(ตอนที่ 5/2 จบตอนที่ 5)
กลิ่นอาหารทำให้คนกำลังหลับตื่นขึ้นมาจนได้เพราะท้องเริ่มร้องประท้วง ยามนี้เที่ยงแล้ว เลยเวลาอาหารเช้าไปเอาการอยู่ ปกติอาหารเช้าของเจมส์จะมีแค่กาแฟแก้วเดียวเท่านั้น แต่ในวันนี้ที่เสียพลังงานไปมาก เขากลับรู้สึกหิวจนแทบจะกินช้างได้ทั้งตัว
และในตอนนี้ ข้าวต้มหอมกรุ่นที่วางอยู่ด้านข้าง ก็ทำเอาเขาน้ำลายสอ
ร่างกายเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว พร้อม ๆ กับความต้องการอาหารเสียด้วย หน้าตาอาหารที่น่ากิน ยิ่งทำให้คนพึ่งตื่น มองมาตาเป็นประกาย
มือที่จับช้อนทำท่าจะป้อนชะงัก เมื่อเผลอสบสายตาออดอ้อนราวลูกหมาตัวน้อยอย่างยินดีเกินเหตุนั้น
“มือนายไม่ได้เจ็บนี่นะ กินเองแล้วกัน” ปวินต์ตีหน้านิ่งพูดต่อไป เมื่อเห็นอีกฝ่ายท่าทางดีขึ้นมากกว่าที่คิด เห็นได้ชัดจากการผุดลุกขึ้นนั่ง โดยไม่มีท่าทางอ่อนแรงเหลืออยู่อีก
“โธ่ คุณวินต์ล่ะก็ ผมเป็นคนป่วยนะครับ” ชายหนุ่มเริ่มออดอ้อน
“แต่เท่าที่ฉันเห็น ดูนายจะอาการดีขึ้นมากแล้วนี่ อ้อ…จริงสิ” ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างนึกขึ้นได้ มือที่ถือชามข้าว ตั้งท่าจะส่งให้แต่ทีแรก กลับหยุดกึก แล้วดึงกลับอย่างจงใจ ใบหน้าสวยมีรอยยิ้มซีเรียส
“เล่าให้ฉันฟังให้หมดก่อน แล้วค่อยกิน” ตำรวจหนุ่มพูดหน้าตาเฉย
มือที่ยื่นไปรับเก้อได้แต่วางลงอย่างเสียดาย คนกำลังหิวกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก ก่อนจะตีสีหน้าน่าสงสาร “คุณอย่าเอาอาหารเป็นเครื่องต่อรองสิครับ เกิดผมหิวตายขึ้นมาจะทำยังไง”
“บ้านนายก็ใกล้วัดอยู่แล้วนี่ สวดสักสามคืนแล้วเผา คงไม่ยุ่งยากอะไรนัก” เสียงราบเรียบตอบกลับอย่างทำทีไม่สน
“ผมรู้ว่าคุณใจดีกว่านั้นเยอะ น่า ให้ผมกินก่อนดีกว่า แล้วคุณจะถามอะไร ผมจะบอกให้หมด…เท่าที่คุณน่าจะได้รู้”
“แค่บอกให้หมดทุกอย่าง มันยากนักหรือไง” มือนั้นยกชามห่างไปอีก ก่อนทำท่าจะวางลงเก็บบนถาดที่ยกมาแต่แรก
“อ๊ะ อย่าเอาไปสิครับ เรื่องนั้นผมจำเป็นจริง ๆ นะ เข้าใจผมหน่อยสิครับ”
เสียงท้องร้องประท้วงขึ้นอีก ทำให้คนกำลังแกล้งเก๊กหลุดขำจนได้
“เอ้า เชื่อแล้วว่าหิวจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นก็กินก่อน แต่กินเสร็จแล้ว ต้องเล่าซะทีแล้วนะ”
เจมส์มองมาพลางยิ้มแห้ง ๆ “ครับ ๆ ผมไม่กล้าแล้ว คุณเป็นช้างเท้าหน้าจริง ๆ ถ้าเราแต่งงานกัน ผมคงเป็นทาสของคุณไปจนตายแน่เลย”
ปวินต์เผลอหน้าแดง ก่อนทำเสียงดุแก้เขิน “ใครบอกจะแต่งงานกับนาย”
คนฟังอมยิ้มไม่แย้งอะไร เพราะตอนนี้กำลังมีความสุขกับการรับประทานจนคนมองเริ่มหมั่นไส้ มือเพรียวยึดชามจะดึงกลับอีก แต่สู้แรงคนป่วยไม่ได้เสียอย่างนั้น
“อ้อยเข้าปากช้างแล้ว มีหรือจะยอมคืน” เจมส์พูดยิ้ม ๆ ก่อนตั้งหน้าตั้งตากินต่ออย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งยังคงยึดชามไว้ไม่มีปล่อย
“ก็หายแล้วนี่นา ทำฟอร์มเป็นคนป่วยอยู่ได้” ตำรวจหนุ่มบ่นพึมพำ แต่เจมส์ทำเป็นไม่ได้ยิน จนสุดท้ายปวินต์ต้องยอมแพ้ ปล่อยให้อีกฝ่ายกินต่อไปจนหมดโดยไม่ขัดอีก
“ฮ้า…อิ่มดีจัง อาหารฝีมือคุณอร่อยสมกับที่น้องปรางคุยไว้จริง ๆ เสียด้วย” คนป่วยพูดลูบท้องอย่างมีความสุข หลังจากอ้อนขอเติมเพิ่มจนหมดหม้อ กินเยอะจนปวินต์เองยังอึ้ง เขามองมาพลางตอบว่า
“ถ้ากินล้างกินผลาญขนาดนี้ สงสัยคงต้องงดเชิญไปกินข้าวที่บ้านฉันแล้ว”
เจมส์ทำตาปริบ ๆ “วันนี้ผมป่วยหรอกครับ ถึงกินเยอะขนาดนี้ ชดเชยส่วนที่สึกหรอยังไงล่ะ แต่ว่านะ…ถ้าเป็นอาหารฝีมือคุณ จะให้ทานเมื่อไหร่ ผมก็ต้องทานให้หมดอยู่ดี ไหน ๆ คนทำอุตส่าห์ทำด้วย ‘ความรัก’ เสียขนาดนี้”
คำพูดแอบแทงใจดำ เล่นเอาปวินต์แทบยืนไม่ติด เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมต้องบรรจงทำมากกว่าทุกทีขนาดนี้ด้วย
“เอ้า กินก็อิ่มแล้ว ทีนี้จะพูดได้หรือยัง” ชายหนุ่มเบี่ยงประเด็น ดวงตาคมยังมองมาจริงจังอย่างไม่ยอมให้อีกฝ่ายหลบเลี่ยงได้อีก
ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะถามว่า “แล้วคุณอยากรู้เรื่องอะไรล่ะครับ”
“ลูกชายนายอยู่ไหนกัน”
คนฟังอดขำมากกว่าเดิมไม่ได้ เขาค่อย ๆ ลุกขึ้น โดยมีอีกฝ่ายตั้งท่าจะช่วยประคอง หากชายหนุ่มยิ้มให้ แล้วบอกว่า “ผมหายแล้วล่ะครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ทีเมื่อกี้ทำมารยานะ ไม่น่าทำให้กินเลย” ผู้กองหนุ่มแอบบ่น
“ผมหายดีเพราะอาหารฝีมือคุณไง เอ้า ผมจะพาคุณไปหาลูกชายผม ตามมาสิครับ”
ร่างสูงลุกขึ้นยืนก่อนเดินไปที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา ห้องนี้เป็นห้องพระ เพราะท้ายที่สุดปวินต์ก็ไม่ได้เคลื่อนย้ายเจมส์ออกไป แต่ปล่อยให้นอนพักในห้องพระดังเดิม
ที่มุมด้านหนึ่งของโต๊ะหมู่บูชาขนาดใหญ่ จัดวางเครื่องรางของขลังไว้อย่างเป็นระเบียบ และหนึ่งในนั้น ก็มีตุ๊กตารูปเด็กผมจุกหน้าตาน่ารัก ยืนเท้าสะเอวจังก้าในชุดโจงกระเบนโบราณ ด้านบนไม่สวมเสื้อแต่เป็นสร้อยสังวาลห้อยไขว้กันไว้ ทั่วตัวประดับเครื่องประดับทอง เช่นสร้อยคอและกำไลข้อมือข้อเท้าเสียเต็มยศ
“นี่ไงครับ เจ้าเคน ลูกชายผม” ชายหนุ่มชี้ตุ๊กตาตัวนั้นให้ปวินต์ดู
คนเดินตามมาดูใกล้ ๆ หันมาสบตาแกร่งอีกครั้งอย่างงุนงง
“ลูกชายนายเป็นตุ๊กตางั้นเหรอ”
เจมส์ฟังคำถามซื่อ ๆ นั้นแล้วอดขำไม่ได้ “คุณช่างไม่รู้อะไรเกี่ยวกับทางคุณไสยเลยนะครับ”
คำพูดนั้นเล่นเอาคนถามแอบหน้าชา ก็เขาไม่เชื่อเรื่องพวกนี้นี่นา เรื่องอะไรจะต้องไปสนใจด้วย “ไม่เห็นจะอยากรู้เลยนี่ เรื่องหลอกลวงพรรค์นั้น”
สีหน้าของเจมส์เคร่งขรึมมากขึ้นก่อนจะถามชายหนุ่มว่า “ถ้ามีคนมาดูถูกอาชีพตำรวจของคุณ คุณจะรู้สึกยังไงครับ”
คนถูกถามหันควับมามอง ด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก อาชีพตำรวจนี้ สำหรับเขาแล้ว ศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่เสมอมา เหมือนผู้เป็นพ่อที่จากไปในหน้าที่ แม้จะตายจากก็ยังเป็นที่เคารพรักและชื่นชมต่อทุกคน
เพียงแค่แววตาที่มองมาก็แสดงคำตอบได้เด่นชัด เจมส์พูดต่อไปว่า “คุณรักและเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณเป็น ในสิ่งที่คุณทำ ใช่ไหมครับ ผมอยากจะบอกว่า ผมก็เช่นกัน ผมเองก็เป็นหมอผี ที่รักในอาชีพของผม และแน่นอนว่า…ถ้ามีใครมาดูถูก ผมเองก็ใช่ว่าจะยินดี ผมไม่คิดจะกรอกหูให้คุณเชื่อ ไม่ได้คิดจะเล่นกลหลอกลวงให้คุณยอมทำตาม ของพวกนี้ มันสัมผัสได้ด้วยใจ และด้วยความศรัทธา คุณจะไม่เชื่อ นั่นไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณตั้งแง่ปฏิเสธมาตั้งแต่ต้น คุณก็จะไม่สามารถรับฟังเสียงเล็ก ๆ ที่เขาอยากจะพูดคุยกับคุณมาตลอดได้เลย”
คำพูดของเจมส์ย้อนสิ่งที่เขาเป็นเข้าอย่างจัง ปวินต์เถียงไม่ออกเลยทีเดียว เขาเริ่มเข้าใจในงานของอีกฝ่ายมากขึ้นเล็กน้อย ของทุกอย่าง มันต่างจิตต่างใจ และต่างมุมมอง ขึ้นกับว่าแต่ละคนจะคิดอย่างไร
และสิ่งสำคัญก็คือ เขาควรจะรับฟัง มากกว่าจะเอาแต่ปฏิเสธสินะ
ตำรวจหนุ่มหายใจเข้าลึก พยายามทำความเข้าใจอีกฝ่ายมากกว่าเดิม
“นายกำลังอยากจะบอกฉันว่า?”
“เปิดใจสิครับ อย่าปฏิเสธเขา ลูกชายของผมน่ะ เขาชอบคุณนะ เขาอยากคุยกับคุณมาตลอด เพียงแต่ว่าคุณไม่เคยจะยอมเชื่อและรับฟังเลย”
“หมายความว่ายังไง”
“เจ้าเคนลูกของผม เป็นกุมารทองที่ผมเลี้ยงไว้ จริง ๆ เขาอยู่มาตั้งแต่รุ่นพ่อแล้ว และเขา…ก็มาอยู่กับผมต่อ คุณรู้ไหม กุมารทองน่ะ เป็นเด็กที่มีกรรม และน่าสงสารมากนะครับ”
“ไม่ใช่แค่ผีที่สิงในตุ๊กตาหรอกเหรอ” ปวินต์ถามออกไป ก่อนจะชะงัก เมื่อเห็นแววตาของอีกฝ่าย ที่ดูจะไม่พอใจนัก
“ขอโทษ…ฉันอาจจะพูดไม่คิด เพราะฉันไม่รู้จริง ๆ แต่ว่า…เมื่อวานนี้ ฉันได้ยินเสียงเขา ชัดเจนมากด้วย และแน่ใจว่าคงหูไม่ฝาด เอาล่ะ นายเล่ามาสิว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง”
“เมื่อวานเขาใช้พลังงานไปมากทีเดียว ทั้งช่วยป้องกันพวกเรา และพยายามสื่อสารกับคุณ จนวันนี้ เขาเลยไม่สามารถปรากฏกายได้ดีเท่าไหร่ แต่เอาเถอะ ผมจะเล่าความเป็นมาตั้งแต่แรกให้ฟังก่อนแล้วกันครับ”
“กุมารทองเป็นเด็กที่ตายในท้อง หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ตายทั้งกลม แต่ถูกนำออกมาด้วยวิธีการเฉพาะ และปลุกเสกเพื่อให้เป็นกุมารทอง คอยช่วยเหลือผู้มีอาคมนั่นเอง คุณรู้ไหม ไม่ใช่เด็กที่ตายทุกคน จะสามารถเป็นกุมารทองได้ แต่เด็กที่สามารถเป็นได้ คือเด็กที่มีกรรมติดตัว”
“มีกรรมงั้นเหรอ”
“ใช่ครับ คนที่ชาติก่อนเคยทำแท้งฆ่าลูกตัวเองมาก่อน มาในชาตินี้ พอมาเกิดด้วยบ่วงแห่งกรรม เลยทำให้ตายตั้งแต่อยู่ในท้องไม่สามารถเกิดออกมามีชีวิตอยู่ได้ และเพราะวิบากกรรมนั้น หมอผีบางประเภท จะอาศัยความโชคร้ายของพวกเขา ในการผูกมัดและตั้งตัวเป็นเจ้านาย เพื่อบงการพวกเขา ให้ทำอะไรตามต้องการ”
“ถึงผมจะพูดแบบนั้น ก็ใช่ว่าหมอผีที่ทำเช่นนั้น จะเลวไปหมดทุกคนหรอกนะครับ พวกเขาคล้ายมีกรรมผูกกันมาแต่ชาติปางก่อน มาถึงตอนนี้ จึงได้มาอยู่ร่วมกันอีก” ว่าพลางยิ้มน้อย ๆ แก้เครียด ก่อนจะพูดว่า “เหมือนกับคุณและผมไง”
คนกำลังฟังอิน ๆ ถึงกับชะงัก ก่อนจะแกล้งทำตาดุ
“ครับ ๆ ผมเล่าต่อก็ได้ ท่าทางผมจะเคยทำกรรมอะไรกับคุณไว้แน่เลย เผลอทีไรโดนเล่นกลับซะทุกที”
“ไม่ต้องมานอกเรื่องเลย รีบ ๆ เล่าต่อได้แล้ว” ปวินต์เร่งด้วยความอยากรู้
“พ่อของผม ท่านก็เป็นหมอผีแบบเดียวกับผมนี่แหละ แล้วก็เก่งมากด้วย แต่ท่านไม่เคยคิดจะเลี้ยงกุมารทองหรอกนะครับ เพียงแต่อาจจะพูดได้ว่า มีชะตาต้องกัน เพราะมีหมอผีคนหนึ่งทำตัวไม่ดี และกดขี่เด็กน้อยที่เลี้ยงไว้เป็นกุมารทองมาก ๆ จนพ่อทนไม่ไหว พ่อพยายามทำทุกอย่าง เพื่อตัดบ่วงกรรม แม้ว่ามันต้องลดทอนอายุขัยของท่านลง แต่ท่านก็รับเด็กคนนั้น มาเลี้ยงดูแทนได้ในที่สุด”
ว่าพลางถอนหายใจ “คุณอาจจะสงสัย ว่าทำไมถึงไม่ให้ไปผุดไปเกิดแทนสินะครับ อย่างที่ผมเคยบอก กุมารทองเป็นเด็กที่มีกรรม ดังนั้น ถ้ายังไม่ถึงคราวหมดกรรม เขาก็จะยังไม่สามารถไปเกิดได้ การจะปล่อยเขาวนเวียนอยู่ในโลกต่อไปโดยลำพัง มันก็คล้ายคุณปล่อยให้เด็กไร้เดียงสา เผชิญโลกลำพังนั่นแหละ และเพราะอย่างนั้น ครอบครัวของเรา เลยเลี้ยงเขาไว้”
“จนพ่อของผมตายจากไป และผม…อาจจะมีบางอย่าง ที่คล้ายพ่ออยู่บ้าง…เอ้อ ไม่ได้หมายถึงหน้าตาหรอกนะครับ เพราะผมก็เป็นเด็กที่พ่อเก็บมาเลี้ยงเหมือนกัน แต่เพราะพวกเรา มีชะตาต้องกันอย่างที่บอก เด็กคนนี้ เลยนับถือผมเป็นพ่อ ต่อจากพ่อของผม ที่ตายไปแล้ว”
“แสดงว่าที่เรียกว่าลูก ก็เพราะเป็นแบบนี้สินะ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “ผมน่ะ เรียกเขาว่าเจ้าจุก แต่หลัง ๆ มานี่ เคน ธีระเดช กำลังดัง เขาปลื้มมาก เลยขอให้ผมเรียกว่า ‘เคน’ แทน”
คนฟังอมยิ้ม นึกถึงเสียงเล็ก ๆ ที่ช่วยเขาไว้เมื่อวาน ท่าทางคงเป็นเด็กกระตือรือร้น และน่ารักเอามาก ๆ แน่
“งั้นฉันเรียกเขาว่าเคนด้วยได้ไหม”
“ได้สิครับ เขาน่ะ เห็นคุณเป็นเหมือนพ่ออีกคนของเขามานานแล้ว เจ้าเคนน่ะวัน ๆ เอาแต่ชมคุณให้ผมฟัง จนผมตกหลุมรักแล้วเนี่ย”
ดวงตาคมค้อนควับเข้าให้ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เลิกนอกเรื่องซะทีเถอะน่า เอาล่ะ ตอนนี้ฉันเข้าใจเรื่องลูกชายของนายแล้ว แต่ว่า เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เจมส์นิ่งไปอย่างตัดสินใจ เขาไม่รู้ว่าควรจะบอกปวินต์ดีหรือไม่ ถึงอันตรายที่กำลังเข้ามา เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนดี ที่คงไม่ยอมให้เขาต้องต่อสู้เพียงลำพังแน่ ๆ มันเป็นเรื่องน่าดีใจอยู่หรอก แต่เขาก็ไม่อยากลากให้ปวินต์ ต้องมารับเคราะห์ไปด้วย ถ้าเขาทำไม่สำเร็จ
“เรื่องเมื่อวาน…” ชายหนุ่มพูดต่อหน้าตาเฉยต่อว่า “ก็แค่คู่อริของผม เล่นงานผมเข้าแล้ว พอดีคุณเข้ามา มันกลัวก็เลยหนีไป” เรื่องฟังดูง่ายดายเกินคาด
“แค่นี้เนี่ยนะ?”
“ครับ แค่นี้สิครับ พวกเราสู้กันด้วยอาคมนิดหน่อย ผมพลาดท่าไป แต่ดีได้ท่านเจ้าที่ กับเจ้าเคนช่วยไว้ แล้วคุณก็เข้ามาพอดีเลย เรื่องก็เลยจบลงอย่างแฮปปี้” เจมส์พูดต่อไป
ปวินต์มองหน้าชายหนุ่ม ด้วยใบหน้าอันราบเรียบ ซึ่งจากเท่าที่คบกันมา เห็นได้ชัดว่ากำลังโกรธ “ฟังดูเหมือนนิยายดีนะ ฉันควรจะเชื่อนายดีไหม”
เจมส์ลอบถอนหายใจ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “มันก็แค่นั้นแหละครับ”
“เรายังเป็นเพื่อนกันแน่เหรอ ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้ว” ทั้งคำพูดและแววตาคล้ายตัดพ้อเสียจนคนมองเริ่มเจ็บแปลบ แต่เขาก็ยังคงไม่พูดอะไร
“นายก็หายแล้วนี่นะ ฉันคงหมดความจำเป็นแล้ว ถ้าอย่างนั้น ฉันกลับก่อนล่ะ ฝากลาเจ้าเคน ลูกนายด้วยแล้วกัน”
เขาว่าพลางทำท่าจะเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อนครับ คุณวินต์”
ร่างผอมบางชะงัก หันกลับมามอง และเห็นเพียงรอยยิ้มน้อย ๆ ของอีกฝ่าย ที่ดูสุดฝืน
“ยังไงผมก็ขอบคุณมากนะครับ สำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา…ขอบคุณมาก…และก็ขอโทษ ที่ทำให้คุณผิดหวัง”
“ถ้ารู้ตัวก็คิดให้ดีแล้วกัน ว่าควรจะทำยังไง!” เสียงจากอีกฝ่ายตอบสะบัด ก่อนที่ปวินต์จะออกไปจริง ๆ
“พ่อฮะ แบบนี้ดีแล้วเหรอฮะ” เสียงเล็ก ๆ ของเจ้าเคนถามขึ้นเบา ๆ รับรู้ได้ดีถึงความเจ็บปวดของผู้เป็นพ่อ
“ดีแล้วล่ะ เราอยู่ของเราแบบนี้ ก็อยู่กันได้ไม่ใช่เหรอ อย่าให้คุณตำรวจของเจ้า ต้องมาเดือดร้อนไปกับเราด้วยเลย”
“คุณตำรวจของพ่อต่างหาก ไม่ใช่ของผมสักหน่อย” เด็กชายบ่นพึมพำ “แต่ยังไงผมก็จะอยู่ข้างพ่อนะฮะ อย่าเสียใจไปเลย”
“ขอบใจนะ เจ้าเคน คืนนี้ไม่รู้พวกมันจะมาไม้ไหนกับเราอีก ยังไงก็…ฝากด้วยแล้วกันนะ”
ร่างเล็กรับปากเบา ๆ ก่อนจะหายตัวไป ก่อนจะไป เจ้าตัวยังคงบ่นพึมพำกับตัวเองไม่เลิก
เด็กน้อยไม่เข้าใจเลย ว่าทำไมกันหนอ ผู้ใหญ่ถึงได้ชอบปากไม่ตรงกับใจกันเสียจริง!
จบตอน