบ้าง”

“ไม่ได้เกิดอารมณ์กับใครพระเจ้าค่ะ กระหม่อมท... ทำคนเดียว” อย่าทรงขยับพระหัตถ์ได้ไหม

“ตอนทำนึกถึงใคร”

“ม... ไม่ได้นึกถึงใครพระเจ้าค่ะ”

“ไม่นึกก็เสร็จได้หรือ”

อานนท์พยักหน้าถี่ๆ ปล่อยเขาเสียที เขาอับอายจนหัวหมุนหมดแล้ว

เจ้าชายศีลวัตทรงขยับพระหัตถ์รูดรั้งเบาๆ อีกสองสามครั้งก่อนจะปล่อยตัว อานนท์รีบก้มลงดึงกางเกงขึ้น

“ไม่ต้องใส่”

มหาดเล็กหนุ่มชะงัก

“หันหน้ามาทางนี้”

อานนท์ใจคอไม่ดี ทว่าแม้จะนาน แต่ในที่สุดเขาก็หันกลับไปเผชิญพระพักตร์ เห็นส่วนกลางพระวรกายที่ผงาดชันขึ้นมาแล้วก็รู้สึกกระดากอย่างไรชอบกล

“ถอดชั้นในออกแล้วทำให้ฉันดูซิ เธอช่วยตัวเองยังไง”

คนถูกสั่งตกตะลึง

“ฉันมีความสุขไปแล้ว เธอก็ควรจะได้สบายตัวบ้าง”

“ม... ไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ” แปลกเหลือเกินที่เขารู้สึกเสียวแปลบกลางอกเมื่อได้ยินรับสั่งว่าอีกฝ่ายทรงมีความสุข

“ทำเถอะ ฉันไม่อยากเอาเปรียบ ทิ้งให้เธออึดอัดอยู่คนเดียว”

คนถูกสั่งยืนนิ่ง ก่อนจะตัดสินใจก้มลงดึงกางเกงขึ้นมาสวมอย่างรวดเร็วพลางกราบทูลรวบรัด

“ฝ่าบาทเสด็จลงอ่างเถิดพระเจ้าค่ะ กระหม่อมจะชำระพระวรกายถวาย ดึกมากแล้วจะได้เปลี่ยนฉลองพระองค์แล้วเข้าบรรทม”

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์อีกครั้ง มหาดเล็กหนุ่มก็ยืนจังงัง ถวายการรับใช้มาสี่ปี นานพอที่เขาจะรู้ว่าพระพักตร์นิ่งๆ กับสายพระเนตรแน่วแน่ที่เห็นหมายความว่ายังไง

เขาไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ

“ถอดกางเองออกแล้วทำตามที่ฉันสั่ง”

ผ่านไปอึดใจหนึ่ง คนถูกสั่งจึงทูลถามเสียงสั่น

“ทำไมกระหม่อมถึงต้องทำหรือพระเจ้าค่ะ มัน... ไม่ควร นี่เป็นเรื่องเสียมารยาท เป็น... เรื่องส่วนตัว กระหม่อมไม่ควรทำต่อพระพักตร์ กระหม่อมไม่บังอาจ” เขาไม่เข้าใจเลยว่าพระองค์จะทอดพระเนตรไปทำไม มันน่าดูตรงไหน

เจ้าชายศีลวัตเองก็ดูจะทรงสับสนไปวูบหนึ่งเมื่อถูกถามตรงๆ อานนท์ไม่ค่อยทูลถามเหตุผลจากพระองค์บ่อยนัก โดยมากแล้วไม่ว่าตรัสสั่งให้ทำอะไร เขาก็จะทำแต่โดยดี

“ฉันบอกแล้วว่าเธอจะได้สบายตัว”

“... เดี๋ยวมันก็สงบไปเองพระเจ้าค่ะ” พระองค์นั่นแหละ ยืนพระวรกายเปลือยอยู่แบบนี้นานแล้วไม่ทรงรู้สึกอายเขาบ้างหรือ

เจ้าชายหนุ่มทอดพระเนตรมหาดเล็กคนสนิทของพระองค์ตลอดร่าง อานนท์เป็นคนผิวเข้ม รูปร่างผอมสูง หน้าตาก็จัดว่าธรรมดา สายพระเนตรจับจ้องอยู่ที่ปากสั่นๆ ของอีกฝ่ายนานกว่าที่อื่น แล้วพระอารมณ์ปั่นป่วนรุนแรงก็ตีตื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ของอย่างนี้มันไม่สงบลงง่ายๆ ฉันตื่นขึ้นมาอีกแล้ว เธอเลือกเอา ว่าจะทำให้ฉันดู หรือว่าจะช่วยทำให้ฉัน”

อานนท์งุนงงในคราวแรก ก่อนจะเข้าใจเมื่ออีกฝ่ายทรงรูดรั้งแก่นกายของพระองค์ให้ดูเป็นตัวอย่าง มหาดเล็กหนุ่มกระวนกระวายใจ พยายามหาทางเลี่ยงจนหัวหมุน

“ไม่อย่างนั้น ก็ให้ฉันทำให้เธอ”

เด็กหนุ่มยิ่งตื่นตะลึง รู้สึกราวกับว่าสี่ปีที่ผ่านมาเขาไม่รู้จักเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณเลย

“ว่ายังไง”

เลี่ยงไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ในที่สุดมหาดเล็กหนุ่มก็ก้าวขาเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า

คุกเข่าลง แล้วยื่นมือสั่นๆ ออกไปข้างหน้า





tbc.


*************************************


fuku – จริงๆ พระนางเรวดีก็รักลูกนะคะ แต่ก็รักตัวเองด้วย ศีลวัตไม่โง่ แต่เขาก็รักแม่ของเขาด้วยเหมือนกันค่ะ

Sar2288 – อานนท์ก็ไม่ค่อยอาลัยชีวิตจริงๆ แหละค่ะ แต่หลังจากมาอยู่กับศีลวัตแล้ว ต่อให้อยากตายก็คงจะยากแล้วล่ะ เพราะว่าศีลวัตไม่ยอมเด็ดๆ แล้วที่ว่าหนักกว่าพรุ่งนี้ ครึ่งนึงก็หมายถึงเลิฟซีนด้วยค่ะ อานนท์จะโดนถี่กว่าศวัส... ประมาณนี้ 555 ส่วนเรื่องพระเอก ในฐานะที่เป็นคนเขียน ชอบศีลวัต ในฐานะที่เป็นคนอ่าน ชอบอัทธายุ แต่ถ้าให้เลือกมาเป็นผู้ชายในชีวิตจริง ก็ขอเป็นภีมเสนดีกว่าค่ะ รู้สึกว่าคงจะคุยกันได้ อัทธายุนี่ก็ชอบที่เขาอ่อนโยน แต่ติดเรื่องรสนิยมบนเตียงอย่างเดียวเลยค่ะ คาดว่าคงจะไม่ไหวค่ะ รับม่ายด้ายยยยยย

phut – ชุนก็ชอบเรื่องความผูกพันตั้งแต่เด็กเป็นพิเศษค่ะ แนวคนของข้าใครอย่าแตะนั่นก็ใช่เลยค่ะ เป๊ะมาก เรื่องโตมาแล้วเย็นชามั้ย ก็ดูได้จากตอนนี้เป็นตัวอย่างเลยค่ะ ส่วนตอนจบจะมีใครตายมั้ย อันนี้ก็ต้อง... โปรดติดตามกันต่อไปค่ะ

iforgive – ชุนชอบศีลวัตมากจริงๆ นะคะ ถึงกับคิดจะตั้งสถานะในเฟซบุ๊กว่า “หลงรัก... ตัวละครของตัวเองเข้าซะแล้ว” ทั้งที่ไม่เคยตั้งสถานะอะไรมาก่อนเลย (แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตั้งหรอกนะคะ) แต่ก็ชอบในฐานะพระเอกเท่านั้นแหละค่ะ ในชีวิตจริงชอบผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่มากหน่อยอย่างภีมเสนมากกว่า  ส่วนอัทธายุก็ติดเรื่องความเป็น s ของเขา (คือชุนคิดว่าตัวเองออกจะ s เหมือนกัน ไม่ยอมเป็น m อย่างไทวาแน่ค่ะ)

poogan_zadd – ศีลวัตโตขึ้นแล้วก็กลายเป็นคนอย่างที่อ่านนี่แหละค่ะ ยังชอบอยู่มั้ยคะ หรือว่าชักจะขยาดล่ะ

Snowermyhae – ตอนนี้เหมือนจะน่าสงสารกว่าตอนที่แล้ว และก็คงจะโดนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ค่ะ ชีวิตรันทดจริงๆ

IsDear – จบแฮปปี้ค่ะ (ในความรู้สึกของคนเขียน) ส่วนนายบำเรอสองคนไม่ต้องห่วงค่ะ ก็พอจะมีบทอยู่ แต่จะไม่มีโอกาสได้พูดแม้แต่ประโยคเดียว ไม่ได้อยู่กับศีลวัตสองต่อสอง และไม่มีฉากปะทะกับอานนท์ด้วยค่ะ

lizzi – ที่โดนไปตอนเด็กนั่นแค่เบาะๆ ค่ะ สำหรับอานนท์ คงจะน่าสงสารอย่างต่อเนื่องเลยล่ะค่ะ

ตอนนี้อานนท์อายุ 14 (ศีลวัตก็ช่างทำกับมหาดเล็กหนุ่มน้อยของเราซะได้) ตอนหน้า... เขาจะโตขึ้นอีก 3 ปีค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 2) 22 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 22-06-2014 21:12:13
อื้อฮืออออ ศีลวัตนี่ไม่ธรรมดาเลย จิตนิด ๆ นะ
สรุปภีมเสนดีสุดแล้วล่ะ ...
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 2) 22 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: puengkiss ที่ 22-06-2014 21:38:34
ชอบวันนี้มากๆๆๆเลยค่ะ ชอบศีลวัตกับอานนท์ อย่าจบเศร้านะคุณชุน  พลีสสสสสสสสสส
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 2) 22 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 22-06-2014 22:43:56
ศีลวัต นายเป็นเจาชายจริงๆหรอ  :jul1:
ชักสงสารอานนท์ขึ้นมาตงิดๆ   :hao4:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 2) 22 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 22-06-2014 22:55:08
 :jul1: แค่ตอนสองก็เรียกเลือดแล้ว
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 2) 22 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-06-2014 22:57:18
เอาแต่ใจจริงๆ เลยนะองค์ชาย
สงสารอานนท์ นี่แค่เริ่มต้นนะเนี่ย
เตรียมซดมาม่ารอเลย แบบนี้ งื้ออออออ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 2) 22 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 22-06-2014 23:43:37
ว่องไว! เลิฟซีน(มั้ง)มาเสิร์ฟแว้ว

กรี๊ดเจ้าชาย เค้าชอบลุคแบบนี้ เผด็จการที่สุด!!

กอดขอบคุณ คุณชุน หนึ่งที :กอด1:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 2) 22 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-06-2014 00:09:36
อานนท์ยังเด็กอยู่เลย เข้าข่ายผู้เยาว์พรากผู้เยาว์สินะ ฮ่าา
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 2) 22 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 23-06-2014 00:31:29
พอมีเรื่องอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ไม่ว่าจะครอบครัว หรือความรักมันก็บิดๆเบี้ยวๆ ไปหมด

ไม่สามารถทำให้อะไรเป็นไปตามปกติ ต้องเอาเรื่องอำนาจมาไว้ข้างหน้าก่อน
เป็นพระราชชายาก่อนจะเป็นแม่
เป็นเจ้าชายก่อนจะเป็นลูกชาย

ส่วนนึงก็เพื่อความมั่นคงในชีวิต(มั้ง)  แต่ก็สงสารศีลวัตว่าจะวางตัวยังไงก่อน
เฮ่อออออ อานนท์ก็เลยเหมือนเป็นเครื่องมือไงไม่รู้
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 2) 22 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: himoru ที่ 23-06-2014 10:10:52
อ้างถึง
himoru – ยินดีต้อนรับเข้าสู่เวลาค่ะ ชุนก็คิดว่าน่าจะประชาสัมพันธ์เรื่องนี้ในเรื่องรามิเรสสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้ทำสักที ลงไปลงมาก็ใกล้จะจบซะแล้วก็เลยเลยตามเลยค่ะ หวังว่าจะชอบทั้งพรุ่งนี้และวันวานนะคะ
ชอบเรื่อง พรุ่งนี้ มากๆเลยค่ะ
ละมุนแต่หนักแน่น
ชอบที่ภีมเสนสอนศวัสมากๆ
แล้วศวัสเป็นผู้ชายที่ต้องกลายเป็นเมียได้แบบอินมากๆเลยค่ะ
ชอบตั้งแต่ตอนแรกจนตอนสุดท้ายของพรุ่งนี้เลย
สงสารภีมเสนแต่ก็เข้าใจศวัส
ส่วนพิรุณ :z6: ....
สนุกมากๆเลยค่ะ
ยังไงอ่านวันวานจบจะมาเขียนตอบอีกนะคะ
สู้ๆนะคะ ชอบภาษาของคนแต่งมากๆเลย
แต่ยังไงอย่าลืม รามิเรสนะคะ สู้ๆค่าาาาา

ป.ล. ประชาสัมพันธ์ในรามิเรสก็ดีนะคะ เผื่อบางคนยังไม่รู้ (เอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน ^^)
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 2) 22 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 24-06-2014 10:43:01
เอิ่ม :mew5: คิดว่าศีลวัตนี่แหล่ะ จิตกว่าองค์ชายสามอีก

อานนท์เอ๋ย ทำกรรมอะไรหนอ เจอแต่ละคนตั้งแต่พ่อยังศีลวัตเลย

ชีวิตจะรู้จักคำว่าสงบสุข และทำเพื่อตัวเองบ้างมั้ย หือ

 :pig4: นักเขียน เป็น s จริงๆด้วยสินะคะ :m12:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3) 24 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 24-06-2014 11:13:54
วันนี้... แค่มีเธอ
บทที่ ๓

อานนท์ไม่รู้ว่าสิ่งที่เจ้าชายศีลวัตตรัสสั่งให้เขาทำเป็นหนึ่งในหน้าที่ของมหาดเล็กด้วยหรือไม่ มหาดเล็กคนอื่นต้องทำหน้าที่แบบเดียวกับเขาไหม และเขาก็ไม่กล้าถามใคร หลังจากคืนนั้น เจ้าชายหนุ่มก็ทรงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะที่เขาเองพยายามจะทำอย่างเดียวกัน แต่ก็ทำใจให้ลืมไม่ได้สนิทนัก ส่วนเรื่องบุตรีคนเล็กของเสนาบดีวัง เขาไม่เคยทูลถาม แต่ก็รู้จากมหาดเล็กรุ่นพี่ว่าพระองค์โปรดให้เป็นพระสนม ประทานข้าวของเครื่องแต่งตัวให้ และโปรดให้สร้างเรือนหนึ่งหลังไว้เป็นที่พักส่วนตัวในเขตฝ่ายใน

อานนท์เป็นคนอารมณ์เย็นคนหนึ่ง แต่เขาโมโหจนเกือบจะพูดไม่ออก เมื่อรู้ว่าต่อไปนี้เขาจะไม่ได้ไปโรงเรียนองครักษ์อีกต่อไปแล้ว

“ฉันจะให้ครูมาสอนเธอที่นี่”

“เพราะอะไรพระเจ้าค่ะ”

“เธอจะได้เก่ง ฉันต้องการคนมีฝีมือดีมาอยู่ข้างตัว”

“กระหม่อมจะพยายามพระเจ้าค่ะ เพราะฉะนั้น...” ขอให้เขาได้ไปเรียนที่โรงเรียน

“ดี”

อานนท์ไม่มีโอกาสได้พูดอีก เด็กหนุ่มจึงเอาความรู้สึกอัดอั้นไม่สมปรารถนานั้นมาลงกับการเรียน ครูที่สอนเขาเป็นคนเดียวกับที่ถวายการสอนแด่เจ้าชายศีลวัต อีกทั้งยังเป็นคนโผงผางตรงไปตรงมา ฉะนั้นจึงกล้าพูดกับเขาตรงๆ ว่า

“ฝีมือของเธอดีกว่าเจ้าชายรอง ตอนอายุเท่านี้ พระองค์ทรงสู้เธอไม่ได้แน่ แม้แต่ตอนนี้ฉันก็คิดว่าเธอเหนือกว่า ซึ่งก็ดีแล้ว องครักษ์ควรจะฝีมือสูงกว่าเจ้านาย แต่จงจำไว้ว่าต้องมีความจงรักภักดีสูงยิ่งกว่าฝีมือ”

คำชมและคำสอนนั้น เขาได้มาตอนอายุสิบหกปี แต่ครูที่ชมเขาไม่รู้เลย ว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เขาพากเพียรพยายามอย่างมากมาย

ไม่มีใครรู้ ถึงรู้... ก็ไม่มีใครกล้าพูด







คนในราชสำนักเรืองอรุณต่างรู้ดีว่าเจ้าชายภีมเสนและเจ้าชายศีลวัตต่างมีโอกาสได้เป็นเจ้าหลวงทั้งคู่ แม้ว่าเจ้าชายภีมเสนจะเป็นองค์รัชทายาท  ประสูติจากองค์รานีและมีพระชนมายุมากกว่าเจ้าชายศีลวัตห้าปี แต่พระมารดาของเจ้าชายศีลวัตก็เป็นใหญ่ที่สุดในฝ่ายใน ขณะที่รานีสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว

การสร้างฐานอำนาจเป็นสิ่งจำเป็น หนึ่งในวิธีสะสมอำนาจคือผ่านการแต่งงาน เจ้าชายภีมเสนทรงรับธิดาของขุนนางหลายคนเป็นพระสนม เมื่อเจ้าชายศีลวัตเจริญพระชนมายุถึงวัยที่จะมีบาทบริจาริกาได้ พระนางเรวดีจึงไม่ทรงรีรอที่จะให้คุณท้าวผู้ใหญ่ฝ่ายในไปทาบทามธิดาขุนนางที่มีอำนาจมาเป็นพระสนมของพระโอรส และเจ้าชายศีลวัตก็ทรงรับไว้ทุกนาง

ขณะมีพระชนมายุสิบแปดชันษา เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณทรงมีพระสนมถึงแปดนาง






ทุกครั้งที่บรรดาพระสนมถวายงาน อานนท์จะต้องยืนถวายอารักขาอยู่ในห้อง

ผ้าม่านในห้องถูกเปลี่ยนเป็นม่านสีขาวแบบโปร่งบาง ไฟในห้องสว่างอยู่เสมอไม่เคยมืดมิด พระสนมทุกนางต่างรู้ว่าไม่ได้อยู่ตามลำพังกับเจ้าชีวิตของตน แต่มีใครอีกคนหนึ่งยืนดูอยู่ด้วยอย่างเสียมารยาท

ไม่มีใครรู้ว่าองครักษ์หนุ่มได้รับคำสั่งมา ว่าอย่าคลาดสายตาจากพระองค์เด็ดขาด

พระสนมหลายนางเคยทูลขอให้เปลี่ยนเป็นองครักษ์ผู้หญิง หรือไม่ก็ให้องครักษ์หนุ่มหันหน้าไปทางอื่น ทว่าคำร้องขอไม่เคยเป็นผล ผลของการกล้าเอ่ยปากกราบทูล คือการไม่ทรงเรียกหาให้ไปถวายงานนานหลายเดือน

อย่างไรก็ดี แม้จะอายก็เพียงแค่ตอนแรกๆ เท่านั้น เพราะเมื่อตกอยู่ใต้พระวรกายของเจ้าชายหนุ่ม ไม่ว่าพระสนมนางใดก็ล้วนลืมอายไปจนหมดสิ้น ไร้สติสัมปชัญญะจะสังเกตเห็นได้ว่า กว่าครึ่งค่อนของช่วงเวลาหฤหรรษ์ สายพระเนตรเข้มจัดของพระองค์ทอดจับอยู่แต่ที่หลังม่านตรงข้ามกับปลายเตียง และหากคนหลังม่านเบือนสายตาไปทางอื่น พระองค์ก็จะตรัสเรียกอย่างเอาแต่ใจ

“อานนท์”

ท่วงท่าที่พระองค์โปรดปราน เป็นท่าที่บรรดาพระสนมต้องหันหลังเสมอ

พระราชชายาเคยรับสั่งเตือนพระโอรสเรื่องความยุติธรรม ทั้งที่ไม่จำเป็นเลย เพราะเจ้าชายศีลวัตประทานความ ‘ยุติธรรม’ ให้แก่พระสนมทุกนางอย่างเท่าเทียมกันเสมอ ไม่ว่าจะความสวยงาม อำนาจของครอบครัว หรือการเอาอกเอาใจ ก็ล้วนแต่ไม่มีผลต่อความยุติธรรมของพระองค์ทั้งสิ้น ไม่เคยมีใครมีโอกาสได้ถวายงานสองรอบในหนึ่งคืน

รอบที่สอง... เป็นขององครักษ์คนสนิทของพระองค์เสมอ

ในห้องสรง อานนท์คุกเข่าอยู่ตรงเบื้องพระพักตร์ และถวายงานด้วยการใช้มือ เขาต้องเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ตลอดเวลา ขณะที่อุ้งมือสองข้างร้อนระอุและใบหน้าเปรอะเปื้อนเปียกชื้นด้วยหยาดน้ำอุ่นๆ หัวใจของเขากลับหนาวสะท้าน

สายพระเนตรที่ทอดมองลงมา... เข้มข้นลึกล้ำราวกับมีกองไฟแผดเผาโชติช่วงอยู่ภายใน

แรกๆ หน้าที่พิเศษขององครักษ์หนุ่มมีเพียงเท่านั้น ทว่าต่อมาเจ้าชายหนุ่มก็ทรงเรียกร้องมากขึ้น

“ใช้ปากให้หน่อย”

ตะลึง อดสู อับอาย

แต่เขาก็ต้องทำ

น้ำตาเกือบจะไหลลงมาอาบหน้าขณะที่ท่อนลำใหญ่โตที่ทั้งร้อนจัดและแข็งชันดุนดันอยู่ในปาก ทว่าก็จำต้องกล้ำกลืนฝืนความอัปยศลงไปด้วยทิฐิมานะ แล้วทำหน้าที่ต่อไป






แม้แต่สิ่งที่เขาเคยรอดพ้นมาได้ในครั้งแรก เขาก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้ตลอด พระจริตของเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณคงไม่ปกติ ที่โปรดการทอดพระเนตรเห็นองครักษ์ประจำพระองค์ยืนช่วยตัวเองต่อหน้า

เจ้าชายศีลวัตประทับบนพระเก้าอี้ ทอดพระเนตรมาจากที่ไกล ทว่าสีพระพักตร์และสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยดำฤษณามืดมนที่เข้มข้นรุนแรงนั้นไม่ต่างจากแม่เหล็ก อานนท์รู้สึกราวกับว่า ขอเพียงพระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ออกมา ก็จะคว้าตัวเขาไปอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ได้อย่างง่ายดาย

แม้จะพยายามไม่แสดงออก แต่องครักษ์หนุ่มก็กลัว เขาไม่มีอารมณ์เลย แต่อีกฝ่ายก็ทอดพระเนตรเขานิ่งอยู่อย่างนั้นได้เป็นนาน

“ให้ฉันช่วยไหม”

คนรับสั่งทรงลุกขึ้นยืนแล้ว อานนท์เบิกตากว้างขึ้น ร้อนใจ แต่อีกฝ่ายยังไม่ได้ขยับพระบาท

“นึกถึงคนที่เธอชอบสิ”

ใครกันล่ะ เขาไม่มีเสียหน่อย แต่ถึงมี ถูกสายพระเนตรแบบนั้นจับจ้องอยู่เป็นใครก็ต้องนึกอะไรไม่ออกทั้งนั้น

องครักษ์หนุ่มขยับมือเร็วขึ้น ยิ่งอีกฝ่ายทรงสาวพระบาทเข้ามาใกล้มากขึ้นเท่าไรเขายิ่งเร่งมือโดยที่สายตาไม่อาจจะละจากสายพระเนตรได้

แปลกที่เขาลุล่วงถึงฝั่งได้ทั้งที่ไม่ได้นึกถึงใครเลย

อานนท์หลับตาลงอย่างโล่งใจเมื่อเขาเสร็จก่อนที่เจ้าของวรองค์สูงสง่าในฉลองพระองค์คลุมเพียงตัวเดียวจะเสด็จมาถึงตัวเขา ทว่าทันทีที่ลืมตาขึ้น ก็พบว่าอีกฝ่ายมายืนซ้อนหลังเขาแล้ว

“ฝ่าบาท!”

“เมื่อกี้เธอนึกถึงใคร”

แม้ไม่เห็นพระพักตร์ ฟังจากพระสุรเสียงก็รู้ว่าไม่สบพระอารมณ์  อานนท์ขยับตัวอย่างอึดอัด

“กระหม่อมไม่ได้นึกถึงใครพระเจ้าค่ะ”

“นึกถึงฉันไหม”

“ไม่ได้นึกพระเจ้าค่ะ” ก็เห็นอยู่ตรงหน้า จะไปนึกถึงทำไม

เฮือก!

“ฝ่าบาท!”

จับของเขาทำไม เปื้อนคราบไคลสกปรกออกอย่างนี้ไม่ทรงนึกรังเกียจบ้างหรือ กระดากพระทัยบ้างไหม

“หรือว่านึกถึงสนมคนไหนของฉัน”

คราวนี้คนฟังตกใจอย่างแท้จริง อานนท์หันขวับไปมองพระพักตร์ พระนาสิกของอีกฝ่ายอยู่ห่างจากจมูกของเขาเพียงฝ่ามือกั้น สายพระเนตรที่มองเห็นมีแววประหลาดจนเขานึกเรื่องที่จะพูดไม่ออกไปชั่วครู่

“กระหม่อม... ไม่เคยคิดบังอาจอย่างนั้นพระเจ้าค่ะ”

เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวล

“ไม่ใช่เรื่องบังอาจ ขอแค่เธอชอบ ฉันก็จะยกให้”

“ฝ่าบาท!”

องครักษ์หนุ่มทูลเรียกเสียงดุ เขาดึงพระหัตถ์ออก และอีกฝ่ายก็ทรงยอมปล่อยง่ายๆ อานนท์ถือโอกาสนี้แต่งตัวให้เรียบร้อย และถอยห่างจากอีกฝ่ายไปสองก้าว

“รับสั่งเล่นแรงไปแล้วพระเจ้าค่ะ”

“คิดว่าฉันพูดเล่นหรือ”

องครักษ์หนุ่มมองพระพักตร์อย่างคลางแคลง แล้วก็พลันตระหนกวาบ

“ฉันถามเธอมาหลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ไม่เคยบอกฉันเสียทีว่าเธอชอบอะไร”

อานนท์ปิดปากสนิท ทว่าอีกฝ่ายก็ทรงอดทนรอคอย องครักษ์หนุ่มชั่งใจ คิดทบทวนกลับไปกลับมาหลายรอบ ในที่สุดก็เสี่ยงกราบทูล

“โปรดให้กระหม่อมไม่ต้องทำเช่นนี้อีกได้หรือไม่พระเจ้าค่ะ”

“ไม่ได้”

เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณไม่ทรงทราบ ว่ารับสั่งเพียงคำเดียวครั้งนี้ทำให้องครักษ์ที่พระองค์ทรงยกให้เป็น ‘เพื่อนเล่น’ เพียงคนเดียวเสมอมาพยายามที่จะไม่ทูลขออะไรจากพระองค์อีกเลย






เจ้าชายศีลวัตไม่เคยตั้งพระทัยว่าจะทรงปกปิดสิ่งที่พระองค์ทรงทำกับองครักษ์คนสนิท จึงไม่แปลกที่พระสนมหลายนางจะรู้เรื่องอันวิปริตผิดปกตินี้

อานนท์ตกใจจนผลักเจ้าชายศีลวัตออกห่างอย่างแรง เมื่อพระสนมนางหนึ่งเข้ามาเห็นเขากำลังถูกเจ้าชายหนุ่มทรงใช้พระหัตถ์ช่วยสำเร็จความใคร่ให้ ทว่าคนถูกผลักออกห่างกลับไม่ทรงแปลกพระทัยเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ตรัสสั่งด้วยพระสุรเสียงเย็นชา

“ออกไป แล้วปิดปากให้สนิท ถ้าฉันรู้ว่าเธอพูด เธอจะไม่มีปากไว้พูดอีก”

พระสนมผู้โชคร้ายรีบลนลานออกไปจากห้องสรงทั้งๆ ที่หน้าซีดเผือดไม่มีสีเลือด

เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ทว่าไม่มีใครกล้ากราบทูลให้พระนางเรวดีทรงทราบเลยแม้แต่คนเดียว แม้ว่าอานนท์จะไม่เคยถูกลงพระอาญาอย่างรุนแรงเลยสักครั้ง แต่เขาก็รู้ดีว่าในสายตาของคนทั่วไป เจ้าชายศีลวัตทรงเด็ดขาดและน่ากลัวยิ่งนัก

ตั้งแต่พระชนมายุได้สิบห้าชันษาและมีพระตำหนักเป็นของพระองค์เอง เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณก็รู้จักประทานความตายให้แก่ผู้คนแล้ว ครั้งนั้นเจ้าชายหนุ่มทรงขอนางข้าหลวงของพระมารดามาช่วยตกแต่งห้องภายในพระตำหนัก นางข้าหลวงที่ชื่อยุพาซึ่งมีฝีมือด้านการจัดดอกไม้เผลอชนตุ๊กตาแก้วที่ประดับอยู่ตรงทางเดินจนหล่นลงมาทว่าไม่แตก แต่เย็นวันนั้นนางกลับถูกเรียกให้เข้าเฝ้าเจ้าชายหนุ่ม ทันทีที่เห็นหัวตุ๊กตาแก้วในพระหัตถ์ นางข้าหลวงสาวก็หน้าซีด และแม้จะปฏิเสธเป็นพัลวันว่าไม่ได้ทำแตก ก็ยังถูกลงพระอาญาด้วยการตบปาก มหาดเล็กลงมือตามรับสั่งโดยไม่ยั้งมือ ยุพาเลือดกบปากจนเกือบจะพูดไม่รู้เรื่องแล้วตอนที่ต้องยอมรับทั้งน้ำตาว่าเป็นคนทำ

“ตุ๊กตาตัวนี้ฉันรักมาก”

โทษทัณฑ์ของการทำของรักของเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณตกแตกคือต้องถูกเฆี่ยน เจ้าชายหนุ่มตรัสสั่งให้อานนท์เป็นคนเฆี่ยน ทว่าเด็กชายวัยสิบสามปียืนนิ่งไม่ยอมทำ พระองค์จึงตรัสสั่งให้มหาดเล็กทำแทน ภาพนางข้าหลวงสาวถูกจับมัดแล้วเฆี่ยนอย่างแรงติดตาคนทุกผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ไม่มีเสียงร้องโอดโอยของคนถูกลงทัณฑ์ เพราะเจ้าชายศีลวัตโปรดให้เอาผ้ามัดปากไว้อย่างแน่นหนาก่อนแล้ว

“ฝ่าบาท” อานนท์คนเดียวเท่านั้นที่กล้ากราบทูล “ขอได้ทรงโปรด ประทานอภัยให้นางเถิดพระเจ้าค่ะ”

“แค่นี้มันยังไม่สาสมกับการทำของที่ฉันรักตกแตก” ขณะรับสั่ง ยังทรงโยน ‘ของรัก’ ที่ว่าขึ้นแล้วก็ทรงรับไว้ด้วยพระหัตถ์ข้างเดียวราวกับของไร้ค่า “ถ้าเธอทนดูไม่ไหวก็ไปพักผ่อนเถอะ ฉันอนุญาต”

อย่างไรก็ดี ในที่สุดเจ้าชายหนุ่มก็โปรดให้หยุดเฆี่ยน ทว่าเวลานั้นนางข้าหลวงสาวทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียแล้วจึงสิ้นใจหลังจากนั้นไม่นาน

“คนของแม่ทำผิด ลูกก็ต้องส่งมาให้แม่ลงโทษ ไม่ใช่ลงโทษเองโดยพลการ”

พระนางเรวดีทรงดุพระโอรสอย่างเคร่งเครียดทันทีที่ทรงทราบเรื่อง ทว่าเจ้าชายศีลวัตทูลตอบด้วยพระพักตร์เฉยเมย

“ขอประทานอภัยพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันไม่ทราบ”

ขณะตรัสตอบ สายพระเนตรก็ปรายไปยังนางข้าหลวงสองนางที่ตามเสด็จพระมารดามา หลังจากนั้นนางข้าหลวงของพระนางเรวดีก็ขอทูลลาออกไปอีกสี่นาง บังเอิญเหลือเกินที่ทุกนางเคยยึดองค์เจ้าชายหนุ่มไว้เมื่อครั้งที่พระราชชายาตรัสสั่งให้ลงพระอาญาเฆี่ยนอานนท์ต่อหน้าพระพักตร์ของพระโอรส

เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พระราชชายามีพระดำริว่าพระโอรสของพระองค์พระทัยโหดเหี้ยม

แต่ก็ดีแล้ว เพราะคนจะทำการใหญ่ได้ ใจก็ต้องเหี้ยมเป็นธรรมดา






“เธอชอบอะไร”

นั่นเป็นคำถามติดพระโอษฐ์ของเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณที่มักจะตรัสถามองครักษ์คนสนิทของพระองค์เสมอ โดยเฉพาะในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากพระองค์เสด็จไปฝ่ายในพร้อมกับอีกฝ่ายมา ทว่าคำตอบเพียงหนึ่งเดียวของอานนท์คือ

“กระหม่อมไม่มีของที่ชอบพระเจ้าค่ะ”

ไม่ว่าจะถามถึงของกิน ของใช้ ของดูเล่น หรือของอะไร เขาก็ไม่เปลี่ยนคำตอบ

เจ้าชายศีลวัตจึงไม่เคยทรงทราบว่าองครักษ์คนสนิทของพระองค์ชอบอะไร แต่พระองค์ก็โปรดหาอะไรต่างๆ ทั้งของกินของใช้ชั้นเลิศมาประทานให้เขาอยู่เสมอ

และเมื่ออานนท์อายุครบสิบเจ็ดปี ของที่ว่าก็รวมถึง ‘ผู้หญิง’ ด้วย







tbc.

******************************



iforgive – จิตนิดๆ จริงๆ แหละค่ะ แต่อานนท์ไม่ได้จิตด้วย ก็เลยลำบากหน่อย (?)

puengkiss – จบไม่เศร้าหรอกค่ะ ^^

Inwoสูร – เพราะว่าศีลวัตเป็นเจ้าชาย อานนท์ก็เลยขัดขืนไม่ค่อยได้ (แต่ตอนหน้าจะขัดขืนล่ะ)

IsDeer – เลือดกรุ๊ปอะไรคะ เดี๋ยวชุนหาไว้สำรองให้เลย

lizzi – ดราม่าไม่มากหรอกค่ะ อย่างน้อยศีลวัตก็ไม่ได้หลงคนอื่น ส่วนใหญ่สองคนนี้ก็จะดราม่าใส่กันเอง

phut – เนอะๆ ชุนก็ชอบพระเอกแนวนี้ ถ้าชุนเป็นคนเขียนนะคะ แต่ถ้าคนอื่นเขียนชุนไม่อ่าน ชอบแบบสบายๆ ไม่เครียดมากกว่า

snowermyhae – ศีลวัตก็เพิ่งจะ 16 ไม่ได้โตกว่าเท่าไหร่เลย แต่ก็นะ... พูดถึงอายุ 14 นี่ก็รู้สึกผิดศีลธรรมยังไงก็ไม่รู้นะคะ

fuku – ดราม่าเรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องอำนาจนั่นแหละค่ะ จริงๆ เป็นเรื่องความทะเยอทะยานมากกว่า  ลูกชายเป็นเครื่องมือของแม่ แต่อานนท์ไม่ได้เป็นเครื่องมือของศีลวัตนะคะ ในอนาคต... เขาก็จะเป็นเครื่องมือของพระนางเรวดีด้วยเหมือนกัน

himoru – ดีใจที่ชอบพรุ่งนี้ค่ะ เรื่องรามิเรสคงจะต้องรอให้วันนี้จบไปก่อนค่ะ แล้วเดี๋ยวค่อยประชาสัมพันธ์เวลาในเรื่อง ตอนที่ลงเรื่องนี้จบน่ะค่ะ เอาทีเดียวไปเลย

Sar2288 – 555 ศีลวัตนี่เป็นแบบเปิดเผยไงคะ ส่วนพี่เขยนี่เป็นแบบเงียบๆ (ไม่อยากให้ตัวกินไก่ เอ๊ย ไก่ตื่นซะก่อน) อานนท์ก็... คงจะอีกหลายปีค่ะ กว่าจะหมดเคราะห์ ตอนหน้าก็เพิ่งจะอายุ 17 เอง แต่ตอนที่ศีลวัตรับเชลยมา 2 คนนั่น เขาอายุ 30 แล้วนะคะ ส่วนอานนท์ก็ 28 ค่ะ แต่เวลาในเรื่องนี้เดินเร็วค่ะ แป๊บๆ ก็จะผ่านไปเป็นสิบปี

ส่วนชุนก็... เป็นแบบเงียบๆ เหมือนกันนะคะ เฉพาะคนคุ้นเคยกันหรอกนะคะ ถึงจะรู้ ^^
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3) 24 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 24-06-2014 11:48:51
อานนท์เอ๋ย ได้ดูหนังสดตั้งแต่อายุ 14

แถมได้ดูบ่อยๆอีก แบบหดหู่ๆ แล้วยังต้องมาทำอะไรแปลกๆกับศีลวัตอีก

อารมณ์สดใส วัยเด็ก ถูกพรากจากหมด ทั้งจากพ่อที่ทารุณ และเพื่อนเล่นที่จิตบิดเบี้ยว

เพราะศีลวัตได้แม่แบบนี้แหล่ะ แม่ที่เห็นว่าลูกโหดเหี้ยมแล้วดีใจ

คนเป็นแม่จริงๆควรจะมีความสุขมากกว่าที่เห็นลูกจิตใจดี มีเมตตา มากกว่าลูกเก่งแต่โหด เห็นแก่ตัว

ติดตามตอนต่อไปค่ะ กลัวแต่ว่าผู้หญิงที่ให้อานนท์ ถ้าอานนท์รักเธอแม้เพียงน้อยนิด

เธอคงไม่ได้ตายดี  :pig4: นักเขียน สนุกค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3) 24 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 24-06-2014 12:27:36
เริ่มสงสารศีลวัตตะหงิดๆ วิธีคิดแบบนี้จะไม่เป็นบ้าตายก่อน 30 หรือนี่
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3) 24 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: himoru ที่ 24-06-2014 14:17:28
อ้างถึง
himoru – ดีใจที่ชอบพรุ่งนี้ค่ะ เรื่องรามิเรสคงจะต้องรอให้วันนี้จบไปก่อนค่ะ แล้วเดี๋ยวค่อยประชาสัมพันธ์เวลาในเรื่อง ตอนที่ลงเรื่องนี้จบน่ะค่ะ เอาทีเดียวไปเลย

อยากบอกว่าอ่านวันวานจบแล้วค่าาาา
ส่วนตัวชอบ พรุ่งนี้มากกว่านิดหนึ่ง เพราะส่วนตัวชอบเคะดื้อเงียบแบบ ฟีเรียสกับศวัสมากๆเลยค่ะ
สนุกค่ะ ภาษาสวยมาก ตัวกินไก่ เอ๊ย ไทวาน่ารักน่าหยิก ให้ความรู้สึกแบบที่พี่เขยรู้สึกเลยว่า
เหมือนรอไทวาโตมาเพื่อเสร็จพี่เขยจริงๆ :z1:
 อิอิ น่ารัก มากๆเลยค่ะ
ชอบตอนเต้นรำ ไทวาเป็นเด็กซื่อๆขี้หวงสุดๆ
ดูไปดูมาเหมือนอัทธายุชอบๆไทวาอยู่แล้วแต่ชอบแกล้งให้ไทวาแสดงออกมากๆมากกว่า
สนุกค่ะ

เดี๋ยวตามอ่านวันนี้ถึงไหนจะมาตอบอีกนะคะ สนุกทุกเรื่องเลยค่ะ
แต่หลงรักภีมเสนกับศวัสเข้าให้แล้ว

ค่าาาาา รอเวลาจบ รามิเรสจะมานะคะ
ป.ล. จากใจอยากให้มีพิเศษๆของภีมเสนกับศวัสจัง อิอิ

สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3) 24 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-06-2014 14:32:31
เจ้าชายโหดจริง
แอบสงสารอานนท์เบาๆ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3) 24 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 24-06-2014 15:00:05
เจ้าชายรองทรงรักอานนท์แบบจิตๆเนาะ

เหมือนมีอะไรกะสนมแต่จินตนาการว่ามีอะไรกะอานนท์อยู่
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3) 24 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 24-06-2014 15:06:41
คิดว่าเข้าใจคนแต่งแล้วล่ะว่าทำไมถึงชอบศีลวัต ...
ว่ากันจริง ๆ แล้วศีลวัตในตอนนี้เหมือนคนที่ใช้อำนาจของตนเพื่อคนของตัวเองได้อย่างถูกจังหวะที่สุด
เอาคืนและเชือดกันแบบโหด ๆ นิ่ง ๆ ต่อหน้าต่อตา  ท่ามกลางการรับรู้ของทุกคน
เหมือนเป็นการสะกดเหตุการณ์ไม่พึงใจที่จะเกิดในอนาคตต่อคนของตัวเองไปด้วย

องค์ชายทั้งสามช่างจิตนัก ...
ภีมเสน .. จิตนิดหน่อย ตอนที่คิดได้อย่างไรว่าจะต้องให้พิกุลมาเป็นผู้ดูแลศวัส
องค์ชายสาม .. จิตนิดหน่อย เกี่ยวกับรสนิยมทางเพศ
ศีลวัต ... จิตที่สุดละในบรรดาพี่น้อง แหม่ แต่ละอย่างที่คิด ที่ทำนี่ ถ้าไม่จิตจริง ทำไม่ได้นะเนี่ยะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3) 24 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 24-06-2014 15:07:48
 :a5:

เจ้าชายรองโหดเหี้ยมอำมหิต รู้สึกแรงเหมือนจะโรคจิตเลย

ของรักที่ว่าเปรียบได้กับอานนท์ใช่ไหม ลงโทษยุพาเพราะแค้นและต้องการเอาคืนให้สาหัส อย่างที่ทรงตรัสไว้สินะ

นี่ถ้าแค้นลามไปถึงแม่ตัวเองด้วยนี่....ไม่อยากจะคิด

รักของเจ้าชายน่ากลัว แนวเรื่องอ่านแล้วปวดจิตกับเจ้าชาย

 :z3: :z3:

ตามดูกันต่อไป

 :L2:

หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3) 24 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: suyeol_zelo ที่ 24-06-2014 15:25:30
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3) 24 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-06-2014 21:22:14
องค์ชายรองคือเถื่อนคือโหด เอาแต่ใจ ดูโรคจิตและดูพระเอกมาก สงสารอานนท์ แต่ในอนาคตเกมอาจจะพลิก  :mew1:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3) 24 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 25-06-2014 01:12:29
 :mew5: คิดไม่ตกว่าคู่นี้มันจะมีมุ้งมิ้งมั้ย
คือเจ้าชายก็โหด องครักษ์ก็ไม่อะไร
เรื่องมาแนวกดดันนิดๆ จะมีบทปะทะกับภีมเสนมั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3) 24 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 25-06-2014 09:17:33
 :a5:   สงสารอานนท์  :hao5:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3.5) 25 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 25-06-2014 10:15:52
วันนี้... แค่มีเธอ
บทที่ ๓.๕


“เจ้าชายไม่ควรเสด็จไปสถานที่เช่นนั้นพระเจ้าค่ะ”

อานนท์กราบทูลแล้ว ตามหน้าที่ขององครักษ์ที่ดี ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยห้ามพระองค์ได้อยู่แล้ว คราวนี้ก็มีแต่ต้องตามเสด็จไปอีกครั้ง

หอบุปผาเป็นสถานที่อโคจร แต่เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณก็ยังเสด็จมา แม้จะมีพระสนมอยู่แล้วร่วมสิบนาง อานนท์อดตื่นตาตื่นใจไม่ได้เมื่อได้เห็นภายในหอบุปผาชั้นสูงเป็นครั้งแรก หญิงสาววัยกำดัดหน้าตาสะสวยแต่งกายเฉิดฉายเย้ายวนใจเดินกรีดกรายเต็มสถานที่ราวกับผีเสื้อหลากสีสันโบยบินอยู่ในทุ่งดอกไม้

เจ้าของหอมาต้อนรับเจ้าชายหนุ่มด้วยตัวเองแม้ไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใคร แต่อำนาจเงินก็บันดาลความสะดวกสบายให้ได้ทุกสิ่ง

ภายในห้องพิเศษที่ใหญ่ที่สุดในหอ หญิงสาวที่อยู่ในสิบอันดับแรกถูกเกณฑ์มายืนเข้าแถวเรียงหน้ากระดานตรงเบื้องพระพักตร์

“เลือกสิ จะเอาคนไหน กี่คนก็ได้ที่เธอชอบ”

แม้แต่เจ้าของหอก็ยังแปลกใจที่คนเลือกกลายเป็นคนติดตาม

“กระหม่อม... กระผมไม่สนใจขอรับ”

“เธอไม่สนใจผู้หญิงหรือ”

ผู้หญิงหลายคนยกมือขึ้นปิดปาก หัวเราะคิกคัก ขณะที่อานนท์นิ่วหน้าและไม่ทันมองว่าสายพระเนตรของคนตรัสถามวาววามขึ้นกว่าปกติ

“กระผมมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเท่านั้น เชิญคุณชายเถิดขอรับ”

“เลือกมาอย่างน้อยคนหนึ่ง นี่เป็นคำสั่ง”

คนถูกสั่งอึดอัดใจเหลือจะกล่าว ทว่าจะช้าหรือเร็ว ผลสรุปก็มีเพียงประการเดียวเท่านั้น องครักษ์หนุ่มจึงเลือกมาคนหนึ่งซึ่งดูเรียบร้อยกว่าคนอื่น เมื่อภายในห้องเหลืออยู่เพียงสามคน อานนท์ก็ขยับปากจะกราบทูลว่าเขาจะไปยืนอยู่หน้าห้อง

“วันนี้เราสลับหน้าที่กัน ฉันจะดูแลความปลอดภัยให้เธอเอง”

“จะสนุกพร้อมกันทั้งสองท่านเลยก็ได้นะคะ”

“ฉันพูดกับเธอหรือ”

หญิงสาวที่ถูกเลือกหน้าม้าน และเมื่อเห็นสายพระเนตร ก็เพิ่มอาการหน้าซีดขึ้นมาด้วยพลางหุบปากสนิท

“ทำอย่างที่เธออยากจะทำได้เลย ไม่ต้องสนใจฉัน”

อย่างที่เขาอยากจะทำน่ะหรือ... ได้

“อานนท์”

แค่รับสั่งเรียกชื่อ คนที่กำลังจะเปิดประตูออกไปก็ต้องหยุดชะงัก

“ที่เตียงมีม่าน เธอจะปลดลงมาก็ได้”

แปลว่า ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องทำ ไม่ว่ายังไง... พระองค์ก็จะอยู่ทอดพระเนตรด้วย

องครักษ์หนุ่มกำมือแน่น ตัวสั่นสะท้าน แต่ก็พยายามยืนสงบใจ ก่อนจะหันกลับมา แล้วค้อมศีรษะลงต่ำสุดเพื่อบอกแทนคำที่คนอย่างเขาจะต้องพูดในเวลาเช่นนี้

‘รับด้วยเกล้าฯ พระเจ้าค่ะ’

ผ้าม่านโปร่งบางรอบเตียงแบบสี่เสากลางห้องถูกปลดลงมาปิดทั้งสี่ด้าน เจ้าชายรองแห่งอันธกาลประทับไขว้พระบาททอดพระเนตรอยู่ห่างๆ ด้านนอก พระหัตถ์กดลงไปบนเท้าแขนเก้าอี้แน่นเมื่อองครักษ์คนสนิทของพระองค์จูบหญิงสาวอย่างอ่อนโยน ขณะจะทรงยืนขึ้น อานนท์ก็ถอนริมฝีปากออกเสียก่อน

“ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะอ่อนโยนกับเธอ”

น้ำเสียงนุ่มนวลเช่นนี้ เจ้าชายศีลวัตไหนเลยจะเคยทรงได้ยินมาก่อน

“คิกคิก ครั้งแรกสินะเจ้าคะ”

คนถูกถามชะงัก แต่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ หญิงสาวจึงถือวิสาสะลูบไล้เนื้อตัวของเขาผ่านเสื้อผ้าอย่างอ่อนโยนกึ่งยั่วเย้า

“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะปรนนิบัติคุณชายอย่างดีเป็นพิเศษเลยนะเจ้าคะ”

อานนท์ตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างที่ต้องให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายทำ แต่เขาก็โล่งใจเพราะไม่ต้องบังคับหักหาญ เขามีความเชื่อโดยพื้นฐานว่าผู้หญิงทุกคนที่ทำงานเช่นนี้ไม่มีใครทำด้วยความยินดี แม้ว่าจะเต็มใจก็ตาม

องครักษ์หนุ่มไม่อายเมื่อต้องเปลือยกายต่อหน้าผู้หญิง เขาใจเต้นแรงเมื่อได้เห็นเรือนร่างงดงามสมบูรณ์ที่อยู่ตรงหน้า ก่อนที่ความตื่นเต้นนั้นจะสงบลงเมื่อนึกถึงใครคนหนึ่งซึ่งไม่ได้นึกถึงมานานแล้ว

... อานนท์ต้องเป็นสุภาพบุรุษ เป็นผู้ชายที่รู้จักให้เกียรติผู้หญิง...

