เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งเรื่องเฮเดสและเจ้าชายค่ะ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เวลา : วันนี้ (บทส่งท้าย) [แจ้งเรื่องเฮเดสและเจ้าชายค่ะ]  (อ่าน 152998 ครั้ง)

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
Re: เวลา : วันวาน (บทนำ) 12 พ.ค.57
«ตอบ #60 เมื่อ12-05-2014 22:49:39 »

พี่เขยอะไร  :hao4:

แล้วใครได้คุณชายร่างใหญ่ไปล่ะเนี่ย

ออฟไลน์ ชุน

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-1
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 1) 13 พ.ค.57
«ตอบ #61 เมื่อ13-05-2014 11:23:33 »

วันวาน... สู่นิรันดร์
บทที่ ๑


เจ้าของวรองค์หนาใหญ่กำลังดำเนินออกมาจากห้องแต่งพระองค์พอดี ตอนที่มหาดเล็กประจำพระตำหนักพาคนที่ต่อไปจะอยู่ในการปกครองของพระองค์ไปตลอดมาขอประทานพระอนุญาตเบิกตัวเข้าเฝ้า

“มาส่งแล้วก็ออกไปเถอะ ปิดประตูด้วย”

คนรับสั่งสรงและเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดสำหรับเตรียมเข้าบรรทมเรียบร้อยแล้ว ขณะรับสั่งยังทรงเช็ดพระเกศาที่ใกล้จะแห้งแล้วไปด้วย

คุณชายแห่งเผ่าไทวะสะดุ้งเมื่อถูกขังเอาไว้ในห้องกับนายเหนือชีวิตตามลำพัง หน้าตาตื่น ดวงตาส่ายไปมาลอกแลกจนเจ้าของห้องทั้งขำทั้งสงสาร เมื่อพระองค์ประทับที่พระเก้าอี้เยื้องปลายพระที่ อีกฝ่ายก็คุกเข่าลงทันที

“ไม่ต้องคุกเข่า มานั่งใกล้ๆ ฉัน...” ชะงักไปนิด แล้วก็ทรงเปลี่ยนสรรพนาม “ใกล้ๆ พี่นี่มา”

คนถูกสั่งลังเล ไม่แน่ใจอย่างเห็นได้ชัด ละล้าละลังอยู่ครู่จึงตัดสินใจก้มตัวลงคลานตามที่ได้รับการกำชับมาอย่างเข้มงวด ทว่าคลานไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นปลายพระบาทมาหยุดอยู่ตรงหน้า คุณชายหนุ่มผงะถอยทันทีด้วยความกลัว

“กลัวอะไร จำพี่ได้ไม่ใช่หรือ”

คนถูกถามพยักหน้า ขยับปาก แต่คำที่พูดออกมาไม่ใช่คำเดียวกับที่คิดไว้ในหัว

“... ฝ่าบาท”

“เรียกพี่เหมือนเดิมก็ได้ มา ลุกขึ้น”

ประกอบรับสั่งคือพระหัตถ์ใหญ่ที่ยื่นออกมาประทานให้ คนบนพื้นมองพระหัตถ์สลับกับพระพักตร์อย่างสองจิตสองใจ ก่อนจะยื่นมือสั่นๆ ออกไป ทว่ายังไม่ทันจะถึง อีกฝ่ายก็ก้มลงมาดึงตัวเขาขึ้นอย่างรวดเร็วและง่ายดายราวกับตัวเขาไร้น้ำหนัก

“พี่เขย!”

“หึ” เจ้าชายหนุ่มทรงพระสรวลขำๆ

“ผ่านมาเป็นสิบปีแล้วยังเรียกคำนี้อยู่อีก”

คนถูกเย้าหน้าแดง ความรู้สึกก้ำกึ่งกันระหว่างขัดเขินกับกังวล

“ไทเปลี่ยนไปเยอะนะ พี่จำเกือบไม่ได้ ไม่ใช่แค่หน้าตา นิสัยก็ด้วย ทำไมไม่ค่อยพูดเลย กลัวพี่หรือ”

คนที่สูงเพียงไหล่ของอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ ขยับปากร่ำๆ จะพูดแล้วก็ไม่พูดอยู่หลายครั้ง

“จะพูดอะไรก็พูดมา”

“พี่ขะ... เอ่อ... ฝ่าบาท คืนนี้จะโปรดให้กระหม่อม... รับใช้... ไหมพระเจ้าค่ะ”

“รับใช้อะไร”

“ก็... สำนักบำเรอหลวงบอกว่า ถ้า... ฝ่าบาทโปรดให้รับใช้ ก... กระหม่อมก็ต้อง...”

คนฟังเกือบจะทรงขำอีกรอบ แต่ติดที่ว่าสงสารมากกว่าจึงทรงกลั้นเอาไว้

“ถ้ากลัวเรื่องนี้ก็เลิกกลัวได้แล้ว พี่ไม่บังคับให้ไททำอย่างนั้นหรอก”

สีหน้าของเด็กหนุ่มดูมีความหวังขึ้น

“จริงๆ นะพี่เขย! ไทไม่ต้องทำจริงๆ นะ”

เจ้าชายหนุ่มทรงพยักพระพักตร์ยิ้มๆ เท่านั้นเอง เชลยศักดิ์ก็กระโดดตัวลอย

“เย้! ขอบคุณครับพี่เขย ขอบคุณครับ พี่เขยใจดีที่สุด ไทรักพี่เขยที่สุดเลย เย้ๆ”

คนร้องเสียงดังลั่นห้องโผเข้ากอดเจ้าของวรองค์หนาใหญ่ไว้แน่น เขย่าตัวไปมาแถมยังเอาหน้าซุกๆ ถูไถอยู่กับพระอุระหนาๆ อย่างดีใจสุดชีวิต ขณะที่คนถูกกอดทรงยืนอึ้งไปในคราแรก ก่อนจะทรงหลุดเสียงสรวลออกมาอย่างขำๆ แล้วก็กอดตอบพลางขยี้ผมสั้นๆ ของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

ทั้งที่เกือบจะทรงลืมไปแล้วว่าทรงมี ‘น้องเมีย’ อยู่คนหนึ่ง มีทั้งๆ ที่พระองค์ยังไม่ทรงมี ‘เมีย’ นั่นแหละ แต่พอได้พบกันอีกครั้งในอีกสิบปีให้หลังแบบนี้ ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายก็ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกราวกับว่า

ระยะเวลาสิบปีนั้นไม่เคยมี




“ไทกลัวมากเลย กลัวจนเกือบจะฉี่ราดแน่ะตอนที่เจ้าชายรองทรงเลือกไท ตอนแรกไทไม่กลัวเท่าไหร่ เพราะยังมีความหวังว่าพี่เขยจะต้องเลือกไทแน่ๆ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าพี่เขยจะได้เลือกเป็นคนสุดท้าย ไทจะร้องไห้อยู่แล้ว ดีที่พี่เขยช่วย ไม่อย่างนั้นไทก็ไม่รู้จะเป็นยังไง แต่พอพี่เขยเลือกแล้วไทก็ยังกลัวอีก กลัวว่าพี่เขยจะเปลี่ยนไป ก็เลยยังไม่กล้าพูดกับพี่เขยเหมือนเมื่อก่อน”

“แล้วพี่ไม่เปลี่ยนไปเลยหรือ”

คนที่นั่งพูดจ้อยๆ อยู่บนเก้าอี้ทางขวาพระหัตถ์หยุดมองพระพักตร์อย่างพิจารณา ดวงตากลมโตสุกใสที่น้ำตาเพิ่งแห้งจับจ้องอยู่ที่พระพักตร์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเจ้าตัวจะใช้นิ้วกลางดันแว่นขึ้นอย่างเคยชิน

“พี่เขยตัวใหญ่ขึ้น หล่อขึ้นด้วย ไว้หนวดอีก เท่มาก”

คนถูกวิจารณ์ทรงขำ คำนี้เพิ่งจะเคยได้ยิน ปกติมีแต่คนบอกว่าดูดุขึ้น เถื่อนขึ้น ไม่รู้ว่ามองแก้มเป็นพวงของอีกฝ่ายนานเกินไปรึเปล่า แต่พระปรางของพระองค์ก็ชักจะพองๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว

“แล้วก็... แก่ขึ้นด้วย”

“ฮึ”

“จริงๆ นะครับ”

เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงักอย่างจริงจัง คนถูกพิจารณาว่าแก่ทรงทำอะไรไม่ได้ นอกจากทรงพระสรวลพระสุรเสียงลั่น

“สิบปีแล้ว ไทยังโตเป็นหนุ่มหล่อ แล้วพี่จะไม่แก่ได้ยังไง”

“ไทหล่อหรือครับ” ถามเอง แล้วก็ตอบเอง “แม่กับพี่ๆ บอกว่าไทอ้วน”

“ไม่อ้วน” คนรับสั่งทรงสั่นพระเศียร ขณะคนฟังตาเป็นประกาย “แค่อวบๆ”

ไทวายู่ปาก “ก็พี่เขยบอกให้ไทกินมากๆ”

เจ้าชายอัทธายุต้องทรงทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง ว่าพระองค์เคยรับสั่งบอกตอนไหน แต่ก็ทรงจำไม่ได้ ได้แต่ทรงคิดว่าก็อาจจะจริง เพราะตอนที่อีกฝ่ายอายุแค่เจ็ดขวบ เขาเป็นเด็กที่ค่อนข้างผอม

“เทียบกับเมื่อก่อน พี่ชอบไทตอนนี้มากกว่า”

“จริงหรือครับ”

อาจจะทรงรู้สึกไปเอง แต่สายตาหลังกรอบแว่นนั้นดูเปล่งประกายวาววามประหลาด

“อืม เด็กหนุ่มกำลังโตกินเยอะก็ดีแล้ว จะได้มีกล้ามเนื้อ” เทียบกับคนตัวใหญ่มากอย่างพระองค์แล้ว อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตัวใหญ่อะไรเลย

“ไทสายตาสั้นหรือ”

“ครับ สั้นไม่มาก ไม่ใส่ก็ได้ แต่ไทชอบใส่แว่นมากกว่า ไม่อย่างนั้นจะมองไกลๆ ไม่เห็น”

สำหรับคนที่ไม่ได้พบกันมานานถึงสิบปีแล้ว และจะต้องอาศัยอยู่ด้วยกันไปอีกนาน มีหลายเรื่องที่ต้องเรียนรู้กันใหม่ ไทวาดูจะไม่ง่วงเอาเสียเลย พูดจ้อยๆ แทบจะไม่หยุดปาก เจ้าชายสามซึ่งเพิ่งเดินทางกลับมาถึงวังเมื่อตอนเย็นจึงทรงฟังและรับสั่งพูดคุยด้วยเกือบตลอดทั้งคืน ทั้งที่ค่อนข้างจะทรงเพลีย

มีหลายเรื่องที่ปรารถนาจะทรงทราบเกี่ยวกับอีกฝ่าย หนึ่งในนั้นก็คือ

“พี่สาวของไทแต่งงานรึยัง”

“แต่งแล้วครับ พี่นฎามีลูกสองคนแล้ว คนโตเป็นผู้หญิง ชื่อหนูลี คนเล็กเป็นผู้ชาย ชื่อทิน พี่นวลกำลังท้องได้ห้าเดือน ส่วนพี่นาฏเพิ่งแต่งเมื่อปีที่แล้ว”

คนเล่าเล่าอย่างมีความสุข... ดูจะมีความสุขเป็นพิเศษ

“พี่เลยไม่มีโอกาสได้เป็นพี่เขยของไท”

“ก็ตอนนั้นพี่เขยไม่ยอมเลือกใครเลย ไทอุตส่าห์ลุ้นแทบตาย”

หึหึ เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณได้แต่ทรงพระสรวลอย่างขำๆ เฝื่อนๆ อยู่ในพระทัย รับสั่งเป็นนัยถึงขนาดนี้แล้วยังเรียกพระองค์ว่าพี่เขยอยู่อีก อยากจะทรงทราบจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะเรียกพี่เขยตัวจริงว่า พี่เขยๆ เหมือนอย่างที่เรียกพระองค์รึเปล่า   

“อื้อ ไทมีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกพี่เขยครับ”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องท่านพ่อ” สีหน้าของเด็กหนุ่มเคร่งเครียดจริงจังขึ้น “ท่านพ่อไม่ได้อยากจะเข้าร่วมกับอันธกาลนะครับ ทั้งไท ทั้งผู้อาวุโส แล้วก็ทุกคนในเผ่าของเราไม่มีใครอยากจะเป็นศัตรูกับเรืองอรุณเลย แต่อันธกาลวางยาพิษท่านแม่ ลุงหมอก็ไม่มียาถอนพิษ ท่านแม่ทรมานมาก ท่านพ่อก็เลยต้องเข้าร่วมด้วย พี่เขยอย่าเข้าใจเผ่าเราผิดนะครับ”

เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวลนิดๆ “แล้วพี่จะกราบทูลเจ้าพ่อให้ทรงทราบ”

ไทวาส่ายหน้า

“ไทแค่อยากให้พี่เขยรู้ เจ้าหลวงอาจจะไม่ทรงเชื่อก็ได้ แต่ไทอยากจะให้พี่เขยเชื่อไท”

เจ้าชายเจ้ากรมฯ ทรงนิ่วพระพักตร์เล็กน้อย ทำไมจะต้องเป็นพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงมีความสำคัญมากพอจะกำหนดชะตากรรมของเผ่าไทวะทั้งเผ่าได้เลย

“พี่เขยเชื่อไทไหม” สีหน้าของคนทูลถามเดือดร้อนจริงๆ เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวล

“อืม พี่เชื่อไท”

อาจจะเป็นธรรมดา ที่คนในความปกครองจำเป็นจะต้องทำให้ผู้ปกครองมีทัศนคติที่ดีต่อตัวเอง เด็กหนุ่มที่พลัดบ้านพลัดเมืองมาอยู่ในแคว้นของศัตรูเพียงลำพัง พระองค์ไม่พระทัยร้ายพอจะทำลายขวัญและกำลังใจของเขาอีก... ไทวาแย้มยิ้มกว้างขวางทั้งปากทั้งตา
 



เจ้าชายอัทธายุทรงมีพระขนิษฐาแท้ๆ อยู่พระองค์หนึ่ง พระชนม์ห่างกันหกปี ปีนี้เจ้าหญิงวรนารีจึงมีพระชนมายุ 23 พรรษา มากกว่าไทวาอยู่หกปีเช่นกัน แต่เมื่อทั้งสองพบกัน ก็พูดคุยกันราวกับอายุรุ่นราวคราวเดียวกันก็ไม่ปาน

“ไทพูดกับพี่ธรรมดาๆ เหมือนพูดกับเจ้าพี่ก็ได้”

“จะดีหรือพระเจ้าค่ะ”

“ดีสิ”

“งั้นก็... พี่น้อง”

เจ้าชายอัทธายุแย้มพระสรวลขำ พระองค์รับสั่งเรียกว่า ‘หญิงน้อง’ ก็ฟังดูธรรมดาๆ แต่พอไทวาเรียก ‘พี่น้อง’ ก็ฟังดูทะแม่งๆ ขึ้นมาทันที อย่างไรก็ดี ‘พี่น้อง’ คู่นี้ดูจะเข้ากันได้ดี ทำให้พระองค์พอจะทรงคลายกังวลไปได้   อยู่กับวรนารี เด็กหนุ่มคงจะไม่มีเวลานั่งเศร้าคิดถึงเผ่าของตัวเองมากนัก

หลังจากทรงฝากฝังเด็กหนุ่มในปกครองไว้กับพระขนิษฐาแล้ว เจ้าชายสามก็เสด็จไปกรม




“เจ้าพี่ไม่ค่อยได้อยู่ที่ตำหนัก แถมยังไม่ทรงเข้มงวด พวกมหาดเล็กก็เลยเหลวไหล ไม่ค่อยทำการทำงาน เสด็จกลับมาทีก็ทำความสะอาดกันทีอย่างนี้แหละ”

เจ้าหญิงวรนารีรับสั่งเล่าขณะทรงบัญชาให้บรรดามหาดเล็กเกือบยี่สิบคนทำนั่นทำนี่ไปด้วย ไทวามองมหาดเล็กทั้งหลายปฏิบัติตามรับสั่งอย่างเอาการเอางานแล้วก็นึกทึ่งในความสามารถของคนสั่งงาน

“พี่น้องจะให้ไทช่วยอะไรไหม ไทอยากช่วย”

“ตกแต่งห้องเจ้าพี่ใหม่ดีไหมล่ะ พี่ว่ามันดูจืดๆ น่าเบื่อเกินไป อ้อ ลืมไป ไทยังไม่เคยเห็นสินะ”

“เห็นแล้วครับ เมื่อคืนนี้ก็นอนด้วยกัน”

“ฮะ อะไรนะ”

“พี่เขยบอกว่าห้องอื่นยังไม่ได้ทำความสะอาด ก็เลยให้นอนด้วยกันก่อน”

คนเล่าเก็บงำรายละเอียดเอาไว้มิดชิด ไม่ยอมกราบทูลว่าเขาขอนอนกอดเจ้าของเตียงด้วย อ้างว่าไม่ชินกับสถานที่ เลยขอกอดเพื่อความอุ่นใจ ‘พี่เขย’ ลังเลนิดหน่อย แล้วก็ยอมให้เขานอนหนุนอกแน่นๆ นั้นอย่างคนใจดี

“อ้อ” เจ้าหญิงพระขนิษฐาทรงพยักพระพักตร์หงึกหงัก พระพักตร์ขาวสะอาดและจิ้มลิ้มพริ้มเพราทำให้ไม่ว่าจะทรงทำกิริยาอะไรก็แลดูน่ารัก “แล้วไทว่าห้องเจ้าพี่เป็นยังไงบ้าง จืดไหม”

