Chapter 24: The top secret[1]
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่การเลิกเรียนแล้วรีบกลับมาบ้านนั้นมันจะทำให้กานต์มีความสุขมากขนาดนี้ ยิ่งถ้ากลับมาแล้วเจอออสตินอยู่ที่บ้านโดยที่ไม่ต้องรออีกฝ่ายเลิกงาน กานต์ก็ดูเหมือนจะยิ้มบ่อยเป็นพิเศษ
แค่เรื่องเล็กน้อย แต่ถ้ามันเกี่ยวกับออสตินแล้ว ไม่ว่าอะไรก็พิเศษทั้งนั้น
ไม่เว้นแม้แต่ออสตินที่ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะกลายเป็นคนติดบ้านได้ขนาดนี้ ปกติแล้วเวลาเลิกงาน เขามักจะไปนั่งดื่มที่บาร์ หรือไม่ก็ไปขับรถเล่นยามวิกาลเพื่อคลายเครียดจากงานที่รุมเร้า แต่ทว่าทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อมีเด็กหนุ่มคนนี้ก้าวเข้ามาในชีวิต
หมายถึงก้าวเข้ามาทั้งตัวและหัวใจ...
ทุกอย่างทั้งพิเศษ ทั้งวิเศษ มันดีไปหมด ดีจนบางครั้งออสตินก็นึกว่ามันคือความฝัน หลายครั้งที่เขาตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความหวาดผวาเพราะกลัวว่าความสุขนี้จะหายไป แต่เมื่อเห็นกานต์นอนหลับอยู่ข้างกาย เขาถึงประจักษ์ว่าสิ่งที่ตนเห็นนั้น...คือของจริง
“วันนี้เราจะทำอะไรกินกันดีครับ ผมจะได้เตรียมของไว้”
กานต์ร้องถามเมื่อเห็นออสตินกลับมาถึงบ้าน เขานั่งรอออสตินอยู่พักหนึ่งแล้ว พอเห็นหน้าก็รีบร้องถาม เตรียมตัวจะไปเตรียมวัตถุดิบเพื่อมาทำอาหารเย็นด้วยกัน ทว่าคนถูกถามไม่ตอบ ก้าวเข้ามาใกล้แล้วรวบเอวเด็กหนุ่มไปแนบกับลำตัวตนเอง
“วันนี้เราจะไม่กินมื้อเย็นที่บ้าน”
“เห? จะพาผมไปกินอาหารนอกบ้านเหรอครับ”
เป็นอย่างนั้นแหละ ออสตินยิ้มให้เป็นคำตอบ ก่อนจรดริมฝีปากลงมาบนกลีบปากนุ่มทีหนึ่ง
“ฉันจะพาเธอไปดินเนอร์แบบที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน”
“หมายถึงพาไปที่หรูๆ แพงๆ อย่างนั้นน่ะเหรอครับ”
ออสตินหัวเราะพลางพยักหน้า “ใช่ แบบนั้นแหละ ใต้แสงเทียนอะไรอย่างนั้น”
“แด๊ดดี้ก็เคยพาผมไปแล้วนี่นา”
กานต์จำได้ว่าครั้งหนึ่ง ออสตินเคยพาไปกินอาหารอิตาเลียน ความหรูหราที่ได้สัมผัสในครั้งนั้น เขาจำได้ดีเลยว่าทำให้เขาเกร็งไปทั้งตัวแค่ไหน
ทว่าออสตินกลับหัวเราะในลำคอน้อยๆ
“ฉันหมายถึงดินเนอร์กันแบบคู่รัก ไม่ใช่อย่างที่เราเคยเป็น”
ชายหนุ่มเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงสถานะนั้น...ใช่ พ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยง เขาไม่อยากพูดถึงมันอีกเพราะตอนนี้ความรู้สึกของเขามันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
กานต์เองก็เช่นกัน ได้ยินออสตินว่าอย่างนั้นแล้วก็ยิ้มกว้าง แสร้งร้องอ๋อยาวให้คนชวนได้ถามอีกครั้ง
“อยากไปหรือเปล่า”
“ผมเคยปฏิเสธแด๊ดดี้ด้วยเหรอครับ” คำตอบชัดเจนแล้วว่าไป ก่อนจะเอะใจขึ้นมา “แล้วผมต้องใส่สูทไหม”
ที่ถามอย่างนี้เป็นเพราะครั้งก่อนเขาใส่ไป ออสตินพยักหน้ารับ ก่อนจะกระซิบเสียงแผ่ว
“ฉันจะช่วยเธอแต่งตัวนะ”
น้ำเสียงอย่างนี้ การพูดแบบนี้ ถ้าขืนให้ช่วยแต่งตัวล่ะก็ มีหวังไม่ต้องได้ไปดินเนอร์กันพอดี
“ผมแต่งเองก็ได้ครับ เดี๋ยวก็ไปไม่ทันเวลาจองหรอก”
ที่บอกอย่างนี้เป็นเพราะพอจะเดาได้ว่าการที่ออสตินมาถาม เขาจะต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้วอย่างแน่นอน ซึ่งก็จริงเมื่อเขาตอบกลับมา
“ยังเหลือเวลาอยู่อีกสองชั่วโมง น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
แล้วกานต์จะปฏิเสธอะไรได้อีก ได้แต่ยิ้มรับขณะที่เสื้อยืดบนตัวเขากำลังถูกอีกฝ่ายดึงชายเสื้อขึ้นเพื่อถอดออก
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเผื่อเวลาช่วยผมแต่งตัว ‘จริงๆ’ ไว้มากหน่อยนะครับ อย่าเพลินจนลืมเวลาล่ะ”
ออสตินรู้แล้ว เขาจะตั้งนาฬิกาปลุกไว้ รับรองว่าไม่เกินเวลาแน่...แต่ต่อให้ไปสายนิดๆ หน่อยๆ เขาก็ไม่สนใจหรอก
ดินเนอร์ที่ภัตตาคารหรูที่จองไว้ไม่ได้ แล้วมันสำคัญอะไร เขาพากานต์ไปดินเนอร์ที่อื่นที่วิเศษกว่าก็ได้...บนเตียงในห้องนอนนี่ไงล่ะ
ภัตตาคารหรูของโรงแรมแห่งหนึ่งถูกเลือกเป็นสถานที่สร้างความทรงจำอันน่าประทับใจ กานต์ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการ ‘เดต’ กันของผู้ใหญ่มันเป็นอย่างไร หรือคู่อื่นๆ เป็นแบบนี้หรือเปล่า ที่เขารู้ก็คือออสตินทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าเขาเป็นคนพิเศษที่สุดในชีวิตของออสตินในค่ำคืนนี้
เด็กหนุ่มได้ทดลองดื่มไวน์เป็นครั้งแรก ต่อให้อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พวกนี้ แต่เพราะอยากลอง และออสตินก็เห็นว่าไม่เป็นไรถ้าจะดื่มเนื่องจากมีเขาคอยดูแลใกล้ชิดอยู่ ดังนั้นกานต์จึงได้ลิ้มรสน้ำองุ่นหมักรสเฝื่อนและฝาด พร้อมกับบ่นพึมพำว่าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมว่าออสตินถึงได้ชอบเครื่องดื่มชนิดนี้นัก ไม่อร่อยเลยสักนิด
ทว่าความคิดนั้นก็เปลี่ยนไปเมื่อได้ทดลองคล้องแขนกับออสตินแล้วดื่มมันเข้าไปอีกครั้ง
ใครว่าไม่อร่อยกัน อร่อยมาก หวานล้ำสุดๆ อีกด้วย แต่...ก็ไม่แน่ใจนักว่าอะไรที่หวาน ระหว่างไวน์องุ่นแก้วนี้หรือว่าออสตินกันแน่
เสียงหัวเราะ เรื่องขำขัน อารมณ์ต่างๆ ที่ได้แบ่งปันก่อเกิดเป็นความรู้สึกดีๆ ที่ทั้งคู่มีให้กัน ทำให้โลกทั้งใบฉาบไปด้วยน้ำตาลเชื่อม กานต์รู้สึกว่าตัวเองคงจะเมาน้อยๆ เมื่อเริ่มเล่นซุกซน จับนั่นจับนี่ กระโดดกอดออสตินบ้างตอนที่คนอื่นเผลอ ยิ่งขากลับที่ต้องลงลิฟต์ไปยังลานจอดรถ เด็กหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายรุกรานจุมพิต ออสตินไม่ห้ามปราม มีแต่ตามใจ ยอมรับการเรียกร้องจูบนั้น ก่อนที่จะรีบผละออกจากกันเมื่อมีแขกของโรงแรมคนอื่นๆ อาศัยลิฟต์จากชั้นอื่นลงมาด้วย ทั้งคู่เหลือบมองกัน ส่งสายตาที่ราวกับว่ารู้กันสองคน ก่อนจะหัวเราะขบขันเมื่ออยู่กันตามลำพังอีกครั้ง
เป็นความสนุกที่ออสตินเองก็ไม่ได้สัมผัสมานานแล้วเหมือนกัน เขาเพิ่งจะรับรู้ได้ว่าการมีคนรักที่อายุน้อยกว่าอย่างนี้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนกลับไปช่วงวัยรุ่นอีกครั้ง
ทั้งสองเดินกลับไปยังรถที่จอดอยู่ยังลานจอดรถกลางแจ้ง ออสตินเปิดประตูให้กานต์ได้ขึ้นไปนั่ง กานต์แหงนหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ว่าหยอกเย้า
“ต้องเรียกผมว่าสุภาพสตรีด้วยไหมครับ เปิดประตูรถให้ผมขึ้นแบบนี้เนี่ย”
“ทำไมล่ะ มันไม่ดีหรือไง”
“ไม่ใช่ว่าไม่ดีครับ แค่ผมเคยเห็นแต่ผู้ชายเปิดให้ผู้หญิงขึ้นรถเท่านั้น ไม่เคยเห็นผู้ชายเปิดให้ผู้ชายด้วยกัน”
“ดูจากหนังมาอีกล่ะสิ”
กานต์พยักหน้า ก่อนหน้านี้เขาก็เพิ่งจะบอกออสตินไปว่าการมาดินเนอร์ใต้แสงเทียนหรือออกเดตหรูหราแบบนี้ เขาเคยเห็นแต่ในภาพยนตร์ที่เคยดูเท่านั้น และนั่นทำให้ออสตินเอ็นดูในความไม่ประสาของเด็กหนุ่มอยู่ไม่น้อย
“ฉันไม่สนหรอกว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ถ้าคนคนนั้นเป็นคนที่ฉันรัก ฉันก็อยากจะดูแลเป็นอย่างดี”
กานต์ยิ้มกว้างออกมา เรื่องนั้นเขารู้แล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะได้รับการปฏิบัติประหนึ่งดั่งเจ้าหญิงอย่างนี้เหรอ
เจ้าหญิง...บางทีอาจจะเหมาะมากกว่าถ้าเขาเป็นผู้หญิงจริงๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เขาก็ไม่สนใจแล้ว เพราะในเวลานี้ สิ่งที่ทำให้เขามีความสุขที่สุดก็คือการกระทำของออสตินที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่ารักเขามากเพียงใด
“ขอบคุณครับ”
กานต์ยิ้มรับกว้าง สบตากับคนตรงหน้า ดวงตาของออสติน ไม่ว่าจะมองครั้งไหนก็เต็มไปด้วยมนตร์เสน่ห์ทุกครั้ง ยิ่งในเวลาอย่างนี้...ที่ความรู้สึกของพวกเขาตรงกัน มันทำให้เด็กหนุ่มอดใจไม่ไหวที่จะดึงเสื้อสูทของอีกฝ่ายเข้าหา ขยับกายมาประชิดแล้วเขย่งปลายเท้าเล็กน้อยเพื่อลิ้มรสริมฝีปากหยักนั้น
ผละออกไปได้ คนถูกขโมยจูบก็หัวเราะเบาๆ “เด็กขี้ขโมย” บริภาษมาอย่างไม่จริงจังนักตบท้าย
กานต์หยักยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าอย่างนั้น แด๊ดดี้ก็เอาคืนสิครับ”
“ฉันเอาคืนแน่นอน” จากนั้นก็เป็นฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ ทำให้กานต์ต้องถอยหลังไปจนชิดกับขอบประตูรถ ก่อนคนไล่ต้อนจะว่าเสียงแผ่ว “แต่ไม่ใช่ที่นี่ ตอนนี้ฉันขอแค่มัดจำไว้ก่อน กลับถึงบ้านเมื่อไร เอาคืนเธอทบต้นทบดอกแน่”
สิ้นเสียงก็บดริมฝีปากจูบลงไป กลืนกินราวกับจะฉุดกระชากให้วิญญาณอีกฝ่ายออกจากร่าง กานต์เผยอรับจูบนั้นด้วยความยินดี ปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนานกระทั่งออสตินพอใจถึงได้ผละออกห่าง
“กลับบ้านกันเถอะ ฉันคิดว่าฉันไม่น่าจะทนไหวแล้ว”
แค่นี้ก็เป็นสัญญาณให้รู้ว่าเชื้อเพลิงของออสตินโชติช่วงเตรียมตัวจะเผาไหม้ให้เด็กหนุ่มวอดวายในเพลิงแห่งรักมากแค่ไหน
“งั้นกลับกันเถอะครับ เหยียบให้มิดเลย”
เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังขึ้นก่อนพากันหายเข้าไปในรถ ไม่นานนัก รถคันเก่งของพ่อมดแห่งตลาดหลักทรัพย์และลูกเลี้ยงก็เคลื่อนที่ออกจากลานจอดรถของโรงแรม เปลี่ยนสถานที่ดินเนอร์ใหม่อีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าอาหารสำหรับการดินเนอร์ในมื้อนี้...คงจะเป็นกันและกันแล้วล่ะ