องครักษ์หนุ่มพลิกกายขึ้นเหนือเรือนร่างขาวผ่องและนุ่มนวลบอบบาง มองตานางและยิ้มให้อย่างอ่อนโยนชนิดที่คนนอกม่านไม่เคยทอดพระเนตรเห็นมาก่อน

อย่าว่าแต่ยิ้มอ่อนโยนเลย แม้แต่ยิ้มธรรมดาๆ สักครั้งก็ยังไม่เคยเห็น

ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา ไม่เคยเห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว!

ดวงพระเนตรของเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณลุกเป็นไฟ และยิ่งสว่างโชติช่วงเมื่อองครักษ์ประจำพระองค์พรมจูบลงบนเรือนกายของหญิงสาว เสียงครางเครืออย่างพึงพอใจของหญิงสาว ไม่ว่าจะเพราะรู้สึกจริงหรือเสแสร้งก็ล้วนแต่ไม่เข้าหู

ยิ่งเสียงครางต่ำของอานนท์เมื่อได้รับการปรนนิบัติด้วยริมฝีปากที่ช่ำชองยิ่งแสลงพระทัย

จังหวะที่องครักษ์หนุ่มฝังกายลงไปในเรือนร่างของนางอย่างเชื่องช้า เก้าอี้ที่ประทับพลันร้อนราวกับลุกติดไฟ เจ้าชายศีลวัตทรงลุกขึ้นยืนทันที

อานนท์เพิ่งจะขยับกายสอดใส่เข้าไปได้สองสามครั้งเท่านั้น ตอนที่ม่านถูกกระชากออกจนขาด

“นายท่าน จะเข้ามาร่วมด้วยหรือเจ้าคะ”

“ออกไป”

“เอ๊ะ...”

“ออกไป!”

สัญชาตญาณแห่งความกลัวตายย่อมมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกรูปทุกนาม คนถูกสั่งรีบคว้าเสื้อผ้า ฉวยได้เสื้อเพียงตัวเดียวก็ลนลานคลานลงจากเตียงไปทันที แม้จะสะดุดล้มก็รีบคลานออกไปโดยเร็วที่สุด

“ฝ่าบาท”

เจ้าชายหนุ่มทรงปลดกระดุมฉลองพระองค์

อานนท์เอื้อมมือไปคว้าเสื้อของตัวเอง

“เธอเป็นของฉัน”

“ฝ่าบาท จะทรงทำอะไรพระเจ้าค่ะ”

เขากลัว ไม่ได้กลัวตาย แต่กลัวเจ้าชายศีลวัต ดวงพระเนตรดำจัดเวลานี้ราวกับหลุมลึกที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งลงไปในก้นบึ้ง

พระวรกายของเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณเปลือยเปล่าแล้ว รูปร่างของพระองค์สมส่วน คือหนากว่าเขา แต่เรื่องส่วนสูงนั้นพอๆ กัน พระฉวีขาวสะอาด ดูๆ ไปจะเป็นคนที่ดู ‘สำอาง’ กว่าเขาเสียอีก ทว่าในเวลาเช่นนี้กลับดูใหญ่โตนักในความรู้สึก

“ฝ่าบาท กระหม่อมจะไปเรียกผู้หญิงมาให้ทรงเลือก”

“ฉันต้องการเธอ”

“แต่กระหม่อมเป็นผู้ชาย” คนพูดเริ่มถอย

“ไม่ต้องกลัว ฉันจะอ่อนโยน”

“กระหม่อม... ขอปฏิเสธพระเจ้าค่ะ”

“เธอเป็นของฉัน ไม่มีวันหนีฉันพ้น”

“ฝ่าบาท!”

เพียงแค่ชั่วพริบตา เขาก็ตกอยู่ใต้พระวรกายของพระองค์แล้ว ความหวาดกลัวแล่นปราดเข้าจับหัวใจ แม้สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องบนคือรอยแย้มพระสรวลปลอบประโลมที่แสนจะนุ่มนวลชวนฝัน

“เป็นของฉันนะ แล้วฉันจะให้ทุกอย่างที่เธอต้องการ”

“กระหม่อมต้องการให้ฝ่าบาททรงปล่อยกระหม่อมพระเจ้าค่ะ”

“เรื่องนี้ฉันให้ไม่ได้”

และไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่เคยทรงพยายาม

ก่อนที่ความมืดมิดอันน่าสะพรึงกลัวในดวงพระเนตรจะกลืนกินตัวเขาลงไป อานนท์ก็ตัดสินใจขัดขืนจนสุดแรง

หลังจากนั้นเป็นสงครามที่ทั้งสองฝ่ายต่างบอบช้ำยับเยิน

เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณทรงเจ็บแสบไปทั่วพระวรกาย ขณะที่องครักษ์ประจำพระองค์ถูกตอกตรึง ประทับตราแห่งความอัปยศไว้จนลึกสุดใจ

สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่อาจเรียกเป็นอย่างอื่นได้

นอกจากการข่มขืน

ถูกข่มขืนครั้งแรกในหอนางโลม

ช่างไร้ค่า... ราวกับโสเภณีก็ไม่ปาน





tbc.

*****************************
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3) 24 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 25-06-2014 10:17:30
Sar2288 – พระนางเรวดีนี่เป็นคนที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้มากจริงๆ ค่ะ ตั้งแต่ต้นจนจบเลยทีเดียว ส่วนผู้หญิงคนแรกของอานนท์ ก็ได้ถูกศีลวัตกำจัดไปเรียบร้อยแล้วนะคะ (อย่างรวดเร็ว)

fuku – คนที่จะเป็นบ้าไปก่อนน่าจะเป็นคนที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับศีลวัตมากกว่าค่ะ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติของนายเอกเรื่องนี้ก็คือ ต้องอดทน!

himoru – ดีใจที่ชอบพี่เขยกับตัวกินไก่นะคะ แล้วก็เข้าใจอารมณ์ว่าทำไมชอบภีมเสนกับศวัสมากกว่าด้วย ส่วนเรื่องที่พี่เขยชอบแกล้งให้ไทวาแสดงออกนั่นก็ใช่เลยค่ะ รอ... ให้ก้าวเข้ามาหาแล้วค่อยจับตัวเอาไว้แน่นๆ วันนี้คงจะลงได้บ่อยๆ ค่ะ จบแล้วจะรีบต่อรามิเรส แต่เรื่องนั้นคงต่อได้แบบนานๆ ทีนะคะ เพราะว่าต้นฉบับใกล้หมดเต็มที และตั้งแต่เอาเรื่องมาลง ก็ยังไม่ได้เขียนต่อเลยค่ะ ไม่แน่ใจว่าจะเขียนจนจบได้เมื่อไหร่ ส่วนตอนพิเศษ ก็ยังยืนยันว่า... เอาไว้ติดตามเรื่องใหม่แทนดีกว่าน่ะค่ะ

lizzi – เกิดเป็นอานนท์ต้องอดทน อดกลั้นค่ะ เพราะว่า... ศีลวัตจะไม่ยอมอด และไม่ยอมทน

sukie_moo – ใช่เลยค่ะ แต่ดูจะยังไม่ค่อยรู้ตัวชัดเจนนัก

iforgive – หลังจากอ่านความคิดเห็น ชุนลองคิดๆ ดูแล้วก็คิดได้อย่างนี้นะคะ สมมติว่ามีเส้นแบ่งอยู่หนึ่งเส้น

ศวัสเดินหลงข้ามเส้นไป ภีมเสนจับข้อมือเอาไว้หลวมๆ ศวัสพยายามจะดึงออก หนีกลับไปอยู่เขตตัวเอง ถ้าดึงแรงๆ ก็จะหลุด แต่เขาไม่กล้าดึงแรง ทั้งที่ภีมเสนไม่ได้จับไว้แน่นเลย

ตัวกินไก่ค่อยๆ ก้าวข้ามเส้นไปหาพี่เขย พี่เขยยืนดูอยู่เฉยๆ ยิ้มมาให้บ้างเพื่อเป็นกำลังใจ รอจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินเข้ามาลึก มาไกลจนหาทางกลับได้ยากแล้วพี่เขยค่อยรวบตัวกอดเอาไว้แน่นๆ ประมาณว่า หลงมาขนาดนี้แล้ว กลับไม่ได้แล้วนะ

ส่วนศีลวัต ที่ชุนชอบเขาเพราะเขาเป็นฝ่ายบุกเข้าไปในเขตของอานนท์แล้วดึงมาไว้ในเขตของตัวเองก่อน จับเอาไว้แน่นชนิดที่ว่าถ้าจะไปก็ต้องตัดข้อมือทิ้ง อานนท์เป็นคนประเภทตัดข้อมือตัวเองทิ้งได้อย่างไม่ลังเล แต่ข้อมือเดียวที่ศีลวัตจะยอมให้อานนท์ตัด คือข้อมือของศีลวัตเอง

ประมาณนี้อ่ะค่ะ ชุนคิดว่า... ศีลวัตเขาจริงจัง และต้องการครอบครองมากกว่าพี่น้องคนอื่น

Phut – ศีลวัตเขารักแม่ค่ะ ทำไม่ลงแน่ๆ แต่รักของเขาก็น่ากลัวจริงๆ  (อานนท์ที่ไม่กลัวอะไรยังกลัว)

Snowermyhae – อนาคตเกมอาจจะพลิกได้ค่ะ ตอนนี้อานนท์ถูกพลิกลงไปอยู่ข้างล่าง อนาคตอาจจะอยู่ข้างบน 555

IsDeer – ปะทะกับภีมเสนคงจะมีค่ะ ทั้งลับๆ และซึ่งหน้า มาคอยดูกันว่า ฝ่ายไหนจะมีชัย ^^

Inwoสูร – อานนท์... คนมีกรรมต้องจำทนค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3.5) 25 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 25-06-2014 11:20:35
ม่ายยยยยยยยยยยยยยย อานนท์ของช้านนนนน

เชือดศีลวัตทิ้งแม่มเลย
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3.5) 25 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 25-06-2014 11:21:56
องค์ชายค่ะ ทรงพระหน้ามืดจนมิดเลยนะ

ก็อานนท์มีแม่เป็นนางคณิกามาก่อน ย่อมเห็นใจนางเป็นธรรมดา

ไม่ใช่ว่าอานนท์เห็นคนอื่นดีกว่าพระองค์หรอก

เป็นคนบังคับเองนะ ใครจะทนเห็นคนที่รักมีอะไรกับคนอื่นได้

สุดท้ายก็เป็นตัวเองที่หมดความอดทน จับอานนท์ตอกเสาเข็มซะงั้น

รักมากกกก ก็แสดงออกด้านดีๆบ้างสิค่ะ ไม่ใช่พาแต่ทำเรื่องทำร้ายจิตใจกันเอง แบบนี้

 :pig4: นักเขียน นักเขียนชอบคนพยายามแน่เลย แบบว่า ถ้าอยากได้ก็ลุยเลยสิ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3.5) 25 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 25-06-2014 11:25:56
เรื่องนี้มัน.... :m25:

อุตสาห์จะจงรักภักดีกันรามิเรสไม่คิดอ่านเรื่องอื่น  แต่พอกดเข้ามาอ่านนี่ถือว่าพลาดมาก   พลาดมากกกกกกกกก(ก.ไก่ล้านตัว)  ฉันไม่ยอมอ่านเรื่องนี้ได้ยังไงเนี่ยยย  สนุกทั้งสามเรื่องเลยอ่ะ  แแถมแต่ละตอนก็ให้ความรู้สึกต่างกันด้วย 

โดยส่วนตัวชอบเรื่อง  พรุ่งนี้มาก  แบบว่าได้อารมณ์จิตๆดี(?)  ชอบเจ้าชายภิมเสมอ่ะ  ดูเป็นคนดีกว่าที่คิดนะเนี่ย 
ส่วนเรื่องวันวานก็ออกน่ารักๆดี  ขำตัวกินไก่  ไม่รู้คิดได้ไง

ส่วนเรื่องสุดท้าย...  วันนี้    ตอนนี้นี่จิตสุดในสามเรื่องและ  สงสารอานนท์  แต่เหมือนอานนท์จะมีปมหลังให้ศึกษามากกว่าคนอื่นนะ  แล้วจากบทนำของตอนนี้  คนที่เคยเจออานนท์มาก่อนนี่ไม่ใช่องค์ชายรองใช่ไหมคะ  ถ้าไม่ใช่แล้วเป็นใครอ่ะ  แล้วตกลงอานนท์ยอมอยู่เป็นองค์รักษ์นี่เพื่อ?   สงสัยๆๆๆ   ตอนนี้มีแต่เรื่องให้สงสัยตลอดเลย 

ว่าแต่....  ขอถามคุณชุนนิ๊ดนึงนะคะ  แบบว่าองค์ชายทั้งสองคน(ยกเว้นองค์ชายเล็ก)  พี่แกก็เคยมีสนมมาแล้วตั้งเยอะเยะ  แล้วแต่ละคนนี่ไม่มีลูกเลยเหรอคะ  (หรือว่ามีแล้วเราอ่านไม่เจอ)  แบบว่าสงสัยอ่ะ(อยากรู้เรื่องครอบครัวชาวบ้าน//ฮา) :hao4:

สุดท้ายยยย  รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อนะคะ  จุ๊บๆ :mew1: :L2:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3.5) 25 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-06-2014 13:00:27
เห้ยยยยยยย ทำแบบนี้ สู้ทำที่วังดีกว่ามั้ยเจ้าชาย
ไม่มีตอนไหนที่จะไม่สงสารอานนท์เลย ฮืออออออ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3.5) 25 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 25-06-2014 13:08:10
 o22 เฮ้ยยยยย เจ้าชายทำไมทำแบบนี้  คอยดูเถอะอานนท์หนีเมื่อไหร่จะขำให้  o18
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3.5) 25 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 25-06-2014 13:37:25
ย้อนกลับไปอ่านบทนำของเรื่องนี้อีกครั้ง  แล้วพยายามคิดว่า ใครนะที่มีพระคุณต่ออานนท์
และในที่สุดอานนท์อาจต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อตอบแทนบุญคุณนั้น
... และเราก็เดาว่า น่าจะเป็นภีมเสน ในท้ายที่สุดคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีศึกชิงบัลลังค์ (ลับ ๆ หรืออาจเปิดเผย)
พระนางเรวดีคงสั่งให้อานนท์ทำอะไรบางอย่าง  และอานนท์ก็คงต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อตอบแทนบุญคุณคนๆ นั้นเช่นกัน
สุดท้ายไม่ว่าจะอย่างไร  ศีลวัตน่าจะคลุ้มคลั่งมากที่สุด ... เดาล้วน ๆ
... คนแต่งบอกว่า ศีลวัตรักแม่มาก คงทำตามที่แม่ต้องการ
แล้วอะไรล่ะที่ทำให้ภีมเสนยังคงเป็นรัชทายาทจนอายุ 35 ปี  ถ้าไม่มีใครซักคนมาช่วย
ใครคนนั้นน่าจะเป็นอานนท์นี่แหละ ...
ยิ่งอ่านยิ่งชอบศีลวัตนะ  แต่ในชีวิตจริง ๆ ไม่อยากเจอคนแบบนี้หรอกนะ  น่ากลัวเกินไป
อีกอย่างเป้าหมายของพี่ คือ มหาราณีเท่านั้น  โหะ โหะ โหะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3.5) 25 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 25-06-2014 13:42:10
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:สงาสรอานนท์ที่สุดเลยยยยยยย :mew4: :mew4: :mew4: :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3.5) 25 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 26-06-2014 00:05:21
อยากรู้ความรู้สึกของอานนท์แบบชัดๆ ศีลวัตคงอยากครอบครองมาก พระเอกมาก เริ่มสงสารอานนท์น้อยลงค่ะ ชอบที่ศีลวัตกดขี่ ข่มแหง รังแก อานนท์มาก แบบจิตตามพระเอก เกมอย่าพลิกให้อานนท์อยู่บนเลยนะคะ ไม่พร้อม ฮาา
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3.5) 25 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 26-06-2014 00:50:33
 :เฮ้อ: ข่มขืนกันอย่างนี้ จะรักกันได้มั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 3.5) 25 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 26-06-2014 00:59:56
เสร็จแบบสลด
 :katai1:
รักเขาแต่ทำร้ายเขา แล้วเขาจะรักตอบได้ยังไง

 :เฮ้อ:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4) 26 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 26-06-2014 18:44:57
วันนี้... แค่มีเธอ
บทที่ ๔


“เธออยากได้อะไร”

“ม้าตัวใหม่ดีไหม”

“ชอบรึเปล่า”

ไม่ว่าจะอยากได้หรือไม่ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ สุดท้ายแล้วอานนท์ก็ได้ม้าสีขาวปลอดพันธุ์ดี ชั้นเลิศ สง่างามและราคาแพงลิบมาไว้ในครอบครองอยู่ดี แต่เขาไม่เคยขี่มันเลยแม้แต่ครั้งเดียว

เจ้าชายศีลวัตไม่เคยทรงบังคับขืนใจเขาอีก ไม่ได้สั่งให้เขาใช้มือหรือใช้ปากถวาย ไม่มีการสั่งให้เขาช่วยตัวเองให้ทอดพระเนตร รวมทั้งไม่ได้เสด็จไปฝ่ายในเลยตลอดสองเดือน

สองเดือนหลังจากคืนนั้น อานนท์กลับเป็นเด็กชายวัยสิบขวบที่เคยปิดใจจากคนรอบข้างอีกครั้ง เขาพูดเท่าที่จำเป็น ไม่ยิ้ม ไม่มีสีหน้าอ่อนโยนให้ใครเห็น สีหน้าเดียวคือเฉยชาราวกับไร้ความรู้สึก แม้ขณะที่เจ้าเหนือชีวิตประทานจูบ





เจ้าชายศีลวัตโปรดปรานการจูบองครักษ์คนสนิทของพระองค์มาก ไม่มีวันไหนที่ไม่ทรงจูบอีกฝ่าย วันดีคืนดีก็โปรดให้เขามานอนร่วมพระที่ กอดเขาไว้ในอ้อมพระพาหา ลูบไล้ เล้าโลม ทว่าเมื่ออีกฝ่ายนอนนิ่ง ยอมให้กระทำโดยไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ พระองค์ก็ทรงข่มกลั้นพระอารมณ์ปรารถนาลงอย่างยากเย็น แล้วนอนกอดอีกฝ่ายไว้เฉยๆ ตลอดทั้งคืน

บางคืน ก็เป็นพระองค์เองที่เป็นฝ่ายเสด็จเข้าไปในห้องขององครักษ์หนุ่ม แล้วทำแบบเดียวกับที่เคยทำเมื่ออีกฝ่ายนอนอยู่บนพระที่ของพระองค์

ครั้งหนึ่งเมื่อองครักษ์หนุ่มต้องถวายงานในห้องสรงไม่ต่างจากสมัยเมื่อยังเป็นมหาดเล็ก เจ้าชายศีลวัตตรัสสั่งให้เขาอาบน้ำพร้อมกัน ครั้งนั้นเขาเกือบจะต้องเสียตัวอีกหน

“ให้ฉันเข้าไปได้ไหม”

เมื่อเขาไม่ตอบ พระองค์ก็ทรงจูบ แล้วถูไถท่อนลำแห่งความปรารถนาของพระองค์กับสะโพกของเขา เสียดสีอยู่เพียงแค่ภายนอกโดยไม่รุกล้ำ ถึงกระนั้นคนถูกกระทำก็รู้สึกว่าซอกหลืบบริเวณนั้นร้อนเป็นไฟ ถูกครอบงำด้วยตัณหาราคะไม่ต่างจากส่วนหน้าที่แข็งชันและร้อนระอุอยู่ในอุ้งพระหัตถ์

“ไปพร้อมกันนะ”

เขาเป็นองครักษ์ ต้องทำตามพระบัญชาเสมอ แต่ไม่รู้ว่าทำไม แม้แต่เรื่องเช่นนี้ก็ยังถูกทำให้เป็นไปตามรับสั่งของพระองค์ได้







“ลูกไม่ได้ไปฝ่ายในมาหลายเดือนแล้วนะ เบื่อนางพวกนั้นแล้วหรือศีลวัต”

พระนางเรวดีเสด็จมาถึงพระตำหนักของพระโอรสเพียงเพื่อรับสั่งถึงเรื่องนี้

“ช่วงนี้หม่อมฉันงานยุ่งพระเจ้าค่ะ”

คิดจะแข่งขันชิงดีกับเจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าชายที่แม้จะทรงฉลาดเฉลียวแต่ก็เคยเกเรไม่เอาไหนมามากอย่างพระองค์ต้องทรงพยายามให้มากเป็นพิเศษ เพราะอีกฝ่ายทรงทำผลงานนำหน้ามาก่อนแล้วถึงห้าปี พระนางเรวดีซึ่งทรงทราบเรื่องแทบทุกเรื่องในพระบรมมหาราชวังทรงทราบดีว่าพระโอรสต้องทรงเพียรพยายามมากเพียงใดเพื่อจะได้มีผลงานให้เป็นที่ประจักษ์และชื่นชมของเจ้าหลวง รวมทั้งบรรดาข้าราชบริพารทั้งหลาย เพียงแต่เรื่องผู้หญิงก็เป็นเรื่องจำเป็นซึ่งจะทิ้งร้างเสียไม่ได้

มีเจ้าแผ่นดินองค์ไหนบ้างที่ยิ่งใหญ่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพามืออันบอบบางของผู้หญิงเลย

“ยุ่งแค่ไหนก็ควรจะแบ่งเวลาไปให้พวกนางบ้าง เรายังต้องอาศัยพ่อของพวกนางในวันข้างหน้า ควรจะเอาใจลูกสาวไว้ให้มาก ถือเสียว่าเป็นการผ่อนคลายไปในตัว”

“เอาไว้หม่อมฉันจะหาเวลาไปก็แล้วกันพระเจ้าค่ะ”

“ให้จริงเถอะจ้ะ ไม่ใช่แค่พูดตัดรำคาญแม่เท่านั้นนะศีลวัต”

พระโอรสทรงพยักพระพักตร์ส่งๆ ไป มีหรือพระมารดาจะไม่ทรงทราบ

“หรือถ้าเบื่อพวกนางแล้ว จะหาคนใหม่แม่ก็ไม่ว่า”

“หม่อมฉันยังไม่อยากได้สนม”

ทำไมอานนท์ยังไม่กลับมา

“หรือว่าถูกใจลูกสาวขุนนางคนไหนเข้า คิดจะตบแต่งจริงจัง”

“หม่อมฉันทูลแล้วว่ายุ่งมาก ไม่มีเวลาคิดเรื่องแต่งงานหรอกพระเจ้าค่ะ”

“เอาเถอะ ไม่มีก็ไม่มี ยังไงก็อย่าลืมไปหานางสนมของลูกบ้าง”







“ฉันคงจะต้องไปฝ่ายในบ้าง”

ปฏิกิริยาอันน้อยนิดของคนในอ้อมกอดเพียงพอแล้วที่จะทำให้คนบรรทมซ้อนหลังอยู่พระทัยชื้นขึ้นมา เจ้าชายหนุ่มทรงกอดคนของพระองค์ไว้แน่นขึ้น

“อยากให้เธอเข้าใจว่าฉันจำเป็นต้องทำ วันนี้ตาเฒ่ากลาโหมไม่พูดสนับสนุนฉันในที่ประชุมเลย แล้วยังถามถึงหลานสาว บอกว่านางมีจดหมายไปบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย อยากจะกลับไปอยู่บ้าน ผู้หญิงคนนี้ฉันรู้อยู่แล้วว่าร้ายกาจ สักวันหนึ่งฉันจะลงโทษเสียให้สาสม”

ตลอดเวลา อานนท์ไม่พูดอะไรเลย แต่สะดุ้งขึ้นเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายทรงขบใบหู

“จะอนุญาตให้ฉันไปไหม”

จู่ๆ คนที่ทำหน้าตายมานานหลายเดือนก็นึกอยากจะหัวเราะขึ้นมา แต่แรกก็รับสั่งบอกมาแล้วว่าคงจะต้องไป จำเป็นต้องไป แล้วยังจะมาตรัสถามเขาทำไม

เขาเป็นใคร มีอำนาจอะไรไปห้ามพระองค์ได้

“ถ้าเธอไม่อยากให้ไป ฉันก็จะไม่ไป”

“เสด็จไปเถอะพระเจ้าค่ะ”

“ทำไม”

พระสุรเสียงห้วนสนิท นี่ล่ะ เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่พอพระทัยได้ทั้งนั้น

“เพื่ออำนาจ”

คนบรรทมซ้อนหลังทรงนิ่งอึ้งไปหลายอึดใจ ก่อนจะทรงขยับพระหัตถ์ลูบไล้ สอดผ่านเข้าไปใต้เสื้อนอนขององครักษ์คนสนิท สะกิดตุ่มไตเล็กๆ บนหน้าอก แล้วก็หมุนวนไปมาอย่างปลุกเร้า

“ถ้าเธอไม่ว่า ฉันก็จะไป”

ขณะที่ยอดอกข้างหนึ่งถูกบดบี้ ใบหูก็ถูกกัดเบาๆ ก่อนจะถูกเลียซ้ำอย่างเชื่องช้า อานนท์รู้ตัวแล้ว ว่าคืนนี้จะไม่เหมือนคืนที่ผ่านมา

“ฉันจำเป็นต้องสร้างฐานอำนาจ แต่วันใดที่ฉันเป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน เธอจะเป็นรองแค่ฉันคนเดียวเท่านั้น”

ไม่มีวันนั้นสำหรับฝ่าบาทหรอกพระเจ้าค่ะ... คนฟังคิด แต่ไม่ได้พูด

“ก่อนที่ฉันจะต้องไปหาคนอื่น เธอก็ยอมเป็นของฉันเถอะนะ”

บทเพลงแห่งความหฤหรรษ์แต่เพียงฝ่ายเดียวเริ่มต้นขึ้นแล้ว แม้จะไม่มีคำตอบจากคนถูกถาม

อนาคตข้างหน้ายังอีกยาวไกล แต่คืนนี้...



...ก็คงจะยาวนานไม่แพ้กัน







เมื่อมีครั้งแรกแล้ว ครั้งต่อๆ มาก็ไม่ใช่เรื่องยาก ทุกครั้งก่อนที่เจ้าชายศีลวัตจะเสด็จฝ่ายใน อานนท์จะต้องถวายงานเสียก่อน และเกือบทุกครั้งที่พระองค์เสด็จกลับมาแล้ว เขาก็ต้องถวายงานซ้ำอีก ดีอยู่อย่างเดียว คือเขาไม่ต้องตามเสด็จไปฝ่ายในแล้ว ผู้ที่ทำหน้าที่ถวายอารักขาในเวลานั้นตอนนี้คือองครักษ์หญิงที่พระราชชายาทรงไว้วางพระทัย เรื่องนี้เจ้าชายศีลวัตตัดสินพระทัยเองโดยที่อานนท์ไม่ได้ทูลขอ

อย่างไรก็ดี คืนที่เจ้าชายหนุ่มเสด็จไปฝ่ายใน เขามักจะนอนไม่ค่อยหลับเสมอ

ครึ่งคืน ค่อนคืน หรือบางทีก็รุ่งเช้า เมื่อพระองค์เสด็จมาและตักตวงเรียกร้องเอาจากร่างกายเขาแล้ว ก็จะทรงกอดเขาที่เนื้อตัวเปลือยเปล่าเอาไว้นิ่งๆ แล้วกระซิบถามอยู่ข้างหูด้วยคำถามติดพระโอษฐ์

“เธอชอบอะไร”

“มีอะไรที่เธอชอบบ้างไหม อานนท์”

เขามักจะไม่ตอบ แต่เมื่อถูกรุกเร้าหนักเข้า คำตอบเดียวตลอดกาลก็คือ

“ไม่มีพระเจ้าค่ะ”

ถึงกระนั้นเขาก็ยังได้รับอะไรใหม่ๆ เสมอ ที่ทับกระดาษรูปสิงโตในห้องทำงานของเขาแกะสลักจากหยกเนื้อดีทั้งก้อน โคมไฟเป็นทองคำ แจกันประดับเป็นเครื่องเบญจรงค์ ผ้าที่ใช้ตัดเย็บเครื่องแบบของเขาเป็นผ้าเนื้อเดียวกับพระภูษาที่ใช้ตัดฉลองพระองค์ ช่างตัดเย็บก็เป็นคนคนเดียวกัน ผลไม้นอกฤดูกาลที่มีราคาแพงลิบลิ่ว เขาก็มีกินอยู่ไม่ได้ขาด แต่อานนท์ก็รู้ ว่ากับพระสนม พระองค์ก็ประทานของรางวัลให้อย่างสม่ำเสมอเช่นกัน

พระสนมก็นับเป็น ‘เมีย’ เช่นกัน ได้รับของกำนัลจากพระองค์ก็สมควรแล้ว ไม่เหมือนกับเขา ที่พระองค์ทรงจ่ายค่าตัวให้ทุกครั้งที่ใช้บริการ... ราวกับเป็นโสเภณี

... ถ้ามีโอกาสได้เรียนหนังสือ ก็ต้องตั้งใจเรียนให้มากๆ นะ อานนท์ จะได้ไม่ต้องลำบาก ใช้ร่างกายแลกกับเงิน บางคนอาจจะพูดว่าผู้หญิงที่ทำอาชีพอย่างนี้สบาย ไม่ต้องทำงานหนักก็มีกินมีใช้ ได้แต่งตัวสวยๆ ทุกวัน แต่เขาไม่ได้คิดหรอก ว่าคนที่แม้แต่ความทุกข์ก็แสดงออกมาทางสีหน้าไม่ได้ ต้องกลืนเข้าไปในอกแล้วฝืนยิ้มแย้มทั้งที่อยากจะร้องไห้ มันทุกข์ทรมานแค่ไหน...

... ฉะนั้นอย่าไปดูถูกเหยียดหยามเขา...

เขาไม่เคยดูถูกใคร สมเพชก็เพียงแต่ตัวเองเท่านั้น

กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังคิด ว่าต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีกหรือ ถึงจะหลุดพ้นจากการใช้ร่างกายแลกกับข้าวของเงินทองที่ไม่เคยอยากได้







ในวันที่เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณเสด็จออกนอกวังและอานนท์ไม่ได้เป็นเวรตามเสด็จ พระราชชายาเสด็จมายังพระตำหนักของพระโอรส ทำทีว่าเสด็จมาทรงเยี่ยมเจ้าของพระตำหนัก ทว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริงอยู่ที่องครักษ์คนสนิทของพระโอรส

ความลับไม่มีในโลก เรื่องนี้อานนท์รู้อยู่แล้ว เขาจึงไม่แปลกใจนักเมื่อพระนางเรวดีรับสั่งอย่างไม่อ้อมค้อมว่าพระองค์ทรงทราบว่าเขาต้องถวายงานพิเศษแบบไหน

“ศีลวัตงานยุ่ง ฝ่ายในก็อยู่ไกล เขาจะใช้องครักษ์ของตัวเองเป็นที่ระบายความเครียดบ้างฉันก็ไม่ว่าอะไร ไม่แปลกใจเลยสักนิดเพราะลูกฉันก็ดูจะถูกใจเธอมาตั้งแต่เมื่อก่อน ทั้งที่ฉันไม่เคยเข้าใจเลยว่าเขาถูกใจอะไรเธอ”

ใช่เพียงแต่ถ้อยรับสั่งเท่านั้น แม้แต่สายพระเนตรก็กวาดทอดตลอดตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าเพื่อค้นหาตำแหน่งแห่งหนในตัวของอีกฝ่ายที่พระโอรสโปรดปราน

“ส่วนเธอ จะเอาดีทางลัดแบบนี้ฉันก็ไม่ถือสา เพียงแต่เธอต้องรู้ขอบเขตของตัวเอง เธอเป็นผู้ชาย พยายามให้ตายยังไงก็มีลูกเหมือนผู้หญิงไม่ได้ ศีลวัตจะต้องเป็นใหญ่ในวันข้างหน้า เขาต้องผูกใจพวกขุนนางเอาไว้ให้มาก ยิ่งถ้ามีลูกกับลูกสาวขุนนางที่มีอำนาจ ความสัมพันธ์ก็จะยิ่งแน่นแฟ้น เธออยู่ข้างกายเขา เป็นที่โปรดปรานขนาดนี้ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้ดิบได้ดี เป็นเมียของเจ้าชายจะต้องใจกว้าง ใจคอคับแคบจะอยู่ไม่ยืน เพราะฉะนั้นจงแสดงความใจกว้างของเธอให้เขาเห็นเสียตั้งแต่วันนี้ วันหน้าไม่ว่าเขาจะมีลูกกับผู้หญิงอีกกี่คน เขาก็คงจะไม่ทอดทิ้งเธอเป็นแน่”

อานนท์รับฟังประโยคเหล่านั้นเข้าหูด้วยสีหน้าเรียบเฉย บอกตัวเองว่าไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร ที่สะดุ้งในใจขึ้นมาวูบหนึ่งตอนที่ได้ยินคำว่าเมีย ก็เพราะว่าความจริงแล้วเขาไม่ได้อยู่ในสถานภาพนั้น

“ที่ฉันพูดมาทั้งหมดหวังว่าเธอจะเข้าใจ”

“กระหม่อมเข้าใจพระเจ้าค่ะ”

“ดี แล้วก็ไม่ใช่แค่เข้าใจเฉยๆ ต้องทำให้ได้ด้วย ศีลวัตปฏิเสธท่าเดียว ไม่ยอมให้นางสนมคนไหนมีลูกเลย เธอต้องเกลี้ยกล่อมให้เขายอมให้ได้ จะใช้มารยาท่าไหนก็ต้องทำ อ้อ ลูกคนแรก ถ้าได้จากมนัสวีก็จะดี หลานสาวเสนาฯ กลาโหมคนนี้ดูท่าลูกชายฉันจะถูกใจ หลังๆ มานี่ไปฝ่ายในทีไรก็เรียกหาแต่คนนี้”

มนัสวี... อานนท์ไม่ได้ตั้งใจเลย แต่ชื่อนี้ก็ฝังหัวเขาไปเสียแล้ว








“คืนนี้ฉันจะไปฝ่ายในนะ”

เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณรับสั่งบอกองครักษ์คนสนิทของพระองค์ทุกครั้งด้วยสีพระพักตร์เกรงใจราวกับจะขออนุญาต ทุกครั้งอานนท์ทูลรับว่าพระเจ้าค่ะเพียงคำเดียวด้วยสีหน้าเฉยเมย ทว่าคราวนี้องครักษ์หนุ่มกราบทูลเรียบๆ ว่า

“วันนี้เป็นเวรของกระหม่อมพระเจ้าค่ะ”

เจ้าชายหนุ่มแปลกพระทัย

“เธอ... จะไปด้วยหรือ”

อานนท์ไม่ได้ทูลตอบ แต่เพราะอยู่ด้วยกันมานานร่วมสิบปีแล้ว ทั้งยังเคยชินกับการสังเกตสีหน้า อารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่ายอยู่เสมอ เจ้าชายหนุ่มจึงทรงทราบว่าการนิ่งเฉยคราวนี้หมายถึงการตอบรับ แม้จะประหลาดพระทัย แต่สิ่งใดที่เป็นความต้องการของอานนท์ พระองค์ก็พร้อมจะประทานให้เสมอ

เว้นไว้แต่เพียงเรื่องเดียว







คืนนี้ อานนท์ได้รู้จักหญิงสาวที่ชื่อมนัสวีแล้ว แน่นอนว่าเขาเคยรู้จักนางมาก่อน เคยเห็น เคยได้ยินบทรักระหว่างนางกับเจ้าชายศีลวัตแล้ว เพียงแต่ผู้หญิงคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพัฒนาการได้อย่างรวดเร็วเกินกว่าคนอย่างเขาจะคาดคิดถึง มนัสวีในวันนี้จึงแตกต่างจากมนัสวีคนก่อนที่เขาเคยรู้จัก

นางสะสวย นางเย้ายวน ปราศจากความเขินอายอย่างสิ้นเชิง และแม้จะมองเห็น ก็ทำราวกับเขาไม่มีตัวตนอยู่ในห้อง

นางออดอ้อน นางอ่อนหวาน นางช่างเอาอกเอาใจ และทำทุกอย่างถวายอย่างเต็มอกเต็มใจ ผู้ชายคนหนึ่งปรารถนาอะไรจากผู้หญิงที่เปลือยกายอยู่ด้วยกันบนเตียงในยามค่ำคืนเล่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์เพศชายปรารถนาจากผู้หญิงในยามร่วมรัก

มนัสวีล้วนมี

อานนท์ละสายตาจากนางไม่ได้เลย

ขณะเดียวกัน เจ้าชายศีลวัตก็ไม่ได้ทอดพระเนตรมาทางเขาเลย พระองค์เอนองค์ลงบรรทมในท่าที่สบายที่สุด และปล่อยให้พระสนมคนงามถวายงาน ปรนเปรอความสุขสำราญให้อย่างเต็มความสามารถ

ครั้งหนึ่ง เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณเคยรับสั่งว่าจะประทานโทษทัณฑ์ให้ผู้หญิงคนนี้อย่างสาสม คืนนี้อานนท์ได้เห็นแล้ว ว่าพระองค์ประทานโทษทัณฑ์เช่นไรให้แก่นาง

การตีแก้มก้นขาวผ่องติดๆ กันดังสนั่น และขยับพระวรกายสวนขึ้นอย่างรุนแรงจนนางร้องครางลั่นห้องนั่นอย่างไรเล่า

เขาไม่เคยรู้เลย ว่าเจ้าชายศีลวัตโปรดการร่วมรักด้วยความรุนแรงเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร เพราะเวลาที่ทำกับเขา นอกจากครั้งแรกที่หอนารีแล้ว พระองค์ก็มีแต่ทรงอ่อนโยนกับเขาเสมอมา

จังหวะหนึ่ง คนที่โยกกายอย่างเร่าร้อนอยู่เหนือพระวรกายก็มองตรงมาทางเขา ก่อนจะยกยิ้มมุมปากให้อย่างคนที่รู้ตัวดีว่าเหนือกว่า

“ว้าย! ฝ่าบาท”

หญิงสาวหวีดร้องเมื่อถูกพลิกตัวไปอยู่เบื้องล่าง

อานนท์สะดุ้งเมื่อจู่ๆ เจ้าของสายพระเนตรคมกล้าก็พุ่งตรงมาราวกับลูกธนู

“อ๊ะ! ฝ่าบาท! จะเสด็จไปไหนเพคะ ฝ่าบาท”

ผ้าม่านโปร่งบางเหนือหัวเตียงถูกกระชากจนขาดออก หยาดน้ำที่ยังค้างอยู่บนแก้มขององครักษ์ประจำพระองค์คนสนิททำให้เจ้าชายหนุ่มทรงทราบว่าเมื่อครู่นี้แสงไฟไม่ได้ลวงตา

“ร้องไห้ทำไม”

อานนท์ยืนตัวแข็งอยู่ในท่าผงะ เขายังงุนงงอยู่ ไม่ต่างจากพระสนมคนงามที่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เวลานี้ส่วนกึ่งกลางพระวรกายของเจ้าชายศีลวัตยังประกาศความปรารถนาอันแรงกล้า ซ้ำยังเปรอะเปื้อน เปียกชื้น แต่พระองค์กลับทรงยืนอยู่ตรงหน้าเขา แทนที่จะอยู่บนเตียง

“ว่ายังไง เธอร้องไห้ทำไม บอกฉันซิ อานนท์”

แขนสองข้างถูกบีบไว้แน่น องครักษ์หนุ่มไม่เจ็บ แต่เขายังพูดอะไรไม่ออก

ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาถูกพระราชชายาสั่งเฆี่ยนตอนอายุสิบเอ็ดขวบ เขาก็ไม่เคยเห็นเจ้าชายศีลวัตทรงร้อนรนกระวนกระวายจนน่าขำขนาดนี้อีกเลย แปลกที่แม้จะน่าขำถึงขนาดนี้แล้วแต่เขาก็ยังขำไม่ออก

“กระหม่อม...”

“จะมีอะไรเล่าเพคะ นอกจากเรียกร้องความสนพระทัย” คนกราบทูลเดินนวยนาดลงมาจากเตียง

“หุบปาก!”

“แต่ว่า...”

“ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ปรานี”

อานนท์ขยับตัว เขาสูดลมหายใจเข้าลึก และพยายามไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสายพระเนตรอาทรห่วงใยที่เห็นอยู่ตรงหน้า

“กระหม่อมไม่ได้เป็นอะไรพระเจ้าค่ะ”

“จะโปรดให้เขามาร่วมกับเราด้วย หม่อมฉันก็...”

“ใครอยู่ข้างนอก เข้ามา!”

นางพระกำนัลร่างใหญ่สองนางรุดเข้ามาตามรับสั่ง

“ลากตัวผู้หญิงคนนี้ออกไป ตบปากให้หนัก อย่าหยุดจนกว่าฉันจะสั่ง”

“รับด้วยเกล้าฯ เพคะ”

“ไม่นะเพคะ! ฝ่าบาท! หม่อมฉันผิดไปแล้ว ฝ่าบาท ประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วย”

องครักษ์หนุ่มยกมือขึ้นแตะพระพาหา ดวงพระเนตรวาวโรจน์ด้วยความกริ้วแปรเปลี่ยนเป็นอาทรได้อย่างเหลือเชื่อเมื่อหันกลับมามอง

“กระหม่อมขอประทานอภัยโทษแทนพระสนมพระเจ้าค่ะ”

เขาไม่เคยอยาก ไม่เคยรู้สึกยินดี หากว่าพระองค์จะทรงโหดร้ายกับคนอื่นเพื่อเขา อีกอย่าง พระสนมมนัสวีก็เป็นหลานสาวคนโปรดของเสนาบดีกลาโหม หากลงโทษนางสาหัส ย่อมมีปัญหากับเสนาบดีผู้เฒ่าแน่

“ได้ เธอขอ ฉันก็ให้”

สำหรับอานนท์ ไม่จำเป็นต้องตรัสถามเหตุผล ขอเพียงเขาออกปากทูลขอ ไม่ว่าอะไรพระองค์ก็ทรงยินดีจะประทานให้

“ยังไม่เอาตัวออกไป”

นางพระกำนัลสองนางรีบปฏิบัติตามรับสั่งทันที พระสนมมนัสวีไม่ปริปากกราบทูลอะไรอีกแม้แต่คำเดียว

“ไม่มีใครแล้ว ทีนี้บอกได้รึยังว่าร้องไห้ทำไม”

“กระหม่อมจะไปเอาฉลองพระองค์คลุมมาถวายพระเจ้าค่ะ”

เจ้าชายหนุ่มทรงยอมให้องครักษ์ประจำพระองค์ทำตามที่พูดแต่โดยดี อานนท์เดินไปหยิบฉลองพระองค์คลุมที่แขวนอยู่มาสวมถวาย ทั้งยังก้มหน้าผูกเชือกถวายอย่างเรียบร้อยตามความเคยชิน

สะท้านใจขึ้นมาเฮือกหนึ่งเมื่อถูกจับจูงให้ไปที่เตียง ทั้งที่ถูกแตะต้องมากกว่านี้ยังไม่หวั่นไหว พระหัตถ์ก็ขนาดเท่าๆ กับมือของเขา แต่กลับให้ความรู้สึกว่าใหญ่โตกว่ามาก

เจ้าชายศีลวัตทรงดึงมือของอีกฝ่ายให้นั่งลงเคียงข้าง อานนท์ผงะไปนิดหนึ่งเมื่อพระองค์ทรงยกพระหัตถ์ขึ้น แต่แล้วก็ยอมนั่งนิ่งให้พระองค์ทรงลูบแก้มที่แห้งสนิทไปแล้วแต่โดยดี

“เสียใจที่ฉันกอดคนอื่นหรือ”

“ไม่ใช่พระเจ้าค่ะ!”

เขาไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำ แต่ก็ทูลตอบไปแล้วอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าถ้าตอบช้ากว่านี้จะประสบกับความหายนะ

“แล้วร้องทำไม”

คำถามเดิมๆ แต่พระองค์ตรัสถามซ้ำๆ ได้โดยไม่ทรงรำคาญ ทั้งที่ไม่ได้คำตอบจริงๆ เสียที

“กระหม่อมไม่ทราบพระเจ้าค่ะ”

“ไม่รู้ว่าร้องทำไม หรือไม่รู้สึกตัวว่ากำลังร้องไห้”

คนถูกถามรู้ตัวดีว่าความจริงคืออย่างหลัง แต่กลับทูลตอบตรงข้าม

“ไม่ทราบเกล้าฯ ว่าร้องทำไมพระเจ้าค่ะ”

เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณทรงนิ่งเงียบเนิ่นนาน ทอดพระเนตรมองเพียงนิ่งๆ เท่านั้น ไม่ได้คาดคั้นอะไรเลย แต่องครักษ์ประจำพระองค์คนสนิทกลับหลบสายพระเนตร

“เธอชอบฉันใช่ไหม”

เคยตรัสถามมาหลายอย่างแล้ว ทั้งของกิน ของใช้ ของตกแต่ง ของดูเล่น แต่ไม่เคยคิดจะตรัสถามคำถามนี้เลย เพราะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่วันนี้ ความหวังพลันลุกโชนจนพระทัยเต้นโลดรุนแรง

“กระหม่อม...”

รอคอยอย่างตื่นเต้น จนแม้จะหายพระทัยก็ยังไม่กล้า

“ไม่บังอาจพระเจ้าค่ะ”

อยากจะแผดพระสุรเสียงอาละวาดให้ลั่นพระตำหนักอย่างเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ อย่างที่เคยทรงทำเสมอเมื่อไม่ได้ดั่งพระทัย ทว่าวันเวลาที่จะทรงทำเช่นนั้นได้ล่วงเลยมานานแล้ว เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณจึงได้แต่ทรงข่มกลั้นพระอารมณ์

เก็บกัก กลบฝังความผิดหวังเอาไว้ให้ลึกที่สุด
.
.
.
.
.
.
“งั้นก็กลับกันเถอะ”



tbc.

******************************
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4) 26 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 26-06-2014 18:46:27
fuku – ไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวอานนท์ (กับพระสนมอีกหลายนาง?) ได้เป็นม่ายกันพอดี

Sar2288 – รักมาก แต่แสดงออกแบบผิดๆ ล่ะมั้งคะ ชุนคิดว่า ปัญหาจริงๆ คือสองคนนี้เขาเป็นเหมือนกันตรงที่ “ไม่พูด” ในเรื่องที่ควรจะพูด ส่วนตัวชุนเอง... ใช่เลยค่ะ ชอบคนมีความพยายาม ^^

teatimes – ตอนนี้เหมือนแย้มคำตอบนิดนึงเนอะ คือว่า ชุนไม่ชอบให้ตัวละครมีปัญหาเรื่องลูกน่ะค่ะ ก็เลยไม่ให้มี ส่วนเหตุผลในเรื่องก็คือ เพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องทายาทตัวจริง เจ้าชายจะเป็นคนอนุญาตน่ะค่ะ ว่าจะให้ใครมีลูกได้หรือไม่ให้มี ภีมเสนเขาเป็นรัชทายาท เลยต้องระวัง ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าลูกคนแรกจะให้เกิดจากเมียคนไหนดี (เท่ากับว่าต่อไปผู้หญิงคนนั้นจะได้เป็นรานีด้วย) ก็เจอศวัสซะก่อน ส่วนศีลวัตก็ ประมาณว่า แตกนอก แล้วก็ให้องครักษ์ที่ไว้ใจได้จัดการเรื่องให้สนมได้ดื่มยากันท้อง ทำนองนั้นค่ะ (แต่ว่าไม่ได้กล่าวถึง ไม่เป็นไรเนาะ)

lizzi – เมื่อความหึงและความหื่นเข้าตา สถานที่ก็หามีความสำคัญไม่ค่ะ (แถมยังไม่รู้สึกผิดเท่าไหร่อีกด้วย)

Inwoสูร – จะหนีรอดเร้อ อานนท์ ศีลวัตจับไว้แน่นขนาดนี้ ยากอยู่นะคะ แต่ก็ มีลุ้นอยู่ค่ะ

Iforgive – พูดได้ประโยคเดียวค่ะว่า ทำไมเดาเก่งอย่างเนนนนนนนนนนน้ ตามนั้นเลยค่ะ (นี่สินะ ที่เค้าเรียกันว่า สปอยลลลลล์)

ormn – ตอนนี้สงสารอานนท์ไปก่อนค่ะ วันหน้า อาจมีช่วงเวลาที่ได้สงสารศีลวัตบ้างล่ะ

Snowermyhae – ทบทวนดูแล้ว คิดว่า... น่าจะไม่มีโอกาสได้รู้ความรู้สึกของอานนท์แบบชัดๆ นะคะ ที่ชัดคือความรู้สึกของศีลวัต แต่ของอานนท์จะเป็นแบบ ให้คนอ่านเดาเองมากกว่าน่ะค่ะ ไม่พูดถึงชัดเจน

IsDeer – ความรัก... อาจจะยากสักหน่อยค่ะ แต่ความผูกพันก็คงจะทำให้... หวั่นไหว... มากขึ้นๆ (ถ้าศีลวัตทำตัวดีพอ แต่นิสัยก็แก้ยากเหลือเกิน แถมตัวละครของชุนยังเป็นประเภท ต้นเรื่องเป็นคนยังไง ท้ายเรื่องก็เป็นคนอย่างนั้น ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยสิคะ)

Phut – อ่านความคิดเห็นแล้วเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่า เอ ถ้าอานนท์รักตอบนี่ ก็แสดงว่าจิตใต้สำนึกเป็นมาโซอยู่หน่อยๆ น่ะสิเนี่ย เริ่มอาจจะไม่ดี แต่ต่อไปคิดว่าน่าจะดีขึ้นนะคะ (มั้ง)

ตอนที่ ๔ นี้มี จุดห้า ด้วยนะคะ เป็นฉากหลังจากกลับถึงตำหนักแล้ว ไว้มาต่อพรุ่งนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4) 26 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 26-06-2014 19:29:53
อานนท์รักเจ้าชายแหละ ใช่ไหมๆ
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง รักต้องห้ามสินะ :hao5:

ตอนนี้เจ้าชายมีมุมอ่อนโยน? เป็นไปได้!

แปลกใจกับที่อานนท์คิด ไม่มีวันนั้นสำหรับพระองค์

มันมีปม ต้องติดตาม ถึงจะเห็นสปอยจากเมนต์ก็เถอะ หุหุ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4) 26 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 26-06-2014 19:30:01
โอยยยยยย!! หน่วง สงสารอานนท์เป็นที่สุด

ก่อนจะถามหาความรักจากเค้า บอกเค้าก่อนมั้ยองค์ชาย

ทำอย่างกับอานนท์เป็นโสเภณี อำนาจที่ได้มาพระองค์จะมีความสุขมั้ย

ซึม กับที่อานนท์คิดนะ ว่าต้องเรียนอะไรอีกเท่าไหร่ ถึงจะไม่ต้องเอาตัวเข้าแรก

สิ่งที่อานนท์อยากได้ คงเป็นศักศรี ให้บ้างเถอะ ให้อานนท์ได้ภูมิใจกับตัวเองบ้าง

ตอนนี้เกลียดศีลวัตจัง รักแต่ก็ทำร้ายได้อย่างเลือดเย็นที่สุด
 :pig4: นักเขียน
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4) 26 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 26-06-2014 20:44:33
คนสองคนรักกัน และรักกันมากกกกกกกก แต่ไม่เข้าใจกันเลย
และต่างฝ่ายต่างก็ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะรักตนเองด้วย
สงสารทั้งคู่ ศีลวัตทำทุกอย่างที่คิดว่าอานนท์จะพอใจ
อานนท์ยอมทุกอย่างเพราะคิดว่าชีวิตนี้ตัวเองไม่มีสิทธิทำอะไรเองได้
...
พระสนมร้ายนัก เดาว่าคงรู้เรื่องจากพระนางเรวดีเป็นแน่แท้
.... ได้แต่หวังว่า อานนท์จะได้อยู่กับศีล วัตไปจนแก่นะ
ตอนเลือกเชลยไม่ได้พูดถึง ชักหวั่นใจ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4) 26 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 26-06-2014 21:01:00
ยิ่งอ่านยิ่งสงสารอานนท์ เมื่อไหร่จะหมดเคราะห์ ได้หวานๆกันบ้าง
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4) 26 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: puengkiss ที่ 26-06-2014 21:13:54
สงสารเจ้าชายรักขัางเดียวไหมเนี้ย อานนท์เธอเป็นคนของรัชทายาทแน่ๆ ไม่นะอย่าหักหลังเจ้าชายเค้าน้าๆๆๆ :m31:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4) 26 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: saruwatari_guy ที่ 26-06-2014 21:39:27
เฮ้อ เจ็บแทน เข้าใจความคิดเลย ไหนว่า จะ ทำโทษ ละไง ก็มีอะไรกับคนอื่น แบบ เต็มใจอยู่ดี หน่วงเบย
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4) 26 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 26-06-2014 21:48:31
 :hao5: สงสารทั้งคู่เลย
อานนท์ชีวิตก็น่าสงสาร ไม่กล้าอาจเอื้อมแม้จะรัก
ส่วนศีลวัตรักแต่ก็ต้องทำเพื่ออำนาจ

อยากจะให้ศีลวัตพาอานนท์หนีไปอยู่สองต่อสองจัง
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4) 26 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 26-06-2014 22:42:43
 :hao5: :hao5: :hao5:รักของคู่นี้จะรันทดไปไหนนนนนนนนน :mew6: :mew6: :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4) 26 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 26-06-2014 23:47:44
ระหว่างสองคนนี้ บอกว่าผูกพันธ์ ยึดติด อยากครอบครอง มากกว่าจะรักอย่างเดียว
รักเป็นแค่เสี้ยวเดียวของทั้งคู่

นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทำร้ายอีกฝ่าย เย็นชา ไม่เข้าใจ

และไขว่ขว้าสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการเพื่ออะไรยังไม่รู้ด้วยซ้ำ

ฮ่วย สงสารอานนท์
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4.5) 27 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 27-06-2014 19:52:24
วันนี้... แค่มีเธอ
บทที่ ๔.๕


อานนท์รู้ดีว่าในยามที่เจ้าชายหนุ่มทรง ‘อารมณ์ค้าง’ มาจากฝ่ายในเช่นนี้ เขาจะต้องเผชิญกับอะไร เพียงแต่ผิดคาดที่แทนที่พระองค์จะทรงรุนแรงเร่าร้อน กลับทรงทำกับเขาอย่างนุ่มนวล สายพระเนตรที่ทอดมองลงมาทั้งจริงจังและดูเจ็บปวดอย่างประหลาด

ให้ความรู้สึกเศร้าเสียจนเขานึกอยากจะปลอบประโลมขึ้นมาอย่างแรงกล้า

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอ้าปากตอบสนองจูบของพระองค์ทั้งที่มีสติสมบูรณ์ ปฏิกิริยาที่แปลกไปแม้เพียงน้อยนิดกลับทำให้คนเบื้องบนทรงกระตือรือร้น มีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างประหลาด

และแม้จะไม่ได้รับสั่งอะไร แต่สายพระเนตรตื่นเต้นราวกับได้เห็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่โตเช่นนั้นก็ทำให้คนถูกมองรู้สึกเขินอายขึ้นมาแปลกๆ ราวกับสาวน้อย

สิ่งหนึ่งที่เขาปฏิเสธไม่ได้ก็คือความรู้สึกสุขสมยามได้ร่วมรัก

แม้ว่านั่นจะเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ก็ตาม

แต่ความรู้สึกอิ่มเอมลึกล้ำในอกเช่นนี้เป็นความรู้สึกแปลกใหม่

และก่อนที่หัวใจของเขาจะรู้สึกแปลกมากไปกว่านี้... เขาต้องพูด

“ฝ่าบาท”

“หืม”

พระสุรเสียงอย่างนี้ แสดงว่ากำลังพระอารมณ์ดี แม้ว่าพระโอษฐ์และพระนาสิกที่เกลี่ยไปมาอยู่แถวๆ หลังหูของเขาจะไม่ค่อยดีเท่าไรก็ตาม

“เคยมีพระดำริจะมีพระโอรสหรือพระธิดาองค์น้อยๆ บ้างไหมพระเจ้าค่ะ”

เจ้าของอ้อมกอดที่พันธนาการตัวเขาไว้ทรงชะงักไป อานนท์เองก็รู้สึกเกร็ง ระมัดระวังตัวขึ้นมาทันทีเช่นกัน ทั้งยังไม่ยอมสบสายพระเนตร เมื่อพระองค์ทรงชะโงกพระพักตร์มามองหน้า

เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณไม่ใช่คนพระทัยเย็น แต่ยามที่พระองค์ทรงนิ่งเงียบเนิ่นนานเช่นนี้ คนคอยก็ใจคอไม่ดีเสียยิ่งกว่าตอนที่ถูกกริ้วเสียอีก

“วันที่ฉันไม่อยู่ เจ้าแม่พูดอะไรกับเธอ”

อา... ใครว่าคนที่เอาแต่หนีเรียนตั้งแต่เด็กจะกลายเป็นคนโง่กันเล่า

เจ้าชายศีลวัตทรงลุกขึ้นแล้ว อานนท์จึงจำต้องลุกขึ้นนั่งตาม องครักษ์หนุ่มหยิบเสื้อนอนขึ้นมาสวม และคนร่วมเตียงก็ไม่ได้ทรงว่าอะไร

“เรื่องแบบนี้เธอคิดเอง หรือเจ้าแม่สั่งให้เธอมาพูดกับฉัน”

“พระราชชายารับสั่งพระเจ้าค่ะ”

คนกราบทูลยังก้มหน้าก้มตาติดกระดุมเสื้อ ถ้าแม่ลูกจะทะเลาะกัน เขาก็ไม่เกี่ยวข้อง ที่จริงแล้วเขาไม่ควรจะเกี่ยวข้องมาตั้งแต่แรก

“เจ้าแม่จะรับสั่งอะไรเธอไม่ต้องสนใจ เธอเป็นคนของฉัน ฟังแต่คำสั่งของฉันเท่านั้นพอ”

“รับด้วยเกล้าฯ พระเจ้าค่ะ”

ใช่ว่าพระองค์จะไม่ทรงรู้สึกรู้สา เมื่ออีกฝ่ายกราบทูลด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับไร้ความรู้สึก แต่พระองค์ไม่ทรงทราบว่านอกจากประโยคนั้นแล้วจะต้องรับสั่งว่าอะไรจึงจะสื่อความหมายได้ตรงตามพระทัย

อานนท์เป็นของพระองค์... เขาเป็นของพระองค์เท่านั้น

เป็นมานานแล้ว และจะต้องเป็นตลอดไป

จนกว่าพระองค์จะไม่มีลมหายใจ

องครักษ์หนุ่มหันหน้าไปเผชิญพระพักตร์เมื่อพระหัตถ์ใหญ่คว้าคอแล้วดันให้ยื่นหน้าเข้าไปรับจูบ พระโอษฐ์อบอุ่นที่คุ้นเคยรุกรานเขาทั้งกายและใจ ค่อยๆ และเล็ม หยอกเย้า และกลืนกินเขาเข้าไปทีละน้อย จากจูบที่เนิบนาบ เชื่องช้า กลายเป็นดูดดื่มรุ่มร้อนตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

เมื่อพระองค์ทรงถอนพระโอษฐ์ออก อารมณ์ที่หลั่งไหลอยู่ในตัวก็เกือบจะกลายเป็นโหยหา

ลมหายพระทัยอุ่นๆ ยังรินรดใบหน้าของเขา ขณะเจ้าชายศีลวัตตรัสถามพระสุรเสียงเบา

“เธออยากให้ฉันมีลูกไหม”

ลมหายใจของคนถูกถามสะดุด อานนท์รีบปัดความรู้สึกปั่นป่วนออกจากใจ เขาพยักหน้า

“พระโอรสหรือพระธิดาองค์น้อยๆ คงจะทรง... น่ารัก”

พระพักตร์งามคมคายของคนคอยคำตอบบึ้งตึง สายพระเนตรขุ่นมัว ทว่าเพียงครู่เดียวก็ทรงยกมุมพระโอษฐ์ขึ้น ตรัสถามเยาะๆ

“อยากจะให้ฉันมีลูกกับใครล่ะ”

คราวนี้คนถูกถามนิ่งนาน ขยับปาก แล้วก็หุบนิ่ง ก่อนจะตัดสินใจ

“พระสนมวิไลเรขาพระเจ้าค่ะ”

เจ้าชายหนุ่มทรงพยักพระพักตร์ ไม่ตรัสถามเหตุผล

“ฝ่าบาท เดี๋ยวพระเจ้าค... อื้อ... อื้ม...”

อานนท์ถูกจูบอีกแล้ว คืนนี้เขาถูกจูบหลายครั้งจนปากบวม และครั้งนี้อีกฝ่ายก็คงไม่ทรงหยุดอยู่เพียงแค่จูบ เขาถูกผลักให้นอนลงอีกครั้ง เสื้อที่เพิ่งจะสวมเมื่อครู่นี้ถูกคนพระอารมณ์แปรปรวนทรงกระชากออกทีเดียวขาด กระดุมหลุดออกหมดทุกเม็ด ร่างกายเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการร่วมรักทั้งเมื่อครู่และเมื่อครั้งที่ผ่านๆ มาปรากฏแก่สายพระเนตร

เขาไม่ใช่คนผิวขาว เนื้อตัวเป็นจ้ำแบบนี้มีตรงไหนน่าดูกัน

“รู้ไหม ฉันไม่เคยคิดจะมีความสุขเพียงคนเดียว อยากให้เธอมีความสุขด้วยทุกครั้ง ถ้าเธอบอกฉันว่าเธอเองก็มีความสุข ฉันคงจะมีความสุขมาก”

อานนท์ไม่พูดอะไรทั้งนั้น เขาไม่เคยแม้แต่ส่งเสียงร้องออกมาแม้ในเวลาที่เสียวกระสันสุดชีวิต และเจ้าชายศีลวัตก็ไม่ได้ทรงคาดหวังมากมายว่าอีกฝ่ายจะยอมพูด

“ไม่พูดก็ไม่เป็นไร แต่ครั้งนี้ฉันขอรุนแรงหน่อย เธอพูดเรื่องที่ฉันไม่อยากฟัง”

รับสั่งประโยคหลังไม่เข้ากับประโยคแรกๆ เลยแม้แต่น้อย ทว่าหัวใจของอานนท์เต้นแรงอย่างตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าตอนที่พระองค์รับสั่งว่าอยากเห็นเขามีความสุขเสียอีก

ภาพที่พระองค์ทรงรุนแรงกับหลานสาวของเสนาบดีกลาโหมยังติดตา ตกค้างในความรู้สึก

เพลิงพิศวาสโหมกระพือ ราวกับพระหัตถ์และพระโอษฐ์ของเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณติดไฟ เคลื่อนไหวไปตรงไหนก็ปลุกเร้าความเสียวกระสันสั่นระริกให้ก่อกำเนิดได้อย่างไม่ยากเย็น พระองค์ไม่ได้ทรงโลมเล้าเขามากมายนัก ไม่นานสองขาของอานนท์ก็ถูกแหวกออกกว้าง เปิดโล่ง ช่องทางคับแคบถูกสอดชำแรกล้ำลึกจนเกือบสุดทางในคราวเดียว คนถูกสอดใส่เกือบจะหลุดเสียงร้องออกมาทว่ากัดปากไว้ได้ทัน

อานนท์หลับตาแน่น ก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้งเมื่อเจ้าชายหนุ่มทรงลูบริมฝีปาก แวบเดียวที่เห็นแววอาทรอ่อนหวานอย่างไม่น่าเชื่อของอีกฝ่าย หัวใจของเขาก็พลันไหวสะท้าน ก่อนที่ตลอดทั้งร่างจะสะท้านหวั่นไหวเมื่อเจ้าชายหนุ่มทรงดึงมือที่ขยุ้มผ้าปูที่นอนของเขาให้ขึ้นไปโอบพระศอของพระองค์ไว้ ถอดถอนพระวรกายออกแล้วจ้วงแทงลงมาโดยไม่ปล่อยให้ตั้งตัว

เพลิงตัณหาลุกโพลง เผาผลาญร่างกายให้มอดไหม้ด้วยเชื้อปรารถนา สะโพกแน่นๆ ขององครักษ์หนุ่มถูกฟาดหนักๆ หลายครั้งติดกันราวกับจะลงทัณฑ์ คนถูกกระทำรุนแรงสั่นสะท้าน แก่นกายเบื้องหน้าเครียดระริกทั้งที่ไม่ได้ถูกแตะต้อง  ซาบซ่านสั่นกระสันไปทุกอณูเนื้ออย่างต่อเนื่องยาวนาน

เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นสายพระเนตรที่เปล่งประกายเจิดจ้าด้วยความเสน่หาอย่างไม่ปิดบัง เขาก็ถึงฝั่งอย่างฉับพลันและสั่นกระตุกอีกหลายครั้งด้วยความหวามใจลึกล้ำที่ยังตกค้าง

เจ้าชายศีลวัตทรงโน้มพระองค์ลงมาประทานจูบสั้นๆ ให้ครั้งหนึ่ง   รับสั่งพระสุรเสียงแหบพร่าทว่าหนักแน่นจริงจัง

“ถ้าเธออยากให้ฉันมีลูก ฉันก็จะมีลูก... กับเธอ”

“บ้า...” รับสั่งบ้าๆ

คนถูกด่าในเวลาที่ไม่คาดคิดทรงยกพระโอษฐ์ขึ้นขณะที่ยังทรงเคลื่อนไหวพระวรกายเนิบๆ

“กับเธอคนเดียวเท่านั้น อานนท์”   

อยู่ด้วยกันมานานแล้ว แต่เขาไม่เคยรู้สึกว่าอีกฝ่ายยิ้มแล้วหล่อเหลาจนลืมหายใจเช่นนี้มาก่อนเลย อารมณ์ปรารถนาของอานนท์เตลิดเพริด ลุกโชนขึ้นอีกอย่างง่ายดาย





tbc.

********************************



Phut – อานนท์รักศีลวัตมั้ย ก็... คงจะ ค่ะ แต่ตอนที่ร้องไห้นั่นไม่รู้ตัวจริงๆ นะคะ เขาไม่ได้มีความรู้สึกแรงกล้าอย่างศีลวัต แต่ถ้าให้เลือกระหว่างรัก กับไม่รัก ก็คงจะรัก (ล่ะมั้ง หุหุ)

Sar2288 – เนอะ เป็นชุน ถึงชุนชอบ ชุนก็ไม่บอกหรอก ตัวเองยังไม่เคยบอกเขาสักคำ ศีลวัตเขาก็คนตรงคนนึงนะคะ เขาพูดความรู้สึกของตัวเองได้หมดแหละค่ะ แต่ไม่ยักกะพูดคำนั้นสักที

iforgive – วิเคราะห์ได้แบบ ฉึก! ฉึก! ฉึก! มากค่ะ ตรงมาก ตอนรับเชลย มีพูดถึงนิดนึงนะคะ ตรงบทนำของพี่เขยน่ะค่ะ^^

Inwoสูร – คู่นี้เขาหวานๆ ขมๆ กันไปเรื่อยๆ นะคะ ความหวานขอให้เก็บเกี่ยวเอาระหว่างทางได้เลยค่ะ เพราะหลังจากจุดพีคของเรื่อง เฉลยทุกอย่างแล้วก็จะจบอย่างรวดเร็ว คาดว่าจะไม่มีหวานส่งท้าย เพราะว่า service รายทางมาแล้วน่ะค่ะ

puengkiss – ดูจากตอนนี้แล้ว คาดว่าศีลวัตคงไม่ได้รักข้างเดียวล่ะค่ะ แต่กว่าจะเข้าใจตรงกันนี่ก็คงจะ... สักพัก ใหญ่ๆ เลยล่ะค่ะ

saruwatari_guy – หลังจากฉากนี้แล้ว คาดว่าความหน่วงจะคลายลง เพราะว่าถึงทำเหมือนกัน แต่ก็ด้วยความรู้สึกที่ต่างกันน่ะค่ะ (แต่ถ้าเป็นชุน ชุนก็ฝังใจนะ แล้วก็คงจะลืมยากด้วย)

IsDeer – หนีไปด้วยกันไม่ได้หรอกค่ะ ที่แน่ๆ คือ อานนท์ไม่ยอมหนีชัวร์ เขาก็มีเป้าหมายในชีวิตของเขาเองค่ะ หุหุ

ormn – คาดว่า... จะไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆ จนกระทั่งบทสุดท้ายนะคะ เพราะฉะนั้น ขอให้เก็บเกี่ยวช่วงเวลาดีๆ เอาไว้เท่าที่จะเก็บได้เลยค่ะ

fuku – เป็นอีกความคิดเห็นหนึ่งที่ตรงใจนะคะ ชุนก็คิดว่า มันเป็นเรื่องของ ความผูกพัน ที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถแทรกแซงได้น่ะค่ะ (ในแง่ของความรู้สึกนะคะ แต่ที่จะแทรกแซงแน่ๆ ก็คือการเมือง)
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4) 26 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 27-06-2014 20:08:52
มีพูดถึงอานนท์ตอนพี่เขยด้วยเหรอ เดี๋ยวจะย้อนกลับไปอ่านนะคะ

หุ หุ ชอบ4.5 จัง เป็นตอนที่อ่านอย่างมีความสุขนะ ถึงจะไม่สุดก็ตาม

ที่จริงแล้วอานนท์คงทั้งรักทั้งหวง แต่เป็นแค่องครักษ์งัย ก็เลยไม่กล้าเอ่ย คำนั้น

คนเป็นเชลย ยังรู้สึก มีสิทธิ์มากกว่า อย่างไทวา ที่ได้รับสิทธิ์พิเศษ เลยพูดได้ตรงๆ

อานนท์อยากลบรอย อยากให้ศีลวัต รุนแรงมากกว่านี้ ก็ลองส่งเสียงสักหน่อยจิ รับรอง

ศีลวัตดีใจตาย แค่อานนท์ตอยรับ นิดหน่อย กลับปลดปล่อยออกมาก็คงดีใจจะแย่แล้ว
 :pig4: นักเขียน รอตอนต่อไปอย่างจดจ่อนะคะ
ไปอ่านมาแล้ว ตอนที่องค์ชายสามทูลขอไทวา
"พระองค์กลับเพียงแต่ปรายสายพระเนตรไปทางองครักษ์ประจำพระองค์คนสนิทแวบหนึ่ง" แวบเดียวจริงๆ จำไม่ได้เลย
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4.5) 27 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 27-06-2014 20:27:32
ฮาาาา ชอบศีลวัตตอนนี้มากเลย เลือกอานนท์อย่างไม่ลังเล มั่นคงมาก เชียร์ให้พูดออกมาว่ารักกันเร็วๆ แต่คงจะไม่มีใครยอมพูด  :hao7:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4.5) 27 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 27-06-2014 20:44:57
โฮกกกกคุณชุน กอดที ล้ำลึก รู้สึกบรรยายไม่ถูก

เหมือนกำแพงของอานนท์จะทลายลงทีละนิด เจ้าชายยยยหล่อมาก
ปกติไม่ชอบsmนะ แต่เรื่องนี้ทำให้เค้าเปลี่ยนจายยย ตั้งแต่เจ้าชายสามละ :heaven
 :L2:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4.5) 27 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 27-06-2014 21:27:39
ศีลวัตชัดเจนมากกกกกกก ทะนุถนอมอานนท์ แต่ไม่ใช่อ้ะ อานนท์นางสาย M ฮ่ะ
ตายแล้ววววว ตาย ๆ ๆ ๆ ดี นะ ที่ ไม่ เจอกับองค์ชายสาม ไม่งั้นโป๊ะเชะเลย
.... ยิ่งอ่าน ศีล วัตยิ่งได้ใจค่ะ  ... รักแน่วแน่มากกกกกก
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4.5) 27 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 27-06-2014 21:35:04
 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:หวังว่าคงจะไม่เศร้ามากแล้วนะ :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4.5) 27 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 27-06-2014 22:53:48
เค้าชอบประโยคนี้มากๆ "ถ้าเธออยากให้ฉันมีลูก...ฉันก็จะมีลูกกับเธอ...กับเธอแค่คนเดียว"  ประโยคนี้ทำกรี๊ดดด  :-[
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4.5) 27 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-06-2014 23:24:08
โอ๊ยเขิล เจอเจ้าชายหยอดเข้าไป
แบบนี้ค่อยน่าเป็นแม่ยกหน่อยนะศีลวัต ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4.5) 27 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 28-06-2014 00:18:34
 :jul1: ว๊ายยยยยยย ขอเลือดด่วนเลยจ่ะ
เลือดจะหมดตัวเอา

ยังงี้ศีลวัตก็ต้องทำจนกว่าอานนท์จะท้องน่ะสิ  :z1:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 5) 28 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 28-06-2014 15:48:51
วันนี้... แค่มีเธอ
บทที่ ๕


อานนท์ยังคงเป็นอานนท์ เขายังคงมีสีหน้าเรียบเฉยอยู่เสมอ พูดน้อย และแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เคยยินดีที่ต้องทำหน้าที่พิเศษที่แตกต่างจากองครักษ์คนอื่นๆ

แม้ว่าเวลาที่อยู่บนเตียง เขาจะกลายเป็นอีกคนหนึ่งก็ตาม

เจ้าชายศีลวัตก็ยังทรงเป็นเจ้าชายศีลวัตที่เอาแต่พระทัยของพระองค์เองไม่เคยเปลี่ยน นึกจะไม่เสด็จไปฝ่ายในอีกเลย พระองค์ก็ไม่เสด็จไปเสียดื้อๆ

และไม่มีเหตุผลประทานให้ใครทั้งนั้น

พระนางเรวดีเสด็จมาหาพระโอรสถึงพระตำหนักหลายครั้งเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เจ้าชายหนุ่มเสด็จไปหาพระสนมทั้งหลายบ้าง ทว่าเจ้าชายศีลวัตทรงทำหูทวนลมได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ส่วนอานนท์นั้นพระองค์ก็ไม่เคยทรงปล่อยให้อยู่ในพระตำหนักตามลำพังอีกเลย หากต้องเสด็จออกนอกพระราชวังก็จะโปรดให้อานนท์ตามเสด็จไปด้วยเสมอ ไม่ว่าวันนั้นจะเป็นเวรขององครักษ์หนุ่มหรือไม่ก็ตาม

“เอาอารมณ์ส่วนตัวเข้ามาเป็นใหญ่อย่างนี้ลูกจะเสียการใหญ่”

พระราชชายาเคยทรงเตือนพระโอรสด้วยพระอารมณ์เคร่งเครียดจริงจังหลายครั้งแล้ว ส่วนเจ้าชายศีลวัตก็เคยทูลถามพระมารดาครั้งหนึ่ง

“หม่อมฉันจำเป็นต้องเป็นเจ้าหลวงด้วยหรือพระเจ้าค่ะ”

ถึงตอนนี้ พระองค์ก็ชักจะทรงเลือนๆ ไปแล้วว่าตอนแรกพระองค์ปรารถนาจะแทนที่พระเชษฐาต่างพระมารดาเพราะอะไร

เพื่อจะได้มีอำนาจมากพอที่จะปกป้องคุ้มครองคนที่อยากจะปกป้อง... ใช่ไหม

ปกป้องจากใครเล่า ถ้าไม่ใช่พระมารดา

ในเมื่อตอนนี้พระองค์ก็ทรงทำได้แล้ว ยังจะต้องแสวงหาอำนาจเพิ่มขึ้นอีกทำไม บรรดาพระสนมทั้งหลายที่มีอยู่ พระองค์ก็จะทรงหาทางปลดออกไปให้หมดในเร็วๆ นี้

“ถามอะไรเหลวไหลอย่างนั้นศีลวัต ลูกเป็นเจ้าชายแห่งเรืองอรุณเหมือนกับองค์รัชทายาท ความสามารถก็ไม่น้อยกว่าพระองค์ ไม่มีอะไรที่ด้อยกว่าพระองค์เลยสักอย่าง แล้วยังมีแม่เป็นถึงพระราชชายา เป็นใหญ่ที่สุดในฝ่ายในเวลานี้ คิดดูสิว่ามีอะไรไม่เหมาะสม ลูกเหมาะสมจะเป็นเจ้าหลวงมากกว่าองค์รัชทายาทเสียอีกนะศีลวัต”

พระมารดาคงไม่ทรงสังเกต ว่าแม้จะแค่รับสั่งถึง ก็ยังทรงเรียกอีกฝ่ายว่า ‘องค์รัชทายาท’ ทุกคำ

เจ้าชายศีลวัตทรงพยักพระพักตร์เอาใจพระมารดาและไม่เคยทูลถามเรื่องนี้อีก ทว่าสิ่งที่พระองค์ทรงทำจริงๆ ก็คือเร่งสร้างความดีความชอบเท่านั้นซึ่งไม่ได้ฝืนพระทัยแต่อย่างใดเลย






เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณไม่ทรงรับพระสนมคนใหม่ และไม่ได้เสด็จไปฝ่ายในเลยตลอดสามปีต่อมา แม้จะมีคนรู้หลายคนว่าเป็นเพราะโปรดปรานแต่องครักษ์ประจำพระองค์คนสนิท แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดหรือแสดงความคิดเห็น

กระทั่งเจ้าชายหนุ่มมีพระชนมายุได้ยี่สิบห้าชันษา พระนางเรวดีก็ทรงดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย แต่แพทย์หลวงช่วยเหลือเอาไว้ได้ทัน เจ้าหลวงเสด็จไปทรงเยี่ยมถึงพระตำหนักและประทับอยู่ด้วยหลายคืนเพื่อเอาอกเอาใจ แต่แม้ว่าจะทรงรักและสงสารพระราชชายามากเพียงใด พระองค์ก็ยังไม่ทรงแต่งตั้งให้พระนางขึ้นเป็นองค์รานี

“ฉันให้สัญญากับแม่ของภีมเสนไว้แล้ว ว่าจะไม่ให้ใครแทนที่เขา”

คนที่ต้องเติมเต็มความปรารถนาของพระองค์จึงกลายเป็นพระโอรส

“ถ้าแม่ไม่ได้เป็นรานี แม่ก็ต้องได้เป็นพระราชมารดา”

เจ้าชายศีลวัตทรงทราบแล้วว่าเหตุใดพระมารดาจึงปรารถนาให้พระองค์ได้เป็นเจ้าหลวง

“ถ้าลูกไม่ช่วย ก็รอเห็นแม่ตายไปต่อหน้าได้เลย”






เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณไม่ทรงมีหนทางอื่นให้เลือก และความหวังที่จะให้เจ้าหลวงทรงเปลี่ยนรัชทายาทใหม่ก็ริบหรี่มาก      แผนการกำจัดเจ้าชายภีมเสนจึงเกิดขึ้น

“ให้อานนท์ไปทำ”

“เขาเป็นของหม่อมฉัน”

“เป็นอะไรของลูกล่ะ องครักษ์ หรือว่านางสนม”

“เจ้าแม่อย่าทรงหาเรื่องหงุดหงิดใส่หม่อมฉัน ที่หม่อมฉันไม่อยากให้เขาไป เพราะใครก็รู้ว่าเขาเป็นคนของหม่อมฉัน ถ้าพลาดแล้วถูกจับได้ เราจะพากันตายทั้งหมด”

พระมารดาทรงเม้มพระโอษฐ์

“แต่แม่ตัดสินใจแล้ว ลูกภูมิใจนักหนาไม่ใช่หรือว่ามีองครักษ์ฝีมือดี ให้มันไปทำงานนี้ ถ้าทำสำเร็จ แม่จะไม่ยุ่งเรื่องของลูกกับมันอีก จะเอาอกเอาใจมันยังไง หลงใหลมันแค่ไหนแม่ก็จะไม่ห้าม”

ข้อเสนอนี้เย้ายวนพระทัย

“แล้วถ้าไม่สำเร็จ”

“ลูกพร้อมจะตายไปกับมันไหมล่ะ”

พระองค์ทรงมีแผนรองรับอยู่แล้ว ที่ตรัสถามก็แค่ประชดเท่านั้น ไม่ทรงคาดคิดแม้แต่น้อย ว่าจะได้เห็นประกายอย่างหนึ่งในดวงพระเนตรของพระโอรส เป็นแววตาแห่งการตัดสินใจที่ทำให้พระองค์ทรงกลัวขึ้นมาอย่างจริงจัง






“เธอไม่จำเป็นต้องทำงานนี้ นี่ไม่ใช่คำสั่ง ฉันแค่บอกว่าเจ้าแม่ทรงคิดว่ายังไงเท่านั้น”

หน้าที่ขององครักษ์ประจำพระองค์คือปกป้องคุ้มครองพระองค์ ไม่ใช่นักฆ่า ขอเพียงอานนท์กราบทูลว่าไม่ต้องการทำ พระองค์ก็จะโปรดให้หาคนอื่น

“กระหม่อมยินดีรับงานนี้พระเจ้าค่ะ”

“เหตุผล”

“กระหม่อมต้องจงรักภักดีพระเจ้าค่ะ”

“ฉันถามความสมัครใจของเธอ ไม่ได้ถามหาความจงรักภักดี”

“กระหม่อมเต็มใจพระเจ้าค่ะ”

รู้สึกว่าเขาจะกราบทูลไปตั้งแต่ประโยคแรก

“ฉันถึงถามไงว่าทำไมถึงเต็มใจ”

เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณนี่ท่าจะทรงสับสน ตรัสถามวนไปวนมา

“หากพระราชชายาทรงเชื่อว่ากระหม่อมเหมาะสมและมีความสามารถพอจะทำงานนี้ได้สำเร็จ และฝ่าบาทประทานพระอนุญาต กระหม่อมก็รับอาสาพระเจ้าค่ะ”

คนฟังทรงรอ เผื่อจะทรงได้ยินเหตุผลอื่น แต่ก็ไม่มี






เมื่อเจ้าชายภีมเสนเสด็จไปตรวจราชการที่ชายแดน ขณะที่เสด็จผ่านซอกเขาโดยมีทหารตามเสด็จไปเพียงไม่กี่คน พระองค์ก็ทรงถูกคนร้ายกลุ่มหนึ่งลอบโจมตี โชคดีที่แม่ทัพชายแดนนำทหารมาสมทบได้ทันการณ์พระองค์จึงทรงปลอดภัย ทหารเสียชีวิตไปหลายนายแต่คนร้ายก็ถูกฆ่าตายเกือบทั้งหมดเช่นกัน มีเพียงคนเดียวที่หนีรอดไปได้แต่ก็บาดเจ็บสาหัสและคาดว่าน่าจะเสียชีวิตระหว่างการหลบหนี โชคร้ายที่เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมทำให้การสืบหาตัวคนบงการเป็นไปได้ยาก






เจ้าชายภีมเสนเสด็จกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว ทว่ากลับไม่มีข่าวอานนท์ พระนางเรวดีรีบเสด็จมาหาพระโอรสเพื่อห้ามไม่ให้เคลื่อนไหวใดๆ เพราะจะเป็นพิรุธ ทว่าเจ้าชายศีลวัตไม่ทรงฟังเสียง เสด็จไปชายแดนใต้เป็นการลับด้วยพระองค์เองทันที หลังจากโปรดให้องครักษ์ประจำพระองค์ที่ล้วนแต่ไว้ใจได้ช่วยกันออกค้นหา ในที่สุดก็พบว่าองครักษ์หนุ่มรักษาตัวอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง

“อานนท์!”

สีพระพักตร์ดีพระทัยของเจ้าชายหนุ่มต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับสีหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจขององครักษ์ประจำพระองค์คนสนิท

เจ้าของบ้านที่ช่วยเหลืออานนท์ไว้ได้รับรางวัลเป็นเงินจำนวนมาก และเจ้าชายศีลวัตก็ทรงพาคนของพระองค์กลับวังไปพร้อมกันทันที

“ทำไมไม่ส่งข่าวมาหาฉัน”

“กระหม่อมเกรงจะถูกจับได้ ฝ่าบาทจะทรงเดือดร้อนไปด้วยพระเจ้าค่ะ”

“ไม่ต้องคิดแทนฉัน ทำตามที่ฉันสั่งก็พอ ฉันสั่งให้เธอส่งข่าว เธอก็ต้องทำ ต่อไปถ้าฉันติดต่อเธอไม่ได้อย่างนี้อีก เธอจะถูกลงโทษ”

องครักษ์หนุ่มมีบาดแผลฉกรรจ์ที่กลางหลัง เป็นแผลถูกฟันยาวและลึกจนเกือบจะทำให้ถึงแก่ชีวิต เขาคิดว่าเจ้าชายศีลวัตคงจะทรงรังเกียจไม่แตะต้อง แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม หลังจากบาดแผลของเขาหายดีจนสามารถถวายงาน ‘พิเศษ’ ได้เหมือนก่อน ก็ไม่รู้ว่าแผลกลางหลังของเขาถูกพระองค์ทรงจูบไปกี่ครั้งต่อคืน

เจ้าชายศีลวัตมักจะทาบพระโอษฐ์ไล่ไล้ไปตามรอยแผลของเขาเสมอ สีพระพักตร์และสายพระเนตรในยามนั้นของพระองค์เป็นเช่นไร เขาไม่เคยเห็น

ช่วงที่องครักษ์หนุ่มยังต้องรักษาตัว เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณทรงปฏิบัติต่อเขาราวกับเขาเป็นเด็กสามขวบ ให้อยู่แต่ในห้องและนอนพักทั้งวันทั้งคืน เวลาตื่นก็คือเวลากินข้าวกับเวลากินยา มือสองข้างของเขาไม่เป็นอะไร แต่กลับต้องยอมให้พระองค์ทรงป้อนข้าวราวกับเป็นง่อย

“ถ้ายังไม่อ้าปาก ฉันจะบีบปากแล้วยัดเข้าไป”

รับสั่งนี้ฟังดูคุ้นๆ คงไม่ใช่แค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ถูกลดอายุลงไปเป็นเด็กอีกครั้ง

อานนท์พยายามกล้ำกลืนความรู้สึกอับอายลงไปแล้ว แต่ก็ยังอดรู้สึกไม่ได้เมื่อเห็นสีพระพักตร์ที่ดูสนุกสนาน ขณะเดียวกันก็ดูอ่อนโยนอย่างประหลาดของเจ้าชายหนุ่ม

เขาต้องอาบน้ำด้วยความทุลักทุเลอยู่หลายวัน

“ฉันจะอาบน้ำให้ เธอจะได้ไม่ลำบาก”

รับสั่งมาอย่างนี้แล้วใครจะไปยอม ในเมื่อไม่ยอมก็ต้องอาบเอง เพราะอีกฝ่ายก็ไม่ทรงยอมให้มหาดเล็กคนไหนถูกตัวเขาเลย





เจ้าชายศีลวัตทรงทะเลาะกับพระมารดาอย่างรุนแรงครั้งหนึ่งเพราะเรื่องงานที่เขาทำพลาด ขณะนั้นเขาถูกบังคับให้นอนแต่ไม่ได้หลับ พระราชชายาเสด็จเข้ามาในห้องของเขา แต่ถูกเจ้าชายหนุ่มทรงขอร้องกึ่งบังคับให้ออกไปข้างนอก

“โง่! ทำไมถึงโง่อย่างนี้นะศีลวัต”

อย่าว่าแต่พระราชชายาเลย แม้แต่อานนท์เองก็คิดว่าเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณทรงโง่เขลานัก เขาทำงานพลาด แทนที่จะทรงลงพระอาญา กลับถึงกับดูแลเขาทั้งกลางวันกลางคืนด้วยพระองค์เอง เก็บเขาเอาไว้ในพระตำหนักโดยไม่กลัวว่าเขาจะทำให้พระองค์ทรงเดือดร้อน

“ได้แผลกลางหลังกลับมาชัดเจนขนาดนั้น ถ้าองค์รัชทายาทเกิดรู้เข้า เราจะไม่จบเห่กันหมดหรือ”

“แผลนั่น หม่อมฉันเป็นคนฟันเขาเองเพราะโมโห แบบนี้ถึงใครจะสงสัยก็ไม่กล้าพูด”

“ลูกน่ะหรือจะโกรธมัน เขารู้กันทั้งนั้นว่ามันเป็นตัวโปรด”

ถึงจะไม่ได้ยินการสนทนาทั้งหมด แต่องครักษ์หนุ่มก็รู้ว่าพระราชชายากริ้วทั้งเขาและพระโอรสของพระองค์มากแต่ก็ทรงทำอะไรไม่ได้ เพราะเจ้าชายศีลวัตเองก็กริ้วพระมารดาเช่นกัน

ในยามโกรธเกรี้ยวจนถึงที่สุด เจ้าชายศีลวัตทรงโหดเหี้ยมกว่าพระมารดา

“อานนท์เป็นคนของหม่อมฉัน ต่อไปหม่อมฉันจะไม่ยอมให้เขาทำงานอย่างนี้อีก”






อานนท์ไม่ต้องทำ แต่การลอบปลงพระชนม์เจ้าชายภีมเสนยังเกิดขึ้นอีกสองครั้ง และล้มเหลวทุกครั้ง พระนางเรวดีทรงเครียดเสียจนพระพักตร์คล้ำ และความเครียดนั้นก็ถ่ายทอดมายังพระโอรสด้วย

อานนท์ลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจกราบทูลเรียบๆ

“ฝ่าบาท ทรงล้มเลิกความตั้งพระทัยเถิดพระเจ้าค่ะ”

“ทำไม เธอคิดว่าฉันไม่มีวันชนะเจ้าพี่ได้หรือ”

“กระหม่อมเพียงแต่คิดว่า หากองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์อย่างไม่ปกติ คงจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากพระเจ้าค่ะ”

“ไม่อยากให้เจ้าพี่ภีมเสนสิ้นพระชนม์” เจ้าชายหนุ่มทรงเลิกพระขนง ขณะดวงพระเนตรโชนแสงกล้า “หลงรักเจ้าพี่เข้าแล้วรึไง”

“ไม่ใช่พระเจ้าค่ะ”

แต่คนฟังไม่ทรงเชื่อ อานนท์จึงตกเป็นเหยื่อพระอารมณ์กริ้วของเจ้านายตน ทั้งๆ ที่เป็นคนแข็งแรง กลับถูกเรียกร้องตักตวงเอาจนกระทั่งต้องนอนซม ลุกจากเตียงไม่ขึ้น ขนาดสลบไปแล้ว รู้สึกตัวอีกครั้งก็ยังถูกสอดใส่เข้ามาแรงๆ

ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนหัวค่ำของอีกวัน เขาจึงพบว่าร่างกายได้รับการทำความสะอาดและเปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว พระหัตถ์เย็นๆ ทาบลงบนหน้าผากเบาๆ แล้วลากลงมาแนบแก้มด้วยกิริยาอ่อนโยนราวกับจะแทนคำขอโทษ แต่ไม่มีคำนั้นออกจากพระโอษฐ์

นี่ไม่ใช่มือของคนใจเย็น แต่เป็นมือของคนเลือดเย็น เขาไม่ควรกราบทูลให้พระองค์ทรงล้มเลิกความตั้งใจเลย ถ้าไม่พูด ก็คงไม่เดือดร้อน

“ลุกไหวไหม กินข้าวแล้วก็กินยาเสียหน่อย เธอมีไข้”

ก็เพราะใคร... อานนท์หลับตาลงอีกหน

“ถ้าเธอหลับ ฉันจะขึ้นไปนอนด้วย แต่คงไม่นอนเฉยๆ”

คนฟังลืมตาโพลง

สิ่งที่เห็น คือรอยแย้มพระสรวลอาทร กับสายพระเนตรที่มีประกายลึกซึ้ง

องครักษ์หนุ่มหลับตาลงอีกครั้ง เพราะอีกฝ่ายทรงก้มลงมาจูบตรงกลางระหว่างคิ้ว รู้สึกว่าลมหายพระทัยอุ่นๆ รินรดใบหน้าและได้ยินเสียงกระซิบแผ่ว

“ขอโทษ”





tbc.


********************************


วันนี้งดตอบความคิดเห็นหนึ่งวันนะคะ เดี๋ยวเค้าจาปายเที่ยววววววว

คุณอ๊ายอาย - รามิเรสเอาไว้จบเรื่องเวลาก่อนแล้วค่อยลงค่ะ คิดว่าเร็วๆ นี้ล่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 4.5) 27 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 28-06-2014 16:02:11
เป็นตอนที่จะสุขก็ไม่สุด จะเศร้าก็ไม่ไป

อานนท์เอ๊ยยยยยยย ศีลวัตเอ๊ยยยยยยยยย ถ้าปลดแอกที่แบกเอาไว้ไม่ได้จะทนได้อีกนานซักเท่าไหร่
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 5) 28 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 28-06-2014 16:20:41
เครียดแทนอานนท์จริงๆ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 5) 28 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 28-06-2014 16:24:04
เพราะแค้ต้องการความเป็นใหญ่ต้องการอำนาจเหนือใครๆ ไม่ว่าใครจะเดือนร้อนใครจะตายเพราะสิ่งที่ก้าวข้ามก็ไม่สนใจ เฮ้ออ ไม่รู้จะสงสารใครดีแล้ว
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 5) 28 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 28-06-2014 18:25:51
ดีอย่างที่เจ้าขายศีลวัตไม่ฟังแม่ 5555555
แต่เทอทำร้ายอานนท์เกิ๊นนนนนนน
เห้อ สงสารแต่อานนท์ ช้ำทั้งตัวทั้งใจ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 5) 28 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 28-06-2014 20:52:27
ปัจจัยสำคัญที่บ่มเพาะเจ้าชายให้เลือดเย็นคือพระมารดาสินะ
 :ling3:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 5) 28 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 28-06-2014 23:58:18
หลงมาอ่านเรื่องนี้
เลยได้บอกกับตัวเองว่า
ฉันพลาดเรื่องนี้ไปได้อย่างไร 555

ชายศีลวัตนี้จิตใช้ย่อยจริงๆ
สงสารก็เเต่อานนท์
มีอะไรก็ไม่พูด พูดไม่ได้ หรือไม่มีสิทธิ์พูด
เรื่องตอนเเรกที่ฆ่าคนที่ฆ่าเเม่ก็ยังเป็นปริศนา
เเต่ก็คงจะจริงที่ชายรัชทายาทช่วยไว้
เเต่ถ้าสุดท้าย
อานนท์ หรือ ชายศีลวัตตายไป
ฉันจะอยู่อย่างไร
จะหวังก็เเต่ให้ เเม่ของชายศีวัตตาย
ลูกชายนางจะได้อยู่กับอานนท์อย่างปกติ
เเต่ก็คงไม่หรอกเพราะชายศีลวัต นางไม่ปกติอยู่เเล้วนิเนอะ


อานนท์จะเป็นไงต่อไปละเนี่ย
ไม่อยากให้ตัวละครหลักต้องตายไปสักคนเลยนิ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 5) 28 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 29-06-2014 00:12:28
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:มีแม่แบบนี้ก็คงต้องทำใจอะนะ :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 5) 28 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 29-06-2014 05:34:31
ขี้หึงสุด ๆ ... แต่ก็โครตรักอานนท์เลย ชอบศีลวัตก็ตรงนี้แหละ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 5) 28 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 29-06-2014 12:08:57
เริ่มชอบองค์ชายซาดิสต์ขึ้นมาแล้วสิเรา...

ศีลวัตรักและผูกพันธ์กับอานนท์ เพราะรักก็คือรัก ไม่ใช่ที่หน้าตาหรือรอยแผลเป็น หรือสวย ดูดีกว่าคนอื่น

ชอบตอนที่ศีลวัตจูบที่รอยแผลเป็นตลอดความยาวจัง มันอบอุ่นมาก แต่มากลับโหมดโหดอีกตอน

อานนท์ทูลเรื่องภีมเสนนี่แหล่ะ ไม่คิดว่าอานนท์จะเป็นห่วงตัวบ้าง หึงหน้ามืดอย่างเดียวเลยนะองค์ชาย

เล่นซะสลบ ครึ ครึ แอบคิดว่าที่แผนลอบฆ่าไม่สำเร็จทุกครั้ง เพราะอานนท์ส่งข่าวมั้ย จากสปอยด์คุณiforgift

ที่นักเขียน บอกว่า ตรง ฉึก!! และจากครั้งนี้ที่อานนท์รอดแค่คนเดียว

ถ้าจริง และ ศีลวัตรู้นี่ ตายๆๆๆ ถ้างั้นคนที่ช่วยตอนแรกก็คือภีมเสนสินะ เดาล้วนๆ

คุณแม่นี่ก็นะ จะอยากใหญ่โตไปถึงไหน เป็นพระชายาแล้วก็อยากเป็นมหาราณี อยู่กันความร้อนของตัวเอง สุขมั้ย
 :pig4: นักเขียน เที่ยวให้มันส์ ให้สนุกนะคะ



หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 6) 30 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 30-06-2014 09:20:29
วันนี้... แค่มีเธอ
บทที่ ๖


พระนางเรวดีทรงผ่อนเพลาความปรารถนาที่จะกำจัดเจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณลงไปบ้าง เมื่อพระโอรสได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกลาโหมแทนเสนาบดีผู้เฒ่าตั้งแต่มีพระชนมายุเพียงยี่สิบเก้าชันษา เจ้าชายศีลวัตเองก็ทรงปีติเป็นอย่างยิ่ง

ในวันที่คณะเสนาบดีมีมติเห็นชอบ และกำหนดวันแต่งตั้งที่แน่นอนออกมา เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณทรงรับการแสดงความยินดีจากคนมากมาย แต่คนเดียวที่พระองค์อยากจะให้ร่วมแสดงความยินดีมีเพียงองครักษ์ประจำพระองค์คนสนิทซึ่งไม่ได้เป็นเวรในวันนี้






อานนท์ออกไปนอกวังบ้างเมื่อถึงวันที่ได้หยุดพัก เจอเรื่องอะไรมากมายตามถนนหนทางและตลาด แต่เขาก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย จนกระทั่งวันนี้ที่แม้จะเดินผ่านไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังห้ามใจตัวเองไม่ได้ ต้องเดินกลับไปแล้วหาเรื่องใส่ตัว

หญิงสาววัยกำดัดที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างทาง ขายตัวเองเพื่อหาเงินไปทำศพบิดานั้นแม้จะสวมเสื้อผ้าเก่าซอมซ่อ แต่ก็มีรูปร่างหน้าตาสะสวยจับตา จำนวนเงินที่นางต้องการนั้นค่อนข้างสูง แต่ก็มีคนต้องการจ่ายเงินซื้อตัวนางหลายคน เพียงแต่นางไม่สามารถตอบรับความช่วยเหลือของใครได้เลย

“เห็นไอ้ยักษ์สองคนที่ยืนคุมอยู่ข้างๆ นางนั่นไหมล่ะพ่อหนุ่ม พวกนั้นเป็นคนของหอบุรนารี”

อานนท์รู้จัก นั่นคือหอบุปผาชั้นสูงที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเมืองหลวง สถานที่ที่เขาได้ ‘สัมผัส’ ผู้หญิงเป็นครั้งแรก ก่อนจะต้องกลายเป็น ‘ผู้หญิง’ เสียเอง

“มีพวกนั้นคอยคุมอยู่ แม่หนูนั่นถึงขายตัวเองให้ใครไม่ได้เลย จะต้องขายให้พวกมันอย่างเดียว นางแข็งใจรอมาสองวันแล้ว คงจะรอต่อไปไม่ได้อีก วันนี้คงจะต้องยอมล่ะไม่งั้นศพจะเน่า เฮ้อ ช่างน่าสงสารจริงๆ”

องครักษ์หนุ่มนอกเครื่องแบบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ดึงถุงเงินออกมาเปิดดูจำนวน ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาว

“อ้าว เฮ้ย พ่อหนุ่ม นี่เอ็งจะหาเรื่องใส่ตัวเรอะ”

อานนท์หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ แต่คนที่เขาหาเรื่องด้วย ไม่ใช่คนที่อยู่ตรงนี้ หญิงสาวยินดีขายตัวเองให้เขา ส่วนคนของหอบุรนารีสองคนก็มีความรู้ดีสมกับเป็นคนของหอใหญ่โต เพราะเพียงแค่เขาแสดงป้ายทองสลักตราประจำพระองค์ของเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณ ทั้งสองก็ยอมให้เขาซื้อตัวนางมาแต่โดยดี ทั้งยังจัดการเรื่องพิธีศพที่วิหารเล็กๆ ตามคำสั่งของเขาอย่างเรียบร้อยและนอบน้อม

กว่าจะเสร็จพิธีขั้นสุดท้ายก็เป็นเวลาใกล้พลบ

ต่อจากนี้ ก็จะเป็นการ ‘หาเรื่องใส่ตัว’ อย่างแท้จริง






“ทำไมกลับช้า”

นี่ก็คำถามติดพระโอษฐ์ ไม่ว่าเขาจะกลับเวลาไหนก็ดูจะ ‘ช้า’ สำหรับพระองค์เสมอ ถ้าเป็นวันอื่น อานนท์คงไม่รู้สึกอะไรเลย เขาแค่กราบทูลไปตามความเป็นจริง ทูลมากบ้างน้อยบ้างอีกฝ่ายก็ไม่ว่าอะไร แต่สำหรับวันที่มีชนักติดหลังอยู่อย่างนี้ เขาก็อดจะสะดุ้งใจขึ้นมาไม่ได้

“กระหม่อม...”

“เอาเถอะ คงไปเดินตลาดอย่างเคย”

ปกติเจ้าชายศีลวัตจะไม่ทรงตัดบทเขาอย่างนี้ มีแต่จะทรงฟังจนจบ ทว่าวันนี้คงมีอะไรแปลก

“ไปกินข้าวกัน ฉันรอเธอเสียนาน”

รอนานอะไร เขากลับทันเวลาเสวยมื้อค่ำแท้ๆ

อานนท์รู้สึกว่ามีสิ่งพิเศษเกิดขึ้นทันทีที่มหาดเล็กทยอยเลื่อนเครื่องเสวยมาตั้งโต๊ะจนหมด องครักษ์หนุ่มรีบคิดอย่างเร่งด่วนว่าวันนี้วันอะไร เพราะเดี๋ยวอีกฝ่ายคงจะต้อง

“ฉันมีข่าวดีจะบอกเธอ รู้ไหม ว่าคืออะไร”

นั่นยังไง แล้วถ้าเขาทูลตอบไม่ได้ล่ะก็...

“ทำไมคิดนาน”

เริ่มจะทรงขมวดพระขนง

“คงจะเป็นเรื่องการแต่งตั้งเสนาบดีกลาโหมพระเจ้าค่ะ”

“ใช่!”

เพียงเท่านี้ก็แย้มพระสรวลกว้าง การเอาใจเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณไม่ใช่เรื่องยากเลย เพียงแต่อานนท์ไม่เคยคิดจะทำ เขารู้ ว่ามันไม่ยากก็แค่สำหรับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ถ้าเป็นคนอื่น พระองค์คงจะทรงซักจนขาวไปแล้วว่ารู้จริงหรือไม่ หรือเพียงแค่ตอบแบบหว่านแหเท่านั้น สำหรับเขา แค่หว่านแหถูก พระองค์ก็ตรัสเล่าประทานเสียแล้ว ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นในที่ประชุมบ้าง ขุนนางคนไหนมีท่าทีอย่างไร พูดอะไรบ้าง

“ดีใจกับฉันรึเปล่า”

“พระเจ้าค่ะ”

“ตอบตามมารยาทหรือจากใจ”

ตามมารยาท แต่จะให้เขากราบทูลออกไปจริงๆ น่ะหรือ

“ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถ ทรงดำรงตำแหน่งนี้ย่อมเป็นบุญของผู้ใต้บังคับบัญชายิ่งแล้วพระเจ้าค่ะ”

คนฟังทอดพระเนตรมองมานิ่งๆ ยกมุมพระโอษฐ์ขึ้นนิดหนึ่ง ขณะดวงพระเนตรอ่อนแสงลง

“เธอพูดเหมือนคนพวกนั้นไม่มีผิด”

อานนท์ชะงัก เขาขยับปาก ทว่าคำขอโทษ ‘จากใจ’ ยังไม่ทันหลุดออกไป อีกฝ่ายก็สลัดรอยยิ้มเศร้าๆ ที่ทำให้เขารู้สึกผิดออกไป

“ช่างเถอะ ไหนของแสดงความยินดีของฉันล่ะ”

อานนท์ปวดหัว เขาเพิ่งรู้เมื่อกี้นี้ จะให้เขาหาของอะไรที่ไหนมาทัน

“เธอไม่ได้คิดมาก่อนหรือ ว่ายังไงฉันก็ต้องได้ตำแหน่งนี้”

บรรยากาศชักจะไม่ค่อยดี

“กระหม่อมเพียงแต่ยังไม่ได้เตรียมสิ่งใดไว้ถวายพระเจ้าค่ะ” แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยถวายสิ่งของอะไร มีแต่พระองค์เท่านั้นที่ประทานให้บ่อยๆ ทั้งตอนที่มีโอกาสพิเศษ และตอนที่ไม่มีโอกาสอะไร

“หึ คืนนี้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน”

สุดท้าย... ก็ไม่พ้นเรื่องอย่างว่า

“กินให้มากๆ หน่อย เวลาฉันกอดจะได้เต็มไม้เต็มมือ”

“โปรดแบบเต็มไม้เต็มมือก็เสด็จฝ่ายในสิพระจ้าค่ะ”

“พูดแบบนี้ หึงฉันหรือ”

“กระหม่อมไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นพระเจ้าค่ะ”

ตอบเร็วเกินไปรึเปล่า

“หึ ฉันก็ว่างั้น”

องครักษ์หนุ่มไม่ทันเห็นแววพระเนตรของคนรับสั่ง เพราะพระองค์ทรงตักกับข้าวใส่จานให้เขาพอดี เขาไม่เคยกราบทูลหรอกว่าชอบกินอะไร ตักกับข้าวก็ตักทุกอย่างเท่าๆ กัน แต่คนทุกคนต้องมีของชอบทั้งนั้น บังเอิญเหลือเกินที่อีกฝ่ายทรงตักของที่เขาชอบประทานให้พอดี

เขาไม่เคยพูดขอบพระทัยเลยสักหน ทั้งยังไม่เคยตักกับข้าวถวาย แต่วันนี้... พิเศษ

สีพระพักตร์ของเจ้าชายศีลวัตแสดงความแปลกพระทัยอย่างชัดเจน เมื่อองครักษ์หนุ่มตักกับข้าวถวายและเป็นของที่พระองค์โปรด อานนท์เหลือบมองพระพักตร์ แต่อีกฝ่ายไม่ได้รับสั่งอะไร นอกจากทำสีพระพักตร์แบบ ‘ยิ้มๆ’

แค่นั้นก็เกินพอ องครักษ์หนุ่มหลบสายพระเนตร






เรื่องบนเตียงของอานนท์ มักจะเริ่มต้นที่เขาถูกเจ้าชายศีลวัตทรงจูบเสมอ เรื่องแบบนี้เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณทรงเชี่ยวชาญนัก ทั้งๆ ที่เขาบอกตัวเองแทบทุกครั้ง ว่าอย่าคล้อยตาม แต่พระองค์ก็ทรงทำให้เขากลายเป็นอีกคนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย ดูดดึงเรียวลิ้นและริมฝีปากเขาอย่างยั่วเย้า ค่อยๆ และเล็มอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะบดจูบดูดดื่ม เสื้อผ้าของเขาถูกถอดออกในเวลาอันรวดเร็ว เนื้อตัวเปล่าเปลือยถูกกดแนบกับพระวรกายที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นบุรุษเพศ บดเบียด เสียดสี  พระหัตถ์แข็งแรงฟอนเฟ้นไปตามเนื้อตัวอย่างปลุกเร้า ตระเตรียมตัวเขาให้พร้อมพรักสำหรับพระองค์

นิ้วพระหัตถ์แทรกสอด ซอนไซ้ กดย้ำลงไปตรงจุดที่ทำให้เขาเกือบจะกลั้นเสียงหวีดร้องเอาไว้ไม่ทัน เคลื่อนไหวเข้าออกและหมุนวนเพื่อขยายความคับแน่น

“ตรงนี้รู้สึกดีไหม”

ใครจะไปตอบ

“อ๊ะ!”

คนชั่วร้ายแย้มพระสรวลตาพราว

“ฉันจะเข้าแล้วนะ”

อานนท์เบือนหน้า เรื่องแบบนี้ไม่ต้องบอกก็ได้

ท่อนลำใหญ่โตร้อนผ่าวชำแรกเข้ามาจนสุดทางอย่างเชื่องช้า ทว่าหลังจากนั้นก็ไม่มีการปรานีอีก เจ้าชายหนุ่มทรงจ้วงจุ้ม ลุ่มลึก โหมกระทั้นจนเขาสั่นปั่นป่วนไปทั้งตัว ทุกครั้งที่พระองค์ทรงเสียดแทรกเข้ามา ตัณหาของเขาเป็นต้องถูกปลุกจนลุกโพลง ช่องทางน่าอายตอบรับด้วยการกลืนกินพระองค์ราวกับหิวกระหาย

“อย่าบีบรัดฉันแน่นนักสิ”

“กระหม่อมไม่ได้... อ๊ะ...”

อานนท์ยกหลังมือขึ้นปิดปาก แต่ถูกคนที่กำลังควบขับเอาแต่ใจอยู่เบื้องบนทรงดึงไปตรึงไว้กับเตียง ก่อนจะก้มลงมาแทนที่มือของเขาด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์เอง

องครักษ์หนุ่มหอบหายใจสะท้านหลังจากอีกฝ่ายทรงปล่อยให้ปากของเขาเป็นอิสระ สะโพกของเขาถูกใช้งานอย่างหนัก ความเสียวกระสันแล่นริ้ว เสียดแทงตลอดไขสันหลังมาจนถึงศีรษะ แก่นกายแข็งชัน ปวดจนรวดร้าวไปหมด

เสียววาบ เมื่ออีกฝ่ายทรงกอบกุมมันไว้และชักให้อย่างเอาใจ สะโพกขยับไหวตอบรับการทิ่มแทงอย่างหนักหน่วง เจ้าชายศีลวัตทรงทะยานลึกเข้าไปในกายของอีกฝ่ายจนถี่ยิบ อานนท์เสร็จสมไปก่อนและเกร็งสะโพกบีบรัดท่อนลำของเจ้าชายหนุ่มเอาไว้แน่น คนถูกหนีบแน่นทรงครางลึกด้วยความซาบซ่าน ขณะอานนท์นอนหอบหายใจกระชั้น สมองหมุนคว้าง ขาวโพลน

“ฝ่าบาท”

ไม่ทันแล้ว เขาถูกพลิกให้นอนคว่ำ หันหลัง แม้จะกำลังอ่อนระทวย แต่อีกฝ่ายก็ทรงช้อนสะโพกเขาขึ้นสูง เพื่อให้ถวายช่องทางอันน่าอายให้พระองค์ได้โถมกระทั้นเข้ามาอย่างถนัดถนี่ อานนท์ถูกโจนจ้วงเข้าหาหนักๆ จนขาสั่น

กว่าอีกฝ่ายจะทรงถึงฝั่ง หลั่งธารปรารถนาเข้ามาในกายของเขาจนทะลักล้น อานนท์ก็สุขสมไปอีกรอบ พร้อมๆ กับพระสุรเสียงครางกระหึ่มอย่างพึงพระทัยลึกล้ำ






สองครั้งบนเตียง กับอีกครั้งหนึ่งในห้องสรง อานนท์ก็อ่อนเปลี้ยจนอยากจะหลับเสียที ทว่าคืนนี้เขามีสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จเสียก่อน

อาจเรียกว่าวอนหาที่ตายก็ไม่น่าจะผิด

“ฝ่าบาท”

“อืม”

“กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพระเจ้าค่ะ”

ถ้าเลือกได้เขาก็ไม่อยากจะพูดตอนนี้ เพียงแต่เวลาที่เหมาะสมกว่านี้ก็ไม่มีอีกแล้วเช่นกัน วันนี้พระองค์เพิ่งจะทรงได้รับข่าวดี และเขาก็เพิ่งถวายงานจนพอพระทัย ตอนนี้น่าจะพระอารมณ์ดีพอจะทรงรับฟังคำขอของเขา

ถึงจะคิดอย่างนั้น แต่ก็ยังอดกังวลอยู่ลึกๆ ไม่ได้

“พูดไปสิ”

“วันนี้กระหม่อมซื้อตัวผู้หญิงคนหนึ่งมาจากตลาดพระเจ้าค่ะ”

คนบรรทมซ้อนหลังทรงเกร็งองค์ขึ้นมาจนคนถูกกอดรู้สึกได้

“ฝ่าบาท”

คนกลั้นหลายใจอยู่นานแล้วทูลเรียก

“ลุกขึ้นมาคุยกัน”

รับสั่งแล้วก็ทรงลุกก่อน อานนท์นึกอยากจะไปนั่งคุยตรงเก้าอี้ แต่เมื่ออีกฝ่ายเพียงแต่ประทับอิงพระขนองกับหัวเตียง เขาก็จำต้องนั่งคุยบนเตียง องครักษ์หนุ่มกราบทูลเรื่องราวโดยตลอด

“หลังจากพิธีศพ กระหม่อมฝากนางไว้ที่บ้านของเพื่อนคนหนึ่งพระเจ้าค่ะ”

“คนไหน”

“ชื่อพิชาน เป็นทหารม้ารักษาพระองค์พระเจ้าค่ะ”

ไม่ว่าจะทรงรู้จักหรือไม่ เจ้าชายหนุ่มก็ทรงพยักพระพักตร์

“แล้วยังไง”

“กระหม่อม... ไม่มีเพื่อนคนอื่น” ก็เพราะใคร ที่ทำให้เขาต้องออกจากโรงเรียน เพื่อนที่พอจะสนิทด้วยและอยู่ในเมืองหลวง ก็มีแต่คนนี้ “เขาแต่งงานแล้ว กระหม่อมจึงฝากให้อยู่กับภรรยาของเขาได้ แต่นางไม่อยากรับฝากไว้นาน เพราะพิชานเจ้าชู้  เกรงว่านิรดาจะไม่ปลอดภัยพระเจ้าค่ะ”

“แล้วยังไงอีก”

ตรงนี้ล่ะ ที่ยาก

“กระหม่อมอยากจะทูลขอประทานพระกรุณา ให้กระหม่อมได้ดูแลนางพระเจ้าค่ะ”

เจ้าชายศีลวัตทรงนิ่งขึง ทอดพระเนตรมององครักษ์คนสนิทแน่วนิ่ง

“เธออยากจะดูแล... ผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักแค่วันแรก”

“... พระเจ้าค่ะ”

“สวยมากหรือ”

“... หน้าตาดีพระเจ้าค่ะ”

คนฟังทรงขบพระทนต์ พระพักตร์บึ้งตึงสนิท อานนท์เห็นว่าชักจะอันตราย

“กระหม่อมสงสารนางพระเจ้าค่ะ คิดจะฝากนางให้ทำงานที่ร้านในหมู่บ้าน แต่ทั้งกระหม่อมและนางต่างไม่รู้จักใคร และเกรงว่าต่อไปนางอาจจะไม่พ้นถูกจับไปทำงานที่หอบุปผา” อีกฝ่ายทรงนิ่งเงียบผิดวิสัย เขาจึงต้องกราบทูลต่อ “นางไม่เต็มใจทำงานอย่างนี้ ซ้ำอายุยังน้อย ถ้าต้องถูกบังคับขืนใจ อาจจะหาความสุขไม่ได้ไปตลอดชีวิต”

“นางบอก หรือเธอเข้าใจไปเอง”

“นางบอกกระหม่อมว่าไม่เต็มใจพระเจ้าค่ะ”

หมายความส่วนอื่นๆ เขาพูดเอง

“คิดจะดูแลยังไง”

“กระหม่อม” คนกราบทูลถึงกับกลั้นหายใจ “อยากจะขอประทานบ้านพักองครักษ์พระเจ้าค่ะ”

เจ้าชายหนุ่มทรงถลึงพระเนตร พระอุระเขยื้อนขึ้นเพราะอารมณ์กริ้ว แต่ก็ทรงพยายามสูดพระอัสสาสะเข้าลึกเพื่อระงับพระทัย

“จะให้นางอยู่ที่นั่น”

“... พระเจ้าค่ะ”

“ผู้หญิงตัวคนเดียวที่น่าสงสาร ถ้ามีผู้ชายดีๆ คอยดูแลสักคน ก็คงดีสินะ”

พระสุรเสียงฟังดูเยือกเย็น อานนท์สังหรณ์ใจอย่างประหลาด รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ แต่ก็นึกไม่ออกว่าอะไร

“... พระเจ้าค่ะ”

“อานนท์!”

เจ้าชายหนุ่มทรงตวาดพระสุรเสียงลั่น

เฮือก!

องครักษ์หนุ่มเบิกตากว้างอย่างงุนงง เมื่อจู่ๆ ก็ถูกขึงพืดไว้บนเตียง สายพระเนตรของคนเบื้องบนวาวโรจน์ราวกับมีไฟโชติช่วงอยู่ข้างใน

“เธอไม่รู้สถานะของตัวเองเลยสินะ”

“กระหม่อมทราบพระเจ้าค่ะ”

เขาเป็นองครักษ์ ที่ไม่มีชีวิตเป็นของตนเอง ตัดสินใจเองไม่ได้ ถึงต้องมาขอประทานพระกรุณานี่ยังไง

“เธอเป็นของฉัน”

“กระหม่อมทราบพระเจ้าค่ะ”

ก็เล่นบอกเขาอย่างนี้ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน ทว่าอีกฝ่ายทรงสั่นพระเศียร

“ไม่ เธอไม่ได้สำนึกเลยต่างหาก ฉันคงต้องทำให้เธอจำได้จริงๆ เสียที ว่าเธอเป็นของฉัน เป็นเมียฉัน!”

อานนท์ตะลึงงัน เขายังเบิกตาโพลงอยู่เมื่ออีกฝ่ายทรงจูบอย่างดุดันพลางดึงกางเกงเขาลง

“ฝ่า... อึก!”

องครักษ์หนุ่มพยายามเบี่ยงหน้าหนี ทว่ากลับถูกกัดจนเลือดอุ่นๆ ซึมออกมาจากปาก ขาข้างหนึ่งถูกดันขึ้น เปิดเผยช่องทางที่เพิ่งผ่านการใช้งานมา เขาดิ้น เพราะไม่อยากถูกกระทำทั้งที่อีกฝ่ายกำลังเข้าพระทัยผิดอะไรบางอย่างอยู่แบบนี้ ทว่าอีกฝ่ายทรงกดเขาไว้แน่น พระหัตถ์ข้างหนึ่งบีบปาก จับเชิดให้มองพระพักตร์ดุดันเต็มๆ ตา

“เธอเป็นเมียฉัน อย่าได้ฝันไปเป็นผัวของผู้หญิงคนไหน ฉันไม่มีวันปล่อยเธอไป จำเอาไว้!”

รับสั่งพระสุรเสียงกร้าวยังไม่ทำให้สะท้านได้เท่าสายพระเนตรมุ่งมั่นแรงกล้า อานนท์ส่ายหน้า พยายามจะกราบทูลว่าพระองค์เข้าพระทัยผิดแล้ว ทว่าเจ้าชายหนุ่มไม่ทรงเปิดโอกาส

“อ๊า!”

องครักษ์หนุ่มไม่เคยคิดจะร้องออกมาให้อีกฝ่ายได้ยิน ทว่าครั้งนี้เขาเจ็บจนสุดจะทน คนกำลังหน้ามืดตามัวด้วยความโมโหทรงดุนดัน ทิ่มพรวดเข้ามาในตัวเขาอย่างรุนแรง จุก และยังไม่ทันได้ปรับลมหายใจ อีกฝ่ายก็ทรงขยับเบียด เสียดสีจนเขาแสบและเจ็บปวดจนตัวเกร็ง

“ฝ่า... อื้ม... มะ... ไม่ใช่...”

ปากเขาไม่ว่างเลย ถ้าไม่ถูกจูบเอาแรงๆ ก็ต้องใช้หายใจ เพราะหายใจทางจมูกไม่ทัน สะดุ้งเพราะถูกกัดตามตัวไปไม่รู้กี่หน ช่องทางคับแคบถูกสอดชำแรก กระแทกกระทั้นเข้าออกจนร้อนเป็นไฟ ตัวสั่นคลอน โยกไหวไปตามแรงกระแทก ถึงกระนั้นเขาก็พยายามจะพูด

“ฝ่าบาท ทรงฟัง... อุ้ก...”

จุก เจ็บ จนพูดไม่ออก

“ไม่ต้องพูด ปากของเธอ เอาไว้อมของฉัน แล้วก็ร้องครางอย่างเดียวพอ”

สีหน้าของคนฟังบิดเบี้ยวเหยเกด้วยแรงอารมณ์ ทว่าสายตาฉายแววเจ็บปวดยิ่งกว่า ผู้กระทำทรงชะงักไปบ้าง ทว่าเพียงชั่วครู่ เมื่ออารมณ์หึงหวงลุกโพลงขึ้นมาอีกหน ก็ทรงตอกกระแทกเข้าไปจนสุดทาง

“อึก!”

“เป็นเมียฉัน ต้องครางจนกว่าฉันจะพอใจ”

“มะ...อึก!”

“อึก!”

“อึก!”

“อ๊า!”







tbc.


*******************************



ตอนนี้ขอเสนอชื่อตอนว่า “ชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ ของอานนท์” ซึ่งแปรผันตรงกับ “อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของเจ้าชายศีลวัต”

เดี๋ยวหวานเดี๋ยวขมจริงๆ

ขอแก้ไขเรื่องที่ว่า เป็นรักต้องห้ามเพราะความแตกต่างทางฐานะนะคะ
คือว่า อานนท์เขาไม่ได้เจียมตัว ไม่เคยคิดว่ารักไม่ได้เพราะฐานะต่างกัน
เพียงแต่สำหรับเขา ความรักไม่ใช่สิ่งที่เขาให้ความสำคัญ
ไม่จำเป็นต้องคิดว่าตัวเองรู้สึกยังไง
แค่ทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะ ‘เครื่องมือ’ ให้ดีก็พอ
เขาไม่ใช่คนที่จะกำหนดอะไรได้ แต่เขาก็มีความใฝ่ฝันของเขา และมันก็ไม่ได้มีศีลวัตอยู่ในนั้นเลยน่ะค่ะ

ตอนนี้ เขาก็แค่รอ ให้ศีลวัต ภีมเสน และพระนางเรวดีพาเขาไปสู่จุดจุดนั้น... ที่เขารอคอย
ระหว่างที่เขายังไปไม่ถึง ไม่ว่าศีลวัตจะทำยังไงกับเขา ก็เป็นเรื่องที่เขาต้องทน

ทำนองนี้อ่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 5) 28 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 30-06-2014 09:35:16
อะไร คำทิ้งท้ายนั่นมันหมายถึงอะไร
อานนท์ต้องการอะไรหรือ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 6) 30 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 30-06-2014 09:43:05
เฮ่ย หึงโคตรโหด

ดูแลคนคนนึงไม่ใช่ต้องรับเป็นเมียเด้อ
รับเป็นน้องก็ได้ อินี่ก็โกรธหน้ามืดซะล่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 6) 30 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 30-06-2014 09:51:36
“ชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ ของอานนท์” ซึ่งแปรผันตรงกับ “อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของเจ้าชายศีลวัต” :m20:

อานนท์ ฝันของเขาไม่มีศีลวัต และไม่มีความรักข้องเกี่ยว

แล้วตอนที่ร้องไห้ไม่รู้ตัว คืออะไร อย่ามัวแต่คิดถึงเป้าหมายจนลืมนึกถึงตัวเองหล่ะ

ไม่งั้น เมื่อถึงเป้าหมายแล้ว ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว แต่สุดท้ายก็ว่างเปล่าอยู่ดี
 :pig4: นักเขียน
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 6) 30 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 30-06-2014 10:04:28
อ้าว หึงไม่ลืมหูลืมตาเลยนะเจ้าชาย
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 6) 30 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-06-2014 10:23:03
ทิ้งท้ายได้ปวดตับมากกกกก
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 6) 30 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 30-06-2014 13:11:17
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:ไม่มีฟังกันบ้างเลยยยยยยยยยยยย :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 6) 30 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 30-06-2014 14:01:33
เจ้าชายจิตๆ
ให้ตาย
อานนท์จะรอดพ้นไหมเนี่ย
ชายศีลวัตก็ไม่ค่อยจะมีอารมณ์คงที่เลย
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 6) 30 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: jamlovenami ที่ 30-06-2014 18:31:12
อึก สงสารอานนท์

ไอองค์ชายยยย ฟังหน่อยสิโว้ยยยยยย  :z6:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 6) 30 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 30-06-2014 20:29:32
เข้าใจความรู้สึกเจ้าชายเลยตอนที่บอกว่าอานนท์พูดเหมือนคนพวกนั้นไม่มีผิด อ่านแล้วใจแป้วอ่ะ สงสารเจ้าชายตะหงิดๆ

แต่ตอนท้ายนี่....
รักแรงหึงแรง ชอบ!!

เป้าหมายของอานนท์?ทามายไม่มีเจ้าชายของชั้น(?)อยู่ด้วยง๊า

 :L2:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 6) 30 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 30-06-2014 20:49:16
อ่านแล้วมันเศร้า  สงสารเจ้าชายศีลวัตบางทีเจ้าชายก็เหมือนตั้งความหวังกับอานนท์ไว้มาก  คงอยากให้อานนท์รักตอบ  แต่อานนท์นี่สิ  ตกลงพี่แกรู้หรือไม่รู้เนี่ยว่าเจ้าชายหลงรัก  แต่ตอนท้ายของบทนี้นี่เจ้าชายทำเกินไปนะหึงโหดเกิ๊น  แล้วแบบนี้อานนท์จะทนได้นานแค่ไหนเนี่ย

หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 6) 30 มิ.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 30-06-2014 23:39:37
อานนท์ต้องการอะไร อิสระเหรอ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 7) 1 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 01-07-2014 07:18:00
วันนี้... แค่มีเธอ
บทที่ ๗


อานนท์นอนซมอยู่บนพระที่ แม้เนื้อตัวจะได้รับการทำความสะอาดอย่างเรียบร้อย แต่หน้าตาก็อิดโรยเต็มที ดวงตาแดงเรื่อ ใต้ตาคล้ำ แก้ม หู คอ แดงตลอดเพราะพิษไข้ ถึงกระนั้นทันทีที่ได้สติและรู้ว่าเวลาผ่านไปหนึ่งวันเต็มๆ เขาก็ยังพยายามจะออกนอกวังไปหาหญิงสาวที่เขาฝากไว้กับเพื่อน

มหาดเล็กขวางไว้ไม่อยู่ โชคดีที่เจ้าชายทหารเสด็จมาถึงเสียก่อน

“จะไปไหน”

สายตาที่มองมา แรกเริ่มคือแค้นเคือง ทว่าเพียงวูบเดียวก็กลับว่างเปล่าจนน่าใจหาย เจ้าชายศีลวัตทรงทราบว่าพระองค์เอง ที่ดับประกายแห่งความมีชีวิตนั้นลงไป

“หาผู้หญิงคนนั้นหรือ”

ถึงกระนั้นก็ยังตรัสถามอย่างเย็นชา

“พระเจ้าค่ะ”

“วันนี้เธอเป็นเวร ถ้าหายดีแล้วก็มาทำหน้าที่ แต่ถ้ายัง ก็กลับไปนอนที่เตียง”

คนป่วยกับคนเจ็บต่างมองตากันแน่วนิ่ง ก่อนที่ฝ่ายแรกจะกราบทูล

“กระหม่อมจะไปทำหน้าที่พระเจ้าค่ะ”

ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาไม่ต่างกัน






อานนท์ตามเสด็จออกนอกวังด้วยทิฐิมานะโดยแท้ เขาปวดหัว ตัวร้อน ตาพร่า แสบก้น ปวดสะโพก เหนื่อย และหงุดหงิดจนเกือบจะระงับสีหน้าเอาไว้ไม่ได้ ทว่าไม่ปริปากบ่นหรือร้องขอสิ่งใดแม้แต่คำเดียว

แดดร้อนเปรี้ยง แต่เจ้าชายศีลวัตยังทรงตรวจแถวทหาร พระกระยาหารกลางวันก็ไม่ได้เสวย พลอยทำให้องครักษ์หนุ่มไม่ได้กินไปด้วย ตั้งแต่เช้ามา ยังไม่มีน้ำตกถึงท้องแม้แต่หยดเดียว ริมฝีปากของเขาแห้งเป็นผง ซ้ำยังเพิ่งนึกได้ตอนที่แต่งเครื่องแบบตามเสด็จออกมานอกพระตำหนักแล้ว ว่าปากของเขาเป็นแผลถูกกัด

สภาพแบบนี้เท่ากับออกมาประจานตัวเองแท้ๆ

มีใครไม่รู้บ้าง ว่าเขาต้องถวายงานเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณแบบไหน

อึดอัด เวียนหัว รู้สึกเหมือนอากาศไม่พอจะหายใจ ว่าที่เสนาบดีกลาโหมคนใหม่ท่านก็ทรงดำเนินเร็วเหลือเกิน

“ฝ่า...”

อานนท์หน้ามืด แต่ก่อนจะล้มหน้าคว่ำ กลับมีคนมารับตัวเขาไว้ ซึ่ง... ไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครกล้า

“เป็นยังไง คนอวดเก่ง”

อยากจะออกห่างจากเจ้าของเสียงแบบนั้นเหลือเกิน แต่ก็จนใจที่ไม่มีแรงแม้แต่จะยืนด้วยตัวเอง

“ฝ่าบาท!”

แต่ถึงขนาดถูกอุ้มนี่มันก็เกินไป แถมยังถูกอุ้มแบบผู้หญิง เขาดิ้น ก่อนจะผงะเมื่ออีกฝ่ายทรงโน้มพระพักตร์ลงมาแทบชิด

“อยู่นิ่งๆ ไม่อย่างนั้นฉันจะผายปอดเธอ”

ผายปอดบ้านพระองค์สิ! เขาเป็นลม ไม่ได้จมน้ำ

“อายก็หลับตา ใครใช้ให้เธอตามฉันมากันล่ะ”

อานนท์จ้องพระพักตร์เขม็ง ครั้นรู้สึกตัวว่ากำลังอยู่ท่ามกลางแถวทหารนับพัน สายตาก็สั่นไหวระริก ก่อนจะจำใจต้องหลับตาทั้งที่อยู่ในอ้อมแขนของคนที่ก็ไม่ได้บึกบึนไปกว่าเขาสักเท่าไร

รู้สึกว่าอุณหภูมิที่หน้าจะร้อนขึ้นอีกสักห้าองศา

ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว อับอายไปชั่วชีวิตเป็นอย่างนี้นี่เอง






อานนท์ไข้ขึ้น เขาพ่ายแพ้แก่สังขาร จำต้องนอนพัก หลับไปหลายชั่วโมงตลอดบ่าย ครั้นตื่นขึ้นมาก็พบคนที่ไม่อยากจะเห็นหน้าประทับอยู่ในห้องด้วย ประทับที่โต๊ะ และกำลังทำงานอะไรอยู่สักอย่าง ถึงไม่อยากจะมอง แต่ก็ละสายตาไปไม่ได้ ต้องมองไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมา ทอดพระเนตรเห็นว่าเขาตื่นแล้ว แต่ไม่ได้รับสั่งกับเขา

“ใครอยู่ข้างนอกบ้าง”

“เกล้ากระหม่อม เตชินทร์พระเจ้าค่ะ”

“ยกอาหารเข้ามาได้”

โต๊ะอาหารถูกจัดไว้กลางห้อง นายทหารสองนายถือถาดใส่โถข้าว กับข้าวหลายจาน จานข้าว เหยือกน้ำ แก้วน้ำ ช้อนส้อมและผ้าเช็ดมือเข้ามาตั้งโต๊ะถวายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อนจะถวายคำนับแล้วล่าถอยออกไป

“ตื่นแล้วก็มากินข้าว กินเสร็จจะได้กลับ”

“กระหม่อมไม่หิวพระเจ้าค่ะ”

คนกราบทูลลงมายืนตัวตรงข้างเตียง

“ฉันหิว มานั่ง”

สั่งได้สั่งดี นี่แหละ เจ้าชายชอบสั่ง

ที่รับสั่งว่าหิวดูจะไม่ใช่เรื่องโกหก เพราะเสวยเอาๆ ไม่รับสั่งอะไรอีกเลยตลอดมื้อ... ไม่รู้มื้อไหน แต่ก็ยังทรงตักกับข้าวประทานให้เขาเป็นระยะ อานนท์ที่โกหกไปว่าไม่หิวจึงต้องกินไปด้วย หลายคำเข้ามือก็ตักเร็วขึ้นไปเองเพราะกระเพาะเรียกร้อง ชะงักไปบ้างเหมือนกันเมื่ออีกฝ่ายทรงเหลือบพระเนตรมามอง แต่ในเมื่อไม่ได้รับสั่งอะไรเขาก็กินต่อเรื่อยๆ พอเหลือบไปมองอีกฝ่ายบ้างจึงรู้ว่าพลาด

รอยแย้มพระสรวลเล็กๆ ติดมุมโอษฐ์นั่นมันอะไร

จู่ๆ ก็รู้สึกอายจนหน้าชา อานนท์รวบช้อนส้อม

“ฉันยังไม่อิ่ม เธอห้ามวางช้อน”

ชีวิตเขาเป็นของพระองค์ กระเพาะอาหารของเขาก็เป็นด้วยหรือไง องครักษ์หนุ่มนั่งนิ่ง ครั้นอีกฝ่ายทรงเลิกพระขนงขึ้นเป็นเชิงถาม เขาก็ต้องจับช้อนส้อมขึ้นมาใหม่






ขามาเป็นม้า แต่ขากลับเป็นรถม้า อานนท์ไม่อยากจะคิดให้มากไป ว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายใส่พระทัยในสวัสดิภาพของร่างกายเขา

“บ้านที่เธออยากได้ ฉันจะให้”

ระหว่างทางกลับวัง   คนประทับตรงข้ามก็รับสั่งทำลายบรรยากาศอึมครึมขึ้นมา สายตาของอานนท์ฉายแววตื่นเต้นขึ้นมาอย่างที่คนรับสั่งคิดว่าจะได้เห็น

“ไม่ใช่บ้านพักองครักษ์ แต่ฉันให้สร้างใหม่ อยู่นอกเมือง”

นิรดาจะอยู่ได้หรือ

“ขี่ม้าจากวังหลวงไปสักสองชั่วโมงก็ถึง”

อย่างนั้นก็ค่อยยังชั่ว

“น่าจะใช้เวลาสร้างสักสามเดือน เอาไว้เราไปพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศด้วยกัน”

“ฝ่าบาททรงหมายความว่ายังไงพระเจ้าค่ะ”

เขาขอบ้านพักให้นิรดา ไม่ใช่...

“ก็อย่างที่ได้ยิน ฉันยกให้เป็นบ้านของเธอ แต่เป็นบ้านที่เราจะอยู่ด้วยกัน”

องครักษ์หนุ่มนิ่วหน้า

“แต่กระหม่อมทูลขอบ้านพักสำหรับนิรดา”

สายพระเนตรที่ทอดตรงมาคมปลาบ อานนท์ยังไม่ลืมว่าเรื่องนี้ทำให้เขาถูกลงโทษยังไง แต่นี่ในรถม้า จะทรงลงพระอาญาเขาอย่างนั้นอีกก็คงจะไร้ยางอายเกินไปแล้ว

“ผู้หญิงคนนั้นมีที่อยู่แล้ว”

“ที่ไหนพระเจ้าค่ะ”

องครักษ์หนุ่มทูลถามทันควัน ถึงคราวเจ้าชายศีลวัตทรงขมวดพระขนง พระพักตร์บึ้งตึงบ้าง

“ที่ที่มีคนดูแลอย่างดี”

“ฝ่าบาท ที่ไหนพระเจ้าค่ะ”

“อยากรู้มากหรือ” สีพระพักตร์กึ่งเครียดกึ่งเยาะแบบนั้น อานนท์ไม่ชอบเลย “คืนนี้ฉันจะพาไป”






ทางเดินที่ทอดยาวไปสู่เขตฝ่ายในคืนนี้ช่างเงียบเชียบและวังเวงอย่างประหลาด หัวใจของเขาเต้นด้วยความกังวลไปตลอดทาง ทางที่ไม่เคยปรารถนาจะเหยียบย่างเข้ามา ทางที่เขาไม่ได้มาเกือบจะสิบปีแล้ว

เมื่อมาอีกครั้ง เขาก็ยังต้องทำหน้าที่เดิม

ที่ของเขาคือหลังม่าน

“ฉันเพิ่งรับสนมคนใหม่ สั่งให้มารับใช้คืนนี้เป็นคืนแรก”

อานนท์คิดว่าเขารู้ แต่กระนั้นก็พยายามจะไม่คิด

ทว่าทันทีที่เห็นพระสนมคนใหม่ปรากฏตัวตรงประตู เขาก็ยืนตัวแข็งทื่อ ได้แต่จ้องมองนางคุกเข่าลง ประคองพานมาลัยดอกไม้ไว้ในมือและเดินเข่าเข้ามาอย่างงดงามเรียบร้อย จนกระทั่งมาหยุดตรงเบื้องพระพักตร์ของคนประทับบนเตียง วางพาน และก้มลงกราบแทบพระบาท 

เจ้าชายทหารทรงรับพวงมาลัยไปวางไว้ข้างพระองค์ กระแสอารมณ์รุนแรงแล่นปราดไปทั่วตัวของอานนท์ทันทีที่พระองค์ทรงเชยคางนางขึ้นมา องครักษ์หนุ่มกระชากม่านออก

“ฝ่าบาท!”

นิรดาตกใจ หันขวับ

“พี่อานนท์!”

“มีอะไร” เจ้าชายหนุ่มตรัสถามเฉยเมย

“ทรงทำอย่างนี้ทำไมพระเจ้าค่ะ”

สีพระพักตร์ของคนถูกถามเย็นชาสนิท

“เธอเป็นของฉัน ฉันเคยบอกหลายหนแล้ว จำได้ไหม ผู้หญิงคนนี้เป็นของเธอ ก็เท่ากับเป็นของฉันด้วย เธออยากให้เขามีที่อยู่ ฉันก็ให้ อยากให้มีคนดูแล ฉันก็หาให้ แบบนี้คงดีกว่าที่เธอจะหาให้เขาเองได้เสียอีก จริงไหม ยังจะมีอะไรไม่พอใจอีก”

คนฟังแทบจะกระอัก โกรธมากจนแทบจะพูดไม่ออก

“นางไม่เต็มใจ ฝ่าบาททรงบังคับใจนาง”

“อย่างนั้นหรือ บอกเขาไปซิ ว่าเธอเต็มใจรึเปล่า”

ดวงหน้าสะสวยของหญิงสาวบอกความไม่สบายใจและมีแววขอลุแก่โทษ ขณะพยักหน้า อานนท์ยืนนิ่งเหมือนถูกสาป

“โกหก”

“... ไม่ได้โกหกค่ะ”

“งั้นทำไม...”

“พอได้แล้ว กลับไปยืนตรงที่ของเธอซะ อานนท์ อย่าทำฉันเสียอารมณ์”

องครักษ์หนุ่มกำกระบี่แน่น เจ้าชายศีลวัตตวัดสายพระเนตรมอง

“ทำไม ไม่พอใจ จะฆ่าฉันหรือ”

พระมารดาเคยรับสั่งหลายครั้งแล้ว ว่าอย่าไว้ใจใครมากขนาดนี้ ไม่ควรเลยหากจะต้องมาตายเอาง่ายๆ แต่พระองค์ก็ไม่เคยเลิกไว้ใจ ถ้าไว้ใจอานนท์ไม่ได้ พระองค์ก็ไว้ใจใครไม่ได้อีก

องครักษ์หนุ่มคลายมือออกดังคาด ค้อมศีรษะลงทั้งที่ยังตัวสั่นด้วยความโกรธ

“กระหม่อมมิบังอาจพระเจ้าค่ะ”

“ไม่บังอาจก็ถอยกลับไป”

เขาไม่ถอย

“หรือว่าอยากจะมาทำหน้าที่แทนนาง”

ราวกับถูกน้ำเย็นจัดราดลงบนหัวก็ไม่ปาน อานนท์ตัวเย็นเยียบ

“เธอไปยืนหลังม่านแทนเขา”

นิรดาทั้งตกใจและงงจัด

“ไป!”

หญิงสาววัยกำดัดสะดุ้งโหยงและรีบลนลานคลานไป

“ทีนี้ก็ตาเธอ มานี่”

อานนท์ยืนเฉย ทั้งสับสนและประหวั่นกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

“ฝ่าบาท” ทรงบ้าไปแล้วหรือยังไง

“ฉันจะไม่ทำอะไรผู้หญิงของเธอ แต่เธอต้องทำหน้าที่แทนนาง ทุกครั้งที่ฉันต้องการ เอาล่ะ เดินมา”

“ฝ่าบาทเพคะ...”

เพียงแค่เจ้าชายหนุ่มตวัดสายพระเนตรคมกร้าวไปมอง หญิงสาวก็สะดุ้งโหยงด้วยความกลัว รีบยกมือขึ้นปิดปากตัวสั่น อานนท์กัดฟันแน่น ก่อนจะเค้นเสียงพูด

“ออกไป... ให้นางออกไปก่อนพระเจ้าค่ะ”

เจ้าชายศีลวัตสั่นพระเศียรช้าๆ

“ฉันต้องการให้ผู้หญิงของเธอเห็น ว่าเธอเป็นของใคร”

องครักษ์หนุ่มโมโห แค้นเคือง ความโกรธแล่นริ้วถึงสมอง

“อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำซาก รีบเดินมา เพราะถ้าฉันเดินไปหา เธอจะโดนหนัก”

อย่างเชื่องช้า... อานนท์ก้าวเดินเข้าไปหา

ทั้งที่เคยโดนมาสารพัดจนคิดว่าไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่าเมื่อสองคืนก่อนนี้อีกแล้ว องครักษ์หนุ่มกลับเพิ่งประจักษ์ว่า ความวิปริตบ้าคลั่งของเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณมีมากกว่าที่เขาเคยรู้  โกรธเขา เกลียดชังเขาถึงขนาดทำลายศักดิ์ศรีของเขาจนย่อยยับ ต่อหน้าผู้หญิงที่เคยมองเขาด้วยสายตาชื่นชมและเทิดทูน ทำให้เขาซ่านกระสันจนต้องส่งเสียงร้องครวญครางออกมาไม่ต่างจากผู้หญิง ทำให้เขาอับอายจนคงจะทนมองหน้านางอย่างปกติไม่ได้อีกด้วยถ้อยรับสั่งน่ารังเกียจ

“แข็งขนาดนี้แล้วนะ อยากมากหรือ”

“ออกมาเยอะขนาดนี้ ตื่นเต้นรึไง”

“ตอดแน่นเกินไปแล้ว จะรัดฉันให้ขาดเลยรึ ผ่อนคลายหน่อย ฉันเข้าไม่สุด”

“ขยับเองสิ”

รับสั่งสุดท้ายที่ได้ยิน ช่างแผ่วเบาและเจ็บปวด

“เพื่อผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักคนเดียว เธอยอมฉันขนาดนี้เชียวหรือ ใจร้ายจริงนะ อานนท์”

สำนึกสุดท้ายก่อนสติสัมปชัญญะจะเลือนหาย




... ใจร้าย...




...ใครกันแน่...







tbc.


*****************************


ตอนที่แล้วใครบอกศีลวัตโหดคะ
ตอนนี้ขอเสนอชื่อตอนว่า โหด... ได้อีก (ไม่มีลิมิต ชีวิตเกินร้อย)  และหึง... อย่างต่อเนื่อง

มีคนเดาถูกด้วยอ่า ว่าอานนท์ต้องการอะไร
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 7) 1 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 01-07-2014 08:29:10
สงสารอานนท์ ศีลวัตคิดเองเออเองตลอด
ความอดทนของอานนท์คงใกล้หมดแล้วสินะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 7) 1 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 01-07-2014 08:42:48
องค์ชาย.... จะเลวไปหน่อยแล้วนะคะ  เดี๋ยวรอวันที่อานนท์ทนไม่ไหวแล้วจะเสียใจนะ

ว่าแต่ที่คุณชุนบอกว่ามีคนเดาถูกนี่คือ   อานนท์ต้องการอิสระหรือเปล่า  แล้วถ้าเป็นแบบนี้จะจบ happy ไหมอ่ะ  ไม่อยากให้จบเศร้าเลยค่ะ  ถึงจะหมั่นไส้เจ้าชายศีลวัต   แต่ตอนจบก็อยากให้อานนท์มีความสุขนะ :mew2:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 7) 1 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: milkshake✰ ที่ 01-07-2014 09:22:52
เข้ามาอ่าน 'วันนี้' แบบรวดเดียว
ถึงกับชะงักตอนเห็นคอมเม้นท์บน
แงแงงงง จะไม่จบเศร้าใช่ไหมคะะ
ถ้าจบเศร้าแอบกระซิบเราก่อนนะ จะได้ทำใจ 55555555555
สนุกค่า รักกันแบบขมๆ ไม่หวาน แต่ดูมั่นคงมากอ่ะคู่นี้
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 7) 1 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 01-07-2014 09:29:26
เจ้าชายเอ้ย ถ้าวันไหนมีคนปล่อยอานนท์ได้ พระองค์คงจะสำนึกได้ใช่ไหม?  หวังแค่ว่าพอวันนั้นมาถึง อานนท์จะได้เอาคืนบ้างนะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 7) 1 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 01-07-2014 10:20:03
ตอนนี้ขอเสนอชื่อตอนว่า โหด... ได้อีก (ไม่มีลิมิต ชีวิตเกินร้อย)  และหึง... อย่างต่อเนื่อง :m20:

ศีลวัตทำอย่างนี้ทำไม ศักศรีควรมีให้บ้างนะ รักและให้เกียรติกันบ้างสิ

ทำอย่างนี้ อานนท์จะมีหน้าเงยมองใครได้

คิดว่าถ้าได้อิสระ อานนท์คงไปไกลแน่เลย จะทนอยู่ในที่ๆมีคนรู้จักได้ไง ความอายมันเกินจะรับแล้วนะ :m16:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 7) 1 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 01-07-2014 12:16:03
เฮ้อ!!! เจ้าชายก็นะ หน้ามืดหึงตะบึงตะบอนไปเรื่อย  ถ้ารับฟังซักนิด ใจเย็นซักหน่อย มีหรืออานนท์จะไม่รัก

ทำกับเขาขนาดนี้นอกจากจะไม่รักแล้ว  ยังจะเกลียดเพิ่มขึ้นรึเปล่าเนี่ย
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 7) 1 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-07-2014 13:13:02
หึงแรง รักแรงมาก อานนท์ต้องอดทนไว้นั  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 7) 1 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iGiG ที่ 01-07-2014 16:49:30
กรีสสสสสส คุณชุน เพิ่งรู้ว่าคุณชุนเอาเรื่องมาลง กรีสสสสสสสส ดีใจค่ะที่ได้อ่านเรื่องๆอื่นอีก หลังจากทาสรัก และก็เรื่องสั้นที่เคยลงในเด็กดี

ชอบสำนวนของคุณชุนมากกกก เป็นเอกลักษณ์และน่ารัก

ติดตามและตามติด เป็นกำลังใจให้นะคะ

ปล.ชอบและสงสารเจ้าชายศีลวัต และอานนท์ คงไม่จบเศร้าหรอกเน้ออ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 7) 1 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Chise ที่ 01-07-2014 20:47:06
อ่านคู่นี้แล้วปวดตับ กลัวคู่นี้จะจบไม่สวยจริงๆ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 7) 1 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-07-2014 20:49:10
ทั้ง 2 คน พอกันเลย เห้ออออ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 7) 1 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 01-07-2014 23:18:01
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:ตูละเพลียใจกับคู่นี้ที่สุดเลยยยยยยยยยย :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 7) 1 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 02-07-2014 00:42:31
เริ่มรู้สึกว่าจะเริ่ม SM ขึ้นเรื่อย
เจ้าชายสนใจจะรับโซ่แส้กุญแจมือด้วยมั้ย
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 8) 2 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 02-07-2014 07:58:09
วันนี้... แค่มีเธอ
บทที่ ๘


 เจ้าชายศีลวัตทรงทราบจากพระสนมคนใหม่ของพระองค์ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าอานนท์เพียงแต่จะรับนางไว้เป็นน้องสาว และให้พักอยู่ที่บ้านพักองครักษ์ เผื่อว่าวันหนึ่งหากมีองครักษ์คนใดผูกใจสมัครรักใคร่กับนางจนอยากจะแต่งงานด้วย และนางเองก็มีใจชอบพอ เขาก็จะได้ปล่อยมือจากนางไปได้อย่างสบายใจ แต่ทั้งที่ทรงทราบแล้วก็ยังทำเหมือนไม่ทรงทราบ

อานนท์ไม่กราบทูลแก้ไขเพราะคิดว่าพระองค์คงจะไม่ทรงฟัง ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว ส่วนพระองค์ก็ไม่บอกเขา เพราะไม่ว่าเขาจะดูแลนางในฐานะอะไร

พระองค์ก็ไม่ทรงยอมทั้งนั้น

ยังดีที่องครักษ์หนุ่มไม่ต้องถูกกระทำต่อหน้าหญิงสาวที่เขาซื้อตัวมาอีกอย่างที่นึกกลัว เจ้าชายศีลวัตไม่ได้เสด็จฝ่ายในอีก   และอานนท์ก็ไม่ได้พบนิรดาอีกเช่นกัน

แต่ก็ใช่ว่าเขาจะอยากพบ

ตอนนี้ แม้แต่จะมองพระพักตร์ของเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณ

เขายังไม่อยากจะทำ






บ้าน หรือจะพูดให้ถูกก็คือคฤหาสน์หลังใหญ่บนเนินเขานอกเมืองสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าชายศีลวัตประทานอำนาจการตัดสินใจในการตกแต่งให้องครักษ์ประจำพระองค์คนสนิทอย่างเต็มที่โดยไม่กำหนดงบประมาณ

“แบบไหนก็ได้ ที่เธอชอบ”

ทั้งยังประทานพระอนุญาตให้ลางานได้ตามใจชอบ อานนท์ลางานตามใจชอบจริงๆ เขาไม่อยากเห็นพระพักตร์ของอีกฝ่ายบ่อยนัก แต่กลับไม่ได้สนใจบ้านหลังนั้นเลย แม้ว่ามันจะสวยมากก็ตามที เขาไปที่นั่นเพียงครั้งเดียวตอนที่ถูกบังคับให้ไป แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ย่างกรายไปใกล้

ตอนนี้มันก็คงจะยังเป็นบ้านร้างที่มีแต่เปลือกอยู่

คงเหมือนกับตัวเขา ที่รู้สึกว่ามีแต่ร่างกลวงๆ เอาไว้ให้เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณทรงระบายความใคร่

แปลกที่ในความว่างเปล่ากลับยังเจ็บปวดได้เมื่อเจ้าชายที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์ทรงรับ ‘พระสนม’ คนใหม่เป็นผู้ชายพร้อมกันทีเดียวสองคน

หนึ่งในนั้นเป็นชายหนุ่มที่งามล่มเมือง






หลังจากเจ้าชายศีลวัตมีพระชนมายุครบสามสิบพรรษาได้ไม่กี่วัน อันธกาลซึ่งเป็นแคว้นใหญ่ใกล้เคียงกับเรืองอรุณก็ส่งราชทูตมาขอเจริญสัมพันธไมตรีและยื่นข้อเสนอให้เกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันด้วยการอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณกับเจ้าหญิงพระองค์ใหญ่ รัชทายาทอันดับสองของอันธกาล ทว่าเจ้าชายภีมเสนทรงปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าพระองค์โปรดผู้ชาย ให้ส่งเจ้าชายรัชทายาทของอันธกาลมาอภิเษก หรือไม่ก็ให้องค์หญิงใหญ่แห่งอันธกาลอภิเษกสมรสกับเจ้าชายพระองค์อื่น

พระนางเรวดีทรงตื่นเต้นดีพระทัยมากเมื่อทรงทราบ หลังจากเข้าเฝ้าเจ้าหลวงจนแน่พระทัยเป็นมั่นเหมาะแล้วว่าสามารถเปลี่ยนจากเจ้าชายภีมเสนเป็นเจ้าชายศีลวัตได้ พระองค์ก็เสด็จไปหาพระโอรสทันที ทว่าเจ้าชายหนุ่มทรงปฏิเสธทันควันเช่นกัน

“หม่อมฉันไม่แต่งพระเจ้าค่ะ”

“อย่าบ้าน่าศีลวัต โอกาสดีขนาดนี้จะหาที่ไหนได้อีก ดองกับอันธกาลก็เท่ากับได้แคว้นนั้นมาอยู่ในมือ แม่ได้ยินมาว่าเจ้าชายรัชทายาทอันธกาลอ่อนแอ เจ้าหญิงรัชทายาทอันดับสองเป็นที่โปรดปรานกว่า ทั้งเฉลียวฉลาดแล้วก็เก่งกล้า...”

“หม่อมฉันไม่แต่งพระเจ้าค่ะ และตอนนี้ก็ไม่ว่าง เอาไว้วันหลังจะไปเยี่ยมเจ้าแม่ที่ฝ่ายใน”

“เดี๋ยว! ศีลวัต! ที่ไม่แต่งนี่เพราะไอ้ตัวโปรดของลูกมันยุยงใช่ไหม”

“อานนท์ไม่เกี่ยวพระเจ้าค่ะ”

“ทำไมจะไม่เกี่ยว เดี๋ยว... ศีลวัต! กลับมานี่นะ อย่าเดินหนีแม่อย่างนี้ ศีลวัต!”






อย่างไรก็ดี อันธกาลเองก็ปฏิเสธที่จะให้เจ้าหญิงพระองค์ใหญ่อภิเษกสมรสกับเจ้าชายพระองค์อื่นของเรืองอรุณเช่นเดียวกัน แต่จะส่งเจ้าชายรองมาถวายเจ้าชายภีมเสนแทน ทว่าเจ้าชายภีมเสนก็ทรงปฏิเสธอีก เมื่ออันธกาลหันไปผูกสัมพันธ์กับเผ่าทั้งสามแทน การศึกระหว่างเรืองอรุณกับอันธกาลและชนเผ่าทั้งสามจึงเกิดขึ้น

เจ้าชายศีลวัตทรงเป็นแม่ทัพ นำทัพหลวงออกรบด้วยพระองค์เอง เมื่อเรืองอรุณชนะศึกและอันธกาลกับเผ่าทั้งสามตกเป็นเมืองขึ้น เจ้าชายเสนาบดีกลาโหมจึงทรงได้รับบุตรชายคนโตของหัวหน้าเผ่าสองเผ่าเป็นบำเหน็จรางวัล

คุณชายวาริศ จากเผ่าชุณหะเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำอย่างทหาร ขณะที่คุณชายภูวันแห่งเผ่าเวณุเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างและใบหน้างดงามราวกับอิสตรี

อานนท์สะดุดใจตั้งแต่แรกเห็นในท้องพระโรง

คุณชายผิวขาว คิ้วเข้ม ปากแดง และมีรูปร่างโปร่งบางผู้นั้นมีกิริยานอบน้อมยิ่งนัก ขณะคลานมากราบแทบพระบาทของเจ้าชายทหารก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสบสายพระเนตร

ทันทีที่เห็นสายตาเสน่หายั่วเย้าคู่นั้น อานนท์ก็พลันถูกเข็มที่มองไม่เห็นทิ่มแทงฉับพลัน

เมื่อหันไปมองพระพักตร์ของเจ้าชายศีลวัต ฝ่ายนั้นก็ยกมุมพระโอษฐ์ขึ้นนิดๆ

คงจะพอพระทัย






อานนท์ไม่ต้องถวายงานบ่อยนักแล้ว เพราะเจ้าชายศีลวัตมักจะเสด็จไปฝ่ายในอยู่เนืองๆ โดยที่เขาไม่ต้องตามเสด็จไปด้วย

แว่วข่าวลือว่าพระสนมคนใหม่ขึ้นแท่นเป็นที่โปรดปรานในเวลาอันรวดเร็ว

คนใหม่คนไหนคงไม่ต้องเดาให้เสียเวลา

ถึงกระนั้น หลังจากกลับมาจากฝ่ายใน ก็ยังเปิดประตูเข้ามาในห้อง จูบเขา กอดเขา ทั้งที่มีกลิ่นน้ำหอมติดพระองค์มา อานนท์ได้แต่อดทน

“เพื่อวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ นายก็จะเป็นอิสระแล้ว อานนท์”

เขาบอกตัวเองอย่างนั้นไม่รู้กี่ครั้งกี่หน

อาจจะเป็นพัน เป็นหมื่น

เมื่อก่อนเขาอาจจะไม่เข้มแข็งพอ ขณะที่รอคอยวันพรุ่งนี้ อีกใจหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ลึกๆ กลับไม่อยากให้วันพรุ่งนี้มาถึง ทว่าถึงตอนนี้ เขาไม่ลังเลใจอีกแล้ว องครักษ์หนุ่มอดทน และเฝ้ารอคอยวันพรุ่งนี้อย่างใจจดใจจ่อ

ชีวิตของเขาอยู่ได้ด้วยความหวังว่าพรุ่งนี้จะมาถึงเสียที






เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นอีกหน เมื่อเจ้าหลวงสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันด้วยโรคพระหทัยวาย เจ้าชายภีมเสนขึ้นเป็นเจ้าหลวง ส่วนพระนางเรวดีก็ประชวรหนักด้วยความเสียพระทัย

“แม่คงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน”

“ทำไมรับสั่งอย่างนั้น” พระโอรสรับสั่งพระสุรเสียงห้วน

“องค์รัชทายาทขึ้นเป็นเจ้าหลวง ความหวังที่แม่จะได้เป็นพระพันปีก็สูญสลาย มีลูกชายกับเขาอยู่คนก็สู้ลูกคนที่ไม่มีแม่ไม่ได้ แล้วแม่จะอยู่ต่อไปอีกทำไม”

คนฟังทรงกำพระหัตถ์ คิดว่าพระมารดาจะเสียพระทัยเรื่องพระบิดา ทว่าที่แท้กลับเป็นเรื่องเดิมๆ

เรื่องเดิมๆ ที่ทำให้พระองค์ทรงหงุดหงิดได้ทุกครั้งที่ต้องทนฟัง

“เจ้าพี่ก็ขึ้นครองราชย์ไปแล้ว แล้วเจ้าแม่จะให้หม่อมฉันทำยังไง”

“ปลงพระชนม์เจ้าหลวงซะ”

“อะไรนะพระเจ้าค่ะ”

“ลูกก็ได้ยินชัดแล้วนี่ศีลวัต ฆ่าภีมเสนซะ แม่คิดวิธีเอาไว้แล้ว”

สายพระเนตรของพระนางเรวดีมุ่งมั่นแรงกล้าเสียจนพระโอรสชักจะทรงสงสัยแล้ว ว่าอีกฝ่ายกำลังประชวรหนักอยู่จริงหรือไม่

“วิธีอะไร”

พระราชชายารับสั่งเล่าด้วยความมั่นพระทัยยิ่งยวด ฟังจบ เจ้าชายหนุ่มก็ทรงแค่นพระสุรเสียง

“หึ หม่อมฉันว่าแทนที่เจ้าแม่จะหลงเชื่อคำยุยงของมัน ควรจะกำจัดมันให้สิ้นซากเสียจะดีกว่า งูพิษแบบนี้เลี้ยงเอาไว้ก็มีแต่จะแว้งมาฉกเจ้าของ หม่อมฉันจะจัดการเอง”

“ไม่ได้นะศีลวัต”

“ยาพิษก็ได้มาแล้วไม่ใช่หรือพระเจ้าค่ะ”

“แต่ไม่มียาแก้”

“ไม่มีก็ไม่เห็นเป็นไร”

“มีเอาไว้ก็ดีนะลูก เผื่อจำเป็นขึ้นมา”

เจ้าชายทหารทรงนิ่งคิดอยู่หลายอึดใจ

“มันเรียกร้องอะไรตอบแทนพระเจ้าค่ะ”

พระมารดาทรงอึกอัก “ก็แค่ ตำแหน่งพระราชชายาเท่านั้น ลูกให้ได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ พอได้เป็นเจ้าหลวง จะมีเมียกี่คนก็ได้”

พระโอรสแย้มพระสรวลเหี้ยมเกรียมเป็นคำตอบ คนผ่านโลกมามากกว่าทรงทราบดีว่าผู้ที่หวังตำแหน่งสูงส่งคงจะไม่พ้นได้ความตายเป็นสิ่งตอบแทน แต่ก็ช่างปะไร ขอแค่พระองค์สมหวัง จะต้องสังเวยชีวิตของใครไปก็ไม่ทรงแยแส

“แล้วทรงมีคนหรือยัง หรือจะให้หม่อมฉันหา”

“แม่จะให้อานนท์ทำ”

“ไม่มีทาง!”

“ศีลวัต” พระนางทรงลูบพระพากำยำของพระโอรส           รับสั่งพระสุรเสียงอ่อน แต่ชวนเชื่ออยู่ในที “ถ้าไม่ใช่อานนท์ คิดหรือว่าแผนนี้จะสำเร็จ แม่รู้ว่าลูกถูกใจมันมาก” แม้จะไม่เคยทรงทราบเลยว่าถูกใจตรงไหนก็ตาม “แต่ถ้ามันมีใจให้ลูกบ้าง มันก็ต้องยินดีจะทำงานนี้ ลูกก็สงสัยอยู่ไม่ใช่หรือว่ามันรู้สึกยังไงกับลูก ใช้โอกาสนี้พิสูจน์ซะ แล้วแม่สัญญานะ ว่าไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ แม่ก็จะไม่ยุ่งกับมันอีก”

“ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย”

“จ้ะ ครั้งสุดท้าย”

“หม่อมฉันจะหาคนที่เหมาะสมมาทำ”

“เอ๊ะ! ศีลวัต แม่ต้องการอานนท์เท่านั้นนะ”

“หม่อมฉันจะหาคนอื่นพระเจ้าค่ะ”

พระโอรสกราบทูลหนักแน่น

ใช่ พระองค์ทรงสงสัยมาตลอด ว่าอานนท์รู้สึกยังไงกับพระองค์กันแน่ แต่ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ด้วยการส่งเขาไปเสี่ยงตาย ความรู้สึกของเจ้าคนเอาใจยากเป็นยังไงไม่รู้ แต่สำหรับความรู้สึกของพระองค์นั้น

ทรงทราบดีตลอดมา






“กระหม่อมยินดีจะทำตามแผนการของพระราชชายาพระเจ้าค่ะ”

จู่ๆ องครักษ์ประจำพระองค์คนสนิทก็กราบทูลขึ้นระหว่างที่พระองค์ทรงงานในห้องทรงพระอักษร

“ใครบอกเธอ”

เจ้าชายหนุ่มทรงวางปากกา ตรัสถามพระสุรเสียงห้วน

“พระราชชายาทรงส่งคนมาตามกระหม่อมไปเข้าเฝ้าเป็นการลับที่วิหารนอกเมืองเมื่อวานนี้พระเจ้าค่ะ” ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง เพราะรังแต่จะทำให้กริ้วมากขึ้นโดยไม่จำเป็น

“ฉันไม่อนุญาต”

“แผนการนี้กระหม่อมเหมาะสมที่สุด คนอื่นอาจจะทำไม่สำเร็จพระเจ้าค่ะ”

“เรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง เธอไม่ต้องยุ่ง”

อานนท์นิ่งเงียบไปหลายอึดใจ อีกฝ่ายทรงงานต่อแล้ว คนฉลาดควรรู้ว่าไม่ควรพูดอีก แต่เขาไม่พูดไม่ได้

“กระหม่อมอยากจะทำพระเจ้าค่ะ”

คนฟังทรงชะงัก เงยพระพักตร์ขึ้นมามองอย่างประหลาดพระทัย น้อยครั้งนักที่อานนท์จะแสดงความต้องการของตัวเองออกมาตรงๆ และพระองค์ก็ไม่คิดที่จะมองข้าม

“ทำไม”

องครักษ์หนุ่มมองสบสายพระเนตรแน่วแน่

“เพราะพระราชชายาประทานคำมั่นว่า หลังจากงานนี้แล้ว พระองค์จะไม่ทรงยุ่งเกี่ยวกับเราอีกพระเจ้าค่ะ”

อานนท์จะพูดด้วยอารมณ์ไหนไม่รู้ รู้สึกพิเศษอะไรบ้างหรือเปล่า ไม่ทรงทราบ แต่คำว่า ‘เรา’ ของเขามีความหมายสำหรับพระองค์มากเหลือเกิน

“มีเหตุผลแค่นี้หรือ”

“...”

“ไม่มีเหตุผลอื่นใช่ไหม”

“ไม่มีพระเจ้าค่ะ”

เป็นการโกหกที่ร้ายแรงถึงตาย แต่คนพูดไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย






เจ้าชายศีลวัตไม่ได้ล่วงล้ำเข้าไปในตัวขององครักษ์ประจำพระองค์คนสนิทนานแล้ว คืนนี้ เรื่องบนเตียงของอานนท์ไม่ได้เริ่มต้นด้วยจูบ เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณทรงลอกคราบเขาจนเปลือยเปล่า สีขาวของผ้าปูที่นอนคงตัดกับสีผิวเข้มๆ ของเขาอย่างชัดเจน เขาไม่รู้ว่ากำลังทรงคิดอะไร จึงทอดพระเนตรมองเขาอย่างดื่มด่ำลึกซึ้งเช่นนั้น

คืนนี้ อานนท์ถูกจูบทั่วทั้งตัว เจ้าชายศีลวัตทรงทรมานเขาอย่างเชื่องช้าด้วยพระโอษฐ์และพระหัตถ์ เขาถูกปฏิบัติด้วยอย่างอ่อนโยนราวกับสาวพรหมจารีที่เพิ่งเข้าเรือนหอ และจะต้องเสียตัวให้ผู้ชายเป็นครั้งแรก แต่เขาเสียตัวครั้งแรกมาแล้วตั้งแต่อายุสิบเจ็ด ทำกับเขาเบาๆ ช้าๆ แบบนี้ เขาจะไปรู้สึกรู้สาอะไร

แต่อานนท์คิดผิด

คืนนี้ เขา ‘รู้สึก’ ยิ่งกว่าคืนไหน

“ฝ่าบาท!”

ที่ผ่านมามีแต่เขาเท่านั้นที่ต้องเป็นฝ่ายทำถวาย เจ้าชายศีลวัตไม่เคยลดองค์ทรงทำให้ และเขาก็ไม่เคยคิดว่าจะทรงทำได้

“อย่าหนีบหัวฉันล่ะ”

พระพักตร์หล่อเหลาคมคายที่เงยขึ้นมาจากกลางหว่างขาของเขา ช่างดูยั่วเย้าและเปี่ยมเสน่ห์อย่างร้ายกาจ แต่ภายในพระโอษฐ์ที่รุ่มร้อนและเปียกชุ่มยังร้ายกาจกว่าหลายเท่า อานนท์แทบจะดิ้นเร่าด้วยความเสียวกระสัน ซาบซ่านไปทั้งท่อนลำ เขาถูกดูดเลีย ปรนเปรอให้เสียจนดิ้นพล่าน

“ฝ่าบาท... ฮะ... ฮ่าห์...”

หอบหายใจจนทรวงอกสะท้อน หวามใจอย่างลึกล้ำเมื่อมองพระโอษฐ์ที่ขยับขึ้นลงและพระชิวหาที่ตวัดแลบเลียไปมา ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายทรงตวัดสายพระเนตรขึ้นมามอง ความรู้สึกสุขสมยิ่งล้นปรี่ ทะลักทลาย

เจ้าชายศีลวัตทรงเก็บกลืนความปรารถนาของเขาเอาไว้จนทุกหยดหยาด ขณะที่อานนท์นอนหายใจหอบกระชั้น พระหัตถ์หยาบกระด้างลากไล้ โลมลูบไปตามเนื้อตัวด้วยความเสน่หา เมื่อองครักษ์หนุ่มลืมตาขึ้นจากความเหนื่อยอ่อน อีกฝ่ายก็ทรงปรนเปรอเขาด้วยจูบเนิบนาบ อ่อนโยน

ลมหายพระทัยร้อนผ่าวรินรดอยู่ตรงปลายจมูก ขณะที่คนเบื้องบนทรงลูบเหงื่อบนหน้าผากประทานให้ ในสายพระเนตรที่กำลังทอดมองลงมาในระยะใกล้ มีประกายความรู้สึกอันลึกล้ำบางอย่างที่เขาไม่ปรารถนาจะรับรู้ แต่ก็ละสายตาไปไม่ได้

“ถ้าฉันได้เป็นเจ้าหลวง ในรัชกาลของฉันจะไม่มีรานี”

รับสั่งบอกเขาทำไม ในเมื่อจะไม่มีวันนั้น

“ถ้าเธอทำงานนี้สำเร็จ ไม่ว่าต้องการอะไร ฉันจะให้”

สิ่งที่เขาอยากจะได้ พระองค์คงประทานให้ไม่ได้ และเกือบจะทุกสิ่งที่เขาเคยขอ พระองค์ล้วนทรงปฏิเสธ

“แต่ถ้าไม่สำเร็จ”

คนรับสั่งทรงก้มลงมาจูบเบาๆ รอยแย้มพระสรวลที่เห็น…

... แลดูงดงามเป็นพิเศษ...



“ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอเดียวดาย”






tbc.


*********************************************

ตอนหน้า แผนการจะดำเนินไป... และจบสิ้นอย่างรวดเร็วนะคะ

ส่วนตอนจบ ไม่ sad ending หรอกค่ะ

มันเป็นสิ่งที่อานนท์เลือก และศีลวัตก็... เต็มใจยอมรับ

^_^
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 8) 2 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iGiG ที่ 02-07-2014 08:17:20
รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ หวั่นไหวและหวั่นใจกับศีลวัต อานนท์ และคุณชุน ><
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 8) 2 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 02-07-2014 09:55:07
จริงๆอานนท์ก็รักเจ้าชายแหละ  แต่ความเจ็บปวด และ อิสรภาพที่ต้องการมันก้อนใหญ่กว่า จึงบดบังความรักในใจของอานนท์จนเกือบหมด

แม่ของเจ้าชายจะอะไรนักหนา
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 8) 2 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 02-07-2014 10:29:03
สุดท้าย จะต่างคนต่างอยู่ใช่มั้ย :z3:

รอตอนต่อไปอย่างจดจ่อ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 8) 2 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 02-07-2014 10:57:29
หวังว่าอานนท์จะรัก

และขอให้รักชนะทุกสิ่ง
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 8) 2 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 02-07-2014 11:01:15
คุณชายภูวัน ทำให้เรารู้สึกว่าอานนท์เหมือนไม่มีความหมายต่อศีลวัต
สิ่งที่ศีลวัตพูดและทำต่ออานนท์  เป็นเราก็คิดแบบเดียวกับที่อานนท์คิด
รักมากงั้นเหรอ ... แล้วทำอะไรแบบนี้ล่ะ  เพื่ออะไร
.. สงสารอานนท์ชะมัด .. หญิงแม่น่าจะหัวใจวายตายไปซะนะ
นางเยอะอย่างและละโมภอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจริง ๆ

เพิ่มเติม ..
เข้ามาเดาว่า อานนท์เลือกที่จะไปอยู่บ้านที่ศีลวัตสร้างให้  ส่วนศีลวัต ไม่รู้มัน ชิ (เคือง)
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 8) 2 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 02-07-2014 15:40:57
สงสารอานนท์ ฮื้อออออ  นี่หรอที่บอกว่ารัก  ตอนนั้นก็บอกจะยกเลิกสนม  นี่เพิ่มไม่พอ ยังเอาผู้ชายมาอยู่อีก ไหนบอกรักอานนท์ไง โกหกชัดๆ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 8) 2 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 02-07-2014 17:59:35
อ่านแล้วเศร้า  ที่ศีลวัตว่า " ถ้าไม่สำเร็จ ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอเดียวดาย"  นี่คงไม่ได้หมายความว่าถ้าอานนท์ตาย เจ้าชายจะตายตามใช่ไหม   :hao5: 

อ่านแล้วหน่วงๆ สงสารศีลวัต และอานนท์ด้วย  ได้แต่หวังว่าตอนจบจะ happy  (ตามที่คุณชุนบอก  :mew4: )
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 8) 2 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ►MoNkEy-PrInCe◄ ที่ 02-07-2014 20:16:55
ดราม่าแบบหน่วงๆอะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 8) 2 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 02-07-2014 21:00:58
เอิ่มม สิ่งที่อานนท์เลือก และศีลวัตก็ยอมรับ
ฟังดูดร่ามานะ งื้อออ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 8) 2 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 02-07-2014 21:08:21
โห เรื่องนี้มันหน่วงมาก  :katai1:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 8) 2 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-07-2014 23:11:21
ไม่รู้จะบรรยายอะไร ขอให้อานนท์ไม่ถูกจับได้ และภีมเสนไม่เป็นอะไร  :ling1: :ling3:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 8) 2 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 03-07-2014 00:40:57
หรือว่าจะจบแบบทั้งคู่ออกจากวัง ไปอยู่กันสองต่อสอง  :a5:
ไม่ก็รอวันกลับมาพบกันอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 8) 2 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 03-07-2014 02:12:18
พึ่งได้มาอ่าน...อ่านแล้วหยุดไม่ได้ สักตอนเลย
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 9) 3 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 03-07-2014 07:34:52
วันนี้... แค่มีเธอ
บทที่ ๙



ข่าวใหญ่อีกครั้งหนึ่งในเวลาต่อมาไม่นาน คือเจ้าชายเสนาบดีกลาโหมแห่งเรืองอรุณทรงเฆี่ยนองครักษ์ประจำพระองค์คนสนิทปางตาย โทษฐานลักลอบคบชู้กับพระสนมที่เป็นสามัญชน คนที่ ‘รู้จริง’ ต่างทราบว่าคนที่พระองค์ทรงหึงหวงไม่ใช่พระสนม แต่เป็นองครักษ์หนุ่ม

องครักษ์ที่ถูกใช้แทนผู้หญิงมานาน แต่อยากจะกลับใจไปรักใคร่ผู้หญิงคนหนึ่งมากเสียจนยอมเสี่ยงพระอาญา

“คงจะรักมากจริงๆ นะ ฉันได้ยินมาว่าเคยขอแต่งงานด้วย แต่องค์ชายรองไม่ประทานพระอนุญาต”

“ที่จริงแล้วคุณอานนท์พบพระสนมคนนั้นก่อนใช่ไหม”

“ใช่ ได้ยินว่าช่วยชีวิตเอาไว้ หรือซื้อตัวมาจากหอบุปผานี่แหละ”

“ไม่ใช่ช่วยไว้จากคนของหอบุปผาชื่อดังหรอกหรือ ฉันได้ยินมาว่าพระสนมคนนี้สวยมาก หอบุรนารีต้องการตัวเลยไปขอซื้อตัว แต่พ่อของนางไม่ยอมก็เลยถูกฆ่าตาย คุณอานนท์ไปพบเข้าพอดีก็เลยต่อสู้กับคนของหอ ฆ่าพวกนั้นตายไปสองคนแต่เพราะเป็นคนขององค์ชายรองเรื่องก็เลยเงียบ”

“แล้วยังไงอีก เล่ามาเร็วๆ”

“ก็อย่างที่รู้กันนั่นแหละ คุณอานนท์ขอประทานพระอนุญาตแต่งงาน ก็เลยถูกกริ้ว ผู้หญิงที่รักเลยกลายเป็นพระสนมไป”

“แต่ฉันได้ยินมาว่าองค์ชายรองเองก็ถูกพระทัยตั้งแต่แรกเห็นเหมือนกันนะ องครักษ์กับเจ้าชาย เป็นเธอเธอจะเลือกใครล่ะ”

ข่าวที่ลือออกไปมีหลายกระแส ต่างๆ นานา อย่างไรก็ดี ที่แน่ๆ ก็คือเจ้าชายทหารทรงหักพระทัยประหารชีวิตองครักษ์ประจำพระองค์และพระสนมไม่ได้  จึงลงพระอาญาเฆี่ยนฝ่ายแรกอย่างสาหัสและเนรเทศไปให้พ้นพระพักตร์ ส่วนฝ่ายหลังนั้นต้องพระอาญากลายเป็นนางทาสอยู่ในเรือนเก่าโทรม

โชคดีเหลือเกินที่องครักษ์หนุ่มกัดฟันลากสังขารที่ชุ่มไปด้วยเลือดออกมาพบกับขบวนเสด็จของเจ้าหลวงพระองค์ใหม่ เขาพยายามจะหลบแล้ว ทว่าหมดกำลังเสียก่อน

อานนท์สลบอยู่หน้าอาชาทรงของเจ้าหลวงหนุ่มพอดี 






หลังจากนั้นสองวัน เจ้าชายศีลวัตก็ถูกเรียกให้เข้าเฝ้าพระเชษฐาต่างพระมารดาที่ห้องทรงพระอักษร เจ้าหลวงภีมเสนรับสั่งถามเรื่องทั่วๆ ไปก่อน  หลังจากนั้นจึงรับสั่งบอกเล่าเรื่องอดีตองครักษ์ประจำพระองค์คนสนิทของพระอนุชา

“เธอจะว่ายังไง ให้พี่ส่งตัวกลับไปให้ไหม”

“จะโปรดให้ทำอย่างไรก็สุดแท้แต่พระกรุณาเถิดพระเจ้าค่ะ แต่หม่อมฉันไม่รับคืน คนทรยศแบบนั้น  แค่ชื่อ หม่อมฉันก็ยังไม่อยากจะได้ยิน”

“เขาเป็นคนมีความสามารถ”

“แต่ชั่วช้าทรยศ”

“ไม่เห็นแก่ที่เขารับใช้เธอมานานบ้างหรือ”

“ขนาดรับใช้มานานยังบังอาจทรยศหม่อมฉันได้เพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว เป็นเจ้าพี่ เจ้าพี่ทรงอภัยให้ได้ไหมพระเจ้าค่ะ”

“ได้ ถ้าพี่รัก”

สายพระเนตรของคนฟังไหวระริก ขบพระทนต์แล้วทูลตอบ

“หม่อมฉันไม่ใช่เจ้าพี่”

“ถ้าพี่จะขอไว้เป็นองครักษ์”

“ก็ขอให้ทรงระวังเอาไว้ว่ามันจะทรยศเจ้าพี่ด้วยอีกคน”

เจ้าหลวงหนุ่มแย้มพระโอษฐ์อย่างไม่ทรงเชื่อ

“พี่ไม่มีสนม”

นี่อย่างไรล่ะที่ทำให้พระองค์ทรงมีความหวัง พระเชษฐาต่างพระมารดามีพระชายาเป็นผู้ชาย แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้เป็นรานี แต่เจ้าหลวงหนุ่มก็ไม่ทรงมีผู้หญิงอื่นอีก ไม่มีใครว่าอะไรได้ เพราะพระชายาของพระองค์เคยช่วยชีวิตพระองค์เอาไว้ หากพระองค์ขึ้นเป็นเจ้าหลวงแทนที่ แล้วจะทรงมีแค่อานนท์บ้าง ใครจะบังอาจพูดอะไร ในเมื่อเขาเป็นคนสำคัญที่ทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จ

จะถูกประณามว่าเป็นเจ้าหลวงทรราชย์ก็ช่าง โหดเหี้ยมอำมหิตก็เชิญ เมื่อมีอำนาจอยู่ในมือ คำพูดทุกคำก็ถือเป็นสิ่งถูกต้อง






อานนท์กลายเป็นคนของเจ้าหลวงได้หลายเดือนแล้ว องครักษ์หนุ่มเป็นที่ไว้วางพระทัยและได้แสดงความสามารถหลายครั้งหลายหนอย่างที่แทบจะไม่เคยได้แสดงเลยตอนที่เป็นองครักษ์ประจำพระองค์ของเจ้าชายเสนาบดีทหาร

รายนั้นทรงแสดงฝีพระหัตถ์เองเสมอ

เจ้าชายศีลวัตทรงพบกับอดีตองครักษ์ประจำพระองค์บ้างตามงานพระราชพิธีต่างๆ ถ้าเลี่ยงได้ อานนท์ก็จะไม่มองพระองค์เลย แต่ถ้าบังเอิญได้สบสายพระเนตร สายตาที่มองมาก็เกือบจะว่างเปล่า ดูเฉยเมยได้อย่างแนบเนียน

แนบเนียนเกินไป เหมือนออกมาจากหัวใจจริงๆ

ต่างจากเจ้าชายทหารที่มักจะทอดพระเนตรมองอีกฝ่ายอยู่เสมอด้วยสีพระพักตร์ขัดเคืองและสายพระเนตรเจ็บปวดอยู่ลึกๆ

‘แสดง’ ได้อย่างแนบเนียนเช่นกัน... ราวกับมันไม่ใช่แค่การแสดง

พระองค์บรรทมในห้องที่อยู่ติดกันทุกคืน และไม่มีคืนไหนที่นอนหลับได้เต็มตา หลังเปลือกพระเนตรมักจะเป็นภาพแผ่นหลังที่ชุ่มไปด้วยเลือดขององครักษ์คนสนิทเสมอ วันเวลาที่พระราชชายาทรงรอคอย บัดนี้พระองค์เองก็ทรงรอคอยเช่นกัน

อานนท์เป็นของพระองค์ ทรงปล่อยให้อยู่ห่างพระองค์นานเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องเอากลับคืนมา






วันเฉลิมพระชนมพรรษาของเจ้าหลวงเป็นวันดี เหมาะที่จะทำการใหญ่ บริเวณพระลานหลวงถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานเฉลิมฉลอง เจ้าหลวงประทับบนพระแท่นในพลับพลา เจ้าชายรองแห่งอันธกาลประทับเคียงข้าง ส่วนบรรดาเชื้อพระวงศ์และข้าราชบริพารน้อยใหญ่ต่างมีที่นั่งอยู่ทางซ้ายขวาของที่ประทับ ที่นั่งถูกจัดไว้เป็นแถวเป็นระเบียบ ลาดด้วยพรมผืนนุ่มเต็มลาน ก่อนจะวางโต๊ะตัวเตี้ยไว้ตามตำแหน่งต่างๆ บริเวณที่นั่งปูด้วยพรมขนสัตว์ผืนเล็กไว้อีกผืนหนึ่ง

ที่นั่งเหมือนกัน ความสำคัญอยู่ที่ตำแหน่ง คือยิ่งใกล้กับพลับพลาที่ประทับยิ่งมีฐานันดรหรือความสำคัญสูง เจ้าชายศีลวัตประทับที่โต๊ะตัวแรก ด้านขวาของเจ้าหลวง ส่วนพระราชชายาเรวดีประทับด้านหลังพลับพลาซึ่งถูกจัดไว้เป็นที่ของฝ่ายใน

คืนนี้ดวงจันทร์ทอแสงสว่างกระจ่างตา บรรยากาศเหมาะแก่การเฉลิมฉลอง เจ้าพนักงานดนตรีประโคมดนตรีขับกล่อมตลอดเวลา อาหารการกินพรักพร้อม ผู้คนพูดคุยกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส สำหรับเชื้อพระวงศ์และบรรดาขุนนางชั้นสูงยังมีนางพระกำนัลคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายอีกนางหนึ่ง

เจ้าชายศีลวัตทรงพาพระสนมวิไลเรขามา และโปรดให้ถวายงานอยู่ข้างๆ  ไม่ต้องไปนั่งบริเวณฝ่ายใน

หลังจากการดื่มถวายพระพร และเจ้าหลวงมีพระราชกระแสตอบแล้วก็เป็นเวลาของการแสดงต่างๆ เจ้าชายเสนาบดีทหารทอดพระเนตรโดยปราศจากความรื่นรมย์อย่างสิ้นเชิง

พระทัยเต้นเร็วกว่าปกติด้วยความกังวล เมื่อทรงหันไปทอดพระเนตรทางที่นั่งของฝ่ายใน ก็เห็นว่าพระมารดาดูจะทรงเก่งกาจกว่าพระองค์มากนัก เพราะมีรับสั่งกับพระสนมคนอื่นๆ ของพระองค์ด้วยสีพระพักตร์ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นปกติ

เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณทรงขบพระทนต์ ถึงจะไม่ได้รับสั่ง แต่ก็ใช่ว่าพระองค์จะทรงรู้ไม่เท่าทัน  เหตุที่พระมารดายังทรงเป็นปกติอยู่ได้ เพราะหากเกิดเรื่องผิดพลาด คนที่ต้องรับเคราะห์จะมีเพียงแค่อานนท์คนเดียว ไม่เกี่ยวอะไรกับพระองค์ทั้งสิ้น


แต่จะยังไงก็ช่าง พระองค์ทรงเชื่อว่าอานนท์จะต้องไม่ผิดพลาด และถึงผิดพลาด ก็จะไม่มีใครสืบสาวมาถึง

การแสดงประเภทสวยงามจบไปแล้ว ลานด้านล่างถูกจัดเตรียมเอาไว้พร้อมสำหรับการแสดงฝีมือของทหารกรมกองต่างๆ และราชองครักษ์

การแสดงชุดแรกเป็นการต่อสู้จริงของกองราชองครักษ์ประจำพระองค์

เจ้าชายศีลวัตทอดพระเนตรองครักษ์หนุ่มผิวเข้มร่างสูงโปร่งในเครื่องแบบสีน้ำเงินขององครักษ์หลวงอย่างไม่วางตา ถ้าพระองค์ได้ขึ้นเป็นเจ้าหลวงเมื่อไร เครื่องแบบขององครักษ์หลวงจะต้องเป็นสีม่วงเข้มซึ่งเป็นสีประจำพระองค์เท่านั้น

การแสดงชุดนี้ตรึงสายตาของคนได้ทั้งงาน ในบรรดาราชองครักษ์ประจำพระองค์ชั้นสูงจำนวนสี่สิบนาย จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับรางวัลเป็นเหล้าพระราชทาน

อานนท์จับคู่กับราชองครักษ์ที่มีรูปร่างและส่วนสูงใกล้เคียงกัน นี่ไม่ใช่การแสดง แต่เป็นการต่อสู้จริง เขาจึงทุ่มเทฝีมืออย่างเต็มที่ ส่วนหนึ่งเพราะรู้ดีว่าจะมีสายพระเนตรคู่หนึ่งที่จับจ้องเขาอยู่ตลอดเวลา

เขาอยากจะทำให้พระองค์ทรงทราบ ว่าคนอย่างเขามีฝีมือ ได้เรียนรู้และฝึกปรือมาเพื่อจะเป็นผู้ชายที่เข้มแข็ง ไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องให้ผู้ชายคอยปกป้อง

เป็นองครักษ์ที่ต้องอยู่เบื้องหน้าของเจ้าชายในยามมีภัย

ไม่ใช่นางบำเรอที่ร้องครวญครางอยู่ใต้พระวรกายในยามค่ำคืน

คืนนี้เท่านั้นที่พระองค์จะได้ทอดพระเนตรเห็น

พ้นจากคืนนี้ พระองค์จะไม่ทรงมีโอกาสอีกต่อไป

คนแล้วคนเล่าที่ถูกเขาเอาชนะ อานนท์เหงื่อโซมกาย แต่เรี่ยวแรงของเขายังมีอยู่เหลือเฟือราวกับไม่มีวันหมด เป้าหมายของการต่อสู้ครั้งนี้อยู่ที่การเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายเท่านั้น

องครักษ์หนุ่มคงไม่นึกฝัน ว่าคนเดียวที่เขาอยากให้เห็นความสามารถจะไม่ได้นึกชื่นชมเขาเลย พระองค์เพียงแต่หน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความห่วงใย แวบหนึ่ง ทรงสงสัยเหลือเกิน

ว่าพระองค์พอจะทรงคิดเข้าข้างองค์เองบ้างได้ไหม

ทั้งที่ฝีมือเหนือกว่าพระองค์ จะปฏิเสธให้แข็งขัน ถึงขั้นถีบพระองค์ลงจากเตียงก็ย่อมได้ แต่ก็ยอมให้พระองค์ทรงเข้าไปในตัวทุกคืนๆ

แบบนี้... แปลว่ามีใจให้ได้ใช่ไหม

การต่อสู้ดำเนินมาจนถึงคู่สุดท้าย คู่ต่อสู้ขององครักษ์หนุ่มเป็นองครักษ์รูปร่างสูงหนากำยำ ฝีมือของทั้งสองคู่คี่สูสีกัน เจ้าชายศีลวัตเกือบจะทรงลุกจากที่นั่งหลายครั้งเมื่ออดีตองครักษ์ประจำพระองค์พลั้งพลาด แต่ก็ทรงสู้อดทน ขบพระทนต์เอาไว้แน่น พระเสโทผุดซึมพระนลาฏ พระสนมคนงามใช้ผ้าเช็ดหน้าหอมกรุ่นซับถวาย ทว่าถูกปัดมือออกอย่างไม่ไยดี

ในที่สุด อานนท์ก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้สมใจ

องครักษ์หนุ่มที่เดินขึ้นบันไดมายังพระลานชั้นบนนั้นสง่างามสะกดสายตา แม้แต่คนที่เคยทอดพระเนตรเห็นเขามาจนทุกรูขุมขนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่า

คืนนี้ เขาสง่างามเป็นพิเศษ

เจ้าหลวงมีรับสั่งชื่นชมและตรัสสั่งให้นำเหล้าที่จะเปิดในโอกาสพิเศษเท่านั้นมาสามขวด

เจ้าชายศีลวัตทรงนิ่วพระพักตร์อย่างกังวลทันที มีสามขวดเหมือนๆ กันอย่างนี้ อานนท์รู้ได้ยังไงว่าต้องใส่ยาพิษลงไปในขวดไหน

แล้วขวดที่สาม... สำหรับใคร

“อานนท์เคยเป็นคนของเธอมาก่อน เขามีความสามารถขนาดนี้พี่ต้องชื่นชมเธอด้วยที่ฝึกเขามาดี เพราะฉะนั้นมาดื่มด้วยกัน”

มหาดเล็กยกถาดทองบรรจุน้ำจัณฑ์สีใสในขวดแก้วเจียระไนทรงสวยกับถ้วยแก้วใบเล็กมาถวายแล้ว จะไม่ทรงรับก็จะผิดสังเกต

เจ้าชายทหารทรงยกขวดแก้วขึ้นมา ครั้นทอดพระเนตรเห็นพระนามาภิไธยย่อสลักอยู่บนจุกแก้วจึงค่อยคลายพระทัย ปล่อยให้พระสนมวิไลเรขารินถวาย

เจ้าหลวงทรงรับน้ำจัณฑ์ที่มหาดเล็กผู้ถวายงานใกล้ชิดคุกเข่ารินถวายแล้วเช่นกัน ทว่าอานนท์กลับไม่รับถ้วยเหล้าที่มหาดเล็กใส่ถาดยื่นให้ บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันที ทว่าเจ้าหลวงทรงคลี่คลายได้ด้วยการรับสั่งถามอย่างมีพระอารมณ์ขัน

“เธอไม่ดื่มเหล้าหรือ”

“ขอเดชะฯ พระอาญามิพ้นเกล้า เกล้ากระหม่อมขอเปลี่ยนเป็นถ้วยใบใหญ่กว่านี้พระเจ้าค่ะ”

ขุนนางและนายทหารระดับสูงหลายคนพลันหัวเราะอย่างถูกใจ ขณะเจ้าหลวงโปรดให้เปลี่ยนตามคำขอ ครั้นได้มาแล้ว องครักษ์หนุ่มก็สั่งให้มหาดเล็กรินเหล้าลงไปเพียงหนึ่งในสาม

“ดื่มให้ความเก่งกล้าสามารถของเธอ”

“เดี๋ยวพระเจ้าค่ะ”

ทั้งเจ้าหลวงและเจ้าชายศีลวัตต่างทรงชะงัก บรรยากาศชักจะไม่ดีขึ้นมาอีกรอบ เจ้าหลวงดูจะไม่ทรงแปลกพระทัยเท่าใดนัก ขณะเจ้าชายศีลวัตทรงขมวดพระขนงอย่างสงสัย

“กระหม่อมขอพระราชทานรางวัลเป็นน้ำจัณฑ์ในพระหัตถ์ได้หรือไม่พระเจ้าค่ะ”

เจ้าชายทหารทรงตกตะลึง

“บังอาจ!” คิดจะทำอะไร

“ไม่เป็นไร ศีลวัต” เจ้าหลวงทรงโบกพระหัตถ์ “มารับไปสิ”

องครักษ์หนุ่มเดินเข้าไปตามพระบัญชา

... หรือว่าอานนท์จะเปลี่ยนแผน...

พระเสโทเม็ดใหญ่ผุดซึมพระพักตร์งามคมคายของเจ้าชายทหาร

มหาดเล็กรับถ้วยน้ำจัณฑ์จากพระหัตถ์มาส่งให้องครักษ์หนุ่ม เขารับเอาไว้และวางลงบนถาดที่มหาดเล็กอีกนายหนึ่งยังถือรออยู่ เจ้าชายศีลวัตทรงขบพระทนต์แน่นจนเส้นพระโลหิตขึ้นข้างขมับ ก่อนจะงุนงงอีกหน เมื่อองครักษ์หนุ่มหันหน้ามาทางพระองค์เป็นครั้งแรก

“กระหม่อมขอประทานพระเมตตาเป็นครั้งสุดท้ายเถิดพระเจ้าค่ะ”

“เธอจะทำอะไร”

พระสุรเสียงเคร่งเครียดดังลอดพระทนต์ ทว่าคนถูกถามเพียงกราบทูลเรียบๆ

“ขอประทานน้ำจัณฑ์ในถ้วยของฝ่าบาทพระเจ้าค่ะ”

ต่างฝ่ายต่างมองตากันนิ่ง เนิ่นนาน

“ให้เขาไปเถิด ศีลวัต”

เมื่อเจ้าหลวงตรัสสั่ง พระองค์ก็มีแต่ต้องปฏิบัติตาม

อานนท์รินเหล้าอีกสองถ้วยลงไปในถ้วยใบใหญ่ของตนและเทเหล้าจากขวดแก้วของตนเองลงบนพื้นพรม ทหารองครักษ์ลุกฮือ เตรียมจะเข้าไปกุมตัว ทว่าเจ้าหลวงทรงยกพระหัตถ์ขึ้นห้าม

องครักษ์หนุ่มก้มหน้าไม่มองใคร เพียงยกถ้วยเหล้าขึ้นแล้วสาดลงคอในคราวเดียว

มีดสั้นสองเล่มถูกซัดออกจากอกเสื้อเกือบพร้อมกัน เสียงขวดน้ำจัณฑ์สองขวดแตกเปรื่อง แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่คนซัดกระอักเลือดคำโต

“อานนท์!”

เจ้าของชื่อทรุดลงคว่ำหน้า ทว่าหน้ากลับไม่กระแทกพื้น

คนที่รับตัวเขาเอาไว้ได้ ยังคงเป็นคนเดิมที่เขาไม่อยากจะเห็นพระพักตร์

งานเลี้ยงกลายเป็นความวุ่นวายโกลาหล       อานนท์ได้ยินสรรพเสียงอึงอล แม้แต่คนที่ถนัดสั่งอยู่เป็นประจำยังแทบจะสั่งไม่ถูก

“เจ้าแม่! ยาถอนพิษอยู่ไหนพระเจ้าค่ะ”

โง่จริง อย่างที่พระนางเรวดีเคยรับสั่งน่ะถูกแล้ว ถ้าไม่พูดออกมาก็ไม่มีใครสงสัยแท้ๆ

“พูดเรื่องอะไร ศีลวัต เลอะเลือนแล้วลูก”

“ภูวัน! ไอ้เดรัจฉาน! ไปตามมันมาเดี๋ยวนี้”

“เตชินทร์ รีบไปลากตัวมันมา ให้มันเอายาถอนพิษมาด้วย”

“อานนท์! อานนท์! อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ ห้ามตาย! ตายไม่ได้ เธอเป็นของฉัน!”

“โอ้ก!”

คนกระอักเลือดออกมาอีกคำโตเบือนหน้าหนี ความเจ็บปวดทรมานแผ่ซ่านทั่วท้องและโพรงอก

แต่เขาไม่เสียใจ

“อานนท์! อานนท์! อานนท์!”

คนถูกพิษแน่นิ่งไปแล้ว

ก่อนจะหลับตาลง สายตาของอานนท์ไม่มีแววอาลัยหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย ในขณะที่เจ้าชายศีลวัตทรงหลั่งน้ำพระเนตรทะลักทลายต่อหน้าธารกำนัลอย่างไม่อาย





tbc.


****************************************

คิดว่า
จะลงตอนที่ 10 พรุ่งนี้
ตอนที่ 11 วันจันทร์
และบทส่งท้ายสั้นๆ วันอังคารนะคะ

Enjoy  waiting! ค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 9) 3 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iGiG ที่ 03-07-2014 08:14:04
แง้ อานนท์ อย่าตายน้า อย่าให้มีใครต้องตายเลยนะคะคุณชุน T - T
เศร้า วันนี้ต้องทำงานไม่รู้เรื่องแน่เลย
เฝ้ารอค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 9) 3 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 03-07-2014 09:05:39
อานนท์อย่าเป็นไรนะ หรือว่าจะถูกเนรเทศทั้งคู่ ออกไปอยู่ด้วยกันสองคน ฮือออ  :ling1:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 9) 3 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 03-07-2014 09:05:42
'พระองค์ทรงเชื่อว่าอานนท์จะต้องไม่ผิดพลาด และถึงผิดพลาด ก็จะไม่มีใครสืบสาวมาถึง'
ตอนแรกอ่านประโยคนี้ คิดว่าเจ้าชายทหารทำไมเห็นแก่ตัวอย่างนี้ ไม่รักเลยเหรอ

แต่พอตอนอานนท์ โดนยาพิษ กับรี่เข้ามาเป็นคนแรก โดยไม่กลัวคนสงสัยเลย
แต่ศีลวัต มันจะช้าไปไหม มีเวลามากมายที่จะซื้อใจด้วยใจ ทำดีให้แก่กัน
แต่ก็ได้แต่ทำร้ายจิตใจกันตลอด

อานนท์เท่มากๆ เลยตอนนี้ ชอบจริงๆ

รอบทสรุปจากนักเขียน ลุ้นๆ :pig4:
"หรือว่า ที่ชื่อตอน วันนี้ เพราะ สำหรับสองคนนี้ จะไม่มีวันพรุ่งนี้"

หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 9) 3 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: KMprince ที่ 03-07-2014 09:12:12
อ่านพรุ่งนี้แค่ตอนแรก ก็โอ้ สนุกอะ สนุกมากๆ
ฉันพลาดไปได้เยี่ยงไร เดี๋ยวตอนที่เหลือ กลับบ้านก่อนค่อยอ่าน
ตอนนี้ทำงานอยู่ ฟินไม่ถนัด หุหุ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 9) 3 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 03-07-2014 10:15:36
หลายข้อความ หลายคำพูด ที่อ่านแล้วรู้สึกสะเทือนใจ เศร้าใจไปกับทั้งคู่  โดยเฉพาะกับอานนท์ที่บอกว่า
.. คืนนี้เท่านั้นที่พระองค์จะได้ทอดพระเนตรเห็น
พ้นจากคืนนี้ พระองค์จะไม่ทรงมีโอกาสอีกต่อไป ...
อานนท์คิดไว้แล้ว  วางแผนไว้แล้ว  แต่คิดจากสิ่งที่มองเห็น ได้ยิน และสัมผัสได้จากศีลวัต
เราคนอ่านรู้ใจศีลวัตทุกอย่าง ยังคิดว่าถ้ามาพูดหรือทำแบบนี้กับกรู  กรูจะรู้จะเข้าใจกับเมิงไหม ห๋า
อานนท์กดตัวเองลงต่ำต้อยซะยิ่งกว่าต่ำต้อย  ตั้งแต่โดนย่ำยีต่อหน้านริดาแล้ว
ยิ่งมาเจอคุณชายภูวัน  และคำล่ำลือที่ว่าศีลวัตหลงใหลผู้ชายคนนั้นยิ่งไปกันใหญ่
สำหรับอานนท์คงคิดแล้วว่าการมีชีวิตอยู่ไม่มีประโยชน์อะไรกับใคร  แม้แต่ตัวเอง
สิ่งสุดท้ายที่อานนท์ทำคือตอบแทนบุญคุณภีมเสนและการปกป้องศีลวัตไปด้วยกัน
อานนท์พูดถูกที่บอกว่า ... หลังจากนี้พระนางเรวดี จะไม่มายุ่งกับเราอีกต่อไป
เพราะอานนท์คิดไว้แล้วว่าจะไม่มีเขา ... ดังนั้น คำว่าเราก็ไม่จำเป็น
... อ่านตอนนี้แล้ว ช้ำใจจังเลย  สงสารอานนท์มาก ๆ ศีลวัตจะเข้าใจบ้างไหม
จะเข้าใจบ้างหรือเปล่า ... ว่าจริง ๆ แล้วอานนท์ก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่มีความรู้สึกเหมือนคนอื่น ๆ เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 9) 3 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 03-07-2014 10:26:55
ฮึก... อ่านแล้วสงสาร  ทำไมอานนท์ชอบย้ำจังเลยว่าจะไม่มีพรุ่งนี้สำหรับศีลวัต  คงไม่ใช่ตอนสุดท้ายแล้วคนที่อานนท์ต้องทรยศจริงๆคือศีลวัตหรอก :mew4: 

อ่านแล้วหน่วงจิต  ได้แต่ย้ำกับตัวเองว่ามันจะจบแบบแฮปปี้  แต่นี่... มันจะไปแฮปปี้ที่ตรงไหนนะ! :o211:

ได้แต่รอ  ร๊อ รอ  ตอนจบ :ling1:

หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 9) 3 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 03-07-2014 10:27:37
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:ตูเครียดดดดดดดดดดดด :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 9) 3 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 03-07-2014 12:10:07
อานนท์ อย่าเป็นอะไรนะ  :hao5:

อยากรู้อะ แม่เจ้าชายจะทำไงโดนพูดขนาดนี้  :hao6:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 9) 3 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 03-07-2014 12:11:23
 :o12:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 9) 3 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: KMprince ที่ 03-07-2014 20:18:31
อ่าน พรุ่งนี้ ถึงตอนที่ 5 คะ
แบบว่าพิรุณเนี่ยเคยเป็นหนึ่งในสนมองค์รัชทายาทสินะ
แล้วที่มาปฏิบัติกับศวัสเหมือนต้องการซึมซับร่องรอยที่องค์รัชทายาททำบนตัวศวัสเลยอะ
เธอนี่ไม่น่าไว้ใจเลย

หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 9) 3 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-07-2014 21:11:34
เทอๆ เราจุกง่ะ แบบนี้
โถ่อานนท์ อิสระที่รอคอยคือแบบนี้สินะ งื้ออ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 9) 3 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: KMprince ที่ 03-07-2014 21:49:21
 :ling3:
อ่านพรุ่งนี้จบแล้วคะ
ทำเอาแทบร้องไห้
ดีนะจบแฮ็ปปี้
รักสองคนนี้อะ หุหุ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 9) 3 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 04-07-2014 00:27:09
แอบกังวลกับตอนจบแล้วนะเนี่ย  :ling2:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 9) 3 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 04-07-2014 01:10:47
อานนท์ ทำร้ายตัวเองแบบนี้ทำไม?!?!

แต่เอ๊ะ ไม่ sad ending นี่....งั้นลุ้นต่อๆๆ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 10) 4 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 04-07-2014 07:23:11
วันนี้... แค่มีเธอ
บทที่ ๑๐



คุกหลวงไม่ได้มีสภาพเลวร้ายมากนัก แต่ก็แตกต่างจากพระตำหนักอันงดงามแสนสะดวกสบายราวฟ้ากับเหว  ถึงกระนั้นคนถูกคุมขังก็ไม่ได้สนพระทัยเลยแม้แต่น้อย

ตลอดคืนไม่ได้เอนองค์ลงบรรทมหรือหลับพระเนตรลงแม้เพียงชั่วครู่ ได้แต่ทรงดำเนินกลับไปกลับมาในห้องขังแคบๆ ด้วยพระทัยที่ร้อนเป็นไฟ และสบถด่าผู้คุมด้วยพระสุรเสียงอันดังเป็นระยะ โทษฐานที่ไม่สามารถกราบทูลได้ว่าอดีตองครักษ์ประจำพระองค์เป็นอย่างไร

“เจ้าหลวงเสด็จ”

เจ้าชายเสนาบดีทหารทรงหันขวับ ดวงพระเนตรแดงก่ำเป็นประกายเจิดจ้าขึ้น

“เจ้าพี่! อานนท์เป็นยังไงบ้างพระเจ้าค่ะ ได้ยาถอนพิษแล้วหรือยัง”

เจ้าหลวงหนุ่มทอดพระเนตรพระอนุชาต่างพระมารดาอยู่ครู่หนึ่ง

เสื้อผ้าเปื้อนเลือด หลุดลุ่ย ผมเผ้ายุ่งเหยิง สิ้นสภาพความสง่างามที่เคยเห็นอยู่เป็นนิจ ทั้งสีหน้าและแววตาล้วนปราศจากความแค้นเคือง ไม่มีแววหวั่นกลัวหรือแม้แต่อดสูอับอาย

เพียงหนึ่งเดียวที่มองเห็น คือความกังวลและห่วงใยอันท่วมท้น

“ลูกชายหัวหน้าเผ่าเวณุปฏิเสธข้อกล่าวหาของเธอ เขาไม่รู้เรื่องยาพิษ หมอหลวงกำลังช่วยกันหาทางรักษาอยู่ แต่ดูแล้วคงมีหวังไม่มาก พิษกระจายไปทั่วตัว”

“ไม่ต้องให้หมอหลวงดูพระเจ้าค่ะ แค่ไปเค้นคอไอ้เดรัจฉานนั่นมาเท่านั้น หรือไม่ก็ถามจากเจ้ามะ...” พระอนุชาทรงเก็บกลืนบางคำลงคอ จะทรงพาพระมารดามาตกตายด้วยไม่ได้

“มันต้องมีพระเจ้าค่ะ ถ้าไม่มีก็ให้มันทำขึ้นมา”

“แล้วพี่จะถามดูอีกที”

“ก็ไปถามสิพระเจ้าค่ะ! จะทรงรออะไร ไป!”

“ฝ่าบาท โปรดทรงระวังพระวาจาด้วยพระเจ้าค่ะ”

“หุบปาก!”

ราชองครักษ์ประจำพระองค์เจ้าหลวงนิ่วหน้า ทว่าก็ทนมองสบสายพระเนตรคมกล้าไม่ได้นาน

“ช่างเถอะ” เจ้าหลวงไม่ทรงถือสา “แล้วพี่จะมาใหม่”

“เจ้าพี่”

เจ้าหลวงทรงหันกลับไป

พระอนุชาซึ่งบัดนี้กลายเป็นนักโทษทรงยึดลูกกรงไว้แน่น ก่อนจะคลายออกแล้วคุกพระชานุลงทั้งสองข้าง เจ้าหลวงทรงไล่ให้ราชองรักษ์ประจำพระองค์ออกไปยืนรอข้างนอก เมื่ออยู่กันเพียงลำพัง เจ้าชายทหารจึงกราบทูลหนักแน่น

“ได้โปรดทรงช่วยอานนท์ด้วยพระเจ้าค่ะ เรื่องทั้งหมด หม่อมฉันเป็นคนผิดเอง จะทรงเชือดเนื้อเถือหนังหรือจะทรมานหม่อมฉันยังไงก็ได้ แต่ขอให้ทรงช่วยเขา อย่าให้เขาตาย”

ปลายพระสุรเสียงสั่นพร่า ความตายไม่น่ากลัวเลยสำหรับพระองค์ แต่สำหรับความตายของอดีตองครักษ์ประจำพระองค์ แค่ทรงคิดถึง พระหัตถ์ก็สั่นระริก

“ไม่ต้องห่วง ก่อนจะมีการสอบสวน เขายังไม่ควรตาย”






เจ้าชายศีลวัตบรรทมไม่หลับเลยแม้แต่งีบเดียว พระองค์ไม่ทรงได้ข่าวอานนท์มาหนึ่งวันเต็มๆ แล้ว คราบเลือดบนฉลองพระองค์แห้งกรัง เจ้าของเลือดจะกำลังนอนพักรักษาตัวหรือนอนรอความตายกันแน่ เผลอหลับพระเนตรลงทีไร ก็เห็นแต่ภาพแผ่นหลังแข็งแรงแตกยับลงกับมือและสายตาว่างเปล่าปราศจากความอาลัยในชีวิต

หลังจากทรงดำเนินกลับไปกลับมาจนพื้นแทบสึก ก็ทรงเปลี่ยนเป็นทุบผนังห้องระบายพระอารมณ์แทน สองสามชั่วโมงต่อมา มหาดเล็กตำหนักหลวงก็ถือรับสั่งมากราบทูลข่าวสารว่า อาการของอานนท์ทรุดหนักมาก บุตรชายของหัวหน้าเผ่าเวณุยังคงยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง และไม่มียาถอนพิษ หมอหลวงเองก็จนปัญญา

สายพระเนตรของเจ้าชายหนุ่มฉายประกายกร้าว เจ็บช้ำพระทัย

“ไปกราบทูลเจ้าหลวง ว่าฉันขอเข้าเฝ้าเจ้าแม่”

“พระเจ้าค่ะ”

พระองค์ทรงทราบว่าเวลาอย่างนี้ไม่ควรจะพบกับพระมารดาให้เป็นที่สงสัย ทว่าเมื่อคิดว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เพราะใครเป็นคนเริ่ม ก็อดจะทรงแค้นเคืองไม่ได้ ไม่ปรานีคนของพระองค์ก็ช่างเถิด แต่ก็ควรจะปรานีพระองค์บ้าง






พระราชชายายังคงความสง่างามตามปกติไว้ได้ทุกประการ มีเพียงสายพระเนตรเท่านั้นที่ฉายแววกังวลพระทัยอย่างลึกล้ำเมื่อพบพระพักตร์ของพระโอรส

“ศีลวัต เป็นยังไงบ้างลูก ทำไมหน้าซูบตาแดงขนาดนี้ ลูกไม่ได้ทำอะไรผิด เป็นความผิดของมันต่างหาก มันไม่ใช่คนของลูกแล้วแต่ยังมาให้ร้าย...”

“เจ้าแม่”

พระโอรสทรงตัดบทพระสุรเสียงเยือกเย็น พระนางเรวดีทรงนิ่งชะงัก

“เจ้าแม่ทรงฉลาดเฉลียว หม่อมฉันเชื่อว่าต้องทรงหาทางช่วยเขาได้”

ยาถอนพิษต้องอยู่กับพระมารดา หากพระมารดาจะทรงช่วย ย่อมมีวิธีส่งยาถอนพิษไปให้อานนท์ได้โดยที่พระนางไม่ทรงเดือดร้อน

“ศีลวัต ลูก...”

“ช่วยเขา”

ดวงพระเนตรคมกล้าไหวระริก ดุจแมลงปอกรีดปีกบนท้องน้ำ

“เขาเป็นชีวิตของหม่อมฉัน”






สามวันต่อมา เจ้าหลวงก็เสด็จไปที่คุกหลวงอีกครั้งพร้อมกับข่าวที่ทำให้คนโทษทอดถอนพระทัยอย่างโล่งอกได้เป็นครั้งแรกตลอดหลายวันอันยาวนาน

“ถึงจะปลอดภัย แต่ก็ยังต้องพักรักษาตัวอีกหลายวัน”

แค่นั้นก็พอ ขอแค่ยังมีลมหายใจ

“พี่ยังไม่ได้ให้คนสอบปากคำ แต่เขาเขียนจดหมายทิ้งไว้ฉบับหนึ่ง สารภาพว่าเป็นคนผิดทุกอย่าง”

“เขาทำเพราะหม่อมฉันสั่งพระเจ้าค่ะ”

เจ้าหลวงแย้มพระสรวลจางๆ สายพระเนตรฉายแววรู้ทันและปรานี ทำเอาพระอนุชาต้องกราบทูลอย่างหนักแน่นอีกครั้ง

“หม่อมฉันยินดีรับพระอาญา”

“เหล้ามีสามขวด เธอว่ายาพิษอยู่ในขวดของใคร”

คนถูกถามทรงนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ไม่น่าจะมีหลักฐานหลงเหลือให้ตรวจสอบอีกแล้ว ตอนนั้นใครเลยจะสนใจขวดเหล้าที่แตก ถ้ากราบทูลไปว่าน่าจะอยู่ในขวดของอานนท์ คนที่น่าสงสัยก็จะกลายเป็นเจ้าหลวงเสียเอง

“ย่อมต้องอยู่ในขวดของเจ้าพี่ เพราะหม่อมฉันสั่งให้เขาใส่ลงไปเอง”

“เขาเป็นแค่องครักษ์ จะใช้วิธีอะไรใส่ยาพิษลงไปในเหล้าพิเศษที่ถูกเก็บเอาไว้อย่างดี”

เจ้าชายทหารทรงชะงัก เรื่องนี้พระองค์ไม่ทรงทราบ ก่อนที่พระมารดาจะทรงหาวิธีที่แนบเนียนได้ อานนท์ก็ลอบส่งข่าวมากราบทูลเสียก่อน ว่าเขาหาทางใส่ยาพิษลงไปได้แล้ว และวางแผนเอาไว้อย่างไร

“พี่เป็นคนวางแผนให้เขาเอง”

“หมายความว่ายังไงพระเจ้าค่ะ”

“อานนท์ทรยศ”

เจ้าชายศีลวัตทรงตกตะลึง

“สำหรับเธออาจจะเป็นอย่างนั้น แต่สำหรับพี่ เขาแค่จงรักภักดี”

คนฟังทรงขมวดพระขนงแนบแน่น พระอุระขยายออกกว้าง แต่พยายามจะทรงระงับพระอารมณ์

“หลายปีก่อน ตอนที่พี่อายุสิบห้าสิบหก” นั่นก็เท่ากับยี่สิบปีมาแล้ว “พี่บังเอิญไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งกำลังถูกผู้ชายสามคนรุมข่มขืนอยู่ในป่า นางมีลูกชายอายุสักเจ็ดแปดขวบมาด้วย ถึงพี่จะช่วยเอาไว้ได้ทั้งแม่ทั้งลูก แต่ผู้หญิงคนนั้นกำลังป่วยมาก สุดท้ายจึงสิ้นใจตาย ฝากลูกชายไว้กับพี่ พี่ให้คนพาไปส่งที่บ้านพ่อของเด็ก  แต่เจ้ากรมทหารม้าดูแลลูกชายคนเล็กที่เกิดจากผู้หญิงในหอบุปผาไม่ดีนัก พี่เคยถามเขาว่าอยากจะเข้าวังมาเป็นคนของพี่ไหม แต่เขาก็อดทนอยู่ในบ้านเจ้ากรมต่อ และขอให้พี่ทำให้พ่อของเขาไม่เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน” เจ้าหลวงทรงยกมุมพระโอษฐ์ขึ้นนิดหนึ่ง

“นับว่าเป็นเด็กที่เลือดเย็นคนหนึ่ง จริงไหม แต่เขาก็อยู่ที่บ้านนั้นแค่สองปี เพราะมีวาสนาดี ได้เข้าวังมาเป็นเพื่อนเล่นของเจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณเสียก่อน”

เจ้าชายรองแห่งเรืองอรุณทรงฟังจนมึนชา พระวรกายชาวาบตลอดตั้งแต่พระเศียรจรดพระบาท ความจริงอันข่มขื่นและน่าขำซัดสาดเข้ามาเต็มพระพักตร์ราวกับเข็มนับพันเล่ม

“อานนท์ติดหนี้ชีวิตพี่ เขาเป็นคนของพี่ตั้งแต่อายุแปดขวบ”

เจ้าชายศีลวัตทรงกำพระหัตถ์ หลับพระเนตร

... ฉันซื้อเธอมา...

... เธอเป็นของฉัน...

... ฉันสั่งอะไรเธอก็ต้องทำ...

ช่างน่าขำเหลือเกิน อานนท์คงจะหัวเราะอยู่ในใจทุกครั้งที่ได้ยิน

“พี่ซื้อเขาด้วยชีวิตของเดนมนุษย์สามคน ส่งดาบให้เขาฆ่าคนพวกนั้นด้วยตัวเอง”

เจ้าชายทหารทรงลืมพระเนตร ทั้งประหลาดพระทัยและตกตะลึง

“แต่เขาไม่กล้าฆ่า จนถึงตอนนี้คงยังไม่เคยฆ่าใครเลย แม้แต่เธอ เขาก็ฆ่าไม่ลง”

พระทัยของคนฟังเต้นระรัว

“ทรงหมายความว่ายังไงพระเจ้าค่ะ”

วันนี้ ดูจะมีหลายเรื่องที่ทำให้พระองค์ทรงประจักษ์ว่าเป็นคนโง่

“ยาพิษอยู่ในขวดเหล้าของเธอ พี่สั่งให้เขาฆ่าเธอเอง”

เจ้าชายเสนาบดีทหารทรงนิ่งขึงตะลึงงัน เนิ่นนาน ก่อนที่ในที่สุดจะเผยแย้มพระสรวลออกมา

“หึ”

เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ แม้ประกายสายพระเนตรก็ยังพราวพรายอย่างอ่อนโยน

“ถึงจะขัดคำสั่ง แต่ก็ยังไม่ถือว่าเสียหายมาก ที่ผ่านมายังมีความดีความชอบ บอกแผนการของเธอให้พี่รู้ทุกครั้ง ฉะนั้นพี่คงจะเลี้ยงไว้ต่อไป”

พระอนุชาไม่รับสั่งอะไร แต่สีพระพักตร์แสดงการยอมรับ เงียบอยู่ครู่หนึ่ง จึงกราบทูลถามเรื่องที่คิดขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน

“ตอนที่เขาพาคนไปดักปลงพระชนม์ที่ช่องเขา เจ้าพี่จำเป็นต้องให้เขาบาดเจ็บขนาดนั้นด้วยหรือพระเจ้าค่ะ” ถ้าผิดพลาดเพียงน้อยนิด ก็คงจะถึงมือมัจจุราชไปแล้ว

“แผลกลางหลังนั่น เขาเป็นคนขอเอง”

“เพราะอะไรพระเจ้าค่ะ”

“เพราะเขาอยากให้เธอรังเกียจจนไม่อยากแตะต้อง”

คนฟังทรงกำพระหัตถ์แน่นจนสั่นสะท้าน ก่อนจะค่อยๆ คลายออก

“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ”

“เรื่องอะไร”

“ที่เสด็จมาและรับสั่งบอกให้หม่อมฉันทราบก่อนตาย” ทั้งที่จะโปรดให้เจ้าพนักงานสอบสวนทำหน้าที่นี้และไม่ต้องรับสั่งบอกก็ได้

“โทษของเธอจะถูกตัดสินพรุ่งนี้”

“แค่หม่อมฉันคนเดียวใช่ไหมพระเจ้าค่ะ”

“ยังจะมีใครอีกหรือ”

พระเชษฐาและพระอนุชาต่างพระมารดาทรงสบสายพระเนตรกันนิ่งๆ ก่อนที่ฝ่ายหลังจะทรงค้อมพระเศียรลงจนต่ำที่สุดและนิ่งอยู่ในท่านั้นเนิ่นนาน

“เป็นพระกรุณา”

พระมารดาของพระองค์ ถึงอย่างไรพระองค์ก็ทรงรัก

“เธออยากจะขออะไรเป็นครั้งสุดท้ายไหม”

คนถูกถามทรงนิ่งคิด ก่อนจะทูลตอบ

“หม่อมฉันขอ...”








tbc.




*****************************



เพื่อไม่ให้ค้าง... คำขอของศีลวัตคือขอพบอานนท์เป็นครั้งสุดท้าย

และเมื่อเจ้าหลวงไปถามความสมัครใจของอานนท์... เขาก็ยอมพบนะคะ จะได้เคลียร์กันไปให้จบๆ

ส่วนพระนางเรวดี... อาจมีบทลงโทษนิดหน่อย แต่จะพูดว่า “รอดตัวไป” ก็พูดได้อยู่นะคะ

คนที่รับกรรมเต็มๆ ... มีแค่ศีลวัต
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 10) 4 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 04-07-2014 07:50:45
หม่อมฉันขอ...ตอนต่อไปด่วน!!
ไม่อยากรอถึงวันจันทร์อ่ะคุณชุน....

อยากร้องไห้จริงๆ สงสารเจ้าชายจัง ปวดใจ... :hao5:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 10) 4 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iGiG ที่ 04-07-2014 08:01:02
แง้ ขอต่อเลยได้ไหมคะ พรุ่งนี้ก็ได้ สงสารศีลวัต อานนท์ด้วย เมื่อคืนถึงกับเก็บไปฝัน   
อย่าให้มีใครตายเลยนะคะคุณชุน T_T
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 10) 4 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 04-07-2014 08:12:57
คนแต่งใจร้ายมาก  ให้รอถึงวันจันทร์ รู้ไหมมันทรมานคนอ่านมากเลยนะ  แง ๆ ๆ
... คนที่รับกรรมเต็ม ๆ คือ ศีลวัต ... รับกรรมยังไงว๊า
ขอให้ได้อยู่ด้วยกันเถอะนะ  อ่านตอนนี้แล้วสงสารศีลวัตจัง  รักอานนท์มากมายก่ายกอง
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 10) 4 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 04-07-2014 08:33:47
มี แอบ สปอยด์ !!!!! . . . .  โฮกกกกก

แต่อย่า โกหกนะ ต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 10) 4 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: puengkiss ที่ 04-07-2014 09:07:28
สงสารเจ้าชายรับกรรมอะไรอ้าาาา วันจันทร์ช่างยาวนานนัก
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 10) 4 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Heisei ที่ 04-07-2014 09:33:30
จะร้องไห้แล้ว....
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 10) 4 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 04-07-2014 11:05:15
ไม่อยากให้ พระนางเรวดี รอดตัวไปเลย..

อยากให้อย่างน้อย ต้องได้ชดใช้กรรม ไม่มีความสุข คนชั่วไม่ควรได้ดี ยังจริงอยู่ไหม กับกฎแห่งกรรม

องค์ชายศีลวัตมีเวลาทำดีให้แก่กันตั้งมากมาย แต่สุดท้ายก็เลือกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจอยู่ตลอดเวลา

ถึงอานนท์จะไม่เคยเป็นคนขององค์ภีมเสนมาก่อน ก็เชื่อว่าอานนท์ไม่มีทางเป็นคนของพระองค์ได้หรอก

เงิน ไม่ใช่สิ่งที่ซื้อคนอย่างอานนท์ได้เลย แต่คนเลือดเย็นสุดท้ายก็นะ รักองค์ศีลวัตเข้าจนได้ ถึงกับยอมตายแทน

รอคอยบทสรุป มากๆเลยค่ะ  :pig4: นักเขียน

หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 10) 4 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 04-07-2014 13:15:49
อย่าฆ่าเจ้าชายเลยนะ นะ นะ สงสารอานนท์อะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 10) 4 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-07-2014 17:38:17
เห้ออออออ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 10) 4 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-07-2014 22:04:16
พลิกล็อคเลย ภีมเสนเลือดเย็นไม่ต่างกัน ที่อานนท์ไม่ฆ่าศีลวัตเพราะรักใช่ไหม ค้างมากค่ะ  :ling1: :ling3:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 10) 4 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 05-07-2014 00:13:11
อิตัวแม่ดันรอดซะงั้น ศีลวัตซวยจริง ทั้งๆที่โดนแม่คอยสั่งแท้
แต่ถ้าจบแบบโดนให้ออกจากวังไปอยู่กับอานนท์ ก็โอเคอยู่นะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 11) 5 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 05-07-2014 15:19:12
วันนี้... แค่มีเธอ
บทที่ ๑๑



   “ศีลวัตรักเธอนะ ลูกชายคนเดียวของฉันรักเธอมาก”

   อานนท์ไม่อยากจะฟัง แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่พระราชชายารับสั่งกับเขาแบบดีๆ แต่ประโยคที่รับสั่งนั้น... เขาชิงชัง

   พระโอรสของพระองค์ยังไม่เคยรับสั่งบอกเขาสักครั้ง แล้วพระองค์เองมีสิทธิ์อะไรมาพูด

   “รักถึงขนาดพูดว่า เธอเป็นชีวิตของเขา แม่อย่างฉันจึงต้องยอมเสี่ยงเพราะไม่อยากเห็นเขาตายทั้งเป็นอยู่ในคุก”

   คนเจ็บเบือนหน้าหนี จนใจที่เขาไม่มีแรงพอจะลุก ไม่อย่างนั้นก็คงจะวิ่งออกจากห้องไปแล้ว

   “เธอเองก็รักเขา”

   องครักษ์หนุ่มหลับตา

   “ไม่อย่างนั้นคงไม่กินยาพิษเข้าไปเอง แล้วยังเขียนจดหมายรับผิดทั้งหมดไว้คนเดียว”

   เขาก็แค่อยากตายไปให้พ้นๆ เท่านั้น ไม่ได้ต้องการให้ใครเอามาตีความแบบผิดๆ อย่างนี้

   “เธออาจจะโกรธที่เขามีนางสนมมากมาย แต่สนมคนสุดท้ายที่เขานอนด้วยคือมนัสวี ในคืนที่เธอร้องไห้ให้เขาเห็น”

   อานนท์ขมวดคิ้วแนบแน่นทั้งที่ยังหลับตา มือกำผ้าห่มแน่น ตัวสั่นสะท้าน

   เขาไม่เชื่อ!

แค่เผลอตัวร้องไห้ไปหนเดียว ก็ถึงกับไม่ยอมมีคนอื่นอีก ผู้ชายแบบนี้นี่มัน... เกินวาสนาของเขาไปกระมัง

   “เรื่องนิรดา เขาอาจจะหักหาญน้ำใจเธอไปมาก แต่ลูกชายของฉันเขาหึงหวงเธอ แล้วก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับนางเลย ตอนนี้นางกับวาริศก็รักชอบกันเพราะศีลวัตคอยสนับสนุน หลังๆ มานี้ที่เขาไปฝ่ายในโดยไม่พาเธอไปด้วย ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งสองคนได้พบกัน ส่วนไอ้เจ้าอสรพิษภูวัน ฉันเคยหลงชอบมัน สนับสนุนให้ศีลวัตเอ็นดูมันก็จริง แต่ศีลวัตก็ไม่เคยให้มันรับใช้เลยสักครั้ง”
   
   เขาชักจะชิงชังพระราชชายาขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว รับสั่งเหมือนรู้จริงไปหมดอย่างนี้ ไม่กลัวเขาจะจับได้ว่ากำลังปั้นน้ำเป็นตัวทั้งเพบ้างหรือ
   
   พูดเหมือนนั่งอยู่ในพระทัยของเจ้าชายศีลวัต ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่เคยคิดจะทำตามพระประสงค์ของพระโอรสเลยสักอย่าง
   
   พูดเหมือนนั่งอยู่ในหัวใจเขา เหมือนรู้ว่าเขาคาใจและอยากจะฟังเรื่องอะไร ทั้งที่จริงๆ แล้วเกลียดเขาเข้าไส้
   
   พระราชชายาทรงเงียบไปนาน แต่อานนท์รู้ว่าพระนางยังประทับอยู่ที่ข้างเตียง

   “อานนท์”

   เจ้าของชื่อขนลุกตลอดทั้งตัว เมื่อพระหัตถ์ที่ทั้งเย็นและอ่อนนุ่มสัมผัสหน้าผากของเขาเบาๆ

   “ฉันจะไม่แสร้งบอกว่าฉันชอบเธอ แต่เหตุผลที่ฉันชังเธอไม่ใช่เพราะตัวของเธอเอง มันเป็นเพราะศีลวัต ฉันไม่รู้ว่าเขาถูกใจเธอตรงไหน แต่มันนานมาแล้วที่พอฉันเห็นสายตาที่เขามองเธอ ฉันก็รู้ว่าสักวันหนึ่งเธอจะกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้เขาถึงตาย”

   ใช่หรือ เขามีความสำคัญถึงขนาดนั้นหรือ

   “เธอเป็นคนไม่ค่อยพูด มีอะไรก็เก็บเอาไว้ในใจ ฉันเองก็ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะต้องมาพูดอะไรแบบนี้กับเธอ แต่ไหนๆ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เก็บเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ฉันคงไม่ขอโทษเธอ เพราะถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันก็คงจะทำอย่างที่เคยทำ เธออาจจะไม่เชื่อ แต่ทุกสิ่งที่ฉันทำลงไป เป็นเพราะฉันรักลูกชายของฉัน”

   ประโยคสุดท้าย... เขาเชื่อ

   “ตอนที่เขาเกิด หัวหน้าหอทำนายทำนายดวงชะตาชีวิตของเขาไว้ว่า เขาจะไม่มีวันพรุ่งนี้ ฉันพยายามหาทางแก้ไข แต่สุดท้าย ผ่านมาสามสิบปีแล้ว คงจะต้องยอมรับว่าคำทำนายนั้นดูท่าจะเป็นจริง สิ่งที่แม่อย่างฉันพอจะทำได้คือมาขอร้องเธอ ให้ยอมบอกความรู้สึกของเธอกับเขา โกรธ เกลียด หรือไม่ชอบเรื่องอะไรก็พูด”

   ท่ามกลางความเงียบ มีเสียงเก็บกลืนก้อนสะอื้นลงคอ

   “ก่อนที่... เขาจะไม่มีวันพรุ่งนี้จริงๆ”

   ก่อนที่เขาจะตาย






   องครักษ์หนุ่มขยับตัวลุกขึ้นเมื่อเจ้าชีวิตที่แท้จริงของเขาเสด็จเข้ามาในห้อง มหาดเล็กช่วยพยุงให้เขาลุกขึ้นนั่ง กำลังจะประคองให้ลงยืน แต่เจ้าหลวงทรงโบกพระหัตถ์เสียก่อน

   “ยังไม่หายดี นั่งบนเตียงนั่นล่ะ”

   อานนท์จึงนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง เจ้าหลวงตรัสถามอาการของเขาสองสามประโยค และองครักษ์หนุ่มก็ทูลตอบตามความเป็นจริง

   “อาการของเธอควรต้องพักอยู่แต่ในห้องอีกหลายๆ วัน แต่ฉันเพิ่งรับคำขอครั้งสุดท้ายมา”

   คนฟังสะดุ้ง นึกรู้ตั้งแต่ยังไม่ได้ยินรับสั่งชัดเจน

   “เขาขอพบเธอ”

   องครักษ์หนุ่มเม้มปากเป็นเส้นตรง

   “ฉันรับว่าจะมาบอกเธอให้ แต่จะไปหรือไม่ไป ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอ”

   เขารู้ว่าไม่ควรปล่อยให้เจ้าหลวงทรงรอคำตอบนาน แต่ก็ยังต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะทูลตอบได้

   “กระหม่อมจะไปพระเจ้าค่ะ”

   อีกฝ่ายทรงพยักพระพักตร์เนิบๆ

   “ฝ่าบาท”

   เจ้าหลวงทรงรอฟังด้วยพระอาการดุษณี ทว่าอานนท์ยังกำมือแล้วคลาย กำแล้วคลายอยู่หลายครั้ง กว่าจะตัดสินใจพูด

   “กระหม่อมทูลถามได้หรือไม่พระเจ้าค่ะ ว่าจะโปรดให้ตัดสินโทษองค์ชายรองอย่างไร”

   “ตามกฎก็ต้องประหารชีวิต”

   “... แบบไหนพระเจ้าค่ะ”

   “เขาเคยบอกฉันว่า ถ้าช่วยชีวิตเธอได้ ต่อให้ฉันจะแล่เนื้อเถือหนัง เขาก็ยอม”

   อานนท์กำมือ นิ่วหน้า ทำไมวันนี้มีแต่คนพูดให้เขาสงสารเจ้าชายพระองค์นั้น ทั้งที่เขาเองไม่ใช่หรือ ที่เป็นฝ่ายควรได้รับความเห็นใจ

   “พอจะมีทางลดโทษให้ได้บ้างหรือไม่พระเจ้าค่ะ”

   “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาคิดจะฆ่าฉัน”

   รอยกังวลจับแน่นตรงกลางระหว่างคิ้ว สมองแล่นเร็วจี๋ทั้งที่ปวดหัวจนหูอื้อ

   “กระหม่อมเล่าพระเจ้าค่ะ มีโทษสถานใด”

   “เธอขัดคำสั่ง แต่ฉันจะไม่เอาโทษ ถือว่าเธอตอบแทนบุญคุณที่เขาชุบเลี้ยงเธอมาสิบแปดปี ส่วนหนี้บุญคุณระหว่างฉันกับเธอก็เป็นอันจบสิ้น เธอเป็นอิสระ”

   ประกายตาของคนป่วยเจิดจ้า

   “ถ้ากระหม่อมจะขายชีวิตให้ฝ่าบาทอีกสักหน จะทรงยอมรับซื้อได้หรือไม่พระเจ้าค่ะ”

   “แลกกับอะไร”

   “... ชีวิตขององค์ชายรอง”

   เจ้าหลวงหนุ่มแย้มพระสรวล

   “เหตุผลล่ะ”

   “ไม่มีเหตุผลพระเจ้าค่ะ”

   “งั้นก็ไปหาเหตุผลมาเสียก่อน ฉันถึงจะรับพิจารณา”

   อานนท์เม้มริมฝีปากเคร่งเครียด เขาไม่มีเหตุผลจริงๆ แต่ก็ไม่อยากจะทำให้เวลาเนิ่นช้าออกไป การจะเข้าเฝ้าเจ้าหลวงอีกครั้ง ไม่ใช่จะทำเมื่อไรก็ได้ สุดท้าย เขาก็ขยับปาก

   “กระหม่อม...”



********************************



ไม่ได้เห็นกันเพียงไม่กี่วัน ก็เนิ่นนานราวกับวันเวลาผ่านไปนับปี อานนท์ที่ปรากฏตัวตรงประตูห้องขังช่างดูผ่ายผอมและซีดเซียวกว่าครั้งสุดท้ายที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นมากนัก

ตาโรยและอ่อนเพลียอย่างคนที่ยังไม่ฟื้นไข้

ถึงกระนั้นก็ยังพยายามทำเป็นเข้มแข็งอย่างที่ชอบทำอยู่เสมอ

“รู้สึกเป็นยังไง ยังเจ็บตรงไหนอยู่ไหม”

แก้มตอบลงหน่อย เสื้อผ้าที่ใส่ดูโคร่งๆ หนวดเคราเพิ่งโกนใหม่ แต่ก็ไม่ทำให้ดูสดใสขึ้น

“กระหม่อมสบายดีพระเจ้าค่ะ”

เป็นคำโกหกที่ต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าโกหก แต่อานนท์ไม่สะทกสะท้าน

“หลังของเธอ เป็นแผลเป็นรึเปล่า”

“เจ้าหลวงพระราชทานยาดี ไม่มีรอยแผลเป็นพระเจ้าค่ะ”

“งั้นหรือ”

ทรงลงพระหัตถ์หนักออกอย่างนั้น จะไม่หลงเหลือรอยได้ยังไง

ราวกับจะหมดเรื่องพูดแต่เพียงเท่านี้ ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบ เจ้าชายซึ่งกลายเป็นคนโทษทอดพระเนตรมองอดีตองครักษ์ประจำพระองค์ราวกับจะทรงจดจำเขาเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ทั้งที่แม้จะหลับตาก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน

“เธออยู่กับฉันเพราะอะไร”

“เพราะฝ่าบาททรงซื้อกระหม่อมมา”

แม้น้ำเสียงจะทั้งเบาและแหบแห้ง แต่พระทัยของคนฟังยังกลวงโหวงและแห้งแล้งได้ยิ่งกว่า

“นั่นมันตอนที่เธอยังเด็ก พอโตขึ้น ถ้าเธออยากจะไปจากฉันเธอก็น่าจะทำได้”

องครักษ์หนุ่มยกริมฝีปากซีดเซียวขึ้นนิดหนึ่งราวกับจะหยัน

“ฝ่าบาทรับสั่งเอง ว่ากระหม่อมไม่มีวันหนีพ้น”

“เจ้าหลวงต้องช่วยเธอได้” อานนท์ไม่ตอบ “แค้นฉัน เหมือนที่แค้นเจ้ากรมทหารม้าหรือ” ถึงได้ทำอย่างเดียวกัน คืออยู่ด้วย แต่จะไม่ยอมให้สำเร็จในสิ่งที่ต้องการ

“หรือว่าฉันทำกับเธอเหมือนที่พวกเดนมนุษย์นั่นมันทำกับแม่เธอ”

อานนท์มีปฏิกิริยา เขาสะดุ้งเหมือนถูกสะกิดแผลที่เกิดขึ้นมานาน เป็นหนอง แต่ไม่ยอมหาย องครักษ์หนุ่มสูดลมหายใจเข้าช้าๆ

“กระหม่อมอยู่กับฝ่าบาทเพื่อเป็นหนอนบ่อนไส้พระเจ้าค่ะ หนี้ชีวิตต้องตอบแทนด้วยชีวิต กระหม่อมรอคอยที่จะได้ตอบแทนพระกรุณาของเจ้าหลวง” จากนั้นจะได้เป็นไทเสียที

“มีเหตุผลอื่นไหม”

“ไม่มีพระเจ้าค่ะ”

เจ้าชายศีลวัตทรงพยักพระพักตร์ เก็บกลืนคำถามหนึ่งลงพระศอไป

... เธอไม่เคยอยากจะอยู่กับฉัน ด้วยความปรารถนาของตัวเองบ้างเลยหรือ...

“สำหรับเธอ การต้องอยู่กับฉันคงจะเป็นคำสาปสินะ”

อานนท์ไม่ตอบ เจ้าชายทหารจึงไม่ได้รับสั่งเช่นกัน ว่าสำหรับพระองค์แล้ว มันเป็นพรจากสวรรค์ พรที่ดีที่สุดในชีวิตของพระองค์

“ยังมีสิ่งใดจะรับสั่งถามอีกหรือไม่พระเจ้าค่ะ ถ้าไม่มี กระหม่อมจะได้กลับไปพักผ่อน”

“เธอชอบอะไร”

คำถามเดิม ที่เคยเพียรพยายามถามมาตลอด

“กระหม่อมไม่มีสิ่งที่ชอบพระเจ้าค่ะ”

คำตอบ ที่เคยได้รับตลอดมา

“โกหกคนใกล้ตายนี่มันบาปนะ” รับสั่งยิ้มๆ ราวกับพระอารมณ์ดี ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น

“เธอชอบฉันไหม” พระสุรเสียงทอดอ่อนราวกับกลัวว่าถ้าดังกว่านี้ บางสิ่งบางอย่างจะแตกสลาย

อยู่ด้วยกันมาเกือบจะยี่สิบปี นอนเตียงเดียวกันสิบกว่าปี เพิ่งจะตรัสถามประโยคนี้เป็นครั้งที่สอง ในตอนที่จะต้องจากกันชั่วกาลนาน

ถึงกระนั้นคำตอบก็ยังพาใจสลาย

“ไม่ชอบพระเจ้าค่ะ”

ก้อนความรู้สึกบางอย่างตีตื้นขึ้นมาท่วมพระอุระ เจ็บปวดหรือ ไม่หรอก มันยิ่งไปกว่านั้นเสียอีก

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กระหม่อมขอทูลลา”

องครักษ์หนุ่มค้อมศีรษะถวายคำนับแล้ว แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น คำถามใหม่ยังตามมา

“เธอไม่ชอบอะไร”

บางที พระองค์อาจจะถามคำถามผิดมาตลอด

“ทุกสิ่งที่ฝ่าบาททรงทำกับกระหม่อม”

อา... เจ็บแสบดีแท้ เจ้าชายทหารทรงพยักพระพักตร์ อานนท์ถวายคำนับสั้นๆ อีกครั้งหนึ่งแล้วหันหลัง

“สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดล่ะ”

หลังคำถามนี้กลับเป็นความเงียบ ราวกับเจ้าตัวกำลังใช้ความคิด

“กระหม่อมไม่ชอบเวลาที่ฝ่าบาททรงเข้ามาในตัวของกระหม่อม”

ทูลจบก็ก้าวเดิน ราวกับจะหนีไปให้พ้นๆ โดยเร็ว ถึงกระนั้นก็ยังต้องหยุดชะงักอีกเมื่อคนเบื้องหลังรับสั่งถามเบาๆ

“เธอไม่เคยมีความสุขเลยหรือ” เวลาที่ฉันอยู่ในตัวของเธอ “สักครั้งก็ไม่เคยหรือ”

คนถูกถามกำมือแน่น

“ก็เสียวดีพระเจ้าค่ะ แต่กระหม่อมไม่คิดจะใช้ชีวิตอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิต”

เจ้าชายศีลวัตทรงนิ่งอึ้ง ก่อนจะทรงพระสรวล

“หึหึ ฮ่ะๆๆๆๆ”

อานนท์ขยับปลายเท้า

“ไม่ต้องหันมา”

คนถูกสั่งยืนลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเดินออกจากคุกไป เจ้าชายหนุ่มทอดพระเนตรตามไปกระทั่งประตูคุกถูกปิดลง

พรุ่งนี้จะเป็นวันที่เราอยู่ด้วยกันครบสิบแปดปี

ฉันไม่มีอะไรจะให้

หวังเพียงแต่ว่า... ความตายของฉันจะทำให้เธอยินดี

และเป็นสิ่งแรกที่เธอยอมบอกกับหลุมศพของฉันว่า... เธอชอบ

แสงสุดท้ายของวันที่ส่องลอดหน้าต่างคุกลงมา สะท้อนหยดน้ำบนแก้มจนแวววามจับตา

ไม่มีสิ่งใดให้อาลัยอีกต่อไป








tbc.




***************************



ชุนไม่ได้ใจร้ายแล้วนะคะ... เปลี่ยนคนแล้วค่ะ ห้ามว่าชุนแล้วนะ
คราวหน้าเป็นบทส่งท้ายนะคะ ความยาวประมาณสองหน้าครึ่ง ( A4 ) ค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 11) 5 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: milkshake✰ ที่ 05-07-2014 15:33:13
โหโคตรซึ้งอ่ะ ;_;
อานนท์ใจร้ายยยยยย สงสารองค์ชายศีลวัต

พิมพ์มากไม่ได้เดี๋ยวร้องไห้บนรถไฟฟ้า ฮือออ TwwwwwT
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 11) 5 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 05-07-2014 15:35:29
เปลี่ยนคนแล้ว คือ อะไร ไม่เข้าใจ ...
อานนท์เลือดเย็นกว่าที่คิดเยอะเลย
อ่านตอนนี้แล้ว  น้ำตาจิไหล สงสารศีลวัตจัง
แต่เดาอีกแหละว่า อานนท์คงสารภาพความรู้สึกของเจ้าหลวง
และศีลวัตไม่น่าจะโดนประการชีวิต
นอกจากเสียจากจะฆ่าตัวตาย สมใจกันทั้งสองฝ่าย
พรุ่งนี้หรือเปล่านะ  บทส่งท้าย ... รออย่างมีความหวัง
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 11) 5 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Heisei ที่ 05-07-2014 16:13:28
เศร้าที่สุด ทำไมมันบีบคั้นขนาดนี้
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 11) 5 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: puengkiss ที่ 05-07-2014 16:17:35
:สงสารเจ้าชาย เศรัามากๆๆๆใจร้ายมากนะอานนท์ หล่อนโหดไปแล้วนะยะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 11) 5 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Chise ที่ 05-07-2014 16:48:06
เกลียดแม่เจ้าชาย ก็ตัวเองไม่ใช่หรอที่ทำให้ลูกไม่มีวันพรุ่งนี้
เกลียดนางสุดๆ รับกรรมบ้างเถอะคนแบบนี้
อานนท์ใจร้าย เลือดเย็นกับเจ้าชายเหลือเกินนน :sad4:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 11) 5 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 05-07-2014 17:23:13
อานนท์ไง ที่ใจร้ายกว่าคนเขียน กร๊ากกกกกก

ที่จริงแล้ว ก็ปากแข็งปากไม่ตรงกับใจทั้งคู่

คู่นี้อยู่ด้วยกันมานาน ควรรู้นะว่าให้ดูจากการกระทำจะดีกว่า ..

รอบทสรุปจากนักเขียน บอกตรงๆลุ้นมากค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 11) 5 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 05-07-2014 17:26:23
ปวดใจ..!!
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 11) 5 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 05-07-2014 17:53:24
ร้องไห้ตั้งแต่บรรทัดแรกๆจนบรรทัดสุดท้าย
จุก ปวดใจ บีบคั้นกันให้ตายคามือ  :o12:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 11) 5 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 05-07-2014 19:23:34
สะอื้นตามศีลวัตเลย

เจ้าแม่น่าจะคิดได้เร็วกว่านี้เนาะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 11) 5 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 05-07-2014 20:30:31
ฮือออ น้ำตาจะไหลแล้ว  เจ็บแทน  :hao5:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 11) 5 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-07-2014 21:44:58
ร้องไห้เลย อานนท์ไม่ได้รักศีลวัจเลยเหรอ ซักนิดก็ไม่เหรอ :ling3:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 11) 5 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 05-07-2014 22:15:36

จะเเม่ยอมตายเเทน
หรือตายทั้งสองก็ได้
เเต่ไม่อยากให้งานนี้ตายเดียว
จากตายมันทำใจยากจริงๆ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 11) 5 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 05-07-2014 22:22:27
ฮึก   พูดไม่ออกมันหน่วงในอก
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทที่ 11) 5 ก.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 06-07-2014 01:04:05
 :beat: ถ้าอิแม่ไม่สั่งให้ลูกพยายามเป็นเจ้าหลวงมันจะเกิดเรื่องแบบนี้เรอะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค. 57 [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 06-07-2014 07:25:48
วันนี้... แค่มีเธอ
บทส่งท้าย



   แรกเหมันต์เป็นแคว้นเล็กๆ ที่อยู่ทางตอนเหนือ เป็นดินแดนอันแห้งแล้งและเหน็บหนาว ฤดูหนาวยาวนานเกือบตลอดทั้งปี โชคดีที่เมื่อเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งของแคว้นได้เป็นพระราชชายาของเจ้าหลวงแคว้นใหญ่ทางใต้ ชาวเมืองก็มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ขึ้น เพราะเจ้าหลวงแคว้นนั้นโปรดให้ส่งเสบียงมาเลี้ยงดูผู้คนในแคว้นของพระราชชายาอย่างสม่ำเสมอ

   อนิจจา พระราชชายาทรงใฝ่สูง วางแผนกับพระโอรสคิดปลงพระชนม์เจ้าหลวงพระองค์ใหม่ เคราะห์ดีที่เจ้าหลวงมีพระทัยเมตตาแก่พระอนุชาต่างพระมารดา จึงเพียงแต่โปรดให้เนรเทศออกจากแคว้นและห้ามกลับมาชั่วชีวิต โปรดให้พระราชชายาทรงปลงเกศาออกบวช และตัดความช่วยเหลือที่เคยมีมาในอดีตจนหมดสิ้น

   ประชาชนชาวแรกเหมันต์โกรธแค้นทั้งสองพระองค์เป็นอย่างยิ่ง ทว่าเจ้าชายที่พวกเขาเคยเห็นแต่ตอนยังทรงพระเยาว์กลับเปลี่ยนความรู้สึกนั้นเป็นความชื่นชมโสมนัสได้ภายในเวลาเพียงสองปี

   เจ้าชายที่เคยได้ยินว่าทรงเกเรและหนีเรียนเป็นประจำ โตมาก็โปรดแต่เรื่องการทหาร แท้จริงแล้วกลับเปี่ยมด้วยพระปรีชาสามารถ แม้จะมิอาจเปลี่ยนดินแดนอันแห้งแล้งให้อบอุ่นได้ แต่ก็ทำให้ประชาชนมีกินมีใช้ มีอาชีพ ชาวแรกเหมันต์มีสินค้าที่จะนำไปแลกเปลี่ยนเป็นอาหารและเสื้อผ้าได้ตลอดหน้าหนาวอันยาวนาน

   เวลาสองปีนานพอจะเปลี่ยนอะไรไปหลายอย่าง แต่ไม่ว่ายังไง สำหรับเจ้าชายพระองค์นั้น

แรกเหมันต์ก็ยังเป็นดินแดนที่เหน็บหนาวเกินไปอยู่ดี






   เมื่อไม่นานมานี้ดินแดนเล็กๆ แห่งนี้มีเจ้าหลวงพระองค์ใหม่ เป็นเจ้าหลวงที่ทรงสง่างามยิ่งนัก พระพักตร์หล่อเหลาคมคาย พระฉวีขาวจัด ตัดกับพระขนงคมเข้ม วรองค์สูงโปร่งทว่าแข็งแรงกำยำ เพราะในแคว้นที่ประชาชนส่วนใหญ่ปลูกพืชเมืองหนาวและเลี้ยงสัตว์เป็นอาชีพหลัก แม้แต่เจ้าหลวงเองก็ทรงเป็นเกษตรกร

   เสียอยู่อย่างเดียวเท่านั้น คือเวลาแย้มพระสรวล ความรื่นรมย์นั้นไม่เคยขึ้นไปถึงดวงพระเนตร

   ผู้คนในราชสำนักต่างหาวิธีทำให้พระองค์ทรงพระสำราญขึ้นด้วยการสรรหาหญิงงามมาเป็นดวงดอกไม้ประดับพระที่และพระทัย ทว่าไม่ว่าจะงามสรรพเพียงใด พระองค์ล้วนทรงปฏิเสธ

   พระราชมารดาซึ่งประทับอยู่ที่พระอารามหลวงเคยรับสั่งกับข้าราชบริพารผู้หวังดีว่า

   “แค่ทรงเป็นเจ้าหลวงที่ดี เรื่องจะมีเมียหรือไม่มี ก็ปล่อยไปตามใจพระองค์บ้างเถอะ”

   ทว่าพอชักจะนานเข้า ก็รับสั่งถามตอนที่พระโอรสเสด็จมาทรงเยี่ยมบ้างเหมือนกัน

   “นานแล้วนะ ไม่ถูกใจผู้หญิงคนไหนบ้างหรือ เจ้าหลวง”

   คำตอบแบบเดิมๆ ก็นั่นล่ะ รอยยิ้มนิดๆ ที่ส่งขึ้นไปไม่ถึงดวงตา






   ราวครึ่งปีต่อมา เมื่อราชองครักษ์ที่เจ้าหลวงหนุ่มมีพระบัญชาให้ไปทำงานลับชิ้นหนึ่งกลับมากราบทูลว่ามีชายหนุ่มจากแคว้นทางใต้ขึ้นมาถึงแคว้นเล็กๆ และเหน็บหนาวของพระองค์ กษัตริย์แห่งแรกเหมันต์ก็โปรดให้มีการแข่งขันเพื่อคัดเลือกราชวัลลภ คัดเอาเพียงหนึ่งคนเท่านั้น ต้องเป็นคนที่สามารถเอาชนะราชองครักษ์ฝีมือดีที่สุดของพระองค์สามคนได้

   สุดท้าย จะต้องเอาชนะพระองค์ได้และทำสิ่งที่พระองค์ตรัสสั่งได้หนึ่งอย่าง

   ของรางวัลคือเบี้ยหวัดเงินปีทั้งหมดทุกปีของเจ้าหลวง และการละเว้นโทษตายไม่ว่าจะกระทำความผิดใดก็ตาม

   มีคนมีฝีมือหลายคนผ่านเข้ารอบสุดท้าย แต่ไม่สามารถปฏิบัติตามพระบัญชาได้ พอถูกสั่งว่า

   “ฆ่าฉันให้ตาย แล้วเธอจะได้รางวัลทั้งหมด”

   ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ต้องรีบทิ้งอาวุธแล้วคุกเข่าลงทันที ราชวัลลภมีหน้าที่ปกป้องพระองค์ ถ้าฆ่าพระองค์เสียแล้วจะไปปกป้องใคร







   อย่างไรก็ดี หลังจากผ่านไปนานนับเดือน ก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งผ่านมาจนถึงรอบสุดท้าย เป็นชายหนุ่มอายุสามสิบปี หน้าตาธรรมดา ผิวสีเข้ม รูปร่างสูงโปร่งแข็งแรงและมีแววตาของคนไม่กลัวตาย

   เจ้าหลวงทรงให้เกียรติเขาด้วยการต่อสู้จนสุดพระกำลัง ขณะที่ชายหนุ่มก็ถวายพระเกียรติด้วยการแทงกระบี่ทะลุฉลองพระองค์ บรรดาราชองครักษ์รีบเข้ามาถวายความปลอดภัย ทว่ากษัตริย์หนุ่มทรงไล่ให้ไปยืนอยู่นอกลาน ก่อนจะตรัสถามคนที่ตั้งแต่เขาขึ้นมา พระองค์ยังทรงละสายพระเนตรไปจากเขาไม่ได้เลย

   “เธอฆ่าฉันได้ไหม”

   “ไม่ได้พระเจ้าค่ะ”

   สองปีก่อนฆ่าไม่ได้ ตอนนี้... ยิ่งไม่ได้

   “อย่างนั้นเธอก็คงเอาสมบัติของฉันไปไม่ได้”

   คนฟังคิดว่าเขาก็ไม่เห็นอยากจะได้ ลำพังแค่คฤหาสน์หลังใหญ่บนเนินเขานอกเมืองหลวงของเรืองอรุณ กับของประดับตกแต่งล้ำค่าสารพัดที่อยู่ข้างใน ก็เพียงพอให้เขาใช้ชีวิตอย่างสมถะสุขสบายไปได้อีกสิบชาติ แค่ขายที่ทับกระดาษหยกรูปสิงโตไปสักชิ้น เขาก็มีกินไปได้เป็นปี

   แต่ไม่รู้ทำไมถึงตัดใจขายไม่ลง

   เจ้าหลวงหนุ่มทรงสาวพระบาทเข้าใกล้ ปลายกระบี่จมลงไปในพระอุระ ทำให้พระโลหิตค่อยๆ ซึมผ่านฉลองพระองค์

   ทว่าอานนท์ไม่ขยับถอย

   “แต่ไหนๆ เธอก็เข้ามาถึงในหัวใจฉันแล้ว ฉันจะให้เธอขอสิ่งที่ชอบได้หนึ่งข้อ”

   “กระหม่อมไม่มีสิ่งที่ชอบพระเจ้าค่ะ”

   “งั้นสิ่งที่ไม่ชอบล่ะ”

   สายลมหนาวพัดมากรูเกรียว เย็นยะเยือกขนาดนี้ แม้แต่ชายชาตรีอกสามศอกยังต้องสะท้าน  ทว่าสองคนบนลานไม่หวั่นไหว

   “กระหม่อมไม่ชอบหลายอย่าง”

   “อะไรบ้าง”

   สิ่งที่จะทำให้ฉันสะท้านได้ คงมีแต่คำตอบของเธอ
   
   “กระหม่อมไม่ชอบผักชีต้นหอม”
   
นั่นของโปรดของพระองค์เลย ซ้ำยังทรงตักประทานให้เขาทีละมากๆ แล้วตักให้ทีไรก็กินหมดทุกที

   “ไม่ชอบดื่มนม”

   ตอนเด็ก ทรงบังคับให้อีกฝ่ายดื่มเป็นเพื่อนประจำ

   “ไม่ชอบม้าสีขาว”

   ชั้นเลิศ พันธุ์ดี ราคาหลายหมื่นที่พระองค์ทรงซื้อประทานให้นั่นก็สีขาว

   “ไม่ชอบกำแพงสีเขียว”

   รับสั่งบอกแล้วว่าให้ตัดสินใจตกแต่งเอาตามใจชอบ แต่ก็ยอมไปที่นั่นเพียงแค่ครั้งเดียว คนทาสีทูลถาม พระองค์ก็รับสั่งบอกไปน่ะสิว่าสีเขียว

   คนพูดหยุดไปชั่วครู่ แต่กษัตริย์หนุ่มยังทรงรอฟัง และดูจะพระอารมณ์ดีขึ้นทุกที

   “ไม่ชอบ... ให้ฝ่าบาททรงฝืนบังคับตอนที่กระหม่อมพยายามจะปฏิเสธ ไม่ชอบให้ฝ่าบาททรงทำกับกระหม่อมต่อหน้าคนอื่น ไม่ชอบยืนมองเวลาฝ่าบาททรงนอนกับใคร ไม่ชอบให้ทรงสัมผัสผู้หญิง หรือผู้ชายคนไหนก็ไม่ชอบ ไม่ชอบให้ทรงมีฝ่ายใน ไม่ชอบ... ที่ฝ่าบาทยังไม่ทรงอภิเษกสมรสเสียที”

   ไม่ชอบเลย ที่ต้องมายืนพูดให้อีกฝ่ายมองมาแล้วยิ้มเหมือนจะขำแบบนี้  ทั้งที่เขาจริงจัง

   “ไม่ชอบหลายอย่างขนาดนี้ เอาไว้พูดต่อพรุ่งนี้อีกวันดีไหม”

   เจ้าหลวงทรงสัพยอก ไม่ได้สำนึกเลยว่าตอนนี้สภาพของพระองค์เป็นอย่างไร อานนท์กำกระบี่แน่น

   “พรุ่งนี้ กระหม่อมอาจจะทรยศฝ่าบาทอีก”

   กษัตริย์หนุ่มทรงชะงัก แล้วก็แย้มพระสรวล สายพระเนตรทอแววรักใคร่ลึกซึ้งอย่างเปิดเผย

   “ขอแค่วันนี้เธออยู่กับฉัน วันพรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง”

   ริมฝีปากของอดีตองครักษ์ประจำพระองค์ค่อยๆ เคลื่อนขยับขึ้นเป็นรอยยิ้ม
.
.
.

   แสงแรกในฤดูเหมันต์พลันสาดส่องกลางพระทัยในวินาทีนั้น
 






END




************************************



-   เอาบทส่งท้ายมาส่งแล้วค่ะ ขอย้ายเรื่องไปอยู่ในส่วนของนิยายที่โพสต์จนจบแล้วเลยนะคะ

-   สำหรับพระนางเรวดี ก็... ถือเสียว่าชาติที่แล้วทำบุญมาดี มีลูกดี หรือไม่ก็ภีมเสนใจดี อะไรก็ได้ค่ะ คือชุนอยากให้จบแบบนี้อ่ะ

-   สำหรับศีลวัตและอานนท์ ก็ตามที่คุณ Sar2288 บอกเลยค่ะ คู่นี้ปากแข็ง ต้องดูที่การกระทำ ศีลวัตก็คิดว่าเขาแสดงออกชัดเจนแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูด และไม่คิดว่าคนอย่างอานนท์จะอยากได้ยิน ส่วนอานนท์ก็ถือว่า ในเมื่ออีกฝ่ายยังไม่เคยพูด ทำไมเขาจะต้องพูดด้วยล่ะ

-   ต่อจากนี้ ก็คงจะได้อยู่ด้วยกันแล้ว และมี “วันนี้” ร่วมกันไปทุกๆ วัน (อากาศมันหนาว คงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อจะได้รู้สึกอบอุ่นทุกวันน่ะค่ะ)

-   อีกอย่างหนึ่งที่คิดว่าคงยังไม่ลืม... ห้ามขอตอนพิเศษนะคะที่รัก

-   สุดท้ายนี้ ขอบคุณคนอ่านทุกคนที่แสดงความคิดเห็น และเป็นกำลังใจให้กันตลอดมานะคะ คนเขียนทุกคนก็ชอบอ่านความคิดเห็นอยู่แล้ว แต่เพราะว่าเวลาชุนไปอ่านเรื่องของคนอื่น ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร ยกเว้นเป็นเรื่องที่ชอบมากจริงๆ ชุนก็เลยไม่ซีเรียสว่าจะต้องได้ความคิดเห็นอะไรเยอะแยะ เพราะงั้นเวลาได้ความคิดเห็นที่ยาวๆ ก็เลยออกจะเกินความคาดหมาย ตอนแรกว่าจะตอบรายคนให้ครบทุกตอนเพราะไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร แต่ก็ทำไม่ได้ตลอด  หลายความคิดเห็นตรงใจมาก บางทีก็ขำมาก หรือปลื้มมากๆ มีบางคนที่ประทับใจมาก อาจจะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ก็... ขอได้รับคำขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ค่ะ

ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้นจนจบนะคะ ^^


พบกันที่เรื่อง รามิเรส นะคะ แต่เรื่องนั้นคงนานๆ ทีถึงจะลงได้สักตอน ตอนต่อไปอาจจะเป็นอาทิตย์หน้าค่ะ



หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค. 57 [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 06-07-2014 07:38:00
โอ๊ยยยยย ปากแข็งจนวินาทีสุดท้ายเลย
ไม่ หวาน แต่ก็โอเคละ ชดเชยกับที่ต้องเสีย น้ำตาไปมากมายเมื่อวาน
ได้ แค่นี้ คง เต็มที่ของสองคนนี้แล้วกระมัง
..... รวมเล่มเถอะนะ ชอบเรื่องนี้มากกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค. 57 [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 06-07-2014 07:41:00
ศีลวัต เป็นตอนที่จบแบบจุกๆ
คงมีความสุขแหละเนอะ มีอานนท์ก็พอแล้ว

จะปากแข็งไปตลอดชีวิตก็ได้ แค่อยู่ด้วยกันก็พอ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค. 57 [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 06-07-2014 09:08:55
อ๊ากกก สองคนนี้เขาชอบอ้อมโลกกันจริงๆ ทำม๊ายเค้าไม่พูดกันตรงๆ ห๊าาา :angry2:

จบแล้ว  :mew6: หมดน้ำตาเป็นปี๊บ 555ก็เว่อร์ไป

ชอบๆ วันนี้...แค่มีเธอ บทส่งท้ายอ่านแล้วมันอบอุ่นแบบอึนๆ

ขอบคุณจ้า

ไปตามเกาะรามิเรสต่อ คู่นี้ก็เดินอ้อมโลกเหมือนกัน :laugh:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค. 57 [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 06-07-2014 09:19:03
เป็นวันนี้ที่ดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค. 57 [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 06-07-2014 09:40:11
เข้ามายกมือสนับสนุน อยากได้รวมเล่มด้วยคนค่ะ

   “ขอแค่วันนี้เธออยู่กับฉัน วันพรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง” อ่านประโยคนี้จบน้ำตาจะไหล

พ่อคนโหด พูดทีนี่แทงเข้ากลางใจ จึกๆเลย ต่อให้เป็นคนเลือดเย็นขนาดไหน พอฟังประโยคนี้เข้าไป ก็ต้องอุ่นขึ้นมาบ้างหล่ะ

มีความสุขจังที่สุดท้ายแล้ว ทั้งสองคนก็ได้อยู่ด้วยกัน โดยไม่ต้องมีใครเป็นเจ้าของใคร แต่เป็นเพราะความต้องการของตัวเอง
 :pig4: นักเขียน ซีรี้ย์เวลา สนุก ชอบทุกเรื่องเลยค่ะ
- นายเอกที่ชอบที่สุด ยกให้ไทวา น้องน่ารัก  ตรงไปตรงมา พยายามอย่างเต็มที่เพื่อพี่เขย เท่าที่ขอบเขตตนสามารถทำได้
- พระเอก สุดท้ายยกให้ศีลวัตพ่อคนโหด ทั้งที่ทำร้ายจิตใจสารพัด แต่เป็นคนเดียวที่รู้สึกว่ารักจริง และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะไม่ยอมปล่อยมือจากอานนท์ไปง่ายๆ 'เชิญคุณลงทัณฆ์บัญชา จนสมอุรา จนสาแก่ใจ ไม่มีวันที่ฉันจะร้องไห้' โอยยยย อิน ชอบค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค. 57 [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 06-07-2014 09:59:55
โอ๊ยยยยย  (ไอ้)คนปากแข็ง  เล่นปากแข็งกระทั้งตอนถูกแทงแบบนี้นี่มัน.... :impress3:  แต่อ่านไปก็ได้แต่แอบอมยิ้มไป  แค่เห็นอานนท์มาเค้าก็ยิ้มได้แล้ว  ในที่สุดก็มีวันนี้ของศัลวัตกับอานนท์แล้วสินะ  ดีใจจัง

ความจริงอยากสารภาพกับคุณชุนนิดๆว่า  ตอนอ่านตอนจบ  ยังไม่ได้อ่านสองตอนก่อนหย้าเลยค่ะ เพราะแอบอ่านเม้นท์ท่านอื่นแล้วมันเศร้าเลยไม่กล้าอ่าน  แต่ตอนนี้ตามเก็บหมดแล้ว  ซีรีย์เรื่องเวลานี่สนุกมากกกกก  ชอบทั้งสามตอนเลย  ถ้ามีโอกาสอย่าลืมรวมเล่มนะคะ  จะรอซื้อ :mew1: 

สุดท้ายขอบคุณคนแต่งนะคะ  ที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่าน  ซึ่งงมากกก  สนุกมากกกก   ต่อไปจะรออ่านรามิเรสนะคะ  ขอบคุณคนแต่งมากค่า :mew1:  :pig4:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค. 57 [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: puengkiss ที่ 06-07-2014 10:35:56
ชอบวันนี้ที่สุดเลย บีบคั้นจิตใจสุดๆๆดีใจที่จบแล้วได้อยู่ด้วยกัน  เป็นกำลังใจให้คุณชุนนะค่ะ ติดตามตลอดๆๆจ้า :L1:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค. 57 [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 06-07-2014 10:45:25
มันบอกไม่ถูก มันรู้สึกแบบเนี้ย  :hao5:  คือมันตื้นตัน ฮือออ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค. 57 [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: iGiG ที่ 06-07-2014 11:09:03
อ้ากกกกกกกกกกกกกกก

เมื่อวานเข้าแอบเข้ามาดูบ่อยๆแต่เห็นคุณชุนยังไม่มาเลยตัดใจ คิดว่าคงมาอีกทีวันจันทร์

ปรากฎว่าวันนี้เห็นบทส่งท้ายกรี๊ดเลยค่ะ ดีใจจจจจจจ

ตอนนี้เอาทาสรักมาอ่านเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ พอเห็นเรื่องนี้รีบมาอ่านวันนี้ก่อน ถ้าจบเศร้าจะได้ยังมีทาสรักไว้ปลอบใจ

ระหว่างอ่านบทที่ 11 ของวันนี้ น้ำตาไหล สงสารเจ้าชายรอง

พออ่านบทส่งท้ายจบ ก็ยังน้ำตาไหล ด้วยความรู้สึกบางอย่าง ซาบซึ้งใจ หน่วงใจ สงสาร
แต่ก็รู้สึกว่าในที่สุดเจ้าชายศีลวัตและอานนท์ก็ได้เปิดใจตัวเองบ้าง แม้จะยังแค่นิดเดียวก็ยังดี

ในที่สุดเจ้าชายศีลวัตได้รู้สึกถึงความสุขของการรัก แล้วได้รับรักตอบบ้าง

แต่คุณชุนคะ แอบเป็นห่วง มันหน่วงตรง "กระบี่ที่จมลึกลงในพระอุระ แถมอานนท์ยังไม่ถอย" เนี่ยแหละค่ะ

เจ้าชายคงไม่ได้ตายเนอะ

เห็นคุณชุนตอบว่า
"ต่อจากนี้ ก็คงจะได้อยู่ด้วยกันแล้ว และมี “วันนี้” ร่วมกันไปทุกๆ วัน (อากาศมันหนาว คงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อจะได้รู้สึกอบอุ่นทุกวันน่ะค่ะ)

แสดงว่าตอนเขียน คุณชุนไม่ได้ตั้งใจให้เป็นปริศนาว่าตายหรือไม่ แต่ตั้งใจให้ได้อยู่ด้วยกันใช่มั้ยคะ กระบี่คงจมไม่ลึก รักษาทัน

คืออ่านแล้วเป็นห่วงสองคนนี้อ่า ถ้าคุณชุนมาอ่านเจอช่วยตอบให้สบายใจหายห่วงอีกซักรอบได้มั้ยคะ ว่าคุณชุนตั้งใจยังไงตอนเขียน
จะหาว่าโรคจิตอินเกินเซ้าซี้จัดก็ยอมละ ><

ชอบเรื่องนี้มากๆๆ ขอให้คุณชุนรวมเล่มเถอะนะคะ จะรอเอาขึ้นหิ้งเป็นอีกหนึ่งเล่มโปรด

จะคอยติดตามผลงานและเป็นกำลังใจให้ค่ะ ^_______________________________________^  :L2:

ปล.แอบสังเกตุว่าพระเอกของคุณชุนทุกคน (ที่ได้อ่านมา) ยังไม่มีคนไหนเจ้าชู้ ขี้เล่นเลย แอบรอแนวคุณชายเจ้าสำราญบ้างน้าคะ

ปล2. ถามอีกนิดนะคะ ที่ว่าอานนท์เป็นชู้กับนิรดาแล้วถูกเฆี่ยนลงโทษนี่เป็นแผนใช่มั้ยคะ แล้วไหงเจ้าชายศีลวัตถึงเป็นคนลงมือเอง แถมยังเป็นห่วงแผลที่หลัง เพราะลงมือหนักล่ะคะ เพราะถ้าไม่ใช่แผน ถ้าทำไปขนาดนั้นทำไมตอนแรกเจ้าชายถึงเชื่อว่าอานนท์จะไม่ทรยศอ่ะ แอบงง ><
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค. 57 [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: KMprince ที่ 06-07-2014 11:50:21
ยกธงขอรวมเล่มด้วยคนค่ะ
ชอบมากๆ เลยเรื่องนี้ อ่านแล้วภาษาสวย หลากหลายอารมณ์
เป็นนิยายที่ประทับใจมากๆ เรื่องหนึ่งเลยค่ะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค. 57 [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 06-07-2014 15:42:54
เค้าได้อยู่ด้วยกันแหละ อ๊ายย

อานนท์ยอมถอยให้ด้วยดีจัง อย่าทำให้เสียใจอีกนะศีลวัต
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค. 57 [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 06-07-2014 23:54:58
 :mew4: :mew4: :mew4: :mew4:น้ำตาจะหมดตัววววววววว :mew4: :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค. 57 [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-07-2014 00:53:05
รงดเดียวจบ เป้นอะไรที่ปริ่มมากกก ><~
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค. 57 [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Chise ที่ 07-07-2014 06:58:26
จบได้ดีจังค่ะ สมกับคู่นี้มากๆ
อานนท์กับเจ้าชายในที่สุดก็มีีวันนี้ด้วยกัน :monkeysad:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค. 57 [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 07-07-2014 09:04:38
ตอบคุณ iGiG นะคะ

   - ศีลวัตเขาไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ หนังหนา เอ๊ย... ปลายกระบี่ทะลุเสื้อเข้ามาชนหน้าอกเลือดไหลซิบๆ นิดเดียว อานนท์เขาเก่งค่ะ กะได้พอดี แต่เจ้าหลวงแห่งแรกเหมันต์นี่หาเรื่องใส่ตัว เดินเข้าไปใกล้เอง ประมาณว่าอยากจะเอาชนะ วัดใจดูว่าอานนท์จะยอมดึงมือกลับรึเปล่า แต่ฝ่ายนั้นใจแข็งพอตัว ไม่ดึงกลับ ตัวเองก็เลยต้องทนเจ็บตัวไปเปล่าๆ แต่เจ็บไม่เยอะหรอกค่ะ ยังเดินจูงมือกันลงมาจากลาน และคุยกันต่อได้สบายๆ สักพักเลือดก็หยุดไหลไปเอง

   แต่ไปอ่านดูอีกที มันก็ชวนให้เข้าใจผิดอยู่จริงๆ ด้วย ชุนก็เลยแก้ไขแล้วนะคะ

   - เรื่องอานนท์เป็นชู้กับนิรดา เป็นแผนค่ะ ศีลวัตต้องลงมือเอง และลงให้หนักพอที่คนอื่นจะเชื่อว่าเขาสิ้นเยื่อใยกับอานนท์แล้ว ส่วนที่ว่าเฆี่ยนหนักขนาดนั้นแล้วทำไมยังเชื่อว่าอานนท์จะไม่ทรยศ ก็เพราะ... มันเป็นอีโก้ส่วนตัวน่ะค่ะ ถึงอานนท์จะไม่เคยพูด แต่ลึกๆ แล้วศีลวัตเชื่อว่าอานนท์รักเขา และเรื่องนี้... อานนท์ก็อาสาทำเองด้วย ศีลวัตไม่ได้บังคับ อานนท์พูดเองว่าเขาเต็มใจทำ เพื่อให้พระนางเรวดีไม่มายุ่งกับเขาและศีลวัตอีก ศีลวัตก็เลยเชื่อ

ไม่งงแล้วเนาะ แต่ถ้าตรงไหนยังไม่ชัดเจนหรือสงสัยเพิ่มเติมก็ถามได้นะคะ

   - มีคนเคยบอกว่า พระเอกทุกคนของชุนเป็นคนอบอุ่นนะคะ ชุนชอบแนวนี้น่ะค่ะ ส่วนเจ้าชู้ขี้เล่น ก็เจ้าชายนักรักแห่งเบลไลน์... โคเรียส น่ะค่ะ แต่รายนั้นคงไม่ได้เขียนถึงเร็วๆ นี้หรอกค่ะ ที่แน่ๆ ก็คือต้องรอรามิเรสจบก่อนแล้วค่อยคิดดูอีกที


ป.ล. เรื่องรวมเล่ม คิดจะทำค่ะ ขอเวลาสักเดี๋ยว เดี๋ยวจะมาอัพเดตรายละเอียดนะคะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค. 57 [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: narunarutoboyz ที่ 07-07-2014 11:14:29
งง งงจนไม่รู้จะเขียนยังไงดี แรกเหมันต์?มายังไง คือเป็นบ้านเดิมของแม่ศีลวัตใช่มั๊ยคะ
พอเเต่งงานพ่อของศีลวัตก็ส่งของกินมาให้เมืองนี้ตลอด แต่พอมีเรื่องการลอบฆ่าภีมเสน
ศีลวัตก็ถูกเนรเทศกลับมา ยังงั้นใช่มั๊ยคะ ซึ่งเเรกๆชาวเมืองเกลียดสองคนเเม่ลูกนี้มากกก แต่พอศีลวัตพัฒนาใหม่จนดี
ก็เลยกลับมารักอีกรอบ แบบนี้ป่าวคะ

ตอนนี้อ่านเเค่คู่นี้ ด้วยนิสัยเสีย ถ้ารู้ว่านิยายจบจะชอบอ่านตอนจบ แต่อ่านของตอนวันนี้จบเเล้วค่ะ

เดี๋ยวจะกลับไปอ่านอีก 2 ตอนที่เหลือนะคะ เเต่เราชอบภาษาคุณจัง อ่านเเล้วอินนนนนน
เป็นกำลังใจให้นะคะ เเล้วก็ของรอรวมเล่มด้วยคนค่ะ ไม่ให้ขอตอนพิเศษในนี้ งั้นขอตอนพิเศษในเล่มก็เเล้วกันเนาะ

ปล.เดี๋ยวเรื่องการวี๊ดว๊ายตัวละคร ขออ่านให้จบทั้งหมด เเล้วจะมานะคะ ><
 :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค. 57 [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 07-07-2014 16:38:43
ตอบคุณ narunarutoboyz นะคะ - เรื่องแรกเหมันต์ ถูกต้องทั้งหมดตามที่เข้าใจเลยค่ะ เป็นเช่นนั้นแล
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค. 57 [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: iGiG ที่ 07-07-2014 16:55:44
ขอบคุณมากค่ะคุณชุน สบายใจแล้ว เย้ ^________________________________^

เอ แล้วที่คุณชุนบอกว่าแก้ไข หมายถึงตรงไหนเหรอคะ แก้ไขเนื้อเรื่องหรือแก้ไขความความใจผิดของเรา ย้อนกลับไปอ่านเนื้อเรื่องแล้วไม่เจอที่แก้ไข
แต่ไม่ว่าจะแก้ไขตรงไหนก็สบายใจแล้ว อิอิ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
บางอย่างที่ยังไม่ชัดเจน (คือหมายถึงตัวเองไม่ชัดเจนเอง) แต่ก็คิดว่าเรื่องสำคัญสบายใจแล้ว ทิ้งที่เหลือให้เป็นเสน่ห์ของเรื่องแบบที่คุณชุนเขียนดีกว่า

เห็นด้วยเลยว่าพระเอกทุกคนของคุณชุนเป็นคนอบอุ่น ที่สำคัญโรแมนติคด้วยค่ะ บทจะหวานก็หว้านหวาน จริงๆเจ้าชายรองนี่ก็หวานนะคะ แต่ไม่ใช่ด้วยปาก

เย้เย้ ที่ 2 เย้ เพราะเย้ อีกเรื่อง คือเรื่องเจ้าชายโคเรียส ที่มีวี่แวว ถึงไม่ใช่เร็วๆนี้ แต่ก็จุดประกายความหวัง
(แอบกระซิบว่า แต่สำหรับเจ้าชายโคเรียส เรามองเห็นแต่ว่าเป็นนายเอก ไม่ใช่พระเอกนะเนี่ย อิอิ)
ยังมีเรื่องของเจ้าชายรัชทายาทอีกคน จะรอนะคะ แฮ่
ถ้าคุณชุนอยากจะเขียนนะคะ แต่ถ้าไม่อยากเขียนเรื่องนี้ ก็รอเรื่องใหม่ค่ะ

รอเป็นกำลังใจให้ทุกเรื่อง และรอรวมเล่มค่ะ ^_________________________________^

ปล.ขอนอกเรื่องนิดนึง เราเห็นด้วยและชอบคำพูดของคุณชุนมากเลยค่ะ ที่บอกว่า
สำหรับบางคน เมื่อชีวิตจริงมันโหดร้ายแล้ว ก็อยากให้มีโลกแห่งความฝันทีสวยงาม
"ไม่อยากให้เบลไลท์เป็นอย่างอื่น นอกจากอาณาจักรหัวใจ ที่ที่เพศ ไม่ใช่พรมแดนของรัก"

ปล2.โพสต์ 2 คอมเมนท์ใน 1 ตอน ไม่แน่ใจว่าผิดกฎเล้ารึเปล่าแต่กลัวคุณชุนไม่ทันเห็น
ยังไงต่อไปถ้าจะโพสต์อะไรอีก จะขออนุญาตแก้ไขในโพสต์เดิมนี้นะคะ

 o13 :L2:
หัวข้อ: Re: เวลา:วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1] [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-07-2014 19:31:48
จบได้ดีมากๆ
ชอบอ้ะ เขิลเลยนะ กว่าจะเข้าใจกัน เย้ๆ
หัวข้อ: Re: เวลา:วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1] [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 07-07-2014 22:42:34
จบแบบได้อยู่ด้วยกันก็ดีแล้วเนอะ
หัวข้อ: Re: เวลา:วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1] [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 07-07-2014 22:58:55
อ่านจบแล้วๆ

เย่ ชอบมาเลยอ่ะภาษาดัมากเลยค่ะ
คู่แรกคือแอบดราม่าแต่พระเอกนี่อบอุ่น(วรั๊ยยย)
คู่สองนี่ ตลกไทอ่ะ เด็กอะไรช่างกล้า ดูทำแต่ละอย่างเป็นเราเราคงไม่กล้า
คู่สามนี่ช่างหน่วงจิตเสียนี่กาไร อ๊ากกกกกกกก มันดูอึมๆ แต่สุดท้ายก็จบแฮปปี้(?) มั้ง55
แต่ชอบนะคะเหมือนให้คิดเองกลายๆ

ขอบคุณมากนะคะที่แต่งเรื่องสนุกๆมาให้อ่าน
หัวข้อ: Re: เวลา:วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1] [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 08-07-2014 04:45:08
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เวลา:วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1] [จบแล้วค่ะ ย้ายห้องได้เลยนะคะ]
เริ่มหัวข้อโดย: himoru ที่ 08-07-2014 10:00:50
บอกตรงๆ ยังไม่ได้เริ่มอ่านเรื่อง วันนี้เลยยยย
กรี๊ดดดดด
อยากอ่านนนนนนนน
แต่เห็นลงจบแล้ว เลยมาเขียน
อิอิ รอโปรเจ็คดีๆแบบนี้อีกนะคะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 08-07-2014 22:15:29
เวลา.....

เฮ้ออออออ

อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ทำใหเรารู้ว่า

พรุ่งนี้ยังมีอยู่

แม้ว่ามันจะเศร้าแค่ไหน

แต่สุดท้ายมันก็สดใสได้ใ

ตามไปอ่านต่อ


หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 09-07-2014 20:46:54
จบแล้วเหรอ

ยังรู้สึกว่าตัวเองยังติดลมอยูเลย

อยากจะบอกว่า

พระราชชายาเร(เลว)วดีน่าจะต้องโทษมากที่สุด

แต่ดม้จะไม่ต้องโทษร้ายแรง
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 09-07-2014 20:53:39
จบแล้วเหรอ

ข้าเจ้ายังติดลมอยู่เลย

รูสึกไม่อยากใหอภัยพระราชชายาเร(เลว)วดีเลยจริงๆ

แต่ก็เข้าใจว่าแม่ย่อมรักลูก

แต่แบบนี้มันเข้าข่ายข่ายรักแบบพ่อแม่รังแกฉัน

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1]
เริ่มหัวข้อโดย: ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~ ที่ 11-07-2014 22:16:46
อ่านรวดเดียวจบ สนุกทุกเรื่องเลยย  :m4:

ชอบเรื่องพรุ่งนี้กับวันวานและก็ว่าชอบ "วันนี้" ที่สุดเลยยย

ชอบคู่ของชานนท์ที่สุดมีอะไรให้ลุ้นให้ติดตามเยอะเลย

แต่คู่อื่นๆก็สนุกน๊าาา :กอด1:

คู่ของน้องตัวกินไก่ก็ฮาดี
ส่วนพรุ่งนี้ก็ชอบความรักที่ภีมเสนมีให้ศวัสมาก ๆ    :L2:

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1]
เริ่มหัวข้อโดย: ภาพวาดคลุง ที่ 12-07-2014 23:43:31
ทำสารบัญมาให้ครับ
ตอนนี้ตามอ่านอยู่ แอบย่องมาดูทุกวันนนน
แต่ช่วงที่ผ่านมาหายไปเพราะติดเรียนด้วยงานด้วยหลายๆอย่างเลย
ติดตามอยู่เสมอนะฮับ ในที่สุดก็เปิดรวมเล่ม
จองแน่นอนนนนนนนนนน :-[

พรุ่งนี้... ที่รอคอย
บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2666342#msg2666342)   บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2667785#msg2667785)   บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2671801#msg2671801)   บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2673661#msg2673661)   บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2676774#msg2676774) 
บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2680725#msg2680725)   บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2683190#msg2683190)   บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2685244#msg2685244)   บทที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2702567#msg2702567)   บทส่งท้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2703987#msg2703987)

วันวาน... สู่นิรันดร์
บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2704912#msg2704912)   บทที่ ๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2706135#msg2706135)   บทที่ ๒ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2711893#msg2711893)   บทที่ ๓ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2718332#msg2718332)   บทที่ ๔ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2721765#msg2721765)   บทที่ ๕ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2727263#msg2727263)
บทที่ ๖ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2728089#msg2728089)   บทที่ ๗ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2730587#msg2730587)   บทที่ ๘ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2734635#msg2734635)   บทที่ ๙ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2737008#msg2737008)

วันนี้... แค่มีเธอ
บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2739618#msg2739618)   บทที่ ๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2741126#msg2741126) + บทที่ ๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2741129#msg2741129)   บทที่ ๒ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2742255#msg2742255)   บทที่ ๓ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2743719#msg2743719)   บทที่ ๓.๕ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2744637#msg2744637)   บทที่ ๔ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2745851#msg2745851)   บทที่ ๔.๕ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2746787#msg2746787)
บทที่ ๕ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2747660#msg2747660)   บทที่ ๖ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2749413#msg2749413)   บทที่ ๗ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2750284#msg2750284)   บทที่ ๘ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2751157#msg2751157)   บทที่ ๙ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2751797#msg2751797)   บทที่ ๑๐ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2752566#msg2752566)   บทที่ ๑๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2753625#msg2753625)   บทส่งท้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41612.msg2754261#msg2754261)
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1]
เริ่มหัวข้อโดย: sep,16 ที่ 03-08-2014 22:16:25
อานนท์น่ารัก รู้สึกชอบมากๆ เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน 5555555
เป็นนายเอกที่ภายนอกดูเหมือนไม่สนใจอะไรกับโลก ชอบตรงนี้เลย
ยกให้เป็นพระเอกในใจเรา (แม้จะเป็นของเจ้าชายก็หาสนใจไม่ ฮ่าๆ)
อะไรที่ล่อยลอยๆ ไม่หยี่ระกับอะไร ใครจะทำอย่างไรก็ได้ แต่จริงๆภายในไม่มีใครรู้
...ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบ :hao7:  :hao7:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 07-08-2014 21:23:38
ชอบคู่พี่เขยสุด น่ารัก สดใส ไม่มีหน่วง
อีกสองคู่ก็ชอบ แต่สงสารนายเอกทั้งคู่ เปลืองตัวเหลือเกิน
 :haun4:  :jul1:

โดยเฉพาะอานนท์ ถึกทนจริงๆ นางน่าจะเป็นมาโซ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1]
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 27-08-2014 04:35:55
ชอบมากๆค่ะ อ่านสนุกทั้งสามเรื่อง
ถ้ามีให้เลือก ก็ขอภีมเสน นิ่งนุ่มนวล เย็นชา โหดลุ่มลึกในเรื่องวันนี้ หล่อสุดด้วย (เดาเอา อิอิ)
พรุ่งนี้ หมั่นศวัสเบาๆ แก่ประชดจัง แต่เข้าใจเธอ ส่วนจุดจำดันเป็นเจ๊พิรุณที่ใฝ่สูงและชอบ...ทับรอย กึ๋ยๆ
วันวาน ตัวกินไก่ทำเอาเขินแทนหลายจุดมาก นึกว่าตีเนียนแล้ว แต่คือพี่เค้าอ่านออกทุกดอก อย่างตอนขอจับต้นแขน
วันนี้ มันส์สุด Game of Thrones จริงๆ พระ-นายหน้าที่ซ้อนทับหัวใจทั้งคู่ แถมปากแข็งร้ายแรงขั้นตายได้ทั้งคู่อีก
ปล. ชอบรามิเรสด้วยค่ะ เดินหน้ากันยากดี คนอ่านลุ้นตัวเกร็งไปหมด


หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1]
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 10-09-2014 02:17:18
ตามอ่านจนจบแล้ว ขอบคุณมากค่ะสำหรับนิยายดีๆ
ชอบทั้งสามคู่นะให้ความรู้สึกแตกต่างกันมากมาย
ขอบคุณค่ะที่จบแฮปปี้ทั้งสามเรื่อง  :L2:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Silver-Ray ที่ 10-09-2014 20:01:49
น่ารักทั้งสามเรื่องเลยค่ะ ชอบเรื่องสุดท้ายที่สุดค่ะ หน่วงๆดี ชอบมากแนวนี้ ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆมาให้อ่านค่ะ

หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1]
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 11-09-2014 23:49:50
สนุกมากทุกเรื่องค่ะ อ่านแล้วลุ้น ตอนจบของแต่ละเรื่องก็มีเฉลยความลับที่คาดไม่ถึงด้วย
 :pig4:
บวกๆ^^
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1]
เริ่มหัวข้อโดย: AKAMEBIKEI ที่ 02-10-2014 15:32:52
ในที่สุดก็อ่านจบ รู้สึกพลาดที่มาเจอเรื่องนี้ช้าไป
แต่นับว่ายังโชคดีที่มีเปิดจองหนังสือรอบสอง
แค่เห็นชื่อคนแต่งก็บอก(เป๋าตังส์)ตัวเองแล้วว่าจองแน่นอน
แล้วก็คิดว่าจะอดใจไม่อ่านรออ่านในเล่มทีเดียว
แต่ปรากฏว่าช่วงนี้เครียดเรื่องสอบเลยว่าจะหาความบันเทิงเข้าหัวสักหน่อย
เลยแอบย่องมาอ่านกะว่า เออ...แค่ตอนสองตอนไม่เป็นไรมั้ง
ที่ไหนได้นั่งอ่านตั้งแต่ต้นจบจนเลยจร้า
ดูนาฬิกาอีกทีบ่านสามซะแล้ว
ติดลมกับตัวละครสามคู่ที่โลดแล่นอยู่ในเรื่องสุดๆ
ขนาดอ่านสปอยตอนแรกแล้วว่า พร่งนี้จะแซด วันวานจะสุข ส่วนวันนี้จะโครตแซด
ไอ้เราก็ทำใจ แต่พออ่านไปที่ไหนได้ ร้องให้เป็นเผาเต่ากันเลยทีเดียว
ยิ่งเป็นคนชอบอะไรดราม่า(แต่ต้องจบแฮปปี้)
บอกได้เต็มปากเต็มคำเลยค่ะว่านิยายคุณชุนนี่คือที่สุดจริงๆ
จำนวนตอนอาจจะไม่เยอะเพราะเป็นเรื่องสั้นๆมาต่อกัน
แต่ทุกตัวอักษร ทุกบรรทัดเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพจริงๆค่ะ
แบบอ่านบรรทัดบนเคลิ้มอยู่ดีๆ ไม่กี่บรรทัดต่อมาดันโศกสุดๆ
แต่ละคู่มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง
แต่การเอาคู่นู๋ไทมาคั่นนี่เวิร์คสุดๆค่ะบอกเลย
จากที่หน่วงในใจมาจากคู่ภีม ก็กลับมาสดใส น่ารัก อมยิ้มตลอดที่อ่านคู่ธายไท
แถมยังทำให้การที่อ่านคู่นนท์จากที่จะหน่วงพอๆกับเรื่องภีม
กลายเป็นหน่วงหนักเลยค่ะ เพราะอารมณ์ดีมากจากไท
พอมาเจอหน่วงติดๆกัน อาการเลยหนักขึ้นสองเท่าเลย
ยังไงก็ต้องเอาฉบับเล่มๆมาครองให้ได้ ตอนพิเศษรอเราอยู่
สุดท้ายขอบคุณผลงานคุณภาพดีจากคุณชุนนะคะ
ถึงจะหน่วงมาเกือบจบ แต่เราได้ความสุขจากการอ่านนิยายของคุณมาเต็มแม็กซ์เลยค่ะ
ตามไปติดตามรามิเรสต่อ (หนังสือไม่ต้องอ่านไปสอบละงานนี้ อิอิ)
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1]
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 03-10-2014 18:47:03
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1]
เริ่มหัวข้อโดย: kik ที่ 04-10-2014 09:33:05
สนุกมากโดยเฉพาะเรื่องสุดท้าย   :กอด1: :กอด1: :กอด1: :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) 6 ก.ค.57 [แจ้งข่าวหน้า 1]
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 06-10-2014 23:31:18
สนุกมากๆเหมือนเคย เลิฟสำนวนชุนมาตั้งแต่สมันอยู่เด้กดีละ อยากอ่านเรื่องอื่นอีก ไม่ขอตอนพิเศษละกัน แตรอยากขอให้ยืดดดดตอนจบเพิ่มขึ้นแทน555555555
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 14-10-2014 19:45:48
ขอดันนิดนึง เพื่ออัพเดตเรื่องพิมพ์ครั้งที่ 2 แล้วก็ชวนไปงานตลาดฟิควันที่ 25 ต.ค. 57 นะคะ รายละเอียดอยู่ที่หน้า 1 เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: kakoku_kin ที่ 15-10-2014 06:39:14
อยากบอกว่า
ชอบทั้ง วันวาน วันนี้ พรุ่งนี้มาก
อ่านจนโต้รุ่งเลยที่เดียว
ในแนวทางของทุกคู่
ที่แน่ๆอ่านนิยายคุณชุน
รู้สึกถึงความรู้สึกต่างๆของตัวละครชัดเจน
แต่แบบผชรักกันจริงๆ
ซึ่งไม่ใช่รักกันแบบชายหญิง
แต่เป็นความรักที่ผู้ชายหยิบยื่นให้คนที่ตนรักซึ่งเป็นชายอีกคนจริงจัง
รู้สึกชัดเจนเลยคือ ภีมเสน ไท(ปลาไท) และชัดมากคือ ศีลวัต
และผู้ชายที่ถูกรัก จนรับรักและรักตอบ
ศวัส ปลาธาย และอานนท์

อ่านแล้วรู้สึกว่า
จะเป็นเวลาไหน
วันวาน วันนี้ พรุ่งนี้
ก็รักอยู่นั่นเอง
เวลาจะผ่านไปเป็นวันวานก็ยังรักอยู่
เป็นวันนี้ที่เป็นปัจจุบันก็ยังรัก
จะเป็นพรุ่งนี้ก็ยังรัก
ถ้ารักใคร
เวลาไหนรักแล้วก็คือรัก

.แต่ชอบในความรักของศีลวัตมากที่สุด
เพราะเขารักคนหนึ่งเท่าชีวิต ถ้าขาดคนรัก เขาอยู่ไม่ได้
ถ้ามีวันนี้หมายถึงชีวิตเขาต้องมีคนที่รักอยู่ด้วย จะขาดไปคือตายจากกัน
ศีลวัต ปากแข็งก็จริง
แต่อะไรที่รักที่ชอบจะเอาไว้กับตัวไม่ปล่อยผ่าน หรือยอมให้ใครแตะ
เหมือนคนที่รักหวงของรักษาปกป้องอย่างจริงจัง
ทำให้รู้สึกคนที่ถูกคนคนนี้รักโชคดี และคงโชคร้ายด้วย
แต่รักจากศีลวัตก็ยังแน่วแน่มั่นคงไม่เสื่อมคลาย

ขอบคุณคุณชุนมากสำหรับนิยายดีดี
คิน


หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 15-10-2014 13:33:16
สนุกมากค่ะขอบคุณที่แต่งให้อ่าน

ชอบศีลสัตรกับอานนท์มาก

ไทวากับพี่เขยก็น่ารัก

องค์ชายภีมเสนก็ดีแสนดี...

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: armchair2535 ที่ 15-10-2014 18:12:28
เรื่อง วันนี้  คือแบบ  หน่วงมากกกกกกก  หน่วงมามากแต่ต้น  เพิ่มแรงกระชั้นตอนปลาย   และบี้อารมณ์จนสะอื้นตอนเกือบสุดท้าย ที่องค์ชาย คุยกับอานนท์ในคุก   จริงๆถ้าตอนจบให้องค์ชายตายไปเลยจริงๆ  จะเป็นมาสเตอร์พีซมาก  มากจริงๆ  อ่านแล้วนึกถึง เลือดขัตติยาเลย  รักเรื่องสุดท้ายที่สุด  รักสงสารและเข้าใจองค์ชายทุกการกระทำเลย  รักเรื่องนี้ที่สุดแล้ว   :o12: :sad4:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 15-10-2014 23:05:23
เพิ่งอ่านจบครับ :m23:

เราชอบทั้งสามชุดเลยนะทั้งพรุ่งนี้ วันวาน วันนี้
พรุ่งนี้...ตอนแรกๆออกแนวหน่วงๆหน่อย
แต่จบหวานมากกกกกกก
ชอบภีมเสนนะดูใจเย็น ใจดี เป็นผู้ชายที่น่าลากขึ้นหิ้งมาก!
แรกๆก็สงสารศวัสนิดๆนะ
แต่ตอนจบคืออิจฉานางมากถึงมากที่สุดอ่ะ!

วันวาน...เราขำกับความน่ารักของไทวาอ่ะคือนางน่ารักมากๆๆๆๆๆ
พี่เขยแอบหักมุมตอนจบเนอะ
น่าสงสารน้องไท 555555555555555

วันนี้...เป็นตอนที่เราชอบที่สุดเลยนะ
เราชอบคนแบบศีลวัตอ่ะ
(แต่ไม่ใช่สายMนะครับไม่นิยม..จริงจริ๊งงงงงงง)
ถึงศีลวัตจะเอาแต่ใจ โหดเหี้ยม ปากหนัก ขี้โมโหขี้หวงขี้หึง
แต่เราชอบนะคนแบบนี้
จะเลวร้ายแค่ไหนก็ได้แต่ทุ่มสุดตัวให้คนที่รักเนี่ย
ชอบมาก...ที่สุดอ่ะ!
อานนท์สำหรับเราเขาไม่ใช่คนน่าสงสารนะ
ถ้าเรื่องในอดีตอ่ะใช่
แต่ตอนที่อยู่กับศีลวัตน่ะไม่เลย
ตลกตอนแรกที่ทั้งคู่เจอกันด้วย
แบบเป็นเจ้าชายแล้วไงเอ็งกล้าตบหัวข้า ข้าก็กล้าตบกลับอ่ะ 5555
เสียน้ำตาให้คู่นี้ด้วย กระซิกๆ
ตอนจบก็ยังไม่มีคำว่ารักหลุดออกมาจากใครซักคน ซึนชะมัด
แต่ก็เหมาะสมกันที่สุดแล้วล่ะ

ขอบคุณครับคุณชุน
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 23-10-2014 00:55:46
เพิ่งได้อ่านจนจบ
วันนี้เป็นไฮไลท์จริงๆ
เล่นเอาลืมอีก 2 เจ้าชายไปเลย ฮือออออ
นี่ชอบความซึนของเจ้าชายรองมากนะ
คือรักอ่ะ ยังไงก็อยากได้มาเป็นของตัวเอง เราชองพระเอกแบบนี้
เขียนดีจังค่ะ
แต่เราว่าเรื่องแรกเหตุผลบางอย่างอ่อนไปนิด
แต่ดูพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ทุกเรื่อง
โอเคเลยอ่ะ
เด๋วจะลองไปอ่านรามิเรส ^^
ภาพจบของเจ้าชายรองกับอานนท์ น่าจะเป็นฉากตรึงใจเราไปอีกนาน
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: yamapong ที่ 02-01-2015 13:59:39
ไม่ขอพูดอะไร ชอบเรื่อง วันนี้มากที่สุดค่ะ บทส่งท้ายทั้งๆที่มันก็จบแบบแฮปปี้ แต่น้ำตาไหลไปเยอะเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: Atcharapan ที่ 04-01-2015 00:08:03
เข้ามาอ่านเรื่องนี้ช้าไป พลาดพิมพ์ครั้งที่ 2 ไป น่าเสียดายจัง
ใช้ภาษาดีมากๆ เลยค่ะ เนื้อเรื่องน่าติดตามมากๆ
ถ้าเป็นไปได้ คุณชุนภุศพิมพ์ครั้งที่ 3 อีกนะคะ
อยากได้หนังสือมาเก็บไว้มากๆ เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 04-01-2015 23:50:13
อานนท์ใจแข็งน่าดูนะ แม่ศีลวัตแบบสุด ๆ จริง ๆ สงสารศีลวัตหน่อย ๆ แต่รักอานนท์แต่ทำแต่ละอย่าง ไทวาน่ารักดี
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 05-01-2015 02:02:51
ไม่มีพรุ่งนี้ รักเราจะมีเพียงวันนี้รออยู่
ปล่อยวันพรุ่งนี้ให้ฟ้านำทางต่อไป
หน้าที่ของฉันแค่เพียงรักเธอวันนี้ทั้งหัวใจ...
กรี้ดดด อ่านจบเรื่องสุดท้ายเพลงนี้ดังขึ้นในหูทันใด
ถ้าถามว่าอยากได้ผู้ชายคนไหนเป็นตัวจริง
ก็คงจะตอบว่าท่านภีมเสน ถ้าถามว่าผู้ชายคนไหน
นิสัยอบอุ่นน่ารักจนอยากได้เป็นพี่ชายคงไม่พ้นพี่เขยธาย
แต่ถ้าถามว่าผู้ชายคนไหนรักคนที่ตัวเองรักได้สุดชีวิตที่สุดก็ขอตอบ
ท่านศีลวัตร ไม่ใช่ว่าความรักของเจ้าชายองค์อื่น
สู้ไม่ได้ ทั้งสามองค์ทรงรักมั่นและจริงจังมากหาก
แต่ถามถึงความสุดจิตสุดชีวิตสุดวิญญาณสุดทุกวิถี
ทาง ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเพื่อมีเธอ นี่คือนิยามความรัก
ของเจ้าชายศีลวัตรอย่างไม่ต้องสงสัย แม้บางครั้งจะเห็น
แก่ตัว โหดร้าย ทารุณ จนถึงโหดเหี้ยม แต่สาเหตุส่วนใหญ่
ทั้งมาจากอานนท์และเพื่ออานนท์ แม้พระมารดาจะมีส่วน
ผลักดันยุยงให้หลงกระทำด้วยก็ส่วนหนึ่ง
ถ้าจะเปรียบแถบสีแสดงอารมณ์ของแต่ละเรื่องในซีรี่ย์เซ็ตนี้คง
เรียงเป็น เทาขาวดำ จัดเรียงเรื่องดีนะหลังขมก็เอาขาวๆน่ารักๆคั้นกลาง
ไม่ให้ขมจนเกินไป ก่อนปิดด้วยรสขมสุดจิตแต่พีคที่สุด  ชอบเรื่องแรก
ยิ้มแก้มปริกับเรื่องกลาง และตราตรึงใจในเรื่องสุดท้าย ครบรส
กลมกล่อมค่ะ ชูป้ายไฟ ศวัสภีมเสน น้องไทพี่เขยธาย อานนท์ศีลวัตร
ชูป้ายไฟให้กำลังใจคนเขียนด้วยน้า. จะติดตามเรื่องต่อๆไปนะคะ
ชอบภาษา สำนวนของคนเขียนมาก ยิ่งมาแนวๆจักรๆวงศ์ๆแบบนี้ ยิ่งได้
ทบทวนความรู้คำราชาศัพท์ที่คืนอาจารย์ไปเกือบหมดด้วย แหะๆ ขอบคุณ
คนเขียนสำหรับนิยายดีๆนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: keinoo ที่ 05-01-2015 03:37:00
 :-[  :-[
สนุกทั้งสามเรื่องเลยคร่ะ  แต่ชอบพรุ่งนี้ที่สุด
รู้สึกถึงออร่าความเท่ของท่านภีมเสน ฟุ้งงงตลบบบไปทั้งสามเรื่องเลยทีเดียวว
 :impress2:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: heaven13 ที่ 05-01-2015 13:28:59
คือเรื่องหนึ่งว่าชอบแล้วเรื่องสองชอบมากกว่า
จนหยุดอ่านไม่ได้ต้องอ่านเรื่องทีสาม
ขอบคุณสำหรับนิยายดีดี
+ 1ให้คุณชุน
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: Evergreen ที่ 06-01-2015 16:05:15
ชอบวันนี้ที่สุดเหมือนกันค่ะ
เราชอบนะ แบบรักแค่คนเดียว รักมากกกก รักเว่อร์ๆ
ไม่มีวันทรยศกันเด็ดขาด อ่านเรื่องวันนี้ นี่มันใช่อ่ะ
เราว่าอานนท์ก็รักนะ รักกันๆ 555555

แต่เรื่องศวัส นี่ขอถีบหน่อยค่ะ
โลเลเหลือเกินนนน จริงๆก็รู้สึกดีแท้ๆ แต่ก็ยัลให้ชะนีมาลบรอยอีกนี่
ต้องปางตายก่อน ถึงจะรู้สึก 55555

ส่วนเรื่องน้องไท กับ พี่เขยยย
มุ้งมิ้งฟุ้งฟิ้ง แต่ก็อินตอนที่เจนพูดกับไทแบบส่วนตัวนะ
สงสารน้องงงง แต่มองโลกสวยมากค่ะ ทำให้พี่เขยหลงโงหัวไม่ขึ้นแล้วๆ

ติดตามคุณชุณเรื่องต่อๆไปค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 13-01-2015 14:40:14
เป็นนิยายที่ต้องยกนิ้วให้เลยค่ะ จะว่าหน่วงก็หน่วง จะว่าหวานก็หวาน จะว่าเศร้าก็เศร้า แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งติด ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็สนุกมากเลยค่ะ
ขอบคุณคนเขียนสำหรับนิยายดีๆ เรื่องนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: Quercia ที่ 22-02-2015 16:09:21

ประทับใจ วันนี้ มากเลย
#ร้องไห้หนักมาก  :hao5:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 08-04-2015 00:34:27
น้ำตาร่วงกันเลยทีเดียว

ชอบทุกคู่เลยค่ะ แต่ชอบ "วันนี้" เป็นพิเศษ
ขอบคุณที่จบแบบสมหวัง
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: Meowww ที่ 01-07-2015 14:03:19
ตามมาอ่านผลงานคุณชุนจบอีกเรื่องแล้ว ชอบมากกกกก ชอบทั้งสามเรื่องเลย แต่ถ้าให้เลือกก็ขอเลือกเจ้าชายศีลวัต เพราะเป็นพระเอกอย่างที่ชอบ คือ พระเอกที่รักนายเอกมาก ซึ่งเจ้าชายศีลวัตก็ทรงรักม๊ากกกกจริงๆ ชอบๆๆ  :hao6: :mew1:
ได้ซื้อเรื่องนี้ใน e-book แล้วด้วย แต่ก็ยังอยากได้รวมเล่มของเรื่องนี้อีกเหมือนกันนะ แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังมีขายอยู่รึเปล่าอ่ะ  :ling1:
สุดท้าย ขอบคุณคุณชุนที่แต่งเรื่องสนุกๆมาให้อ่านนะคะ  :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: minyjae ที่ 25-07-2015 20:23:44
ตื้นตันมาก ประทับใจที่สุด
ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี แต่อยากเม้นขอบคุณคนเขียนมากที่เขียนเรื่องนี้ให้เราได้อ่าน
ตอนเริ่มอ่าน เห็นคนเขียนเกริ่นไว้ว่าชอบ 'วันนี้' ที่สุด เลยลองอ่านทีละเรื่องๆ
เริ่มด้วย 'พรุ่งนี้' อื้อหือ!!! อินมาก คือชอบตัวละครของเจ้าหลวงรัชทายาทมาก
คิดว่าไม่สมหวังแน่เลย แต่ก็จบดี๊ดี ถึงพิรุณมันจะจิตมาก จนน่ากลัว
ส่วน 'วันวาน' ขอโทษด้วยที่อ่านข้าม เพราะเราชอบเสพดราม่า <อย่าว่าเรานะ>
จนถึงเรื่อง 'วันนี้'.....ทำไมๆๆๆๆ มันสนุกขนาดนี้ อินมาก ตอนที่ 11 ร้องไห้เลย
น้ำตาไหล อะไรมันจะปากแข็งทั้งคู่วะ แต่ชอบแนวนี้มาก คนเขียนเขียนออกมาได้ยังไงถึงแสดงความรู้สึกของทั้งสองคนให้เราเข้าใจได้ ชอบจนไม่อ่านข้ามเลย วางไม่ลงจริงๆ สนุกมาก
ชอบแนวการเขียนของคนเขียนมากค่ะ ไม่คิดว่าจะมีคนเขียนให้เราอ่านได้อินขนาดนี้
ขอให้มีผลงานดีๆต่อๆไปค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: มะปรางเปรี้ยว ที่ 27-07-2015 11:00:24
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะคะ  :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: miniminiXD ที่ 30-08-2015 16:01:03
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ที่ทำให้รู้สึกทั้งสุขและทุกข์ไปกับตัวละครนะคะ :mew4:
...ถึงแม้ส่วนใหญ่จะทุกข์ก็เถอะ 55
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: lahlunla ที่ 17-09-2015 19:17:34
ไม่ น้ำตามัน ไม่
อย่าไหลนะ
แกอยู่บนรถเมล์ท่ามกลางสายฝนของพายุเข้ากรุงเทพนะเว้ย
น้ำตาห้ามไหลนะเฟ้ย
 :z10:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: TiwAmp_90 ที่ 17-09-2015 22:03:45
 :mew6:
ละมุน เกือบร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว...TT'
ชอบสำนวนภาษาที่ใช้เขียนมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: TiwAmp_90 ที่ 18-09-2015 01:20:25
 :mew6:
เห็นด้วยกับคนเขียนเลยค่ะที่ชอบเรื่อง "วันนี้" มากที่สุด
น่าประทับใจมากจริงๆ
อ่านแล้วมันหน่วงๆ เจ็บจึกๆ แต่หยุดอ่านไม่ได้เลย

ขอบคุณที่แต่งเรื่องราวดีให้ได้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งข่าวหน้า 1- พิมพ์ครั้งที่ 2 ถึง 15 พ.ย.57]
เริ่มหัวข้อโดย: matame ที่ 19-09-2015 22:19:17
ชอบงานเขียนของคุณมาตั้งแต่ เอไมแล้ว
ส่วนเรื่องนี้ เพิ่งอ่านไปสองเรื่องชอบทั้งสองเรื่องเลยภาษาดีมาก
ยิ่งเรื่องสองรู้สึกอบอุ่นมากเลยอ่ะ สนุกมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [เปิดจองถึง 18 ต.ค. 58 ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: G-NaF ที่ 08-10-2015 00:39:16
อ่านรวดเดียวจบเลยครับ สนุกมากทั้งสามตอน
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านนะครับ
จะติดตามผลงานต่อๆไป  o13
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [เปิดจองถึง 18 ต.ค. 58 ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Chk~a ที่ 03-02-2016 12:34:55
เพิ่งได้เข้ามาอ่านค่ะ ชอบ สนุกด้วยค่ะ ภาษาก็สวย

เรื่องสองนี่เจ้าชายเห็นใจดีๆอ่อนโยน แต่แอบซาดิสนะจ๊ะ ค่อยๆเผลยออกมาทีละนิด
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [เปิดจองถึง 18 ต.ค. 58 ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: anny_jr ที่ 04-02-2016 10:10:31
พึ่งได้อ่าน สนุกมากทุกเรื่องเลย แต่ชอบสุด ก็เรื่อง "วันนี้" เป็นอะไรที่ใช่สุดๆ ทั้งพระเอก กับ นายเอก ลงตัวมาก ปากแข็งทั้งคู่จริงๆ ไม่มีคำพูดว่ารัก แต่รู้เลยว่า ต่างคนต่างรักกันมาก  :heaven :heaven รักเรื่องนี้ รักคนแต่งด้วย แต่งเก่งมากค่ะ ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [เปิดจองถึง 18 ต.ค. 58 ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: monetacaffeine ที่ 05-02-2016 00:47:43
เรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องแรกหรือเรื่องที่สองเท่านั้นเองค่ะที่เราถึงกับลุกไปหยิบโน้ตบุ๊ค เปิดขึ้นมาเพื่อเม้นกลางดึกแบบนี้
ปกติเราจะอ่านนิยายก่อนนอนด้วยไอโฟน เปิดโคมหัวเตียงเอา อ่านจบเมื่อไหร่อยากเม้นก็จะเก็บไว้พอได้เปิดคอมค่อยเม้น
แต่กับเรื่องนี้คือรอจนถึง "พรุ่งนี้" ไม่ได้จริงๆค่ะ สายเกินไป 555555555 คือไม่รู้จะบรรยายความชอบออกมาได้ยังไง
มากกว่าคำว่าชอบจริงๆ คือรัก รักทุกเรื่องเลยในทั้งสามตอน ขอเริ่มพูดถึงส่วนของ 'วันนี้' ก่อนนะคะ เพราะตราตรึงที่สุดเลย
เมื่อก่อนเคยคิดว่านิยายในเน็ตก็คือนิยายของมือสมัครเล่น เราก็อ่านไปขำๆ เสพให้เป็นความสุขกับตัวเอง
ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอนิยายที่ไม่มีความเป็นมือสมัครเล่นขนาดนี้ ทั้งซาบซึ้ง และตราตรึง ใช้คำนี้ไม่ผิดจริงๆค่ะ ทำเอาน้ำตาตกลงหมอนเลย
ความรักของคนสองคนที่แสดงออกมาอย่างไม่ถูกที่ถูกทาง แถมยังเข้าใจกันไปคนละเรื่องนี่เจ็บจริงๆค่ะ
แต่ถึงเจ็บขนาดนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงคำว่ารักอย่างเต็มเปี่ยมในทุกๆการกระทำ ไม่ว่าจะฝั่งเจ้าชายทหารหรือฝั่งอานนท์เองก็ตาม

ที่ผิดคาดและพลิกผันจริงๆก็คือตัวคนที่ซื้ออานนท์มาแต่แรกคือเจ้าภีมเสนนี่แหละค่ะ พลิกล็อกถล่มทลายเลย
ตอนแรกที่คิดไว้คืออานนท์จะดื่มยาฆ่าตัวตาย แล้วเจ้าชายศีลวัตจะฆ่าตัวตายตามติดๆซะอีก กลับกลายเป็นแบบนี้ไป..
แต่ก็ดีนะคะ ดีมากๆเลย ดีใจที่สุดเลยที่จบลงแบบนี้ ชอบที่คุณชุนคงคาแรคเตอร์ของทั้งสองคนไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
แล้วก็ปลื้มใจสุดๆแทนเจ้าชายเลยค่ะ ที่สุดท้ายแล้วคนที่รักที่สุดยอมกลับมาหา เหมือนเวลาเราไปที่ไหนไกลๆแล้วเราคิดถึงบ้านเนอะ
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เคยชินกับที่ใหม่หรือไม่ แต่บ้านก็ยังเป็นบ้านอยู่ดี หากไม่ได้กลับบ้านมันก็ไม่มีทางใจสงบ

ส่วนเรื่องของเจ้าชายภีมเสน อันนี้รู้สึกกลัวกับความจิตของนางพิรุณมาก เราเซ้นส์ได้แต่แรกตั้งแต่ที่นางกินน้ำรักของเจ้าชายแล้ว
ว่าน่าจะใช่ทางนี้มากกว่า ไม่น่าใช่จะหลงรักศวัส แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ โชคดีที่สุดที่เจ้าชายไม่ตายไปจริงๆ ไม่งั้นคงเศร้าแย่ค่ะ ; _ ;

ส่วนอีกเรื่อง เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เราชอบมากกกกกกกกกก มากที่สุดเลยค่ะ คือเราจะหลงนายเอกทำนองนี้มากเลย TT
รักน้องตัวกินไก่ เอ้ย น้องไทวา น่ารักที่สุดเลยค่ะ! อยากจับมาฟัดๆๆๆซะให้แก้มช้ำไปข้างเลยจริงงง ><
เจ้าพี่ของเรื่องนี้ก็น่าเอ็นดูมากเชียว ชอบที่สุดตอนให้น้องแกะของขวัญทุกชิ้น จัดการทุกอย่าง เอาจริงๆการกระทำนี่แสดงออกชัดมากกกก
ชอบความชัดเจนแบบนี้มากเลยค่ะ ; - ; /

เม้นไปเม้นมาชักยาว(?) ขอตัดจบว่าขอบคุณคุณชุนมากๆจริงๆนะคะที่แต่งนิยายที่ดีขนาดนี้ออกมาให้เราได้อ่านกัน(ฟรีด้วยTT)
คือที่เราอ่านไปเรารู้สึกเหมือนกับกำลังอ่านวรรณกรรมเยาวชนดีๆซักเรื่องที่อยู่ใน category romantic/drama มากกว่าการอ่านนิยายวายอยู่ในบอร์ดเล้าเป็ดเล็กๆที่อบอุ่นแห่งนี้จริงๆนะคะ
เป็นกำลังใจให้อย่างเต็มที่เลย อยากอ่านเรื่องอื่นๆอีกสุดใจเลยค่ะ T ___ T .. ทั้งเวลาและรามิเรสต่างเป็นเรื่องที่ดีมากทั้งคู่จริงๆ
สู้ๆนะคะ จะรอติดตามเสมอค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [เปิดจองถึง 18 ต.ค. 58 ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: pannuna ที่ 07-02-2016 17:36:12
ชอบเรื่องพรุ่งนี้เพราะพระเอก แต่ติดที่นายเอกนี่แหละ
ชอบวันนี้แต่ติดที่พระเอกมาลอบฆ่าเจ้าหลวงได้ไงงงง เราชอบเจ้าหลวงมาก5555
ส่วนเรื่องวันวานเราข้ามมาก่อนเพราะไม่ค่อยถูกจริตนายเอก

เราชอบอะคือเรื่องดูหม่นๆแต่น่าติดตาม อ่านจนจบ เราชอบการบรรยายของนิยายเรื่องนี้นะเราว่าคุณชุนดูมีความคิดที่ไม่เหมือนคนอื่น มีเซ้นส์ในการบรรยายหรือการนึกคิดที่แปลกจากเรื่องอื่น เราอ่านรามิเรสจบไปก็ชอบมากเหมือนกันค่ะ

หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [เปิดจองถึง 18 ต.ค. 58 ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: miewonlyme ที่ 15-02-2016 14:47:29
หลังจากอ่านรามิเรสจบ ก็สืบเสาะหาเรื่องต่อมา รู้สึกดีมากๆเลยที่ได้อ่าน "เวลา" เรื่องที่คนเขียนเป็นเรื่องที่เขียนดี จนติดงอมแงม ^_^ ไม่ยาวไป ไม่สั้นไป กำลังดี ครบรส กลมกล่อม ^_^ ขอให้มีมาอีกเรื่อยๆนะค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [เปิดจองถึง 18 ต.ค. 58 ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: 14th-friedegg ที่ 16-02-2016 15:33:09
พึ่งได้เข้ามาอ่านทั้งสามเรื่องเลยคะ

ชอบทั้งสามเรื่องมากเลยจริงๆ จะสินใจไม่ถูกเลยว่าชอบเรื่องไหนมากกว่ากันให้อารมณ์ไปคนละแบบเลย
ดีแล้วคะที่ศีลวัตไม่ตาย ถ้าตายนี่ร้องไห้ชัวร์ๆเลย คำพูดของอานนท์ที่บอกต่อเจ้าภีมเสน ควเป็นคำนั้นที่ศีลวัตรอมาสินะคะ

แต่ไม่ต้องพูดก็เหมือนรู้กันอยู่ในใจ จบได้ดีมากๆเลยคะฮืออออ

แอบคิดว่าถ้ารอบฆ่าพระชายาแทน ภีมเสนควไม่ใจดีด้วยแน่ 55
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [เปิดจองถึง 18 ต.ค. 58 ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: mokupirin ที่ 04-03-2016 16:35:15
บ่งตง อ่านรวดเดียวจบในวันเดียว

ปกติเป็นคตที่อ่านแล้วไม่ค่อยเม้น แต่ทนไม่ไหวจริงๆค่ะ :katai1:
โดยส่วนตัวชอบ'พรุ่งนี้'มาก เพราะเหมือนเป็นส่วนผสมของดราม่าและความมุ้งมิ้งเงียบๆ ฉากจบนี้คือจิกหมอนเลยที่เดียว
ส่วน'วันวาน'สารภาพว่าอ่านข้ามนิดหนึ่ง แต่ไทวาก็น่ารักมากๆ ชอบตอนสุดท้ายที่เปิดเผยนิสัยซาดิตของพี่ธามมาก
สุดท้าย'วันนี้'เล่นเอาวันนี้เราฟินแบบหน่วงๆ สนุกจนปวดหัวกับความปากแข็งของทั้งคู่เลย

เสียดายที่ได้รู้จักนิยายดีๆช้ามาก ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอย่างนี้นะคะ
ปล.อ่านไปเหมือนกินกาแฟที่ทั้งขมทั้งหอม :z3:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [เปิดจองถึง 18 ต.ค. 58 ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Ciin ที่ 05-03-2016 12:12:13
คือดีมากกกกกกกกกก

สนุกมากๆจิงๆค่ะ หยุดไม่ได้เลย

ชอบตอนวันนี้ที่สุดเหมือนกันค่ะ ซึ้งมากๆ ร้องไห้เรยยยยย
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [เปิดจองถึง 18 ต.ค. 58 ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 10-03-2016 20:23:05
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [เปิดจองถึง 18 ต.ค. 58 ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Cloudnine ที่ 15-04-2016 16:48:52
ชอบเรื่อง "วันนี้" ที่สุดดดดดดด
อ่านหลายรอบแล้ว
ที่จริงอยากให้จบแบบสมบูรณ์มากกว่านี้ แต่แบบนี้ก็...โอเค

หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [เปิดจองถึง 18 ต.ค. 58 ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Legpptk ที่ 18-05-2016 01:01:24
ตามอ่านทุกเรื่อง และประทับใจทุกเรื่องเลย เรื่องนี้ก็เช่นกัน
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [เปิดจองถึง 18 ต.ค. 58 ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 04-06-2016 20:10:38
ขอประชาสัมพันธ์หน่อยค่ะ

เวลา+ภีษมะ+จันทรัช+ภควัต+พฤช+ธราธพ จะตีพิมพ์กับสนพ.นาบูนะคะ รวมอยู่ในเล่มเดียวกัน ชื่อเรื่อง "เจ้าชาย" น่าจะเปิดจองเร็วๆนี้ค่ะ ฉบับ e-book ทั้ง 6 เล่มชุนจะหยุดขายหลังจากเซ็นสัญญากับสนพ.แล้ว ใครที่ซื้อ E-book เรื่องใดเรื่องหนึ่งไปแล้ว สามารถซื้อเก็บให้ครบได้เลยนะคะ เพราะจะไม่มีขายแยกแล้วน่ะค่ะ จะเป็นฉบับรวมเล่มอย่างเดียว จะว่าเป็นรวมเรื่องสั้นก็ได้ค่ะ ท่านที่ซื้อหนังสือเรื่องเวลาฉบับพิมพ์เองของชุนไปแล้วและไม่อยากซื้อซ้ำ ก็สามารถซื้อเรื่องสั้น 5 เรื่องเป็นแบบ e-book ได้ใน meb นะคะ (www.mebmarket.com) น่าจะลบเร็วๆ นี้

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็น กำลังใจ และการอุดหนุนตลอดมานะคะ :กอด1:

ชุนค่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [อัพเดต 4 มิ.ย.59]
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 06-06-2016 11:39:22
 o13 o13
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [อัพเดต 4 มิ.ย.59]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 06-06-2016 20:16:05
Ebook ซื้อไว้อ่านวนไปหลายรอบแล้วค่ะ
แต่จะรอเก็บตัวเล่มด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งเรื่องเฮเดสและเจ้าชายค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 12-07-2016 20:14:26
ใกล้ปิดจองแล้ว เลยมาประชาสัมพันธ์อีกรอบค่ะ


ขายของค่า ^^
ประชาสัมพันธ์นิยายที่กำลังเปิดจองอยู่นะคะ

เฮเดส

ปิดจอง 31 ก.ค.2559



ชื่อเรื่อง : เฮเดส (Hades)
ผู้แต่ง : ชุนภุศ
ภาพปก : Leila
Full price: 339 บาท


คำโปรย

อายุสิบหกปี

เจ้าชายเฮเดสทรงซื้อตัวเด็กชายอายุแปดขวบมาจากลานประมูลทาส

อายุยี่สิบสองปี องค์รัชทายาทหนุ่มโปรดให้เขาในวัยสิบสี่เข้าถวายตัว

สิบปีต่อมา พระองค์จะทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงต่างแคว้น

ทว่าสิ่งที่ธามถวายให้ไปไม่ใช่แค่ร่างกาย

เจ้าชายเฮเดสไม่เคยรับสั่งบอกว่าพระองค์ทรงรู้สึกอย่างไรกับเขา

แต่ในฐานะมหาดเล็กที่ถวายงานใกล้ชิด

ธามรู้ว่าพระองค์ทรงมีเขาเพียงคนเดียวมาตลอดสิบปี

ประโยคเดียวที่เขาอยากทูลถามก่อนวันอภิเษกสมรสจะมาถึงก็คือ

...ฝ่าบาท ‘เคยรัก’ กระหม่อมบ้างรึเปล่า...




เจ้าชาย

ปิดจอง 7 ส.ค.2559


ชื่อเรื่อง : Princes / เจ้าชาย
ผู้แต่ง : ชุนภุศ
ภาพปก : 童童TUNG (ภาพจะตามมาภายหลัง)
Full price : 499 บาท

คำโปรย


เจ้าชาย 3 พระองค์แห่งแคว้นเรืองอรุณล้วนแต่ทรงเสน่ห์

เจ้าชายภีมเสน... เจ้าชายพระองค์โตทรงรับเจ้าชายศวัส เชลยจากอันธกาลเป็นพระชายา นั่นเป็นตำแหน่งที่ใครๆ ต่างใฝ่ฝัน ทว่าศวัสหวังเพียงว่า วันหนึ่งเขาจะหลุดพ้นจากฐานะที่แสนอัปยศเสียที

เจ้าชายศีลวัต... เจ้าชายรองผู้แสนเผด็จการและเอาแต่ใจทรงรักมั่นจริงใจต่ออานนท์ องครักษ์ประจำพระองค์มาโดยตลอด ทว่านั่นเป็นสิ่งที่องครักษ์หนุ่มไม่เคยปรารถนา

เจ้าชายอัทธายุ... เจ้าชายสามผู้มีน้ำพระทัยงดงามทรงลืมไทวา เด็กหนุ่มจากเผ่าไทวะไปนานแล้ว ไม่นึกว่าสิบปีต่อมา พระองค์จะต้องทรงรับเขาไว้ในฐานะเชลยศักดิ์

 

เจ้าชาย 4 พระองค์แห่งแคว้นเทพภวันทรงมีความรักในแบบของพระองค์เอง

เจ้าชายภีษมะ... เจ้าชายของชยาเป็นคนที่หาเรื่องแกล้งคนได้เก่งที่สุดในโลก

เจ้าชายธราธพ... เจ้าชายของวสุธาช่างแสนเอาแต่ใจ แต่เขาไม่ใช่คนเอาใจเก่ง สิ่งที่เขาให้ได้ มีแค่ความรักแบบไม่ค่อยแสดงออก

เจ้าชายภควัต... เจ้าชายของพฤชไม่ใช่เจ้าชาย ในสายตาของเขา พระองค์ทรงเป็นเพียงเด็กชายที่ไม่รู้จักถนอม ‘ของเล่น’

เจ้าชายจันทรัช... เจ้าชายของวาริศทรงอ่อนโยน อ่อนหวาน และแสนดี เป็น ‘เจ้าชาย’ ที่เขาจะไม่ยอมปล่อยมือจากพระองค์ไปตลอดชีวิต

ภาพปกหนังสือ และรายละเอียดเพิ่มเติมและความคืบหน้า
ติดตามได้ที่เพจนาบูนะคะ
https://www.facebook.com/Nabupublishing?fref=ts
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งเรื่องเฮเดสและเจ้าชายค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 19-07-2016 23:37:10
ชอบนิยายของคุณชุนมากกกก มี ebook ทุกเล่ม (ยกเว้นเรื่องที่จบเศร้า 555) ยังรออ่านเรื่องใหม่อยู่นะคะ จุ้บๆ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งเรื่องเฮเดสและเจ้าชายค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 25-08-2016 19:17:50
อยากได้ๆๆ
เห็นไม่ทันเอาไว้สั่งในเว็บนะคะ
อุดหนุนๆ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งเรื่องเฮเดสและเจ้าชายค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: whitelavenders ที่ 08-09-2016 02:57:17
ก่อนหน้าที่จะมาอ่านเรื่องนี้ เราอ่านรามิเรสมาก่อนค่ะ พอเห็นชื่อก็เลยกดเข้ามาเลยแบบนี้
ปรากฏว่ากลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องโปรดไปซะแล้ว
จริงๆ ชอบทุกคู่นะคะ น่ารักแตกต่างกัน แต่จะติดใจเรื่องขององค์ชายรองมากที่สุด
คือ เราก็หาคำตอบไม่ได้หรอกว่าทำไมถึงชอบ ทั้งที่เกลียดมากกับนิสัยปากหนักพวกนี้
แต่ด้วยบริบทที่เกิดขึ้น ก็เข้าใจนะว่าทำไมถึงออกมาในรูปแบบนี้
เออ เราแอบขำด้วยแหละเวลาอานนท์พูดขัดนายในใจ 55555555555555555
ตอนจบซึ้งมากเลยค่ะ ร้องไห้เลย
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งเรื่องเฮเดสและเจ้าชายค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 29-09-2016 13:24:47
สนุกมากกกกก
3เรื่อง 3แนว ครบสุดๆ
พรุ่งนี้คืออบอุ่นมากก มีดราม่าพอเป็นสีสัน
แต่ซึ้งมากกก ดีที่ตอนสุดท้ายไม่ตาย
วันวานนี่ใสๆวัยรุ่นชอบมากๆค่ะ ฟินๆใสๆ
พี่ชายน้องชายที่รัก น่าจะสว่างสุดแล้วในสามเรื่องนี้
แต่แอบกร๊าววใจตรงรสนิยมบนเตียงเนี่ยสิ55555
แต่ก้ดูจะไม่เป็นปัญหาเพราะก้smลงตัวกันพอดี
คู่สุดท้ายหน่วงสุดอะไรสุดด รักแรงหึงแรงหวงแรงมาก
เพราะความไม่พูดแท้ๆ ถ้าพูดและแสดงออกกันมากกว่านะ
คงจะแฮปปี้กันตั้งนานนนนมากกแล้วว
ต้องยอมรับว่าอานนท์ใจเด็ดมากๆ และค่อนข้างจะเฉียบขาด
ถ้าองค์ชายรองเป็นคนเผด็จการที่สุด
องครักษ์ส่วนพระองค์ก้คงเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวมากที่สุด
เป็นเรื่องที่หวานปนขมทั้งเรื่องเลยค่ะ
หวานที่รู้ว่าเค้ารักกันมากขนาดไหน และขมที่อีกฝั่งไม่เคยรู้เลย
เรื่องนี้จบได้กรีดอารมณ์มากค่ะ แบบถึงจะแฮปปี้แต่ก้โชกเลือดกันทีเดียว
ดาบคาอกท่ามกลางอากาศเย็นเฉียบด้วยมือของคนที่รักที่สุดในชีวิต

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งเรื่องเฮเดสและเจ้าชายค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: IaminLove ที่ 28-01-2017 23:40:27
เค้าว่า ผญ ชอบ ผช แบบลูซิเฟอร์นี่น่าจะจริง ศีลวัตนี่ชอบมาก อ่าตอนรองสุดท้ายน้ำตาไหลเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งเรื่องเฮเดสและเจ้าชายค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: PoPoe ที่ 11-04-2017 15:01:19
ชอบทั้งสามเรื่องเลย
แต่ชอบเรื่อง วันนี้ ที่สุดค่ะ แต่ละตอนๆ บีบคั้นหัวใจมากกกกก
อานนท์นี่ปากแข็งสุดๆเลย แต่ก็ชอบมากกกก
ขอบคุณมากนะคะ หลังจากนี้ คงต้องรีบไปตามซื้อนิยายของคุณชุนให้ครบทุกเรื่องแล้ว
ดีงามมากจริงๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งเรื่องเฮเดสและเจ้าชายค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 20-05-2019 20:39:54
 o13
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งเรื่องเฮเดสและเจ้าชายค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: LittleSnowflake ที่ 08-06-2019 04:45:52
สนุกมากทั้งพรุ่งนี้ วันนี้ วันวาน
พรุ่งนี้นี่ทั้งหวานปนขม จะมีบางช่วงที่รู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของตัวละครบ้าง  แต่ก็สามารถทำความเข้าใจได้เมื่อมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อมา ตอนจบก็หวานชื่นมื่น
วันนี้นี่อึนทั้งเรื่อง มีแทรกให้ชื้นหัวใจบ้างไม่มาก ทั้งคู่ก็แข็งใส่กันตลอด  เรื่องราวบทสรุปของทั้งคู่เป็นที่ปลื้มใจสุด ๆ
วันวานนี่ก็หวานจริงจัง น้องก็น่ารัก ยั่วเก่ง อ้อนเก่ง สุดท้ายองค์ชายที่ดูว่าอ่อนโยนก็ไม่ได้อ่อน  แต่น้องคงรับไหวอยู่แล้วล่ะ
ทุกเรื่องราวความรักขององค์ชายทั้งสาม มีรักได้จากการพิสูจน์ตัวเอง และยอมรับในความรัก รักษาความรักไว้ไม่ทิ้งไปไหน
ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ นะผู้แต่ง :3123:
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งเรื่องเฮเดสและเจ้าชายค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 15-06-2019 10:33:46
เพิ่งได้ตามอ่านรามิเรส เลยมาอ่านเรื่องอื่นของคุณนักเขียนด้วย สนุกมากเลยค่ะ ชอบทั้ง3คู่เลย
หัวข้อ: Re: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งเรื่องเฮเดสและเจ้าชายค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 18-09-2019 01:43:57
เรื่องที่สามดีมากเลยอ่ะ นี่ร้องไห้ ปวดใจกับองค์ชายตอนอยู่ในคุก แต่เค้าก็แฮปปี้เอนดิ้งนะ รัก!!! :hao5:
ขอบคุณนักเขียนนะคะ สนุกมากๆ :katai2-1: