เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งเรื่องเฮเดสและเจ้าชายค่ะ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งเรื่องเฮเดสและเจ้าชายค่ะ]  (อ่าน 153001 ครั้ง)

ออฟไลน์ ชุน

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-1
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 5) 5 มิ.ย. 57
«ตอบ #90 เมื่อ05-06-2014 08:31:25 »

วันวาน... สู่นิรันดร์
บทที่ ๕

ไทวาไม่เสียดายผมเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าผมทรงใหม่จะทำให้หน้าเขาดูกลมขึ้นอีกก็ตาม เพราะเจ้าชายอัทธายุมักจะทรงขยี้ผมของเขาเล่นอยู่บ่อยๆ และเขาก็ชอบสัมผัสของพระองค์เหลือเกิน นอกจากนี้ หลังจากมองไปมองมา เขาก็เห็นว่าฝีมือตัดผมของตัวเองก็ใช้ได้อยู่เหมือนกัน ครั้นบอกความคิดนี้กับเจ้าชายหนุ่ม พระองค์ก็รับสั่งแนะนำอย่างหวังดี

“พี่ว่าเป็นช่างตัดผมคงไม่รุ่ง ตัดแค่ขนแกะเหมือนเดิมก็พอแล้ว”

ไทวาหน้ามุ่ย และเมื่อเขามองไปที่หนวดเคราของอีกฝ่าย เจ้าชายสามก็ทรงกระแอมขึ้นเสียสองครั้ง รับสั่งว่า

“หนวดเครานี่พี่เล็มเองได้ คงไม่รบกวนไท”

“ไทยังไม่ได้พูดอะไรเลย”

เจ้าชายอัทธายุแย้มพระสรวล ขณะไทวาคิดว่า ถ้าเขายังไม่ได้จูบกับพี่เขยเลยสักครั้งล่ะก็ เขาไม่มีวันยอมให้อีกฝ่ายโกนหนวดโกนเคราออกเด็ดขาด





อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าไม่ได้มีแต่เขาเท่านั้นที่เห็นว่าเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงหล่อเหลามากขึ้น สีหน้าของคุณหนูบ้านเสนาบดีธรรมการบ่งบอกชัดเจนว่าหลงใหลความหล่อแบบดิบๆ ของพระองค์มากยิ่งขึ้นเช่นกัน เจ้าหญิงวรนารียังทรงทำหน้าที่ ‘แม่สื่อ’ อย่างต่อเนื่อง นานวันเข้า พระองค์ก็ทรงทราบว่าปัญหาอยู่ตรงไหน

“คราวนี้ไทไม่ต้องไปได้ไหม พี่อยากให้เจนจิรามีโอกาสอยู่กับเจ้าพี่ตามลำพังบ้าง”

มีเจนจิราที่ไหน ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะไม่มีไทวาอยู่ด้วย

“... แต่ไทอยากไปด้วยครับ ไทชอบน้ำตก”

“เอาไว้วันหลังพี่จะพาไปนะ แต่พรุ่งนี้พี่ขอ ไทจะทูลเจ้าพี่ว่าไม่สบาย ไม่อยากไป หรืออะไรก็ได้ แค่ให้เจ้าพี่เสด็จไปพบกับเจนจิราแค่สองคนก็พอ นะ แล้วพี่จะเลี้ยงขนมอร่อยๆ เยอะๆ”

ไทวาไม่อยากจะยอมเลย เขาไม่ได้อยากไปเที่ยวน้ำตกวันหลัง ไม่อยากได้ขนม สิ่งเดียวที่อยากได้ ก็คือคนที่เจ้าหญิงวรนารีกำลังทรงพยายามจะทำให้เป็นของคนอื่น

แต่เขาก็จำใจต้องยอม

เจ้าชายอัทธายุตรัสถามถึงสามครั้ง ว่าเจ้าหัวลูกชิ้นของพระองค์จะไม่ไปด้วยกันแน่หรือ

“ไหนว่าสองเดือนนี้อยากให้พี่พาเที่ยวให้เต็มที่ พรุ่งนี้พี่ว่างแค่วันเดียวเท่านั้นนะ”

“ไท... ไทจะเลี้ยงปลาอยู่ที่นี่ พี่เขยไปเถอะครับ”

เนื่องจากเจ้าชายหนุ่มรับสั่งว่า ให้เลี้ยงปลาให้โตก่อน แล้วค่อยคิดเรื่องเลี้ยงไก่ดูอีกที ตอนนี้ไทวาจึงมีเรื่องให้อ้างอยู่แค่นี้ เป็นเรื่องที่ทั้งคนพูดและคนฟังต่างก็รู้ว่าไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แต่เจ้าชายสามก็ไม่ได้ตรัสชวนอีกเป็นครั้งที่สี่ และไทวาก็ไม่ได้ดึงดันจะขอไปด้วยอย่างทุกครั้ง

คุณชายแห่งไทวะไม่ใช่คนที่จะอดทนเก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้ได้นานนัก เพราะฉะนั้นไม่ว่าพี่เขยของเขากับคุณหนูคนสวยไปทำกิจกรรมอะไรกันมาบ้าง เขาก็ถามเอาตรงๆ อย่างหมดเปลือก สิ่งที่ทำให้เขายังพอจะโล่งใจอยู่ได้ ก็คือทีท่า สีหน้า น้ำเสียง ของเจ้าชายหนุ่มไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรกับหญิงสาวผู้นั้นเป็นพิเศษ

อย่างไรก็ตาม วันเวลาที่เหลืออยู่น้อยลงทุกทีทำให้เขาไม่อยากจะอดทนทำเพื่อใครอีกแล้ว นอกจากตัวเอง

ไม่ว่าเจ้าชายเจ้ากรมโยธาฯ จะเสด็จไปไหนกับเจนจิรา แฝดหัวเกรียนของพระองค์เป็นต้องตามไปด้วยทุกครั้ง ครั้นเจ้าหญิงวรนารีชักจะ ‘ไม่ปลื้ม’  ไทวาก็ปลุกปลอบสร้างกำลังใจให้ตัวเองแล้ว ‘เปิดอก’ คุยกับพระองค์ตามลำพังในบ่ายวันหนึ่ง ในศาลาใกล้บ่อเลี้ยงปลา

“ไทขอโทษครับ”

“ขอโทษเรื่องอะไร” เจ้าหญิงคนงามตรัสถามทั้งที่พอจะทรงทราบ

“ที่ไททำอย่างที่พี่น้องขอไม่ได้ครับ ไทไม่อยากให้พี่เขยกับพี่เจนอยู่ด้วยกัน”

“ทำไมล่ะ” รับสั่งถามพระสุรเสียงเบา พระทัยค่อยๆ เต้นแรงขึ้น มีพระดำริมาก่อน ว่าเหตุผลจริงๆ คงจะเป็นเรื่องนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะโพล่งออกมาตรงๆ คิดว่าประโยคแรกที่พูดน่าจะเป็น ‘ไทอยากไปเที่ยวด้วย’

“ไทหึง”

เจ้าหญิงวรนารีทรงสูดพระอัสสาสะเข้าดังเฮือก

“ไทรักพี่เขยครับ”

คนฟังยิ่งทรงตกตะลึง ถึงกับรับสั่งไม่ออกอยู่หลายนาที และทั้งๆ ที่เตรียมใจมาแล้วว่าไม่ว่าจะเจอปฏิกิริยายังไงก็จะไม่หวั่นไหว แต่เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดกลับยิ่งกว่าหวั่นไหว เขารอให้อีกฝ่ายรับสั่งอะไรออกมาบ้างไม่ไหว จึงต้องเป็นฝ่ายพรั่งพรูออกมาเสียเอง

“รักมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ไทไม่รู้ว่าตอนนั้นไทรักพี่เขยแบบไหน แต่ไทไม่เคยลืมพี่เขยเลย เวลาที่มีใครถามเรื่องผู้หญิงที่ชอบ ไทก็นึกถึงใครไม่ออก คิดถึงแต่พี่เขยคนเดียว ไท... ไม่อยากให้พี่เขยแต่งงานกับใคร อยากให้พี่เขยรักไทอย่างที่ไทรักพี่เขย... รักไทแค่คนเดียว ไท...”

“เดี๋ยว! พอก่อน”

พระองค์รู้สึกว่านี่มันชักจะมากเกินไปเสียแล้ว เกินกว่าที่พระองค์จะทรงทำพระทัยรับได้หมดในคราวเดียว แต่พอรับสั่งไปแล้วก็เสียพระทัยเล็กน้อย ที่ทำให้อีกฝ่ายถึงกับหน้าเสีย ดวงตาหลังกรอบแว่นสั่นไหวระริก

“พี่... คิดว่า... ไทอาจจะเข้าใจผิด”

ก็รับสั่งไปอย่างนั้นเอง ความจริงแล้วพระองค์ทรงเชื่อเกินครึ่ง ร่ำๆ จะตรัสถามอยู่หลายครั้งหลายหน แต่ก็ทรงทนรอให้อีกฝ่ายพูดออกมาเอง

“ไทพูดจริงๆ ครับ ไทเข้าใจความรู้สึกของตัวเองดี”

“ไท... มีคู่หมั้นแล้วไม่ใช่หรือ พี่จำได้ว่าไทบอกว่าชอบนาง”

“ชอบแบบเป็นเพื่อนกันครับ ไทบอกท่านหญิงแล้ว ก่อนมาเป็นตัวประกันที่นี่ ไทก็ตกลงกับนางแล้ว ว่าให้ถือว่าไม่มีพันธะต่อกัน ถ้านางรักใคร ก็ให้แต่งงานกับเขาไปเลย”

พระขนงคู่งามของเจ้าหญิงแห่งเรืองอรุณมุ่นเข้าหากัน สีพระพักตร์เคร่งเครียด ขยับพระโอษฐ์ แล้วก็กลับเม้มเข้าหากัน เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง

“แล้วไท... มาบอกพี่ทำไม อยากให้พี่ช่วยทูลเจ้าพี่ให้หรือ”

“อย่านะครับ! อย่าบอก” เด็กหนุ่มทูลห้ามเสียงดัง สีหน้าตื่นตะลึง “ไทขอร้อง พี่น้องอย่าบอกพี่เขย ไทยังไม่อยากให้พี่เขยรู้ ถ้ารู้ พี่เขยอาจจะเกลียดไทก็ได้”

เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณไม่ใช่คนที่จะกริ้วหรือเกลียดใครง่ายๆ แต่สำหรับเรื่องนี้ แม้แต่พระขนิษฐาเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ยังไม่แน่พระทัย ว่าถ้าพระเชษฐาทรงทราบแล้วจะมีพระดำริเช่นไร

“แล้วคิดจะบอกรึเปล่า”

คนถูกถามเม้มปากแน่น ดวงตาหลังกรอบแว่นหลุบต่ำ ก่อนจะเหลือบขึ้น เปล่งประกายแน่วแน่

“บอกครับ ไทจะบอกก่อนที่พี่เขยจะต้องเดินทางแน่ๆ แต่ตอนนี้ไทยังไม่กล้า”

“ไม่กลัวว่าเจ้าพี่จะทรงเกลียดไทแล้วหรือ”

ไทวาเงียบไปอีก

“พี่น้อง... เกลียดไทรึเปล่า”

คนถูกย้อนกลับด้วยคำถามเดียวกันอย่างกะทันหันทรงชะงัก

“อยากรู้ด้วยหรือ”

“อยากรู้ครับ”

“อยากรู้ทำไม”

“เพราะว่าไทรักพี่น้อง ไม่อยากให้พี่น้องเกลียดไท” สายตาคู่นั้นจริงจัง จริงใจเกินกว่าจะเป็นการหลอกลวง เจ้าหญิงวรนารีแย้มพระสรวลออกมานิดหนึ่ง

“พี่เกลียดไทไม่ลงหรอก”

“ทำไมล่ะครับ”

“คงเพราะ... พี่ก็รักไทเข้าแล้วล่ะมั้ง” ก่อนที่ไทวาจะได้ยิ้มกว้างไปกว่านี้ รับสั่งต่อไปก็ตามมา “แต่พี่ก็รักเหมือนน้อง ไม่เคยคิด... ว่าจะให้ไทมาเป็น... พี่สะใภ้”

เด็กหนุ่มหุบยิ้ม หน้าซีด แม้จะเข้าใจ แต่ก็อดเสียใจไม่ได้

“ไท... ทราบครับ”

“ยังไม่ได้บอกเลย ว่าทำไมไทถึงตัดสินใจบอกพี่”

“ไทอยากให้พี่น้องช่วยครับ” ดูเหมือนคนพูดจะเรียกกำลังใจของตัวเองกลับมาได้อย่างรวดเร็ว “ช่วยให้โอกาสไทได้พยายามทำให้พี่เขยรัก อยากให้พี่น้องเลิกสนับสนุนพี่เจน... แล้วก็ขอร้องให้พี่น้องอย่าขัดขวางไท ไทรักพี่เขย แล้วก็รู้ว่าพี่เจนก็รักพี่เขยเหมือนกัน ถ้าต้องแข่งขันกับผู้หญิงที่เพียบพร้อมถึงขนาดนั้น ไทก็อยากจะแข่งขันอย่างยุติธรรม อยากให้พี่เขยตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่อยากให้ทำเพราะพี่น้องเป็นน้องสาวที่พี่เขยรักมาก”

คุณชายแห่งเผ่าไทวะช่างเข้าใจพูดเหลือเกิน เจ้าหญิงแห่งเรืองอรุณทรงยอมรับ แต่ก็ใช่ว่าพระองค์จะทรงทำใจได้ทันที

“พี่ขอเวลาคิดก่อนนะไท บอกตามตรงว่าพี่ยังสับสนอยู่ พี่ไม่ได้เกลียดไท แต่ยิ่งรู้แน่ว่าไทรักเจ้าพี่ พี่ก็ยิ่งอยากจะ... อยากจะให้เจ้าพี่ทรงเลือกเจนจิรา”

ไทวารู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมาอย่างกะทันหัน ราวกับอีกฝ่ายได้กดหัวเขาลงไปในบ่อน้ำ เขาพยายามจะฝืนยิ้มแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้ เสียงเขาสั่น ตาเขาร้อน เมื่อทูลตอบ

“ไม่เป็นไรครับ แค่พี่น้องไม่เกลียดไท ไทก็ดีใจ”

ต่างฝ่ายต่างนั่งกันอยู่เงียบๆ ครู่ใหญ่ ในที่สุดเจ้าหญิงวรนารีก็ทรงยืนขึ้นและบอกลา ไทวายืนส่งเสด็จ ทว่าหลังจากทรงยืนนิ่งอยู่อีกชั่วอึดใจ เจ้าหญิงคนงามก็ตรัสถามคำถามเดิมที่ยังไม่ได้คำตอบ

“ไทไม่กลัวหรือ ว่าถ้าเจ้าพี่ทรงทราบแล้วจะเกลียดไท”

ไทวาส่ายหน้า “พี่เขยไม่เกลียดไทหรอกครับ พี่เขยใจดี”

“ก็คงจะจริง แต่ก็คงจะรักตอบไทไม่ได้”

“รักได้สิครับ” ประโยคนี้ดังฉะฉานและหนักแน่น “พี่เขยต้องรักไทได้แน่ๆ”

“ทำไม...” ถึงได้เชื่อมั่นขนาดนั้น

“เพราะไทรักพี่เขย”

เหตุผล... ก็มีแค่นี้เอง ไม่มีการบรรยายสรรพคุณความดีของตัวเอง ไม่มีเหตุผลอื่นอีกแล้ว

เพราะเขารักอีกฝ่ายได้ อีกฝ่ายก็ต้องรักเขาได้เช่นกัน... เด็กคนนี้เอาความมั่นใจมากมายมาจากไหนกัน
 




 เจ้าหญิงวรนารีทรงตกโอษฐ์รับคำ สัญญาแล้วว่าจะไม่กราบทูลเรื่องที่คุยกันในวันนั้นให้พระเชษฐาทรงทราบ ทว่าเพียงแค่วันรุ่งขึ้น พระองค์ก็เสด็จออกจากวังไปหาเจ้าชายหนุ่มถึงที่กรม

“หญิงมีเรื่องเกี่ยวกับไทจะกราบทูล แต่เจ้าพี่ต้องสัญญาก่อนนะเพคะว่าถ้าทรงทราบแล้วจะไม่กริ้วหรือว่าเกลียดไท”

ห้องทรงงานของเจ้ากรมโยธาธิการเก็บเสียง และด้านนอกก็มีองครักษ์ประจำพระองค์ยืนอยู่

“เรื่องไม่ดีหรือ สีหน้าหญิงดูจริงจังมาก” พระเชษฐายังรับสั่งถามด้วยพระสุรเสียงเรื่อยๆ ไม่ได้เคร่งเครียดตาม

“หญิงก็ทูลไม่ถูกเพคะว่าดีหรือไม่ดี แต่เจ้าพี่คงจะตกพระทัย”

“ถ้าหญิงคิดว่าพี่ควรรู้ก็บอกมาเถอะ โกรธหรือไม่โกรธพี่จะตัดสินใจเอง”

ครั้นพระขนิษฐายังทรงลังเล ไม่แน่พระทัย พระองค์ก็แย้มพระสรวลพลางรับสั่งเย้า

“ที่มาถึงนี่ก็เพราะอยากจะบอกไม่ใช่รึ ถ้าไม่บอกพี่ หญิงคงเสียความตั้งใจ”

“ไทเขารักเจ้าพี่เพคะ”

บทจะบอก เจ้าหญิงคนงามก็รับสั่งโพล่งออกไปเลย บอกแล้วแทนที่จะโล่ง กลับทรงเครียดยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าคนฟังทรงชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด

“... เขาบอกหญิง หรือหญิงเดาเอาเอง” ไม่มีการถามว่ารักแบบไหน พระองค์ทรงทราบอยู่แล้ว

“เขาบอกหญิงเองเพคะ เมื่อวานนี้”

แล้วรายละเอียดต่างๆ ก็พรั่งพรูออกจากพระโอษฐ์ราวกระแสน้ำ ละเอียดยิบแทบจะคำพูดต่อคำพูด รับสั่งจบก็โล่งพระทัยขึ้นมากที่ได้กราบทูลเสียที ก่อนที่จะกังวลพระทัยขึ้นมาอีกครั้ง

“สรุปว่าไทถอนหมั้นกับท่านหญิงอันธกาลแล้ว”

พระขนิษฐาถึงกับทรงงุนงงไปชั่ววูบ ไม่คาดว่าเรื่องแรกที่ตรัสถามจะเป็นเรื่องนี้

“ก็... น่าจะใช่เพคะ”

เจ้าชายหนุ่มทรงพยักพระพักตร์

“เจ้าพี่ไม่ทรงรู้สึกอะไรบ้างหรือเพคะ” พระองค์ทรงสงสัยเต็มทน ครั้นอีกฝ่ายทรงเลิกพระขนงขึ้นเป็นเชิงถาม เจ้าหญิงคนงามจึงทรงขยายความ “ไทเขาเป็นผู้ชายนะเพคะ เขารักเจ้าพี่อย่าง... อย่างผู้หญิงรักผู้ชาย เจ้าพี่ไม่ทรงตกพระทัยเลยหรือเพคะ”

“เด็กคนนั้นเขาเก็บความรู้สึกไม่เก่ง รู้สึกยังไงก็แสดงออกตรงๆ หญิงไม่คิดอย่างนั้นหรือ”

“แสดงว่าเจ้าพี่ทรงทราบก่อนที่หญิงจะมาทูลอีกหรือเพคะ”

เจ้าชายอัทธายุไม่ได้ตรัสตอบ

“พี่ไม่คิดว่าเขาจะกล้าบอกหญิง”

ตอนนี้ชัดเจนแล้ว ว่าถึงจะทรงทราบแล้วก็ไม่ได้เกลียด และไม่ได้โกรธ ไม่เลย... แม้สักน้อย หาไม่ คงไม่ได้เห็นรอยละมุนติดมุมโอษฐ์

“แล้วเจ้าพี่จะทรงทำยังไงต่อไปเพคะ”

พระเชษฐาทรงเลิกพระขนง “พี่ต้องทำอะไร” ครั้นเห็นคนประทับตรงข้ามพระพักตร์มุ่ย ก็พลันแย้มพระสรวลแล้วทรงเฉลย “คงไม่ทำอะไร ไทเขาขอไม่ให้หญิงมาบอกพี่ ถ้าพี่ทำอะไรผิดปกติ เขาอาจจะเคืองหญิงก็ได้ที่ผิดสัญญา”

“แต่...” ทอดพระเนตรสีพระพักตร์รอฟังของพระเชษฐาแล้วก็ทรงฮึดฮัดขัดพระทัย “หญิงแค่อยากจะรู้ว่าเจ้าพี่ทรงรู้สึกยังไงกับไทเพคะ”

คราวนี้เจ้าชายหนุ่มทรงเงียบไปครู่ คำตอบเรียบเรื่อย แต่จริงจังกว่าที่ผ่านมา

“ยังเร็วเกินไปที่จะบอก”

แค่นั้น พระขนิษฐาก็ตาโต ทำไมจะทรงฟังไม่ออก แบบนี้ก็แสดงว่า... ไทวามีหวังน่ะสิ

“ไม่ทรงรังเกียจเลยหรือเพคะที่เขาเป็นผู้ชาย”