“ก็เรียบๆ ดีครับ โล่งๆ ไม่ค่อยมีของตกแต่ง” ที่จริง เขาอยากจะบอกว่าเป็นห้องที่ดูอบอุ่นมากต่างหาก อบอุ่น... เหมือนกับเจ้าของห้อง

“ใช่ไหมล่ะ ต้องตกแต่งใหม่ด่วน”

“ไทว่ารอถามพี่เขยดูก่อนดีกว่า ถ้าพี่น้องตกแต่งเลย พี่เขยไม่ถูกใจ อาจจะถูกโกรธเอานะครับ”

“เจ้าพี่ ’ทัยดีจะตาย ไม่กริ้วหรอก อ้อ ต้องบอกว่าเป็นคนง่ายๆ ยังไงก็ได้มากกว่า”

แต่ก่อนก็เป็นอย่างนั้น แต่เวลาผ่านมานานแล้ว เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ถึงยังไงเรื่องแบบนี้ก็ไม่น่าจะทำโดยพลการ

“รอถามพี่เขยก่อนดีกว่าครับ ไทกลัวพี่เขยไม่ชอบ”

เจ้าหญิงวรนารีทรงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่คำถามหลังจากนั้นไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องแต่งห้อง

“ทำไมไทยังเรียกเจ้าพี่ว่าพี่เขยอยู่อีกล่ะ”

พระองค์ทรงทราบตั้งแต่เมื่อเช้านี้แล้ว ว่าเมื่อสิบปีก่อนพระเชษฐาเสด็จไปที่เผ่าไทวะ ตอนนั้นมีพระชนมายุ 19 พรรษา ถ้าจะทรงอภิเษกสมรสก็ถือว่าอยู่ในช่วงที่เหมาะ ธิดาทั้งสามคนของหัวหน้าเผ่าต่างมีความหวังว่าจะได้เป็นพระชายา วิธีหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงคิดเรื่องอภิเษกสมรสมากขึ้นคือบอกให้น้องชายเพียงคนเดียวเรียกเจ้าชายหนุ่มว่า ‘พี่เขย’ และอ้างว่าเด็กชายเรียกเองโดยไม่มีใครเสี้ยมสอน

“ไทไม่รู้ว่าจะเรียกว่ายังไงครับ เคยเรียกว่าฝ่าบาทแล้ว แต่พี่เขยบอกให้เรียกเหมือนเดิมก็ได้”

“อย่างนั้นหรือ”

ยังทรงสงสัยอยู่หน่อยๆ ว่าทำไมพระเชษฐาถึงทรงยอม แต่ก็ไม่ได้ติดพระทัยซักไซ้ต่อ จึงไม่ทรงทราบว่าที่จริงแล้วเจ้าชายหนุ่มรับสั่งให้เรียกว่า ‘พี่’ เฉยๆ ไม่ใช่ ‘พี่เขย’

“เอาเป็นว่าห้องของเจ้าพี่ยังไม่ต้องตกแต่งก็ได้ ตกแต่งห้องของไทก่อนดีกว่า ไป ไปเลือกห้องกัน”

ก่อนเสด็จไปกรม เจ้าชายอัทธายุรับสั่งบอกคนในปกครองของพระองค์แล้วว่าให้ทำตัวตามสบายเหมือนกับว่าพระตำหนักหลังนี้เป็นของเขาเอง จะเลือกเอาห้องไหนเป็นห้องนอนก็ตามใจ

ไทวาอยากจะทูลถามว่า งั้นเขาขอนอนห้องเดียวกับพระองค์ได้ไหม แต่ก็ไม่กล้าถึงขนาดนั้น จึงเลือกเอาห้องที่อยู่ใกล้กับห้องบรรทมมากที่สุดแทน




เจ้าชายหนุ่มเสด็จกลับมายังพระตำหนักตั้งแต่พระอาทิตย์เลยครึ่งฟ้าไปได้ไม่เท่าไร เพราะทรงห่วงว่าคนที่เพิ่งจากบ้านจากเมืองมาจะยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ภาพที่ทอดพระเนตรเห็นคือคนที่ทรงห่วงกับพระขนิษฐาของพระองค์กำลังละเลงสีบนผนังห้องในพระตำหนักของพระองค์อย่างสนุก ทั้งหน้าทั้งเสื้อผ้าเปื้อนสีเป็นหย่อมๆ กันทั้งคู่

“พี่เขย”

ไทวาดูกลัวๆ อยู่หน่อยๆ คงจะคิดว่าพระองค์อาจจะไม่พอพระทัย แต่พระขนิษฐากลับทูลชวน

“พอดีเลย เจ้าพี่ก็มาช่วยทาสีด้วยสิเพคะ ไทเขาอยากได้ห้องนี้ หญิงเลยให้เขาตกแต่งตามใจชอบ นี่เรากำลังวาดรูปสวนอยู่เพคะ จะได้ดูสดชื่นๆ”

คุณชายหนุ่มยังจ้องมองพระพักตร์อย่างหยั่งพระอารมณ์อยู่ เจ้าชายเจ้ากรมโยธาฯ จึงแย้มพระสรวลประทานให้เป็นเชิงบอกว่าพระองค์ไม่ได้ทรงว่าอะไร สีหน้าของอีกฝ่ายจึงค่อยดูดีขึ้น

“พี่วาดไม่เป็น เธอสองคนสนุกกันตามสบายเถอะ แล้วนี่กินกลางวันกันหรือยัง”

“ได้เวลาแล้วหรือเพคะ”

“เลยเวลามาแล้ว ไม่มีใครมาบอกหญิงหรือ” พระสุรเสียงชักจะไม่ค่อยดี ซึ่งไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก

“หญิงสั่งว่าไม่ให้มารบกวนเองแหละเพคะ”

พระเชษฐาทรงพยักพระพักตร์ แต่หันไปตรัสถามอีกคน

“ไทหิวไหม”

“หิวครับ”

“งั้นก็ไปล้างหน้าล้างมือ จะได้ไปกินข้าวกัน”




“หิวมากล่ะสิ”

คนที่กำลังกินอย่างเพลิดเพลินชะงักทันทีที่ถูกถาม เขารีบเคี้ยวข้าวจนหมดปาก

“ขอโทษครับ ไทกินมูมมาม”

“พี่ไม่ได้ว่า ไทกินน่าอร่อยจนพี่คิดว่าเรากำลังกินอาหารคนละอย่าง”

“นั่นสิเพคะ หญิงก็ว่าเขากินได้ดูน่าอร่อยมาก”

คนได้รับ ‘คำชม’ ยิ้มเขินๆ เผลอยกมือขึ้นถูจมูกไปสองสามครั้งทั้งที่ยังถือช้อนอยู่

“ก็อร่อยจริงๆ นี่ครับ ไทชอบ”

“อร่อยก็กินเยอะๆ”

เจ้าของพระตำหนักรับสั่งแล้วยังทรงตักกับข้าวประทานให้ ไทวาทูลขอบพระทัยเสียงดังฟังชัด แล้วก็ตักถวายทั้งสองพระองค์บ้าง เจ้าชายอัทธายุทอดพระเนตรริมฝีปากกับแก้มกลมๆ ของอีกฝ่ายจนเพลิน แล้วก็พลอยให้รู้สึกเจริญพระกระยาหารเป็นพิเศษ

“ไทชอบกินไก่หรือ”

“ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้า ดันแว่นขึ้น “ไทเป็นตัวกินไก่”

“อะแค่กๆๆๆ”

เจ้าหญิงวรนารีถึงกับทรงสำลัก

“ไทพูดอะไร หยาบคาย”

ขณะเจ้าชายอัทธายุทอดพระเนตรสีหน้าซื่อๆ ดูเหลอหลา ไม่เข้าใจว่าพูดอะไรหยาบคายตรงไหนของอีกฝ่ายแล้วก็ทรงพระสรวล

“นี่คิดเอาเองหรือมีใครบอก”

“คิดอะไรครับ”

“คิดว่าตัวเองเป็นตัวกินไก่”

“คิดเองครับ”

“แล้วเคยบอกใครไหม”

ไทวาส่ายหน้า “แต่คนที่เผ่าก็รู้กันทั้งนั้นว่าไทชอบกิน”

“ชอบกินก็บอกว่าชอบกินสิ” เจ้าหญิงพระขนิษฐารับสั่ง “พูดว่า... อย่างนั้น... ได้ยังไง”

เด็กหนุ่มนิ่วหน้า  ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงพูดไม่ได้

“ตัวกินไก่แปลว่าตัวเหี้ย”

“เจ้าพี่!” พระขนิษฐาทรงแหวสุรเสียงดังลั่น แต่ไทวายังทำหน้างง

“ตัวเหี้ยเป็นยังไงครับ”

เจ้าชายอัทธายุทรงเลิกพระขนง แล้วก็ทรงพระสรวลขำๆ ออกมาอีกรอบ ก่อนจะรับสั่งอธิบายประทานอย่างละเอียด ทำเอาคุณชายหนุ่มหน้าแดงวาบ ต้องหันไปขอประทานอภัยเจ้าหญิงซึ่งพระพักตร์แดงก่ำอย่างเคืองๆ  ฐานที่ทำให้ทรงระคายพระกรรณ

“ร้านหัวมุมถนนที่ทำไก่อบซอสอร่อยๆ นั่นยังขายอยู่ไหมหญิงน้อง”

“น่าจะขายอยู่นะเพคะ อาทิตย์ก่อนหญิงยังใช้ให้นงลักษณ์ไปซื้อมาให้กินอยู่เลย”

“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปกัน พี่จะพาตัวกินไก่ไปกิน”

ไทวาพยักหน้า ยิ้มแป้นอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะนึกขึ้นได้

“พี่เขยยยยยยยยยย! ไทไม่ใช่ตัวเหี้ยยยยยยย”

“ไทวา! พี่บอกว่าอย่าพูดหยาบคาย”

“ข... ขอโทษครับพี่น้อง”

“ฮ่ะๆๆๆๆ”




ช่วงบ่ายเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงถูกพระขนิษฐากักตัวเอาไว้ให้ช่วยตกแต่งห้องให้ผู้อาศัยคนใหม่ ทั้งที่พระองค์รับสั่งบอกเป็นคำรบสองว่าทรงวาดรูปไม่เป็น

“แต่ไทอยากให้พี่เขยวาดให้”

“... รูปต้นหญ้าได้ไหม”

คุณชายแห่งเผ่าไทวะพิจารณารูปวาดที่ยาวตลอดผนังด้านหนึ่งแล้วก็ตัดสินใจ

“พี่เขยวาดรูปปลาได้ไหมครับ ไทอยากได้ปลาในสระตรงนี้”

“ก็... น่าจะพอได้นะ แต่คงไม่สวย รูปสวนของไทจะมีตำหนิเสียเปล่าๆ ให้พี่ช่วยอย่างอื่นไม่ดีหรือ”

“ไม่เป็นไรครับ ไทเอาแค่สองตัวก็พอ จะได้ดูมีชีวิตชีวา” เว้นไปครู่ ก่อนจะเสริม “เอาตัวผู้นะครับ”

“หือ” เจ้าชายหนุ่มทรงทำพระพักตร์ประหลาด “แยกเพศด้วย แล้วพี่จะวาดยังไง” ปกติเพศของปลานี่ดูตรงไหนกันนะ

“วาดยังไงก็ได้ครับ แค่พี่เขยคิดว่ามันเป็นตัวผู้ก็พอ”

อาการมองสบสายพระเนตรแล้วเสหลบไปทางอื่น มอง แล้วก็หลบอีกหนแลดูน่าสงสัย

“ทำไมต้องเป็นตัวผู้ล่ะ” เจ้าหญิงวรนารีตรัสถาม

“ก็... สระน้ำมันเล็ก ถ้าเป็นตัวผู้กับตัวเมียเดี๋ยวมันออกลูกออกหลาน ไม่มีที่ให้ว่าย มันจะอึดอัดครับ”

เจ้าหญิงคนงามทรงพระสรวลคิก “แล้วทำไมไม่เอาตัวเมียสองตัว”

“ท... ไท ชอบตัวผู้” แทบจะกลั้นหายใจตอบกันเลยทีเดียว

เจ้าชายอัทธายุทรงนิ่วพระพักตร์ สะกิดพระทัย อะไรบางอย่างวาบขึ้นมาในพระเศียร แต่ก็ทรงจับเอาไว้ไม่ทัน

“ทำไมถึงชอบตัวผู้”

“ไม่ทราบครับ ก็แค่... ชอบ” คนทูลตอบก้มหน้า ครั้นแว่นตาตกลงมาจากดั้งก็ดันขึ้นไปใหม่แต่ไม่ยอมสบสายพระเนตรตรงๆ

“ไทนี่แปลกจัง” เจ้าหญิงพระขนิษฐาทรงรำพึง ขณะเจ้าชายสามรับสั่งอย่างพระทัยดี

“เอ้า ตัวผู้ก็ตัวผู้ พี่จะพยายามก็แล้วกัน วาดไม่สวยห้ามบ่นทีหลังนะ”

“... เอาตัวเล็กตัวนึง ตัวใหญ่ตัวนึงนะครับ”

สายพระเนตรของเจ้าชายหนุ่มฉายแววสงสัยอีกหน แต่ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไร









tbc.

**********************************************

Phut – ขอบคุณค่ะ หวังว่าจะชอบวันวาน ^^
IsDear – คุณชายรูปร่างสูงใหญ่แห่งเผ่าชุณหะก็ตกเป็นของเจ้าชายรองไปค่ะ (รายนี้เหมาเชลยสองคน)

ออฟไลน์ Phut

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
Re: เวลา : วันวาน (บทนำ) 12 พ.ค.57
«ตอบ #62 เมื่อ13-05-2014 11:25:01 »

 :impress2:

ไทรักพี่เขยสินะ ให้วาดแบบแฝงความนัย :hao3:

ขอให้พี่เขยรู้ตัวไวๆ ลุ้นๆ  :katai2-1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-05-2014 12:02:32 โดย Phut »

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 1) 13 พ.ค.57
«ตอบ #63 เมื่อ13-05-2014 11:50:48 »

น้องไทกับพี่เขย น่ารักดีจัง

ปลาสองตัวนั้น มีนัยสำคัญนะ ตัวกินไก่แอบเจ้าเล่ห์  :laugh:

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 1) 13 พ.ค.57
«ตอบ #64 เมื่อ13-05-2014 12:01:27 »

เด็กน้อยกำลังรุกเจ้าชายรึ

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 1) 13 พ.ค.57
«ตอบ #65 เมื่อ13-05-2014 21:30:41 »

รู้สึกว่าพาร์ทนี้น่าใจใสใสไร้ดราม่ามั้ง?  :mew1:

น้องก็มีใจให้ เหลือแต่คุณพี่เขยว่าจะเปลี่ยนตัวเองเป็นสามีเมื่อไหร่  :m4:

ปอลิง: ตกเป็นของชายรอง อย่าบอกนะว่า 3p แซนวิช  :m10:

ออฟไลน์ poogan_zadd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 1) 13 พ.ค.57
«ตอบ #66 เมื่อ14-05-2014 03:30:42 »

กรีดร้องงงงงค่าาาาา
ไม่ได้เข้าบอร์ดนาน อัพวันวานแล้วหรือนี่
ตอนนี้เม้นท์แค่ของภีมเสนกับศวัสก่อนนะคะ คือกรี๊ดมากกก
ตอนแรกแอบตกใจว่าผู้เขียนจะเล่นงี้เลยอ่อ TT พออ่านตอนจบแล้วรู้สึกแฮปปี้ขึ้นมาเลยค่ะ
พอเรื่องมันเฉลยบรรยากาศอึดอัดก็บรรเทาลง อร๊าย ชอบมาก

อื้อหือ ความหมายชื่อเป็นแบบนี้เองเหรอคะ เลยชักอยากรู้ชื่อของคู่อื่นๆด้วยเหมือนกัน

อ่านต่อไปค่าาา

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 1) 13 พ.ค.57
«ตอบ #67 เมื่อ16-05-2014 14:43:06 »

เข้ามาเจอพรุ่งนี้จบแล้วแอบเครียดก่อนอ่าน คิดว่าภีมเสนจะตาย ไม่งั้นได้กรีดร้องแน่ๆ

ส่วนพี่เขยกับตัวกินไก่ :katai2-1:น่ารักดีค่ะ คงไม่หน่วงใช่ไหม  :katai2-1:

ออฟไลน์ ชุน

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-1
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 2) 18 พ.ค.57
«ตอบ #68 เมื่อ18-05-2014 09:33:53 »

วันวาน... สู่นิรันดร์
บทที่ ๒


พระตำหนักหลังใหญ่ไม่สามารถทำความสะอาดให้เสร็จได้ภายในวันเดียว แต่ห้องสำคัญๆ ที่ต้องใช้บ่อยๆ ได้รับการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ห้องที่ไทวาเลือกเป็นห้องนอนยังตกแต่งไม่เสร็จทั้งยังมีแต่กลิ่นสี คืนนี้เด็กหนุ่มจึงขอนอนห้องเดียวกับเจ้าของพระตำหนักอีกคืนหนึ่ง

“ถ้าพี่เขยอึดอัด เดี๋ยวไทนอนข้างล่างก็ได้ครับ”

“นอนข้างบนด้วยกันนั่นแหละ เตียงพี่ออกกว้าง ไทก็ไม่ได้นอนดิ้นไม่ใช่หรือ”

“ไม่ดิ้นครับ! ไทไม่นอนดิ้น” คนตอบกระตือรือร้น เสียงดัง ทั้งดวงตายังเป็นประกาย

เจ้าชายหนุ่มทอดพระเนตรเห็นแล้วก็แย้มพระสรวลเอ็นดู นึกอยู่ในพระทัยว่าดูท่าอีกฝ่ายจะกลัวการนอนคนเดียวหรือไม่ก็กลัวผีเสียละกระมัง ถึงได้ดูดีอกดีใจถึงเพียงนี้

“นอนไม่หลับหรือ”

คนที่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายพลิกตัวกลับไปกลับมาหลายครั้งแล้วตรัสถามขึ้นในความมืด

“ขอโทษครับ!” คนร่วมเตียงเผลอตอบเสียงดัง “ไททำให้พี่เขยนอนไม่หลับรึเปล่า”

“ก็มีส่วน”

“ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไร ไทยังไม่ง่วงหรือไม่สบายใจเรื่องอะไร”

คนนอนใจเต้นแรงอยู่นานแล้วลังเล แล้วก็ตัดสินใจทูลถามเบาๆ

“ไท... นอนกอดพี่เขยอีกได้ไหม”

“หนาวหรือ” ปกติอากาศแบบนี้พระองค์ไม่ทรงห่มผ้าด้วยซ้ำไป

“เปล่าครับ ไท... คิดถึงบ้าน” โกหกคำโตไปเสียแล้ว

“งั้นก็มานี่มา”

อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ขยับแข้งขยับขากอดก่ายหมับราวกับพระองค์ทรงเป็นหมอนข้าง ทั้งยังซุกหน้าลงบนพระอุระของพระองค์อีก เจ้าชายอัทธายุทรงพระสรวลเบาๆ แม้จะทรงรู้สึกประหลาดๆ อยู่บ้าง ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีใครกล้านอนกอดก่ายพระองค์เอาตามใจชอบอย่างนี้มาก่อน แปลกที่พระองค์ไม่ได้ทรงขัดเคืองพระทัยที่เด็กหนุ่มที่จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับพระองค์เลยถือวิสาสะถึงขนาดนี้

“อย่าคิดมาก คิดเสียว่าบ้านพี่ก็เหมือนบ้านไท ถ้าคิดถึงก็เขียนจดหมายไปหาบ้าง”

“ได้หรือครับ”

“ได้ แต่พี่ต้องขอตรวจสอบจดหมายของไทก่อน ไม่ใช่ไม่เชื่อใจ แต่มันเป็นขั้นตอน”

“ไทเข้าใจครับ”

“ไท” เจ้าชายหนุ่มทรงมุ่นพระขนง ครั้นอีกฝ่ายขานรับว่าครับ พระองค์ก็ตรัสถามตามตรง “ทำไมใจเต้นแรงจริง”

คนในอ้อมพระพาหาดูเหมือนจะสะดุ้งเฮือก น้ำเสียงที่ทูลตอบละล่ำละลักผิดปกติ

“ท... ไทดีใจ”

“อ้อ” ถึงจะทรงตอบรับราวกับเข้าพระทัย แต่ความจริงกลับยังไม่ทรงหายสงสัย “อยากได้อะไร อยากทำอะไร หรืออยากไปไหนก็บอกพี่หรือบอกหญิงน้องก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจ ส่วนมหาดเล็กที่นี่ไทก็ใช้ได้ทุกคน พวกเขาจะรับคำสั่งจากไทเหมือนรับคำสั่งจากพี่ จำชื่อได้หมดทุกคนรึยัง”

“จำได้ครับ”

น้ำเสียงที่ฟังดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษทำให้คนฟังทรงเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายอยากจะอวดเต็มที่ จึงตรัสถามอย่างเอาใจเด็กหนุ่ม

“ชื่ออะไรบ้าง”

“มีสิบสองคน ชื่อวิวัฒน์จัดสวน สมควรเลี้ยงไก่ ไผทว่องไว ธงชัยมีเขี้ยว เขียวผมบาง หูกางสมนึก ถึกไว้หนวด ขวดจมูกโด่ง โย่งตัวใหญ่ วินธัยไฝยักษ์ จักรปลูกผัก แล้วก็ศักดาฆ่าปลวกครับ”

“หึหึ” คนฟังเกือบจะทรงหลุดขำตั้งแต่เด็กหนุ่มยังพูดไม่จบ แต่ก็อุตส่าห์ทรงรอจนอีกฝ่ายรายงานครบถ้วนจึงทรงพระสรวลพระสุรเสียงดัง

“ฮ่ะๆๆๆๆ”

“ไม่ตลกสักหน่อย ก็ไทจำไม่ได้เลยต้องหาวิธีให้จำได้ง่ายๆ พี่เขยหัวเราะเยาะไททำไม” เสียงหัวเราะห้าวๆ ที่ดังอยู่เหนือหัวนี่ไม่ว่าฟังเมื่อไร เขาก็รู้สึกว่าอกใจเต้นแรงทุกครั้ง อกอุ่นๆ แน่นๆ ที่สั่นไหวอยู่ใต้ฝ่ามือก็ให้ความรู้สึกดีเสียจนอยากจะซุกหน้าลงไปแนบแล้วสูดกลิ่นให้ลึกๆ

“ไม่ได้หัวเราะเยาะ แต่ตั้งชื่อใหม่ให้แบบนี้เจ้าของชื่อเขารู้รึเปล่า”

“รู้ครับ”

“อืม หึหึ”

หลังจากเสียงสรวลแผ่วหายไปก็ไม่มีเสียงใครพูดอะไรขึ้นมาอีก ไม่นาน ลมหายพระทัยของเจ้าชายหนุ่มก็เข้าออกอย่างสม่ำเสมอ แต่คนที่ยังตื่นเต้นอยู่ไม่หายกลับยังไม่ง่วงเลยแม้แต่น้อย รออีกพักใหญ่จึงกลั้นหายใจทูลเรียกเบาๆ

“พี่เขยครับ”

เงียบ ไม่มีเสียงตอบ แสดงว่าบรรทมหลับไปแล้ว

“ไทคิดถึงพี่เขย”

“คิดถึงทำไม พี่ก็อยู่ที่นี่”

เฮือก!

คนสะท้านขึ้นทั้งตัวผงะออกอย่างตกใจ แต่เจ้าของท่อนพระพาหาใหญ่กำยำกอดกระชับเอาไว้ ไทวากลอกตาลอกแลกอยู่ในความมืด ใจเต้นไม่เป็นส่ำ

... คิดว่าหลับไปแล้วเสียอีก ดีที่อีกฝ่ายไม่ได้รับสั่งคาดคั้นเอาคำตอบจริงจัง...







“เจ้าพี่น่ะทรงบ้างานจะตาย หายากนะเนี่ยที่จะทรงหยุดงานแล้วพาใครออกมาเที่ยว”

รับสั่งของเจ้าหญิงวรนารีทำเอาคุณชายแห่งเผ่าไทวะรู้สึกหัวใจพองฟูขึ้นมา ตลาดใหญ่กลางเมืองหลวงของเรืองอรุณพลันน่าเดินเล่นขึ้นมาอีกอักโข ถึงแม้ว่าสายตาของหญิงสาวมากหน้าหลายตาที่มองมาทางเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณจะทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลยก็เถอะ

“อยากได้อะไรก็ดูๆ ไว้ก่อน อย่าเพิ่งซื้อ เอาไว้ซื้อตอนขากลับ”

รับสั่งบอกทั้งพระขนิษฐาและ ‘น้องเขย’ แล้วก็แย้มพระสรวลตอบหญิงสาวนางหนึ่งที่เดินสวนกันและส่งยิ้มมาให้ ไทวามองตามแล้วเผลอยู่ปาก

“ไทเป็นอะไร”

เจ้าหญิงคนงามซึ่งอยู่ในฉลองพระองค์แบบหญิงสาวชาวบ้านตรัสถาม และเจ้าของวรองค์สูงใหญ่ที่ดำเนินนำหน้าก็ทรงหันพระพักตร์กลับมามอง

“เปล่าครับ”

เด็กหนุ่มดันแว่นขึ้น พลางคิดว่าเขาควรจะเก็บความรู้สึกไว้ให้มิดชิดกว่านี้







“จุดธูปเทียนบูชา ถวายดอกไม้ไหว้พระก่อนจะได้เป็นสิริมงคล พระท่านจะได้คุ้มครองให้ไทอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข”

เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรง ‘ธรรมะธัมโม’ ผิดจากรูปลักษณ์ภายนอก คนที่ออกความคิดว่าการออกมาเที่ยววันนี้ควรเริ่มต้นที่วัดหลวงก็คือพระองค์ วันนี้ไม่ใช่วันพระ คนที่มากราบพระในโบสถ์จึงมีเพียงประปราย เจ้าชายหนุ่มทรงจุดธูปประทานให้ทั้งพระขนิษฐาและ ‘น้องเขย’ 

“ไม่ต้องขอเยอะ เดี๋ยวพระท่านจะจำไม่หมด”

ไทวาพนมมือสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย เด็กหนุ่มหลับตา นึกเรื่องที่อยากจะขอ แต่แล้วก็หรี่ตาขึ้นนิดๆ มองไปทางเจ้าของพระพักตร์ที่มีหนวดเคราเขียวครึ้มอยู่รอบคาง เผลอจ้องพระโอษฐ์หยักสวยงดงามใต้ไรหนวดอย่างลืมตัว แล้วก็ต้องรีบหลับตาหันหน้าตรงเมื่ออีกฝ่ายทรงลืมพระเนตรขึ้น

เขาขอสิ่งที่ต้องการมากที่สุดไปหนึ่งอย่าง

“อธิษฐานนานเชียว ต้องขอหลายอย่างแน่ๆ” เจ้าหญิงวรนารีทรงเดา หลังจากเขานำธูปไปปักในกระถางและก้มลงกราบพระอีกครั้งเรียบร้อยแล้ว

“ขออย่างเดียวเองครับ”

“ขออะไร” สีพระพักตร์ของเจ้าหญิงคนงามบอกความอยากรู้อย่างเปิดเผย

ไทวาหน้าแดง เม้มปาก

“แค่นี้ก็บอกไม่ได้หรือ”

“ไทกลัวคำอธิษฐานไม่เป็นจริง”

“ไม่บอกพี่ก็รู้ หน้าแดงอย่างนี้ต้องขอเรื่องผู้หญิงแน่” เจ้าหญิงพระขนิษฐารับสั่งอย่างมั่นพระทัย “คิดถึงคู่หมั้นล่ะสิ   สวยไหม      ท่านหญิงแห่งอันธกาล”

คนถูกถามเผลอหันขวับไปมองพระพักตร์เจ้าชายสามอย่างร้อนรน ขยับปากจะแก้ตัวว่าเขาไม่ได้คิดถึงนางเลย ก่อนมาก็ได้บอกด้วยวาจาไปแล้วว่าขอให้เป็นอิสระต่อกัน หากนางพบรักกับใครก็แต่งงานได้เลยโดยไม่ต้องห่วงว่ายังหมั้นหมายอยู่กับเขา แต่พอเห็นรอยแย้มพระสรวลราวจะสัพยอกหยอกแซวของเจ้าชายหนุ่ม ใจเขาก็พลันฝ่อลง

จะแก้ตัวทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย เป็น ‘พี่เขย’ จริงๆ หรือก็ไม่ใช่

“หญิงอย่าแซวเขามาก ปกติเขาไม่ถามกันไม่ใช่หรือ ว่าอธิษฐานอะไร”

“งั้นหญิงถามเจ้าพี่ เอ๊ย... พี่ธายก็ได้ อธิษฐานว่าอะไรหรือคะ” อยู่นอกวัง พระองค์จึงไม่รับสั่งคำราชาศัพท์

“พี่ขอให้ไทอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข”

คุณชายเชลยจ้องมองพระพักตร์ด้วยหัวใจปั่นป่วน ครั้นอีกฝ่ายแย้มพระสรวลอย่างคนใจดีมาให้ ความซาบซึ้งตื้นตันก็แผ่ลามไปทั่วทั้งอก

“ขอบคุณครับ พี่เขย”

“พระประธานที่นี่ท่านศักดิ์สิทธิ์ ไทจะต้องมีความสุขแน่”

หัวใจของคนฟังเต้นแรงขึ้นอย่างมีความหวัง ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ หรือ ถ้าอย่างนั้น เขาก็พอจะมีหวังสินะ

... ขอให้พี่เขยรักไท... เหมือนที่ไทรักพี่เขยด้วยเถิด...

“เสี่ยงเซียมซีกันไท”

เจ้าหญิงคนงามทรงชวน ไทวาหันมองพระพักตร์ของเจ้าชายสาม ครั้นอีกฝ่ายทรงพยักพระพักตร์ให้เป็นเชิงบอกว่าตามใจ เขาก็เข้าไปนั่งคุกเข่าใกล้ๆ เจ้าหญิงวรนารี แล้วเขย่ากระบอกใส่ติ้วไม้พร้อมๆ กับพระองค์

“พี่ได้เลขห้า ไทได้เลขอะไร”

“เลขสามครับ”

“ไปดูคำทำนายกัน”

เจ้าหญิงทรงดึงกระดาษบอกคำทำนายมาสองใบ อ่านใบเลขห้าของพระองค์จบแล้วก็แย้มพระสรวลพระพักตร์บาน

“หญิงจะสมหวังด้วยล่ะค่ะ พี่ธาย ดีใจจริงๆ อย่างนี้คำอธิษฐานของหญิงต้องเป็นจริงแน่”

“พี่น้องอธิษฐานว่าอะไรครับ”

“แหมทีนี้ล่ะมาถามพี่ ทีพี่ถามล่ะไม่ยอมบอก” ถึงจะทรงบ่น แต่ดูก็รู้ว่าไม่ได้ทรงจริงจัง “พี่ขอให้ได้พี่สะใภ้ภายในปีนี้จ้า อยากให้พี่ธายแต่งงาน จะได้อยู่ติดตำหนัก เลิกเอาแต่เสด็จโน่นนี่ทั้งปีเสียที”

‘พี่ธาย’ เพียงแต่แย้มพระสรวลแล้วก็สั่นพระเศียรนิดๆ เป็นเชิงเอ็นดู ขณะที่ไทวาหุบยิ้ม หน้าซีด

“เป็นอะไรรึเปล่า ไท” เจ้าชายอัทธายุทรงเป็นห่วง

“ปะ... เปล่าครับ ไท... ไทแค่อยากรู้ของตัวเองบ้าง”

“ของไทมีว่าอย่างนี้จ้ะ พี่อ่านให้ฟังนะ ใบที่สามทายว่ามีทั้งดีร้าย จะวุ่นวายภายในจิตคิดสับสน ตกอยู่ในแดนศัตรูต้องทุกข์ทน แต่มีคนอุปถัมภ์ช่วยค้ำจุน เดชะบุญทำไว้ในอดีต จะช่วยขีดดวงชะตาให้ร้ายหาย ความเป็นอยู่ทั้งปวงสุขสบาย จะคลี่คลายความกังวลที่ทนมา อนาคตทายว่าจะสดใส ปราศโรคภัยอายุยืนเป็นสุขศรี ถ้าสามารถลืมอดีตที่เคยมี จะโชคดีมีสุขทุกวันวาร”

“ไม่เอา! ไทไม่ลืม! พี่เขย ไทไม่ลืมพี่เขยเด็ดขาด”

ทั้งเจ้าชายอัทธายุและเจ้าหญิงวรนารีต่างทรงนิ่งอึ้งไป ไทวารู้ตัวว่าเผลอแสดงอาการที่ไม่สมควรออกไป แต่ใจเขาพลุ่งพล่านจนไม่มีอารมณ์จะคิดหาคำพูดกลบเกลื่อน ได้แต่มองพระพักตร์ของเจ้าชายหนุ่มด้วยสีหน้าและสายตาเว้าวอนจนน่าสงสาร

“ไทหมายความว่ายังไง” เจ้าหญิงพระขนิษฐาตรัสถาม ไทวาหันไปมองพระพักตร์

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร”

“เกี่ยวกับพี่หรือ”

“... เปล่าครับ ไม่เกี่ยวกับพี่เขย” จะให้เขาพูดที่นี่ ตอนนี้น่ะหรือ ไม่ ยังไงก็ไม่ได้

“ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว แต่ถ้าอยากพูด อยากบอก หรืออยากให้พี่ช่วยอะไรก็อย่าเกรงใจ อย่าคิดว่าเป็นคนอื่น ไทก็เหมือนน้องชายคนหนึ่งของพี่”

คุณชายหนุ่มมองพระพักตร์ของคนที่ยิ้มนิดๆ มาให้อย่างคนใจดี แล้วก็นึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาเป็นกำลัง

... เขาไม่ได้อยากจะเป็นแค่น้องชาย...







“ไม่อร่อยรึไง ตัวกินไก่”

คนถูกแซวเหลือบตาขึ้นมองทั้งที่ไก่ยังคาปาก เขาหน้าบึ้ง ทั้งเคือง ทั้งน้อยใจ ทั้งหมดอาลัยตายอยากปนเปกันไปหมด

“โกรธหรือ”

ไทวาส่ายหน้า ยังคงนั่งแทะไก่ต่อไป

“กินเลอะเทอะไปหมดแล้ว”

ประกอบรับสั่งคือการยื่นพระหัตถ์มาเช็ดคราบมันๆ ที่ข้างแก้มประทานให้ ไทวาแทบจะอ้าปากคายไก่ออกมาด้วยความตกตะลึง นั่งอึ้ง มือสั่น ปากสั่น น้ำลายยังเต็มปาก ขณะปล่อยให้น้ำตาร่วงพรู

“เฮ้ย! เป็นอะไร” เจ้าชายหนุ่มถึงกับทรงอุทาน แต่คนถูกถามยังคงหลับหูหลับตาร้องไห้พลางส่ายหน้า ลูกค้าที่นั่งอยู่โต๊ะข้างเคียงเริ่มมองมาอย่างสนใจกึ่งสงสัย เจ้าหญิงวรนารีเองก็ทรงงง

“ไท เป็นอะไร กระดูกไก่ติดคอรึเปล่า”

“ฮึก... ฮื้อ...”

