เรื่อง : Feel คนเจ้าอารมณ์
คู่ที่ 4 : #นาคินทร์อนุชา
เขียนโดย : +Memew+
+CHAPTER 07 : แอบยั่ว & ฝัน
ผมกลับบ้านมายังไงก็ไม่รู้เลย แต่รู้สึกว่านาคินทร์จะเงียบเป็นพิเศษ ผมเองก็เหมือนกัน ตัวมันรุม ๆ ผมยื่นเสื้อคุณเอกสิทธิ์ให้แม่บ้านเอาไปซัก ส่วนตัวเองก็เดินขึ้นห้อง อาบน้ำอาบท่าใส่ชุดนอนเรียบร้อย ผมล้วงหยิบข้าวของออกจากกระเป๋ากางเกงจนถึงผ้าเช็ดหน้าชื้น ๆ ของตัวเอง กลิ่นเหงื่อของนาคินทร์ลอยคลุ้ง ผมกำมันแน่น เดินไปที่ริมหน้าต่าง มองฝ่าแสงอาทิตย์ยามเย็นไปยังโรงเลื่อย
นาคินทร์กลับมาทำงานหน้าเคร่งเหมือนเดิม ผมยืนมองทุกการเคลื่อนไหว แล้วอยู่ ๆ คนที่ก้มหน้าอยู่ก็เงยขึ้นช้า ๆ มาสบตา ผมมองเจ้าของดวงตานั้นนิ่งค้าง พอ ๆ กับคนตัวสูงที่ไม่ละสายตาจากผมไปไหน แล้วนาคินทร์ก็ยกมือให้ผมนิด ๆ ก้มลงไปทำงานต่อ สักพักก็เดินหายลับไปจากสายตาผม
อยากให้นาคินทร์ยืนอยู่ตรงนั้นนาน ๆ ถึงไม่ต้องมองตอบ แต่อยู่ให้ผมมองก็ยังดี ผมถอนหายใจแรง ถอยห่างออกมาจากหน้าต่าง อีกเดี๋ยวก็ต้องลงไปกินข้าวแล้ว แต่ผมยังไม่อยากลงไปคุยกับใครตอนนี้
ผมทิ้งตัวลงบนเตียง ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นดู นึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะสัมผัสจากปากและลิ้นร้อน ๆ ที่แตะหัวนมผมนั้น ผมเผลอเลื่อนมือมาแตะหัวนมผ่านเสื้อ ความรู้สึกของผมตอนนี้มันไม่ใช่นิ้วผม แต่เป็นความรู้สึกตอนนั้น ผมเลื่อนมือแทรกชายเสื้อสูงขึ้นมาบีบหัวนมตัวเอง มันแข็งตัวแล้ว ผมบีบมันจนเผลอครางออกมา
นี่ผมกำลังทำอะไร
ผมถามตัวเอง แต่ก็ไม่คิดจะหยุด บีบบี้มันอยู่อย่างนั้น ภาพนาคินทร์วนเวียนอยู่หัวผม โดยเฉพาะความรู้สึกที่ถูกปลายลิ้นร้อนนั้นสัมผัส
“นาคินทร์…”
ผมครางเรียกเสียงแหบ บีบหัวนมตัวเองราวกับมันคือปากและลิ้นของนาคินทร์ เลื่อนไปที่หัวนมอีกข้าง ร่างกายผมร้อนจนส่วนนั้นตั้งชัน ผมกำที่นอนแน่น เลื่อนผ้าเช็ดหน้ามาดม กลิ่นเหงื่อนั้นยิ่งกระตุ้นความต้อนการรุนแรง ผมงับผ้าเช็ดหน้าไว้ เลื่อนมือลงไปใต้กางเกง กัดผ้าเช็ดหน้าแน่น นึกถึงเรือนกายสูงใหญ่ นึกถึงว่าถ้าร่างนั้นโอบกอดผม แทรกตัวเข้ามาในเรือนร่างผม
“นาคินทร์…”
ผมครางเรียกอีกที คลายผ้าเช็ดหน้าออก กลิ่นเหงื่อนั้นยังฟุ้งกระจาย มือหนึ่งผมบีบหัวนมตัวเองแน่น อีกมือขยับท่อนล่าง ผมบิดร่างไปมาเพราะความเสียวสะท้านที่ยอดอก
“นาคินทร์”
ผมครางเรียกชื่อนาคินทร์อีกเมื่ออารมณ์พุ่งสูง ผมหอบแฮก ยกมือที่เปรอะไปด้วยความใคร่ขึ้นดู
ทุเรศจริง ๆ
“นี่ ได้ข่าวว่าลิฟท์ตกเหรอลูก”
“อืม เกือบไม่รอด ไม่ได้ตายเพราะลิฟท์ตกแต่ตายเพราะโดนไม้เสียบทะลุคอ ดีว่ามันผ่านเสื้อไปได้ เสื้อขาดดีกว่าคอขาด”
ทุกคนมีสีหน้าตกใจ
หลังจากมื้อเย็น ผมก็นั่ง ๆ นอน ๆ เล่นอยู่กับทุกคนในห้องรับแขกนั่นแหละ ชยันต์จ้องหน้าผมเขม็ง
“มีอะไร”
“กำลังเสียขวัญอยู่หรือเปล่า”
“ทำไม”
“ท่าเสียขวัญพี่โคตรเอ็กซ์อ่ะ เหมือนพวกยั่ว”
ผมอ้าปากค้าง
“ไปทำหน้าแบบนี้ต่อหน้าผู้ชาย ระวังโดนกดนะพี่ จะหาว่าไม่เตือน”
“บ้ารึไง”
เราพูดกันค่อย ๆ จึงได้ยินกันแค่สองคน
“จะโดนกดได้ไง พี่เป็นผู้ชายนะ ไม่ได้เป็นแบบชยันต์ด้วย” ถ้าเป็นได้ก็ดีน่ะสิ เพราะผมอยากให้นาคินทร์กดผมเหมือนกัน
แต่คงยาก
“นี่ ถามจริง เคยนอนกับใครมาบ้างรึยัง ห้ามโกหกน้องนะ”
ชยันต์ใช้ดวงตาแสงเลเซอร์มอง ผมส่ายหน้ามองกลับ
“รอดมาได้ไงวะ” ชยันต์พึมพำกับตัวเอง “แต่ขืนเป็นแบบนี้ต่อ จะรอดได้ไม่นานนะ”
“ชยันต์ นายทำพี่งงนะ”
“เอาเถอะ ยังไงช่วงนี้ไปไหนมาไหนก็อยู่ใกล้ ๆ นาคินทร์ไว้ละกัน อย่างน้อยถ้าจะให้ใครกินสักคน ให้หมอนั่นกินก็ยังจะดีซะกว่า”
“อะไร กินอะไรกัน”
แม่ขยับเข้ามาถาม ทำให้การสนทนาของเราสองคนชะงักไป
รู้สึกร่างกายมันร้อน ๆ ยังไงแปลก ๆ มันร้อนจนผมต้องเลิกถอดเสื้อนอนที่ใส่ประจำออก ทิ้งตัวลงนอน แต่มันนอนไม่หลับ ผมพลิกตัวกระสับกระส่าย ตามันตื่นจริง ๆ ผมดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ผมรู้ว่าตอนนี้จิตใจผมอยู่ที่ไหน และถ้าไม่ได้เห็นหน้าเขาอีกรอบ รับรองได้ว่าคืนนี้ ผมนอนไม่ได้แน่ ๆ
ผมก้าวลงจากเตียง เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า มองหาเสื้อที่มันเรียบร้อยหน่อยมาใส่ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นเสื้อสุดยั่วของชยันต์ ผมเลื่อนมือจะจับ แต่เปลี่ยนใจ หันไปหาตัวอื่นแทน กำลังจะใส่ แต่เปลี่ยนใจ วางมันลง หยิบเสื้อชยันต์มาถือ
ผมกำลังคิดอะไรทุเรศ ๆ อีกแล้ว
ผมตัดสินใจสวมมันลงหัว ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องใส่ อย่างน้อยมันก็โชว์หัวไหล่และร่องอก เผื่อมันจะยั่วหินผาให้พังทลายลงได้บ้าง
ทั้งที่รู้อยู่แล้ว ว่ายั่วยังไงก็ไม่ได้ผล
แต่แค่หนึ่งในร้อยก็ยังดี
ผมเดินเงียบกริบออกจากห้อง ทุกคนคงขึ้นนอนกันหมดแล้ว ผมย่องเบาลงบันไดเดินตรงไปทางหลังบ้าน ไฟยังไม่ปิด ถ้าไฟยังไม่ปิด แปลว่านาคินทร์ยังไม่นอน
ผมย่องเบาใกล้เข้าไปเรื่อย ๆ กระทั่งเห็นนาคินทร์นอนอยู่บนม้านั่งแบบยาว ๆ ที่ทำจากไม้ ไม่มีพนักพิงหรือที่เท้าแขน หันหัวมาทางผมเลยมองไม่เห็น มีเพลงจากวิทยุทรานซิสเตอร์เก่ากึกเปิดคลอไว้เสียงแหบ ๆ ซ่า ๆ นาคินทร์ไม่ได้ยินเสียงผมเพราะเสียงวิทยุกลบนี่แหละ ผมเดินไปหยุดยืนอยู่เหนือหัว วางมือปิดดวงตาคมไว้แผ่วเบา นาคินทร์สะดุ้ง แล้วนิ่งเงียบ
“คุณหนู”
“รู้ได้ไงว่าเป็นฉัน”
ผมถามงง ๆ นาคินทร์จับมือผมไว้ ขยับลุกนั่งทั้งที่ยังไม่ปล่อยมือ เสียงเพลงยังดังคลออยู่
“ผมจำกลิ่นคุณหนูได้”
ผมแอบยิ้มอยู่ในใจ หัวใจไหวอย่างดีใจ นาคินทร์ค่อย ๆ ปล่อยมือผมลง
“คุณหนูยังไม่นอนอีกเหรอครับ ดึกแล้วนะ”
“นอนไม่หลับ สงสัยจะตกใจเรื่องวันนี้ หลังเป็นไงบ้าง ช้ำขึ้นหรือเปล่า ของฉันมันซ้ำขึ้นกว่าเดิมอีก”
ผมพลิกหลังให้ดู แต่ไม่เห็นหรอกเพราะมันอยู่ในเสื้อ
“ไม่น่าเลย”
นาคินทร์ส่ายหน้า ผมล้วงหยิบหลอดยาที่พกติดตัวมาด้วยยื่นไปให้
“ทายาให้หน่อยสิ”
ผมร้องขอเสียงแผ่ว นาคินทร์ชะงักไปครู่ ก่อนรับไปถือไว้ ผมทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้านาคินทร์ หันหลังให้ คร่อมไว้คล้ายคนขี่ม้า นั่งใกล้ในระยะมือที่มือของนาคินทร์จะเอื้อมถึงได้ง่าย ๆ ผมทำทุกอิริยาบถอย่างเชื่องช้า
ภายนอกผมเชื่องช้าก็จริง แต่ตรงข้ามกับจังหวะการเต้นของหัวใจผมตอนนี้เลย ผมรู้ว่าผมกำลังยั่วคนด้านหลังอยู่ ยั่วทั้งที่รู้ว่าเขาไม่มีทางหลงเสน่ห์ แต่มันก็คือความสุขที่ได้ทำ
เพราะเสื้อที่ผมใส่มาวันนี้มันคือเสื้อคอกว้าง ผมจึงไม่ต้องเลิกขึ้น แต่ใช้วิธีเดิมคือค่อย ๆ ดึงจากหัวไหล่ให้มันร่นลงไปคล้องไว้ที่แขน เผยให้เห็นผิวเนื้อด้านหลังของผมตั้งแต่ลำคอลงไปถึงบั้นเอว กางเกงที่ผมใส่มาเป็นกางเกงเอวต่ำด้วย ผมหน้าร้อนผ่าว นั่งนิ่งรอเวลาให้นาคินทร์ทายาให้
นานอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังไม่มีอะไรเคลื่อนไหวจากทางด้านหลัง ผมหันไปมอง
“นาคินทร์”
“คะ ครับ ขอโทษ พอดีนาคินทร์กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ”
ผมพยักหน้า หันกลับมามองตรง ๆ อีกครั้ง มีดวงไฟเปิดไว้รอบบ้าน ผมคิดไปเองหรือเปล่า เหมือนจะมีไฟผุดขึ้นมาใหม่เป็นเส้นทางที่ผมเดินมาทางโรงเลื่อยนี่เลย
หรือว่านาคินทร์จะเป็นคนทำไว้ให้
ผมสะดุ้งเมื่อยาเย็น ๆ แต้มลงมาบนแผ่นหลัง มันนุ่มนวล แผ่วเบา แต่ก็ร้อนผ่าว
“มันช้ำขึ้นจริง ๆ ด้วย พรุ่งนี้อาจช้ำยิ่งกว่านี้” นาคินทร์พูดด้วยน้ำเสียงสะท้อนเศร้า “ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้รอยช้ำนี้เคลื่อนมาอยู่บนตัวผม คุณหนูจะได้ไม่เจ็บ”
“เจ็บนิดเดียวเอง ของนาคินทร์เยอะกว่าของฉันอีก ยังจะเพิ่มให้มันอีกเหรอ”
“จะมากจะน้อยนาคินทร์ก็ไม่อยากให้คุณหนูต้องเจ็บตัว ผิวสวย ๆ ของคุณหนูต้องมีรอยไปอีกหลายวันเลย”
หน้าผมร้อนผ่าวไปกับคำว่าผิวสวย ๆ ที่นาคินทร์พูด ถ้าเป็นแต่ก่อน นาคินทร์หรือใครมาชมว่าผมผิวสวย ผมคงเบ้หน้ามองคนพูดประหลาด ๆ แต่วันนี้ ผมรู้สึกดีใจ
มันเป็นเสน่ห์เล็ก ๆ ที่นาคินทร์มองเห็นในตัวผม แม้จะในฐานะเจ้านายกับบ่าวรับใช้ก็เถอะ
“ไม่นานมันก็หาย”
ผมกระซิบตอบแผ่ว แต่จริง ๆ ไม่อยากให้หายเลย เพราะผมอยากให้นาคินทร์ทายาให้แบบนี้ อยากให้มือนั้นมาสัมผัสเนื้อตัว และเป็นโอกาสเดียว ที่ผมจะโชว์เรือนร่างให้นาคินทร์เห็น แม้อีกคนจะมองแล้วรู้สึกเฉย ๆ ก็ตาม
นาคินทร์ค่อย ๆ ดึงเสื้อผมขึ้นมาที่เดิม ยื่นยาคืน
“หันหลังสิ ฉันทายาให้”
“ไม่เป็นไรครับ นาคินทร์ให้หนูแดงทายาหม่องให้แล้ว”
“ยาตัวนี้ดีกว่ายาหม่องเยอะ หันมา”
ผมออกคำสั่งกราย ๆ นาคินทร์ทำตาม หันหลังให้ เลิกถอดเสื้อออกจากหัว ผมจ้องมอง บีบทายาให้เบามือ เกลี่ยอย่างนุ่มนวล ส่งผ่านบางความรู้สึกไปให้ แอบลูบไล้เบา ๆ อย่างไม่ตั้งใจให้อีกคนรู้ กายใหญ่ไหวเฮือก
สงสัยจะเจ็บ
“เขียวขึ้นกว่าเดิมเหมือนฉันเลย”
“ครับ”
พอทายาเสร็จ ผมก็ยกเข่าขึ้นมากอด ผมทายากันยุงก่อนลงมาแล้ว ไม่โดนกัดหรอก
“เห็นดาวนิดเดียวเอง”
“บ้านนาคินทร์ที่ต่างจังหวัดเห็นดาวเยอะกว่านี้เยอะ”
“เคยกลับบ้านเกิดบ้างไหม”
“ปีละครั้งครับ พาหนูแดงไปเยี่ยมปู่กับย่า”
“อยากไปเที่ยวด้วยบ้างจัง ครั้งหน้าพาฉันไปบ้างนะ อยากไปดูดาว”
แล้วผมก็ขยับทิ้งตัวลงนอน ใช้พื้นที่ม้านั่งแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งไว้ให้นาคินทร์นั่ง
“คุณหนู เดี๋ยวเสื้อเปื้อน”
“ไม่ได้ซักเอง”
“เดี๋ยวเจ็บหัว”
“มือรองเอาก็ได้” ผมแก้
นาคินทร์พับเสื้อของตัวเองเป็นสี่เหลี่ยม ประคองหัวผมยกขึ้น แทรกเสื้อที่พับอย่างเรียบร้อยไว้ใต้หัวผม วางหัวผมลงอย่างเบามือ
ทุกการกระทำนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความนุ่มนวล ทะนุถนอม ทำราวกับผมเป็นแก้วที่พร้อมจะแตกหัก ทั้งที่ใจจริงก็ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง
“ขอโทษนะครับคุณหนู”
นาคินทร์ขออนุญาต ยกขาผมที่ทิ้งไว้ที่พื้นขึ้นไปวางพาดไว้บนตักตัวเอง
“ขอบใจ”
ผมบอกแค่นั้น ดูดาวต่อ
ดาวต่างจังหวัดคงเยอะจนนับไม่ถ้วน แต่ดาวที่มองลอดผ่านยอดไม้ที่นี่เห็นได้เพียงสองสามดวงเท่านั้น
“คุณหนูครับ นาคินทร์ว่าคุณหนูขึ้นนอนดีกว่านะครับ ดึกแล้ว”
“ก็ฉันอยากดูดาวนี่”
“คะ คือ...”
“ถ้านาคินทร์ง่วงไปนอนก่อนก็ได้ นี่มันเขตบ้าน ไม่มีอันตรายหรอก”
ผมว่าไม่ใส่ใจ
“คุณหนู…”
เหมือนขาผมจะชนเข้ากับอะไรแข็ง ๆ บนตักของนาคินทร์ กำลังจะก้มมอง แต่นาคินทร์จับขาผมลงลุกขึ้นยืน
“ขอโทษครับ นาคินทร์ปวดเบา”
ผมพยักหน้าหงึก ๆ นอนดูดาวต่อไป นาคินทร์หายไปสักพักก็เดินหน้าเรียบกลับมาอีกรอบ
“นี่” ผมหันไปเรียก “จำได้ไหม ตอนเด็ก ๆ ฉันเคยมานอนที่นี่ด้วย”
“ครับ เพราะคุณหนูติดนาคินทร์มาก แต่ตามจริงติดของเล่นที่นาคินทร์ทำให้มากกว่า โตมาก็ไม่เล่นแล้ว”
“ใครจะเป็นเด็กตลอดไปเล่า”
ผมบู้หน้าใส่
“นี่”
ผมเรียกอีกรอบ
“ครับ”
“คืนนี้ฉันขอนอนด้วยคนได้ไหม ที่นี่ อยากย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง”
[50%]
นาคินทร์นิ่งไปนาน ก่อนเอ่ยแผ่ว
“อย่าดีกว่าครับ ไม่เหมาะหรอก”
“ทำไม”
“ข้อแรก คุณหนูโตแล้ว พื้นที่คงไม่พอ ข้อสองมันไม่สะอาดและไม่สะดวกสบายพอ ข้อสาม มันไม่เหมาะสม”
“ระลึกถึงวัยเด็ก เรื่องพวกนั้นสำคัญด้วยเหรอ หรือว่าจริง ๆ แล้วคนที่รังเกียจฉันคือนาคินทร์กันแน่”
นาคินทร์ส่ายหัว
“นาคินทร์รักและเคารพคุณหนูมาก ไม่มีทางคิดแบบนั้นแน่ ๆ แต่คุณหนูครับ...”
“ไม่เป็นไร ถ้ารังเกียจก็ไม่ต้อง บางทีนาคินทร์อาจคิดขยะแขยงฉันเพราะความเป็นผู้ดี หรือไม่ก็อาจขยะแขยงที่ฉันมีครอบครัวที่ชอบพอเพศเดียวกัน จนนึกพาลว่าฉันจะคิดอกุศลอะไรกับนาคินทร์ล่ะสิ”
นาคินทร์รีบดีดตัวลุกยืน
“สาบานให้ฟ้าผ่าตาย นาคินทร์ไม่เคยคิด นาคินทร์ไม่เคยรังเกียจคุณหนู นาคินทร์รักคุณหนู แทบจะเทิดทูนไว้เหนือหัว เพราะงั้นถึงไม่อยากให้ลงมาเกลือกกลั้วกับความสกปรก นาคินทร์ไม่เคยคิดรังเกียจเรื่องครอบครัวของคุณหนูเลย ไม่ว่าใคร นาคินทร์รักพวกท่านทุกคน ไม่ว่าใครจะรักเพศไหน นาคินทร์ก็ไม่เคยนึกรังเกียจ แม้แต่คุณหนูนาคินทร์ก็รู้ว่าไม่เคยคิดอะไรแบบนั้น”
ผิดแล้วนาคินทร์…
ฉันนี่แหละตัวคิด และกำลังคิดอยู่ทุกชั่วขณะจิตด้วย
“ขอโทษ ฉันก็ลืมไปว่าเวลาล่วงเลยมาหลายปี เด็กน้อยคนนั้นคงไม่น่ารักน่าเอ็นดูเท่าไหร่ 25 แล้วนี่เนอะ”
ผมพูดแค่นั้นแล้วหันหลัง นาคินทร์คว้าจับมือผมไว้ในลักษณะฉุดรั้ง แต่ทำอย่างนุ่มนวล สีหน้าอึดอัด ดวงตาแสดงออกหมด ทั้งความรัก ความเคารพ ความห่วงหา และเทิดทูน
แต่ในฐานะบ่าวรับใช้เท่านั้น…
“ก็ได้ครับ แต่มันไม่สะดวกนะครับ แคบก็แคบ เหม็นอับด้วย นาคินทร์ตัวใหญ่คุณหนูก็โตขึ้น”
“ถ้าทนไม่ไหว ฉันก็กลับห้องเอง ใกล้แค่คืบ”
“ครับ”
นาคินทร์ถอนหายใจแรง ประคองมือผม พาผมเดินเข้าไปในห้อง เปิดไฟขึ้น
“นาคินทร์จะปูผ้านอนตรงนี้ คุณหนูนอนบนฟูกเถอะ”
ผมส่ายหน้า
“นี่มันที่นอนนาคินทร์ นอนเหมือนเดิมนั่นแหละ ฉันขอนอนระลึกความหลังนิดเดียว แล้วก็จะกลับ”
“ครับ”
นาคินทร์เปิดไฟบนหัวเตียงขึ้น ปิดไฟหลอดใหญ่ ขึ้นไปนั่งบนที่นอนด้านที่ติดกับกำแพงอย่างว่าง่าย นอนหงายราบนำไปก่อน ผมหย่อนตัวตาม ทิ้งตัวลงนอน หัวใจพากันเต้นโครมคราม ผมตะแคงหันหลังให้ แอบนึกไปถึงภาพวันคืนที่เคยไปนอนติดฝนด้วยกันที่บางแสนเลย
“หนาว”
ผมบอก นาคินทร์ขยับลุก ดึงผ้าห่มมาห่มให้ผมเบามือจนถึงอก ผมพลิกตัวหันเข้าหาคนตัวสูง นาคินทร์นอนหงาย ตาจ้องเป๋งอยู่ที่เพดาน ไฟบนหัวเตียงก็ยังไม่ปิด(แสงมันอ่อนครับ แทบจะไม่รบกวนการนอนเลย)
“หนูแดงนี่โชคดีเนอะ ได้นอนกอดพ่อแบบนี้ คงอบอุ่นน่าดู”
นาคินทร์ส่ายหัว
“หนูแดงแยกตัวนอนเดี่ยวตั้งแต่ 5 ขวบแล้ว มะลิเธอสอนลูกให้เข้มแข็งแต่เด็ก”
ผมฟังแล้วอึ้ง
“งั้นก็ไม่มีคนนอนเคียงข้างนาคินทร์มานานแล้วน่ะสิ”
“ครับ ตั้งแต่เมียตาย”
หัวใจผมไหวแรง เราเงียบกันไปอีกรอบ นาคินทร์ยังมองเพดานอยู่ ในขณะที่ผมนอนมองนาคินทร์
“ที่นี่เย็นกว่าห้องฉันอีก”
พูดแล้วผมก็ขยับเข้าไปชิดคนตัวสูง นาคินทร์ตัวแข็งทื่อ ผมรู้ว่านาคินทร์กำลังเกร็ง ผมไม่ได้อยากทรมานนาคินทร์แบบนี้ แต่ผมอยากนอนใกล้ชิดนาคินทร์ ต่อให้นาคินทร์ไม่ได้คิดอะไรกับผมเลยก็ตาม ผมขยับแบ่งผ้าห่มให้
“ขอโทษที่รบกวนนะ คืนนี้คืนเดียว ฉันไม่อยากกลับห้องแล้ว ง่วง ราตรีสวัสดิ์”
“คุณหนู…”
ไม่รู้ว่านั่นคือเสียงเรียกธรรมดาหรือเสียงทักท้วงอะไร แล้วผมก็หลับไปง่าย ๆ ทั้งอย่างนั้น
กระทั่งรู้สึกร้อนผ่าวแปลก ๆ ไปทั่วทั้งร่าง เสียววูบแถว ๆ ท้องน้อย
นี่ผมเป็นอะไร…
รู้สึกเหมือนมีฝ่ามือใหญ่ ๆ อุ่น ๆ ลูบไล้อยู่แถว ๆ หน้าท้อง ผมครางแผ่วผ่านลำคอ
สัมผัสแบบนี้...
ความรู้สึกเสียวสะท้านจนบางส่วนตื่นตัวแบบนี้...
นี่ผมกำลังฝันเปียกอยู่ใช่ไหม?
รู้สึกถึงปากชื้น ๆ กำลังซุกไซ้อยู่แถว ๆ ซอกคอ ผมขยับแหงนหน้านิด ๆ ให้ปากนั้นไซ้ได้ง่ายขึ้น ลมหายใจนั้นร้อนผ่าวอย่างรู้สึกได้จนแทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือความฝัน ก่อนปากนั้นจะไล่ต่ำลงไปที่หน้าอก
“อ๊า…”
ผมครางออกมาเบา ๆ ไหวอกสะท้านขึ้น มันเป็นความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน ดีจนผมไม่อยากตื่นเลย
เหมือนจะได้ยินเสียงคำรามนุ่มคุ้นเคยผ่านมา มือใหญ่เลื่อนสูงขึ้นมาที่หน้าอก บีบหัวนมอย่างที่ผมนึกจินตนาการ บีบบี้จนผมบิดเร่า ปากครางเสียงดังมากขึ้น มือนั้นเลื่อนมาจับหัวนมอีกข้างบดขยี้แทบพาเอาผมขาดใจ ผมหอบแฮก ตายังปิดสนิท ปลดปล่อยเพียงน้ำเสียงออกมา มือนั้นละออกแล้วมันก็ถูกแทนที่ด้วยปากและลิ้นร้อน ๆ
ให้ตาย! ทำไมผมถึงได้ฝันเหมือนจริงขนาดนี้ อยากลืมตามอง แต่ผมรู้ว่าถ้าผมลืมตา สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเลือนหายไปก็ได้ ผมยังไม่อยากตื่นตอนนี้
ผมเลื่อนสองมือไปโอบหัวของคนที่ครอบครองหัวนมผมไว้ นวดคลึงเบา ๆ แอ่นอกเข้าหา ปากก็ครางรับอย่างระงับไม่อยู่ ก่อนปากนั้นจะเลื่อนมาซุกซอกคอผมอีกรอบ ทุกสัมผัสทำเอาผมแทบพุ่ง
มือที่ลูบไล้อยู่แถว ๆ หน้าท้องเลื่อนต่ำลงไปเรื่อย ๆ กระทั่งมุดหายเข้าไปในกางเกง กอบกุมน้องผมไว้ขยับให้เบา ๆ
สวรรค์ทรงโปรด…
หากจะรับวิญญาณผมไปตอนนี้ผมก็ยอม
ผมครางรับอย่างรู้สึกดีในอารมณ์ ในขณะที่มือผมข้างหนึ่งถูกจับให้เลื่อนไปกอบกุมบางสิ่งที่มีขนาดใหญ่จนกำแทบไม่มิด มันร้อนผ่าว แข็งราวกับท่อนไม้ มือใหญ่บังคับให้ผมขยับสิ่งนั้น
อะไร...
ผมถามตัวเองเบา ๆ แต่ก็เลิกสนใจไปเพราะความเพลิดพลิ้วที่ถูกกระตุ้นจากทางด้านหน้า
“คุณหนู…”
นั่นเสียงของนาคินทร์นี่
ว้าว นี่ผมฝันเปียกถึงนาคินทร์หรอกเหรอ
“อ๊า...”
ผมครางออกมาอีกรอบเมื่อมือนั้นขยับน้องผมเร็วขึ้น น้ำเสียงของนาคินทร์ในฝันฟังดูเร่าร้อนผิดกับยามปกติที่แสนจะนุ่มนวลถ่อมตัว
“คุณหนู นาคินทร์รักคุณหนู”
เสียงนั้นกระซิบลงมาอีกรอบ แต่คราวนี้มันเป็นน้ำคำบอกรัก
ว้าว นาคินทร์บอกรักผมด้วย
ผมอ้าปากครางเสียงดังเมื่อมือนั้นขยับพาผมวิ่งไปถึงปลายทาง พอ ๆ กับความรู้สึกเปียก ๆ ที่มืออีกข้าง ผมหอบหายใจแรง ก่อนจะค่อย ๆ แผ่วหายลงเรื่อย ๆ พอ ๆ กับสติของผม
ได้ยินเสียงจิ๊บ ๆ ของนกตัวน้อยดังเข้ามาแว่ว ๆ พอ ๆ กับแสงสว่างเป็นเส้นพุ่งมาที่เปลือกตา ผมค่อย ๆ ลืมตามอง สิ่งแรกที่เห็นคือที่มาของแสงแยงตานั้น มันคือแสงแดดที่ลอดผ่านมาทางหน้าต่างไม้บานเก่า ๆ นั้น ผมรีบเด้งตัวลุกนั่งลืมตาโพลง
ที่นี่ที่ไหน
ผมถามตัวเองเพราะความไม่คุ้นเคย
อ๋อ ห้องของนาคินทร์
ก่อนจะนึกได้ในเวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีต่อจากนั้น ผมก้มมองตัวเอง บนตัวมีผ้าห่มสีมอ ๆ ที่ผมใช้ห่มเมื่อคืนคลุมไว้ เสียงนกกระจิบยังดังไม่หยุด เหมือนมันจะเกาะอยู่บนกิ่งไม้ข้าง ๆ หน้าต่างนี้แหละ ผมกวาดมองไปรอบ ๆ ห้อง พื้นที่ข้าง ๆ ว่างเปล่า นาคินทร์คงตื่นนานแล้ว ผมกวาดมองไปรอบ ๆ จนมาหยุดอยู่ที่นาฬิกาปลุกกรอบเขียวรุ่นพระเจ้าเหาบนหัวที่นอน ตาโตนิดเพราะมันจะแปดโมงแล้ว
สายขนาดนี้ทำไมนาคินทร์ไม่ยอมมาปลุกให้ผมตื่นไปเตรียมตัวทำงานอีก ผมรีบตวัดผ้าห่มออกจากตัว ความรู้สึกบางอย่างวิ่งปราดเข้ามาในหัว ผมชะงักกึกนึกย้อนถึงความรู้สึกนั้น
เมื่อคืน ผมฝันว่าถูกนาคินทร์กอด
ผมกัดปากตัวเองแน่น
ทุเรศจัง มานอนฝันเปียกบนที่นอนคนอื่นแบบนี้ ไม่รู้ว่าผมเผลอละเมออะไรแปลก ๆ ออกมาหรือเปล่า เพราะเมื่อคืนจำได้ว่าตัวเองครางซะเต็มที่ เกิดเผลอครางอะไรออกมาให้นาคินทร์ได้ยินคงโดนดูถูกแย่
ผมนั่งนิ่งร่างกายร้อนผ่าวไปหมด ก่อนสะดุ้งเฮือกเพราะประตูห้องถูกเปิดออก ผมรีบเงยหน้ามอง จนเห็นร่างสูงใหญ่ของเจ้าของห้องมายืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น
ผมรู้สึกร้อนไปทั่วทั้งหัวทั้งหูทั้งตัวทั้งหน้า ผมรีบเสหลบดวงตาคมทันที
“คุณหนู”
นาคินทร์เรียกแค่นั้น ผมยังไม่ได้ตอบรับอะไร เพราะรู้สึกกระดาก เราต่างคนต่างเงียบกันอยู่นานเลย
“นาคินทร์จะเข้ามาปลุกเพราะใกล้ 8 โมงแล้ว”
ผมรีบเงยหน้ามอง ตาโต
“จริงสิ! สายแล้ว!” ผมรีบลุกขึ้นยืน “ทำไมเพิ่งมาปลุกเอาป่านนี้” ผมตำหนิไม่จริงจัง ปรับสภาพเนื้อตัวให้ดี ๆ
“ปกติก็ไม่เคยนอนตื่นสายขนาดนี้มาก่อนเลยนะ สงสัยว่าที่นี่จะนอนสบาย”
ผมพูดติดตลก
“เอ่อ…คุณหนู”
นาคินทร์ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง ผมเงยหน้ามอง
“มีอะไร สีหน้าไม่ดีเลย”
ผมพยายามปรับอารมณ์ตัวเองถามคนตัวสูง
“คุณหนูจำเรื่องเมื่อคืนได้หรือเปล่าครับ”
เหมือนมีระเบิดมาทิ้งลงบนหน้า มันร้อนขึ้นมาอีก สีหน้านาคินทร์ดูจริงจังมาก
“ระ เรื่องอะไร ฉะ ฉันจำได้แค่เข้านอนแล้วก็หลับไป แค่นั้นเอง ละ แล้วก็ฝันแปลก ๆ”
อันหลังนี่ผมอ้อมแอ้มบอก
“ฝันว่าอะไรครับ”
นาคินทร์ถามต่อเสียงเครียด ผมหน้าเห่อร้อนยิ่งกว่าเดิม
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ฝันไร้สาระธรรมดา ฉันกลับห้องก่อนดีกว่า สายแล้ว แล้วทำไมไม่ปลุกแต่เช้า”
นาคินทร์จ้องหน้าผม มองราวกับจะค้นหาอะไรบางอย่าง ผมหลบสายตาวูบด้วยความอับอาย มองมากนาคินทร์อาจรู้ว่าผมเก็บนาคินทร์ไปฝันเปียกก็ได้
“นาคินทร์เห็นคุณหนูกำลังหลับสบายไม่อยากปลุกครับ”
“ครั้งหน้าปลุกเลย ไม่ต้องเกรงใจ ปล่อยให้นอนแบบนี้เสียการเสียงานหมด”
ผมตำหนิไปนิด ๆ นาคินทร์พยักหน้า รายนั้นแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว
“งั้นฉันขอเวลาไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงหรอก”
ผมเดินไปทางหน้าประตู แต่นาคินทร์ยังไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน ตัวใหญ่ ๆ นั้นบังทางออกประตูมิดเลย
“ฉะ ฉันจะไปอาบน้ำ”
ผมบอกเพื่อให้อีกคนขยับ รู้สึกร้อนวูบวาบยังไงบอกไม่ถูก นาคินทร์เขยิบให้ทางนิดหนึ่ง ผมเดินสวนคนตัวสูงออกไป ไอร้อนจากเรือนกายสูงใหญ่นั้นแทบทำเอาผมอยากผวาเข้ากอด แต่ก็ต้องอดทนเอาไว้ เดินนิ่ง ๆ ผ่านคนตัวสูงออกออกไปด้านนอก แต่อยู่ ๆ มือผมก็ถูกจับไว้แน่น ผมเบรกกึก หันกลับทันทีตามแรงฉุดนั้น
ผมมองหน้าคนทำ นาคินทร์ตาโตนิด ๆ รีบปล่อยมือออก
“ขอโทษครับ แค่จะบอกว่า เดี๋ยวนาคินทร์จะขับรถไปรอที่เดิม”
ผมพยักหน้านิด ๆ เดินตรงไปตามทาง ความร้อนจากมือที่ถูกจับไหลวูบมาที่ใบหน้าอีกครั้ง ผมรีบเดินกึ่งวิ่งขึ้นตึกใหญ่ไปทันที ดีว่าคนอื่น ๆ ตื่นไปทำงานกันหมดแล้ว
ผมรีบวิ่งขึ้นห้องด้วยหัวใจที่เต้นระทึก กุมมือตัวเองไว้ เม้มปากแน่น
ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ สักวันนาคินทร์อาจรู้ความจริงก็ได้บ
[100%]
ผมรีบอาบน้ำแต่งตัว พอลงไปข้างล่างอีกรอบก็เห็นแม่บีน่ากับแม่คาร่าอยู่ในห้องรับแขก ทั้งสองมองหน้าผมงง ๆ
“ตื่นสายเหรอลูก”
“ครับ” ผมบอกไม่เต็มเสียง “ไม่ทานข้าวนะ ขอตัวก่อนนะครับ”
ผมรีบบอกลาท่านทั้งสองออกไปหน้าบ้าน นาคินทร์ยืนนิ่งคอย ดูวันนี้นาคินทร์จะสงบเสงี่ยมเสียยิ่งกว่าทุกวัน ผมยิ้มให้นิด ๆ แต่นาคินทร์เมินหลบเสีย ผมยิ้มเก้อ รู้สึกแย่ ๆ ยังไงบอกไม่ถูก
นาคินทร์เปิดประตูให้ ผมขึ้นไปนั่ง นาคินทร์เงียบมาก เงียบผิดปกติ มันไม่ใช่ความเงียบที่คำพูด แต่เป็นความรู้สึกที่ส่งออกมาว่าไม่ต้องการจะพูดอะไร
“เป็นไรหรือเปล่านาคินทร์ วันนี้ดูแปลก ๆ นะ”
ผมตัดสินใจถาม นาคินทร์หันมามอง ดวงตานั้นจ้องนิ่ง มองเห็นแววบางอย่างแวบผ่านเข้ามาแล้ววิ่งหายไป
“ฉันทำอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่า นาคินทร์ไม่เคยเงียบแบบนี้มาก่อนเลยนะ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ นาคินทร์คิดเรื่องงาน”
ผมยิ้มให้
“นาคินทร์นี่ในหัวมีแต่เรื่องงานจริง ๆ ผ่อนคลายหน่อย”
ผมปลอบ ท้องพากันร้องจ๊อก ๆ นาคินทร์หันมามอง ทำหน้าสำนึกผิด
มีต่อค่ะ>>>