“หญิงน้อง” พระสุรเสียงห้าวทุ้ม แต่ให้ความรู้สึกอ่อนโยนเหลือเกิน “พี่ไม่เคยรังเกียจคนที่รักพี่ ความรักไม่ควรเป็นสิ่งที่ถูกเกลียด”

เจ้าหญิงวรนารีทรงนิ่งเงียบไปนาน แล้วก็ทรงพยักพระพักตร์เนิบๆ ยอมรับได้อย่างเต็มพระทัย ถึงกระนั้นก็ยังปรารถนาจะทรงทราบให้ชัดเจน

“แปลว่าเจ้าพี่จะประทานโอกาสให้ไท ถ้าเขาทำให้เจ้าพี่ทรงรักตอบได้ หญิงก็มีสิทธิ์จะได้พี่สะใภ้เป็นผู้ชายที่อายุน้อยกว่าหญิงตั้งหกปีหรือเพคะ”

“อาจจะ”

เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณไม่เคยทรงปิดกั้น แท้จริงแล้วทรงเปิดเอาไว้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นโอกาสที่คนอื่นจะเข้าหาหรือว่าพระทัยของพระองค์เอง เพียงแต่ไม่เคยมีคนเข้ามานั่งอยู่ในพระทัยของพระองค์ได้ เพราะฉะนั้น หากเด็กผู้ชายคนหนึ่งจะเข้ามาถึงในพระทัยของพระองค์ได้ พระองค์ก็ไม่คิดจะต้านทานหรือผลักไส





“พี่คิดว่าจะทำตามที่ไทขอ พี่จะไม่ช่วยเหลือเจนจิราอีก ไม่ใช่เพราะพี่เข้าข้างไทนะ แต่ไทพูดถูก ว่าพี่ควรจะปล่อยให้ไทกับเขาแข่งกันอย่างยุติธรรม ยังไงพี่ก็อยากได้พี่สะใภ้เป็นผู้หญิง แต่ถ้าเจ้าพี่ทรงรักไท เลือกไท พี่ก็เต็มใจรับไทเป็นพี่สะใภ้”

“ขอบคุณมากครับ พี่น้อง”

น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเปี่ยมความมีชีวิตชีวา ประกายตาเจิดจ้าสดใส แต่ความรู้สึกสำนึกขอบคุณในใจของเขามันมากกว่าคำขอบคุณเพียงประโยคเดียวนั้นหลายเท่า

เจ้าหญิงวรนารีทรงถอยห่างออกมาเป็นเพียง ‘ผู้ดู’ และพบว่าการดูอยู่อย่างใกล้ชิดโดยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องนั้นน่าสนุกกว่าการเอาตัวเข้าไปพัวพันมากนัก ได้เห็นอะไรดีๆ อย่างที่ไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน

ผู้หญิงคงจะมีสัญชาตญาณดีเป็นพิเศษ เพราะแม้ว่าพระองค์จะไม่ได้รับสั่งบอก แต่เจนจิราก็ดูจะรู้ได้เองว่าคุณชายหนุ่มแห่งเผ่าไทวะคือคู่แข่งที่น่ากลัว





วันหนึ่งเมื่อไทวาออกไปเที่ยวข้างนอกกับมหาดเล็ก 2-3 คน ระหว่างที่กำลังเลือกซื้อต้นไม้ คุณหนูบ้านเสนาบดีธรรมการก็ใช้ให้คนรับใช้มาตามเขาไปพูดคุยกันที่ริมลำธารแห่งหนึ่ง

“ไทชอบองค์ชายสามใช่ไหม” เจนจิราถามอย่างไม่อ้อมค้อม

“ครับ” คนตอบบอกเสียงสดใส แค่ตอนทูลเจ้าหญิงวรนารีเท่านั้นที่เขากลัว แต่กับหญิงสาวผู้นี้ เขาไม่รู้สึกอย่างนั้น

“ชอบอย่างที่... ผู้หญิงชอบผู้ชายน่ะหรือ”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า ชนิดที่ว่าถ้าเป็นแต่ก่อนผมคงกระจายไปแล้ว แต่ตอนนี้เหลือแต่ผมสั้นเกรียน จึงเป็นไปไม่ได้

“ชอบอย่างที่ผู้ชายชอบผู้ชายครับ”

“อย่ามายียวนพี่นะไทวา”

“พี่เจนอย่าเพิ่งโกรธครับ ก็ไทเป็นผู้ชาย จะไปชอบอย่างผู้หญิงได้ยังไง แต่ถ้าพี่เจนหมายความว่าไทอยากให้พี่เขยรักไท เป็นของไทคนเดียวรึเปล่า ไทอยากครับ”

เจนจิราหน้าเครียด แต่เมื่อมองสีหน้าและแววตาจริงใจของเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วก็ต้องชะงักไป นั่นแววตาของคนกำลังมีความรัก รักอย่างบริสุทธิ์มากเสียด้วย หญิงสาวพยายามข่มใจ แล้วตัดสินใจพูดตรงๆ

“พี่ก็... ชอบพระองค์”

“ไททราบครับ”

“และคิดว่าพี่เหมาะสมกับพระองค์มากกว่าไท” มากกว่าใครๆ

“...”

“พี่เป็นลูกสาวเสนาบดี ได้ร่ำเรียนความรู้สำหรับการเป็นกุลสตรีชั้นสูงที่ดีมา ทั้งฐานะ รูปร่างหน้าตา คุณสมบัติ เรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสมคู่ควรกับองค์ชาย พี่แต่งงานกับพระองค์ได้ มีลูกถวายให้พระองค์ได้ แล้วไทล่ะ มีอะไรบ้าง”

“ไท...”

“ไทเป็นผู้ชาย แต่งงานกับพระองค์ไม่ได้ มีลูกถวายให้ก็ไม่ได้ ไทเป็นลูกชายหัวหน้าเผ่าที่เป็นกบฏ มาอยู่ที่นี่ในฐานะเชลย การที่ไทพยายามจะทำให้องค์ชายสามโปรด ใครๆ จะไม่คิดหรือว่าไทกำลังคิดไม่ซื่อ พยายามจะจับองค์ชายเพื่อจะได้ช่วยเหลือเผ่าของตัวเอง”

“ไทไม่ได้...”

“ไทอาจจะไม่ได้คิด แต่คนอื่นต้องคิดแน่ แม้แต่องค์ชายเองก็เถอะ ถึงตอนนี้จะไม่ทรงคิด แต่ต่อไปต้องทรงคิดได้แน่ พระองค์ทรงเป็นเจ้าชายแคว้นใหญ่ เพียบพร้อมทุกอย่าง ทั้งพระรูปพระโฉม ฐานันดร แล้วยังทรัพย์สมบัติ”

“ไทไม่ได้อยากได้สมบัติของพี่เขย ไม่ได้คิดเรื่องการเมือง”

ไทวาหวั่นไหว... ยิ่งกว่าหวั่นไหว หัวใจพลุ่งพล่าน ตัวสั่น หวั่นกลัว เขาไม่กลัวผู้หญิงตรงหน้า แต่ถ้อยคำที่นางพูดน่ากลัวเกินไป มันไม่จริง แต่เขาก็รู้ว่าแก้ตัวได้ยาก

“ไม่สำคัญหรอกว่าไทจะคิดยังไง ที่สำคัญคือคนอื่นจะมองยังไงต่างหาก องค์ชายทรงเป็นเจ้าชาย การเลือกพระชายาต้องเลือกที่เหมาะสม...” หยุดไปครู่ หญิงสาวจึงปิดท้ายด้วยประโยคเด็ดที่สั่นคลอนหัวใจของไทวาได้มากยิ่งกว่าประโยคไหน

“พี่คงไม่ต้องพูดถึงรูปร่างหน้าตาของไทนะ”

เด็กหนุ่มหน้าซีด ใจสั่น ดวงตาและปลายจมูกร้อนผ่าว แค่ยืนกลั้นน้ำตา เขาก็แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงทำอย่างอื่น

“ตัดใจจากพระองค์เถอะ”

ไทวาตัวสูงกว่าเจนจิรา แต่ตอนนี้หญิงสาวดูตัวใหญ่กว่าเขามาก เด็กหนุ่มยืนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาหวั่นไหว ก่อนจะหลับตาลงเมื่อมั่นใจว่าน้ำตาจะไม่ไหลลงมาแน่

เนิ่นนาน... เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ร่องรอยความหวั่นไหวนั้นก็เลือนหายไปแล้ว เด็กหนุ่มยิ้มให้คนที่รักผู้ชายคนเดียวกับเขา

“ขอบคุณครับที่บอกไท ไทไม่เคยคิดอย่างนี้เลย ต่อไป... ไทก็คงจะไม่คิด เรื่องยากๆ แบบนี้ ไทให้พี่เขยเป็นคนคิดดีกว่า พี่เขยคงคิดเก่งกว่าไท ไม่ว่าพี่เขยจะตัดสินใจยังไงไทก็จะยอมรับ ไทแค่รู้ว่าไทอยากได้อะไร และไทก็อยากจะพยายามต่อไปเพราะพี่เขยเป็นผู้ชายที่มีค่าสำหรับความพยายาม”

ก็แค่รักเท่านั้น ทำไมจะไม่ได้ล่ะ

เมื่อรักแล้ว ผิดหรือ ที่จะพยายามทำให้อีกฝ่ายหนึ่งรักตอบ ไม่ตัดใจหรอก ไม่มีวัน ถึงยังไงเขาก็มีโอกาสใกล้ชิดมากกว่าอยู่แล้ว

“พี่เจนก็...
.
.
.
.
.
.

มาพยายามด้วยกันนะครับ”







tbc.


*****************************************

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 5) 5 มิ.ย. 57
«ตอบ #91 เมื่อ05-06-2014 09:28:53 »

รักไทมากกก น้องตรงไปตรงมากับความรู้สึกตัวเองจริงๆ

จากคำพูดที่โต้ตอบกับเจนจิรา ทำให้รู้ว่านอกจากจะน่ารักแล้ว น้องยังฉลาดมากอีกด้วย

ท่านหญิงก็เลือกเอานะ กับคนที่น่ารักตรงไปตรงมา อยู่แล้วน่าจะเย็นสบาย

กับผู้หญิงร้ายลึกที่อาจทำให้บ้านร้อนเป็นไฟได้ อยากได้พี่สะใภ้แบบไหน
 :L2: นักเขียน

ออฟไลน์ milkshake✰

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 5) 5 มิ.ย. 57
«ตอบ #92 เมื่อ05-06-2014 09:52:15 »

น้องไทเข้มแข็งมากจริงๆ อ่ะ
สู้ๆ นะลูกลุยไปเลยยยย 55555555

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 5) 5 มิ.ย. 57
«ตอบ #93 เมื่อ05-06-2014 11:57:38 »

อื้อฮือ  มาดนางร้ายหลุดเลย  เจนจิรา ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะเนี่ยะ

ออฟไลน์ Phut

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 5) 5 มิ.ย. 57
«ตอบ #94 เมื่อ05-06-2014 12:13:54 »

 :m31:
ไทเข้มแข็งมาก  :katai2-1:
แอบสงสารนึกว่าจะถอดใจเพราะคำพูดเจนจิราซะแล้ว
สู้ต่อไปลูก
ขอบคุณจ้า :L2:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 5) 5 มิ.ย. 57
«ตอบ #95 เมื่อ05-06-2014 17:17:30 »

ไม่นานหรอกก พี่เขยต้องตกหลุมน้องไทแน่ๆ
เจนจิรานางดูฉลาดดี แต่น้องไทก็ฉลาดไม่แพ้กัน

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 5) 5 มิ.ย. 57
«ตอบ #96 เมื่อ06-06-2014 01:25:38 »

"มาพยายามด้วยกัน" มองโลกในแง่ดีไปมั้ยลูก

ออฟไลน์ ชุน

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-1
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 6) 6 มิ.ย. 57
«ตอบ #97 เมื่อ06-06-2014 12:05:12 »

วันวาน... สู่นิรันดร์
บทที่ ๖

วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายอัทธายุ เจ้าหญิงวรนารีทรงรับเป็นพระธุระจัดการเรื่องต่างๆ ถวายโดยมีไทวาคอยช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ตอนเช้าจึงมีการทำบุญเลี้ยงพระที่พระตำหนัก มีบรรดาเชื้อพระวงศ์และขุนนางบางคนมาร่วมพิธีด้วย ตอนบ่าย เจ้าชายหนุ่มเสด็จไปที่กรม และกลับมาในตอนเย็นพร้อมกับของขวัญหลายชิ้น

ตอนค่ำ มีงานเลี้ยงเล็กๆ ที่ห้องโถงชั้นล่างของพระตำหนัก เจ้าหญิงวรนารีทรงนำคนของพระองค์มาตกแต่งสถานที่ ส่วนไทวาจัดการเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม ผักสวนครัวหลังพระตำหนักที่พอจะเก็บได้ถูกเก็บจนเกลี้ยง มหาดเล็กหลายคนช่วยกันจับปลาอย่างสนุกสนาน รายการอาหารส่วนใหญ่เป็นของที่เจ้าชายหนุ่มโปรดและไทวาชอบ... เฉพาะอาหารจานไก่มีถึงสี่อย่าง

เสื้อผ้าชุดใหม่ของไทวาที่เจ้าหญิงวรนารีทรงสั่งตัดให้ แต่เจ้าชายอัทธายุทรงจ่ายเงินเสร็จทันพอดี คืนนี้เด็กหนุ่มจึงแต่งขาว เข้ากันได้ดีกับฉลองพระองค์สีน้ำเงินเข้มของเจ้าชายสามซึ่งเขาเป็นคนเลือกถวาย ขณะที่เจนจิราแต่งเหลือง เข้ากันได้ดีกับสีน้ำเงินเช่นกัน

บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความสดใสชื่นมื่น หลังจากการรำถวายพระพรผ่านไปสองชุด เจ้าของงานก็รับสั่งขอบใจทุกคนที่มาในงาน ไทวาถูกเรียกให้ขึ้นไปบนยกพื้นเตี้ยๆ ด้วยกัน เจ้าชายสามทรงแนะนำว่าเขาเป็นเหมือน ‘น้องชาย’ คนหนึ่งของพระองค์ ไทวาหน้าเสียในฉับพลัน ยิ่งมองเห็นรอยยิ้มของคุณหนูบ้านเสนาบดีธรรมการยิ่งอยากจะร้องไห้

คณะนักดนตรีบรรเลงเพลงขับกล่อมตลอดเวลา ทว่าไทวาไม่มีอารมณ์สุนทรีย์เลย เจ้าชายอัทธายุทรงสังเกตเห็น เข้าพระทัย แต่ไม่ได้รับสั่งอะไรเพื่อให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้น โดยมากจะมีพระปฏิสันถารกับบรรดาขุนนาง ขณะที่ไทวาก็มีคนเข้ามาพูดคุยด้วยเนืองๆ เขาพยายามรักษาสีหน้าให้ดูเป็นปกติที่สุด ทว่าเมื่อเจ้าชายหนุ่มทรงเต้นรำกับเจนจิรา เขาก็เผลอน้ำตาร่วงโดยไม่รู้ตัวจนคนยืนข้างทัก เด็กหนุ่มรีบปาดน้ำตา ครั้นมองไปเห็นว่าเจ้าหญิงวรนารีกำลังทอดพระเนตรมองมา เขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยิ้ม แล้วเดินตรงไปโค้งถวาย

“เต้นรำกับกระหม่อมสักเพลงเถิดพระเจ้าค่ะ ฝ่าบาท”

เจ้าหญิงคนงามแย้มพระสรวล ก่อนวางพระหัตถ์ลงบนมือที่ยื่นมารอรับ ทั้งโล่งพระทัยที่อีกฝ่ายดูจะ ‘ไม่เป็นอะไรมาก’ และนึกชื่นชมที่เขาวางตัวได้ดี

คุณชายแห่งเผ่าไทวะไม่ทำให้เผ่าของเขาต้องเสียหน้า เด็กหนุ่มเป็นผู้นำที่ดี เจ้าหญิงวรนารีทรงเพลิดเพลินกับการเต้นรำมาก หนึ่งเพลงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครั้นขึ้นเพลงที่สอง ไทวาก็กราบทูล

“เดี๋ยวไทขอแลกคู่นะครับ พี่น้อง”

“แลกกับคู่ไหน”

“คู่พี่เขยครับ”

“เอาสิ”

เต้นกับพระเชษฐาน่ะได้อยู่แล้ว ถึงตอนเปิดฟลอร์จะทรงเต้นคู่ไปแล้วรอบหนึ่งก็เถอะ แต่ว่าไทวาจะเต้นกับเจนจิราทำไม หรือว่ามีเรื่องอะไรต้องพูดกัน เดี๋ยวคงต้องคอยทรงจับตาดู

คุณชายหนุ่มแห่งไทวะพาคู่เต้นเข้าไปใกล้กับเจ้าของงาน ครั้นได้จังหวะตอนใกล้จะจบเพลงจึงบอกสตรีแสนสวยในชุดเหลือง

“ไทขอแลกคู่หน่อยนะครับ พี่เจน”

เจนจิราชะงักนิดหนึ่ง แล้วก็ยิ้มหวานให้

“ได้สิจ๊ะ”

“ขอบคุณครับ”

หญิงสาวชำนาญเรื่องการเต้นรำอยู่แล้ว การเปลี่ยนคู่ระหว่างเต้นก็เคยทำอยู่บ่อย ถึงกระนั้นก็ยังงุนงงไปถนัด เมื่อเด็กหนุ่มจับมือของนางไปส่งให้เจ้าหญิงวรนารีที่ดูจะไม่ทันได้ตั้งตัว ส่วนตัวเองจับคู่กับเจ้าชายอัทธายุหน้าตาเฉย

เจ้าของงานทรงชะงักไปเช่นกัน ทว่าเพียงวูบเดียวก็ยกพระโอษฐ์ขึ้นมานิดหนึ่ง แววเนตรมีประกายขำขันอย่างกลั้นไม่อยู่

... เห็นทีต้องประเมินความกล้าใหม่เสียแล้ว...

การเปลี่ยนคู่เกิดความทุลักทุเลเล็กน้อย เมื่อต่างฝ่ายต่างจะประคองแผ่นหลังของอีกฝ่าย แต่ไทวาก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนไปแตะพระอังสาข้างขวาของเจ้าชายหนุ่มแทน ครั้นเริ่มก้าวเท้า เด็กหนุ่มก็ก้าวตามความเคยชิน ทำให้ชนกับพระอุระของเจ้าชายหนุ่ม ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน แล้วหัวเราะขึ้นเบาๆ

“เดี๋ยวพี่เป็นผู้หญิงให้เอง ไทเต้นไปตามปกติเถอะ”

“แต่ว่า...” เด็กหนุ่มจะแย้ง แต่ก็เปลี่ยนใจ “ก็ดีนะครับ แหะ”

แล้วการเต้นรำแบบผิดแบบแผนก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น คนหนึ่งแตะไหล่ วางมือแบบผู้หญิง แต่ก้าวเท้าแบบผู้ชาย อีกคนประคองหลัง จับมือแบบผู้ชาย แต่ก้าวเท้าแบบผู้หญิง

“คิดยังไงมาเต้นคู่กับพี่”

“อยากเต้นครับ”

“ไม่กลัวใครหาว่าแปลกหรือ” เว้นไปครู่จึงรับสั่งต่อขำๆ “ผู้ชายเหมือนกัน แถมยังหัวเกรียนเหมือนกันอีก”

“ไทกลัวแต่พี่เขยเท่านั้น”

“ยังไง”

“ไทกลัวพี่เขยจะอาย ถ้าพี่เขยไม่อาย ไทก็ไม่กลัวอะไร”

มีรอยหวั่นไหวและวาดหวังอยู่ในแววตาของคนพูด เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวลอ่อนโยน

“อายทำไม สนุกดี พี่เพิ่งเคยก้าวขาแบบผู้หญิง แล้วนี่พี่ต้องหมุนตัวด้วยไหม”

ไทวายิ้มแป้น สว่างไสว จังหวะการก้าวเท้าเปี่ยมชีวิตชีวา เมื่อถึงจังหวะที่เหมาะสม เด็กหนุ่มก็เขย่งปลายเท้าขึ้น ชูมือข้างที่จับพระหัตถ์ของอีกฝ่ายไว้ขึ้นสูง เจ้าชายอัทธายุทรงเลิกพระขนงขึ้นเป็นเชิงถามว่าเอาจริงหรือ เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก ซ้ำยังดันพระขนองเป็นการนำ เจ้าชายหนุ่มจึงทรงหลุดเสียงสรวลอย่างทึ่งๆ ออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะทรงหมุนองค์ ก้มพระเศียรลงเล็กน้อยเพื่อลอดใต้วงแขนของเด็กหนุ่ม หลังจากหันกลับมามองตากันใหม่    ไทวาก็หัวเราะขึ้นก่อน ตามด้วยเสียงสรวลของเจ้าชายสาม

“เอาอีกนะครับ”

ทูลถามแล้วก็ไม่รอคำตอบ ไทวายกแขนขึ้นอีก เจ้าชายอัทธายุทรงสั่นพระเศียรคล้ายระอา แต่ก็ทรงยอมหมุนองค์แต่โดยดีอีกหลายครั้ง

“พอแล้ว”

ไทวายอมพอ เขาครอบครองเจ้าของงานเอาไว้เพียงคนเดียวตลอดสามเพลง ก่อนจะยอมปล่อยให้อีกฝ่ายทรงเป็นอิสระ เด็กหนุ่มรู้ว่าเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงเป็นบุคคลสาธารณะ แต่เพราะไม่อยากจะเห็นภาพบาดตาบาดใจจึงเลี่ยงออกไปยืนรับลมอยู่ตรงระเบียง






“คุณชายไทวา”

เด็กหนุ่มหันไปตามเสียงเรียก คนที่เดินออกมาเป็นชายหนุ่มผิวขาว รูปร่างสูง หน้าตาหล่อเหลาคมคาย เค้าหน้าละม้ายใครสักคนที่เขารู้จัก

“ขอคุยด้วยได้ไหม”

“ครับ”

อีกฝ่ายยกยิ้มมุมปากแล้วเดินมายืนข้างๆ

“ผมชื่อจิรภัทร เป็นพี่ชายของเจนจิรา”

สีหน้างุนงงของไทวาแปรเปลี่ยนเป็นระแวง

“ผมน่าจะอายุมากกว่า ขออนุญาตแทนตัวว่าพี่”

“...ครับ”

“พี่รู้มาว่าไทชอบองค์ชายสาม”

“...”

“เรามาร่วมมือกันไหม”

“ร่วมมือทำอะไรครับ”

“ทำให้องค์ชายทรงเลือกไท ไม่ใช่เจนจิรา”

ความหวาดระแวงของคนฟังแปรกลับเป็นความงุนงงอีกครั้ง

“ทำไม... ถึงทำแบบนี้ล่ะครับ”

“พี่ไม่ต้องการให้เจนจิราแต่งงานกับองค์ชายสาม พระองค์ทรงเดินทางบ่อย เจนจิราคิดว่านางจะทำให้พระองค์อยู่ติดตำหนักได้ แต่พี่คิดว่ายาก ผู้ชายอย่างนั้นทรงรักงาน รักการเดินทาง ถึงจะมีชายาก็คงจะปล่อยให้เหงาอยู่ที่ตำหนักแน่”

ไทวานิ่งเงียบ ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดอะไรในเวลานี้ แต่ในที่สุดก็ถาม

“แล้วพี่คิดว่าผมจะทำได้หรือครับ ถ้าเป็นผม พี่เขยจะยอมอยู่ที่นี่หรือ”

“หึหึ ก็คงไม่” ชายหนุ่มเถรตรงพอจะยอมตอบอย่างตรงไปตรงมา “แต่ไทเป็นผู้ชาย จะติดตามพระองค์ไปด้วยก็ไม่แปลก ซ้ำยังไม่ลำบากเหมือนผู้หญิง”

ดวงตาของคนฟังเป็นประกายเจิดจ้า นั่นสินะ ทำไมเขาไม่เคยคิด มัวแต่กังวลเรื่องเวลาสองเดือนอยู่ได้ นี่ถ้าเขาติดตามพี่เขยไปด้วยได้ ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องพี่เจนแล้ว

“แต่อีกแค่สามอาทิตย์พระองค์ก็จะทรงออกเดินทาง ถ้าไม่รีบทำให้พระองค์ทรงรักเร็วๆ กว่าจะมีโอกาสก็คงอีกนาน”

“ไม่เป็นไรนี่ครับ ถึงยัง... ไม่รักก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวไทขอตามพี่เขยไปด้วยก็ได้ ถ้าได้ตามไปทุกที่ ไทก็มีเวลาถมเถ” ความอารมณ์ดีทำให้เผลอใช้สรรพนามแทนตัวที่เคยชิน

คุณชายบ้านเสนาบดีธรรมการยกยิ้มมุมปาก ดวงตาฉายแววเอ็นดูในความไร้เดียงสา

“ลืมแล้วหรือ ว่ามาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร”

สีหน้าดีใจของเด็กหนุ่มคลายลง แต่ก็ยังดูไม่เข้าใจอยู่ดี

“ตัวประกันทางการเมือง ถ้ายังถูกควบคุมอยู่ในวังก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าติดตามองค์ชายออกนอกเมืองไป ก็อาจจะควบคุมยาก”

ไทวานิ่งอึ้ง เป็นความผิดของเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณแท้ๆ ที่ปฏิบัติต่อเขาดีเกินไปจนเขาลืมฐานะที่แท้จริงของตัวเอง

“แต่ถ้าเป็นคนรักขององค์ชาย นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง”

คุณชายแห่งไทวะนิ่งเงียบเนิ่นนาน ก่อนจะถามขึ้นเบาๆ

“ที่พี่บอกว่าให้ร่วมมือกัน... คือทำยังไงหรือครับ”

“แกล้งทำเป็นหลงรักพี่สิ”

“ฮะ อะไรนะครับ”

“ถ้าพระองค์พอจะมีใจให้ไทอยู่บ้าง ก็คงจะทรงหึง แต่ถ้าไม่หึง... ก็ควรจะตัดใจซะ”






งานเลี้ยงเลิกราแล้ว ในที่สุดไทวาก็ไม่ต้องทนเห็นสายตาหลงใหลคลั่งไคล้ของหญิงสาวคนไหนที่มองมาทางเจ้าชายอัทธายุอีก เจ้าหญิงวรนารีก็เสด็จกลับพระตำหนักของพระองค์ไปแล้ว เวลานี้เด็กหนุ่มอยู่กับเจ้าชายเจ้ากรมฯ ตามลำพังในห้องนั่งเล่น บนพื้นพรมหนานุ่มมุมห้องเต็มไปด้วยหมอนอิงกระจัดกระจายและของขวัญกองโตที่ยังไม่ได้แกะ

“ให้ไทแกะจะดีหรือครับ”

ปากถาม แต่สีหน้าสีตาดูกระตือรือร้นเป็นอันมาก เจ้าของวันเกิดทอดพระเนตรแล้วก็ทรงเอ็นดูอยู่ไม่น้อย

“ไทแกะดีแล้ว พี่ไม่ค่อยถนัด”

“แกะได้ทุกอันรึเปล่าครับ”

“ทุกอันสิ” รับสั่งกลั้วเสียงสรวล ไม่เข้าพระทัยว่าทำไมจะต้องมียกเว้น

ดวงตากลมโตหลังกรอบแว่นเป็นประกายวาววาม ก่อนจะฉวยกล่องสี่เหลี่ยมแบนๆ เล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือซึ่งห่อด้วยกระดาษสีน้ำเงินเข้มขึ้นมาถือ กล่องนี้เขาเล็งเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่เห็นคุณหนูบ้านเสนาบดีธรรมการถือมาแล้ว

เด็กหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองพระพักตร์คนประทับใกล้ๆ นิดหนึ่ง เมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะทรงทักท้วง เขาก็จัดการแกะกระดาษห่อออก ถึงจะใจร้อน แต่ก็พยายามแกะให้เรียบร้อยที่สุด

มันคือกรอบรูป

รูปใบเล็กขนาดพกพาได้ที่อยู่ในกรอบสีขาวบางนั้นเป็นรูปวาดของพระตำหนักหลังนี้เอง วาดได้เหมือนเสียจนน่าตกใจ มุมขวาล่างเป็นภาพเหมือนของคุณหนูคนสวย นั่งอยู่บนชิงช้าดอกไม้และกำลังแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน ลายเซ็นตรงมุมภาพบ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นคนวาดภาพนี้เอง ไทวาพลิกไปด้านหลัง ตั้งท่าจะแกะรูปออกมาจากรอบ แต่แล้วก็นึกขึ้นได้

“ไทขอแกะดูข้างหลังหน่อยได้ไหมครับ”

เจ้าชายหนุ่มทรงพยักพระพักตร์

ข้างหลังภาพมีกลอนบทหนึ่งเขียนไว้ด้วยลายมืองดงามเป็นระเบียบ บทกลอนไพเราะ และมีความหมายว่า ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปไกลถึงแค่ไหน แต่สถานที่ที่เป็น ‘บ้าน’ ก็ยังรอคอยการกลับมาของพระองค์เสมอ

ไทวาหน้าซีด ยังไม่ทันไร คุณหนูคนสวยก็รวมตัวเองเข้าไปในคำว่า ‘บ้าน’ ของเจ้าชายหนุ่มเสียแล้ว ทั้งเป็นการสื่อความหมายที่ชาญฉลาด และเป็นของขวัญที่งดงามเสียจนน่าตกใจ

“เขียนว่าอะไร”

เด็กหนุ่มขยับปากจะอ่านให้ทรงฟัง แต่แล้วก็กลับยื่นภาพนั้นถวาย

“ไทไม่รู้เลยว่าพี่เจนวาดรูปสวย รูปเล็กแบบนี้แต่ยังวาดได้ละเอียดเหมือนจริงขนาดนี้ เก่งจังเลยนะครับ”

“ได้ยินหญิงน้องพูดเหมือนกันว่านางชอบขนาดจ้างครูมาสอน” หลังจากส่งภาพคืนมาให้ไทวาเก็บใส่กรอบไว้ดังเดิมแล้วก็รับสั่งยิ้มๆ “แต่ฝีมือเห็นจะสู้ไทไม่ได้”

“จริงหรือครับ” เด็กหนุ่มทูลถามกระตือรือร้น

“อืม นางวาดได้แผ่นเล็กแค่นี้ แต่ไทเล่นวาดเต็มผนังห้อง”

เด็กหนุ่มหน้าสลด ไม่ยักกะหน้าคว่ำแล้วทูลต่อว่าอย่างที่คนรับสั่งทรงคิด

“เป็นอะไร อิจฉาหรือ”

ถามเล่น แต่คนถูกถามกลับเหลือบตาขึ้นมามองแล้วพยักหน้าจริงๆ เจ้าชายหนุ่มทรงร้องหึ อย่างขำๆ กึ่งเอ็นดู

“ไปอิจฉานางทำไม แค่เรื่องวาดรูป รูปที่ไทวาดให้ พี่ก็ชอบ”

“รู้ได้ยังไงครับ!”

ต่างฝ่ายต่างตกใจ เด็กหนุ่มมองพระพักตร์แล้วก็เข้าใจว่าเขาเข้าใจผิดไปเอง แต่ดูจะกลบเกลื่อนไม่ทันแล้ว

“ไทก็วาดรูปเป็นของขวัญให้พี่หรือ” ของขวัญที่พระขนิษฐาทรงกระซิบว่าไทวาเตรียมเอาไว้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

“ป... เปล่าครับ ไม่ใช่”

“แล้วจะให้อะไรพี่ล่ะ”

“ไท... ไทไม่ได้เตรียมอะไรไว้”

เจ้าของวันเกิดทอดพระเนตรมองราวกับจะทรงรู้ทัน ไทวาหลบสายตา

“ไม่ได้เตรียมไว้จริงๆ ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษหรอก แค่ไทกับหญิงน้องช่วยกันเตรียมงานให้ พี่ก็ขอบใจมาก พี่ไม่ได้มีงานอย่างนี้หลายปีแล้ว... อาหารวันนี้อร่อยมาก”

สีหน้าของเด็กหนุ่มดีขึ้นมานิดหนึ่ง แต่ใจก็ยังกังวลอยู่แต่เรื่องเดิม

“รูปนี่ พี่เขยจะเอาไปตั้งไว้ตรงไหนครับ” ถามแล้วก็แทบจะกลั้นหายใจรอ ภาพเล็กขนาดนี้ เหมาะกับการวางไว้บนโต๊ะทำงานมากที่สุด หรือต่อให้เอาใส่อกเสื้อแล้วพกไปไหนมาไหนด้วยก็ยังได้

“ไทคิดว่าตรงไหนดี”

เด็กหนุ่มมองซ้ายมองขวา แล้วก็ชี้ไปตรงตู้เตี้ยๆ สำหรับวางแจกันตรงมุมห้อง

“ข้างแจกันดีไหมครับ”

เจ้าชายหนุ่มทอดพระเนตรมองตาม ไทวารู้สึกตัวทันทีว่าเขากำลังอิจฉาคู่แข่งจนทำเรื่องร้ายกาจเข้าเสียแล้ว ขณะกำลังจะกลับคำ อีกฝ่ายก็รับสั่ง

“ไทเอาไปวางสิ”

คนถูกสั่งทำหน้างงๆ ไม่แน่ใจว่าฟังถูกหรือไม่ แต่พอเจ้าของวันเกิดทรงพยักพระพักตร์ซ้ำ เขาก็ทำตามทั้งที่ยังรู้สึกก้ำกึ่งกันระหว่างดีใจกับรู้สึกผิด

หลังจากนั้นคุณชายแห่งไทวะก็ช่วยเจ้าชายหนุ่มทรงแกะของขวัญอยู่จนเกือบครึ่งคืนจึงได้ไปนอน






ไทวาในชุดนอนถอดแว่นเตรียมนอนแล้ว เด็กหนุ่มนอนคว่ำอยู่บนเตียง ในมือมีภาพขนาดใหญ่ ยาวราวสองฟุต กว้างราวหนึ่งฟุตอยู่ เป็นภาพท้องฟ้า ทุ่งหญ้า และลำธาร บนท้องฟ้ามีก้อนเมฆ ในทุ่งหญ้ามีพ่อไก่ แม่ไก่และลูกเจี๊ยบเจ็ดตัว ส่วนในลำธารมีปลาหน้าตาประหลาดอยู่สองตัว แลดูคล้ายกับภาพฝีพระหัตถ์ของเจ้าชายสามที่ทรงวาดไว้บนกำแพงห้อง ใต้ท้องปลาตัวใหญ่เขียนไว้ว่า ‘ปลาธาย’ ใต้ท้องปลาตัวเล็กเขียนว่า ‘ปลาไท’ ส่วนตรงมุมขวาล่างมีภาพตัวการ์ตูนล้อเลียนอยู่ ดูก็รู้ว่าเป็นไทวาหัวเกรียนที่นั่งเหยียดขาอยู่บนหญ้า ถือน่องไก่ไว้ทั้งสองมือ มือหนึ่งแทะกินอย่างเอร็ดอร่อย อีกมือยื่นไปทางเจ้าชายหนุ่มซึ่งประทับขัดสมาธิแล้วเชิดพระพักตร์ไปทางอื่นอย่างงอนๆ

เด็กหนุ่มลูบพระพักตร์ของคนงอนอย่างเบามือ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ไท หลับหรือยัง พี่เข้าไปได้ไหม”

ไทวารีบผุดลุกขึ้นนั่ง มองซ้ายมองขวาหาที่ซ่อนภาพ

“ไทวา”

“ครับ”

เผลอขานรับไปแล้วจะหลอกว่าหลับแล้วก็ไม่ได้

“เปิดประตูให้พี่ที”

เอาวะ ซุกไว้ใต้หมอนก่อนก็แล้วกัน... เด็กหนุ่มเดินไปเปิดประตู เจ้าชายอัทธายุซึ่งอยู่ในฉลองพระองค์สำหรับเข้าบรรทมแล้วเช่นกันเสด็จเข้ามาในห้อง ประทับบนเก้าอี้ตัวหนึ่งตรงชุดเก้าอี้ข้างเตียง ไทวาปิดประตูแล้วเดินตามมานั่งใกล้ๆ

“พี่เขยนอนไม่หลับหรือครับ” ถามไป สายตาก็เหลือบไปทางเตียง ดูว่ามีส่วนใดของกรอบรูปโผล่ออกมาให้เห็นบ้างหรือไม่

“ที่เตียงมีอะไรหรือ”

“ไม่! ไม่มีอะไรครับ แล้ว... พี่เขยมาหาไททำไม”

“พี่นอนไม่หลับ ไทล่ะ กำลังจะนอนรึยัง”

“ยังครับ ไทก็นอนไม่หลับ”

ต่างฝ่ายต่างเงียบกันไป... จะทำอะไรล่ะทีนี้

“พี่ลองคิดดูแล้ว” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พอไม่มีแว่นแล้วก็ทำให้มองเห็นขนตายาวๆ ได้ชัดเจนขึ้น ดวงตากลมโตแลดูกระตือรือร้นที่จะฟัง “วันเกิดมีแค่ปีละครั้ง เราไม่ได้เจอกันตั้งสิบปีแล้ว อีกไม่นานพี่ก็จะเดินทาง พี่อยากได้ของขวัญจากไท”

ไทวาใจเต้นแรง เขานึกถึงรูปที่อยู่ใต้หมอน

“แต่ว่า... ไท... ไม่ได้เตรียม... ไว้...” ไม่อยากโกหก แต่ไม่อยากถูกเปรียบเทียบกับภาพที่ยังไงเขาก็สู้ไม่ได้

“ไม่ต้องเป็นของอะไรใหญ่โต ต่อให้ไทเดินลงไปเก็บดอกไม้ในสวนมาให้พี่สักดอก พี่ก็จะเก็บไว้อย่างดี”

พูดแบบนี้... จะให้เขาดีใจจนตายหรือยังไง ความรู้สึกอยากจะไปเอารูปที่อยู่ใต้หมอนมาถวายให้ยิ่งรุนแรงมากขึ้น

“แต่นั่นก็ดอกไม้ของพี่เขย ไทอยากให้ของที่เป็นของไท”

เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวล

“แต่ว่า ไทไม่มี” นิ่งคิดอยู่ครู่ จึงนึกออก “เอางี้ ไทนวดให้ดีไหมครับ พี่เขยจะได้สบายตัว แล้วก็จะได้นอนหลับสบาย” เขาจะได้ถือโอกาสถึงเนื้อถึงตัวอีกฝ่ายด้วย

“เมื่อวานก็เพิ่งนวด วันนี้จะไม่ให้อะไรที่พิเศษกว่านั้นบ้างหรือ”

ไทวาหน้านิ่วคิ้วขมวด กลอกตาไปมา ทำปากบึน แต่ก็ยังคิดไม่ออก

“พี่เขยอยากได้อะไรล่ะครับ”

“ร้องเพลงให้ฟังสักเพลงได้ไหม”

“ฮะ”

“เพลงอะไรก็ได้”

“ไทร้องเพลงไม่ค่อยเป็นหรอกครับ เอาอย่างอื่นได้ไหม”

“เพลงที่ร้องบ่อยที่สุด มีไหม”

“จะว่ามีก็มีอยู่หรอกครับ แต่ว่าจะให้ร้องอวยพรวันเกิดมันก็แปลกๆ นะครับ”

“ไม่ใช่ร้องอวยพร แค่ร้องให้ฟังเป็นของขวัญ” จะได้ร่าเริงขึ้น

ไทวานิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก “เอาก็เอาครับ แต่พี่เขยฟังแล้วอย่าหัวเราะนะ”

“อืม”

“ท้องทุ่งแห่งนี้... แสนกว้างหญ่าย ใต้ท้องฟ้าสีครามแสนสดใส
เราเที่ยวท่องไปตามใจได้แสนสบาย กินหญ้า กินหญ้า ดื่มน้ำ ดื่มน้ำ
หญ้าอร๊อย อร่อย ธารน้ำใส ชื่นจ๊าย... ชื่นจาย เล็มหญ้า

ส่ายก้น เอ้า... ส่ายก้น กระดุกกระดิก กระดุ๊กกระดิ๊ก
กินหญ้า ส่ายก้น เอ้า ส่ายก้น กินหญ้า...
มีเนื้อ มีหนัง มีนม มีขน ให้คนเขาตัดขนเราไปขาย

กินหญ้าตรงนั้นสิ ดื่มน้ำตรงนี้สิ จะได้มีขนฟูๆ แสนนุ่มสบายให้คนเขาตัดไปขาย
ทุ่งนี้มีหญ้ามากมาย กินตามสบายเลย กิน – ตาม – สะ – บาย – เล้ยยยย
ฮุ่ย ฮุ่ย ฮุ่ย ฮุ่ยๆ”

คนฟังแย้มพระสรวลจนพระปรางแทบจะปริ ดวงพระเนตรเป็นประกายพราวพรายหยาดเยิ้มด้วยความขำขัน แต่ก็ยังทนไม่ทรงพระสรวลออกมา ตามสัญญา ไอ้ฮุ่ยๆๆ ที่ว่านั่นต้อนแกะหรือว่าไล่ตัวอะไรกันแน่

“แกะใช่ไหม”

“ก็แกะสิครับ พี่เขยคิดว่าตัวอะไร”

“ควาย”

เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง “ตัวเหี้ยยังไม่พอ นี่ยังว่าไทเป็นควายอีก ไท... ไทเหมือนควายตรงไหน”

เจ้าชายหนุ่มทรงสั่นพระเศียร ทั้งระอาทั้งเอ็นดู

“พี่ไม่ได้ว่าไท”  เรื่องที่ทรงสงสัยมากที่สุดตอนนี้ก็คือ “มีท่าไหม”

“ท่าอะไรครับ”

“ท่าเต้นประกอบเพลง”

“ก็... มีครับ อย่าบอกนะว่าพี่เขยจะให้ไทเต้นให้ดู”

“ไม่ได้หรือ”

ไทวานึกถึงท่าเต้นแล้วก็กระอักกระอ่วนใจ จะดีหรือ

“วันนี้วันเกิดพี่”

เด็กหนุ่มเหลือบไปมองนาฬิกาตั้งโต๊ะด้านข้าง ยังไม่เที่ยงคืน

“สิบนาที น่าจะเต้นได้สักสองรอบ... หรือสาม”

“รอบเดียวก็พอแล้วครับ! ท่าเต้นมันน่าอาย”

เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวล “น่าอายยังไง”

“ไทบอกไม่ถูก”

“งั้นก็เต้น” ไทวายังคงลังเล “อีกไม่กี่นาทีก็จะพ้นวันเกิดพี่แล้วนะ พี่ไม่ได้ขอของขวัญจากใครเลย แค่ไทคนเดียว”

ดวงตาของเด็กหนุ่มพองโต เป็นประกายวาววับ

“งั้นไทเต้นให้ดูก็ได้ พี่เขยห้ามหัวเราะด้วย”

คุณชายแห่งไทวะร้องเพลงต้อนแกะซ้ำอีกรอบ ท่าเต้นประกอบแลดูน่ารักดี ไม่มีตอนไหนน่าอาย ยกเว้น

“ส่ายก้น เอ้า... ส่ายก้น กระดุกกระดิก กระดุ๊กกระดิ๊ก กินหญ้า ส่ายก้น เอ้า ส่ายก้น...”

ทอดพระเนตรก้นกลมๆ ที่ขยับส่ายไปมาแรงๆ นั่นแล้วอย่าว่าแต่หัวเราะเลย แม้แต่จะทำพระทัยให้สงบนิ่งเอาไว้ยังไม่ได้

“มีเนื้อ มีหนัง มีนม...”

... นมสีชมพู...

“อีกรอบได้ไหม”

“พี่เขย ไทว่ามันน่า...”

“หันหลังมาให้พี่ดู”

“...”

ไม่ทรงทราบว่าสีพระพักตร์ของพระองค์ตอนนี้เป็นอย่างไร แต่ดูจากสีหน้าระแวงสงสัยกึ่งๆ กลัวของเด็กหนุ่มแล้วก็คาดว่าไม่น่าจะปกตินัก เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณปรับสีพระพักตร์ให้แลดูอ่อนโยนลงทันที

“ถ้าไทอายก็หันหลัง ถ้าไม่เห็นหน้าพี่ ก็จะได้ไม่ต้องอาย”

เด็กหนุ่มนิ่งคิดเล็กน้อย เหลือบตาไปดูนาฬิกา... อีกสามนาที... เอาก็เอา

รอบที่สองนี้ทำเอาไทวาได้ประสบการณ์ชีวิตว่า ตอนที่เต้นแบบไม่เห็นหน้า ทำให้รู้สึกอายกว่าตอนเห็นหน้ามากนัก ขณะที่เจ้าชายเจ้ากรมโยธาฯ ทรงประจักษ์ว่าพระองค์ทรงมีความอดทนอดกลั้นน้อยกว่าที่เคยทรงคิดเอาไว้ และก่อนที่อะไรๆ จะเลยเถิด พระองค์ก็ทรงยืนขึ้น แล้วรับสั่งกับเด็กหนุ่มผิวขาวที่กำลังหน้าแดงซ่านด้วยพระสุรเสียงที่พยายามจะให้เป็นปกติที่สุด

“ไทเต้นน่ารักดี ไม่น่าอายเลย เป็นของขวัญที่วิเศษมาก”

ไทวายิ่งหน้าแดง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าปลื้มใจ

“พี่จะกลับห้อง ไทก็นอนเถอะ”

เด็กหนุ่มพยักหน้า แล้วเดินตามไปส่ง ครั้นอีกฝ่ายทรงก้าวพ้นประตูไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

“พี่เขยครับ”






คืนที่เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณมีพระชนมายุครบสามสิบพรรษา พระองค์ทรงได้รับภาพภาพหนึ่งจากเชลยในปกครองมาเป็นของขวัญ และประทับทอดพระเนตรข้อความที่ถูกซ่อนเอาไว้หลังภาพอยู่เป็นนาน

ตอนที่เสด็จไปหาอีกฝ่ายถึงที่ห้อง ความตั้งพระทัยแรกนั้นไม่ใช่จะไปทวงของขวัญ แต่ถึงแม้ว่าจนตอนนี้พระองค์ก็ยังไม่ทรงทราบว่าไทวายืนคุยอะไรกับจิรภัทรอยู่เป็นนาน แต่ข้อความตัวเท่าหม้อแกงที่อยู่หลังภาพก็ทำให้เรื่องจิรภัทรดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเท่าใดนักแล้ว

เจ้าชายหนุ่มทรงไล้พระหัตถ์ไปตามตัวอักษรช้าๆ


... ปลาไทรักปลาธายที่สุดในโลก...


หึ... เจ้าเด็กติ๊งต๊อง






tbc.



******************************************************

น่าร้ากกกกกกกกกกกกกกกก อ่ะ เราชอบค่ะ (เขียนเองชอบเอง555)

โน้ตบุ๊กต้องเปลี่ยนจอ แต่จะครบอาทิตย์แล้วยังไม่ได้จอใหม่เลยค่ะ
เบื่อๆ เลยลงนิยายแก้เบื่อ (มีในสต๊อกอยู่แล้วน่ะค่ะ)
หลายวันที่ผ่านมาดูตำนานลู่เจินที่สำนักงานวันละ 6-7 ตอน
อยู่จนถึงเกือบห้าทุ่มค่อยปิดสำนักงานทุกคืนเลย

เสาร์อาทิตย์ไม่มานะคะ อยู่บ้าน น่าจะยังไม่มีโน้ตบุ๊กใช้ค่ะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 6) 6 มิ.ย. 57
«ตอบ #98 เมื่อ06-06-2014 12:43:48 »

ปลาไทมันน่ารักกกกก

ออฟไลน์ Phut

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 6) 6 มิ.ย. 57
«ตอบ #99 เมื่อ06-06-2014 13:51:22 »

เค้าก็ชอบบบบบบบ

ขำก๊ากเลยตอนแลกคู่เต้นรำไม่คิดว่าไทจะกล้าขนาดนั้น

บรรยากาศตอนเต้นคู่กันน่ารักเนอะ เจ้าชายก็ใจดี๊ใจดี

เหมาะสมกันสุดๆ

เจ้าชายแอบหื่นไม่เบาเลยนะอยากเห็นพี่ธายหึงไทแล้วสิ

 :pig4: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 6) 6 มิ.ย. 57
« ตอบ #99 เมื่อ: 06-06-2014 13:51:22 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 6) 6 มิ.ย. 57
«ตอบ #100 เมื่อ06-06-2014 14:04:19 »

เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่รอคอยมากๆเลย

ชอบปลาไทน่ารัก ปลาธายใจอ่อนเร็วๆนะ

พี่ชายคุณเจนมีแผนแน่ๆเลย อย่าทำร้ายปลาไทเลย น่าสงสาร เด็กมันซื่อ

 :pig4: นักเขียน

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 6) 6 มิ.ย. 57
«ตอบ #101 เมื่อ06-06-2014 20:08:46 »

เหมือนจะเริ่มหึงเล็กน้อยแล้วนะ

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 6) 6 มิ.ย. 57
«ตอบ #102 เมื่อ07-06-2014 04:02:16 »

ขำไทอ่ะ ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก  :m20:

ออฟไลน์ ชุน

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-1
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 7) 9 มิ.ย. 57
«ตอบ #103 เมื่อ09-06-2014 08:23:54 »

วันวาน... สู่นิรันดร์
บทที่ ๗


เมื่อไม่มีเจ้าหญิงวรนารีคอยสนับสนุน เจนจิราก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหนๆ กับเจ้าชายอัทธายุบ่อยนักแล้ว ทว่าคราวนี้หญิงสาวใช้วิธีนำขนมที่ทำเองไปถวายถึงที่กรมโยธาธิการแทน ไทวารู้เรื่องนี้ดีเพราะเจ้าชายหนุ่มมักจะทรงนำตะกร้าขนมกลับมาที่พระตำหนักแล้วตรัสชวนให้เด็กหนุ่มกินด้วยกันเสมอ

“อร่อยจังครับ”

“ชอบก็กินเยอะๆ”

“พี่เขยชอบไหม” สิ่งที่ต้องการรู้จริงๆ คือเรื่องนี้

“ก็ดี แต่พี่ไม่ค่อยชอบของหวาน ไทกินเถอะ”

“งั้นถ้าไททำไม่หวาน พี่เขยจะกินของไทไหม”

“ทำเป็นด้วยหรือ”

“เป็นครับ! ถึงจะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ไททำอร่อยนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไทจะทำ พี่เขยกลับมาเร็วๆ นะครับ ไม่งั้นหมด อดกินไม่รู้ด้วย”

“ถ้าพี่ติดงาน ไทจะไม่เก็บไว้ให้เลยหรือ หัวเกรียนแล้วยังใจร้ายอีก ตัวกินไก่”

“ไทล้อเล่น ถ้าหมดเดี๋ยวไททำให้ใหม่ก็ได้ครับ ไทแค่อยากให้พี่เขยกลับมาเร็วๆ พี่เขยนั่นแหละ หัวเกรียนแล้วยังใจร้าย แค่กลับมาเร็วๆ หน่อยก็ไม่ได้ รู้อยู่ว่าไทรอ”

“ไทวา”

“ครับ” ขานรับแล้วก็ชิงพูดเสียเองอย่างรู้ตัว “ขอโทษครับ ไทพูดไม่ดี ลามปามผู้ใหญ่”

เจ้าชายสามทรงจับหัวเกรียนๆ ของเด็กหนุ่มโยกไปมาเบาๆ

“ไม่ใช่อย่างนั้น” จะรับสั่งยังไงดี บอกดีไหม ว่าชักจะพูดจาน่ารักเกินไปแล้ว ตรงไปตรงมาและใสซื่อเสียจนแทบจะไม่อยากไปทำงานพรุ่งนี้ อยากจะประทับอยู่ที่พระตำหนักทั้งวัน

“พรุ่งนี้พี่จะกลับมาเร็วๆ”

“จริงนะครับ!”

“อืม”

“เย้!”

เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวล ไทวามักจะเผื่อแผ่ความสดใสร่าเริงมาให้คนที่อยู่ใกล้ๆ เสมอ ประกายตาสุกใสและสีหน้าดีใจอย่างเปิดเผยทำให้คนมองเห็นพลอยอารมณ์ดีและมีความสุขตามไปด้วย

เป็นความสุขที่เสพติดได้อย่างง่ายดายเสียด้วย






วันนี้ไทวาทำกับข้าว อาหารที่ขึ้นโต๊ะเสวยครึ่งหนึ่งเป็นอาหารไทวะ คุณชายหนุ่มคะยั้นคะยอให้คนประทับหัวโต๊ะทรงลองนั่นลองนี่อย่างกระตือรือร้น จังหวะหนึ่งเด็กหนุ่มยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ส่วนเจ้าชายอัทธายุก็ทรงตักแผ่นแป้งทอดซึ่งห่อเป็นรูปถุงใบเล็กๆ ขึ้นมาเสวย แล้วก็ต้องทรงเบิกพระเนตรกว้าง ไทวาหันมาเห็นพอดี

“พี่เขย!” เด็กหนุ่มลุกพรวดไปยืนลูบพระปรางที่เต็มไปด้วยหนวดเคราสากๆ มือหนึ่ง อีกมือแบรอไว้ตรงพระโอษฐ์ “คายออกมาครับ! คายออกมาก่อน พี่เขย”

ความร้อนจากน้ำซุปที่อยู่ในห่อแป้งกระจายไปทั่วพระโอษฐ์ ทว่าแม้ปรารถนาจะทรงคายออกมาตามคำแนะนำ แต่เจ้าชายหนุ่มก็ตัดสินพระทัยกลืนลงไป รู้สึกได้ชัดเจนว่าน้ำซุปลวกพระศอเป็นทางตลอดไปจนกระทั่งถึงพระนาภี

“พี่เขย! ทำไมไม่คายล่ะครับ กลืนทำไม”

เด็กหนุ่มหน้าเสีย มือยังไม่ละจากพระปรางสากๆ ของอีกฝ่าย ซ้ำยังลูบไปลูบมาราวกับจะช่วยผ่อนเพลาความทรมานลงให้

“มันร้อน”

“ร้อนแล้วทำไมถึงไม่คายเล่า”

“หึ” ทอดพระเนตรเห็นหน้ามุ่ยๆ ของคนไม่ได้ดั่งใจแล้วก็อดจะแย้มพระสรวลออกมาไม่ได้ เจ้าชายหนุ่มทรงจับมือของคนห่วงเอาไว้ “เพราะว่ามันร้อนไง ถึงไม่คาย เดี๋ยวมือไทก็พองพอดี แถมยังจะสกปรก”

“มือไทไม่พองหรอก ปากพี่เขยนั่นแหละจะพอง ดื่มน้ำก่อนครับ”

แก้วน้ำถูกยกมารอให้ถึงพระโอษฐ์ เจ้าชายอัทธายุทรงชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะทรงวางพระหัตถ์ทับมือของอีกฝ่าย แล้วยอมให้เด็กหนุ่มป้อนถวายแต่โดยดี

ตอนที่ถูกทอดพระเนตรมองนิ่งๆ นั่นแหละ ไทวาจึงรู้สึกตัวว่ามือทั้งสองข้างของเขาล้วนแต่ตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ แถมหน้าของเขายังอยู่ใกล้พระพักตร์เอามากๆ จากตกใจจึงกลายเป็นขัดเขินขึ้นมาเสียเฉยๆ หน้าเห่อร้อนเสียจนต้องค่อยๆ ดึงมือออกมา วางแก้วน้ำแล้วจึงกลับมานั่งที่ตัวเอง

หันกลับไปมองพี่เขย ก็เห็นว่ายังมองมายิ้มๆ ตามปกติ แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าไม่ปกติเสียได้ก็ไม่รู้

คุณชายแห่งไทวะตักแป้งห่อน้ำซุปขึ้นมาแล้วเอาเข้าปากบ้าง

“ไท!”

“อูย... ร้อนๆ... ร้อนๆๆ”

เด็กหนุ่มร้องอู้อ้า หน้าตาบิดเบี้ยว เอามือพัดๆ ตรงปาก แล้วก็ตัดสินใจกลืนลงไปทั้งที่ร้อนมากจนน้ำตาคลอ

“ฮ่า! ร้อนจังเลย”

เจ้าชายอัทธายุทรงลุกมายืนข้างๆ จับไหล่ของเด็กหนุ่มให้หันมาแล้วก้มพระพักตร์ลงทอดพระเนตร

“รู้ว่าร้อนแล้วกินทำไม”

“ก็ไทอยากขอโทษพี่เขย ไทลืมบอก ทำให้พี่เขยถูกลวกปาก ไทก็เลยทำเป็นเพื่อน”

“มันใช่เรื่องไหม ไทวา ไหนดูซิ ปากพองรึเปล่า”

เด็กหนุ่มเงยหน้าเมื่อถูกอีกฝ่ายทรงจับปลายคางเชิดขึ้น สีหน้าม่อยๆ ดวงตาหงอยๆ ที่ยังมีน้ำตาอยู่คลอๆ กับริมฝีปากแดงๆ ฉ่ำวาวที่เปียกน้ำลายทำเอาคนทอดพระเนตรทรงจับจ้องอยู่นานกว่าที่ตั้งพระทัย ไทวาที่รู้แล้วว่าถูก ‘พี่เขย’ จับจ้องที่ตรงไหนพลันกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก

“พี่เขย...”

สิ้นเสียงทูลเรียกเบาๆ ริมฝีปากของเด็กหนุ่มก็ถูกช่วงชิงความเป็นอิสระไป ปากแดงๆ อวบอิ่มถูกพระชิวหาเปียกชื้นแลบเลีย โลมไล้เบาๆ ช้าๆ สัมผัสนิ่มๆ เปียกๆ ตรงริมฝีปาก กับลมหายพระทัยร้อนผ่าวที่รินรดทำเอาคนถูกปล้นปากถึงกับใจสั่นสะท้าน สองมือขยุ้มฉลองพระองค์ของอีกฝ่ายเอาไว้แน่นเมื่อถูกงับปากเบาๆ ขบเม้ม ดูดดุนอย่างหยอกล้อ เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงและเล็มริมฝีปากฉ่ำๆ ของเด็กหนุ่มในปกครองอย่างอ้อยอิ่ง ไรพระมัสสุและพระฑาฐิกะสั้นๆ รอบพระโอษฐ์ครูดผิวแก้มของคนถูกจูบ ไทวาหวิววาบ กำซาบใจเสียจนเนื้อตัวสั่น ครั้นเจ้าชายหนุ่มทรงถอนพระโอษฐ์ออกอย่างช้าๆ เด็กหนุ่มก็หายใจแบบเหนื่อยๆ ทำท่าจะเป็นลม

“พี่เขย...”

คุณชายหนุ่มยังยึดฉลองพระองค์ตรงพระอุระเอาไว้เป็นหลักไม่ให้เป็นลมทั้งๆ ที่กำลังนั่ง เจ้าชายอัทธายุแย้มพระสรวลเป็นปกติ ทั้งที่ต้องกลั้นพระทัยไว้อย่างหนักหน่วงที่จะไม่ฉกพระโอษฐ์ลงไปชิมริมฝีปากสุกแดงของเด็กหนุ่มอีกครั้ง หน้าแดงเรื่อ ตาเชื่อมๆ แบบนั้นมันน่า...

“พี่เขย... จูบไททำไม”

“พี่ไม่ได้จูบ” ถามแบบนี้ มันน่าจูบซ้ำอีกหลายๆ รอบ

“ไม่ได้จูบละ... แล้วทำอะไร”

“เลีย”

ไทวาหน้าแดงเถือก หลบตาเล็กน้อย ปล่อยให้อีกฝ่ายทอดพระเนตรอาการเขินอายของเขาไปจนพอพระทัย

“ปากไทจะได้ไม่พอง ตอนนี้รู้สึกเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นไหม”

ดวงตาที่หันกลับมามองมีรอยไหวระริก พวงแก้มอิ่มเป็นสีแดงซ่าน แต่ก็พยักหน้า “ดีขึ้นครับ”

“แล้วลิ้นล่ะ”

“ครับ”

“พองไหม” คนถูกถามทำท่าคิดจริง “ถ้าพอง พี่จะได้เลียให้”

“มะ... ไม่! ไม่พองครับ...”

ละล่ำละลักตอบแล้วทำสีหน้าไม่แน่ใจว่าตอบแบบนั้นจะดีหรือไม่นั่นหมายความว่ายังไง

“คือ... ไท... ไท...” เอายังไงดี อยากให้พี่เขยเลียให้จังเลย แต่ก็ยังใจสั่นๆ อยู่เลย กลัวว่าตัวเองจะเป็นลมไปซะก่อน ทำยังไงดีนะ

“ไม่พองก็ดีแล้ว”

ใช่ว่าจะไม่ทอดพระเนตรเห็นสีหน้าและแววตาเสียดายของเด็กหนุ่ม แต่เพราะทอดพระเนตรเห็น จึงต้องรีบเสด็จกลับไปประทับที่เดิมแล้วรับสั่ง

“ต่อไปก็ค่อยๆ กิน จะได้ไม่ลวกอีก”

“... ครับ” เขายังจะกินต่อได้อีกหรือ มือยังสั่นอยู่เลย

ไทวาทอดสายตาตกลงตรงพระโอษฐ์หยักสวยใต้ไรพระมัสสุบางๆ แล้วก็หน้าร้อนยิ่งกว่าน้ำซุปที่กลืนลงคอเมื่อครู่เสียอีก นึกถึงตอนที่ถูกเลียปากเมื่อครู่นี้แล้วก็อยากจะวิ่งกลับไปที่ห้องแล้วเอาหน้าซุกหมอน นอนดิ้นๆ เกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงใจจะขาด






คืนนั้น คุณชายแห่งไทวะนอนเอาหมอนปิดหน้า ยิ้มไม่หุบอยู่เป็นชั่วโมง จ้องมองปลาบนผนังเหนือหัวเตียงแล้วก็ค่อยกระถดตัวเข้าไปใกล้ ทำปากจู๋ แล้วก็ประทับจูบลงไปบนปาก ‘ปลาพี่เขย’ แล้วก็กลับมานอนหงาย ถีบขาขึ้นฟ้าถี่ๆ อย่างเพ้อๆ เรียก ‘พี่เขยๆ’ สลับกับถอนหายใจอย่างเป็นสุขอยู่จนค่อนคืนจึงผล็อยหลับไปทั้งที่ปากเปื้อนยิ้ม ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงใช้ภาพสีหน้าและริมฝีปากของเขาเป็นเป็นเครื่องมือปลดเปลื้องพระอารมณ์ด้วยพระองค์เองไปเสียรอบหนึ่ง





คุณชายบ้านเสนาบดีธรรมการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของไทวาได้เกือบสองสัปดาห์แล้ว และในสายพระเนตรของเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณ นายทหารหนุ่มทำราวกับว่ารู้จักกับเด็กหนุ่มในปกครองของพระองค์มาหลายปี ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะคนของพระองค์เองก็พูดจาสนิทสนมกับอีกฝ่ายอย่างง่ายๆ เช่นเดียวกัน

“ไทชอบกินไก่”

ออกมาเที่ยวด้วยกันห้าคน แวะกินอาหารร้านในตลาดที่มีอาหารรายการไก่อร่อยขึ้นชื่อ สั่งอาหารเสร็จ เด็กหนุ่มก็บอกกับคนนั่งตรงข้ามที่ยังอยู่ในเครื่องแบบทหารว่าอย่างนั้น

“พี่ก็ชอบกิน”

แน่นอนว่าจุดประสงค์ที่บอกคือไม่ต้องการให้แย่งกิน แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ เมื่ออาหารจานไก่มาถึง จึงมีคนสองคนผลัดกันจิ้มแต่ไก่มากินสลับกันแบบชิ้นต่อชิ้น ไทวากินจนปากมัน เจ้าชายเจ้ากรมโยธาฯ ทอดพระเนตรเห็นแล้ว ว่าตอนที่ลิ้นสีชมพูสดแลบเลียคราบมันบนริมฝีปากอิ่มแดง สายตาของนายทหารหนุ่มเป็นประกายวาววามเพียงใด

เจนจิราก็เผลอมองเพลินเพราะไม่เคยเห็นพี่ชายที่แสนจะเคร่งขรึมเข้มงวดต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาทำตัวราวกับเด็กๆ แบบนี้มาก่อน หญิงสาวไม่เข้าใจจนกระทั่งนายทหารหนุ่มบอกในภายหลังว่า

จีบเด็ก... ก็ควรจะทำตัวให้เข้ากับเด็กได้

ขณะที่เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงตระหนักได้ทันที

ในที่สุดไก่อบแสนอร่อยก็เหลืออยู่ชิ้นสุดท้าย ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน ในมือมีส้อมเป็นอาวุธเตรียมพร้อม แต่ไม่มีใครยอมจิ้ม

“พี่ภัทรครับ”

“อะไร”

“ผีกระสือครับ”

เด็กหนุ่มชี้นิ้วไปข้างหลังพร้อมกับทำหน้าตาตื่น ชายหนุ่มผิวขาวร่างสูงโปร่งหันไปทางที่อีกฝ่ายชี้ทั้งที่รู้ว่าไม่มีผีกระสือที่ไหนโผล่ออกมาตอนกลางวันแสกๆ เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง ไก่อบชิ้นสุดท้ายก็อันตรธานไปแล้ว ในขณะที่เด็กหนุ่มแว่นตาหนาตรงหน้าอมยิ้มแก้มตุ่ยเคี้ยวไก่ตุ้ยๆ อย่างมีความสุขเป็นพิเศษ

“หึหึ หลอกพี่หรือไท”

“ช่วยไม่ได้นี่ครับ พี่ภัทรอยากเชื่อไทเอง” คนเพิ่งกลืนไก่ลงคอยิ้มแป้น แถมยังยักคิ้วให้เสียอีก

“ไม่ได้เชื่อ”

“ไม่ได้เชื่อแล้วหันไปทำไมล่ะ”

“ยอม” คนตอบยกยิ้มนิดๆ หล่อเหลา “พี่ยอมให้หลอก ถ้าจะได้เห็นไทมีความสุข เป็นไง ชิ้นสุดท้ายนี่อร่อยกว่าชิ้นอื่นใช่ไหม”

ไทวาอึ้งไปนิดหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายแกล้งจีบเขาอยู่หรือไม่ แต่ก็ตัดสินใจไม่คิดมาก ยิ้มแล้วตอบไปตามตรง

“อื้อ อร่อยมากครับ”

“เล่นอะไรเป็นเด็กๆ”

ไทวาหันขวับไปมองคนประทับข้างๆ หน้าเสียเมื่อเห็นพระพักตร์เรียบเฉยของเจ้าชายหนุ่ม ทั้งโต๊ะเงียบกริบ เจ้าชายอัทธายุทรงรู้องค์เช่นกันว่าเผลอแสดงออกมากเกินไปจึงผ่อนพระปัสสาสะออกเบาๆ ยังไม่ทันจะรับสั่งอะไร นายทหารหนุ่มก็พูดขึ้นเสียก่อน

“นั่นสิ ไม่อิ่มเดี๋ยวพี่สั่งจานใหม่ให้ก็ได้ รีบกินจนปากเลอะเทอะไปหมด เอ้า เช็ดปากก่อน”

ทั้งเอาใจ ทั้งห่วงใย ทั้งอาทร... เบ็ดเสร็จภายในไม่กี่ประโยค

... จีบอย่างต่อเนื่องต่อหน้าต่อตา...

“ขอบคุณครับ”

ไทวาที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่รู้ว่าทำไม ‘พี่เขย’ ถึงดูพระอารมณ์ไม่ดีรีบรับผ้าเช็ดหน้าเนื้อดีสีน้ำตาลผืนใหญ่มา ยังไม่ทันจะสัมผัสถูกปาก ผ้าในมือก็ถูกดึงไปเสียก่อน

เจ้าชายอัทธายุไม่รับสั่งอะไรเลย ขณะเช็ดคราบมันบนปากอิ่มประทานให้จนเรียบร้อย ก่อนจะยื่นผ้าประทานคืนให้เจ้าของ ขณะที่ไทวายังตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะตกใจ จะสลด จะเขิน หรือจะดีใจดี

หลังจากนั้นเจ้าชายหนุ่มก็ตรัสเรียกลูกจ้างในร้านมารับรายการอาหารเพิ่ม

“ไก่อบจานใหญ่สามจาน”

ไทวาตาโต

“กินไม่หมดไม่ต้องกลับ”

เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ สีหน้าบอกชัดว่ายังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น






พระอารมณ์ของเจ้าชายเจ้ากรมฯ ดูเป็นปกติดีแล้ว ไทวาคุยกับพระองค์ได้อย่างสนุกสนานเหมือนเดิม ขณะที่กำลังสองจิตสองใจว่าจะทูลถามเรื่องเมื่อกลางวันดีหรือไม่ คนที่เป็นฝ่ายเสด็จมาคุยกับเขาถึงที่ห้อง และชวนเขาออกมานั่งดูดาวตรงระเบียงห้องด้วยกันก็ตรัสถามขึ้นเสียก่อน

“ไทรู้ตัวไหมว่ากำลังถูกจีบ”

เด็กหนุ่มนิ่วหน้า “ใครจีบครับ”

“จิรภัทร”

เด็กหนุ่มนิ่งเงียบ หลุบตา สีหน้าบอกความลังเล แล้วก็เหลือบตาขึ้นมองคนประทับตรงข้าม

“พี่ภัทรก็แค่คุยกับไทปกติ ไม่ได้จีบไทหรอกครับ”

“เขาจีบไท”

“พี่เขย... ไม่ชอบหรือครับ” ทำไมถึงต้องทำเสียงดุด้วย

“... เปล่า”

ต่างฝ่ายต่างเงียบไป

“พี่แค่อยากจะบอกให้ไทรู้ตัว”

ไทวานิ่วหน้า

“จะได้พิจารณาถูก ว่าสมควรจะรับรักเขาไหม ชอบเขารึปะ...”

“ไทไม่ได้ชอบพี่ภัทรนะครับ!” เด็กหนุ่มโพล่งเสียงดัง “ไทไม่มีวันชอบใครได้หรอกครับ ไทไม่ได้ชอบใครทั้งนั้น ไทชอบพี่เขย... ชอบพี่เขยคนเดียว”

ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะต้องมาสารภาพเอาในเวลาแบบนี้ ในสถานการณ์แบบนี้ เขายังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับความผิดหวังเอาไว้เลย ก็แค่อยากจะบอก ไม่อยากให้เข้าใจผิด

ดูสีพระพักตร์อึ้งๆ ของอีกฝ่ายแล้ว ไทวาก็เจ็บปวดก่อนจะได้คำตอบเสียอีก เขาไม่กล้าพอจะทูลถามว่าอีกฝ่ายทรงรู้สึกยังไงกับเขา เพียงแต่ยังไงก็อยากจะอธิบาย

“พี่ภัทรก็รู้ว่าไทชอบพี่เขย พี่ภัทรอาสาจะช่วย บอกให้ไทแกล้งทำเป็นหลงรักพี่ภัทร พี่เขยจะได้หึง แต่ไทตอบพี่ภัทรไปแล้วว่าไทไม่ต้องการ ไทอยากจะทำให้พี่เขยรักไทด้วยตัวของไทเอง พี่ภัทรจะจีบไทหรือเปล่าไทไม่รู้ เขาอาจจะแค่พยายามช่วยไท แกล้งทำให้พี่เขยหึงก็ได้ แต่ไทไม่ได้คิดอะไรกับพี่ภัทรจริงๆ พี่เขยเชื่อไทนะครับ”

 เจ้าชายอัทธายุทรงนิ่งเงียบ

“พี่เขย...”

น้ำเสียงเดือดร้อน สีหน้าอ้อนวอนแบบนั้น ยิ่งมอง ก็ยิ่งเห็นว่าน่ารัก ขนาดไม่รู้ว่าพระองค์ทรงหึง ยังพยายามอธิบายอย่างร้อนรนกระวนกระวาย บอกออกมาอย่างหมดเปลือก เด็กผู้ชายที่เพิ่งจะสารภาพรักกับพระองค์อย่างซื่อตรงช่างน่ารักเหลือเกิน

“ไทชอบพี่”

“ครับ”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ไม่รู้ครับ ไทไม่รู้”

“ทำไมต้องร้องไห้”

“ขอโทษครับ” น้ำตาเม็ดเป้งร่วงลงมา เจ้าตัวพยายามเช็ดออกอย่างน่าสงสาร

“พี่ไม่ได้ว่า” ไม่ได้อยากจะทำให้ร้องไห้เลย ยิ่งเห็นว่าสะอึกสะอื้นขนาดหนักยิ่งทรงสงสาร

“ไทขอโทษ... ฮือ... ไทขอโทษครับพี่เขย”

เด็กหนุ่มถอดแว่นตาออกถือไว้มือหนึ่ง อีกมือปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่องราวเขื่อนแตก

“ไทวา พี่...”

“พี่เขยโกรธไทไหม ฮึก... เกลียดไทรึเปล่า เกลียดไทแล้วใช่ไหม”

ไม่เคยคิดว่าจะต้องมานั่งฟูมฟายน้ำตานองต่อหน้าคนที่ชอบแบบนี้เลย กับเจ้าหญิงวรนารีที่เป็นคนสำคัญของพี่เขย กับเจนจิราซึ่งเป็นคู่แข่งคนสำคัญ หรือแม้แต่จิรภัทรซึ่งเป็น ‘คนอื่น’ เขายังสามารถบอกว่ารักพี่เขยได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ซ้ำยังมั่นใจจนดูเหมือนอวดดีเสียอีก บอกว่ามั่นใจว่าจะต้องได้รับความรักตอบแน่ หรือต่อให้ไม่ได้รักกลับคืนก็ไม่เห็นจะเป็นไร แต่พอเอาเข้าจริง
พออยู่ต่อหน้าคนที่ชอบ ก็ไม่มีอะไรอยู่ในความควบคุมเลยสักอย่าง

“ร้องไห้ทำไม พี่ไม่ได้โกรธไท เกลียดยิ่งแล้วใหญ่ ทำไมถึงคิดไปเองเป็นตุเป็นตะขนาดนี้”

“โฮฮฮฮฮฮฮ! พี่เขยว่าไทอ่ะ! ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียดแล้วว่าไททำไม”

“เอ้า!”

เจ้าชายหนุ่มทรงตบพระนลาฎดังฉาด เงยพระพักตร์ขึ้นแล้วกลอกพระเนตรขึ้นฟ้า แย้มพระสรวลมุมโอษฐ์อย่างขำๆ

ให้ตายสิ ไม่เคยถูกใครสารภาพรักแล้วรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลย

ไทวา เจ้าเด็กคนนี้นี่... น่ารักเป็นบ้า!

“แล้วจะให้พี่ทำยังไง”

“ไม่รู้ ฮึก... ไทไม่รู้” หยุดไปครู่จึงพูดต่อ “ปวดหัวด้วย ฮึก ไทคิดไม่ออก”

เจ้าชายอัทธายุเกือบจะทรงพระสรวลออกมารอมร่อ พระอารมณ์ดีแบบสุดๆ ฉุดไม่อยู่ ทั้งเอ็นดู ทั้งสงสาร ทั้ง...

จากที่คิดว่าจะอ้าแขนให้เดินเข้ามาหา ก็เปลี่ยนเป็นลุกจากเก้าอี้แล้วดำเนินเข้าไปรวบตัวคนที่กำลังสะอื้นฮักๆ น้ำมูกน้ำตาไหลปนกันมั่วเข้ามากอดไว้แน่นๆ ไทวาอ้าแขนสองข้างโอบรอบบั้นพระองค์หนาๆ ของอีกฝ่ายไว้แนบแน่น ซบหน้าเช็ดน้ำตาและน้ำมูกกับฉลองพระองค์สีอ่อน

“พี่เขย กอดไทหน่อย ไม่เกลียดไทก็กอดไทหน่อยครับ”

“ก็กอดอยู่นี่ไง”

“ฮึก... แน่นๆ กอดแน่นๆ”

เจ้าชายหนุ่มทรงกระชับอ้อมพระพาหา ขยับโยกตัวเด็กหนุ่มไปมาราวกับปลอบเด็กให้หายโยเย ขยี้ผมเกรียนๆ แล้วก็หอมหัวแรงๆ ไปทีหนึ่ง

... หอม...

“ฮือออออ!”

ไทวาไม่ทำอะไรนอกจากร้องไห้ ยิ่งปลอบ ยิ่งอ่อนโยนด้วยก็ยิ่งร้อง เจ้าชายอัทธายุทรงทำอะไรไม่ได้นอกจากกอดตัวกินไก่ที่แสนน่ารักของพระองค์เอาไว้อย่างนั้นอยู่เป็นชั่วโมง







tbc.

**********************************************

อีกสองตอนจะจบแล้วค่ะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 7) 9 มิ.ย. 57
«ตอบ #104 เมื่อ09-06-2014 11:24:37 »

คุณพี่เขยคะ ถ้าอิฉันเป็นไทวา อิฉันละลายตรงนั้นเลยค่ะ 555

ออฟไลน์ Chise

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 7) 9 มิ.ย. 57
«ตอบ #105 เมื่อ09-06-2014 16:57:14 »

หนูไทวาน่ารักมากกก พี่เขยก็อ่อนโยนจนใจละลาย
หลงรักตัวกินไก่เข้าแน่แล้วซินะเจ้าชาย ดีใจกับหนูไทวาด้วย

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 7) 9 มิ.ย. 57
«ตอบ #106 เมื่อ09-06-2014 19:21:40 »

ชอบเรื่องนี้ที่สุดเลย อ่านแล้วมีความสุขจัง

ไทวา น่ารักมากๆเลย ตรงไปตรงมา ซื่อๆแต่ไม่โง่นะ

องค์ชายสาม ทรงอ่อนโยนมากๆ ตอนนี้ทั้งหยอดทั้งแถเลย หุ หุ

หลงองค์ชายตามไทวาไปด้วยเลย :m1:

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 7) 9 มิ.ย. 57
«ตอบ #107 เมื่อ10-06-2014 00:42:15 »

 :m25: อ๊ายยย 'เลีย'

พี่เขยเขาน่ะรู้ไหม
ช่วงท้ายนี่มันก๊าวใจดีจัง  :hao7:

ออฟไลน์ Phut

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 7) 9 มิ.ย. 57
«ตอบ #108 เมื่อ10-06-2014 14:25:35 »

 :-[

ชอบง๊าาา

ความสัมพัน...ใกล้แล้ว

รอเขากระชับสัมพันกันแบบแน่นๆ :hao3:

ตอนต่อไปจงมา.... :hao6:


ขอบคุณจ้า :L2:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 7) 9 มิ.ย. 57
«ตอบ #109 เมื่อ10-06-2014 22:14:25 »

น้องไทน่ารักขึ้นทุกตอนเลย  :hao6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 7) 9 มิ.ย. 57
« ตอบ #109 เมื่อ: 10-06-2014 22:14:25 »





ออฟไลน์ ชุน

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-1
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 8) 14 มิ.ย. 57
«ตอบ #110 เมื่อ14-06-2014 09:04:10 »

วันวาน... สู่นิรันดร์
บทที่ ๘


เช้าวันรุ่งขึ้น ไทวาตาบวมตุ่ย แต่ก็ยังมานั่งร่วมโต๊ะเสวยตามเวลา ยิ้มแย้มและพูดคุยกับเจ้าชายสามตามปกติ ราวกับเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

คนประทับหัวโต๊ะทอดพระเนตรตาช้ำๆ ปรือๆ กับรอยยิ้มเต็มปากเต็มแก้มของเด็กหนุ่มแล้วก็ไม่อาจจะทรงปล่อยผ่านไปได้อีกต่อไป

“วันนี้พี่ว่าจะเข้ากรมตอนบ่าย”

“แล้วตอนเช้าไปไหนหรือครับ” น้ำเสียงก็แหบแห้งเล็กน้อย

“คุยกับไท”

ไทวาชะงัก

“พร้อมจะคุยกับพี่ไหม”

ดวงตาหลังกรอบแว่นไหวระริก บอกให้รู้ว่าที่ทำเหมือนไม่เสียใจ ไม่รู้สึกอะไรแล้วนั้นไม่จริงเลย เด็กหนุ่มนิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะระบายยิ้ม

“พร้อมครับ”

ที่จริงเขาก็พร้อมมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่เมื่อคืนมันกะทันหันไปหน่อยเขาจึงเสียหลัก ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรจนปวดตาไปหมด

อาทิตย์หน้า พี่เขยก็จะออกเดินทาง






เจ้าชายสามตรัสสั่งให้มหาดเล็กน้ำผ้ากับน้ำเย็นมาถวาย ตรัสสั่งให้คนตาบวมนอนราบบนเก้าอี้บุไหมตัวยาว สอดหมอนใบนุ่มรองใต้ศีรษะประทานให้ ก่อนจะประทับขัดสมาธิบนพื้น จุ่มผ้าสะอาดลงในอ่างน้ำ บิดหมาด

“หลับตา”

ไทวาหลับตาอย่างว่าง่าย เพราะทั้งแสบ ทั้งหนักเต็มที ถึงกระนั้นก็ยังห่วง

“พี่เขยบอกว่าจะคุยกับไท”

“ก็นอนไปคุยไป”

รับสั่งพลางทรงดึงแว่นตาของเด็กหนุ่มออกวางไว้บนโต๊ะ โปะผ้าชุบน้ำเย็นลงบนเปลือกตาบวมๆ ซ้ำยังทรงวางพระหัตถ์ทับลงไปโดยไม่ลงน้ำหนักมากนัก

“รักพี่จริงหรือ”

ไทวาตัวเกร็ง จะดึงพระหัตถ์ออก ทว่าเจ้าชายหนุ่มไม่ทรงยอม

“ครับ รักครับ” แค่สารภาพรัก ในอกก็ปวดหนึบ รู้สึกแน่นจนเกือบจะหายใจไม่ออก

“เพราะรักก็เลยต้องร้องไห้ใช่ไหม”

เด็กหนุ่มนิ่งอึ้ง ก้อนสะอื้นตีตื้นขึ้นมาถึงลำคอ เขาพยักหน้า

“ตัดใจได้ไหม”

เฮือก!

ไทวาจะลุกขึ้นนั่ง ทว่าเจ้าชายอัทธายุทรงกดตัวไว้

“นอนไป ตาจะได้ดีขึ้น”

“พี่เขยปล่อยไท ไทอยากมองหน้าพี่เขย ไทอึดอัดครับ”

น้ำเสียงร้อนรนกับสีหน้าเดือดร้อนสาหัสทำให้เจ้าชายเจ้ากรมฯ ทรงยอมปล่อยให้เด็กหนุ่มลืมตาแล้วลุกขึ้นมานั่ง

ไทวาจ้องมองพระพักตร์คมคายของเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณนิ่งๆ อกใจปั่นป่วน แล้วดวงตาที่แสบร้อนอยู่แล้วก็ทวีความร้อนผ่าวขึ้นอีกครา น้ำตาเอ่อคลอ ทว่าเด็กหนุ่มกลั้นใจปาดทิ้งไปก่อนจะไหลลงมาอาบแก้ม เขาไม่อยากให้พี่เขยคิดว่าเขาใช้น้ำตาเป็นเครื่องมือเรียกร้องความสงสาร

“ไทวา”

“ครับ”

“ไม่ต้องร้องไห้ พี่แค่อยากคุยกับไทให้เข้าใจ แค่ไทไม่คิดไปเองก่อนที่พี่จะบอก ไทก็จะไม่ต้องเสียใจ”

“ครับ”

ไม่ทันได้ตีความว่าอีกฝ่ายหมายความว่ายังไงกันแน่ คิดแค่ว่าไม่ว่าจะรับสั่งอะไรก็จะเชื่อฟังเท่านั้น เจ้าชายอัทธายุรับสั่งเบาๆ ค่อยๆ

“ถ้ารักพี่แล้วต้องเจ็บ ก็ตัดใจได้ไหม”

ไทวาส่ายหน้า “ไม่ได้ครับ”

“ทำไม”

“เพราะไทมีพี่เขยอยู่ในใจมาตั้งนานแล้วครับ ถ้าจะตัดใจ ไทคงต้องขอเวลาอีกสักสิบปี”

“ถ้าพี่สั่งให้ไทตัดใจล่ะ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้”

ถึงจะตาบวม ปรือจนแทบปิด ทว่าเจ้าชายเจ้ากรมฯ ก็ทอดพระเนตรเห็นชัดเจนว่าแก้วตาของเด็กหนุ่มหดเล็กลงจนเหลือนิดเดียว หน้าซีด ปากสั่นระริก

“พี่เขย... ใจร้าย”

คนใจร้ายกลับแย้มพระสรวลอ่อนโยนรับคำต่อว่า

“แต่พี่เขยไม่มีสิทธิ์สั่งไท”

เจ้าชายหนุ่มทรงเลิกพระขนง สีพระพักตร์ประหลาดพระทัยอย่างเห็นได้ชัด ไทวาดูจะต้องใช้กำลังใจในการพูดมาก ทว่าแม้น้ำเสียงจะสั่นพร่า เด็กหนุ่มก็กราบทูลอย่างชัดเจน

“ไทเป็นเชลย พี่เขยจะสั่งให้ไทไปตายก็ยังได้ แต่ความรักของไท ใครก็ไม่มีสิทธิ์มาบังคับ ไทแค่รักพี่เขยเท่านั้น ไม่ได้บังคับให้พี่เขยรักไทสักหน่อย ต่อให้... สักวันหนึ่งพี่เขยแต่งงานไป” แค่คิดถึง ก็แทบจะทานทนไม่ได้ “ไทก็ไม่ได้ไม่ได้ทำอะไรผิดต่อใคร ก็แค่รักเท่านั้นเองนี่ครับ พี่เขยไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ ไม่จำเป็นต้องสงสาร ถ้าไทรักแล้ว จะความเจ็บปวดหรือคำประณามด่าว่าจากใคร ไทก็เต็มใจจะแบกรับไปตลอดชีวิตเอง”

ใช่... ก็แค่รัก

แต่ทำยังไงดี ความรู้สึกที่พระองค์มีต่อเจ้าเด็กนี่มันชักจะรุนแรงจนเกือบจะเกินความควบคุมเสียแล้ว ทั้งที่ก็เป็นแค่เด็กผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น เด็กผู้ชายที่ทำให้พระองค์ใจเต้นแรง ดวงตาช้ำเรื่อคู่นั้นทั้งมีเสน่ห์อย่างประหลาด และมุ่งมั่นยิ่งกว่าใครๆ พูดขนาดนี้แล้ว จะพระทัยแข็งต่อไปลงคอได้ยังไง

“ตัดใจไม่ได้ก็ไม่ต้องตัด”

“ม... หมายความว่ายังไงครับ” ใจเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมาจากอก

“พี่รักไท”

ไทวาเบิกตากว้าง น้ำตาร่วง เจ้าชายอัทธายุทรงจับมือเย็นๆ ของเด็กหนุ่มแล้วดึงเบาๆ ไทวาปลิวตามแรงดึงมานั่งลงบนพระเพลาให้เจ้าชายหนุ่มทรงลวนลามแก้ม พระหัตถ์อุ่นปาดน้ำตาออกจากแก้มช้าๆ ไทวายังคงนิ่งอึ้งราวกับเป็นใบ้ ทั้งที่อยากจะเห็นพระพักตร์ให้ชัดๆ แต่ดวงตากลับพร่ามัว เมื่อเห็นว่าเช็ดยังไงก็คงไม่แห้ง เจ้าชายสามจึงทรงกอดเด็กหนุ่มเอาไว้แทน ไทวากอดตอบทั้งที่เนื้อตัวสั่นสะท้าน ทูลถามกระท่อนกระแท่น

“จริงนะ รักไทจริงๆ นะ ไม่ใช่สงสารไทใช่ไหม”

“ไม่ได้สงสาร”

พระองค์ทรงถูกผู้หญิงสารภาพรักมากี่คน แต่ละคนดูน่าสงสารกว่านี้กี่เท่า ไทวาไม่รู้หรอก ถ้าพระองค์ทรงสงสารแล้วบอกว่ารัก ก็ไม่รู้ว่าป่านนี้ทรงบอกรักไปกี่สิบคน

“พี่เขยอย่าหลอกไทนะ ไทมีแค่พี่เขยคนเดียว... มีแค่คนเดียวมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว”

“ไทอาจจะรักพี่อย่างพี่ชาย”

“เปล่านะ!” เด็กหนุ่มปล่อยมือ มองพระพักตร์หน้าตาตื่น ก่อนที่ดวงหน้ากลมๆ จะบิดเบี้ยวเหยเก

“เป็นอะไร”

“ท... ไทปวดท้องครับ” ปวดจนตัวงอ

“ใครอยู่ข้างนอกบ้าง ตามหมอมา!”






คุณชายแห่งเผ่าไทวะหมดสติไปก่อนที่แพทย์หลวงจะมาถึง เจ้าชายอัทธายุทรงวางผ้าเย็นลงบนดวงตาช้ำๆ ลูบหัวลูบท้องประทานให้อยู่ตลอดเวลา สีพระพักตร์กังวลจนกระทั่งแพทย์หลวงมา

“เป็นอาการที่เกิดจากความเครียดพระเจ้าค่ะ ขอเพียงดื่มยาที่กระหม่อมจัดถวาย กับทำใจให้สบาย ระมัดระวังไม่ให้เกิดความเครียดขึ้นอีกก็ทรงวางพระทัยได้พระเจ้าค่ะ”

“ขอบใจมาก หมอ”

แพทย์หลวงทูลลากลับไปแล้ว เจ้าชายสามทรงผ่อนพระปัสสาสะออกเบาๆ ช้อนตัวเด็กหนุ่มขึ้นอุ้มอย่างระมัดระวังไปวางไว้บนพระที่ของพระองค์เองเพราะห้องบรรทมอยู่ใกล้กว่าห้องของอีกฝ่าย

ไทวารู้สึกตัวอีกครั้งตอนเย็น และเห็นเจ้าของห้องซึ่งประทับอยู่บนพระเก้าอี้ข้างเตียงส่งยิ้มมาให้แทบจะทันที

“พี่เขย...”

เจ้าชายอัทธายุเสด็จมาประคองให้คนอยากลุกลุกขึ้นมานั่งได้สะดวก ทั้งยังสอดพระเขนยรองหลังประทานให้ ส่วนพระองค์เองก็ประทับอยู่บนพระที่ด้วย ไปไหนไม่ได้เพราะถูกอีกฝ่ายยึดพระหัตถ์เอาไว้

“ยังปวดท้องอยู่ไหม”

ไทวาส่ายหน้า “ไม่ปวดแล้วครับ”

“ไม่ปวดแล้วก็ต้องกินยา แต่เดี๋ยวกินข้าวเย็นก่อนค่อยกินยาตามก็ได้”

“ครับ” เขาไม่ชอบกินยาเท่าไร แต่ก็ไม่อยากจะงอแงให้พี่เขยลำบากใจ เด็กหนุ่มเม้มปาก ชั่งใจอยู่ไม่นานก็ตั้งท่าจะทูลถาม แต่ไม่ทันอีกฝ่าย

“ตาล่ะ ปวดไหม” ไม่บวมแล้วเพราะทรงเปลี่ยนผ้าประคบให้บ่อยๆ แต่อาจจะยังเจ็บ

เด็กหนุ่มส่ายหน้า

“พี่เขยรักไท... อย่างน้องชายหรือครับ” ทูลถามแล้วก็กลั้นใจรอคำตอบ ยอมรับว่ากลัวเหลือเกิน

“เมื่อก่อนอาจใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่”

เด็กหนุ่มหน้าตาตื่น ใจเต้นตึกตัก

“แล้ว... รัก... อย่างไหนครับ”

“อย่างที่อยากจะได้เป็นเมีย”

“พี่เขย!” ดีใจอย่างกับได้โลกทั้งใบมาไว้ในครอบครอง แต่ก็เขินจนหน้าร้อนผ่าว ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะรับสั่งอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้

“เข้าใจความหมายของพี่ไหม”

เด็กหนุ่มพยักหน้าช้าๆ อย่างอายๆ อกใจยังคงเต้นแรงอย่างตื่นเต้นไม่หาย เขินจนทำอะไรไม่ถูก

“เข้าใจแน่หรือ”

“เข้าใจครับ”

“เข้าใจว่ายังไง”

ไทวามองสบสายพระเนตร แล้วก็หลบตา ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองใหม่ คลานเข้าไปใกล้ แล้วก็ยืดตัวขึ้นจูบพระโอษฐ์ใต้เรียวพระมัสสุบางๆ เบาๆ... รู้สึกจั๊กจี้ไปถึงหัวใจ เห็นประกายสายพระเนตรวาววามกึ่งแปลกพระทัยกึ่งพึงพอใจที่ทอดมองมาแล้วก็หน้าแดงเถือก ครั้นเสไปมองบนโต๊ะข้างเตียง เห็นแว่นวางอยู่จึงแก้เก้อด้วยการหยิบมาใส่ ครั้นหันกลับมาอีกที ยังไม่ทันพูดอะไรก็ถูกอีกฝ่ายทรงกดให้นอนราบลงกับเตียง

เจ้าของพระวรกายใหญ่โตทรงโน้มพระองค์ตามลงมา ดึงแว่นตาออกไปวางที่โต๊ะดังเดิม

“เห็นหน้าพี่ไหม”

ไทวาพยักหน้า

“แน่ใจหรือ” คนตรัสถามแย้มพระสรวลมุมโอษฐ์ “ไหนบอกซิ ว่าปากพี่อยู่ตรงไหน”

บอกน่ะบอกได้อยู่หรอก แต่ว่า

“พี่เขยปล่อยแขนไทก่อนสิครับ” แขนสองข้างถูกยึดไว้อย่างนี้ เขาจะชี้ได้ยังไง

เจ้าชายอัทธายุไม่ทรงปล่อย แต่ก้มพระพักตร์ลงมาอีก “ใกล้แบบนี้ ชี้ได้รึยัง”

เด็กหนุ่มมองพระโอษฐ์สลับกับพระเนตรอย่างงงๆ อยู่ครู่ แล้วก็พลันนึกออก

“พี่เขย...” ทูลเรียกเสียงเบาราวกระซิบ หน้าขาวแดงซ่าน

“ว่ายังไง”

คนถูกถามดันตัวเองขึ้นเล็กน้อย เงยหน้า ยื่นปากไปนิดเดียวก็ชนกับพระโอษฐ์ พอผละออก อีกฝ่ายก็ทรงตามประกบติด ประทานจุมพิตนุ่มๆ เบาๆ ซ้ำๆ อยู่หลายครั้งให้เคยชิน ขบเม้ม ดูดดื่มความหอมหวานนุ่มนิ่มของริมฝีปากแดงๆ แสนน่ารักนั้นตามแต่พระทัย ก่อนจะใช้พระชิวหาดันกลีบปากให้อ้าออก ไทวาเผยอปากอย่างว่าง่าย หวามใจลึกล้ำเมื่อพระชิวหาอุ่นชื้นรุกล้ำเข้ามาในปากแล้วพัวพันกับลิ้นของเขา ดูดกลืนแรงๆ ราวกับจะดึงเข้าไปในพระโอษฐ์ของพระองค์เอง

เสียงครางอาอืมอย่างพึงพอใจโหมไฟในพระวรกายของเจ้าชายหนุ่มได้ไม่ยาก

“อ๊ะ!”

ไทวาแอ่นกายขึ้นเมื่อยอดออกถูกสะกิดเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายทรงถอนพระโอษฐ์ออก เด็กหนุ่มก็หอบเบาๆ และประจักษ์ว่ากระดุมเสื้อถูกปลดออกหมดแล้ว ตั้งแต่หน้าอกจรดหน้าท้องเปิดเปลือยสู่สายพระเนตร พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับหัวเข็มขัดของเขาเอาไว้แล้ว ส่วนสองมือของเขาไม่รู้ว่าโอบกอดพระองค์เอาไว้ตั้งแต่เมื่อไร

“พี่เขย”

ไทวายึดพระหัตถ์ไว้ ไม่ได้อยากจะขัดขืน แต่ถ้ายอมนอนนิ่งๆ ให้ทรงถอดเอาตามพระทัย ก็ดูจะน่าละอายใจตัวเองเกินไป เจ้าชายอัทธายุไม่ได้ทรงฝืนดึงดัน เพียงแต่ก้มลงเลียหยาดน้ำใสๆ ที่ไหลย้อยลงมาถึงลำคอขาวๆ ของอีกฝ่าย สลับกับดูดซับเบาๆ ขึ้นไปจนถึงมุมปาก แล้วประกบจูบดูดดื่มอีกหนจนคนถูกจูบเผลอปล่อยมือจากพระหัตถ์มาขยำฉลองพระองค์เอาไว้แทน

เพียงแค่เผลอตัวมัวเมาไปกับพระโอษฐ์ร้อนๆ กับพระมัสสุที่ครูดเบาๆ ไปทั่วปาก ทั่วแก้ม ตลอดไปจนถึงซอกคอซ้ายขวาและใบหู เข็มขัดก็ถูกปลดทิ้งลงข้างเตียง ตามด้วยกางเกงทั้งชั้นนอกและชั้นใน หลังจากนั้นก็เป็นเสื้อ คนที่ยังไม่รู้ตัวว่าถูกเปลื้องผ้าเป็นชีเปลือยหอบครางพลางบอกอย่างใสซื่อ

“ไทเสียวจังเลย”

เจ้าชายอัทธายุทรงหยุดกึก พระทัยเต้นแรง หวามลึก และฮึกเหิมรุนแรงขึ้นอีก

“หนวดพี่เขยทิ่มคอไท ตะ... แต่ไทชอบ” คนพูดถึงกับหัวเราะเบาๆ อายๆ ประกายสายพระเนตรของเจ้าชายหนุ่มวาววับขึ้นโดยที่เด็กหนุ่มไม่ทันเห็น ได้ยินเพียงรับสั่งพระสุรเสียงนุ่ม

“เดี๋ยวไทจะเสียวกว่านี้อีก”

ไทวายังไม่ทันประมวลผลความคิด อีกฝ่ายก็ทรงสาธิตด้วยการแตะพระชิวหาลงบนยอดอกสีชมพูเข้ม เด็กหนุ่มสะท้านกายเฮือก

“อ๊ะ! พี่เขย”

เลียอยู่ไม่กี่ครั้ง พระองค์ก็ทรงขบเม้มเบาๆ สลับกับดูดดึง กลืนกินเข้าไปให้สมกับที่ได้แต่ทรงคิดถึงมานานหลายคืน โดยไม่ทรงลืมยอดออกอีกข้างหนึ่งซึ่งเต่งตึงรอคอยการบดบี้เคล้นคลึงอย่างเอาใจจากพระองค์อยู่

ไทวาแอ่นกายขึ้นตามพระโอษฐ์จนแผ่นหลังแทบไม่ติดเตียง ไม่ได้สำเหนียกเลยว่าขาสองข้างถูกแยกออกกว้างเสียแล้ว
ดวงหน้าแดงเรื่อ นัยน์ตาปรือปรอย เสียงครางอย่างน่ารัก กับแผ่นอกขาวๆ และยอดอกบวมเป่งของเด็กหนุ่มล้วนกระตุ้นพระอารมณ์ของเจ้าชายเจ้ากรมฯ ได้อย่างดีเยี่ยม ทว่าเนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกของไทวา พระองค์จึงตั้งพระทัยว่าจะค่อยเป็นค่อยไป
คุณชายหนุ่มถูกประทับจูบตีตราแทบทั้งตัว เรียวขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นเพื่อประทับรอยตรงซอกขาด้านใน ผิวเนื้ออ่อนถูกพระมัสสุครูดเป็นรอยแดง และเมื่อแก่นกายที่ตั้งชันอย่างน่าอายถูกเลียตลอดความยาว เขาก็สะท้านเฮือก

“พี่เขย... อยะ... อย่าครับ...”

เจ้าชายหนุ่มทรงรับสัดส่วนน่าอายนั้นเข้าพระโอษฐ์ไปแล้ว ไทวาทำอะไรไม่ได้ นอกจากขยุ้มพระเกศาสั้นเกรียนที่เขาเป็นคนตัดเองกับมือไว้เพื่อระบายความเสียวซ่าน สองขาอ้ากว้างอย่างลืมตัว ถึงจะอาย แต่ก็อยากจะเห็น  ไทวาก้มลงมองในจังหวะเดียวกับที่เจ้าชายอัทธายุทรงเปลี่ยนจากพระโอษฐ์เป็นพระหัตถ์แล้วเงยพระพักตร์ขึ้นมามอง

เด็กหนุ่มอายจนแทบอยากตาย แต่ก็เสียวจนเกือบจะขึ้นสวรรค์อยู่รอมร่อ

เจ้าชายสามทรงขยับพระหัตถ์ช้าลง ไทวาบิดกายอย่างทรมานกึ่งรัญจวน

“พ... พี่เขย”

เด็กหนุ่มยื่นมือมาหมายจะช่วยตัวเอง ทว่าเจ้าชายหนุ่มทรงปัดทิ้งแล้วสวมพระโอษฐ์ครอบลงไปบนสัดส่วนน่ารักที่ทั้งแข็ง ทั้งร้อน และเปียกเยิ้มอีกหน

ท่าทางการกัดปาก ตาฉ่ำปรือ ร้องอื้ออ้าแลดูน่าเอ็นดูเป็นอันมาก วันนี้พระองค์จะทรงเอ็นดูให้ขาดใจไปเลย

“พ... พี่เขย ปล่อยไท ไทจะ... จะ... จะถึง... อ๊า!”

เด็กหนุ่มเงยศีรษะขึ้นจนสุดล้า ยอดอกชูชันเบ่งบานไสวยั่วสายตา    ไทวาดิ้นกระแด่ว กระตุกกายถี่ๆ เหมือนปลาที่ถูกวิดขึ้นมาจากหนองน้ำ ในขณะที่น้ำในตัวถูกดูดจนแห้ง

ไทวาหอบแฮ่ก หลับตานิ่ง

เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงดึงตัวเด็กหนุ่มมากอดเอาไว้ ลูบเหงื่อที่เปียกชุ่มเต็มหน้าประทานให้ แล้วจูบริมขมับขาวๆ เบาๆ รอจนอีกฝ่ายหายใจเป็นปกติขึ้นแล้วลืมตามองจึงแย้มพระสรวลให้

“เหนื่อยล่ะสิ ตัวกินไก่ เหนื่อยก็หลับตา นอนไป”

ดวงตาคู่ซื่อมีแววลังเล

“อะไร”

“พี่เขย... ไม่เข้ามาในตัวไทหรือครับ”

เจ้าชายอัทธายุทรงชะงัก... เจ้าเด็กนี่...

“ไทไม่น่ารักเหรอครับ ปากไทไม่อร่อย นมไทไม่ใหญ่เหรอครับ พี่เขยถึงอดใจได้ ไทขาวนะ ตัวนุ่มด้วย พี่เขยไม่มีอารมณ์กับไทเพราะไทเป็นผู้ชายเหรอค... ครับ...”

หางเสียงสะดุดเมื่ออีกฝ่ายทรงดันช่วงล่างของเขาไปชิดช่วงล่างของพระองค์ ไทวาเบิกตากว้าง น้ำลายเหนียวหนับเมื่อทูลถามเสียงสั่น

“พี่เขยสะ... ใส่อะไรไว้ข้างใน... เหรอครับ”

เจ้าชายหนุ่มทอดพระเนตรสีหน้าแตกตื่นของอีกฝ่ายอย่างขำๆ

“อยากรู้ก็ลองจับดูสิ”

ไม่รอให้เด็กหนุ่มตอบรับหรือปฏิเสธ พระองค์ก็ทรงจับมือสั่นๆ ของเขามาจับกลางพระวรกายที่ปวดหนึบไปหมด ไทวาสะดุ้งเฮือกขยับจะชักมือออก แต่อีกฝ่ายทรงบังคับให้กดแนบลงไปอีก

“ยังคิดว่าพี่ไม่มีอารมณ์กับไทอยู่ไหม”

“ละ... แล้วทำไม...”

“พี่อยากให้ความสำคัญ อยากค่อยเป็นค่อยไป ไม่อยากรังแกคนป่วย”

คนฟังเต็มตื้นขึ้นมาในอก

“แต่ไท... อยากให้พี่เขยทำกับไท” เด็กหนุ่มบอกเสียงเบา หน้าแดงก่ำ ทั้งที่มือยังสั่นอยู่ไม่หาย ทั้งๆ ที่หวั่นกลัวกับขนาดอันไม่คาดคิด แต่ไม่รู้ทำไม ยิ่งจับ ยิ่งลูบ ก็ยิ่งตื่นเต้น

“ไทพูดเองนะ อย่าหาว่าพี่ใจร้ายทีหลัง”

“ครับ”

“ถึงไทจะร้องไห้อ้อนวอน พี่ก็จะไม่หยุด”

คนถูกขู่ดูจะกลัวขึ้นมาหน่อยๆ แต่ก็ทำใจกล้า พยักหน้า

ใจเต้นถี่แรงเมื่อได้เห็นพระวรกายเปล่าเปลือยของคนที่อยู่ในหัวใจมาตลอดสิบปี ไทวามองพระวรกายสวยงามกำยำ เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นๆ น่าซุกซบตาไม่กะพริบ เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวลมุมโอษฐ์ ทาบองค์ลงมากดจูบเบาๆ ตรงมุมปากนิ่มๆ รับสั่งเบาๆ ทว่าแหบพร่าอยู่ข้างหู

“หน้าตาหื่นเกินไปแล้ว ตัวกินไก่ น้ำลายไหลยังไม่รู้ตัวอีก”

ไทวาตะปบปากตัวเอง ก่อนจะรู้ว่าถูกหลอก

“พี่เขย อะ... อื้อ... อื้ม...”

เสียงดูดปากดังจ๊วบจ๊าบน่าละอายดังขึ้นในห้องเงียบ ขณะที่ไทน้อยที่เกือบจะหลับไปแล้วถูกปลุกขึ้นมาอีกหนจนตื่นอย่างง่ายดาย ไทวารู้สึกเหมือนพี่เขยมีมืองอกออกมาสักสิบมือทำให้เขากระสันรัญจวนจนบิดเร่า ครวญครางกึ่งสะอื้นอย่างหักห้ามเอาไว้ไม่ไหว เจ้าชายอัทธายุไม่ทรงรังเกียจที่จะใช้พระโอษฐ์ปรนเปรอให้เด็กหนุ่มอีกรอบ ความวาบหวามซาบซ่านทำให้พอจะเมินความเจ็บจากการถูกรุกรานช่องทางด้านหลังไปได้บ้าง

เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงพยายามอดทนอย่างยิ่งยวดที่จะไม่แทงพรวดเข้าไปทีเดียว ปากทางกลางจีบยับย่นสีชมพูเข้มเปิดอ้าออกเมื่อถูกสอดใส่ซ้ำๆ แต่พอทรงดึงนิ้วพระหัตถ์ออกมาจนเกือบสุดก็ทำท่าจะปิดตัวแนบแน่นอีกหน

นิ้วที่สองดูท่าจะลำบาก

ไทวาน้ำตารื้น พยายามกลั้นเสียงสะอื้นแต่ก็ทนไม่ไหว เจ้าชายหนุ่มทรงวกขึ้นไปจูบปากปลอบประโลม เด็กหนุ่มน้ำตาไหลเป็นทาง เอาแต่เรียก

“พี่เขย... ฮึก... พี่เขย...”

ซ้ำๆ โดยไม่มีคำว่าเจ็บหรือเสียงร้องห้ามออกมาแม้แต่คำเดียว

“ผ่อนคลายหน่อยครับ คนดี ทนเจ็บนิดเดียวเท่านั้น ขอพี่เข้าไปอีกนิ้ว”

เด็กหนุ่มทั้งเจ็บทั้งเสียวจนแทบจะไม่มีสติ แต่ก็พยายามทำตามรับสั่ง นิ้วพระหัตถ์นิ้วที่สองสอดเข้าไปได้ในที่สุด เจ้าชายหนุ่มทรงอ้าออกจากกันเพื่อขยายปากทางเข้า สอดลึก และหมุนวนไปทั่วๆ เพื่อหาจุดที่อีกฝ่ายจะรู้สึกดี

“อ๊ะ!”

ไทวาจิกปลายเท้า แอ่นก้นกลมๆ ขึ้นและตอดรัดนิ้วพระหัตถ์แรงๆ

“ตรงนี้สินะ”

เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างอายๆ เจ้าชายหนุ่มทรงกดย้ำซ้ำๆ ไปพร้อมๆ กับการรูดรั้งแก่นกายที่ใกล้จะปลดปล่อยเต็มที

ไทวาหวีดร้องเสียงดังอย่างสุขสมไปอีกรอบ เจ้าชายอัทธายุทรงใช้โอกาสตอนนี้ทาบพระวรกายแข็งชันจนเกือบจะเป็นหินของพระองค์เข้ากับร่องก้นขาวๆ ถูไถปากทางเข้าสองสามครั้งก่อนจะจรดส่วนปลายเข้าไปตรงรูเล็กแคบ

ไทวาพยายามข่มความเจ็บปวดอย่างเต็มที่ แต่ก็เจ็บจนต้องยกมือขึ้นมากัดจนเลือดซึม ขณะเจ้าชายสามเองก็ทรงพยายามจะอดทน ทว่าแม้ต่างฝ่ายจะพยายามจนเหงื่อโทรมร่างไม่ต่างจากเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เจ้าชายหนุ่มก็ยังทรงเข้าไปไม่ได้

ความอดทนของพระองค์จวนเจียนจะระเบิด ร่ำๆ จะทรงแทงพรวดเข้าไปข้างในอยู่หลายครั้งหลายหน ไม่ว่าจะมองหน้า มองปาก มองตา มองตัว มองหัวนม มองตรงไหนไทวาก็กำลังยั่วพระองค์อยู่ทุกที่

ถ้าไม่รักจริง ก็คงจะทรงโจนจ้วง ทะลวงเข้าไปแล้ว แต่นี่...

เจ้าชายเจ้ากรมฯ ทรงโน้มองค์ลงไปจูบปากแดงช้ำของเด็กหนุ่มเร็วๆ ก่อนจะทรงผละออก

“พี่เขย!”

ไทวาผวาตาม ความมืดที่เริ่มปกคลุมห้องทำให้เห็นไม่ชัด จึงต้องคว้าแว่นตามาสวมแล้วคลานตามไปถึงขอบเตียง เจ้าชายอัทธายุทรงหันกลับมาอย่างพยายามอดทน ส่วนกึ่งกลางพระวรกายผงาดง้ำ ผงกหงึกอย่างน่ากลัว

“ไทนอนพักไปก่อน พี่ไปห้องน้ำเดี๋ยว”

“พี่เขย”

เด็กหนุ่มฉวยข้อพระหัตถ์เอาไว้ อายสุดอาย แต่เขาก็รู้ว่าเรื่องอย่างนี้รอไม่ได้

“ไททำให้ครับ ไทอยากทำให้พี่เขย”

“ไท... อึก...”

แค่ถูกมือนุ่มๆ แตะต้อง ก็ทรงเสียววาบไปทั้งท่อนลำ ไม่ต้องพูดถึงตอนที่อีกฝ่ายใช้สองมือช่วยขยับชักขึ้นลงถวายอย่างไม่ประสีประสา แต่ดูก็รู้ว่าพยายาม

เด็กหนุ่มขยับออกมามากขึ้น เจ้าชายอัทธายุทรงก้าวเข้าใกล้ตามแรงดึง ไทวาตวัดลิ้นแลบเลียส่วนปลายอย่างกล้าๆ กลัวๆ ครั้นเหลือบตาขึ้นไปมองสบกับสายพระเนตรที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา เขาก็ทั้งสะท้านใจทั้งเกิดความฮึกเหิมอย่างแรงกล้า ตัดสินใจรับท่อนลำใหญ่โตที่แค่จับก็ร้อนแทบจะลวกมือเข้าไปในโพรงปากชุ่มชื้น

เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงก้มลงทอดพระเนตรริมฝีปากแดงๆ ที่ขยับเข้าขยับออก เสียดสีกับส่วนนั้นของพระองค์ ขยับปากและเรียวลิ้นอย่างตั้งอกตั้งใจ และพยายามจะรับพระองค์เข้าไปให้ได้ลึกๆ แล้วก็ทรงนึกรักขึ้นมาเป็นกำลัง รู้สึกดีจนแทบจะแตกออกมาเสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็ทรงยั้งเอาไว้

ไทวาชาไปหมดทั้งปากทั้งมือ อุปาทานไปเองรึเปล่าก็ไม่รู้ ที่รู้สึกว่าสัดส่วนใหญ่โตของพี่เขยพองขยายขึ้นอีก ความพยายามจะกลืนกินเข้าไปให้หมดทำให้ถึงกับสำลัก กระอักกระไอจนตัวโยน เจ้าชายอัทธายุทรงเชยคางมนขึ้น ลูบแก้มลูบปากประทานให้

“ใจเย็นๆ ไท ไม่ต้องรีบ ไม่หมดก็ไม่เป็นไร พี่ใกล้แล้ว”

“พี่เขยรู้สึกดีไหม” ไทวาทูลถามน้ำตาคลอ รู้สึกเหมือนยังถูกสากหินทิ่มคออยู่ ปากชาจนแทบหุบไม่ลง

“ดีครับ ดีมาก”

ไทวาหน้าร้อนผ่าว กลืนน้ำลายลงคอแล้วก็รับพระองค์เข้าไปในปากอีกครั้ง ดูดแรงๆ และเลียเร็วๆ ยิ่งเจ้าชายหนุ่มทรงครางซี้ดอย่างพึงพอใจมากเท่าไร เขาก็ยิ่งขยับเร็วขึ้นอีก

“อา... ไท... ไทวา พอแล้ว พี่จะแตก”

แค่ได้ยินพระสุรเสียงแหบพร่าก็เสียวซ่านไปทั้งตัว เจ้าชายอัทธายุทรงดึงผมเกรียนๆ ของเด็กหนุ่มแรงๆ ทว่าแทนที่ไทวาจะถอนปากออก เขากลับดูดแรงขึ้น แม้จะถูกดึงอีกครั้งจนเจ็บหนังศีรษะแต่ก็อดทน

“ท... ไท... อาห์...”

หยาดพระอารมณ์ขุ่นร้อนพุ่งพรวดเข้าไปในลำคออย่างกะทันหัน แม้จะเตรียมใจรับเอาไว้แล้วแต่เพราะมีมากมายเหลือเกินจึงรับเอาไว้ได้ไม่หมด ถึงกระนั้นเมื่อถอนปากออกแล้วก็ยังขยับมือชักถวาย

เด็กหนุ่มหลับตาเมื่อลาวาสีขาวพุ่งกระฉูดมาถึงดวงตา ครั้นลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ภาพที่เห็นผ่านแว่นตาเปรอะเปื้อนก็คือสายพระเนตรเข้มข้นลึกล้ำที่ทอดมองลงมา

แสงสุดท้ายของวันภายนอกหน้าต่างค่อยๆ ลับหายไปแล้ว ทว่าก่อนหน้านั้น ภาพหยาดอารมณ์สีขุ่นข้นสาดพ่นไปตรงแว่นตาเชยๆ แล้วค่อยๆ หยดแหมะลงมาบนเตียง เผยให้เห็นดวงตาที่มองมาอย่างแสนรักก็ได้กลายเป็นภาพติดพระเนตรของเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณไปเสียแล้ว

เร้าอารมณ์เสียจนอารมณ์ดิบถูกปลดผนึกให้ลุกฮือ

ว่ากันว่า เวลาสนธยาต่อค่ำเช่นนี้...
.
.
.
.
.
.

สัตว์ป่าจะออกหากิน









tbc.

*************************************************


รู้สึกตัวเองหื่นๆ ยังไงชอบกล  :o8:

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 8) 14 มิ.ย. 57
«ตอบ #111 เมื่อ14-06-2014 09:29:56 »

ว๋ายยยยยย  เจ้าชายสามช่างหื่นล้ำหน้า เจ้าชายใหญ่ไปซะแล้ว
โถ ไทวาเด็กน้อย ขำที่บอกว่าใส่อะไรไว้อ่ะ ... กระบองล่ะมั๊ง ไทวา 5555

....
รามิเรสเขาล่ะ หายไปนานแล้วนะ

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 8) 14 มิ.ย. 57
«ตอบ #112 เมื่อ14-06-2014 10:04:45 »

เข้ามาดูบ่อยมาก ในที่สุดก็อัพแล้ว คิดถึงองค์ชายสามกับตัวกินไก่

แล้วไทวาก็สมหวัง ซะที องค์ชายก็มิได้ทำให้ผิดหวังทั้งเจ้าเล่ห์ทั้งหื่นเลย

อ่านเพลินๆมาถึง ประโยคนี้ 'ไทวาดิ้นกระแด่ว กระตุกกายถี่ๆ เหมือนปลาที่ถูกวิดขึ้นมาจากหนองน้ำ' :jul3: ขำมาก เห็นภาพสุดๆ

แล้วน้องไทก็ได้รู้ ว่าพี่เขยพกปืนฉีดน้ำกระบอกใหญ่มา เอาซะเลอะแว่นเลย  :laugh:

รอคอยเวลาสัตว์ป่าออกหากิน ต่อไป หุ หุ

ออฟไลน์ Phut

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 8) 14 มิ.ย. 57
«ตอบ #113 เมื่อ14-06-2014 14:57:41 »

 :m25:

โอ้ว...อารมณ์ดิบของเจ้าชายถูกปลุกแล้ว :hao6:


ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 8) 14 มิ.ย. 57
«ตอบ #114 เมื่อ14-06-2014 16:09:02 »

พี่เขยเป็นเสือซ่อนเล็บดีๆนี่เอง  :katai2-1:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 8) 14 มิ.ย. 57
«ตอบ #115 เมื่อ14-06-2014 18:35:18 »

 :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 8) 14 มิ.ย. 57
«ตอบ #116 เมื่อ14-06-2014 18:56:30 »

ว๊ายยยยยยย
เขิลแทน

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 8) 14 มิ.ย. 57
«ตอบ #117 เมื่อ15-06-2014 01:30:19 »

 :jul1: ว๊ายยยยยยยยยยยยยยยย
อยู่ๆเอ็นซีก็มาเฉยเลย

ออฟไลน์ ชุน

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-1
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 9 - จบ) 16 มิ.ย. 57
«ตอบ #118 เมื่อ16-06-2014 19:48:27 »


วันวาน... สู่นิรันดร์
บทที่ ๙


ไทวาเป็นไข้ อาการไม่น่าเป็นห่วง แต่เจ้าชายเจ้ากรมโยธาธิการผู้แสนจะทรงรักงานก็ประทับอยู่ติดพระตำหนักเพื่อดูแลเอาใจใส่ให้ตัวกินไก่ของพระองค์ได้รับความสะดวกสบายที่สุด

ติดอยู่ก็แต่ว่าไทวาเอาแต่คะยั้นคะยอให้พระองค์เสด็จไปที่กรมอยู่เรื่อย ซ้ำยังไม่ยอมมองพระพักตร์ของพระองค์อีก เอาแต่ซ่อนหน้าอยู่ใต้หมอนบ้าง ใต้ผ้าห่มบ้าง

“อายทำไม ไม่เห็นมีอะไรน่าอาย”

เมื่อคืนพระองค์ก็ไม่ได้ทรงเข้าไปในตัวของเด็กหนุ่ม เพียงแต่ถูไถอยู่แค่ภายนอกเท่านั้น เมื่อเช้าก็หว่านล้อมกึ่งบังคับตรวจดูบริเวณร่องก้นกลมกลึงไปรอบหนึ่ง เห็นว่าถูกเสียดสีจนแดง ผ่านมาคืนหนึ่งแล้วยังไม่หายก็ทรงหักห้ามพระทัย ไม่ทำอะไรทั้งที่ก้อนก้นเด้งๆ นั่นส่ายไปส่ายมายั่วยวนพระอารมณ์เหลือเกิน

“ก็ไทอาย พี่เขยไปทำงานก่อนสิครับ ให้ไททำใจหน่อย เดี๋ยวพอตอนเย็นพี่เขยกลับมาไทก็ไม่อายแล้ว” แน่นอนว่าเสียงอู้อี้ทั้งหมดนั่นพูดผ่านผ้าห่ม

“พี่อยากอยู่ดูแลไท”

คนใต้ผ้าห่มเงียบไปหลายอึดใจ ก่อนจะค่อยๆ โผล่หน้าออกมา ไทวาสวมแว่นตานอน แน่นอนว่าเป็นแว่นตาอันเดิมที่ได้รับการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว แต่ภาพติดตาก็คือภาพติดตา แค่เห็นแว่นตา ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็ฉายซ้ำในพระเศียรเป็นฉากๆ

“พี่เขยหื่น!”

“อะไร พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“ก...  ก็... พี่เขยมองไทแบบนั้นทำไมเล่า”

“แบบไหน”

“ก็แบบ... แบบ... ฮึ่ย!”

คนประทับข้างเตียงแย้มพระสรวลขำๆ ก่อนจะเปลี่ยนมาประทับบนเตียงแทน ไทวาขยับจะถอยกรูด ทว่าขยับไม่ได้เพราะอีกฝ่ายประทับบนผ้าห่ม

“หื่นก็เพราะรักไท”

เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง อกใจเต้นกระหน่ำ หน้าร้อนเหมือนจะไข้ขึ้นอีก แต่ก็อดยิ้มแก้มปริไม่ได้

“ทำไมพี่เขยพูดบ่อยจัง” งึมงำเบาๆ ที่จริงก็เพิ่งจะครั้งที่สอง เพียงแต่เขาไม่คิดว่าจะรับสั่งบอกง่ายๆ แบบนี้ วันก่อน ตอนที่เขาร้องไห้แทบเป็นแทบตายยังไม่รับสั่งเลยด้วยซ้ำ

“เขินหรือ”

“ครับ” ไม่เขินก็แปลกล่ะ

“เตรียมใจไว้ พี่จะพูดให้ฟังบ่อยๆ” รับสั่งพลางทรงดึงแว่นตาออกมาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง “ไหนๆ ก็ไม่หลับแล้ว พี่ถามอะไรหน่อย”

“ครับ”

“วันแรกที่มาอยู่ที่นี่ ไทกลัวว่าพี่จะทำอะไรไท พอพี่บอกไม่ทำอะไร ไทก็ดีใจใหญ่ พี่เลยนึกว่าไทรักพี่แบบพี่ชาย แล้วทำไมเมื่อคืนไม่เห็นกลัว”

ไทวาเม้มปากเล็กน้อย แต่รู้สึกเจ็บก็เลยเลิกเม้ม

“ไทไม่ได้กลัวพี่เขยจะทำอะไร แต่ไทไม่อยากให้พี่เขยกอดไททั้งที่ไม่ได้รัก”

“ถ้าพี่ไม่รัก ก็ไม่มีสิทธิ์ได้กอดไทสินะ”

ไทวานิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วก็ส่ายหน้า “ถึงพี่เขยไม่รัก ไทก... ก็คิดว่า จะอะ... เอาตัวเข้าแลก”

เจ้าชายหนุ่มทรงเบิกพระเนตร เลิกพระขนงสูง

“ก็... พี่เขยจะไปแล้ว จะกลับมาเมื่อไรก็ไม่รู้ ถึงยังไงไทก็เป็นผู้ชาย ไม่ท้องอยู่แล้ว แล้วไทก็รักพี่เขย ถึงพี่เขยไม่รักไทก็ไม่เป็นไร ขอแค่ยอมกอดไทสักครั้ง ไทก็ดีใจที่ได้พี่เขยมาเป็นของไท แค่ตัวก็ยังดี เพราะว่าถ้าพี่เขยเดินทางแล้วไปเจอผู้หญิงที่พี่เขยรักแล้วก็แต่งงานกับนาง ถึงตอนนั้นถึงไทอยากจะกอดพี่เขย ไทก็ทำไม่ได้แล้ว ตะ... แต่ว่าพี่เขยก็รักไท... ไทโชคดีจังเลย... อ๊ะ! พี่เขย”

ไทวาถูกรวบกอดไว้ทั้งตัว ผ้าห่มที่ห่ออยู่เป็นเหมือนดักแด้ ขยับดิ้นไปไหนไม่ได้ พระพักตร์คมเข้มของเจ้าชายอัทธายุอยู่ใกล้กับหน้าเขาเอามากๆ เด็กหนุ่มหน้าแดงเรื่อ

“ยั่วเก่งไปแล้วนะ ไทวา”

“ฮะ” ทั้งตกใจ ทั้งงง “ท... ไทไม่ได้ยั่ว” อะไรกัน เขาแค่พูดไปตามความจริงเท่านั้นเอง

คนยั่วไม่รู้ตัวพูดอะไรไม่ได้แล้ว เพราะปากถูกปิดด้วยจุมพิตดูดดื่มแสนหวาน พระนาสิกโด่งๆ กดลงบนแก้ม สูดกลิ่นแรงๆ ดังฟอด ก่อนที่ทั่วทั้งหน้าและลำคอของเขาจะถูกจูบถูกหอมซ้ำๆ พระมัสสุสั้นๆ ครูดผิวแก้มผิวคอจนแดงเถือก ทั้งจั๊กจี้และรู้สึกดีไปพร้อมๆ กัน

เจ้าชายอัทธายุทรงผละออกมาทอดพระเนตรเด็กหนุ่มนิ่งๆ ดวงตาของไทวาหยาดเยิ้ม ประกายความสุขฉายชัด ทว่าสายพระเนตรของพระองค์คงจะทำให้เขากลัว ไทวาเริ่มขยุกขยิก หาทางดิ้นรน

“ท... ไทเป็นไข้อยู่นะครับ ปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลยด้วย”

“พี่ไม่ทำอะไรหรอก ขอแค่นี้เอง ไหนๆ ก็เกงานแล้ว พี่นอนกับไทเลยแล้วกัน”

“พี่เขย!” ไหนบอกไม่ทำอะไรเขาไง

“นอนเฉยๆ”

“แต่พี่เขยจะติดไข้”

“พี่แข็งแรงน่า มา นอนดีๆ”

ยอมหรือไม่ยอมก็ต้องยอม เพราะเจ้าชายหนุ่มทรงสอดพระองค์เข้ามาแล้ว ไทวาถูกดึงไปนอนบนพระอุระหนากว้าง เด็กหนุ่มใจเต้นแรงนิดๆ เขินอายหน่อยๆ แต่ในที่สุดก็ผล็อยหลับไป






เจ้าหญิงวรนารีเสด็จมาหาไทวาตอนบ่าย ทอดพระเนตรเห็นอะไรหลายๆ อย่าง เป็นต้นว่า สีหน้าสีตามีพิรุธแต่ดูมีความสุขเป็นพิเศษของคนที่ห้องตัวเองมีไม่นอน มานอนป่วยอยู่บนพระที่ของเจ้าของพระตำหนัก ริมฝีปากบวมๆ กับรอยแดงๆ เต็มคอ และภาพวาดขนาดหนึ่งคูณสองฟุตที่แขวนอยู่เหนือหัวพระที่ของพระเชษฐา

“พี่น้อง โกรธไทไหม”

“โกรธทำไมล่ะ ไทปลุกปล้ำขืนใจเจ้าพี่หรือ”

“เปล่านะ! พี่เขยกอดไทเอง!”   

เจ้าหญิงคนงามทรงพระสรวล ขณะคนที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าโพล่งอะไรออกไปหน้าแดงซ่าน

“งั้นพี่ก็ต้องเรียกไทใหม่สินะ”

ไทว่าขมวดคิ้ว

“เรียกว่า พี่สะใภ้ ไง”

ดวงหน้ากลมขาวของเด็กหนุ่มแดงแป๊ด ทว่าประกายตาฉายแววแห่งความสุขแจ่มชัด

คุณชายหนุ่มแห่งไทวะคิดว่า ขอเพียงเจ้าหญิงวรนารีทรงยอมรับเขาได้ คนอื่นจะคิดอย่างไรเขาก็จะไม่เก็บมาคิดมาก ไม่หวั่นไหว ทว่าในความเป็นจริงแล้วไม่ง่ายถึงขนาดนั้น






การนัดพบเพื่อไปเที่ยวข้างนอกเกิดขึ้นอีกครั้งเพราะเจ้าหญิงพระขนิษฐารับสั่งว่าไม่รู้ว่าจะได้เที่ยวกับพระเชษฐาอีกเมื่อไร เจ้าชายอัทธายุรับสั่งกับตัวกินไก่ของพระองค์ว่า

“ขี่ม้าตัวเดียวกับพี่นะ”

ไทวาพยักหน้ารับอย่างเขินๆ กึ่งดีใจ เพราะอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อประกาศให้ทั้งคุณชายและคุณหนูบ้านเสนาบดีธรรมการรู้โดยที่เขาไม่ต้องพูดอยู่แล้ว ว่าพี่เขยเป็นของเขา

อาจจะถือว่าเป็นความโชคดีก็ได้ที่ทั้งจิรภัทรและเจนจิราดูจะเข้าใจสถานการณ์ดี คุณชายหนุ่มยอมถอยเมื่อเจ้าชายสามทรงเป็นฝ่ายเอาใจเด็กหนุ่มตลอดเวลาชนิดไม่เปิดโอกาสให้ทำคะแนน ขณะที่เจนจิราก็ทำอะไรไม่ได้มาก เมื่อไม่ว่านางจะพยายามทำอะไรกับเจ้าชายอัทธายุ ไทวาก็เป็นต้องเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแนบเนียนและดูเหมือนจะใสซื่อไร้เดียงสาอยู่เรื่อย

อย่างไรก็ดี หญิงสาวยังคงทิ้งก้อนหินก้อนหนึ่งซึ่งหนักราวภูเขาทั้งลูกลงบนอกของเด็กหนุ่ม

“ธรรมเนียมของเรา ผู้หญิงของเจ้าชายมีได้เป็นร้อย เป็นคนแรกก็ไม่ใช่ว่าจะได้เป็นคนสุดท้าย ยิ่งเป็นเจ้าชายที่ต้องทรงเดินทางบ่อยยิ่งมีโอกาสพบผู้หญิงที่ต้องพระทัยได้มาก ไทอย่าเพิ่งดีใจไป หรือต่อให้พระองค์ยังไม่ทรงมีคนอื่น แต่สิ่งที่ทรงรักมากที่สุดก็คงยังเป็นงานอยู่ดี ถ้าไม่เชื่อพี่ ไทก็ลองทูลถามดูก็ได้ ว่าจะทรงยกเลิกกำหนดการเสด็จเพื่อไทได้ไหม”






“พี่เขยไม่ไปได้ไหมครับ”

ไทวาท่องประโยคสั้นๆ นั้นอยู่ในใจไม่รู้กี่รอบ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่กล้าทูลถามเพราะกลัวคำตอบ อีกอย่างหนึ่งก็คือ เขาคิดว่าถ้าพี่เขยรักงาน ถ้าการทำงานเป็นความสุขของพระองค์ เขาก็ไม่อยากจะขัดขวาง ไม่อยากทำให้พี่เขยลำบากใจ เพราะความกลัวที่แท้จริงของเขาไม่ได้อยู่ที่พี่เขยรักงานมากกว่า แต่อยู่ที่การรักคนอื่นนอกจากเขาต่างหาก

จนถึงตอนนี้ เจ้าชายอัทธายุก็ยังไม่เคยทรงล่วงล้ำเข้าไปในตัวของคุณชายแห่งไทวะ ทั้งที่จูบกันทุกวัน เล้าโลมและปลดปล่อยอารมณ์ให้กันเกือบทุกคืน อาบน้ำด้วยกันก็เคย แต่พอถึงเวลาที่พระองค์ทรงพยายามจะเข้าไปแล้วเด็กหนุ่มเจ็บจนน้ำตาร่วงพรู ทุกอย่างก็กลับสู่ระดับเดิม ไม่ก้าวหน้า

“ไม่เป็นไร ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า ไม่ต้องคิดมาก”

ถึงเจ้าชายหนุ่มจะรับสั่งอย่างนั้น แต่ไทวาก็ไม่สบายใจ






พรุ่งนี้ เจ้าชายเจ้ากรมฯ จะทรงออกเดินทางแล้ว คืนนี้ ไทวาตั้งใจว่าจะทุ่มสุดตัว ทว่าพออีกฝ่ายทรงทำให้เขาสบายตัวไปเรียบร้อย พระองค์ก็ทรงทำเหมือนจะพอแค่นั้น

“พี่เขย”

“อะไร”

“ทำไมไม่ทำล่ะครับ”

“พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า มากกว่านี้เดี๋ยวไทจะไม่มีแรง”

ไม่มีแรงจะลุกไปส่งน่ะหรือ ไม่เป็นไรหรอก เขาไหวแน่ๆ สิ่งที่จะทำให้เขาทนไม่ไหว คือการไม่ได้พี่เขยคืนนี้ต่างหาก เด็กหนุ่มปีนขึ้นไปบนพระวรกาย อ้าขาออกคร่อมพระองค์ไว้แล้วก้มลงกราบทูลเสียงปร่า

“ไทอยากเป็นของพี่เขย พี่เขยทำกับไทนะ เข้ามาในตัวไท... อ๊ะ!”

เด็กหนุ่มถูกจับพลิกมาอยู่ข้างใต้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ประกายสายพระเนตรคมกล้าดูน่ากลัวกว่าทุกครั้ง ไทวาใจสั่น นึกเสียใจขึ้นมานิดหน่อย

“ไท”

“ค... ครับ”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่อยากให้ไทนึกเอาไว้” เด็กหนุ่มนิ่วหน้า “ว่าไทเป็นคนขอพี่เองนะ”

รนหาที่เอง แถมยังพูดในเวลาเหมาะเจาะ ตอนที่พระองค์ทรงอดทนจนสุดจะทนเสียด้วย

“ค... ครับ”

เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงผละออกห่างจากเด็กหนุ่มชั่วครู่เพื่อถอดฉลองพระองค์ ไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้ง ไทวาก็ยังรู้สึกปลาบปลื้มกึ่งเขินอายที่ได้เห็นเนื้อตัวทุกสัดส่วนของเจ้าชายหนุ่มอยู่ดี สีหน้าอายๆ นั้นกระตุ้นเร้าพระอารมณ์ของคนหื่นเต็มพิกัดได้เป็นอย่างดี

ไทวาสุขสมไปรอบหนึ่งแล้ว เจ้าชายอัทธายุจึงไม่ทรงเล้าโลมมากนัก หลังจากจูบปากสั้นๆ และเล่นกับยอดอกชูชันสองข้างของเด็กหนุ่มอยู่พักหนึ่ง พระองค์ก็ทรงจัดท่าให้อีกฝ่ายอยู่ข้างบน คร่อมพระองค์ไว้ แล้วหันก้นกลมกลึงมาทางพระองค์

“ช่วยพี่หน่อย”

ไทวาหน้าแดงจัด ตื่นเต้นจนอกใจเต้นตูมตามเพราะเพิ่งเคยอยู่ในท่านี้เป็นครั้งแรก แต่พอเห็นสีพระพักตร์อ้อนๆ นิดๆ ของอีกฝ่ายแล้วก็ไม่ลังเลอีก ถึงแม้ว่าจะยังนึกขยาดกับขนาดของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อยก็เถอะ

พระประสงค์ที่แท้จริงของเจ้าชายอัทธายุไม่ได้อยู่ที่การให้เด็กหนุ่มช่วยพระองค์ แต่เป็นการให้เขาช่วยตัวเอง ถ้ามีอะไรทำก็คงจะไม่พะวักพะวงกับความเจ็บเบื้องล่างมากนัก หลังจากทรงเอาใจใส่ส่วนกลางลำตัวที่แสนน่ารักของเด็กหนุ่มไปไม่นานนัก พระองค์ก็ให้เวลากับช่องทางคับแคบที่ร้อนผ่าวอย่างเต็มที่

ไทวาเหงื่อออกเต็มตัวเมื่อเจ้าชายหนุ่มทรงสอดนิ้วพระหัตถ์เข้าไปได้ถึงสามนิ้ว เขาทั้งปวด ทั้งตึง ทั้งเสียวซ่านไปหมด ยิ่งเวลาที่อีกฝ่ายทรงกดย้ำซ้ำๆ ตรงจุดที่เขารู้สึกดี เขายิ่งอยากจะไปเสียให้ได้ ทว่าพอเผลออ้าปากร้องครวญคราง ก็กลับถูกตีก้นไม่เบาไม่แรงไปครั้งหนึ่ง แต่ถึงกับสะดุ้งเฮือก สัดส่วนที่ผงาดกล้าทิ่มแทงพระอุระหนา ทำให้ยิ่งเสียว

“อมไป อย่าคาย แล้วก็อย่ากัดของพี่ล่ะ”

ถึงจะรู้สึกแปลกใจขึ้นมาแวบหนึ่งที่อีกฝ่ายพูดเหมือนสั่ง แต่แปลกที่มันกลับทำให้เขายิ่งมีอารมณ์ ยิ่งถูกกระตุ้นจากด้านหลังยิ่งเสียวสะท้าน

“อ๊ะ... อ๊า... พ... พี่เขย...”

เผี๊ยะ!

“ไทวา ดูดดีๆ”

เด็กหนุ่มสะอื้นฮัก แต่ก็ยอมครอบปากลงไป เจ้าชายอัทธายุทรงทราบว่ากำลังเสี่ยง เพียงแค่ไม่ถึงสัปดาห์ พระองค์ก็เผลอทรงแสดงธาตุแท้ออกมาแล้ว ไทวาอาจจะสงสัย ถ้ามีเวลาคิดอีกหน่อยอาจจะนึกกลัวพระองค์ขึ้นมา แต่ร่างกายขาวผ่องที่กลายเป็นสีชมพูทั้งตัว ช่องทางคับแคบที่กำลังเต้นตุบและขยายอ้าให้เห็นถึงภายในที่อยู่ตรงหน้ากับปฏิกิริยาน่าอายและเสียงร้องอื้ออ้าเร้าอารมณ์ทำให้พระองค์ทรงทนต่อไปไม่ไหว

ไทวาถูกจัดท่าให้อีกครั้ง พระเขนยใบใหญ่ถูกสอดรองไว้ใต้ลำตัว เด็กหนุ่มอยู่ในท่าคุกเข่าหันหลัง สะโพกถูกยกให้สูงขึ้น แก้มก้นกลมกลึงลอยเด่นดูยั่วยวน สะดุ้งเมื่อท่อนลำแข็งขึงร้อนผ่าวทาบถูบริเวณร่อง ใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อส่วนนั้นจ่ออยู่ตรงปากทาง และถึงกับกลั้นหายใจเมื่ออีกฝ่ายทรงดุนดันเข้ามา

“ไทวา อย่าเกร็ง”

เด็กหนุ่มพยายาม

“หายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลายหน่อย”

เจ้าชายหนุ่มทรงพยายามทุกทาง ไทวาเจ็บปวด ตึงแน่นเหมือนร่างกายจะฉีกขาดแต่ก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ หลังจากพยายามจนเหงื่อท่วมตัวทั้งคู่ ในที่สุดก็เข้าไปได้ถึงครึ่งหนึ่ง ถึงตอนนี้ไทวาก็น้ำตานอง กัดหมอนแน่นจนแทบขาด น้ำลายเปียกเยิ้ม

เจ้าชายอัทธายุทรงจูบซับเหงื่อตามแผ่นหลังประทานให้ทั้งที่ปรารถนาจะทรงดันเข้าไปให้สุด

“ไทวา”

พระสุรเสียงที่ตรัสเรียกทั้งแหบพร่าและอ่อนโยน เด็กหนุ่มหันหน้ามาตามพระหัตถ์ที่ช้อนประคอง อ้าปากออกรับจูบดูดดื่มทั้งที่เหนื่อยจนหอบ ขณะที่กำลังเคลิ้ม อีกฝ่ายก็ทรงเริ่มขยับช้าๆ ไทวาครางเสียงอื้ออ้า ทั้งเจ็บทั้งเสียว แต่ก็รู้สึกดีเอามากๆ

เจ้าชายอัทธายุทรงอดกลั้นเต็มที่ ข้างในของไทวาแน่นมาก ทั้งแน่นทั้งร้อน รัดรึงของพระองค์เอาไว้จนแทบจะขยับไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ตอดตุบอย่างเชิญชวน

“พี่จะขยับแล้วนะ ไท”

ก็แล้วเมื่อกี้ยังไม่ได้ขยับรึไง

“ค... ครับ... อ๊า! ฮะ... ฮ่าห์... พ... พี่เขย ไท ไทจะ...” เจ็บ แต่พยายามจะไม่ร้อง

“ทนหน่อยครับ เดี๋ยวก็ดีเอง”

ไม่ต้องเดี๋ยว ตอนนี้ก็ดีแล้ว เจ็บ แต่ก็ดี

เจ้าชายสามเองก็ทรงรู้สึกดี... ดีเป็นบ้า ช่องทางคับแคบที่บีบรัดทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยม

“ท... ไทรักพี่เขย ร... รักพี่เขยครับ”

แต่ประโยคนี้กลับดียิ่งดีกว่า

“พี่ก็รักไท”

สะโพกขาวๆ ของเด็กหนุ่มถูกดึงให้เข้ามาหาพระวรกายแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ช่องทางหวานเชื่อมถูกแทรกสอดแนบชิด ไทวาสั่นระริกไปทั้งตัว ส่วนที่สั่นมากที่สุดถูกกอบกุมไว้ในอุ้งพระหัตถ์ใหญ่ที่ขยับชักให้อย่างเอาใจ

เด็กหนุ่มสุขสมไปถึงสองรอบ ก่อนที่เจ้าชายอัทธายุจะทรงลุถึงฝั่งตามไปด้วยความอิ่มเอมพอกัน






ปวดเมื่อยไปทั้งตัว แต่ก็ยังตื่นขึ้นมาเพราะส่วนลึกในใจกังวลว่าจะไม่ทัน

“พี่เขย...” เสียงของเด็กหนุ่มแหบแห้ง คนประทับนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ แต่แต่งพระองค์เรียบร้อยแล้วทรงกดจูบบนริมฝีปากแล้วก็แย้มพระสรวลให้

“เลิกเรียกพี่เขยได้แล้ว”

“แล้ว... ให้ไทเรียกว่าอะไร”

“พี่ธาย”

แววพระเนตรของเจ้าชายอัทธายุยิ้มได้ แถมยังยิ้มแบบที่ทำให้ไทวาเขินจนต้องหลบสายตา

“ว่าไง”

“พ... พี่ธาย”

“ครับ”

“ไทไม่ได้เรียกสักหน่อย แค่เรียก” เอ๊ะ ยังไง “ลองเรียกตามที่พี่เขย เอ่อ... พี่ธายบอก”

“หึ” เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวลเอ็นดู ก่อนจะทรงดึงองค์ขึ้นประทับ “ลุกไหวไหม”

ไทวาหน้าเสียทันที นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายต้องออกเดินทาง เด็กหนุ่มพยักหน้า

“ไหวครับ พี่เขย เอ่อ... พี่ธายรอก่อนได้ไหม เดี๋ยวไทอาบน้ำแต่งตัวแล้วจะไปส่ง”

“ไปส่ง” เจ้าชายเจ้ากรมฯ ทรงเลิกพระขนง

“ก็... พี่เขยจะเดินทางวันนี้นี่ครับ” อีกฝ่ายงง เขาก็งง

“ใช่ แต่ถ้าไทไม่ไหว พี่เลื่อนไปสักวันสองวันก็ได้”

“ไม่เป็นไรครับ ไทไม่ได้ไปด้วยสักหน่อย”

“ทำไมถึงไม่ไป”

สีพระพักตร์ชักจะไม่ค่อยดี ไทวางงยิ่งกว่าเดิม เด็กหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นนั่ง เจ็บจนร้องครางออกมาเบาๆ แต่พอหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ดีขึ้นบ้าง หลังจากจ้องหน้ากันอยู่ครู่ เจ้าชายสามก็ทรงถอนพระทัยเบาๆ

“ไม่อยากไปกับพี่หรือ”

“อยากสิครับ! แต่ไทเป็นเชลย ต้องอยู่ในวังไม่ใช่หรือครับ ตามพี่เขยไปไม่ได้”

“ใครบอก”

นั่นสิ ใครบอก รู้สึกว่าจะเป็น... พี่เจน... ใช่ไหม... หรือว่าพี่ภัทร

“ไทเป็นเมียพี่ ผัวไปไหน เมียก็ต้องไปด้วย พี่ก็คิดว่าไทรู้”

ไม่รู้ และไม่ต้องมาผัวๆ เมียๆ ตอนนี้ได้ไหมเล่า รับสั่งได้ไม่อายปาก หรืออาจจะทรงอายไม่เป็น แต่เขาอายนี่นา ถึงลึกๆ แล้วจะรู้สึกดีใจก็เถอะ

“ก็เลยไม่ได้ถาม” หลังจากถอนพระทัยอีกรอบ ก็ดูจะพระอารมณ์ดีขึ้น “ไทวา”

“ครับ”

“ไปกับพี่ไหม พี่อยากให้ไทไปด้วย... ทุกที่ที่พี่ไป”

เด็กหนุ่มมองพระพักตร์ เห็นรอยแย้มพระสรวลและประกายสายพระเนตรรักใคร่อย่างไม่ปิดบังนั่นแล้วก็น้ำตาคลอ หน่วยตาร้อนผ่าว และก่อนที่เขาจะทันร้องออกมาอีกฝ่ายทรงรวบตัวเขาไปกอดไว้เสียแล้ว

“ไปครับ! ขอบคุณครับ ฮึก พี่ธาย ไทคิดว่าจะถูกทิ้งให้อยู่ที่นี่คนเดียวซะแล้ว”

เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงพระสรวลเบาๆ อย่างคนมีความสุข

“ไม่ทิ้ง แล้วก็ไม่ต้องขอบคุณพี่ พี่ต่างหากที่ต้องขอบคุณไท”

พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ทุกคนเสมอ เพียงแต่ไม่มีใครเข้ามาถึงในพระทัยของพระองค์เอง แต่วันนี้... มีแล้ว บางที พระองค์อาจทรงรอคอยเด็กคนนี้มาตลอดสิบปีก็เป็นได้ รอให้เขาเติบโต รอให้โชคชะตานำพาเข้ามาหา และมาทำให้พระองค์ทรงหลงรักตอบ ไทวาในวันวานแทบจะไม่มีความหมายสำหรับพระองค์เลย แต่นับแต่นี้และตลอดไป เขาจะเป็นคนที่มีตัวตน เป็นคนสำคัญในทุกช่วงเวลาของชีวิต

“ขอบคุณครับ ไทวา”

ที่ทำให้วันวานไม่ใช่แค่วันวาน แต่ได้กลายมาเป็นวันนี้ เป็นพรุ่งนี้ และเป็นทุกๆ วันที่มีความหมาย

“ถ้าพอจะลุกไหว ก็ไปเข้าเฝ้าเจ้าพ่อด้วยกันนะ พี่เกริ่นไว้แล้วว่าจะพาเมียไปแนะนำ เจ้าพ่อก็อยากจะคุยกับไท แล้วพอออกเดินทางเมื่อไหร่ เราจะไปไทวะก่อน พี่จะได้สู่ขอไทจากพ่อแม่ให้เรียบร้อย กินลูกชายเขาไปแล้วขืนไม่ไปบอกกล่าวให้ถูกต้องคงไม่ดี”

คราวนี้ ไทวาปล่อยโฮออกมาจริงๆ แล้ว และเจ้าชายอัทธายุก็ทรงมีความสุขเหลือเกิน ที่เด็กหนุ่มดูจะยังไม่รู้ตัวว่าพระองค์ทรงมีความสุขกับการได้เห็นน้ำตาของคนที่รัก

ยิ่งร้อง... ก็ยิ่งอยากจะเอ็นดูให้มากๆ...
.
.
.
.
.
.


ด้วยวิธีเฉพาะของพระองค์เอง



      

end





จบค่ะ (พร้อมๆ กับแย้มๆ ธาตุแท้ของพี่เขย)

ขอบคุณทุกๆ ความคิดเห็นที่เป็นกำลังใจที่ดีให้กันเสมอมานะคะ :pig4: :L1:


ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 9 - จบ) 16 มิ.ย. 57
«ตอบ #119 เมื่อ16-06-2014 20:31:34 »

เหยยย ชายสามซาดิสต์เหรอ ตาย ๆ ๆ ไทวาเอ้ยยยย
ขอตอนพิเศษของสองคนนี้ด้วยน๊า ท่าจะแซ่บเว่อร์

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด