ตอนใหม่มาแล้วครับผม
ชายหนุ่มเดินเข้าซอยบ้านของตัวเองด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในมือเขาแกว่งถุงข้าวต้มหัวปลาไปมาพรางยังคิดถึงคำถามนั้นของธารา
“แล้วคอมละ.....เคยหนีบ่างหรือเปล่า”
หนีหรือ.....ตัวเขาเองเป็นใครกันถึงได้ไปสั่งสอนเรื่องนั้นเรื่องนี่ให้ใครต่อใคร ทำเป็นรู้มากรู้มายทั้งที่จริง ๆ เขาก็เป็นเพียงคน ๆ หนึ่งที่ดำเนินชีวิตไปวัน ๆ อย่างเลื่อนลอย อีกวันต่อไปอีกวัน.....อีกเดือนต่อไปอีกเดือน.....อีกปีต่อไปอีกปี......ในทุกครั้งที่คิดว่าน่าจะถึงจุดหมาย แต่มันก็หลับกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นไม่จบไม่สิ้น วนเวียนอยู่อย่างนั้นราวกับวังน้ำวน วนเวียน ล่องลอย ไร้จุดหมาย
“หนีหลอ...”ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ พรางหัวเราะอย่างขมขื่น เขาหนีมาทั้งชีวิต หนีจากแม่ที่เมามายไร้สติ หนีจากพ่อที่จากไปอย่าเลือดเย็น หนีจากความจริงที่แสนเจ็บปวดนั้น หนีจากปัญหาต่าง ๆ มากมายด้วยแรงและกำลังทั้งหมดเท่าที่มี ไม่สนใจวันคืน ไม่สนใจเวลา เอาแต่หนี และหนี และหนีอยู่อย่างนั้น จนมารู้ตัวอีกครั้งเขาก็หนีมาไกล ไกลแสนไกลนับจากจุดเดิม ไกลเกินกว่าจะมองเห็นหรือจดจำ แต่ต่อให้ไกลแค่ไหน ยาวนานเพียงไดสิ่งเหล่านั้นก็ยังไล่ตามเขามาติด ๆ ไล่ตามเขาราวกับเป็นเงาที่จะตามหลอกหลอนเขาตลอดไป จนวันหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างก็จบสิ้นลง
ไร้เรี่ยวแรงจะวิ่งหรือเดินต่อไป แขนขาไร้แรงที่จะก้าวย่าง ดวงตาไร้ความอยากที่จะลืมตาตื่น สมองไร้ความต้องการที่จะคิด จิตใจไร้แรงที่จะรับรู้ ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มหยุดลง ปล่อยให้ทุกสิ่งอย่างถาโถมเข้าใส่ราวกับคลื่นยักษ์ที่โถมใส่ร่าง ในตอนแรกเขาพยายามขัดขืน ออกแรงว่ายวนเวียนอยู่อย่างนั้นราวกับคนโง่ที่พยายามปาหินไปยังพระจันทร์ จนในที่สุดเขาก็เรียนรู้ เรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งเหล่านั้น เรียนรู้ว่าสุดท้ายแล้วหินที่ปาขึ้นไปมันจะกลับตกลงมาทำร้ายตัวเขาเอง สู้ดูดกลืนมันให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายและจิตวิญาณ ปล่อยให้มันซึมลึกลงไปในเนื้อหนัง เส้นเลือดและกระดูกจะง่ายกว่า ปล่อยให้มันกัดกินเท่าที่มันต้องการ สนองทุกสิ่งที่พวกมันอยากได้ ทำทุกอย่างตามที่มันเรียกร้องและสุดท้าย เขาก็กัดกินมันเป็นอาหาร หล่อเลี้ยงวิญาณของตัวเองต่อไป
ชายหนุ่มค่อย ๆ ใขล๊อกประตูบ้านเข้าไปก่อนจะคว้าชาม ช้อนและแก้วน้ำขึ้นไปด้านบน เทอาหารใส่ชาม เทน้ำใส่แก้ว และวางมันไว้ที่เดิม หญิงกลางคนยังนอนนิ่งในท่าเดิมไม่เปลี่ยน แต่เสียงนั้นหายไปแล้ว มันชั่งให้ความสงบที่แสนเจ็บปวดเหลือเกิน
ชายหนุ่มค่อย ๆ เดินออกมาก่อนจะขึ้นห้องของตัวเองไป ทำไมเวลาแบบนี้ทำไมอมรถึงไม่ออกมานะ ทั้ง ๆ ที่ตลอดสองสามวันมานี่ทุกครั้งที่ชายหนุ่มอยู่คนเดียว ครุ่นคิด หรือเจ็บปวด เขาจะออกมา เอ่ยคำถามที่แสนเจ็บปวดและแทบจะไร้ทางตอบออกมามากมาย บีบเค้นคำตอบนั้น รีดเร้นมันจากเลือดเนื้อและจิตใจของชายหนุ่มด้วยความไร้เดียงสาและเลือดเย็น
ชายหนุ่มนั่งอยู่ขอบหน้าต่างพรางมองดูแสงสีต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ภายนอก แสงสีส้มทอดตัวยาวไปตามสายน้ำนั้น ระยิบระยับสดใส
ไม่นานเขาก็หันไปคว้าประเป๋ากล้องขึ้นสะพายบ่าและเดินออกจากบ้านไป
ตลาดในเวลาสี่โมงเย็นเศษนั้นดูกลับมาเงียบเหงาอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะไร้ผู้คนเดิน แต่เพราะผู้คนนั้นหันไปจับจ่ายอาหารสำเร็จมากกว่าของสด ทำให้ภายในตลาดที่เป็นแหล่งของสดนั้นร้างไป พ่อค้าแม่ขายต่างพากันทยอยปิดร้านกัน บ่างนั่งจับกลุ่มคุยกันตามประสา บ่างนั่งจับดูสินค้าของตัวเองก่อนจะโยนมันลงเข่งขยะ บ่างล้อมวงกินเหล้าเคร้าเสียงเพลงที่ขับขานกันเองอย่างออกรส
คนพวกนี้นั้นแทบไม่ต่างอะไรกับชายหนุ่ม ชีวิตที่อยู่กับปัจจุบัน ไม่มีอดีตหรืออนาคต มีแต่ปัจจุบันที่ต้องทำไปวัน ๆ จากจุดเริ่มต้นกลายเป็นจุดจบ และจากจุดจบก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้ง
ชายหนุ่มกดชัตเตอร์รัว ๆ สองสามครั้ง แดดยามบ่างนี้ดูสวยงามอย่างประหลาด มันเป็นสีส้มอมแดงดูสดใสและเปี่ยมไปด้วยพลังแต่เคลือบแฝงไปด้วยความเศร้าที่นอนตัวอ่อยอี่งอยู่ในบรรยากาศ วันกำลังหมดไป จุดจบกำลังจะมาถึงแล้วและมันกำลังกลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ชายหนุ่มเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย นานครั้งเขาจะหยุดและกดชัตเตอร์บันทึกภาพสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไว้ จนมารู้ตัวอีกครั้งเขาก็มายืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนแห่งหนึ่ง ความรู้สึกในใจเขานั้นกู่ร้องบอกเขาว่านี่ไม่ใช่ที่ของเขาอีกแล้ว ใช่มันเคยเป็น แต่ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว
ชายหนุ่มเคยศึกษาอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้เมื่อตอนม.ต้นและม.ปลาย มันเป็นโรงเรียนเก่าแก่แห่งหนึ่งในจังหวัดตั่งอยู่ในเขตวัดและติดกับตลาด ทำให้รู้ได้ในทันทีว่านักเรียนที่นี่ไม่ใช่คนที่จะเติบโตขึ้นเป็นรัฐมนตรีหรือผู้นำประเทศอะไรแบบนั้น หากแต่เป็นชนชั้นล่างและกลางที่ใส่ใจในความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันมากกว่าสลดใจไปกับข่าวการฆ่าฟันกันในอิสราเอล อย่างน้อย นั้นก็เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มสัมพัทธ์รู้มา
ในสนามฟุตบอลเล็ก ๆ ที่เขียวขจีไปด้วยสีที่ทาฉาบไปทั่วนั้นยังมีเด็กในชุดนักเรียนสีขาวกับกางเกงสีกากีวิ่งเตะบอลพราสติกกันไปมาอย่างสนุกสนาน บนอัฐจรรย์มีเด็กนักเรียนหญิงจับกลุ่มคุยกันอย่างออกรส ครูอาจารย์นั่งอยู่ตามห้องพักสะสางงานและพูดคุยกันถึงเรื่องวันนี้ ช่วงเวลาแห่งอดีต....กลิ่นอายของแดดยามเย็นย่ำ......มันช่างเป็นเวลาที่แสนน่าโหยหาเสียเหลือเกิน
ในวัยนั้นเขาทำอะไรอยู่นะ เขาถามตัวเองและไม่น่าแปลกที่มันจะไม่มีอะไรตอบกลับมา ในหัวเขาดำมืดไปด้วยความทรงจำที่ไร้เรื่องราว เขาจำไม่ได้แล้ว ที่จริงเขาแทบไม่เคยจำเรื่องราวต่าง ๆ นับแต่บิดาเขาจากไปไม่ได้เลย ความทรงจำนั้นเป็นความทรงจำสุดท้ายที่เขาจำได้ และมันช่างเจ็บปวดเหลือเกินที่เป็นแบบนั้น
“เจนศิลป์....เจนศิลป์หรือเปล่า...” เสียงหนึ่งดังขึ้น จากด้านหลังขณะที่เขาเดินไปมาในห้องเรียนที่เขาจำได้เลา ๆ ว่าเคยเข้ามาเรียนอยู่ ชายหนุ่มหันไปและพบกับหญิงกลางคนคนหนึ่ง เธอคงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของเขา แต่ทั้งหน้าตา ผิวพรรณ และเสื้อผ้านั้นดูต่างกันลิบลับ เธอมีดวงตาที่ฉายแววประหลาด แข็งกล้าแต่อ่อนหวาน ผมหยิกขอดนั้นรับกันดีกับใบหน้าที่เรียวยาว ดวงตาหยีเล็ก ริมฝีปากบางแต่กลับยิ้มจนสุด
“ครูธารทิพย์.....ครูธารทิพย์หรือเปล่าครับ....” ชายหนุ่มค้นในสมองอยู่นานจนเจอชื่อนี้ซุกตัวอยู่ในหลืบมุมที่ตกตะกอนของความทรงจำ
“จ๊ะ...แหม ว่าจะจำได้นะ” เธอว่าพรางหัวเราะ
หญิงผู้เป็นครูคนนี้ได้พบกับเจนศิลป์ครั้งแรกเมื่อตอนอยู่ชั้นประถม และเมื่อเขาขึ้นชั้นมัธยมปลาย เธอก็ย้ายมาสอนที่นี่พอดี นั้นนับเป็นเรื่องแปลก แต่ที่แปลกกว่านั้นก็คือเธอเป็นรุ่นน้องของเจนวิทย์ พ่อของชายหนุ่มเมื่อตอนสมัยเรียน ทำให้เธอรู้จักทั้งบิดาและมารดาของเขา
“แม่เป็นไงบ่างละ...”เธอถามขึ้นพรางเดินไปตามทางเดินของอาหารเรียน
“เหมือนเดิมครับ....”ชายหนุ่มตอบเรียบ ๆ พรางคลึงกล้องที่ห้อยอยู่ที่คอไปมา
“เฮ้ย.....พี่เดือนนะพี่เดือน....ทำไมถึงเป็นอย่างนี้นะ....ถึงตอนเรียนจะกินบ่อยก็เถอะ.....”เธอพูดพรางถอนหายใจยาว แต่ก็เหมือนนึกขึ้นมาได้ว่าผู้เป็นผู้ใหญ่ไม่ควรพูดอะไรแบบนั้นออกมา จึงเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วเป็นไงบ่างละเรา การเรียน....”
“ก็ดีครับ.....” ชายหนุ่มเอ่ยตอบ น้ำเสียงราบเรียบ
“แล้วเรื่องงานละ.....เห็นเขาว่าถูกไล่ออกเพราะขโมยของ” เธอคนนี้ไม่เคยเลยที่จะตั้งคำถามโดยเกรงกลัวว่าจะทำร้ายจิตใจของอีกฝ่าย นั้นละที่ทำให้ชายหนุ่มชอบเธอคนนี้มากกว่าผู้รวมอาชีพคนอื่น ๆ
“ครูคิดว่าไงละครับ.....”ชายหนุ่มย้อนถามพรางยิ้ม เธอยิ้มตอบ
“นั้นสิ.....มันไม่ใช่สิ่งที่เราทำ...”
“แต่เป็นสิ่งที่คนอื่นคิดต่างหาก ที่ตัดสิน” ชายหนุ่มต่อคำของอีกฝ่าย เธอจึงยิ้มกว้างกว่าเดิม
“พ่อเธอชอบพูดแบบนั้น.....ตลอดเลยละ.....”เธอว่าแล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง “พอเถอะ พอเถอะ พูดกันแต่เรื่องแบบนี้ มีหวังฉันแก่ลงไปอีกหลายปีแน่....” ชายหนุ่มหัวเราะกับคำพูดนั้น “มาเถอะ....ไปห้องชมรมกัน”
“จะ...จะดีหรือครับ”
“มาเถอะน่า.....” เธอว่าพรางดึงแขนของชายหนุ่มเดินลงบันไดมา
ทั้งคู่เดินลงมายังชั้นล่างสุดก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่งที่ดูมืดทึบและรกรุงรัง ทั้งชั้นวางของที่แน่นไปด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ มากมาย กล่องกระดาษวางตามพื้นห้อง รูปภาพใส่กลอบนับสิบ ๆ ที่เรียกตามผนังจนแน่นอีกทั้งยังมีเด็กนักเรียนในชุดสีขาวกางเกงสีกากีนั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งหญิงและชายรวมแล้วราวสิบคนได้ นั้นยิ่งทวีความรู้สึกรุงรังเข้าไปอีกเป็นทวีคูณ ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบ ๆ และคุ้นตากับรูปที่อยู่บนผนังมากที่เดียว
“อะไรกันเนี้ยพวกเธอ นี่ห้องชมรมนะไม่ใช้ห้องมั่วสุม...” เสียงของเธอคนนั้นดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มต้องหยุดค้นความจำของตัวเอง “ไอ้อลงกต ลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้ดี ๆ สิ ทำตัวเป็นขอทานนอนตามฟุตบาทไปได้...”เธอหันไปว่านักเรียนชายคนหนึ่งที่นอนอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่กับพื้นห้อง เขารีบตารีตาลานลุกขึ้นในทันที
ชายหนุ่มพึ่งประจักรแก่สายตาวันนี้เองว่าเธอคนนี้มีอำนาจในฐานะครูมากแค่ไหน ตอนเขาเรียนอยู่ม.สี่นั้นเธอก็ย้ายมาเป็นอาจารย์ที่นี่พอดี เขาจำไม่ได้แล้วว่าเธอรับผิดชอบสอนวิชาอะไรแต่ดูเหมือนจะเป็นพวกสังคมอะไรสักอย่าง
“เอา ๆ ฟัง ๆ” เธอเริ่มเอ่ยเสียงดังอีกครั้งหลังจากที่เห็นพวกลิงทะโทนทั้งหลายเขาที่เขาทาง “วันนี้อาจารย์มีรุ่นพี่คนหนึ่งมาแนะนำให้พวกเรารู้จัก”เธอว่าพรางดันหลังของเจนศิลป์ให้ก้าวไปข้างหน้า “นี่พี่เจนศิลป์....” เสียงกล่าวสวัสดีและการยกมือไหว้ปรากฏไปทั่วจนเจนศิลป์ยกมือขึ้นรับแทบไม่ทัน “เขาเป็นรุ่นพี่พวกเธอ เคยเรียนอยู่ที่นี่แล้วก็เป็นเจ้าของรูปนั้น นั้น แล้วก็ทั้งผนังนั้นด้วย”
เจนศิลป์ร้องอ๋อขึ้นในทันที ก่อนจะรู้สึกถึงสายตาที่มองมาทางเขาอย่างแปลกประหลาดนับสิบคู่ เขายิ้มแห้ง ๆ เป็นเชิงตอบ
“ยังไงมีอะไรก็ถามพี่เขานะ.....เดี๋ยวอาจารย์มา”
“อ้าว....ไปไหนละครับ” เจนศิลป์รีบหันไปถามอีกฝ่าย เธอยิ้มน้อย ๆ
“เดี๋ยวครูมา เอาของไปเก็บที่โต๊ะก่อน” เธอว่าแค่นั้นแล้วก็เดินออกไป ปล่อยให้เจนศิลป์ต้องเผชิญกับความเงียบที่แสนเย็นยะเยือกและสายตาชวนสงสัยเหล่านั้น ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ ก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ และหันไปมองดูภาพเบนผนัง เขาจำไม่ได้แล้วว่าเคยถ่ายภาพเหล่านี้ ภาพเด็กตัวเล็กนั่งซุกตัวอยู่ในเสื้อตัวยาวมอซอภายใต้ใต้แสงไฟจากเสาไฟ ภาพหญิงชรานั่งเคี้ยวหมากในชุดม่อฮ่อมและหมวกชาวนา ภาพพ่อค้าปลาช่อนกำลังทุบหัวปลาดูโหดร้ายและทารุณ.....
ในตอนนั้น เขามองภาพของโลกใบนี้แบบไหนกันนะ......
“พี่ชอบถ่ายขาวดำหลอครับ” เสียงหนึ่งดังมาจนเจนศิลป์ต้องหันไปมอง ผู้ถามเป็นชายคนที่นอนอ่านหนังสือการ์ตูนกับพื้นนั้นเอง ดูจากใบหน้าและการพูดจา เขาน่าจะอยู่ราวม.สี่
“อือ....”เจนศิลป์ตอบสั้น ๆ ก่อนจะหันไปดูรูปเหล่านั้นอีกครั้ง
“ทำไมละพี่....ผมว่ามันดูจืด ๆ ไปนะ.....” เสียงหัวเราะและเสียงหยอกเย้าดังขึ้น
ชายหนุ่มหันไปมองต้นเสียงอีกครั้งพรางยิ้มแห้ง เขาชั่งไม่เหมาะกับบทบาทที่ธารทิพย์ทิ้งไว้ให้เสียเลย
“แล้ว...อลงกตใช่มั้ย....ชอบภ่ายภาพสีหลอ”
อีกฝ่ายพยักหน้าและทำเสียงอือในลำคอพลันทำให้มีฝ่ามือของคนข้าง ๆ ประทับเข้าใส่หัวอย่างแรง
“อือเหี้ยไร ครับสิ” ผู้ที่พูดนั้นเป็นชายท่าทางเอาเรื่องไม่น้อย น่าจะอยู่ม.ห้าหรือหก
ชายหนุ่มยิ้มขำก่อนว่าต่อ “พี่ว่าภาพถ่ายมันก็ช่วยบอกนิสัยคนถ่ายนะ อย่างอลงกตชอบถ่ายภาพสี คงเพราะเรามองเห็นไอ้นั้นไอ้นี่เป็นอย่างที่มันเป็น สวยอย่างที่มันสวย น่าเกลียดอย่างที่มันน่าเกลียด มองมันอย่างผิวเผิน ตัดสินมันจากสายตา....”ชายหนุ่มว่าพรางลากเก้าอี้มานั่ง “แต่พี่ว่าบางครั้ง ถ้าเรามองสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราต่างออกไปอีกนิด มันอาจจะทำให้อะไรหลายอย่างเปลี่ยนไปก็ได้นะ”
อลงกตทำหน้ามุ่ย “งงครับพี่”
“พี่เขาจะบอกว่า เรื่องของพี่เขา มึงไปเสือกอะไรกับเขาด้วย....”เสียงหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังดังมา พลันทำให้เสียงหัวเราะดังขึ้นไปทั่ว
“แล้วพี่ชอบถ่ายภาพขาวดำเพราะแค่ไม่ชอบภาพสีแค่นั้นหลอครับ” เสียงชายคนที่ตบหัวอลงกตดังขึ้น ชายหนุ่มพึ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายไว้เคราที่ปลายคางด้วย มันดูเขากันดีกับผิวสีคล้ำนั่น
“ไม่ใช่ว่าไม่ชอบภาพสีหลอก เพียงแต่ชอบภาพขาวดำมากกว่า”
“งั้นภาพสีหรือขาวดำถ่ายยากกว่ากันละค่ะ” เสียงหญิงสาวด้านหลังถามขึ้น
“พี่ว่ายากง่ายเหมือนกัน อยู่ที่คนถ่าย”
“คนถ่ายเก่งไม่เก่งอย่างงี้หลอครับ”อลงกตเอ่ยอีกครั้ง
“เปล่า...คนถ่ายเห็นสิ่งที่จะถ่ายแบบไหนต่างหาก”
“งั้นพี่ช่วยดูนี่ให้ผมหน่อยสิครับ.....”อลงกตว่าพรางหยิบเอากระเป๋าที่อยู่ข้าง ๆ เท้าขึ้นมาเปิดแล้วยื่นกระดาษอัดภาพมาให้สี่หาแผ่น
หลังจากนั้นมหกรรม “ช่วยดูภาพให้หน่อย” ก็เกิดขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเรื่องอัดภาพแล้วก็อะไรอีกหลายอย่างจนเวลาผ่านไปนานพอดูกว่าที่ธารทิพย์จะกลับมา
“เอ้ามา...เปิดห้องอัดภาพให้แล้ว” เธอว่าพรางเปิดประตูห้องเล็ก ๆ ด้านในนั้นให้เปิดอ้าออก ทุกคนต่างกรูกันเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็ว มีแต่เจนศิลเท่านั้นที่ดูไม่กระเหี้ยนกระหือรืออย่างเข้าไป เขาแยกตัวออกมานั่งเหมอมองออกไปทางประตูเงียบ ๆ แสงแดดดูจะไม่อ่อนแรงลงเลยแม้แต่น้อยมีแต่จะยิ่งเพิ่มสีแดงอันทรงพลังนั้นเขาไปในลำแสง พลันทำให้สนามฟุตบอลกลับหลายเป็นสีอย่างที่ชายหนุ่มจำไม่ได้ว่ามันเคยเป็นมาก่อน แสงสีส้มแดงทอดยาวจากอีกฝากสนามมายังตัวเขา มันดูทรงพลังและร้อนแรงอย่างน่ากลัว
“เอานี่.....”ธารทิพย์ เอ่ยพรางยืนบางสิ่งให้ชายหนุ่ม เขารับมาพรางมองอีกฝ่ายอย่างอยากจะถามว่าอะไร เธอคนนั้นไม่ตอบเอาแต่จ้องมองมันที่อยู่ในมือของชายหนุ่มจนเขาหงายมันขึ้นจึงรู้ว่านั่งคือรูปภาพที่อัดใส่กลอบอย่างดี
ภาพนั้นเป็นภาพของใครบางคน นั่งอยู่บนอัฐจรรย์ ในมือถือสิ่งของบางอย่าง เขามองเห็นมันไม่ชัดนักเพราะแสงในภาพพุ่งตรงมายังกล้องอีกทั้งยังเป็นภาพขาวดำจึงทำให้ร่าง ๆ นั้นดูดำมืดจนแยกไม่ออก
“ใครครับ...”ชายหนุ่มเอ่ยพรางมองมายังธารทิพย์
“ก็เธอไง” อีกฝ่ายตอบพรางยิ้ม “อะไรกัน จำไม่ได้หลอกหลอ....เธอนะ ชอบทำอย่างนี้ประจำละตั้งกล้องเอาไว้แล้วก็ถ่ายตัวเอง....”
ชายหนุ่มพยายามค้นลงไปในสมองแต่ก็พบเพียงความทรงจำที่มืดมิตรเท่านั้น ความเงียบเข้าปรกคลุมคนทั้งสองพร้อมด้วยสายลงเย็นที่พัดมาคล้ายปราณีช่วยบรรเทาความร้อนที่แสนสาหัส แต่มันไม่อาจช่วยอะไรเจนศิลป์ได้เท่าไรนัก แท้ที่จริงแล้วมันกลับทำให้เขายิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นไปอีก
“เธอชอบนั่งตรงนั้นมากเลยนะ” ธารทิพย์เอ่ยขึ้นพรางชี้ไปอีกฝั่งหนึ่งของสนามที่มีอัฐจรรย์งวางยาวเรียงราย ในมือข้างที่เธอชี้มีบุหรี่ที่จุดแล้วติดอยู่ “ตอนพักกลางวันหรือตอนเย็น เธอชอบไปนั่งอยู่ตรงนั้น กินขนมถังแตกบ่าง นั่งเหมอบ่าง.....”
ชายหนุ่มนิ่งฟังพรางมองลงมายังภาพนั้นที่อยู่ในมือ
“มันก็แปลกดีนะที่ครูก็อยู่ตรงนี้ มองเธอจากตรงนี้ทุกวัน ห่างกับเธอแค่ไม่กี่เมตร รู้เรื่องทุกอย่าง แต่กลับช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย”
“ไม่หลอกครับครู...”ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น “ครูช่วยผมได้เยอะเลยครับ”
อีกฝ่ายกระตุกยิ้มคล้ายขมขื่นใจพรางนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใกล้ ๆ ตรงข้ามกับเจนศิลป์และยกบุหรี่ขึ้นสูบก่อนจะปล่อยควันขาวออกมาพวงใหญ่ “เชื่อมั้ย....ครั้งแรกที่ครูเห็นเธอนะ ครูจำได้เดี๋ยวนั้นเลยว่าเป็นเธอแน่ ๆ ลูกชายของพี่วิมย์”
“จริงหลอครับ” ชายหนุ่มละสายตามาที่หญิงคนนั้นพรางยิ้มน้อย ๆ
“อือ”เธอพยักหน้าพรางอัดบุหรีอีกครั้ง “ก็เล่นหน้าเหมือนกันขนาดนั้น จำไม่ได้ก็บ้าแล้ว”
ชายหนุ่มหัวเราะ “หลอครับ ผมเหมือนพ่อมากเลยหลอครับ”
“เหมือนมาก เลยละ” เธอเน้นเสียงที่คำว่าเหมือนมากจนฟังเหมือนเป็นอักษรตัวโตบนกระดาษสีขาว “ทั้งรูปร่าง หน้าตา แววตา นิสัย ท่าทาง ท่าเดิน ถอดแบบกันมาไม่มีผิด อ๋อ แล้วก็ชอบกินขนมถังแตกเหมือนกันอีก”
ว่าแล้วเจนศิลป์ก็ขำออกมา
ธารทิพย์นิ่งมองดูเขาที่ยิ้มด้วยสายตาอ่อนโยนพรางปรากฏคำถามมากมายขึ้นในใจ ทำไมเด็กคนนี้ถึงยังยืนอยู่ตรงนี้ได้นะ ทำไมเขาดูราวกับไม่บุบสลายไปเลยแม้แต่น้อย ยังคงดำเนินชีวิตราวกับทุกสิ่งเป็นปรกติดี ยังเดิน ยังนั่ง ยังคิด ราวกับไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย อะไรที่คอยค้ำให้เขาก้าวเดินต่อไปยังวันข้างหน้า มันคืออะไร
แต่แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดพรายขึ้นสมองของเธอสั่นครอนหัวใจราวกับเครื่องช๊อตไฟฟ้า สิ่งที่บุบสลายไปแล้วจะมีอะไรให้ต้องบุบสลายอีกละเศษสากที่แตกหักแล้วมีอะไรให้เสียหายอีก.....
“ครูดีใจนะที่เธอยังยิ้มอยู่ได้....” หญิงคนนั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาบางแต่ราบเรียบราวกับธารน้ำเย็นที่ไหลเอื่อย
ชายหนุ่มมองดูอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นยืน
“ผมว่าผมไปดีกว่าครับ ขืนอยู่ต่อไปคงทำให้ครูแก่ลงไปอีกเป็นสิบปีแน่”เขาว่าพรางยิ้มและยื่นกรอบรูปคืนอีกฝ่าย
“เก็บไว้เถอะ....”เธอเอ่ยพรางยืนขึ้นเช่นกัน “มันอยู่บนโต๊ะครูมาสองปีกว่าแล้ว ช่วยครูไว้เยอะ ลองให้มันช่วยเธอดูบ่าง”
เจนศิลป์มองอีกฝ่ายคล้ายไม่เข้าใจ เธอยิ้ม และไม่ตอบคำถามนั้น
ชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้พรางกล่าวลาและหันหลังเดินไป จนเมื่ออีกฝ่ายเรียก
“โลกนี่นะ....ไม่ได้มีแต่สีขาวกับดำหลอกนะ”
ชายหนุ่มยิ้มรับคำนั้นไว้และกล่าวลาอีกครั้งก่อนจะออกเดินไปด้วยก้าวย่างที่หนังอึ้งกว่าเดิมหลายเท่า
“ขาวกับดำหลอ” ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ
.......... ยังไม่จบนะครับ มีต่อ ...........................................................