คุณชายหนุ่มอยากจะขำก็ขำไม่ออก อยากจะโวยวายก็ไม่ได้ ได้แต่ใช้หลังมือเช็ดน้ำตา

“เอ้า เอาเข้าไป ไม่ต้องเช็ด อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวพี่เช็ดให้ หญิงน้องมีผ้าเช็ดหน้าไหม”

เจ้าหญิงพระขนิษฐาถวายซับพระพักตร์ผืนงามละเอียด  เจ้าชายเจ้ากรมฯ ทรงรับไปแล้วก็เช็ดหน้าเช็ดตาให้คนชอบกินไก่แต่อมไว้ไม่ยอมเคี้ยว

“หยุดร้องก่อน ไท เดี๋ยวไก่ติดคอ เคี้ยวให้หมดแล้วเดี๋ยวค่อยพูดกัน”

ถึงจะต้องใช้เวลาอยู่บ้าง แต่ในที่สุดเด็กหนุ่มก็หยุดร้องไห้  เจ้าหญิงวรนารีที่ทรงสรุปเอาเองไปแล้วว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอะไรยังรับสั่งอย่างช่างสังเกต

“พอถอดแว่นแล้วไทดูหน้าตาน่ารักขึ้นเป็นกองเลยนะ”

คนได้รับคำชมหน้าแดง เคี้ยวไก่จนหมดปากแล้วจึงแย้งเสียงเบา

“พี่เขยบอกว่าไทหล่อ”

เจ้าหญิงคนงามทรงหันไปทางพระเชษฐาที่ประทับฝั่งตรงข้ามเป็นเชิงทูลถาม ทว่าเจ้าชายอัทธายุไม่ได้รับสั่งตอบ

“บอกได้รึยังว่าร้องไห้ทำไม”

ไทวาลังเล นิดหน่อย แทนที่จะตอบกลับทูลถาม

“พี่เขยใจดีแบบนี้กับทุกคนเลยหรือครับ”

“ก็ใช่น่ะสิ” คนตรัสตอบคือเจ้าหญิงวรนารี “นี่อย่าบอกนะว่าไทร้องไห้เพราะว่าเจ้าพี่ เอ่อ พี่ธายใจดีด้วย ถ้าอย่างนั้นก็ล่ะร้องไห้เสียน้ำตาเปล่าแล้วล่ะ เห็นพักตร์ เอ๊ย หน้าเถื่อนๆ แบบนี้แต่เป็นคนใจดีที่หนึ่ง กับใครก็ใจดีกับเขาไปทั่ว เสด็จ... เอ๊ย ไปที่ไหนเมืองอะไรก็มีแต่ผู้หญิงหลงความใจดีของท่าน แต่ไม่ยักกะเห็นท่านหลงรักผู้หญิงคนไหนเสียที พี่ล่ะลุ้นแล้วลุ้นอีก”

ยิ่งฟัง ไทวายิ่งรู้สึกห่อเหี่ยว แต่ก็ยังมีกำลังใจอยู่บ้างที่รู้ว่าตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมา ช่วงเวลาที่เขากำลังเติบโตเพื่อที่จะไม่ได้เป็นแค่ ‘เด็ก’ อีกต่อไปนั้น เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณยังไม่ทรงมีใคร

“ทำไมพี่เขยถึงยังไม่แต่งงานล่ะครับ”

คนที่กลับไปใส่แว่นเหมือนเดิมแล้วถามอย่างไม่ปกปิดความกระตือรือร้น

“ยังอกหักจากพี่สาวของไทอยู่”

ไทวาเบิกตากว้าง ครั้นเจ้าของพระพักตร์หล่อเหลาแบบดิบๆ ทรงกระตุกมุมพระโอษฐ์ขึ้นนิดหนึ่ง เด็กหนุ่มก็แทบจะร้องโธ่ออกมาด้วยความโล่งใจ

“พี่เขย!” เขาเกือบจะหัวใจวายตายอยู่แล้ว

“ฮ่ะๆๆๆๆ”

“บอกหน่อยสิครับว่าทำไม ไทอยากรู้”

“ที่นี่น่ะหรือ”

ในร้านอาหารที่มีผู้คนพลุกพล่าน โต๊ะข้างๆ มีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด เด็กยกอาหารเดินไปเดินมาแทบไม่ขาดระยะ... ไทวาพยักหน้าหงึกหงัก ดวงตากลมโตที่ยังไม่หายแดงทอประกายเจิดจ้า สายพระเนตรของเจ้าชายหนุ่มฉายแววเอ็นดู แล้วก็ตรัสตอบง่ายๆ

“พี่ยังไม่รักใคร พี่รักงาน”

“ทำไมถึงไม่รักล่ะครับ พี่เขยไม่เคยเจอผู้หญิงแบบที่ชอบหรือ พี่เขยชอบผู้หญิงแบบไหน” แล้วผู้ชายล่ะ คิดจะชอบผู้ชายบ้างรึเปล่า รูปร่างหน้าตาแบบไทพอจะเข้าตาพี่เขยบ้างไหม

เจ้าชายอัทธายุทรงพระสรวลเบาๆ “นี่รับสินบนจากหญิงน้องมาใช่ไหม”

“พี่ธายอย่าใส่ความหญิงสิคะ ไทเขาถามของเขาเองต่างหาก ไม่เกี่ยวกับหญิงสักหน่อย”

พระขนิษฐาพระพักตร์ง้ำ ขณะไทวาพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงสนับสนุน

“ไม่เคยคิดสักทีว่าชอบแบบไหน คิดแต่ว่าถ้าวันหนึ่งชอบผู้หญิงคนไหนขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะรู้เอง” ปรายสายพระเนตรไปทางพระขนิษฐาแล้วก็รับสั่งต่อเป็นเชิงล้อๆ ว่า “สงสัยกำลังรอคอยนางฟ้าที่สวรรค์ส่งลงมาเกิดอย่างที่หญิงว่า”

ไทวาใจฝ่อ นางฟ้าหรือ... ทำยังไงดี อย่างเขาคงจะเป็นไม่ได้

“รีบกินเข้าเถอะ อย่ามัวแต่คุย ชอบไม่ใช่หรือ หือ ตัวกินไก่”

หึ อย่างเขา... ก็คงจะเป็นได้แค่ตัวกินไก่ในสายตาของพี่เขยเท่านั้นเอง

เด็กหนุ่มจิ้มปีกไก่ทอดในจานมาแทะแก้เครียด






tbc.

******************************************************

Phut – รักมานานหลายปีแล้วค่ะ ส่วนพี่เขยก็ฉลาดอยู่นะคะ ตอนนี้ก็เริ่มสงสัยล่ะ

Sar2288 – พี่เขยวาดปลาให้แบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ กว่าจะรู้ความนัยก็... คงสักพักล่ะค่ะ

iforgive – รุกค่ะ แต่ก็ไม่มากมาย ออกแนวเปิดเผยความรู้สึกตัวเอง แต่พออีกฝ่ายทำท่าจะสงสัยก็พยายามปกปิด กึ่งกล้ากึ่งกลัวน่ะค่ะ

อ๊ายอาย – ไม่จบเศร้าหรอกค่ะ (อยากอยู่ แต่ยังไม่กล้า) ภีมเสน... ถึงจะมีเหตุผลอื่น แต่หื่นก็เป็นเหตุผลหลักอยู่นะคะ  :o8: ส่วนไทน่ะพลาดไปแล้วค่ะ ตอนนี้ ตัวกินไก่ กลายเป็นชื่อเล่นไปซะแล้ว วันวานสดใสกว่าพรุ่งนี้ค่ะ ดราม่ามั้ย ก็... อืม ไทวาอาจจะเสียน้ำตานิดหน่อย แต่ก็จะผ่านอารมณ์นั้นไปอย่างรวดเร็วค่ะ... คิดว่า  ขอบคุณสำหรับดอกไม้นะคะ  :pig4:

IsDear – ใสๆ ค่ะ น่าจะดราม่ากระจิ๊ดเดียวตอนท้าย (แบบไทวาคิดไปเอง... ประมาณนั้น) จากพี่เขยเป็นสามีนี่จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก คือธายเขาไม่มีคนอื่น แต่ก็รักใครยากอยู่เหมือนกัน ส่วนเจ้าชายรอง... ไม่นิยมเสวยแซนด์วิชนะคะ ครั้งละคนค่ะ (แต่อาจจะไม่ใช่คนละครั้ง) มีตัวจริงอยู่ค่ะ (แต่ดอกไม้รายทางเพียบ)

poogan_zadd – เรื่องชื่อ จริงๆ กะให้มีความหมายเป็นพิเศษแค่ ศวัส คนเดียวค่ะ คนอื่นๆ ก็อาจจะบังเอิญตรงลักษณะบ้าง ไม่ตรงบ้าง อย่าง ไทวา แปลว่า ฟ้า, สวรรค์ (แต่เขาก็บอกอยู่ว่าตัวเองไม่ใช่นางฟ้า) ส่วนอัทธายุ แปลว่า... ชั่วชีวิต

Snowermyhae – อารมณ์ของวันวานก็จะเป็นอย่างตอนนี้แหละค่ะ คิดว่าใสๆ นะคะ ถ้าจะหน่วงก็แบบ... ไม่หนักน่ะค่ะ ไทวาอาจจะเครียดบ้างนิดหน่อย แต่คิดว่าคนอ่านคงไม่เครียดตามค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2014 09:41:37 โดย ชุน »

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 2) 18 พ.ค.57
«ตอบ #69 เมื่อ18-05-2014 11:13:04 »

คุณชายแห่งเรืองอรุณนี่น่าจะโคลนนิ่งไว้แจกสาว ๆ บ้างนะคะ
องค์ชายใหญ่ก็น่า  องค์ชายสามก็ใช่  องค์ชายสองก็โดน
อยากได้ ขอครั้งละคน คนละหลายครั้งก็ได้ค่ะ แอร๊ยยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 2) 18 พ.ค.57
« ตอบ #69 เมื่อ: 18-05-2014 11:13:04 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 2) 18 พ.ค.57
«ตอบ #70 เมื่อ18-05-2014 11:43:56 »

ไทวาให้อารมณ์เด็กน้อยน่ารักมากเลย

ถ้าเจ้าชายสามจะรัก ก็คงเพราะความเดียงสาแบบเด็กๆขี้อ้อนนี่แหล่ะ

ไทวาเอ้ยหมั่นกอดหมั่นอ้อนเข้าลูก เด๋วเจ้าชายสามก็เคลิ้มเสร็จตัวกินไก่ลากลงน้ำไปเอง :laugh:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 2) 18 พ.ค.57
«ตอบ #71 เมื่อ18-05-2014 14:06:46 »

พี่เขยต้องสงสัยบ้างแหล่ะไทหลุดออกมาขนาดนี้ สงสารไท ตอนนี้ก็เป็นแค่ตัวกินไก่ไปก่อนนะ อนาคตคงได้เป็นนางฟ้าของพี่เขย  :katai2-1:

ออฟไลน์ Phut

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 2) 18 พ.ค.57
«ตอบ #72 เมื่อ18-05-2014 14:36:01 »

ไท น่ารัก รู้ใจตัวเองดีมาก ไม่อึนไม่มึน

ชอบตอนที่กอดพี่เขยแล้วพี่เขยถามว่าทำไมใจเต้นแรง อ่านแล้วเขินอ่ะ :-[
รู้จักหาโอกาสดีมากลูก

อยากอ่านต่อแย้วววววววว :hao7:

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 2) 18 พ.ค.57
«ตอบ #73 เมื่อ18-05-2014 23:25:12 »

ตัวกินไก่ก็ปิดท้ายได้ฮาซะงั้น  :laugh:

ออฟไลน์ ชุน

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-1
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
«ตอบ #74 เมื่อ25-05-2014 02:48:20 »

วันวาน... สู่นิรันดร์
บทที่ ๓


“ปลาพี่เขย ปลาพี่เขยชอบปลาไทบ้างไหม ที่ยังไม่ได้แต่งงานเพราะรอให้ปลาไทโตก่อนใช่รึเปล่า”

“ใช่แล้ว ปลาไท ปลาพี่เขยชอบปลาไทมาก ปลาไทน่ารัก”

“น่ารักตรงไหนอ่า ปลาไทอ้วนนะ”

“ไม่อ้วนๆ ปลาไทแค่อวบๆ เอง ปลาไทต้องกินเยอะๆ พี่ชอบคนกินเยอะๆ”

“พี่เขยจะได้กอดแล้วอุ่นใช่ไหม”

“ใช่ ปลาพี่เขยชอบนอนกอดปลาไท นอนกอดตัวกินไก่แล้วอุ่นที่สุดเลย”

“แล้วทำไมพี่เขยไม่ให้ไทนอนด้วยอีกแล้วล่ะ ทำไมถึงไล่ไทมานอนห้องนี้”

“... เฮ้อ...”

คนจิ้มๆ ปลารูปร่างประหลาดบนผนังห้องแล้วพูดเองเออเองเป็นวรรคเป็นเวรถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาบนพื้นที่มีพรมผืนหนาปูรองไว้อย่างดี คว้าหมอนใบใหญ่มากอด ซุกหน้าแล้วส่ายไปส่ายมาอย่างเบื่อๆ อยู่พักใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจอีกรอบ แล้วเหล่ตาไปมองปลาตัวใหญ่บนผนังอย่างตัดพ้อ

นอนไม่หลับ ไม่รู้สึกง่วงด้วย อยากไปเคาะประตูขอนอนด้วยแต่ก็ไม่กล้า กลัวว่าอีกฝ่ายจะหลับไปแล้วและเขาจะไปรบกวน ทว่าหลังจากกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่หลายรอบแล้วก็ยังไม่ง่วง จึงตัดสินใจว่าจะออกไปเดินเล่น






“ปลาพี่เขย!”

เจ้าชายอัทธายุทรงชะงัก หันไปทอดพระเนตรคนที่เพิ่งออกมาจากห้องใกล้ๆ ขมวดพระขนงหน่อยๆ เมื่อทรงดำริว่าอาจจะฟังผิด

“ยังไม่นอนอีกหรือ”

“ปลาไท เอ๊ย! ไทนอนไม่หลับครับ ปลาพี่เขย เอ๊ย! พี่เขยล่ะครับ ไปไหนมา”

“พี่ทำงานอยู่ เห็นดึกแล้วเลยจะกลับมานอน นี่จะไปไหน มาหาพี่รึเปล่า”

“ไทว่าจะออกไปเดินเล่นครับ”

“ที่ไหน ในสวน”

“ครับ”

“ไปคนเดียวไม่กลัวผีหรือ”

“ม... มีด้วยหรือครับ”

“ฮ่ะๆๆ” เด็กคนนี้น่าแกล้งดีจริงๆ “โตแล้วยังกลัวผีอยู่อีก ไม่มีหรอก พี่ล้อเล่น เข้าไปนอนเถอะ ดึกแล้ว”

คุณชายแห่งไทวะเม้มปากนิดหนึ่งอย่างชั่งใจ

“ไทขอไปนอนกับพี่เขยได้รึเปล่า”

เจ้าชายอัทธายุทรงเลิกพระขนง “แล้วทำไมไม่นอนห้องตัวเอง”

“ไทนอนไม่หลับ ไทอยากนอนกอดพี่เขย” อายสุดๆ ไปเลย แต่ก็อยากจะลองเสี่ยงดู

“เป็นเด็กติดพี่รึไง” ไทวาหน้าม่อย “เอ้า จะนอนก็มา”

“ด... ได้เหรอครับ”

“ช้าเดี๋ยวพี่เปลี่ยนใจนะ”

“ป... ไปแล้วครับ ไชโย้! ไทรักพี่เขยที่สุดเลย”

คนสมใจยิ้มแป้น รีบวิ่งกึ่งกระโดดเข้าไปหา เจ้าชายอัทธายุทรงพระสรวลอย่างเอ็นดู

คืนนั้น เด็กหนุ่มผิวขาวตัวอวบนุ่มนอนละเมอ เป็นชื่อปลาอะไรสักอย่าง กับอีกประโยคหนึ่งที่เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงได้ยินชัดเจน

“ไทรักพี่เขย รักพี่เขยที่สุด”

คนฟังแย้มพระสรวลพลางส่ายพระพักตร์

“ไทวา เจ้าเด็กขี้ประจบ”

“พี่เขยรักไทนะ... ฮึก... รักไท... อย่าแต่งงานกับใครนะ...”

รอยแย้มพระสรวลเอ็นดูบนพระพักตร์ของเจ้าชายหนุ่มค่อยๆ จางหายไป
 





เจ้าหญิงวรนารีทรงพยายามจะทาสีและวาดรูปในห้องบรรทมของพระเชษฐาให้ได้ ทว่าเจ้าชายอัทธายุทรงยืนกรานปฏิเสธ ครั้นพระขนิษฐาทรง ‘ตื๊อ’ หนักเข้า พระองค์ก็ทรงยอมให้ครึ่งทางตามที่ไทวาเสนอวิธี คือวาดภาพทิวทัศน์ลงบนผ้าใบผืนใหญ่แล้วนำไปขึงไว้ที่ผนังห้องบรรทมด้านหนึ่ง

ช่วงนี้คุณชายเชลยจากเผ่าไทวะจึงหมกมุ่นอยู่กับการวาดภาพบนผืนผ้าใบแทบจะทั้งวันทั้งคืน ส่วนเจ้าหญิงวรนารีนั้นเสด็จมาทรงช่วยบ้างไม่มาบ้างเพราะไม่ได้ทรงว่างอยู่ตลอด

เจ้าชายอัทธายุก็เสด็จที่กรมตลอดทั้งวันและทุกวัน โชคดีที่มหาดเล็กบางคนพอจะมีฝีมือเรื่องการลงสีวาดภาพอยู่บ้าง ไทวาจึงไม่ต้องทำคนเดียวทั้งหมด

“ทำไปเรื่อยๆ ก็ได้ เหนื่อยก็พักบ้าง พี่ไม่รีบ”

“แต่ไทอยากให้เสร็จเร็วๆ ไทตั้งใจเต็มที่เลย พี่เขยว่าเป็นยังไงบ้างครับ ชอบไหม” คนถามหน้าตาสดใสและเต็มเปี่ยมด้วยความกระตือรือร้น ทั้งที่ใบหน้าเปื้อนเหงื่อ เหงื่อเม็ดใหญ่ตกจากคิ้วลงมาถึงตาจนต้องถอดแว่นออก เช็ดเหงื่อตามหน้าผาก ตามคิ้ว แล้วค่อยใส่กลับดังเดิม

“สวยมาก”

“ไทว่าจะวาดสักสิบผืน พี่เขยจะได้มีผนังห้องหลายๆ แบบเอาไว้เปลี่ยน จะได้ไม่เบื่อ ดีไหมครับ”

“ไม่ต้องทำให้พี่มากหรอก ขอผืนนี้ผืนเดียวก็พอ พี่ไม่ค่อยได้อยู่ที่นี่ อีกไม่นานก็คงต้องเดินทาง”

“พี่เขยจะไปไหนครับ!” คนทูลถามหน้าเสีย

“ยังไม่ได้ไป ว่าจะรอให้ไทชินกับที่นี่เสียก่อน”

งั้นต่อให้ต้องอยู่ไปชั่วชีวิตเขาก็จะไม่ชิน!






ไทวาคุยเรื่องนี้กับเจ้าหญิงวรนารี ปรากฏว่าเจ้าหญิงพระขนิษฐารับสั่งบอกวิธีแก้ปัญหาให้ได้ทันทีราวกับทรงคิดไว้นานแล้ว

“พี่ถึงอยากให้เจ้าพี่ทรงอภิเษกกับใครสักคนไงล่ะ ถ้าแต่งงานแล้วเจ้าพี่ก็จะไม่เสด็จไปไหนบ่อยๆ อย่างนี้หรอก เอาอย่างนี้นะ เรามาช่วยกันหาคู่ให้เจ้าพี่ดีไหม”

“ไทว่าไม่ดี” เด็กหนุ่มทูลตอบทันควัน

“ทำไมล่ะ”

“เอ่อ... ไทคิดว่าพี่เขยคงไม่ชอบถ้าเราไปจับคู่ให้ท่าน”

“ไม่ได้จับคู่” คำสุดท้ายคนรับสั่งทรงลากพระสุรเสียงยาว “แค่จัดฉาก เอ๊ย! เปิดโอกาสให้ท่านได้เจอใครๆ บ้างเท่านั้นเอง ไทก็เห็นใช่ไหมล่ะว่าเจ้าพี่ท่านทำแต่งาน แล้วผู้หญิงที่ไหนจะบุกไปหาท่านที่กรมล่ะ”

ไทวาเผลอพยักหน้า ใช่... ขนาดเขายังไม่กล้าขอไป

“ตกลงว่าเรามาร่วมมือกันนะ”

“ร่วมมือยังไงครับ”

“แค่ทำตามที่พี่บอกก็พอ ตกลงนะ”

ไม่ตกลง! ไม่ตกลง! ไม่ตกลง!






“พี่เขย ทำไมไทถึงนอนกับพี่เขยไม่ได้แล้วล่ะครับ”

ไทวาทูลถามขณะนั่งแช่เท้าอยู่ในลำธารสายเล็กๆ หลังพระตำหนัก ข้างๆ กับสะพานหินเล็กๆ เจ้าชายอัทธายุประทับอยู่ในท่าเดียวกับเขา คือพระกรสองข้างเท้าไปด้านหลัง แล้วเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรดวงดาวที่เดียรดาษเต็มท้องฟ้า

“ก็บอกไปแล้ว ว่าโตแล้วต้องหัดนอนคนเดียว อยู่ที่นี่ตั้งหลายอาทิตย์แล้วยังไม่ชินอีกหรือ ตำหนักพี่ไม่มีผีหรอก”

“แต่ไทอยากนอนกับพี่เขย”

คนฟังทรงชะงักไปนิดหนึ่ง ไม่มากพอที่จะทำให้คนพูดหน้าม่อยรู้สึกผิดปกติ

“ถ้าพี่ต้องไปทำงานไกลๆ ไม่อยู่กับไท ไทจะนอนกับใคร”

“... ก็ต้องนอนคนเดียวสิครับ ไทจะนอนกับใครล่ะ”

“ถึงตอนนั้นก็นอนได้ใช่ไหม”

“ครับ” ถ้าไม่ได้แล้วจะให้ทำยังไง

“แล้วทำไมตอนนี้ถึงนอนคนเดียวไม่ได้”

“ก็ไท...”

ไทวาอับจนคำพูด เขาได้แต่เตะขาในน้ำไปมา แสงจันทร์สะท้อนให้เห็นว่าเสี้ยวหน้าด้านข้างดูหมองๆ ไม่สมกับเป็นเด็กหนุ่มที่มักจะมีชีวิตชีวาอยู่เสมอเอาเสียเลย

“แกว่งขามากๆ ปลามันจะตายเอานะ”

“ไทไม่ได้เตะถูกปลานะ มันว่ายน้ำเร็วจะตาย ปลาจะตายได้ยังไง”

“สำลักกลิ่นเท้าไทไง”

“พี่เขยยยยยยย!” เสียงเรียกลากยาวของคนหน้าเง้ากับเสียงสรวลห้าวๆ ดังทำลายความสงบเงียบยามค่ำคืน “เท้าไทสะอาดนะ ไม่เหม็นสักหน่อย นี่ไง สะอาดๆ”

คนยืนยันยกเท้าสองข้างขึ้นมาจากลำธาร กระดิกไปมาราวกับจะให้สะเด็ดน้ำ และให้คนนั่งข้างทอดพระเนตรเห็นชัดๆ

“แช่อยู่ตั้งนานก็ต้องสะอาดสิ ป่านนี้ปลาพี่ตายไปกี่ตัวแล้วก็ไม่รู้”

“อะไร ไทก็แช่พร้อมพี่เขย ถ้าปลาตายก็ต้องเป็นเพราะเท้าของพี่เขยด้วยนั่นแหละ ยกขึ้นมาดูเลยว่าสะอาดรึเปล่า”

เด็กหนุ่มเผลอพูดลามเลยไม่สมควรโดยไม่รู้ตัว ทว่าคนฟังไม่ทรงถือสา ยอมยกพระบาททั้งคู่ขึ้นมาง่ายๆ

“เท้าพี่เขยใหญ่จัง” คนพูดมองพระบาทสีเข้มกับเท้าสีอ่อนของตัวเอง แล้วหันไปมองพระหัตถ์ที่เท้าอยู่เบื้องหลัง “มือก็ใหญ่กว่าของไท” ก่อนจะเลื่อนขึ้นมามองแถวต้นพระพาหา

“แขนก็ใหญ่ ท... ไทขอลองจับดูหน่อยได้ไหมครับ”

ความมืดยามราตรีซ่อนสายพระเนตรของเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ไทวาจึงไม่เห็นประกายอย่างหนึ่งในนั้น เป็นประกายตาของผู้ผ่านโลกมามากกว่าที่แม้จะรู้ทัน แต่ก็เอ็นดูกึ่งสงสารระคนกัน

“เอาสิ”

คนที่รู้ตัวดีว่าไม่บริสุทธิ์ใจพยายามทำตัวเป็นปกติที่สุดเมื่อจับต้นพระพาหาล่ำๆ ใต้ฉลองพระองค์เนื้อบางแล้วบีบไปบีบมาเบาๆ ครั้นรู้สึกตัวว่าชักจะจับนานผิดปกติก็รีบกลบเกลื่อน

“ไทอยากแขนใหญ่แบบพี่เขยบ้าง” เด็กหนุ่มดันแว่นขึ้นแก้เก้อ

“แขนขาคนเราต้องสมดุลกับตัวถึงจะเหมาะ ไทตัวเล็กกว่าพี่ ถ้าแขนใหญ่เท่าพี่อาจจะต้องเดินหิ้วแขนตัวเองก็ได้”

ไทวานึกสภาพตัวเองเดินหลังงอเพราะถูกแขนถ่วงแล้วก็หัวเราะร่วน เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวลเมื่ออีกฝ่ายกลับมาร่าเริงได้เหมือนเดิม นั่งเงียบๆ กันอยู่สักพัก เด็กหนุ่มก็ทูลถามหยั่งเชิง

“พี่เขย” คนถูกเรียกทรงหันไปมอง “พี่เขยเมื่อยไหมครับ”

เจ้าชายเจ้ากรมฯ ทรงเลิกพระขนง

“ไทนวดให้เอาเปล่า”

“นวดเก่งหรือ”

“ก็ไม่เก่งเท่าไหร่ แต่ไทเห็นพี่เขยทำงานกลับมาเหนื่อยๆ ทุกวันเลยอยากนวดให้ ไทนวดให้เอาไหมครับ”

“ลองดูก็ได้”

คนจะได้เป็นหมอนวดยิ้มกว้าง ก่อนจะดึงขาขึ้นมาจากน้ำแล้วขยับไปคุกเข่าอยู่เบื้องพระขนองอย่างกระตือรือร้นแล้วลงมือนวดแบบคนร้อนวิชา ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีวิชาความรู้ในด้านนี้เลย เพียงแต่หาโอกาสถึงเนื้อถึงตัวอีกฝ่ายเท่านั้น

“เป็นยังไงบ้างครับ ไทนวดสบายไหม”

“อืม สบาย”

คนรับสั่งตอบไม่ได้ทรงเอาใจเด็ก แต่การมีคนมาบีบๆ จับๆ ให้อย่างเอาใจใส่ก็ให้ความรู้สึกเพลิดเพลินดี แม้ว่าจะไม่ได้ช่วยให้พระองค์ทรงหายเมื่อยสักเท่าไรก็ตาม ฝ่ายคนนวดก็ขยำเอาๆ สลับข้างไปมาอย่างขยันขันแข็งในตอนแรกๆ ใจเต้นแรงขึ้นหน่อยๆ เมื่อคิดว่าแผ่นหลังของอีกฝ่ายช่างกว้างและดูอบอุ่นแข็งแรงดีจริงๆ เหมือนกำแพงหนาที่ทั้งมั่นคงและปลอดภัย ครั้นนวดไปๆ ก็ชักจะเริ่มเมื่อย แรงเริ่มตก

“พี่เขยหายเมื่อยรึยังครับ”

“อืม ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณครับ” พระสุรเสียงเจือความขบขันเอาไว้หน่อยๆ เพราะทรงรู้ทัน ทว่าหมอนวดไม่ทันได้สังเกต ไทวาโขกหน้าผากลงบนพระปฤษฎางค์หนากว้างแล้วแนบนิ่งอยู่อย่างนั้น

“เหนื่อยหรือ”

เด็กหนุ่มส่ายหน้ากับแผ่นหลังหนาอุ่น เผลอสูดลมหายใจเอากลิ่นอายเฉพาะพระองค์เข้าไปเต็มลมหายใจ

“ไม่เหนื่อยครับ แต่พี่เขยหายเมื่อแล้ว ไทอยากขอรางวัล”

“อ้อ ทำดีหวังผล”

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย” ครั้นได้ยินพระสุรเสียงหึหึก็เปลี่ยนเป็นยอมรับง่ายๆ “ใช่ก็ได้ครับ คืนนี้ขอไทนอนกับพี่เขยอีกได้เปล่า”

“ไท”

เรียกแล้วก็เงียบอย่างนี้ เจ้าของชื่อก็พอจะรู้เหมือนกันว่าต้องทำอะไร เด็กหนุ่มขยับกลับไปนั่งท่าเดิม ที่เดิม... แต่ใกล้กว่าเดิมนิดหนึ่ง

“นอนห้องตัวเองดีแล้ว พี่ก็นอนอยู่ห้องข้างๆ มีอะไรก็มาเรียกได้”

คนฟังยื่นปากออกมานิดๆ แต่เพราะเตรียมใจไว้แล้วจึงไม่ได้ผิดหวังมากนัก

“พี่เขยจะเดินทางอีกเมื่อไหร่ครับ”

“น่าจะอีกสองเดือน มีโครงการตัดถนนผ่านป่าที่สุรกานต์” ทรงหมายถึงเมืองทางตะวันออก และพระองค์ก็เพิ่งตัดสินพระทัยเมื่อครู่นี้เอง เวลาสองเดือนน่าจะกำลังดี ไม่มากเกินไปจนทำให้เด็กหนุ่มถลำลึกหลงผิดไปมากกว่านี้ และไม่น้อยเกินไปจนเป็นการทอดทิ้งให้เขาต้องทุกข์ทนอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย

คนฟังเม้มปากนิดๆ ดวงตาสดใสหลังแว่นบ่งบอกการตัดสินใจ... ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่เช่นกัน

“งั้นสองเดือนนี้พี่เขยตามใจไทหน่อยได้ไหมครับ”

“หือ ยังไง”

“ไทอยากไปเที่ยว พี่เขยพาไปนะครับ”

“เรื่องแค่นี้” ไม่ยากเลย คิดว่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้ต้องลำบากพระทัยเสียอีก “เอาสิ ไทอยากไปไหน”

แผนนี้เจ้าหญิงวรนารีทรงเป็นคนคิดแล้วอาศัยปากเขาพูด ก่อนที่เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณจะทรง ‘เดินทาง’ อีกครั้ง เจ้าหญิงพระขนิษฐาตั้งพระทัยจะหา ‘พี่สะใภ้’ ให้พระเชษฐาให้ได้ ไทวาไม่ได้อยากได้ ‘พี่สะใภ้’ เขาแค่อยากตักตวงเวลา ทำเพื่อตัวเองให้เต็มที่ จะได้ไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง
 




ออฟไลน์ ชุน

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-1
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
«ตอบ #75 เมื่อ25-05-2014 02:50:13 »

ทะเลสาบนอกเขตเมืองเป็นสถานที่ที่หนุ่มสาวนิยมมาเที่ยวกันตามลำพังเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง ทว่าในฤดูร้อนตอนกลางวันที่แดดร้อนเปรี้ยงอย่างนี้กลับไม่ค่อยมีใครมา เจ้าหญิงวรนารีทรงสงสัยเป็นกำลังว่าเวลานัดหมายกับหญิงสาวที่พระองค์ทรงหมายตาว่าจะให้เป็นพี่สะใภ้มันตอนบ่ายใกล้จะเย็นโน่น แล้วไทวาชวนพระเชษฐาของพระองค์มาทำไมตั้งแต่เที่ยงวันอย่างนี้ แต่ก็ไม่มีโอกาสตรัสถาม เพราะเด็กหนุ่มเกาะติดเจ้าของวรองค์สูงใหญ่แจ

 เจ้าชายสามโปรดให้มีองครักษ์นอกเครื่องแบบตามเสด็จเพียงสองคน และเมื่ออกมากับไทวา องครักษ์ทั้งสองนายก็กลายเป็นคนช่วยถือของไป เพราะคุณชายหนุ่มซื้อของจากร้านค้าแทบทุกร้านในตลาดมาเป็นเสบียง ส่วนเงินก็ใช้ของตัวเอง พูดให้ถูกคือเงินที่เจ้าชายหนุ่มประทานให้มาตั้งแต่วันแรกๆ ที่มาอยู่ซึ่งเป็นจำนวนมากโข และเด็กหนุ่มก็ใช้จ่ายอย่าง ‘ไม่ต้องเกรงใจ’ ตามที่พระองค์รับสั่งบอกเปี๊ยบ

ใต้ร่มไม้ใหญ่ใบหนาที่อยู่ไม่ห่างจากริมทะเลสาบมากนักเป็นสถานที่ที่ไทวาเลือกนั่งกินอาหารมื้อกลางวัน องครักษ์สองนายถูกเขาชวนมานั่งร่วมวงเดียวกันทว่าทั้งสองปฏิเสธเพราะเกรงจะไม่เหมาะสมเนื่องจากเจ้าหญิงพระขนิษฐาเสด็จมาด้วย ครั้นเจ้าหญิงคนงามรับสั่งชวนซ้ำอย่างไม่ถือพระองค์ วงข้าวก็ประกอบด้วยคนห้าคน

ไทวากินไปคุยไป เด็กหนุ่มทำให้องครักษ์ทั้งสองนายหายเกร็งด้วยการถามนั่นถามนี่แทบไม่หยุดปาก แต่ก็สามารถกินได้เร็วกว่าใครเพื่อน องครักษ์นายหนึ่งซึ่งไทวาเรียกว่า ‘พี่ทิวคิ้วดก’ ถึงกับออกปาก

“คุณชายกินน่าอร่อย”

“อ้าว พี่ไม่อร่อยหรือครับ”

“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ ผมแค่มองคุณชายกินแล้วนึกถึงลูกชายที่บ้านน่ะครับ กินอะไรก็ท่าทางน่าอร่อยไปหมด เมียผมก็เลยกินตามลูกจนตัวกลมไม่ยอมยุบ”

“ตัวกลมไม่ดีหรือครับ นุ่มๆ ดีออก อ้วนแล้วพี่ทิวคิ้วดกก็เลยไม่รักรึเปล่า”

องครักษ์หนุ่มหัวเราะ “ขึ้นชื่อว่าเมียแล้วผมก็รักอยู่วันยังค่ำแหละครับ แต่พูดตามตรง ผู้หญิงหุ่นดียังไงมันก็ชวนมองมากกว่าผู้หญิงอวบ ผู้หญิงอ้วนใช่ไหมล่ะครับ”

“ฉันก็ผู้หญิงนะ นั่งนินทาผู้หญิงอย่างนี้ไม่เกรงใจฉันบ้างรึไง”

เจ้าหญิงวรนารีแสร้งรับสั่ง ทำเอาองครักษ์หนุ่มหน้าซีด ก่อนจะมีสีหน้าดีขึ้นเมื่อพระองค์ทรงเฉลยว่าทรงแกล้งเล่น ขณะที่ไทวาเหลือบมองพระพักตร์ที่มีหนวดเคราบางๆ แลดู ‘เท่มาก’ ของเจ้าชายสามแล้วก็มองไก่ในมือตัวเองนิ่ง

“อิ่มแล้วหรือ ไท ทำไมไม่กินต่อล่ะ”

“ไท... อิ่มแล้วดีกว่า”

“กลัวอ้วนหรือ”

เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ลังเล แล้วก็พยักหน้า เจ้าหญิงวรนารีถึงกับทรงพระสรวล

“โธ่ ไท ไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย ไม่ต้องกลัวอ้วนหรอก อวบนิดหน่อยอย่างไทนี่พี่ก็ว่าน่ารักดีออก”

สีหน้าของเด็กหนุ่มบ่งบอกความไม่แน่ใจ

“เป็นตัวกินไก่ก็กินๆ เข้าไป ไม่ต้องห่วงเรื่องไม่เป็นเรื่อง”

เจ้าชายหนุ่มรับสั่งแล้วก็ทรงหยิบน่องไก่ชิ้นใหญ่ใส่จานข้าวประทานให้อีก องครักษ์สองนายถึงกับเผลอมองพระพักตร์ คิดเหมือนกันว่า... ด่ากันตรงๆ ว่าเป็นตัวเหี้ยอย่างนี้เลยหรือ ขณะไทวาหน้ามุ่ย

“พี่เขยก็กินเหมือนกัน ว่าแต่ไทได้ไง”

องครักษ์สองนายหันขวับ มองเด็กหนุ่มอย่างตกใจ ทว่า ‘ตัวกินไก่’ สองคนไม่มีใครสนใจพวกเขา เจ้าชายอัทธายุแย้มพระสรวล

“ไม่ได้ว่า แค่อยากให้กินเยอะๆ เดี๋ยวคนไทวะจะหาว่าพี่เลี้ยงคุณชายของพวกเขาไม่ดี กินไปเถอะ ถึงจะตัวอ้วนปี๋พี่ก็ไม่หลงคิดว่าไทเป็นหมูหรอกน่า”

คนฟังรู้สึกดีขึ้นมานิดหนึ่ง ย้ำว่านิดเดียว ใช่สิ... เขาจะเป็นหมูได้ยังไง ก็เขาเป็นตัวกินไก่ไปแล้วนี่

หลังจบอาหารคาวก็ตามด้วยอาหารหวานซึ่งเจ้าหญิงวรนารีทรงปฏิเสธไม่รับ หลังอาหารหวานจึงตามด้วยผลไม้ ไทวาอาสาเป็นคนผ่าแตงโมเอง เด็กหนุ่มไม่ได้หั่นเป็นชิ้นใส่จาน แต่ผ่าเป็นสามเหลี่ยมชิ้นพอดีๆ ส่งให้ทุกคน

“กินแบบนี้อร่อยกว่า”

แบบนี้ที่ว่าคือแทะกิน เจ้าหญิงพระขนิษฐาทรงขอแบบหั่นใส่จานแล้วใช้ส้อมจิ้ม ทว่าเมื่อถูกไทวาคะยั้นคะยอให้กินแบบเดียวกับเขา พระองค์ก็ทรงลองดู

ไทวากินแตงโมได้น่าอร่อยกว่าใครเพื่อน เจ้าหญิงวรนารีทรงบ่นว่าเม็ดก็ไม่ยอมแคะออก ส่วนเจ้าชายอัทธายุทรงขู่ว่า

“ระวังมันจะไปงอกเป็นต้นในท้อง”

“ดีเลยครับ ไทจะได้ไม่ต้องซื้อกิน มีอยู่ในท้องอยู่แล้ว”

เจ้าชายหนุ่มทรงพระสรวลหึหึ แล้วก็เสวยแตงโมของพระองค์ไป เมื่อหมดชิ้น คนผ่าก็ถวายชิ้นใหม่ถึงพระหัตถ์ ไปๆ มาๆ แตงโมสองลูกใหญ่ก็หมด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนผ่าแตงโมแทะกินได้น่าอร่อยเหลือเกิน






บ่ายคล้อย ธิดาคนเล็กของเสนาบดีธรรมการก็ ‘บังเอิญ’ มาเดินเล่นแถวริมทะเลสาบกับสาวใช้คนสนิท เจ้าหญิงวรนารีจึงตรัสชวนให้มานั่งร่วมวงกับพระองค์และพระเชษฐา คำภาวนาของไทวาไม่เป็นจริงสักอย่าง นางทั้งสวย ทั้งมารยาทดี แถมยังพูดคุยกับเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณได้อย่างไม่เคอะเขินอีกด้วย สาวใช้ของนางชื่อบุปผา ส่วนชื่อของคุณหนูคนสวยน่ะหรือ... ไทวาจำไม่ได้หรอก มันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น

“แดดไม่มีแล้ว เจ้าพี่ทรงพาเจนจิราไปนั่งเรือเล่นสิเพคะ”

คุณชายหนุ่มอยากจะเอามือปิดหูให้รู้แล้วรู้รอด

“อยากไปไหม” เจ้าชายหนุ่มตรัสถาม

“อยากไปเพคะ”

แล้วแม่คนงามก็ช่างไม่รู้จักเล่นตัวเสียบ้างเลย ไทวาไม่ใช่ผู้หญิง แต่เขาก็รู้มาว่าเป็นผู้หญิงควรจะสงวนท่าทีไว้บ้างไม่ใช่รึไง แล้วทำไม...

“งั้นก็ไป ไทไปกับพี่ไหม”

“ไปคะ...”

“เดี๋ยวไทจะไปกับหญิงเพคะ... ใช่ไหมไท”

“... อั๊บ... ไทไปกับพี่น้อง” กล้ำกลืนฝืนใจตอบสุดๆ ไปเลย






ไทวาพายเรือเป็นและพายคล่องเสียจนเจ้าหญิงวรนารีทรงชม ทว่าสายตาของเด็กหนุ่มคอยวนเวียนอยู่แต่เรือของเจ้าชายอัทธายุ... คนที่เขาอยากจะพายเรือให้นั่ง

“คู่นั้นดูสมกันดีนะ ไทว่าไหม”

“ไทว่าไม่เห็นจะสม”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

คุณชายหนุ่มนิ่งเงียบ เขาจะตอบได้ยังไงล่ะ ว่าถ้าไม่ใช่เขา ใครก็ไม่สมกับเจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทั้งนั้น

“ไทไม่ชอบเจนจิราหรือ เมื่อกี้ก็เห็นคุยกันถูกคอดีนี่นา พี่ว่าเจนจิราเขาก็ดูจะชอบไทมากนะ”

รับสั่งเสียเขาดูเป็นตัวร้ายไปเลย ไทวาถอนหายใจเบาๆ พยายามใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์

“พี่เขยก็ชอบนางหรือครับ”

“โธ่! เจ้าพี่น่ะเคยโปรดใครเสียที่ไหนล่ะ คนที่ชอบน่ะพี่เองแหละ ก็เลยอยากให้เจ้าพี่ท่านโปรดด้วย มีคนชอบท่านมากออกนะ แต่คนนี้พี่มองแล้วว่าเพียบพร้อมที่สุด สวย ชาติตระกูลดี ไม่มีประวัติด่างพร้อย เป็นกุลสตรี งานบ้านงานเรือนก็เก่ง วิชาความรู้อื่นก็มี ไม่ทำให้เจ้าพี่ทรงอายใครแน่”

“ไท...” สีหน้าของเด็กหนุ่มดูลังเล แต่ก็ดูอยากจะพูดเต็มที

“หือ”

“ไทก็เป็นลูกชายหัวหน้าเผ่านะครับ ทำกับข้าวก็ได้ อบไก่ได้อร่อยมากๆ ซักผ้าก็พอได้ ไทปลูกผักเก่ง เลี้ยงไก่เลี้ยงปลาก็เก่ง เขียนหนังสือ อ่านหนังสือก็คล่อง ความรู้อื่นก็มีเหมือนกัน ดีด้วย”

เจ้าหญิงคนงามทรงกะพริบพระเนตรปริบๆ ก่อนจะทรงพระสรวลออกมาสุรเสียงดัง

“ไทพูดเหมือนจะเป็นคู่แข่งของเจนจิราอย่างนั้นแหละ นางจะมาเป็นชายาของเจ้าพี่ ไม่มาแย่งตำแหน่งน้องชายสุดที่รักของไทหรอกจ้ะ พี่ยังไม่หวงเลย ไทนี่หวงเจ้าพี่ยิ่งกว่าพี่เสียอีกนะ”

ไทวานิ่งเงียบ ขณะหันไปมองเรืออีกลำที่ลอยอยู่ห่างๆ ด้วยสายตาตัดพ้ออย่างห้ามไม่อยู่ เจ้าหญิงวรนารีทรงฉุกพระทัย

“ไท... หรือว่า...”

“เฮ้ย!”

“เอ๊ะ!”

เรืออีกลำกำลังประสบปัญหา ธิดาคนสวยของเสนาบดีธรรมการคุกเข่าโน้มตัวเด็ดดอกบัวจนตัวเองตกลงไปในทะเลสาบโดยที่เจ้าชายอัทธายุทรงคว้าตัวไว้ไม่ทัน แรกทีเดียวเจ้าชายหนุ่มทรงรอที่จะยื่นพระหัตถ์ให้หญิงสาวแล้วดึงนางขึ้นมา ทว่าเจนจิรากลับจมลงไปราวกับตัวทำจากก้อนหิน พระองค์จึงทรงกระโดดตามลงไปช่วย

ไทวารีบพายเรือไปยังจุดเกิดเหตุทันที

ตั้งแต่ถูกช่วยขึ้นมาบนเรือได้ เจนจิราก็นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง เจ้าชายอัทธายุซึ่งทรงเปียกไปทั้งองค์เช่นกันรับสั่งเรียกอยู่หลายครั้งแต่นางก็ยังไม่รู้สึกตัว ครั้นทรงก้มองค์ลงไปอีกนิดเพื่อจะได้รับสั่งเรียกใกล้ๆ ไทวาซึ่งกำลังพายเรือตรงมาด้วยความเร็วปานเรือแข่งก็รีบตะโกนทูลราวกับคนสติแตกเสียก่อน

“ไม่ๆๆๆๆ พี่เขยไม่ต้องครับ เดี๋ยวไทช่วยเอง ไทช่วยพี่เจนเองครับ พี่เขยออกมาห่างๆ”

พายเรือมาจอดเทียบเสร็จ       ก็เผลอยัดพายใส่พระหัตถ์ของเจ้าหญิงวรนารีไว้เสร็จสรรพ ส่วนตัวเองรีบก้าวไปอยู่ในเรือของเจ้าชายหนุ่มทันที ไทวาหายใจหอบนิดๆ สีหน้าและสายตาที่มองไปทางธิดาของเสนาบดีธรรมการแลดูประหลาดคล้ายคนโรคจิต เขาดึงพระอังสาหนาๆ ของเจ้าชายสามให้ขยับออกห่าง

“ไทผายปอดให้เองครับ พี่เขยไปอยู่ที่เรือไทก่อนก็ได้ ไม่ต้องห่วงครับ ไทผายปอดเป็น ไทเรียนมา”

เจ้าชายอัทธายุทรงยอมขยับตามใจคนตื่นตระหนกเกินเหตุ

“พี่ว่าไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกไท เดี๋ยวนางก็คงฟื้น”

เด็กหนุ่มจัดที่จัดทางให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว ถอดแว่นออก เตรียมตัวจะ ‘ปฐมพยายาบาล’ อย่างเต็มที่แล้ว ก่อนจะชะงักเมื่อเพิ่งเข้าใจความหมาย

“พี่เขยว่าอะไรนะครับ ไม่ต้องผายปอด”

“แต่หญิงว่านอนนิ่งอย่างนี้น่าเป็นห่วงนะเพคะ ผายปอดดีกว่าเพคะ แต่เจ้าพี่ทรงทำดีกว่าเพราะเจ้าพี่ก็ทรงรู้วิธี”

เจนจิราแสร้งสลบ เรื่องแค่นี้ทำไมพระองค์จะไม่ทรงทราบ แต่ในเมื่อกล้าทุ่มเทถึงขนาดนี้แล้ว พระองค์ก็คงจะต้องทรงสนับสนุนบ้าง แม้จะไม่ทรงคาดคิดมาก่อนว่าเจนจิราจะใจกล้าขนาดนี้ แต่ก็นับว่าถูกพระทัยอยู่ไม่น้อย

“ไททำเองครับ ไททำเป็น”

เจ้าหญิงวรนารีทรงฉุกพระทัยอีกครั้ง

“แต่ว่า... มันจะไม่เหมาะ...”

ไทวาไม่ฟังแล้ว เขาโน้มตัวลง แล้วบอกกับคนที่เพิ่งจมน้ำมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

“ไทจะผายปอดให้นะครับพี่เจน อาจจะเหมือนไทจูบพี่เจน แต่ไทไม่ได้คิดไม่ดีนะครับ แค่จะช่วยเท่านั้น”

คิ้วงามๆ ของคุณหนูคนสวยขมวดเข้าหากัน และก่อนที่ริมฝีปากของไทวาจะประกบกับริมฝีปากของนาง หญิงสาวก็ไอค่อกไอแค่กออกมาสองสามครั้ง แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“... ไท... เกิดอะไรขึ้นหรือ...”

“พี่เจนจมน้ำครับ”

หญิงสาวทำท่าว่าจะลุกขึ้นนั่ง ไทวาจึงช่วยพยุง

“ฝ่าบาท หม่อมฉันกลัวจังเลยเพคะ”

คนทูลอ้อนเสียงสั่นน้ำตาคลอโผตัวเข้าไปหมายจะอาศัยพระอุระกว้างเป็นที่ปลอบขวัญตัวเอง ทว่าคุณชายหนุ่มแห่งเผ่าไทวะชิงเอาตัวเข้าไปตัดหน้า รับตัวของคนที่กำลังสั่นเป็นลูกนกเข้าไว้ในอ้อมกอดได้พอดี เด็กหนุ่มตบไหล่อันบอบบางของนางเบาๆ พลางปลอบเสียงนุ่ม

“โอ๋ ไม่ต้องกลัวนะครับคนเก่ง ตอนนี้พี่เจนปลอดภัยดีแล้วนะครับ โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง”

เจ้าชายอัทธายุทอดพระเนตรสีหน้าเหวอๆ งุนงงของหญิงสาวแล้วก็ปรารถนาจะทรงพระสรวลออกมาดังๆ ทว่าเพราะทรงทราบว่าเสียมารยาทจึงได้แต่กลั้นเอาไว้อย่างเต็มที่ เหลือเพียงประกายความขำขันที่เต้นระริก พราวพรายอยู่ในสายพระเนตร






เจนจิราเปียกชุ่มไปทั้งตัว เสื้อผ้าสีอ่อนบางพลิ้วแนบไปกับผิวกายจนเห็นเป็นรูปร่างชัดเจน ไทวาจึงถอดเสื้อของตัวเองให้อีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล เขาแอบเห็นรูปรอยของยอดอกของคุณหนูคนสวยด้วย ไม่อยากจะคิดเลยว่า ‘พี่เขย’ ได้เห็นหรือไม่ เจนจิรารับเสื้อรับเอาไว้อย่างจำใจ แต่เมื่อเห็นฉลองพระองค์ที่เปียกชุ่มของเจ้าชายสามแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างหมดหวัง

คุณหนูบ้านเสนาบดีธรรมการมากับรถม้าที่บ้าน เจ้าหญิงวรนารีทรงแนะนำให้พระเชษฐาเสด็จไปส่งหญิงสาวถึงที่บ้าน

เจ้าชายอัทธายุทอดพระเนตรมองคนสามคนตรงเบื้องพระพักตร์ด้วยสายพระเนตรของคนที่ผ่านโลกมามากกว่า คนหนึ่งอยากได้พี่สะใภ้ คนหนึ่งวาดหวังเต็มเปี่ยมอยู่อย่างเงียบๆ ส่วนอีกคน... ก็อยากจะให้พระองค์ทรงปฏิเสธแทบใจจะขาด หน้าตาเศร้าๆ อ้อนๆ นั้นแลดูทั้งน่าสงสารและน่าเอ็นดูระคนกัน

สายพระเนตรเผลอตกลงไปมองตรงยอดอกสีอ่อนที่ชูชันผ่านเสื้อตัวในสีขาวบางๆ ของเด็กหนุ่ม แล้วก็รีบดึงสายพระเนตรขึ้น ตัดสินพระทัยได้ทันที

“ต่างคนต่างกลับดีกว่า” ประโยคหลังรับสั่งบอกกับเจนจิรา “อย่าลืมกินยากันไว้ จะได้ไม่เป็นไข้ วันหลังฉันคงมีโอกาสไปเยี่ยมท่านเจ้าคุณบ้าง”

คุณหนูคนสวยทูลรับคำด้วยรอยยิ้มเฝื่อนๆ ขณะที่ไทวายิ้มหน้าบานอย่างไม่คิดจะปกปิด ขากลับ คุณชายหนุ่มทูลถามคนที่ฉลองพระองค์ยังไม่แห้งดีอย่างเป็นห่วง

“พี่เขยหนาวไหมครับ”

สายลมยามเย็นตีปะทะหน้า ยิ่งควบม้าเร็วเท่าไร ก็ยิ่งปะทะแรงเท่านั้น

“ถ้าหนาว ไทจะทำยังไง”

“พี่เขยเอาเสื้อไทไปใส่สิครับ ไทไม่หนาว เอาไหม”

คนเป็นพี่เขยโดยไม่ได้สมัครใจทอดพระเนตรจุดสองจุดตรงหน้าอกของคนถามอีกหน เสื้อตัวบางถูกลมตีจนตึง ยอดอกเล็กๆ ตั้งชันเห็นเด่นชัดยิ่งกว่าเดิม

“พี่ไม่หนาว เรารีบกลับกันดีกว่า”
.
.
.
.
.
.

ก่อนที่ยอดอกชูชันของเด็กผู้ชายจะกลายเป็นภาพติดตา




tbc.

******************************************************




iforgive – ถ้าโคลนนิ่งได้นี่ชุนขอเก็บไว้เอาไว้ให้ตัวเองก่อนเลยค่ะ แต่ก็อย่างว่า... ผู้ชายดีๆ มีแต่ในนี้ยายยยยยย เอาไว้ลงจบทุกคู่แล้วชุนถามคุณ iforgive ใหม่ดีกว่า ว่าถ้าเลือกได้แค่คนเดียวอยากได้คนไหน

sar2288 – อายุ 17 เองค่ะ แถมมีพี่สาวตั้ง 3 คน เป็นน้องคนเล็กก็เลยเด็กๆ แล้วก็ขี้อ้อน ตอนนี้พี่เขยก็ชักจะหลงเสน่ห์ (ยอดอก?) ของตัวกินไก่แล้วล่ะค่ะ

snowermyhae – พี่เขยรู้ความจริงแล้วค่า แต่อนาคตนางฟ้าของพี่เขยคงจะต้องใช้ความพยายามหน่อย เพราะพี่เขยชักจะเว้นระยะห่างล่ะ (แต่ดันเห็นภาพติดตาซะได้)

Phut – เนอะๆ ชุนก็ชอบไทวาค่ะ ที่รู้ว่ารักแล้วก็พยายามหาทางให้ได้ความรักตอบ (ไม่เหมือนใครบางคนจากอีกเรื่อง555)

IsDear – ถ้าไม่ฮาเข้าไว้เดี๋ยวจะกลายเป็นเศร้าแทนน่ะสิคะ ตอนนี้หลงรักเขาข้างเดียวอยู่นี่นา

ป.ล. รามิเรสน่าจะประมาณวันพุธนะคะ บอกไว้ก่อนเผื่อมีคนถามถึงค่ะ

ออฟไลน์ Phut

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
«ตอบ #76 เมื่อ25-05-2014 09:37:56 »

อ่านไปลุ้นไป แอบหน่วงนิดๆ เหมือนพี่เขยมีแววจะไม่ยอมรับรักไทง่ายๆ

แต่พอถึงตอนท้ายพี่เขยนี่ก็แอบหวั่นไหวบ้างแหละเนอะ :-[

ลุ้นๆ รอไทชนะใจพี่เขย

คุณชุน....เค้ารออยู่นะอยากให้มาไวๆ

ขอบคุณจ้า :mew1:

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
«ตอบ #77 เมื่อ25-05-2014 10:05:07 »

อวบจนจุกโผล่ออกมาเตะตาเตะใจท่านชายเลย 55555
เห็นใจท่านชายจริง ๆ เหมือนโดนรุกล้ำทางเพศทั้งชายทั้งหญิงเลย
แต่ะคนก็เหลือเกินจริง ๆ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
«ตอบ #78 เมื่อ25-05-2014 10:29:17 »

อาจเป็นภาพติดตาพี่เขยไปตลอดชีวิตเลยก็ได้นะ  :hao7:

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
«ตอบ #79 เมื่อ25-05-2014 11:24:04 »

“ไทก็เป็นลูกชายหัวหน้าเผ่านะครับ ทำกับข้าวก็ได้ อบไก่ได้อร่อยมากๆ ซักผ้าก็พอได้ ไทปลูกผักเก่ง เลี้ยงไก่เลี้ยงปลาก็เก่ง เขียนหนังสือ อ่านหนังสือก็คล่อง ความรู้อื่นก็มีเหมือนกัน ดีด้วย”
ไทเอ๊ย ทั้งน่ารักและน่าสงสารในเวลาเดียวกันเลย

ไทน่ารัก ช่างอ้อน ตรงไปตรงมา ปกป้องพี่เขยจากท่านหญิงสุดชีวิต
องค์ชายสามใจอ่อนไวๆนะคะ เห็นแก่จุกน้อยๆของตัวกินไก่ด้วยเถอะ :m13:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
« ตอบ #79 เมื่อ: 25-05-2014 11:24:04 »





ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
«ตอบ #80 เมื่อ25-05-2014 11:52:50 »

ขำไท กันท่าเต็มที่ 55555
เผลอแป๊บเดียวขึ้นเรื่อง 2 แล้วอ้ะ
ชอบแบบนี้ หน่วงนิดเดียว น่ารักดี ^^

ออฟไลน์ poogan_zadd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
«ตอบ #81 เมื่อ25-05-2014 22:43:12 »

น่ารักมากกกกก รู้สึกไทซื่อๆใสๆ ส่วนอัทธายุก็อบอุ่น
ฉากผายปอดอ่านแล้วได้แต่อมยิ้ม สงสารคุณหนูที่แผนพัง ยังลุ้นอยู่จะดราม่าตอนท้ายไหม

รอตอนต่อไปอยู่นะคะ ตอนแรกรู้สึกเฉยๆกับตอนของวันวานแต่พออ่านตอนนี้จบชอบมากกกก

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
«ตอบ #82 เมื่อ26-05-2014 01:27:10 »

 :hao6: อั๊ยยะ ติดตามซะแล้ว
รีบๆรักสิจ๊ะ จะได้เห็นของจริง อิอิ

ออฟไลน์ ชุน

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-1
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 4) 29 พ.ค.57
«ตอบ #83 เมื่อ29-05-2014 07:58:09 »

วันวาน... สู่นิรันดร์
บทที่ ๔


หลังจากวันนั้น เจ้าหญิงวรนารีก็ยังทรงหาโอกาสให้หญิงสาวที่พระองค์ทรงหมายมั่นปั้นมือว่าจะเอามาเป็นพี่สะใภ้ให้ได้ได้มีโอกาสพบกับพระเชษฐาของพระองค์อยู่เนืองๆ เจ้าชายอัทธายุทรงรู้ทันพระขนิษฐาทุกอย่าง และเคยรับสั่งบอกไปตามตรงแล้วว่า

“เจนจิราไม่มีตรงไหนน่าตำหนิ แต่พี่เอ็นดูนางเหมือนน้อง ไม่เคยคิดอยากได้นางมาเป็นพี่สะใภ้ให้หญิงเลย”

แต่เจ้าหญิงพระขนิษฐาทรงมีความเชื่อของพระองค์เอง

“ตอนนี้ยังไม่นึกรัก ถ้าได้ทรงใกล้ชิดกับนางบ่อยๆ อาจจะทรงนึกรักขึ้นมาโดยไม่ทรงรู้องค์ก็ได้เพคะ”

ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่คงจะยาก เจ้าชายหนุ่มทรงละเอียดอ่อนพอที่จะรับสั่งกำชับว่า

“หญิงอยากทำอะไรก็ทำ แต่อย่าพูดโกหกเพื่อให้ความหวังนาง อย่าหลอกให้นางคิดไปเองว่าพี่อาจจะมีใจให้ ตอนนี้พี่ไม่คิดเรื่องมีความรัก แล้วก็ยังไม่อยากจะมีครอบครัว”

สองประโยคท้าย หมายพระทัยว่าจะทำให้เด็กหนุ่มในปกครองของพระองค์ซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วยเก็บเอาไปคิดแล้วตัดใจเสีย ทว่าดูๆ แล้วอีกฝ่ายไม่น่าจะเข้าใจ เพราะทันทีที่ฟังจบก็พลันยิ้มหน้าชื่นตาเป็นประกาย พระองค์จึงต้องทรงพยายามต่ออีกนิด

“ไทล่ะ”

“ครับ” ดวงตาหลังแว่นฉายแววงุนงง

“ไม่คิดจะเขียนจดหมายไปหาคู่หมั้นบ้างหรือ” มีแต่เขียนจดหมายไปหาพ่อแม่เท่านั้น แถมเนื้อความในจดหมายยังพูดถึงแต่พระองค์ มีแต่คำว่าพี่เขยใจดีอย่างนั้น พี่เขยใจดีอย่างนี้เต็มไปหมด

“ว่าจะเขียนคืนนี้ครับ”

คำตอบที่ไม่คาดคิดทำเอาคนตรัสถามทรงนิ่งไปอึดใจ

“งั้นหรือ ก็ดี”

ไทวายิ้มแป้น แต่ไม่ขยายความอะไรอย่างที่มักจะชอบทำ หลังจากรับสั่งเรื่องอื่นๆ ต่ออีกสักพัก เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณก็ตรัสถามขึ้นมาเรียบๆ

“คู่หมั้นของไทชื่ออะไร”

“ท่านหญิงปณาลีครับ อายุมากกว่าไทสามปี แต่หน้าเด็กมาก ตอนแรกไทคิดว่าอายุน้อยกว่าไทเสียอีก นิสัยดีมากเลย ชอบกินแต่ผักด้วย เวลามีไก่ ไทเลยซัดเรียบคนเดียว”

“ชอบนางไหม”

“ชอบครับ”

ชอบ... อย่างนั้นหรือ... แล้วที่ละเมอว่ารักพระองค์นั่นล่ะ สีหน้าเศร้าๆ ตอนที่พระองค์รับสั่งกับเจนจิรานั่นล่ะ คิดจะปั่นหัวพระองค์เล่นหรือ

“พี่เขย... โกรธอะไรไทหรือครับ”

“หือ”

“เจ้าพี่พระพักตร์บึ้งแน่ะเพคะ” พระขนิษฐาทรงขยายความ

“อ้อ พี่... นึกถึงเรื่องงาน ว่าจะกลับกรมเร็วหน่อย” ช่วงนี้พระองค์เสด็จกลับมาเสวยกลางวันที่พระตำหนักเกือบทุกวัน เพราะถ้าวันไหนไม่เสด็จกลับ พอกลับมาถึงตอนเย็น ไทวาจะหน้าเศร้าเป็นหมาหงอยทุกครั้งไป

“พี่ไปก่อน สองคนอยู่ด้วยกันดีๆ ล่ะ อย่าตีกัน”

“พี่เขย! ไทไม่ใช่เด็ก / เจ้าพี่! หญิงไม่ใช่เด็ก”

“หึหึ”





 
ถึงจะทรงตกโอษฐ์รับคำว่าจะประทานเวลาสองเดือนให้อย่างเต็มที่ แต่คนรักงานอย่างเจ้าชายอัทธายุก็เสด็จไปทรงงานที่กรมแทบทุกวันมิได้ขาด ไทวาซึ่งที่จริงแล้วก็ไม่ได้อยากจะไปเที่ยวไหนๆ โดยมีผู้หญิงอื่นนอกจากเจ้าหญิงวรนารีไปด้วยก็รู้สึกพอใจที่จะได้อยู่ติดพระตำหนักบ้าง ถ้าได้ไปเที่ยวแล้วต้องเห็นพี่เขยของเขายิ้มให้คนอื่น เห็นผู้หญิงมากหน้าหลายตายิ้มให้พี่เขย เขาอยู่ที่ตำหนักแล้วรอรับพี่เขยกลับมาดีกว่า เจ้าหญิงวรนารีเคยรับสั่งบอกเขาว่า

“พี่ไม่ค่อยได้มาดูแล ไทต้องควบคุมดูแลพวกมหาดเล็กแทนพี่นะ อย่าให้ขี้เกียจหรือเหลวไหลเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นตำหนักนี้จะเละเทะไม่เป็นระเบียบอีก”

และเจ้าชายสามก็ประทานสิทธิ์ในการดูแลให้อย่างเต็มที่ ไทวาจึงแบ่งงานให้บรรดามหาดเล็กทำอย่างเป็นระบบตามความต้องการของเขาเอง แบ่งเป็นเวรทำความสะอาดห้องต่างๆ และดูแลทุกสิ่งเกี่ยวกับห้องต่างๆ เช่นห้องสรง ห้องแต่งพระองค์ ห้องทรงงาน ห้องหนังสือ ห้องเสวย เป็นต้น ส่วนในเวลาที่เจ้าของพระตำหนักไม่อยู่และมหาดเล็กอยู่ว่าง เขาก็ใช้ให้พวกนั้นมาปลูกผัก ปลูกดอกไม้

เพราะเหตุนี้ รอบๆ พระตำหนักของเจ้าชายอัทธายุจึงกลายเป็นสวนผักผลไม้ไปภายในเวลาไม่นาน ส่วนมหาดเล็กก็กลายเป็นชาวสวน

“ข้างหลังนี่เราจะปลูกผักหลายๆ อย่าง ขุดบ่อเลี้ยงปลา แล้วก็ขุดสระน้ำ ข้างๆ ปลูกดอกไม้ หน้าตำหนักปลูกต้นไม้ใหญ่ๆ เอาไว้ให้ร่ม”

ไทวาได้อย่างที่ต้องการทุกอย่าง เพราะไม่ว่าอยากได้อะไร ขอเพียงเขาไปกราบทูลว่า ‘พี่เขยๆ ไทอยากได้...’ เจ้าชายอัทธายุก็จะทรงตามใจ และรับเป็นพระธุระจัดการให้อย่างดี กระทั่งบ่อปลาและสระน้ำหลังพระตำหนักก็ทรงวางแผนและควบคุมการขุดด้วยพระองค์เองจนเสร็จเรียบร้อย

“เลี้ยงปลาเอาไว้กินครับ อีกหน่อยจะเลี้ยงไก่ด้วย”

ไทวาบอกโครงการขณะนั่งแช่เท้าอยู่ในลำธารข้างสะพานหินโค้ง ที่ตรงนี้เป็นที่ประจำในยามค่ำคืนของเขากับเจ้าชายเจ้ากรมโยธาฯ เมื่อต้องแยกกันนอนคนละห้อง เขาก็ขอใช้ช่วงเวลาก่อนนอนในแต่ละคืนพูดคุยกับอีกฝ่ายตามลำพังให้ได้มากที่สุด

“เลี้ยงเอาไว้กินหรือ”

“ครับ”

“กินดิบรึกินสดล่ะ”

“กินสด... เอ๊ะ... มันก็เหมือนกัน...”

“ลากไปกินในน้ำด้วยใช่ไหม”

“พี่เขย! ว่าไทเป็นตัวเหี้ย!”

คนถูกว่ากำมือชกพระพาหาล่ำๆ ดังตุ้บตั้บไปหลายที ทว่านอกจากอีกฝ่ายจะไม่ทรงสะดุ้งสะเทือนแล้วยังทรงพระสรวลสุรเสียงลั่น เขาเองต่างหากที่ชักจะเจ็บมือ แต่ก็ยังไม่วายชกซ้ำเข้าไปอีก คราวนี้ถูกเจ้าชายหนุ่มทรงยึดมือไว้

“พอแล้ว”

ไทวาชะงัก ต่างฝ่ายต่างนิ่งและมองหน้ากันอยู่หลายอึดใจ ไทว่าเป็นฝ่ายทูลเรียกก่อน

“พ... พี่เขย” เจ้าชายอัทธายุทรงรอฟัง “ท... ไทขอกอดพี่เขยหน่อยได้ไหม”

“... กอดทำไม”

“อยากกอด”

เรียบง่าย ตรงไปตรงมาเช่นนี้เอง ทั้งสีหน้าและสายตาหลังกรอบแว่นเชยๆ ของเด็กหนุ่มบ่งบอกความหมายอย่างเดียวกับที่พูด เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวล พยักพระพักตร์

“เอาสิ”

“ขอบคุณครับ!”

ไทวากอดหมับ เจ้าชายสามทรงรับเด็กหนุ่มเข้ามาไว้ในอ้อมพระพาหา เขาไม่ได้ตัวเล็กบางอย่างผู้หญิง แต่เมื่อพระองค์ทรงกอดไว้อย่างนี้ ก็ช่างพอเหมาะพอดีกับพระอุระอย่างไม่น่าเชื่อ รอยยิ้มสดใสและประกายตาดีใจยังติดสายพระเนตร

หัวใจของไทวาเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ และพระองค์ก็ทรงทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด

หัวใจ... อยู่ตรงหน้าอกข้างซ้ายสินะ และบนหน้าอกก็มีหัวนม... ที่น่าจะเป็นสีชม...

“พี่เขย”

“หะ... หืม”

“ไท...” ไทรักพี่เขย “ไทเลี้ยงไก่ได้ไหม”

“เลี้ยงแล้วจะกินมันลงหรือ”

“กินลงสิครับ ไก่เป็นอาหารของคน ไทชอบกินไก่” หยุดไปครู่ ก็รีบพูดต่ออย่างนึกขึ้นได้ “แต่ไทไม่ใช่ตัวกินไก่”

เจ้าชายอัทธายุทรงพระสรวลเบาๆ ไทวาสูดลมหายใจเข้าลึก สูดกลิ่นฉลองพระองค์และซึมซับบรรยากาศอบอุ่นไว้จนเต็มปอด ก่อนจะคลายอ้อมแขนนิดหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น คำพูดที่จะพูดพลันถูกลืมไปเมื่อเห็นพระโอษฐ์หยักสวยที่อยู่ใต้เรียวพระมัสสุสั้นๆ

“มีอะไร จะขอเลี้ยงหมูอีกหรือ”

คนถูกถามหน้าบึ้ง แต่ไม่ยอมปล่อยแขน

“ไม่ได้จะพูดอย่างนั้นสักหน่อย”

“หึ”

“ไท... อยากลองจับหนวดพี่เขย ขอ... จับหน่อยได้ไหมครับ”

คราวนี้เจ้าชายหนุ่มเพียงแต่ทอดพระเนตรมองนิ่งๆ ทำเอาคนถามใจคอไม่ค่อยดี แววตาไหวระริก เกือบจะถอดใจอยู่แล้ว ตอนที่อีกฝ่ายทรงจับมือเขาไปวางบนเคราสากๆ ของพระองค์

ไทวาค่อยๆ ลูบไล้ไปตามแนวพระหนุคมสันอย่างตื่นเต้น ลูบไปลูบมา ซ้ายขวา ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปแตะเรียวพระมัสสุสั้นๆ    บางๆ แล้วก็หัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ

“จั๊กจี้มือดีจัง ไทชอบหนวดพี่เขยมากเลย”

เจ้าของหนวดอยากจะตรัสถามนัก ว่าเคยทำอย่างนี้กับใครรึเปล่า ลูบๆ หนวดเครา แล้วก็บอกชอบด้วยสายตาหลงใหล

ถ้าเคยทำ ก็อย่าได้ทำแบบนี้กับใครอีก

ไทวานิ่งอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะทำใจกล้า เลื่อนมือลงมาแตะพระโอษฐ์เบาๆ แล้วค่อยๆ ลูบ เจ้าชายอัทธายุทอดพระเนตรสีหน้าและแววตาของคนในอ้อมกอดแล้วคำคำหนึ่งก็พลันผุดขึ้นมา

... เด็กหื่น...

ยื่นหน้าขึ้นมาหาพระองค์แล้ว

“ไท”

เฮือก!

“คะ... ครับ”

“เป็นอะไรรึเปล่า เห็นนิ่งไป”

ไทวาดูเคอะเขินอย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มดึงมือออกและผละออกจากอ้อมพระพาหา เจ้าชายหนุ่มทรงผ่อนพระปัสสาสะออกเบาๆ ไม่ใช่โล่งใจ แต่เป็นเสียดาย

ปากแดงๆ นั่นน่าขบดึงเอามากๆ แต่เวลานี้ยังไม่ควร... ไม่ใช่ตอนที่พระองค์ยังไม่ตัดสินพระทัย

“ขึ้นนอนกันสักทีดีไหม”

ไทวาจ้องมองพระโอษฐ์อีกหน แล้วก็ได้แต่พยักหน้าทั้งที่ตาสว่าง ไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย ระหว่างทางเดินกลับ เจ้าของพระตำหนักก็ทรงชวนคุย

“พรุ่งนี้พี่ว่าจะตัดผม ไทตัดด้วยกันไหม”

“ไทตัดให้ครับ ไทตัดเป็น!”

สมเป็นเด็ก เมื่อกี้ยังดูซึมๆ อยู่ ตอนนี้กลับมากระตือรือร้นได้อีกแล้ว

“จริงหรือ”

“จริงครับ ไทตัดให้ตอนนี้เลยก็ได้ พี่เขยให้ไทตัดให้นะ”

“เอาก็เอา แต่เอาไว้พรุ่งนี้เช้าดีกว่า”

“ครับ!”

คืนนั้น ไทวานอนคว่ำหน้า พูดกับปลาสองตัวที่ไม่รู้ว่าเป็นพันธุ์อะไรบนผนังห้อง

“ดีใจจังเลย จะได้ตัดผมคนเป็นครั้งแรกแล้ว ทุกทีได้แต่ตัดขนแกะ แต่มันคงไม่ต่างกันมากหรอกเนอะปลาพี่เขยเนอะ พรุ่งนี้ไทจะตัดให้หล่อเลย”






เช้าวันรุ่งขึ้น คุณชายเชลยชาวไทวะก็ไปเคาะประตูห้องบรรทมของผู้ปกครองตั้งแต่แสงอาทิตย์เพิ่งจะแตะขอบฟ้า ในมือมีกรรไกรเล่มใหญ่อยู่เล่มหนึ่ง

หลังจากมหาดเล็กผู้รู้งานจัดการเปลี่ยนกรรไกร และเตรียมอุปกรณ์รวมทั้งสถานที่ไว้พร้อมแล้ว ช่างตัดผมที่ดูมั่นอกมั่นใจเป็นอันมากก็สั่งว่า

“ไม่ต้องอยู่ดูหรอก ถ้ามีคนยืนดูผมจะเกร็ง”

มหาดเล็กหนุ่มหันมองพระพักตร์ของเจ้าชายสาม ครั้นพระองค์ทรงพยักพระพักตร์ เขาก็ค่อยๆ คลานเข่าถอยหลังออกจากห้องไปอย่างเรียบร้อย

“ไม่มีใครแล้ว พร้อมรึยัง ช่างไท”

“พร้อมครับ”

เจ้าชายหนุ่มทอดพระเนตรอีกฝ่ายผ่านกระจกแล้วก็แย้มพระสรวล แซวแล้วไม่มีการเก้อเขินเลยอย่างนี้แหละ ไทวา

“พี่เขยไม่ต้องดูกระจกหรอกครับ เอาไว้ดูทีเดียวตอนไทตัดเสร็จ รับรองว่าหล่อแน่”

“เอาอย่างนั้นหรือ” เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงัก พระองค์ก็ทรงคว่ำกระจกลงอย่างง่ายๆ

“ไทเคยตัดให้ใครมาบ้าง” คนที่ไม่รู้องค์ว่ากำลังเป็นหนูทดลองตรัสถามอย่างชวนคุย ทว่าช่างมือใหม่ที่ถือกรรไกรมือหนึ่งถือหวีมือหนึ่งกลับว่า

“เยอะมากครับ นับไม่ถ้วน” คิดๆ แล้วก็คงจะเป็นพันตัวได้ “พี่เขยหลับตาสิครับ ไทต้องการสมาธิ”

ลางสังหรณ์ไม่ดีเริ่มมา... ถ้าเคยตัดมานับไม่ถ้วนแล้วทำไมถึงยังต้องการสมาธิมากขนาดนี้ แต่เจ้าชายหนุ่มก็ตัดสินพระทัยหลับพระเนตรลงตามคำสั่งของช่าง

ไทวาตื่นเต้นจนมือสั่นไปหมด เขาหวีพระเกศามือหนึ่ง ตัดอีกมือหนึ่ง พอผ่าน ‘กริ๊บ’ แรกไปได้ พระเกศาปอยหนึ่งร่วงลงบนผ้าคลุม ‘กริ๊บ’ ต่อๆ ไปก็ง่ายขึ้น ความสนุกสนานเริ่มมา เด็กหนุ่มเล็มไปเล็มมาอย่างเพลิดเพลิน เล็งซ้าย เล็งขวา เดี๋ยวตัดข้างหน้า เดี๋ยวตัดข้างหลัง พิจารณาดูแล้วว่าแต่ละข้างสั้นยาวไม่เท่ากันเขาก็เล็มเพิ่มทีละนิดทีละหน่อยไปเรื่อยๆ

ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง เสียงดัง ‘กริ๊บๆๆ’ ก็หยุดลง ขณะที่สีหน้าของช่างตัดผมซีดไปถนัดตา

“เสร็จแล้วหรือ”

“...”

ไม่มีเสียงตอบ เจ้าชายหนุ่มจึงทรงลืมพระเนตรขึ้นแล้วหันพระพักตร์กลับไปในจังหวะที่ช่างตั้งท่าจะเล็มอีกทีพอดี ปลายกรรไกรอยู่ห่างจากพระนาสิกไปไม่มาก

“ขอโทษครับ!” ไทวารีบวางกรรไกร

“ไม่เป็นไร ไท พี่ผิดเอง” คำปลอบไม่ทำให้สีหน้าของอีกฝ่ายดีขึ้น “แล้วนี่เสร็จแล้วใช่ไหม”

ไทวาจำใจพยักหน้า เจ้าชายอัทธายุจึงทรงหันไปหยิบกระจกขึ้น เด็กหนุ่มทำท่าว่าจะไปฉวยกระจกมาไว้เสียเอง ปากอ้าหมายจะร้องห้าม แต่ก็ไม่ได้ทำทั้งสองอย่าง

เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณทรงพิจารณาพระเกศาทรงใหม่อยู่หลายอึดใจ ก่อนจะหันกลับมาตรัสถามประโยคเดียว

“นี่ไทโกรธแค้นอะไรพี่รึเปล่า”

“ท... ไท... ไท...”

“เมื่อกี้ได้ใส่แว่นไหม” ดอกที่สอง

“ไท... ไทไม่คิดว่าจะออกมาเป็นแบบนี้ ตะ... แต่แบบนี้ก็หล่อดีนะครับ พี่เขยหล่ออยู่แล้ว ตัดทรงไหนก็หล่อ” เด็กหนุ่มกราบทูลเสียงสั่นๆ เบะหน้า น้ำตาเหมือนจะคลอๆ เจ้าชายอัทธายุจึงทรงปลอบอย่างพระทัยดี

“เอ้า ไทว่าหล่อ พี่ก็ว่าหล่อ”

ช่างตัดผมมือใหม่มองพระพักตร์นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นอีกฝ่ายทรงพยักพระพักตร์ให้เป็นเชิงยืนยันว่าพระองค์รับสั่งจริงๆ ไม่ต้องคิดมาก เขาก็น้ำตาร่วงพรู

“ขอโทษ... ขอโทษครับ”

ตาพร่ามัวจนต้องถอดแว่นออกแล้วเช็ดน้ำตาป้อยๆ เจ้าชายหนุ่มทั้งขำทั้งสงสารจนต้องอ้าพระกรออกเล็กน้อย ยังไม่ทันรับสั่งอะไร เด็กหนุ่มที่ตัวไม่ใช่น้อยๆ ก็โผเข้ามากอดพระองค์ไว้แน่นเสียแล้ว

“ไทขอโทษ ขอโทษครับพี่เขย ไทไม่ได้ตั้งใจจะตัดเยอะแต่มันไม่เท่ากัน ไทเลยตัดไปเรื่อยๆ”

“ไม่ต้องเสียใจ พี่ไม่ได้ว่า” เจ้าชายหนุ่มรับสั่งบอกพระสุรเสียงนุ่ม ครั้นเด็กหนุ่มเงยหน้าเปื้อนน้ำตาขึ้นมามองพระพักตร์ พระองค์ก็แย้มพระสรวล แล้วปลอบใจไปอีกประโยคหนึ่ง

“แค่ไทอุตส่าห์ปล่อยหูสองข้างของพี่ไว้ พี่ก็ดีใจแล้ว”

“ฮึก... ฮืออออออออ! พี่เขยแกล้งไท”

“ฮะๆๆๆๆ”






วันนั้น ตั้งแต่มหาดเล็ก องครักษ์ ยันเจ้าพนักงานทั้งกรมโยธาธิการ ไม่มีใครไม่มองพระเกศาของเจ้าชายอัทธายุนานเป็นพิเศษ แต่นอกจากเจ้าชายหนุ่มจะไม่ทรงรู้สึกเก้อเขินแล้วยังแย้มพระสรวลประทานตอบคนมองอย่างพระอารมณ์ดี ครั้นทรงนึกถึงสีหน้าเปื้อนน้ำตาของช่างตัดผม ก็ยิ่งทรงพระอารมณ์ดี




เย็นวันนั้น พระอาทิตย์จวนตกดินเร็วกว่าทุกวัน เจ้าชายเจ้ากรมโยธาฯ ทรงมีคนรอรับอยู่ที่พระตำหนักดังเช่นทุกวัน คนที่วิ่งโผล่พ้นออกมาจากพุ่มไม้ข้างพระตำหนักนั้นมีสภาพเดียวกับที่พระองค์ทรงคุ้นเคย คือทั้งมือทั้งเสื้อผ้าเปื้อนเศษดินและเปียกชื้นเป็นบางแห่ง แต่บางอย่างแตกต่างไปจากเดิม และสะดุดสายพระเนตรตั้งแต่แรกเห็น

เด็กหนุ่มวิ่งเข้ามาหยุดห่างจากพระองค์มากกว่าวันอื่นๆ สีหน้าเก้อเขิน ไม่มั่นใจอย่างเห็นได้ชัด เหลือบตาขึ้นมองพระพักตร์ แล้วก็หันไปทางอื่น ดันแว่นสายตาขึ้นแก้เก้อ

“ไท... ไม่หล่อแล้วใช่ไหมครับ วันนี้พี่น้องเอาขนมมาฝาก เห็นหัวไทแล้วก็หัวเราะใหญ่เลย บอกว่า... ว่าไทหน้ากลม ผมเกรียนแบบนี้ดูเหมือนลูกชิ้นเปี๊ยบเลย”

“ไทตัดเองหรือ”

ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายตรัสถามด้วยพระอารมณ์ไหน แต่เขาก็ตอบไปตามจริง

“ให้ช่างตัดให้ครับ” ช่างตัวจริงที่เขาเสนอให้มาตัดเล็มพระเกศาให้ดูดีกว่านี้ แต่พระองค์รับสั่งว่าไม่ต้อง จะเสด็จไปกรมทั้งอย่างนั้นนั่นแหละ

“คิดยังไงถึงตัด”

คราวนี้สีหน้าของเด็กหนุ่มชักจะไม่ค่อยดี

“ไม่หล่อเลยใช่ไหมครับ”

“อืม”

“ไท... รู้ครับ... แต่ไทอยากจะหัวเกรียนเป็นเพื่อนพี่เขย”

คนกราบทูลเสียงอ่อยหน้าม่อย ทว่าในสายพระเนตรของคนมองอยู่ไม่วางตา เด็กหนุ่มตัวอวบหัวเกรียนที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดงช่างดึงดูดความสนใจของพระองค์ไปได้ทั้งหมดจริงๆ

ไทวาตกใจเล็กน้อยเมื่อถูกกอดโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ผมสั้นๆ แทบติดศีรษะของเขาถูกอีกฝ่ายทรงขยี้ไปมาแรงพอสมควร เจ้าชายสามแห่งเรืองอรุณรับสั่งอยู่เหนือหัว พระสุรเสียงอบอุ่นอาบไล้หัวใจของเขาอย่างอ่อนโยน... เฉกเดียวกับแสงตะวันในยามเย็น

“ไม่หล่อก็ไม่เป็นไร พี่ว่าทรงนี้น่ารักดี ขอบคุณมากครับ ไทวา”
.
.
.
.
.
.

เด็กคนนี้เอาใจใส่ความรู้สึกของพระองค์มากเหลือเกิน




tbc.

*************************************

ตอบเม้นของดไปก่อนนะคะ
ตอนแรกว่าจะลงรามิเรสเมื่อวาน
แต่หน้าจอโน้ตบุ้กเป็นสีขาว มีแต่เสียงเปิดเครื่อง ไม่มีภาพ ไม่มีตัวหนังสือ
ไม่รู้เป็นอะไร คงจะต้องยกไปร้านซ่อมวันเสาร์นี้ (ใช้มาราวๆ 8 ปีได้แล้ว) วันนี้เลยลงวันวานไปก่อนค่ะ
ใช้คอมที่ทำงาน แล้วก็ใช้ต้นฉบับในอีเมล (ต้นฉบับรามิเรสไม่ได้เอาเข้าเมล มีอยู่ในโน้ตบุ้กอย่างเดียวเลยค่ะ)

ไปแล้วนะคะ รีบอ่ะค่ะ ขอให้อ่านสนุกนะคะ ^^

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
«ตอบ #84 เมื่อ29-05-2014 08:28:51 »

เริ่มสงสารท่านชาย ไทเอ้ยไท ขนแกะกับผมคนมันเหมือนกันที่ไหนล่ะ

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 3) 25 พ.ค.57
«ตอบ #85 เมื่อ29-05-2014 09:54:30 »

องค์ชาย 3 หลงเสน่ห์ไทแล้วดิ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 4) 29 พ.ค.57
«ตอบ #86 เมื่อ29-05-2014 17:57:50 »

ไทเอ้ย น่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้พี่เขยไม่รักให้มันรู้ไปซิ เนอะ

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 4) 29 พ.ค.57
«ตอบ #87 เมื่อ30-05-2014 00:13:18 »

 :o8: น่ารักจัง

ออฟไลน์ poogan_zadd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 4) 29 พ.ค.57
«ตอบ #88 เมื่อ31-05-2014 15:42:42 »

มุ้งมิ้งไม่ไหวแล้วค่ะ อ่านแล้วชุ่มชื่นหัวใจมากกก

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
Re: เวลา : วันวาน (บทที่ 4) 29 พ.ค.57
«ตอบ #89 เมื่อ31-05-2014 17:08:36 »

องค์ชายสามสกินเฮด มีไรเคราด้วย ต้องเท่มากแน่ๆ :m3:
ไทน่ารัก ช่างอ้อน ตรงไปตรงมา ใครอยู่ใกล้ก็หลงนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด