Soulmate วิญญาณป่วนรัก
Part1# Z อุบัติเหตุ
“ปิดเทอมแล้วโว้ยยยยยย!” ผมเดินออกมาจากห้องสอบพร้อมกลุ่มเพื่อนตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ
เป็นไทแล้วคร้าบ ปิดเทอมใหญ่สักที ต่อจากนี้ก็ไม่ต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าไปเรียน ปั่นงานจนแทบไม่มีเวลานอน และอ่านหนังสือจนหามรุ่มหามค่ำอีกต่อแล้ว ชีวิตดีๆ ที่มีอิสระเสรีกำลังรอผมอยู่ เย่!
“พวกมึงมีแพลนจะไปไหนกันเปล่าวะ” ผมถามเดอะแก๊งขณะที่พวกเรากำลังเดินไปขึ้นรถเพื่อกลับบ้านที่อาศัยอยู่ด้วยกัน
แก๊งของผมมีกันทั้งหมด 6 คน ก็จะมีผม ไอ้เต้ย ไอ้เก่ง ไอ้เสือ ไอ้อาร์ท แล้วก็ไอ้หลินซึ่งเป็นผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียว แต่พวกผม (ยกเว้นไอ้อาร์ทที่เป็นแฟนมัน) ก็ไม่ค่อยเห็นมันเป็นผู้หญิงเท่าไหร่หรอกนะ ฮ่าๆๆๆ
ด้วยความที่มีนิสัยเกรียนๆ และบ้าๆ บอๆ ล่ะมั้งพวกผมเลยสนิทกันมาตั้งแต่ปี 1 พอขึ้นปี 2 เลยตกลงกันว่าไปเช่าบ้านอยู่ด้วยกันดีกว่า เพราะนอกจากจะประหยัดแล้วยังสะดวกต่อการทำอะไรหลายๆ อย่าง แน่นอนว่าเรื่องเรียนก็ใช่ แต่เรื่องเฮฮาปาร์ตี้นี่เรื่องใหญ่กว่า
ไม่รู้จะเรียกว่าดวงดีหรือดวงตกที่ถูกเจ้าของบ้านเช่าเท พวกผมเลยได้มาอยู่บ้านของไอ้เอสฟรีๆ โดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท คือไอ้ดีมันก็ดีอยู่หรอก แต่ผมรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยเพราะไอ้เจ้าของบ้านมันดูไม่ค่อยเป็นมิตรนี่แหละ พูดก็น้อย อัธยาศัยก็แย่มาก แถมยังชอบทำหน้านิ่งอย่างกับรูปปั้น เป็นดาราแล้วต้องเก๊กรึไงวะ เห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิดไม่ค่อยถูกชะตายังไงไม่รู้
ดีที่ 2 – 3 วันผมถึงจะเจอหน้ามันเพราะมันไม่ค่อยกลับบ้าน หรือกลับก็ไม่รู้แต่ดึกมากไม่ก็เช้ามากจนผมไม่เจอ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันไปนอนที่ไหน แต่ไม่กลับบ้านบ่อยๆ น่ะดี ไม่งั้นผมคงอึดอัดตายห่าที่ต้องอยู่บ้านหลังเดียวกับมัน
บ้านหลังนี้มีทั้งหมด 4 ห้อง ห้องหนึ่งเป็นของไอ้เอสที่เป็นเจ้าของบ้าน ส่วนอีก 3 ห้องพวกผมก็แบ่งกันอยู่ ผมสนิทกับไอ้เต้ยที่สุดเลยอยู่ด้วยกัน ไอ้เก่งกับไอ้เสือที่สนิทกันที่สุดก็ด้วย ส่วนอีกห้องก็แน่นอนว่าต้องเป็นไอ้อาร์ทกับไอ้หลินอยู่แล้วอะนะ
“กูว่าจะอยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวจะหางานพิเศษทำ ไม่อยากกลับไปอยู่กับป้า เกรงใจน่ะ” ไอ้เต้ยพูด คือพ่อแม่ของมันเสียนานแล้ว ป้าเลยรับมาเลี้ยงเพราะไม่อยากให้ไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่ฐานะทางบ้านก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มันเลยไม่อยากรบกวนให้ลำบากมากกว่านี้
“งั้นเดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อน” ผมกอดคอไอ้เต้ย คือกลัวมันเหงาอะใช่ แต่ก็ขี้เกียจกลับบ้าน อยากใช้ชีวิตอิสระที่นี่ด้วยเหมือนกัน
“แล้วพ่อแม่มึงจะไม่ว่าอะไรรึไงไอ้ซี”
“ไม่ว่าหรอกน่า แต่คงต้องกลับไปให้เห็นหน้าสักอาทิตย์ มึงก็ไปกับกูด้วยดิ” พอผมพูดแบบนี้ไอ้เต้ยมันเลยหรี่ตาลง
“จะดีเร้อ เดี๋ยวพ่อแม่มึงรักกูมากกว่าจะมางอแงไม่ได้นะ”
“แสรดดดด ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู” กวนตีนฉิบหายเลยไอ้นี่ น่าหมั่นไส้จริงๆ ผมเลยขยี้หัวมันจนฟูฟ่อง มันตัวเตี้ยกว่าผมเลยขยี้ได้มันมือจัด จนเมื่อหนำใจแล้วนั่นแหละผมถึงหันไปถามไอ้พวกที่เหลือต่อ
“แล้วพวกมึงอะยังไง”
“กูก็จะอยู่นี่แหละ ขี้เกียจกลับไปให้คุณนายที่บ้านบ่น” คุณนายที่ไอ้เก่งว่าก็แม่มันนั่นแหละ
“ดีๆ งั้นเดี๋ยวอยู่เตะบอลเล่นเกมกันที่นี่ ปิดเทอมแล้วอยู่ได้ยันหว่าง”
“จัดไปไอ้เสือ” แล้วไอ้เก่งกับไอ้เสือก็เอากำปั้นชนกัน ท่าทางบ้านที่คิดว่าจะเงียบเหงาเพราะปิดเทอมคงจะยิ่งครึกครื้นมากกว่าเดิมซะแล้ว
“ส่วนพวกมึงกูคงไม่ต้องถามมั้ง” ผมพูดในขณะที่กำลังมองไอ้อาร์ทกับไอ้หลินที่ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ ถ้าจะขนาดนี้ไม่สิงร่างกันเลยล่ะแหม่
“ก็ดี กูก็ขี้เกียจตอบ” ไอ้หลินหันมาพูดด้วยเสียงหนึ่งกับผม ก่อนจะหันไปพูดเสียงสองกับไอ้อาร์ท “เดี๋ยวเราหาเวลาไปเที่ยวทะเลกันด้วยเนอะเตง”
“ได้เลยคนสวย เตงอยากไปไหนเค้าพาเตงไปได้ทุกที่เลย”
“ใครก็ได้หาถุงมารองอ้วกกูที” ผมกลอกตามองบน พออยู่ด้วยกันนี่งุ้งงิ้งมุ้งมิ้ง เตงอย่างนั้น เค้าอย่างนี้จนผมอยากจะอ้วก ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมคนมีแฟนชอบเป็นอย่างนี้ หรือต้องมีก่อนผมถึงจะเข้าใจ?
พวกผมเดินคุยกันไปไม่นานก็ถึงรถของไอ้อาร์ท มันเป็นคนเดียวในกลุ่มที่มีรถขับ เพราะงั้นพวกผม 6 คนเลยต้องจำใจยัดกันอยู่ในรถเพื่อไป – กลับบ้าน – มหา’ลัย แต่เอาจริงๆ ใช้คำว่ายัดก็ดูจะเวอร์ไปหน่อย คือมันก็ไม่ได้เบียดมากมายขนาดนั้นหรอก เพราะไอ้หลินกับไอ้เต้ยมันตัวเล็กเลยนั่งข้างหลังกับผมแล้วก็ไอ้เก่ง ส่วนไอ้เสือที่ตัวบิ๊กเบิ้มก็ไปนั่งคู่กับไอ้อาร์ทคนขับที่เบาะหน้า
“สอบเสร็จทั้งทีคืนนี้ไปเมากันหน่อยมะ?” ไอ้เก่งชวน พวกผมที่ไม่มีแอลกอฮอล์ลงท้องมานานแล้วเลยรีบพากันพยักหน้า
“มีร้านดีๆ สาวแหล่มๆ เปล่าวะ” ไอ้ผมมันก็หนุ่มโสด คนคุยก็พอมีแต่ยังไม่เจอที่ถูกใจเลยยังไม่ได้คบกับใครเลยสักคน
“มีๆ ก็ร้านนั้นไงที่กูกับไอ้เสือไปตอนก่อนจะสอบ แต่ละคนนี่ขาว อวบ อึ๋ม เซ็กซี่สุดยอด” พูดอย่างเดียวคงกลัวผมไม่เชื่อ ไอ้เก่งแม่งเลยเอามือลูบไล้สรีระตัวเองแล้วทำหน้าเซ็กซี่ประกอบ แต่ทานโทษเถอะ กูสยองจนขนลุกหมดแล้วสัส!
“พอๆๆ ก่อนที่กูจะหดไปมากกว่านี้ แล้วร้านนี่อยู่ไกลมั้ย”
“ไม่เท่าไหร่ แต่อยู่ติดถนนเส้นหลัก ที่จอดรถเลยน้อยต้องรีบไปนิดนึง”
“งั้นกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบออกไปกัน” ไม่ค่อยรีบเท่าไหร่เลยผม แต่ก็ไม่มีใครค้านอะไรนะ ก็แหม...อดอยากปากแห้งทั้งเหล้าทั้งอาหาร (ตา) กันมานาน ถึงคราวปล่อยผีปลดปล่อยอารมณ์ให้เต็มที่กันสักที
แต่แทนที่พอถึงบ้านแล้วจะได้รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างที่คุยกัน คือหลังจากจอดรถได้ไม่ถึงนาทีไอ้เอสก็ขับรถตามเข้ามา ไอ้พวกเพื่อนผมมันก็อัธยาศัยดีมีมารยาท เลยพากันยืนรอเพื่อที่จะได้ทักทายไอ้เอส
เฮ้ออออ มันใช่เรื่องมั้ยสาดดดดด
“ไงเอส ไม่เจอกันตั้งหลายวัน นี่พึ่งสอบเสร็จหรอ”
“อืม” ดู๊ดูมัน ไอ้เก่งพูดไปตั้งยาวแต่มันดันตอบกลับมาคำเดียว แม่งกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากรึไงวะ
“พวกกูก็พึ่งสอบเสร็จเหมือนกัน นี่เลยว่าจะไปฉลองกันสักหน่อย ไปกับพวกกูเปล่า” ก็รู้หรอกนะไอ้เก่งว่ามึงอะพูดมาก พูดเป็นต่อยหอย พูดจนลิงหลับ แต่คือมึงไม่ต้องพูดมากกับทุกคนก็ได้มั้ง โดยเฉพาะกับไอ้ขี้เก๊กนี่
“นั่นสิ ไปด้วยกันนะเอส ไปกันเยอะๆ สนุกดี” ไอ้เต้ยนี่ก็เหมือนกัน ชอบไปเสวนากับไอ้เอสจังเลย เป็นอะไรมากมั้ยเฮ้ยฮัลโหลลลล
“กูต้องไปถ่ายละครต่อ”
เหอะ! ก็ไม่รู้ว่ามันพูดจริงหรือแค่ข้ออ้างไม่อยากไปกับพวกผม แต่ก็ดี เพราะผมก็ไม่ได้อยากให้มันไปด้วยเหมือนกัน
“ว้า เสียดายจัง แต่ถ้าเลิกเร็วก็ตามมานะ ร้านอยู่ไหนนะไอ้เก่ง” ให้ตายสิ ยังจะดันทุรังอีกนะไอ้เต้ย ส่วนไอ้เก่งก็เหมือนกัน บอกชื่อร้านแถมทางไปให้ซะเสร็จสรรพ นี่พวกมึงดูกันไม่ออกหราว่ามันไม่อยากไปด้วย!
“ถ้าเสร็จไม่ดึกมากเดี๋ยวกูตามไป” เหอะ! ตอบแค่เอาหล่อเฉยๆ แหละผมว่า
“แล้วเจอกันนะ”
“อืม”
“รีบไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วน่า” แล้วผมก็รีบกอดคอพาไอ้เต้ยเข้าบ้านไปเลย ขืนปล่อยเอาไว้เรื่อยๆ คงจะคุยกันยาวกว่านี้ ส่วนไอ้พวกที่เหลือพอเห็นผมกับไอ้เต้ยเข้าบ้านก็พากันตามเข้ามาเหมือนกัน
“เฮ้ออออ อยากให้เอสไปด้วยจัง” พอเข้ามาในห้องไอ้เต้ยก็ทำหน้าหงอยเป็นหมาเหงาเลย
“ดีแล้วที่มันไม่ไป บรรยากาศอึมครึมตายห่าพอดี”
“แหม มึงก็พูดเกินไป”
“เกินไปที่ไหน อยู่บ้านด้วยกันมาเกือบปี กูกับมันเคยพูดกันรวมๆไม่ถึงนาทีเลยมั้ง”
นี่ผมพูดจริงๆ ไม่ได้เวอร์เลยนะ คือคนบ้าอะไรพูดน้อยฉิบหาย แถมยังชอบทำหน้าตายเหมือนคนไร้ความรู้สึก อยากรู้จริงๆ ว่านิสัยแบบนี้แม่งเป็นดาราได้ยังไง ปกติอาชีพแบบนี้ต้องยิ้มแย้มแจ่มใสไม่ใช่เรอะ หรือว่าจุดขายของมันคือความเย็นชาหน้าตาย?
เห็นผมพูดจนเกือบจะเป็นด่าแบบนี้ ก็ไม่ใช่ว่าผมเกลียดอะไรไอ้เอสนักหนาหรอกนะ จริงๆ มันก็คงจะเป็นคนดีอยู่นั่นแหละ ไม่งั้นคงไม่ยอมให้พวกผมมาอยู่ที่บ้านด้วยฟรีๆ แต่ว่าผมก็แค่หมั่นไส้ในความขี้เก๊ก ชอบวางมาดของมันเฉยๆ
“เอสเขาก็เป็นคนขรึมๆ จะพูดน้อยก็เรื่องปกติแหละน่า”
“เอาเข้าไป เป็นแฟนคลับมันรึไงชอบแก้ตัวให้มันอยู่เรื่อย” ไอ้เต้ยแค่ยักไหล่ไม่ตอบอะไร ผมที่ขี้เกียจจะคุยเรื่องของไอ้เอสแล้วเลยคว้าผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำซะเลย
ประมาณ 1 ชั่วโมงพวกผมก็พากันออกจากบ้าน ตอนออกมาก็ไม่เห็นรถของไอ้เอสแล้ว แต่มันจะไปไหนใครสนกันล่ะ แค่อย่าโผล่มาตอนที่พวกผมกำลังสนุกกันก็พอ
เมื่อไปถึงร้าน ตอนแรกแต่ละคนก็ยังกลัวๆ กล้าๆ กินแต่อาหารแล้วก็โยกไปตามเพลงเบาๆ แต่พอเหล้าเข้าปากเท่านั้นแหละ โอ้โห แดนซ์กันกระจาย สนุกสุดเหวี่ยงกันจนลืมเหนื่อย ยิ่งไอ้เก่งกับไอ้เสือนะ สองตัวนั้นแม่งดีดกันเกินเบอร์มาก ยิ่งต่อหน้าสาวๆ นี่ยิ่งใส่เกินร้อย
ถามว่าหลังจากนั้นเป็นไง?
ยังไม่เที่ยงคืนก็พากันมาอ้วกอยู่หน้าร้านกันน่ะสิ!
“โอ้กกกกกกกกก แหวะ!”
“ไหวเปล่าเฮ้ยพวกมึง” ให้ตายสิ แทนที่จะได้นั่งมองของสวยๆ งามๆ ในร้าน ทำไมผมต้องได้มามองแผ่นหลังของไอ้เพื่อนเวร 2 ตัวด้วยเนี่ย
“หวาย...กูหวาย...แค่นี้สบาย...โอ้กกกกก!” ยังไม่ทันไรก็อ้วกออกมาละ ไม่เห็นเก่งเหมือนชื่อเลยนะมึง
“พวกมันเป็นไงบ้างซี” ไอ้เต้ยที่เดินออกมาจากร้านถามผม ท่าทางของมันดูมึนหน่อยๆ คออ่อนจริงๆ ทั้งที่กินไปแค่ 2 แก้ว
“อย่างที่เห็นอะ พูดแทบไม่รู้เรื่อง ยืนแทบไม่ได้” อนาถฉิบหายเลยเพื่อนกู
“ไอ้หลินก็ไม่ต่างกัน นั่นก็เรื้อนจนไอ้อาร์ทแทบจะเอาไม่อยู่ละ” ดีจริงๆ เพื่อนกูแต่ละคน สงสารก็แต่ไอ้อาร์ท แดกเหล้าไม่ได้เพราะต้องคอยคุมแฟนแล้วก็ต้องขับรถให้เพื่อน
“งั้นกลับกันเลยมั้ย มึงว่าไง”
“กลับเลยก็ดี เดี๋ยวเมาแล้วไปมีเรื่องกับใครนี่แย่เลย”
“นั่นดิ งั้นมึงไปตามไอ้อาร์ทกับไอ้หลินนะ เดี๋ยวกูจะพาไอ้เก่งกับไอ้เสือไปที่รถก่อน”
“โอเค” ไอ้เต้ยพยักหน้าแล้วก็เดินเข้าไปในร้าน ส่วนผมก็จัดการพาไอ้เสือกับไอ้เก่งไปที่รถ
แต่เนื่องจากต้องข้ามถนนที่มี 4 เลนมันเลยลำบาก ผมต้องพาไอ้เสือที่ตัวเท่าควายข้ามไปก่อน ส่วนไอ้เก่งที่ตัวพอๆ กับผมค่อยพามันข้ามมาทีหลัง นี่ถ้าไม่มัวแต่เสียเวลาคุยกับไอ้เอสคงได้จอดรถตรงที่จอดดีๆ แล้วแท้ๆ ยิ่งวันสอบเสร็จแบบนี้ยิ่งต้องรีบมาเร็วๆ คิดแล้วก็เซ็งที่ต้องข้ามฟากไปหาที่จอดในซอย
“พวกมึงยืนกันดีๆ เป็นมั้ยเนี่ย เอะอะไหลๆ ชาติก่อนเกิดเป็นปลาไหลรึไงสัส” ก็รู้หรอกว่าบ่นไปก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง เมาเยี่ยงหมาแบบนี้พวกมันไม่รู้เรื่องหรอก แต่ผมก็อดที่จะบ่นไม่ได้อยู่ดี
พอบ่นให้ไอ้พวกนี้เสร็จผมก็เห็นไอ้อาร์ทกำลังอุ้มไอ้หลินในท่าอุ้มเจ้าสาวรอข้ามฟากมา เหยดดดด นี่นึกภาพออกเลยว่าก่อนออกจากร้านคนจะมองขนาดไหน ใจมึงโคตรได้เลยว่ะเพื่อน
ส่วนไอ้เต้ยมันก็ยืนอยู่ด้านหลังสองคนนั้น กำลังรอข้ามถนนมาเหมือนกัน จนเมื่อได้จังหวะเพราะรถฝั่งที่จะตรงมาติดไฟแดง ถนนโล่งแล้วพวกมันก็เลยเดินข้ามมา โดยที่ไอ้อาร์ทกับไอ้หลินที่ถูกอุ้มอยู่มาถึงก่อน ส่วนไอ้เต้ยไม่รู้มันมึนหรือกำลังเหม่ออะไรเลยยังเดินมาไม่ถึงสักที
“รีบเดินมาสิวะไอ้เต้ย มัวชักช้าอะไรอยู่เนี่ย” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง รู้สึกเป็นห่วงมันยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก เพราะงั้นผมเลยจัดการทิ้งไอ้เสือกับไอ้เก่งให้กองอยู่ที่ฟุตบาท แล้วตั้งใจจะไปรับไอ้เต้ยที่ยืนมึนๆ งงๆ อยู่กลางถนน
แต่จังหวะที่กำลังจะวิ่งไป ผมก็เห็นรถบรรทุกคันหนึ่งได้ฝ่าไฟแดงขับตรงมาด้วยความเร็วสูง ก็ไม่รู้ว่าคนขับเมาหรือว่าหลับใน ทั้งๆ ที่ไอ้เต้ยกำลังข้ามถนนมาแต่คนขับก็เหมือนว่ามองไม่เห็น รถยังพุ่งตรงมาไม่มีการเบรกหรือชะลอลงเลยแม้แต่น้อย
“ไอ้เต้ย! ระวัง!” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ไม่ทันแล้ว เพียงแค่เสี้ยววินาทีร่างของไอ้เต้ยก็ถูกชนอย่างจังจนกระเด็นไปต่อหน้าต่อตา
จังหวะนั้นภาพที่ผมเห็นทุกอย่างมันก็ช้าไปหมด ราวกับว่าเวลาได้เดินช้าลงสัก 10 เท่า ทำให้ผมเห็นร่างของไอ้เต้ยมันลอย
เคว้งคว้างในอากาศ จากนั้นก็ตกลงมาที่พื้นอย่างแน่นิ่ง โดยที่มีเลือดค่อยๆ ไหลซึมออกมาจนแผ่กระจายเป็นวงกว้าง
เสียงกรี๊ดจากคนที่อยู่บริเวณนั้นดังขึ้น ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถบรรทุกหยุดชะงัก คนขับที่ดูเหมือนว่าจะหลับในก็ค่อยๆ ลงมาจากรถด้วยสีหน้าอึ้งๆ ส่วนพวกเพื่อนของผมที่ก่อนนี้เมาจนแทบหัวทิ่มก็พากันช็อกจนสร่างทันที
“ไอ้เต้ยยยยยยยยยยยย!” เมื่อตั้งสติได้ผมก็ร้องตะโกนสุดเสียง ก่อนจะรีบวิ่งไปกอดร่างที่นอนแน่นิ่งของไอ้เต้ยพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรากลงมาอย่างไม่ขาดสาย
ตอนนี้ผมไม่สนใจแล้วว่าเสื้อที่พึ่งซื้อมาใหม่จะเปื้อนเลือดจนซักออกมั้ย ผมแค่อยากให้ไอ้เต้ยมันลืมตาขึ้นมาหรือขยับตัวสักนิด แต่ไม่ว่าผมจะเรียกหรือเขย่าเท่าไหร่ มันก็ยังคงนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่เหมือนเดิม
“มึงลืมตาขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะไอ้เต้ย! ลืมตาขึ้นมา! เต้ย! ไอ้เต้ยยยยย!”
ผ่านไปหลายนาทีแล้วแต่ผมก็ยังคงร้องเรียกไอ้เต้ยทั้งน้ำตา ไอ้พวกเพื่อนๆ เลยพากันเดินเข้ามาปลอบผมและพูดให้กำลังใจต่างๆ นานา แต่ว่าผมก็แทบไม่รับรู้ไม่ได้ยินอะไรเลย
“เกิดอะไรขึ้น ใครเป็นอะไร” เหมือนจะมีใครสักคนเดินมาถามพวกเพื่อนของผม เสียงของคนคนนั้นฟังดูคุ้นๆ แต่ว่าผมก็นึกไม่ออกแล้วก็ไม่ได้สนใจด้วย จนกระทั่งเขาเริ่มจะมีปากเสียงกับผู้หญิงที่มาด้วยนั่นแหละ ผมก็รู้สึกรำคาญจนทนไม่ไหว
“โว้ยยยยยยย! ไปทะเลาะกันที่อื่นไป๊!”
พอด่าเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมาดู...เหอะ! ไอ้เอสกับแฟนของมัน มาทะเลาะกันทำเหี้ยอะไรตรงนี้ ไม่แหกตาดูสถานการณ์บ้างเลยรึไง โดยเฉพาะแฟนของมันที่ท่าทางจะไม่มีความเป็นคนหลงเหลืออยู่เลย
แล้วหลังจากนั้นสักพักเสียงไซเรนก็ดังขึ้น ก่อนที่รถพยาบาลจะมาจอดอยู่ตรงหน้าของผม ทันทีที่เห็นสภาพของไอ้เต้ยพวกพี่เขาก็รีบขนเครื่องไม้เครื่องมือออกมาช่วยชีวิตของมัน ส่วนผมก็ถอยมาเกาะกลุ่มกับพวกเพื่อนแล้วลุ้นอยู่ใกล้ๆ
แต่ว่ามันก็ไม่มีปาฏิหาริย์...
พวกพี่เขาบอกว่าไอ้เต้ยได้เสียชีวิตมาสักพักแล้ว...
“ฮือออออ ไอ้เต้ยยยยย” น้ำตาของผมที่หยุดไหลไปแล้วได้ไหลลงมาอีกครั้ง ส่วนพวกเพื่อนผมก็เหมือนกัน โดยเฉพาะไอ้หลินที่รีบหันไปกอดไอ้อาร์ทพร้อมกับสะอื้นจนตัวโยน
“ไม่จริง...” ใครก็ได้ช่วยบอกผมทีว่านี่มันคือเรื่องโกหก
“เพื่อนผมยังไม่ตาย...” ก่อนหน้านี้มันยังคุยเฮฮาสนุกสนานกับผมอยู่เลย
“มันต้องมีอะไรผิดพลาด...” ใช่...มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ ไอ้เต้ยยังไม่ตาย...มันต้องยังไม่ตาย!
เมื่อคิดได้แบบนั้น ผมก็รีบพุ่งเข้าหาพี่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งทันที
“พี่เช็คดีแล้วหรอครับ! ช่วยไปดูใหม่ทีนะพี่!”
“คือ...น้อง...” พี่เขาทำหน้าลำบากใจและสงสารผม แต่ผมไม่ต้องการ ตอนนี้ผมแค่อยากให้ไอ้เต้ยมันฟื้นขึ้นมา ถึงแม้จะมีโอกาสเพียงน้องนิดแต่ผมก็จะไม่ยอมแพ้
“ขอร้องล่ะครับ! ไอ้เต้ยมันต้องยังไม่ตายแน่ๆ! พี่ไปดูมันอีกทีนะ!”
“...”
“พี่ช่วยเพื่อนผมด้วยนะ! อย่าเงียบสิครับ! พี่!”
“มีสติหน่อยซี!” แล้วขณะที่ผมกำลังเขย่าพี่เจ้าหน้าที่อย่างสติแตกอยู่นั้น คนที่ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะเข้ามาห้ามก็เป็นคนดึงผมออกมา
ไอ้เอส...
“ยอมรับความจริงซะ เต้ยตายไปแล้ว” มันพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่คำพูดของมันแม่งโคตรโหดร้าย ตอนนี้ผมรู้สึกเจ็บราวกับถูกมีดทิ่มลงมาที่กลางหัวใจ ผมหมดหวังและหมดเรี่ยวแรงที่จะรั้นอีกต่อไปแล้ว...
“กูรู้...แต่กูก็แค่...ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องจริง...” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับมัน จังหวะนั้นดวงตาของผมก็ไหวระริก ผมพยายามเต็มที่เพื่อที่จะกลั้นมันเอาไว้ ก่อนที่ผมจะหันไปหาใครสักคนเพื่อที่จะยืมไหล่เป็นที่พักพิง แต่ก็ไม่มีที่ว่างสำหรับผมเลย ไอ้อาร์ท – ไอ้หลิน ไอ้เสือ – ไอ้เก่งต่างก็พากันกอดคอร้องไห้เป็นคู่ ดูเหมือนว่าผมคงจะต้องร้องไห้คนเดียวสินะ
แต่แล้วจังหวะนั้น...
!!!
จู่ๆ ไอ้เอสมันก็ดึงผมเข้าไปกอด ไม่มีคำอธิบายหรือว่าคำพูดใด สีหน้าของมันนิ่งเฉยจนผมไม่รู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ว่าผมก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากตรงไหล่และอ้อมกอดของมัน
ก็ไม่รู้เป็นเพราะความเศร้า เสียใจ อ้างว้าง หรือว่าโดดเดี่ยว ผมเลยไม่คิดจะผลักไสมันออกไป และไหนๆ ก็ไหนๆ ผมขอถือโอกาสใช้ไหล่ของมันเป็นที่ซับน้ำตาของผมเลยก็แล้วกัน
คิดว่ามันคงตั้งใจให้ผมทำแบบนี้...มั้งนะ
2bc
สวัสดีค่า มาต่ออย่างรวดเร็ว อิอิ อ่านตอนนี้จบหลายๆคนที่อาจจะงงว่าพระ-นายคือใครก็คงจะเริ่มเข้าใจแล้วเนอะ
คือเต้ยเนี่ยแค่มาเล่าตอนเปิดเรื่องเฉยๆ ต่อไปก็จะเล่าผ่านซีหรือเอส โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่ามีวิญญาณของเต้ยคอยมาป่วนอยู่ข้างๆ
ก็ไม่รู้ว่าตอนสุดท้ายจะมีใครเห็นเคมีของเอสและซีบ้าง รู้แต่ว่าผีเต้ยนี่ฟินมว้ากกกก ในสมองคงคิดแผนจับคู่เป็นร้อยแน่ๆ อิอิ
เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อก็มาลุ้นและเอาใจช่วยทั้งคู่กันด้วยนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและติดตามด้วยน้าาา กอดดด