ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]  (อ่าน 35153 ครั้ง)

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ไปแอบส่องกานต์มาก่อนแล้วนี่เอง ตกลงที่แต่งกับแม่กานต์ จริง ๆ คงไม่ได้รักแม่กานต์ แต่อยากได้กานต์ไว้ใกล้ ๆ ตัวเองมากกว่า แด๊ดเลี้ยงต้อยนิหว่า  :hao3:

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
เดี๋ยวได้มีการฉีกเอกสาร 5555

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
สรุปว่ากานต์ร้ายกว่าแด๊ดดี้ใช่ไหมเนี่ย

ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 19: Impossible

เรื่องที่จัสตินโทรมาบอกรบกวนจิตใจของคนเป็นน้องตั้งแต่เมื่อวาน

ออสตินนอนหลับไม่สนิทสักเท่าไรนัก ถึงเขาจะรู้ดีว่าสักวันจะต้องมีเรื่องนี้เกิดขึ้น และในตอนแรกเขาก็มั่นใจว่าเขาคงจะไม่รู้สึกอะไร ไม่น่าจะมีปัญหากับเรื่องนี้ เพราะเขาคิดแต่เพียงว่าต้องการให้เด็กหนุ่มมาอยู่ข้างกายเท่านั้น หากทว่าพอต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริง มันกลับทำให้เขาสงบใจไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

รถยนต์คันหรูเลี้ยวเข้าไปในรั้วบ้านหลังใหญ่ ชายหนุ่มลงจากรถ ตรงเข้าไปยังห้องรับแขก บอกกับแม่บ้านให้ไปตามพี่ชายตนมาพบ ไม่นานนัก จัสตินก็ปรากฏตัวพร้อมกับพยาบาลผู้ดูแลเช่นเดิม ก่อนอีกฝ่ายจะทักทายกับคนมาใหม่ด้วยน้ำเสียงรื่นเริง

“ไหนว่ามีธุระที่บริษัท แล้วทำไมถึงมาก่อนเวลาได้ล่ะ”

ออสตินเหลือบตามองผู้ชายอีกคนที่บังคับให้รถวีลแชร์เคลื่อนที่เข้ามาใกล้เขา ในใจอยากจะบอกเหมือนกันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องอื่นใดทั้งปวง เขาต้องรีบมาก่อนเวลาอยู่แล้ว หากทว่าไม่พูดอะไรสักคำ ได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง

“หืม? ว่าไง คำตอบล่ะ”

“เราเข้าเรื่องกันเลยเถอะ”

ออสตินบ่ายเบี่ยงที่จะพูดถึงเหตุผลที่ตนมาก่อนเวลา

เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับกานต์มันสำคัญทั้งนั้นแหละ ไม่แปลกหรอกที่เขาจะมาก่อนเวลานัดหมายอย่างนี้

จัสตินเห็นท่าทางของน้องชายก็ไม่อยากจะตอแย ถึงอีกฝ่ายจะนิ่ง แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าในใจของออสตินในตอนนี้ดูไม่สบอารมณ์สักเท่าไรนัก คาดเดาไปว่าเพราะตนไปรบกวนเวลาทำงานของคนตรงหน้าจึงทำให้ออสตินอารมณ์ไม่ค่อยดีอย่างนี้ คงต้องรีบคุยและรีบจบเรื่องให้เร็วที่สุดก่อนที่อีกฝ่ายจะหัวเสียมากกว่าเดิม

“เอาเอกสารให้ผมหน่อย”

จัสตินหันไปบอกกับพยาบาล หล่อนพยักหน้า เดินไปหยิบเอกสารที่บรรจุอยู่ในซองสีน้ำตาลในห้องหนังสือของผู้เป็นนายมาวางลงบนโต๊ะกระจก ออสตินปรายตามอง ไม่คิดจะหยิบขึ้นมาเปิดดูสักนิด

“มันเป็นเอกสารสำหรับให้เขียนรายละเอียดน่ะ นายจะต้องกรอกเพื่อเอาไปยื่นทำเอกสารรับรองบุตรบุญธรรม แต่ก่อนที่จะทำเรื่องนั้น มันมีเรื่องที่ยุ่งยากกว่านั้นอีกสักหน่อย”

“เรื่องอะไร”

“ก็เรื่องของลูกเลี้ยงนาย” จัสตินเว้นจังหวะไปครู่ พอเห็นคนตรงหน้าสบตา เขาก็ว่าขึ้นอีก “แล้วก็เรื่องของอดีตสามีของภรรยานายด้วย”

ออสตินเข้าใจว่าหมายถึงพ่อบังเกิดเกล้าของกานต์ และเขาก็พอจะเข้าใจด้วยเช่นกันว่าจัสตินตั้งใจจะพูดอะไร แต่ไม่ทันจะได้ออกปาก จัสตินก็อธิบายออกมาแล้ว

“การที่จะรับกานต์เป็นบุตรบุญธรรมได้อย่างถูกต้อง นายจะต้องถามความสมัครใจของกานต์ก่อนว่าอยากจะเป็นบุตรบุญธรรมของนายหรือเปล่า”

เรื่องนั้น...ออสตินตอบได้เต็มปากเลยว่าไม่อย่างแน่นอน เขามั่นใจมากทีเดียวว่าถ้าหากกานต์รู้เรื่องนี้ เด็กหนุ่มจะต้องปฏิเสธเสียงแข็งแน่

“แล้วกานต์ก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ถึงเจ้าตัวจะยินยอม แต่ยังไงก็ต้องให้ครอบครัวเดิมยินยอมด้วย กานต์ยังเหลือพ่ออยู่ ถึงจะหย่ากับแม่ไปนานแล้ว แต่ก็ถือว่าเขายังมีสิทธิ์ในตัวบุตร เพราะกานต์ไม่ได้ถูกกระทำความรุนแรงจากพ่อมาจนเป็นคดีความ แต่นายไม่ต้องเป็นห่วง ฉันมีแผนแล้ว กะว่าจะยัดเงินสักก้อนให้ผู้ชายคนนั้นยอมเซ็นยินยอม เท่านี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา”

จัสตินว่าอย่างสบายๆ สิ่งที่เขาพูดล้วนเป็นแผนการที่เขาวางไว้อย่างรอบคอบแล้ว ออสตินก็เห็นดีด้วยว่าแผนของเขานั้นน่าจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี หากทว่ากลับไม่เห็นด้วยที่จะรับกานต์เป็นบุตรบุญธรรม

ทำไมน่ะเหรอ?

เรื่องนั้นไม่ต้องถามเขาหรอก ทุกอย่างมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าทั้งเขาและกานต์ต่างไม่ได้รู้สึกว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ทว่ารู้สึก...อยากเป็นของกันและกันมากกว่า

และเพราะคิดอย่างนั้น ออสตินจึงระบายลมหายใจออกมาด้วยหนักใจ แผนที่เขาเคยวางไว้กับจัสตินเมื่อครั้งที่แม่ของกานต์ยังมีชีวิตดูเหมือนจะไม่ได้เรื่องในตอนนี้เสียแล้ว จนในที่สุด ออสตินก็ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมา

“พี่ ผมขอพูดตามตรง”

“หืม? เรื่องอะไร”

“ผมไม่อยากได้กานต์เป็นลูกบุญธรรม”

ได้ยินอย่างนั้น จัสตินก็ขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าดีๆ ในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิง

“นายหมายความว่า...”

“ผมไม่อยากให้กานต์เป็นลูกบุญธรรมของผม ผมไม่ต้องการ”

ย้ำมาอีกครั้งก็ชัดเจนอย่างที่สุด จัสตินนิ่วหน้า น้ำเสียงเปลี่ยนไปทันที

“พูดบ้าอะไรของนาย รู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอะไรออกมา”

ออสตินนิ่งไปครู่ “ผมรู้ตัว” ก่อนที่จะย้ำประโยคเดิมออกมาอีกครั้ง “ว่าผมไม่อยากได้กานต์เป็นลูกบุญธรรม”

จัสตินไม่เข้าใจสิ่งที่ออสตินแสดงออกสักเท่าไรนัก

ไม่อยากได้กานต์เป็นบุตรบุญธรรมทั้งที่ตอนแรกก็เห็นดีเห็นงามด้วย หรือว่า...น้องชายของเขาจะมีปัญหากับเด็กคนนั้น?

“กานต์เกเรเหรอ?” จัสตินเดาเรื่องนี้เป็นอย่างแรก ทว่าออสตินกลับปฏิเสธ

“เปล่า”

“แล้วเพราะอะไร”

คนถูกถามนิ่งไปอีกครั้ง เขาพูดไม่ได้หรอกว่าเพราะไม่ได้คิดกับเด็กหนุ่มเป็นลูกเลี้ยงอีกต่อไป ทว่าคิด...เสมือนกับคนรัก

“ฉันถามว่าเพราะอะไร” จัสตินคาดคั้นเมื่อเห็นว่าน้องชายไม่พูด

ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลของทั้งคู่สบประสานกัน ออสตินลอบถอนหายใจ ถึงจะไม่อยากบอก แต่เรื่องนี้คงจะต้องให้จัสตินรับรู้ ไม่อย่างนั้นเขาคงถูกยัดเยียดให้รับกานต์เป็นบุตรบุญธรรมไม่หยุดหย่อนแน่

“เพราะผมรักกานต์”

“...”

“ไม่ได้รักแบบลูก”

“อย่าบอกฉันนะว่านาย...”

ความเงียบของออสตินเป็นคำตอบ จัสตินชักสีหน้า แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้รับรู้

“พระเจ้า! ให้ตายเถอะออสติน! นายคิดบ้าอะไรอยู่ นั่นลูกเลี้ยงของนายนะ!”

เสียงตวาดลั่นหลุดลอดออกจากปากของจัสติน เป็นออสตินบ้างแล้วที่ขมวดคิ้วย่น เถียงกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“เขาไม่ใช่ลูกเลี้ยงของผม”

“...”

“แต่เป็นลูกเลี้ยงของพี่ต่างหาก”

“...”

จัสตินพูดไม่ออก กำมือแน่น ว่าเสียงต่ำ

“แต่นายแต่งงานกับแม่ของเด็กนั่น นายเป็นสามีเธอ เท่ากับว่าลูกของเธอคือลูกเลี้ยงของนาย”

ออสตินจ้องหน้าพี่ชายไม่ลดละ เขาไม่อยากจะพูดประโยคที่อยู่ในใจ แต่คงต้องพูดออกไปเพราะเหมือนจัสตินจะลืมไปแล้ว

“ความจริงเธอคือภรรยาของพี่ต่างหาก ลืมไปแล้วเหรอว่าผมแต่งกับเธอแค่ในนาม”

ลำคอของจัสตินตีบตันไม่ทันที เขาเถียงไม่ได้

เรื่องนั้น...เป็นเรื่องจริง

ทว่าจัสตินก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้สักคำ เขาโกรธในสิ่งที่ออสตินพูดและคิด

ทำไมล่ะ ก็ในเมื่อรับปากกับเขาแล้วว่าจะดูแลกานต์เป็นอย่างดี จะวางตัวเป็นพ่อเลี้ยงที่ดี แล้วทำไม...!?

“ออสติน...นาย!”

จัสตินถลาเข้าหาอีกฝ่ายจนไหลลื่นลงจากรถวีลแชร์ล้มหน้าคะมำ ออสตินเห็นก็รีบผุดลุกจากโซฟาเข้ามาประคอง พลันถามด้วยความเป็นห่วง

“เป็นอะไรไหม”

“อย่ามาจับฉัน!”

คนถูกช่วยปัดมืออีกฝ่ายออกเต็มแรง พอออสตินผละถอยไป จัสตินก็พยายามจะผุดลุกขึ้นนั่ง กระนั้นก็ไม่สามารถทำได้ สุดท้ายก็เป็นออสตินที่ต้องเข้ามาพยุง แต่แล้วเขาก็ถูกกระชากคอเสื้อเต็มแรง ก่อนคนเป็นพี่จะตะคอกใส่หน้า

“ไอ้เวรเอ๊ย! นายรับปากแล้ว! นายรับปากฉันแล้วว่าจะดูแลกานต์! ทำไมถึงไม่รู้จักควบคุมตัวเอง!”

กระชากและเขย่าจนอีกฝ่ายศีรษะคลอน ออสตินสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ว่าออกมาช้าๆ

“ผมพยายามแล้ว”

“พยายาม? พยายามตรงไหนของนาย! มารู้สึกบ้าๆ กับลูกเลี้ยงของตัวเองนี่ นายยังปกติดีอยู่หรือเปล่า!”

“กานต์ไม่ใช่ลูกเลี้ยงของผม”

ออสตินยังคงย้ำประโยคเดิม

กานต์ไม่ใช่ลูกเลี้ยงของเขาจริงๆ เขาไม่เคยรู้สึกอย่างนั้น ที่ตัดสินใจแต่งงานกับแม่ของกานต์ก็เพราะเป็นความต้องการของผู้หญิงคนนั้นและของจัสตินซึ่งเป็นคู่รักกัน ถึงเขาจะเป็นฝ่ายยินยอมแต่งงานกับเธอตามคำขอร้องของพี่ชาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเห็นกานต์เป็นลูกเลี้ยงสักหน่อย

ไม่เคยเห็นและไม่เคยคิดเลยแม้แต่น้อย...

ออสตินคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องราวเมื่อสองปีก่อนกะทันหัน ตอนนั้นพี่ชายของเขาตกหลุมรักกับผู้หญิงไทยที่รู้จักกันผ่านทางแอพพลิเคชันหนึ่งถึงขั้นวางแผนแต่งงานกัน เขาซึ่งเป็นน้องชายและสมาชิกครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวอดเป็นห่วงไม่ได้ จนต้องบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปพบกับผู้หญิงคนนั้นที่ไทย และนั่น...เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับกานต์

ออสตินค่อนข้างมั่นใจว่าเด็กหนุ่มจำเขาไม่ได้ หากแต่เขาจำอีกฝ่ายได้ดี

จำได้ดี...และจำแม่นเสียด้วย

จำแม่นจนไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจลบเลือนใบหน้าน่าเอ็นดูนั่นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เขาแทบจะอดใจรอให้พี่ชายของเขาแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นไม่ไหว

ทว่า...ทุกอย่างไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดด้วยจัสตินกังวลเรื่องบ้าๆ เกี่ยวกับลูกเลี้ยงของตัวเองขึ้นมา เรื่องการแต่งงานนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่เรื่องของความกังวลในความพิการทุพลภาพของตัวเองก็ทำให้ออสตินต้องหนักใจมาจนถึงวันนี้

หากไม่มีเรื่องนั้น...

เรื่องบุญคุณที่ทั้งชีวิตของเขาก็ใช้ไม่หมดนั่น...

เขาคงไม่ตอบรับคำขอร้องบ้าๆ นั้นหรอก!

แต่ในเวลานั้น ออสตินคิดแต่เพียงแค่อยากให้กานต์มาอยู่ข้างๆ ตน ทุกการกระทำของเขาล้วนแล้วเป็นไปเพราะความหวังดี แต่ไม่คิดเลยว่าแผนการทุกอย่างจะเปลี่ยนผันเมื่อจู่ๆ พี่สะใภ้ของเขาก็มาด่วนจากไปด้วยอุบัติเหตุไม่คาดฝัน และเขา...ต้องกลายเป็นพ่อเลี้ยงของกานต์โดยสมบูรณ์และถูกต้องตามกฎหมายโดยที่แก้อะไรไม่ได้ด้วยสายเกินเหตุไปแล้ว

มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการให้เป็นไปสักนิด เขาอยากได้เด็กคนนั้นเป็นคนรัก ไม่ใช่บุตรบุญธรรม!

สิ้นเสียงของน้องชาย จัสตินก็สบตาอีกฝ่ายนิ่ง เขารู้ว่าสิ่งที่ร้องขอจากคนตรงหน้ามันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ในเมื่อออสตินรับปากแล้ว ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด

“นายจะมาล้มเลิกทุกอย่างตอนนี้ไม่ได้ นายสัญญากับเธอแล้วว่าจะดูแลลูกของเธอเป็นอย่างดี”

“...”

“แล้วนายก็สัญญากับฉันแล้วว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นายก็จะไม่มีวันทิ้งเด็กคนนั้น นายจะไม่มีวันทิ้งกานต์”

“ผมรู้” ออสตินว่า “ผมจะไม่มีวันทิ้งเขา”

“แค่นายคิดกับเด็กนั่นเกินกว่าลูกเลี้ยงก็เท่ากับว่านายทิ้งเขาแล้ว นายมันเป็นคนไม่รักษาสัจจะ”

จัสตินปรามาส ออสตินเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าต่อให้เขาไม่คิดกับกานต์แค่ลูกเลี้ยง แต่เขาก็ไม่มีวันที่จะทิ้งกานต์แน่ จนทำให้จัสตินต้องพูดออกไปอีกครั้ง

“นายอยากจะเห็นเด็กนั่นลำบากอีกใช่ไหม สมบัติในส่วนของฉันที่พ่อทิ้งไว้ให้ก่อนตาย ตอนนี้นายเป็นคนดูแลทรัพย์สินของครอบครัวสเวนทั้งหมด นายก็รู้ว่าฉันตั้งใจจะยกให้กานต์ตอนฉันตายไป ถ้าเด็กนั่นไม่ได้เป็นลูกบุญธรรมของนาย นายยกเงินจำนวนมหาศาลให้อย่างนั้น ใครๆ ก็ต้องคิดว่านายจงใจฟอกเงิน แล้วคนที่จะเดือดร้อนคือใคร ไหนลองบอกฉันมาซิว่าใครจะต้องเดือดร้อน!”

ออสตินไม่เถียง เขารู้ดีอยู่แล้วล่ะว่าทรัพย์สินของพี่ชายเขามันมากมายเสียจนทำให้คนอื่นเข้าใจได้ว่าพวกเขาต้องการที่จะฟอกเงินถ้าหากยกเงินทองพวกนั้นให้กับเด็กหนุ่มโดยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวพันใดๆ กัน แต่ถ้าหากเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว อย่างน้อยก็สามารถระบุเหตุผลได้ว่าเป็นการยกให้เพราะเป็นสมาชิกในครอบครัว

แต่ว่า... เขาก็ยังไม่อยากให้กานต์เป็นบุตรบุญธรรมของเขาอยู่ดี

“กลับไปคิดให้ดีออสติน คิดให้ดีว่านายควรทำยังไงกับเรื่องนี้ และถ้าเป็นไปได้... อย่าได้รู้สึกอย่างนั้นกับกานต์อีก เขาเป็นลูกเลี้ยงของนาย ระหว่างนายกับกานต์...มันเป็นไปไม่ได้”

จัสตินว่าออกมาอีกครั้ง พยายามดันตัวขึ้นรถวีลแชร์โดยไม่สนใจออสตินที่เข้ามาพยุง พอเห็นอีกฝ่ายเอื้อมมือมา ก็ปัดออกเต็มแรงจนพยาบาลส่วนตัวต้องรีบเข้ามาช่วยพยุงแทนด้วยกลัวว่าจะล้มคว่ำไปอีก

“กลับไปซะ ฉันไม่อยากเห็นหน้านายตอนนี้ กลับไป!”

คนเป็นพี่ออกปากไล่ ออสตินก็ไม่คิดที่จะอยู่ต่อเช่นกัน เขาผุดลุกขึ้น ตรงออกไปนอกบ้าน ทว่าในจังหวะที่กำลังจะไปที่รถของตัวเอง แม่บ้านก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมกับเรียกเขาไว้

“คุณลืมของค่ะคุณออสติน”

ชายหนุ่มหันมามอง เห็นในมือของแม่บ้านถือซองกระดาษสีน้ำตาลอยู่ก็นิ่วหน้า

ซองนั่น...

“คุณจัสตินบอกให้คุณเอาไปอ่านแล้วทบทวนให้ดีค่ะ”

เจ้าหล่อนพูดขึ้นมาก่อนที่ออสตินจะถามเสียอีก เขาจำใจต้องรับมันมาไว้ในมือ ก่อนเปิดประตูขึ้นรถแล้วขับออกไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

บุตรบุญธรรมอย่างนั้นเหรอ?

ถ้าอยากจะได้กานต์เป็นบุตรบุญธรรมนักก็เซ็นรับรองเองไปเลยสิ ให้ตายเถอะ!

 

ถึงจะคิดอย่างนั้น แต่ออสตินก็รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับจัสติน ถ้าหากคนที่ถูกศาลสั่งให้ไร้ความสามารถอย่างเขาสามารถทำได้ จัสตินคงไม่รอช้าที่จะรีบดำเนินการทุกอย่างให้เรียบร้อยไปแล้ว แต่เพราะทำไม่ได้ ภาระหนักอึ้งจึงมาตกอยู่ที่ออสติน ตอนนี้เองถึงรู้ว่าการตัดสินใจแต่งงานกับแม่ของกานต์ตามข้อเสนอของจัสตินนั้นเป็นเรื่องที่ผิด

เขาอยากอยู่ใกล้ๆ กับกานต์ก็จริง แต่...อยากอยู่ในฐานะคนรัก ไม่ใช่พ่อเลี้ยงอะไรแบบนี้!

เขาต้องทำอย่างไร...

ต้องทำอย่างไรถึงจะสลัดสถานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ไปได้

ต้องทำอย่างไรกัน!

ชายหนุ่มนั่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวันไม่หยุดหย่อน ท่าทางนิ่งเฉยผิดปกตินั้นทำเอากานต์ที่ใช้เวลาอยู่ด้วยตั้งแต่กลับจากโรงเรียนนึกสงสัยไม่น้อยว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร ทว่าก็ไม่กล้าถามเพราะสีหน้าของออสตินดูเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก ไม่แน่ใจนักว่าถ้าถามไปแล้ว จะทำให้ออสตินหัวเสียมากกว่าเดิมไหม

ดังนั้นการสงบปากสงบคำไว้จะเป็นการดีที่สุด...

“แด๊ดดี้ครับ ผมขึ้นนอนก่อนนะครับ”

เสียงของเด็กหนุ่มที่เพิ่งอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จดังขึ้นที่ตรงบันได ออสตินซึ่งนั่งเท้าคางคิดวกวนเรื่องที่ประสบมาไม่หยุดได้สติในตอนนี้ หันไปมองก่อนจะพยักหน้า

“อืม”

จากนั้นก็มองกานต์นิ่ง กานต์อึกอักไปชั่วครู่ สายตาของออสตินดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูด ที่รู้ๆ คือมันทำให้กานต์อึดอัดมาก เขาจึงรีบบ่ายเบี่ยงที่จะเผชิญหน้าด้วยการตัดบท

“งั้น...ผมไปนอนก่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์”

สิ้นเสียง เด็กหนุ่มก็ก้าวไวๆ ขึ้นไปข้างบนทันที

เสียงปิดประตูดังมาให้ได้ยิน ออสตินระบายลมหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรของวันแล้วก็ไม่รู้ อีกทั้งยังนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นกระทั่งเวลาผันผ่านไปเกือบชั่วโมง

ยิ่งนั่ง...ก็ยิ่งคิดวกวน

ยิ่งคิดวกวน...ก็ยิ่งมีความรู้สึกบางอย่างโผล่วาบขึ้นมา

ถ้าเขาทำให้กานต์เป็นของเขาล่ะ จัสตินจะล้มเลิกความคิดที่จะให้เขายื่นเรื่องขอกานต์เป็นบุตรบุญธรรมไหม

เป็นความคิดที่ไม่ควรจะบังเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ในเวลานี้ ออสตินกลับหูหนวกตาบอด เขาคิดแต่ว่าอยากให้กานต์เป็นของเขาเท่านั้น พลันก็ลุกจากโซฟา ก้าวขึ้นไปชั้นบน ก่อนจะไปหยุดที่หน้าห้องของเด็กหนุ่ม มือยื่นออกไปจับยังลูกบิด พลันก็หมุนมันออกอย่างเบามือ

คืนนี้กานต์ไม่ได้ไปนอนที่ห้องของออสตินเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงจะอยากใช้เวลาครุ่นคิดเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจเป็นการส่วนตัว ทว่าเสียงเปิดประตูห้องของเขาที่ดังขึ้นเมื่อครู่ก็ปลุกให้คนที่เคลิ้มจนเกือบจะเข้าสู่ห้วงฝันต้องลืมตาตื่น พลันริมฝีปากก็ร้องถาม

“แด๊ดดี้?”

เป็นออสตินจริงๆ เห็นเพียงแค่เงาตะคุ่มก็จำได้ แม้ว่าออสตินจะไม่ตอบสิ่งใดกลับมาก็ตามที

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ออสตินยังคงไม่ตอบ ก้าวเข้ามาหยุดที่ปลายเตียง ก่อนที่จะปีนขึ้นมาแล้วทาบทับลงบนร่างของเด็กหนุ่ม

การกระทำนั้นทำเอากานต์แปลกใจอยู่ไม่น้อย ปกติแล้ว ออสตินจะไม่แตะต้องตัวเขาก่อน แต่วันนี้...

“แด๊ดดี้?”

ไม่พูดพร่ำใดๆ ออสตินจรดจูบลงบนริมฝีปาก ฉุดกระชากเอาลมหายใจของอีกฝ่ายไป ก่อนจะผละออกมาซุกไซ้ไปยังซอกคอหอมกรุ่น มือดึงรั้งเสื้อยืดที่เด็กหนุ่มสวมใส่อยู่ออก ไม่นานนัก เสื้อตัวนั้นก็ถูกถอดออกไปทั้งที่เจ้าตัวยังคงงุนงงและตั้งตัวไม่ทัน

“แด๊ด...”

พอได้โอกาสก็ร้องเรียกคนตรงหน้า แต่แล้วเสียงของกานต์ถูกกลืนหายไปอีกครั้ง ในยามปกติแล้ว เขาจะยอมเอนอ่อนให้อีกฝ่ายกระทำใดๆ กับร่างกายก็ได้ตามใจ ทว่าในยามนี้ที่ออสตินดูเหมือนจะไม่ปกติ... แน่นอนว่าเขาหมายถึงอารมณ์ ในยามที่ออสตินดูอารมณ์ไม่ปกตินั้น กานต์บ่ายเบี่ยงพร้อมกับผลักไสเมื่อเห็นว่าออสตินพยายามดึงดันที่จะบีบบังคับเขาไว้ใต้ร่างเมื่อเขาขืนตัวหลบ

“แด๊ดดี้ครับ...”

เด็กหนุ่มพยายามร้องเรียกอีกครั้งเมื่อกลีบปากเป็นอิสระ หากแต่ออสตินกลับไม่สนใจที่จะฟัง ตะโบมลูบไล้ไปทั่วร่างกาย จรดจูบหนักหน่วง ไร้ซึ่งความอ่อนหวานใดๆ แม้ว่ากานต์จะเคยถูกกระทำอย่างดุดันมาแล้ว แต่เขาก็รู้ดีว่าการกระทำในครั้งนี้มันต่างจากช่วงเวลาปกติ

ออสตินไม่ได้กระทำอย่างดุดันเช่นทุกที แต่เขากำลังกระทำเพราะโกรธอะไรบางอย่าง ซึ่งกานต์เองก็ไม่รู้ว่าตนไปทำอะไรให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจเลยแม้แต่น้อย

“แด๊ดดี้ครับ ตั้งสติหน่อย ฟังผมก่อน เราคุยกันก่อนได้ไหม”

สองมือดันไหล่กว้างของคนที่กำลังจูบหนักๆ บนแผงอกของเขาให้ออกห่าง ทว่าออสตินกลับไม่ฟังอยู่ดี ดึงกระชากกางเกงขอบยางยืดที่กานต์สวมใส่อยู่ออก ดันขาทั้งสองข้างขึ้นตั้งชัน ก่อนที่จะรุกรานด้วยปลายนิ้ว...เข้ามายังจุดที่ไม่เคยมีใครล่วงล้ำมาก่อน

กานต์พรึงเพริดสุดขีดในคราวนี้เมื่อสัมผัสแปลกใหม่แทรกลึกเข้ามาในร่างกาย ถึงเขาจะยินดีถ้าออสตินหมายจะครอบครองร่างกายเขา แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะรุกรานเมื่อไรก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลาที่เขายังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจอย่างนี้

“แด๊ดดี้!”

เด็กหนุ่มร้องลั่น สองขาดันร่างตนให้พ้นจากการบุกรุกโดยนิ้วร้าย ความรู้สึกหวามไหวไม่บังเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความตกใจและหวาดกลัว แต่ออสตินก็ไม่ลดละ สีหน้าของเขายังคงนิ่งเรียบ หากแต่หัวคิ้วขมวดมุ่นราวกับคิดอะไรบางอย่าง หูทั้งสองข้างดับไปแล้ว... ไม่ได้ยินเสียงร้องโวยวายของคนใต้ร่างสักนิด

ไม่ได้ยินไม่ว่า ยังจะดึงนิ้วตนเองที่ล่วงเกินอีกฝ่ายกลับมา ปลดเปลื้องกางเกงออกจากช่วงล่างของตนแล้วแทรกลำตัวเข้าไประหว่างขาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่ม หมายที่จะแทรกกายผนวกเป็นหนึ่งเดียว

สัมผัสร้อนรุ่มจากอวัยวะแห่งความเป็นบุรุษเพศซึ่งถูไถอยู่บริเวณช่องทางด้านนอกนั้นยิ่งทำให้กานต์พรึงเพริด เขาไม่เคยหวาดกลัวคนตรงหน้าถึงขนาดนี้ ก่อนที่จะร้องตะโกนลั่น ดิ้นรนผลักไสหนีอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนเมื่อถูกออสตินสัมผัสร่างกาย

“แด๊ดดี้! หยุดเดี๋ยวนี้! ฟังผมหน่อยได้ไหม! หยุด!”

ทั้งดิ้น ทั้งถีบสุดแรง... สีหน้าซีดเผือดจนแทบจะไม่ต่างจากซากศพ

ออสตินได้สติกลับคืนมาในตอนนี้ เขาชะงักทุกการกระทำ มองคนใต้ร่างที่มีสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด พลันความรู้สึกผิดก็ดาหน้าเข้ามาโจมตีเขาอย่างรุนแรง

“กานต์...”

“แด๊ด...ดะ...แด๊ดดี้เป็นอะไร”

กานต์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หากแต่ไม่มีคำตอบจากออสติน เขาเพียงมองใบหน้าของคนใต้ร่างผ่านความมืด เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่ากำลังทำให้กานต์หวาดกลัว ก่อนที่จะรวบอีกฝ่ายมากอดในอ้อมแขนแน่น

“ขอโทษ... ฉันขอโทษ...”

การกระทำนั้นยิ่งทำให้กานต์สับสนมากขึ้นไปอีก

ออสตินเป็นอะไร…

แด๊ดดี้เป็นอะไร...

เขาไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้แสดงท่าทางแปลกๆ แบบนี้สักครั้ง แต่วันนี้มันแปลกมาก... แปลกจริงๆ

เกิดอะไรขึ้นกับออสตินหรือเปล่า?

คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวของกานต์ไม่จบสิ้น ขณะที่ออสตินเอาแต่พร่ำพูดเพียงประโยคเดียวเท่านั้น

“ฉันขอโทษ...กานต์... ขอโทษ...”

ยิ่งพูดก็ยิ่งกอดรัดแน่น กานต์ไม่รู้ว่าจะต้องตอบรับอย่างไรดี จึงได้แต่พึมพำเสียงแผ่ว

“ไม่เป็นไรครับ”

สองแขนโอบประคองร่างใหญ่ของอีกฝ่ายไว้แน่นเช่นกัน ในเวลาอย่างนี้...บางทีออสตินเองก็คงต้องการคนปลอบใจ โดยหารู้ไม่เลยว่าในใจของชายหนุ่มคิดอะไรอยู่

เรื่องระหว่างเขากับกานต์เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?

ไม่...ไม่มีทาง มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และมันจะเป็นไปตามความต้องการของเขา ไม่ใช่ของจัสติน

จนกว่าจะถึงวันนั้น... เขาจะถ่วงเวลาไว้

จนกว่ากานต์จะเป็นของเขาทั้งตัวและหัวใจ เขาจะไม่ยอมเซ็นเอกสารบ้าๆ นั่นเป็นอันขาด!

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-04-2018 03:59:21 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
บอกความจริงกับกานต์ไปเลยแล้วกัน พาไปพบพ่อเลี้ยงตัวจริงได้ยิ่งดี พอมีมรดมาเกี่ยวนี่ ปวดหมองตึบ  :z3:

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
โอ้ววววว ก็เคยคิดว่าแปลกๆ แต่ไม่เคยคิดถึง ประเด็นนี้เลยนะเนี่ย

ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 20: Tell me by your kiss

ถึงเขาจะรักและเคารพจัสตินเพียงใด แต่ออสตินก็ไม่อาจปล่อยมือจากกานต์ไปได้

ลูกเลี้ยงอย่างนั้นเหรอ? เขาทำใจยอมรับได้แค่สถานะอย่างไม่เป็นทางการเท่านั้นแหละ

เพื่อที่จะได้กานต์มาอยู่ข้างๆ ออสตินยอมทำทุกอย่างให้อีกฝ่ายได้อยู่ในสายตา ไม่เว้นแม้แต่ความต้องการของจัสตินที่ออกจะไปในทางเห็นแก่ตัว เขายอมทิ้งตัวตน ยอมได้ชื่อว่าผ่านการแต่งงานมาแล้ว ทั้งหมดนั่นก็เพื่อเด็กผู้ชายคนนั้น

แต่...เขาจะไม่ยอมทำแน่ถ้าหากว่าสิ่งที่จัสตินร้องขอมันจะทำให้เขากับกานต์ต้องมีช่องว่างระหว่างกัน แค่มีสถานะเป็นพ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยง มันก็ยากมากพอที่จะแสดงให้ใครต่อใครเห็นว่าเขารักกานต์แบบคนรัก ไม่ใช่แบบครอบครัวที่สังคมเข้าใจ ขนาดในตอนนี้เขาก็คิดครุ่นไม่ตกแล้วว่าจะทำอย่างไรต่อถ้าหากว่ากานต์มีอายุครบสิบแปดและเขาต้องการให้กานต์มาเป็นคนรัก แทนที่จะเป็นลูกเลี้ยงเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้

แน่นอนว่าสิ่งที่ออสตินกังวลคือสายตาของคนอื่นที่มองเด็กหนุ่มคนนี้... ดังนั้นเขาไม่มีทางที่จะยื่นเรื่องขอกานต์เป็นบุตรบุญธรรมแน่ เท่านี้มันก็ยุ่งยากอยู่แล้ว เขาไม่สร้างเรื่องยุ่งยากให้ตัวเองมากกว่าเดิมหรอก

และเพราะขบคิดเรื่องนั้นมาหลายวัน อีกทั้งจัสตินก็กระหน่ำโทรมาเร่งรัดเขา รวมถึงส่งคนมาคาดคั้นถามเขาเรื่องนี้ถึงบ้านและที่ทำงานไม่หยุดหย่อน ออสตินจึงตัดสินใจขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง

เขาจะพากานต์หนี...

อย่างน้อยก็ในตอนนี้...

ดังนั้นแผนการไปพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศในฮาวายจึงถูกวางอย่างกะทันหัน กานต์ต้องลาหยุดเรียนโดยอ้างเหตุผลว่าต้องเดินทางไปที่อื่นชั่วคราวเพราะหน้าที่การงานของผู้ปกครอง ในตอนแรกที่ออสตินบอกเขาอย่างนั้น เขาก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าออสตินมีธุระอะไรสำคัญ ถึงได้ต้องลากเขาไปทำงานด้วย กระทั่งมาถึงยังที่หมายถึงได้รู้ว่าธุระที่ว่าของออสตินคือการนอนอยู่เฉยๆ บนเตียง ฟังเสียงคลื่นลมทะเล ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย และกกกอดเขาไว้ในอ้อมแขนก็เท่านั้น

วันนี้ก็เช่นกันที่ออสตินทำอย่างนั้น...

ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องบ้าๆ ขึ้นในคืนนั้น กานต์ก็ไม่ปริปากถามเหตุผลใดๆ ถึงการกระทำแปลกประหลาด แต่ก็พอจะเดาได้ว่าการที่จู่ๆ ออสตินก็ละทิ้งภาระหน้าที่ทุกอย่าง ปิดการติดต่อสื่อสาร แล้วมาฝังตัวอยู่บนเตียงกับเขาอย่างนี้เป็นเพราะเรื่องที่ทำให้เขาสติแตกเมื่อวันนั้นนั่นแหละ

แต่...กานต์ก็ชอบ

เขาชอบที่จะนอนหายใจทิ้งในอ้อมแขนแกร่งของผู้ชายตรงหน้า...

เสียงคลื่นลมกระทบฝั่งระคนเสียงนกทะเลดังแผ่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ กานต์เปิดเปลือกตาขึ้นจากการเผลองีบไปเมื่อครู่ แต่แล้วก็ต้องเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจับจ้องใบหน้าของตนอยู่

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ประโยคนี้ กานต์เอ่ยถามออสตินหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่มาที่นี่ ออสตินมักจะจ้องมองหน้าเขานิ่งๆ โดยไม่พูดอะไรเสมอ

สิ่งนั้นมันทำให้กานต์...ประดักประเดิดอยู่ไม่น้อย

“ว่าไงครับ มีอะไรหรือเปล่า”

เห็นว่าถูกจ้องอยู่นาน อีกทั้งยังไม่ได้คำตอบ กานต์ก็เอ่ยปากถามอีก ออสตินหยักยิ้มขึ้นมาบางๆ ในตอนนี้ ยื่นมือไปลูบเส้นผมนุ่มของคนข้างกายให้พ้นจากพวงแก้มขาวนวล

“ไม่มีอะไร”

“แล้วทำไมถึงจ้องผมอย่างนั้น”

“แล้วจ้องไม่ได้เหรอ”

“ถ้าแด๊ดดี้จ้องผม มันไม่มีทางที่จะไม่มีอะไรอยู่แล้วล่ะครับ ต้องมีแน่ๆ ล่ะ”

อย่างน้อยก็เรื่องที่ทำให้ออสตินกลัดกลุ้มในวันนั้นและยังไม่เอ่ยปากบอกให้กานต์ฟังสักคำ...

“ฉันก็แค่อยากมองหน้าเธอ”

“หืม? ผมว่าไม่ใช่แค่นั้นล่ะมั้ง บอกผมมาเถอะว่าจ้องหน้าผมทำไม ผมอยากรู้”

คนถูกถามไม่ตอบในทันที มีเพียงเสียงหัวเราะเท่านั้นที่ดังลอดออกมาให้ได้ยินเบาๆ ท่าทางกรุ้มกริ่มของเขาทำให้กานต์อดสงสัยไม่ได้เลยว่าออสตินคิดอะไรอยู่กันแน่ ในที่สุดก็ต้องย่นคิ้วถามคาดคั้น

“บอกผมหน่อย มองผมแล้วเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวหัวเราะมันหมายความว่าอะไร”

หมายความว่าอะไรน่ะเหรอ? ออสตินมีคำตอบให้ตัวเองในใจ

เขามีความสุข...

มีความสุขที่ได้อยู่กับเด็กหนุ่มอย่างนี้โดยไม่มีใครมาขัดขวางหรือห้ามปรามความรู้สึกใดๆ ที่มีต่อกานต์...

มีความสุขที่ได้หายใจทิ้งๆ ขว้างๆ และโอบกอดคนที่เขารักโดยไม่มีเรื่องใดรบกวนจิตใจ...

นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเหลือเกินที่ทิ้งทุกอย่างแล้วพากานต์หนีมาพักผ่อนอย่างนี้ มันทำให้ความเครียดที่สั่งสมค่อยๆ ทุเลาลงไปจนแทบมลายหายสิ้นราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้น

“นะครับ บอกผมหน่อยนะ”

ยิ่งออสตินเงียบ ก็ยิ่งมีรอยยิ้มกรุ้มกริ่มผุดพรายให้เห็น กานต์เองก็ยิ่งอยากรู้มากกว่าเดิมจนต้องออดอ้อน

ออสตินยอมปริปากออกมา ทว่าสิ่งที่เขาพูดออกไปกลับไม่ใช่คำตอบที่กานต์ต้องการ หากแต่เป็นคำถาม

“เธอรักฉันไหม”

จู่ๆ ก็ถูกถามกะทันหันโดยไม่ทันตั้งตัว เด็กหนุ่มก็เบิกตาโตทันควัน อ้าปากค้างตามมาเล็กน้อย

“ดะ...แด๊ดดี้หมายถึง...”

“ฉันถามว่าเธอรักฉันหรือเปล่า”

ถูกย้ำมาอีกครั้ง กานต์ก็เข้าใจอย่างชัดแจ้ง รีบพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วหลายๆ ครั้ง

“รักสิครับ ผมรักแด๊ดดี้”

ประโยคนี้ว่าเสียงเบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน กระนั้นก็เป็นคำตอบที่สามารถตอบได้ในทันทีโดยไม่ต้องคิด

เรื่องแบบนี้ยังต้องคิดอีกเหรอ? เขาไม่เหลือใครแล้ว มีแต่ออสตินคนเดียวทั้งนั้น ออสตินเป็นทุกอย่างในชีวิต แล้วแบบนี้จะไม่รักได้อย่างไร

ใบหน้าของกานต์แดงเรื่อขึ้นมาทีละน้อยเมื่อสิ้นประโยคนั้น ถึงความรู้สึกเขาจะชัดเจนและพูดให้ออสตินฟังอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเขินอายทุกครั้งที่พูดออกไป ท่าทางนั้นทำเอาออสตินแทบจะอดใจโน้มใบหน้าเข้าไปประทับจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากไม่ไหว ผละออกมาได้ก็กระซิบถามเสียงพร่า

“ถ้าอย่างนั้น...เธออยากแต่งงานกับฉันหรือเปล่า?”

เป็นอีกคำถามหนึ่งที่ทำให้คนฟังแทบตาถลน กานต์ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้เลย มิหนำซ้ำ ออสตินก็ไม่เคยแสดงท่าทีว่าจะพูดเรื่องนี้

ไม่สิ... ต้องบอกว่าแม้กระทั่งคำบอกรักก็ไม่เคยพูด

แล้วทำไมจู่ๆ ถึง...

อันที่จริงเป็นการหาทางออกของออสติน เขาเข้าใจจุดประสงค์ของพี่ชายตัวเอง ในเมื่อจัสตินต้องการให้กานต์ได้รับมรดกส่วนของตนตามที่ได้สัญญากับแม่ของกานต์ไว้ ดังนั้นออสตินก็จะสานต่อปณิธานให้ เพียงแต่เขาจะไม่มอบให้ในฐานะบุตรบุญธรรม แต่เป็นในฐานะ ‘สามีที่ถูกต้องตามกฎหมาย’ แทน

ขณะที่กานต์ไม่สนใจที่จะหาคำตอบแล้วว่าเหตุใดจู่ๆ ออสตินถึงถามคำถามนี้ ในใจลิงโลดเกินกว่าจะมาวิเคราะห์อะไรแล้ว

เพราะอะไรก็ช่างเถอะ กานต์ไม่สนใจแล้ว คนที่มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับออสติน มีหรือที่จะปฏิเสธ ย่อมพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วไปอีกครั้ง

“อยากสิครับ ผมอยากแต่งงานกับแด๊ดดี้ อยากเป็นครอบครัวเดียวกัน ผมหมายถึง...เป็นครอบครัวที่ไม่ใช่พ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยง”

ออสตินพยักหน้า เขาเข้าใจที่กานต์ต้องการสื่อ เขาเองก็ไม่ต้องการครอบครัวแบบนั้นเช่นกัน

“แต่...ผู้ชายแต่งงานกันได้เหรอ”

เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ ออสตินคว้ามือของอีกฝ่ายมาจรดจูบที่หลังมือเบาๆ ก่อนพึมพำตอบ

“ที่อเมริกามีกฎหมายรองรับการแต่งงานของคนเพศเดียวกันอยู่”

“ถ้างั้นก็แต่งเลย...”

“แต่ต้องรอให้เธออายุครบสิบแปดก่อนนะ”

พูดยังไม่ทันจบก็ถูกออสตินดับฝันเสียแล้ว กานต์มุ่ยหน้าไปเล็กน้อย ว่าค่อนขอด

“มัวแต่รออยู่นั่นแหละ นั่นก็รอ นี่ก็รอ แด๊ดดี้คิดว่าตัวเองอายุเท่าไรกัน เดี๋ยวก็แก่หง่อมก่อนพอดี”

คนถูกค่อนแคะกลั้วหัวเราะในลำคอน้อยๆ ประคองใบหน้าของอีกฝ่ายให้เงยขึ้นมาสบตาตรงๆ

“ฉันดูแก่เหรอ?”

“เปล่าครับ”

“งั้นก็รอได้”

“แต่ผมแค่ไม่อยากให้แด๊ดดี้มีผมหงอกก่อนแต่งงานกับผมนะ”

“แล้วตอนนี้มีหรือเปล่า?”

กานต์ชำเลืองมองเส้นผมของออสตินที่ยังคงสีน้ำตาลมะฮอกกานีเข้ม พลันส่ายหน้า

“ไม่มีครับ”

ออสตินยิ้ม “ถ้างั้นรออีกปีก็คงจะไหว ผมหงอกคงจะไม่ขึ้นมาง่ายๆ หรอก”

การรอช่างทำให้กานต์ขัดใจเสียเหลือเกิน เขาฮึดฮัดเล็กน้อย บ่นกระปอดกระแปด

“แต่ก็นั่นแหละครับ ให้ผมรอไปรอมา ระวังเถอะ เดี๋ยวผมเปลี่ยนใจจะหาว่าไม่เตือน”

“เธอไม่เปลี่ยนใจหรอก” ออสตินเปล่งเสียงราวกับมั่นใจเต็มประดา ก่อนที่จะสบตาของกานต์แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “เธอรักฉัน เธอไม่เปลี่ยนใจแน่...ใช่ไหม”

ช่วงเวลาที่สบตากันนิ่งนั้น กานต์ราวกับถูกดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่นั้นสะกดจิต

เขารักออสตินและเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ...

ใช่...มันจะไม่มีวันนั้น

“ครับ”

คำตอบนี้ทำให้ออสตินพอใจมาก ก่อนที่เขาจะเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้อีกฝ่าย ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“งั้นก็จูบฉันสิ บอกฉันด้วยจูบของเธอว่ารักฉันมากแค่ไหน”

“ผม...”

“ฉันอยากรู้ว่าเธอรักฉันมากแค่ไหน”

รักมากแค่ไหน... กานต์บอกมาเป็นคำพูดไม่ได้หรอก เพราะเขารักออสตินมาก... รักมากจริงๆ... แม้แต่การกระทำเองก็ไม่แน่ใจว่าจะแสดงออกมาได้ดีไหม

กระนั้นก็ยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี ค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้าไปสัมผัสริมฝีปากหยักหนาแผ่วเบา เผยอกลืนกินอีกฝ่ายทีละน้อย ดวงตาสบประสานก่อนที่จะค่อยๆ แนบริมฝีปากให้ชิดมากกว่าเดิม

ดูดกลืน...ขบเม้ม...แผ่วเบาและอ้อยอิ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ สอดปลายลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นของออสติน

ทุกสิ่งที่กานต์กระทำในตอนนี้ ล้วนแล้วเป็นบทเรียนที่ได้เรียนรู้มาจากคนตรงหน้าทั้งสิ้น จะว่าช่ำชองก็ไม่ใช่ เชี่ยวชาญก็ไม่เชิง เอาเป็นว่าคุ้นเคยเสียจนทำทุกอย่างโดยไม่ติดขัดอีกแล้ว

ฝ่ามือหนากดท้ายทอยของเด็กหนุ่มให้ริมฝีปากแนบชิดยิ่งขึ้น จากที่ให้กานต์เป็นฝ่ายแสดงความรักต่อเขา กลายเป็นว่าตอนนี้ออสตินเป็นฝ่ายแสดงความรักแทนเสียแล้ว

จุมพิตนี้ช่างร้อนแรง...และชัดเจนมากกว่าออสตินต้องการคนตรงหน้าเพียงใด

ผละออกจากกันได้ เด็กหนุ่มก็หอบหายใจน้อยๆ มองใบหน้าออสตินด้วยแววตาหวานเชื่อม

“แด๊ดดี้...รักผมไหม”

ในเมื่อกานต์บอกไปแล้ว เขาก็อยากได้ยินออสตินพูดประโยคนี้ให้ฟังบ้าง

ออสตินหยักยิ้มขึ้นมาบางๆ “ฉันบอกเธอไปหมดแล้ว”

“...”

“ด้วยจูบของฉัน”

“แต่...”

“ถ้ามันไม่ชัดเจน จะให้ฉันแสดงให้เธอเห็นมากกว่านี้ก็ได้”

กานต์อยากจะบอกนักว่าไม่เป็นไร แค่บอกให้เขาฟังก็พอแล้ว แต่ดูเหมือนออสตินจะไม่ได้ต้องการอย่างนั้น

เขาอยากจะแสดงให้กานต์รับรู้ว่าเขารักอีกฝ่ายมากเพียงใดด้วยการกระทำมากกว่า...

มือใหญ่ลูบไล้ไปบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม ก่อนที่จะสอดเข้าไปใต้ขอบกางเกงขาสั้น เคล้นคลึงบั้นท้ายอย่างแผ่วเบาจนเจ้าของก้อนนุ่มหยุ่นคู่นั้นต้องซุกใบหน้าลงแผ่นอกกว้าง

ไร้ซึ่งเสียงทักท้วงหรือห้ามปรามใดๆ กานต์ปล่อยให้ออสตินได้ทำตามใจกับร่างกายของตน ก่อนที่จะต้องผวาเฮือกเมื่อฉับพลันปลายนิ้วอุ่นก็สอดแทรกเข้ามายังซอกเล็กๆ ที่อยู่ในส่วนเร้นลับของร่างกาย

“แด๊ด...”

เขาร้องเรียกอีกฝ่ายทันที แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกออสตินสัมผัสยังส่วนนี้ แต่เขาก็พรึงเพริดไม่น้อย เพราะครั้งแรกของเขาถูกออสตินรุกรานอย่างรุนแรง ขณะที่ออสตินส่งเสียงออกมาไม่ดังนัก

“ชู่ว์...ไม่เป็นไร”

“แต่ว่า...”

“ฉันกำลังจะเรียนรู้เกี่ยวกับเธอนะกานต์... เรากำลังเรียนรู้กันและกัน”

ช่างเป็นคำพูดที่ล่อหลอกและหว่านล้อมให้เด็กหนุ่มหลงกลเหลือเกิน กานต์เองก็คิดเช่นนั้น รู้ทั้งรู้ด้วยว่าตนกำลังถูกออสตินล่อลวง แต่ก็ยอมอยู่นิ่งๆ แต่โดยดี

“เด็กดี”

ออสตินว่าอย่างพึงใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายค่อยๆ ผ่อนคลายแล้ว เขาเองก็ไม่ได้ดึงดันอะไร เพียงแต่ลูบไล้แผ่วเบาไปตามรอยจีบนั่นเท่านั้น

จากที่โอบกอดอยู่ก็ดันตัวขึ้นมาคร่อมร่างอีกฝ่ายเอาไว้ กลีบปากสีสวยถูกกลืนกินอีกครั้ง ความปรารถนาพุ่งทะยาน ปลดปล่อยปีศาจแห่งราคะให้ครอบครอง ก่อนจะเชยชมเรือนร่างเย้ายวนของเด็กหนุ่มประหนึ่งอดัมกัดกินผลแอปเปิลในสวนเอเดน

ครั้นถอนจากจูบอันดูดดื่ม ริมฝีปากก็ไล่เรื่อยไปยังใบหู ขบกัดยั่วเย้า ระเรื่อยลงมายังซอกคอหอมกรุ่น บรรจงจูบหนักสลับเบา ปลุกให้เพลิงเสน่หาลุกโชติช่วงจนเผาผลาญร่างของเด็กหนุ่มให้มอดไหม้เป็นจุณ

ยอดอกชูชันถูกกลืนกินหมดสิ้น ความหวามไหวทำให้กานต์ไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป เสียงครางกระเส่า ลมหายใจหอบหนัก ล้วนพร้อมใจกันส่งเสียงออกมาเข้าโสตประสาทของออสติน ความร้อนรุ่มแผดเผาร่างกายช่วงล่างของเขาจนอึดอัดทรมานไปหมด

ออสตินปลดเปลื้องให้ความเป็นบุรุษเพศออกมารับอากาศด้านนอก กอบกุมรูดรั้งจนหยาดเยิ้ม ก่อนจะค่อยๆ กระถดถอยลงต่ำ เข้าครอบครองอย่างละโมบราวกับจะบอกกานต์ว่าสิ่งที่เขาครอบครองอยู่นั้นจะไม่มีวันแบ่งปันให้ใครได้เชยชม

เด็กหนุ่มกระตุกเฮือก เอวสอบบิดเร่า ยิ่งถูกปลายนิ้วร้ายที่วนเวียนอยู่ยังช่องทางที่ลึกที่สุดค่อยๆ ชำแรกเข้ามา เสียงที่ไม่คิดว่าจะหลุดออกจากปากตัวเองก็ดังขึ้น มือข้างหนึ่งกำเส้นผมของออสตินที่อยู่ตรงหน้าขาของตนไว้มั่น มืออีกข้างก็บีบไหล่แกร่งของออสตินไว้แน่น

ความรู้สึกที่เขาได้รับอยู่นั้น...เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต

มันร้อนแรง...ดุนดัน...เต็มไปด้วยความถวิลหา...

ยิ่งปลายนิ้วที่รุกรานอยู่ในร่างกายเขาขยับมากขึ้น ความรู้สึกเสียวซ่านก็ทวีคูณ ร่างกายร้อนผะผ่าวจนผิวเนื้อแดงเรื่อเป็นหย่อมๆ

สิ่งที่เขารู้สึกอยู่นั้น...มันเป็นการรับรู้ถึงความรักของออสติน

ออสตินรักเขามากแค่ไหน... ความหฤหรรษ์ที่พร่างพรายไปทั่วร่างนั่นคือคำตอบ

ออสตินรักเขามาก...

ครั้นร่างกายบิดเร่าและสะโพกยกลอยขึ้นสูงจากฟูกนอน...

ก็ยิ่งรู้ว่าออสตินรักเขามากเหลือเกิน...

กานต์รู้สึกราวกับตัวเองจะขาดใจ ไม่คิดมาก่อนว่าความรักของออสตินจะทำให้เขาทรมานจนแทบจะขาดใจอย่างนี้ ดวงตาคู่สวยมีหยดน้ำสีใสเอ่อคลอ ก่อนจะค่อยๆ ร่วงเผาะจากหางตา

ความรักของออสติน... มากมายเกินกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้จริงๆ

และมันกำลังจะทำให้เขากระอักความสุขตาย...

ทว่า...เด็กหนุ่มกลับยินดีที่จะรับความตายนั้นไว้ ปากขยับครวญครางไม่หยุดหย่อน

“อะ...ออสติน...ผมรักคุณ... ผมรักคุณ...”

เผลอไผลเรียกชื่อของชายหนุ่มออกมาเป็นครั้งแรก ออสตินชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เร่งเร้าราวกับเป็นการลงโทษที่บังอาจมาเรียกชื่อเขา

ไม่นานนัก หยาดหยดแห่งความสุขก็หลั่งไหล ชายหนุ่มรับทุกอย่างเอาไว้ด้วยความยินดี ก่อนจะผละออกมา ตระกองกอดร่างเล็กที่อ่อนเปลี้ยจากเพลิงเสน่หาเมื่อครู่ไว้ในอ้อมแขน กระซิบเสียงพร่าขณะที่กานต์กำลังเคลิ้มจะหลับยังข้างๆ หู

“ฉันก็รักเธอ...”

ไม่ต้องบอกออกมาเป็นคำพูด กานต์ก็รับรู้หมดแล้วว่าออสตินรักเขามากเพียงใด

เพราะออสติน...บอกรักเขาด้วยจูบที่พรมไปทั่วร่างกายอย่างหมดสิ้นแล้ว

รักมากจนเกินกว่าจะปล่อยมือไป

รักจนไม่สามารถใคร่ครวญถึงความผิดชอบชั่วดีได้อีกแล้ว

กานต์เป็นที่รักของผู้ชายคนนี้มากจริงๆ...

-------------------------------

แด๊ดดี้นี่กว่าจะยอมเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองไปตามตรงก็ปาไปครึ่งเรื่องละ ลีลาเหลือเกิน 555 ต่อจากนี้อาจมีดราม่านิดหน่อยนะคะ กระซิบบอกไว้ก่อนเพราะไม่งั้นมันเข้าปมเรื่องไม่ได้ แล้วมันจะจบไม่ลง

ฝากฟีดแบ็กไว้ด้วยจ้า พรุ่งนี้อาจได้เจอกันตอนใหม่นะ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ poonbabor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ออสตินเริ่มเปิดเผย ส่วนเจ้าหนูกานต์ก็นะ แต่งเลยๆ 555 น่าจับมาหยิกจริงๆเลย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
แล้วจะแก้ไขอย่างไงหว่า สังคมภายนอกก็รู้ว่าเป็นพ่อลูกกันแล้วนะ จะเปลี่ยนเป็นคนรักกันอย่างไรล่ะ  :katai1:

ออฟไลน์ larynx

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 821
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ดราม่าจะมาก็มาค่ะ พร้อม!!  :katai4:

ออฟไลน์ ดาวลูกไก่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เอาอะไรหวานๆมาให้เจอก่อนน้ำตาหรือเปล่าคะ ฮืออออ อยากให้น้อง 18 แล้ววว  :hao7:

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
กรี๊ดดด แด๊ดดี้บอกรักแล้ว ^^

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
คิดถึงแด๊ดดี้จังเลยค่าาา

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
เงียบหายไปเลยอ่า คิดถึงๆ

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Chapter 21: Only you and I

วันคืนผ่านไปโดยที่ออสตินแทบไม่รู้เลยว่ามันผ่านไปกี่วันแล้ว ตั้งแต่ที่ตัดสินใจพากานต์มาพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศในฮาวายแบบฉุกละหุก เขาก็ใช้เวลาขลุกอยู่กับเด็กหนุ่มโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

ทั้งวัน ทั้งเวลา ทั้งคนอื่นๆ ที่อยู่ในชีวิตของเขา... เรียกได้ว่าเขาจงใจทำให้โลกนี้มีเพียงตนกับกานต์แค่สองคนจริงๆ

แค่เขากับกานต์...เพียงสองคน

“แด๊ดดี้ครับ ผมหิวแล้ว”

น้ำเสียงพร่าของคนข้างตัวซึ่งเพิ่งตื่นนอนดังมาให้ได้ยิน ออสตินเปิดเปลือกตาขึ้น มองใบหน้างัวเงียของอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะเหลือบไปมองยังนาฬิกาบนโต๊ะข้างเตียง

สองทุ่ม... ก็ควรจะต้องหิวอยู่หรอก เพราะตั้งแต่ที่เผลอไผลเปลื้องผ้าแล้วพากันเรียนรู้เรือนร่างของกันและกันตั้งแต่หลังมื้อเที่ยง ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

“อยากกินอะไรล่ะ”

“อะไรก็ได้ครับ” กานต์ว่า ก่อนจะเย้า “หรือจะกินแด๊ดดี้ดี?”

ออสตินหัวเราะในลำคอ เอื้อมมือไปบีบปลายจมูกโด่งรั้นบิดไปมาเบาๆ

“ทะเล้นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

“ตั้งแต่ที่แด๊ดดี้ยอมให้ผมได้ทำอะไรๆ แบบนี้นั่นแหละ” กานต์สะบัดหน้าหนี ตอบด้วยน้ำเสียงระรื่น

“อ้อ เธอจะบอกว่าเป็นความผิดของฉันอย่างนั้น?”

“ไม่ได้ว่าอย่างนั้นสักหน่อย”

“แล้วหมายความว่าอะไร”

“ผมหิวแล้วนะครับแด๊ด ค่อนคาดคั้นเอาคำตอบจากผมทีหลังได้ไหม”

พอดูเหมือนว่าตนจะพ่ายแพ้ต่อการไล่ต้อนของออสติน เด็กหนุ่มก็เบี่ยงประเด็นทันที ออสตินดูออก แต่ไม่เห็นว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจจึงยอมแต่โดยดี

“ตกลงอยากกินอะไรล่ะ”

“อะไรก็ได้ครับ แซนด์วิซก็ได้”

“มาฮาวายทั้งที จะกินแค่แซนด์วิซเหรอ”

“แด๊ดดี้มีอะไรพิเศษกว่าตัวเองเสนอไหมล่ะครับ”

ออสตินยิ้มกริ่ม พลิกตัวขึ้นมาคร่อมร่างของเด็กหนุ่มข้างกายไว้

“ไม่มีอะไรที่พิเศษไปกว่าตัวฉันอีกแล้ว”

สิ้นเสียงก็ประกบริมฝีปากลงมาบนเรียวปากนุ่ม จูบดูดดื่มอยู่ครู่ใหญ่จนการสำรวจพื้นที่ต่างๆ ของร่างกายกันและกันเกือบจะได้เริ่มต้นอีกรอบ ทว่าเขาก็ยับยั้งชั่งใจได้ก่อนด้วยตระหนักได้ว่าเรื่องของสุขภาพต้องมาก่อนเรื่องสนุกพวกนั้น ถ้าอยากสนุกอีก เขายังมีเวลาให้ได้ทำทั้งคืน

“ไปกินอาหารทะเลกันดีกว่า ฉันรู้จักร้านดีๆ แถวนี้อยู่ ตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่ได้พาเธอไปกินอะไรนอกบ้านเลยนี่”

ออสตินผละออกมาลุกขึ้นนั่ง โน้มตัวลงไปหยิบเอาเสื้อเชิ้ตบนพื้นมาสวม ซึ่งก็จริงอย่างที่ออสตินว่า ตั้งแต่มาที่ฮาวาย นอกจากการนอนกอดก่ายร่างกายเปลือยเปล่าของกันและกัน พวกเขาก็ไม่ได้ออกไปไหนเลยสักนิด

“อาหารทะเลเหรอ ไปสิครับ ตั้งแต่มาอเมริกา ผมยังไม่เคยกินอาหารทะเลเลย อยากรู้ว่าจะอร่อยเหมือนที่ประเทศไทยไหม”

ออสตินเห็นท่าทางกระตือรือร้นนั่นก็รับรู้ได้ทันทีว่าอาหารทะเลเป็นของโปรดของกานต์แน่ พลันขยับเข้ามาใกล้ วางมือลงบนเส้นผมนุ่มแล้วขยี้เบาๆ

“ถ้างั้นก็เอาให้เต็มที่เลย ฉันเลี้ยงเอง”

กานต์ยกยิ้มให้กับคำพูดประหนึ่งพ่อบุญทุ่มของออสติน แต่ก็อย่างว่า แค่อาหารทะเลในภัตตาคารหรูๆ สักมื้อไม่ทำให้ขนหน้าแข้งของพ่อมดแห่งวงการตลาดหลักทรัพย์ร่วงหรอก

“ผมจะกินให้ท้องแตกไปเลย”

ออสตินยิ้มรับกับคำพูดนั้น ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ จูบจรดลงบนกลีบปากนุ่มราวกับว่าเป็นการอนุญาตให้ทำอย่างนั้นได้ ทว่าเมื่อผละออกไป กานต์ก็รั้งใบหน้าคร้ามให้อยู่นิ่งที่เดิม

“มีอะไรเหรอ”

“แต่ก่อนจะไปกินอาหารทะเล ผมอยากจะชิมแด๊ดดี้เป็นของว่างก่อนอาหารหนักสักหน่อย”

สิ้นเสียง รสจูบหนักหน่วงและดูดดื่มก็ค่อยๆ ถือกำเนิดขึ้น ปลายลิ้นนุ่มของทั้งสองกระหวัดเกี่ยวกันดำดิ่งสู่ห้วงแห่งอเวจีที่พร่างพรายไปด้วยเพลิงมธุรส

เวลาหยุดนิ่ง... ปล่อยให้โลกนี้มีพวกเขาเป็นมนุษย์เพียงสองคนเท่านั้น หากแต่หาใช่อดัมกับเอวา ทว่าเป็นอดัมกับอดัม

ความปรารถนาในกันและกันนี้ ต่อให้พระผู้เป็นเจ้าก็มิอาจห้ามปรามได้

ไม่มีผู้ใดห้ามความรู้สึกของพวกเขาได้อีกแล้ว...

 

อันที่จริงแล้วอาหารทะเลของฮาวายก็ไม่ใช่ว่าจะรสชาติไม่ดี มันก็รสชาติดีแหละ แต่อย่างไรเสีย กานต์ก็ติดใจอาหารรสชาติไทยๆ มากกว่า ทว่านั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องใส่ใจ แค่ได้อยู่กับออสติน ได้นั่งมองหน้า ได้เห็นรอยยิ้มของผู้ชายที่แทบจะมีสีหน้าแบบเดียวตลอดเวลา เท่านั้นเขาก็มีความสุขเกินกว่าจะมีสิ่งอื่นใดมาเทียบอีกแล้ว

เสียงคลื่นซัดชายหาด ลมทะเลพัดเอาเส้นผมปลิวลู่ เผยให้ดวงหน้าคร้ามคมปรากฏสู่สายตาของกานต์อย่างชัดเจน นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่นั้นที่มองออกไปยังทะเลมืดมิดจากระเบียงของบ้านพักตากอากาศ ไม่ว่าอย่างไรก็ชวนให้เขาหลงใหล มิหนำซ้ำจะทำให้เขาหลงมากกว่าเดิมด้วยเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่มีร่วมกันตลอดหลายวันที่ผ่านมา

เหมือนฝัน...

เหมือนความฝันจริงๆ...

กานต์ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าความฟุ้งซ่านของเด็กหนุ่มอย่างเขาจะเป็นจริงขึ้นมาได้ จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองไม่ได้ละเมอหรือฝันเฟื่องอยู่

ออสตินขอเขาแต่งงาน... เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ ทว่าพอนึกถึงแล้วกลับทำให้กานต์ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“ยิ้มอะไรเหรอ”

ออสตินที่รู้สึกตัวว่าถูกจ้องอยู่นานหันมาถาม กานต์หลุบสายตาหนีเล็กน้อย

“ไม่มีอะไรครับ”

“ไม่มีอะไรได้ยังไง ก็เห็นอยู่ว่าเธอยิ้ม” ออสตินคาดคั้น แต่กานต์ก็ยังไม่ตอบ เหลือบมามองแล้วก็หลบสายตา ทำให้ออสตินต้องหันมามองจ้องตรงๆ พลางเค้นถาม “บอกมาน่าว่ายิ้มอะไร”

ไม่เพียงแต่คาดคั้น ยังขยับเข้ามาหา สองมือประคองใบหน้านวลให้หันมามองตรงๆ กานต์สูดลมหายใจเข้าปอดเมื่อเห็นเงาสะท้อนของตัวเองอยู่ในดวงตาคู่นั้น

“ผม...มีความสุขครับ”

ในที่สุดก็ยอมบอกออกไป ออสตินหัวเราะในลำคอขึ้นมาน้อยๆ

“มีความสุขเหรอ เรื่องอะไรล่ะ”

“แด๊ดดี้ก็รู้ว่าเรื่องอะไร”

“ฉันไม่รู้”

“ไม่ต้องมาไล่ต้อนผมเลยครับ คนอย่างแด๊ดดี้ไม่มีทางไม่รู้หรอกว่าผมคิดอะไรอยู่”

นั่นก็จริง ออสตินดูกานต์ออกหมด ไม่ว่าจะคิดหรือรู้สึกอย่างไร ล้วนแล้วดูออกทั้งสิ้น ก็อย่างว่า เด็กหนุ่มคนนี้เวลารู้สึกอะไรก็แสดงออกมาให้เห็น ดูไม่ออกก็แย่แล้ว

“ใช่ ฉันรู้” ออสตินยอมรับ “แต่ฉันอยากได้ยินจากปากเธอมากกว่า”

“...”

พูดมาอย่างนี้ กานต์ก็พ่ายแพ้อย่างศิโรราบ ยิ่งถูกอีกฝ่ายโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วประทับจูบแผ่วเบาลงมาที่ริมฝีปาก เด็กหนุ่มก็ยกธงขาวแต่โดยดี

“บอกมาสิว่าเธอมีความสุขเรื่องอะไร”

น้ำเสียงทุ้มราวกับอาบไปด้วยมนตร์สะกด กานต์ตอบออกมาประหนึ่งควบคุมตนเองไม่ได้

“ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับแด๊ดดี้”

“เท่านี้เหรอ”

“แล้วผมก็มีความสุขที่เราใจตรงกัน”

“มีอะไรอีกไหม”

“ผมมีความสุขที่ได้รักแด๊ดดี้ครับ”

นี่แหละที่ออสตินอยากได้ยิน รอยยิ้มปรากฏขึ้นมามุมปากของชายหนุ่ม ก่อนเขาจะใช้แขนทั้งสองข้างอุ้มด็กหนุ่มขึ้นจากพื้น ขยับไปนั่งบนเก้าอี้ซึ่งอยู่ไม่ไกลโดยจับอีกฝ่ายนั่งตักตน

“พูดออกมาเท่านี้ก็สิ้นเรื่อง”

กานต์ถึงได้รู้ในตอนนี้ว่าเขาถูกคาดคั้นให้บอกรัก

“แด๊ดดี้ล่อลวงผมเหรอ” คำพูดที่เหมือนกึ่งเย้ากึ่งจริงจังหลุดออกจากปากเด็กหนุ่ม ออสตินยิ้มให้เป็นคำตอบ “ตาลุงเจ้าเล่ห์” มิหนำซ้ำยังค่อนขอดเขาอีก

“ไม่ได้เรียกว่าเจ้าเล่ห์ เรียกว่าใช้สมองเป็น” ออสตินแก้ต่างให้ตัวเอง ยกนิ้วชี้ขึ้นเคาะตรงขมับตนเบาๆ ก่อนที่จะรั้งเอวของเด็กหนุ่มเข้ามาใกล้ “แล้วฉันก็ไม่ใช่ตาลุงด้วย เธอน่าจะรู้ดี”

แน่ล่ะ ออสตินไม่ใช่ตาลุงหรอก เขายังหนุ่ม แต่ตอนที่ทำให้กานต์หน้ามุ่ยอย่างนี้ ออสตินคือตาลุงดีๆ นี่เอง

“หลอกให้ผมพูดให้ฟังได้แล้ว แด๊ดดี้ก็พูดบ้างสิครับ จะได้แฟร์ๆ”

“พูดอะไร”

“เนี่ย แกล้งทำเป็นไม่รู้อีกละ”

ออสตินหัวเราะ ได้... เขาไม่แกล้งแล้วก็ได้ พลันยอมพูดออกไปแต่โดยดี

“กานต์... ฉันรักเธอ”

“...”

ความเงียบเข้าแทรกซึม มีเพียงเสียงคลื่นและลมทะเลเท่านั้นที่ลอยปกคลุมพวกเขาทั้งสอง กานต์ยิ้มกว้างจนแทบเห็นฟันครบทุกซี่ สิ่งที่เขาได้ยิน มันทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ซาบซ่านไปหมดทุกอณู การได้เป็นที่รักของคนที่เรารักนั้นเป็นความสุขที่หาที่สุดไม่ได้แล้ว

“พูดอีกได้ไหมครับ”

เด็กหนุ่มออดอ้อน ดวงตาสีนิลจ้องมองอย่างวิงวอน ออสตินจึงพูดออกไปอีก

“ฉันรักเธอ”

กานต์ยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก ซีกแก้มขาวนวลค่อยๆ เจือสีแดงเรื่อขึ้นมาเพราะเลือดสูบฉีดอย่างรุนแรง หัวใจพองโตจนเต่งไม่ต่างจากเด็กที่ได้รับของขวัญชิ้นใหม่ ก่อนมันจะกลายเป็นความโลภเมื่ออยากได้ยินคนตรงหน้าพูดอีกครั้ง

“พูดอีกสิครับ”

“ฉันรักเธอ”

“เอาอีก”

“ฉันรักเธอ”

“อีกครับ”

“ถ้าให้ฉันพูดอีก เธอต้องมีของมาแลกเปลี่ยนแล้วนะ”

เด็กขี้งกทำหน้ามุ่ย ว่าพลางยื่นปากเมื่อถูกอีกฝ่ายต่อรอง

“แด๊ดดี้อยากได้อะไรล่ะครับ ร่างกายผมเหรอ”

คนฟังหัวเราะพลันพยักหน้า “อืม”

“เอาสิครับ ผมยัดเยียดให้ตั้งหลายครั้งแล้ว แด๊ดดี้ไม่เอาเอง”

กล้าพูดจาฉะฉานอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ...

ออสตินอดคิดไม่ได้ แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไรเพราะที่ผ่านมา กานต์แสดงออกชัดเจนว่าอยากให้เขาแตะต้องร่างกายเกินขอบเขตที่เขาขีดเส้นให้ตัวเองไว้ ทว่าเขาไม่ทำหรอก อย่างที่บอกว่าเขาทำไม่ได้ ถึงจะรู้ว่ากานต์ยินดีและเต็มใจ แต่เขาก็อยากจะครอบครองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่ไม่มีอะไรติดค้างในใจมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องที่กานต์ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

“ต้องรอให้เธออายุสิบแปดก่อน”

“ก็อย่างนี้ทุกที” กานต์กลอกตาเหนื่อยหน่าย “สรุปว่าไม่ทำสินะครับ”

“คงจะต้องอย่างนั้น”

“งั้นผมก็อดได้ยินแด๊ดดี้บอกรักผมด้วยสิ?”

“เธอก็ลองหาวิธีมาชดเชยดูสิ” ออสตินไม่ปฏิเสธและไม่ตอบรับ ทว่ายื่นข้อเสนออื่นแทน

“วิธีอะไรดีครับ” กานต์ย่นคิ้วสงสัย

“ลองคิดดู”

พูดสั้นๆ แล้วก็ปล่อยให้เด็กหนุ่มได้ครุ่นคิด ก่อนที่กานต์จะคิดอะไรขึ้นมาได้

“ถ้างั้น...” จากนั้นก็ขยับตัวลงจากตักของอีกฝ่าย ทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าขาของออสติน มือเอื้อมไปปลดหัวเข็มขัด ปล่อยให้อีกฝ่ายมองนิ่ง ขณะที่กานต์เหลือบสายตาขึ้นสบตากับอีกฝ่ายเล็กน้อย “ผมขอเสนอวิธีนี้ รับรองเลยว่าแด๊ดดี้ต้องบอกรักผมไม่หยุดแน่ๆ”

ออสตินหัวเราะน้อยๆ ไม่คิดเลยว่าเด็กในอาณัติของเขาจะร้ายกาจได้ถึงขนาดนี้

“คิดดีแล้วเหรอว่าจะทำอย่างนี้”

คำถามนั้นทำให้กานต์ชะงัก เหลือบมองหน้าของชายหนุ่มพลางยิ้ม

“ในเมื่อผมอยากได้ยินแด๊ดดี้บอกรักผม ผมก็ต้องแลกใช่ไหม หวังว่าบ้านหลังนี้จะเป็นส่วนตัวมากพอที่คนอื่นจะไม่มาเห็นนะครับ”

แน่นอน บ้านพักตากอากาศหลังนี้...ไม่สิ พื้นที่บริเวณนี้ครอบครองโดยออสตินแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีใครสามารถเข้ามารบกวนเวลาอันมีค่านี้ได้หรอกนอกจากพวกบุกรุก และย่อมแน่ว่าเขาไม่รอช้าที่จะเรียกตำรวจมาลากคอพวกคนที่บังอาจมาขัดขวางความสุขของเขาไปแน่

ไม่มีบทสนทนาใดอีกแล้ว ออสตินจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มที่ง่วนอยู่ตรงหน้าขาของตน ก่อนที่อีกไม่นานหลังจากนั้น เสียงหัวเราะในการกระทำงกเงิ่นของกานต์จะเหือดหายไป กลายเป็นเสียงครางฮืมในลำคอเมื่อโพรงปากอุ่นร้อนปรนเปรอยังจุดศูนย์รวมความรู้สึกของร่างกาย

ถึงการเคลื่อนไหวของกานต์จะไม่ประสาสักเท่าไร แต่ก็ปั่นหัวของออสตินได้ไม่น้อย เขาลูบเรือนผมนุ่มเบาๆ ก่อนเผลอกดท้ายทอยของเด็กหนุ่มเข้าหาลำตัว เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดมิดที่กระจ่างพร่างไปด้วยดวงตาสุกสกาว

ช่วงเวลานี้...ช่างเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาอยากจะหยุดมันเอาไว้เหลือเกิน

อยากจะหยุด...ให้โลกชะงักการหมุนไปตราบนานเท่านาน

อยากจะหยุด...ให้ทั้งโลกมีเพียงเขากับกานต์แค่สองคน

ช่วงเวลานี้ช่างเป็นวินาทีที่วิเศษเหลือเกิน...

“ฉันรักเธอ...กานต์... ฉันรักเธอ...”

คำบอกรักเล็ดลอดจากริมฝีปากหยักหนาไม่หยุดหย่อน ก่อนจะหนักแน่นขึ้นเมื่อความสุขสมที่อัดแน่นอยู่ภายในพลุ่งพล่านจนเอ่อทะลักออกมาเป็นสาย เด็กหนุ่มพยายามจะกลืนกินทุกหยาดหยดแห่งความรักนั้นลงไป ทว่าเพราะไม่ประสาจึงทำให้สำลักจนไอโขลกเสียยกใหญ่ ออสตินรีบโน้มหน้าไปมอง พลันถามด้วยความเป็นห่วง

“เป็นอะไรไหม”

“แค่ก...ผม...ผมโอเคครับ”

กานต์ยกมือขึ้นเช็ดริมฝีปากของตัวเอง ใบหน้าแดงก่ำเพราะไอไม่หยุดเมื่อครู่ ท่าทางนั้นน่าเอ็นดูจนออสตินอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปช่วยเช็ดคราบสวาทที่ยังหลงเหลืออยู่ยังมุมปากของอีกฝ่าย

“ไม่เห็นจะต้องทำแบบนี้”

“ทำแบบไหนครับ” กานต์แสร้งทำเป็นไม่รู้ ก่อนจะต้องชะงักเมื่อเจอสายตาดุๆ เข้าไป

“เธอรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร”

ใช่ กานต์รู้ และก็ยอมแล้วก็ได้ เพราะรู้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็สู้ออสตินไม่ได้อยู่ดี

“ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ”

โดยที่...กานต์เองก็ไม่รู้เลยว่าท่าทางน่าเอ็นดูนี้ก็ทำให้ออสตินศิโรราบทุกที

“มานี่สิ”

ออสตินคว้าแขนของอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น ก่อนจะจับให้มานั่งตักเขาดังเดิม จูบประทับราวกับจะเช็ดทำความสะอาดให้ ทว่าไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นตักตวงทุกสิ่งจากเด็กหนุ่มเสียอย่างนั้น

จูบในครั้งนี้...ก็ยังคงดูดดื่มและล้ำลึกเหมือนเดิม เมื่อถอนริมฝีปาก เสียงหอบหายใจน้อยๆ ของกานต์ก็ดังมาให้ได้ยิน กานต์สบดวงตาที่จ้องมองเขานิ่ง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อจากนี้ดี ที่รู้ๆ คือทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่...ในตอนนี้...ล้วนแล้วดีสุดๆ ไปเลย

“ผมไม่อยากให้คืนนี้ผ่านไปเลย”

เสียงกระซิบของเด็กหนุ่มดังขึ้น ออสตินก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน เขาลากฝ่ามือหยาบกร้านเข้าไปใต้เสื้อของกานต์ ลูบไล้แผ่นหลังเนียนไปมาแผ่วเบา

“ฉันก็ไม่อยากให้มันผ่านไป”

“เราหยุดเวลาไว้ได้ไหมครับ”

“เธอก็รู้ว่าทำไม่ได้”

“นั่นสิเนอะ”

สีหน้าของกานต์ดูเจือความผิดหวังน้อยๆ กับความปรารถนาที่ไม่สามารถเป็นจริงได้ของตัวเอง หากแต่ออสตินกลับยิ้มเมื่อเห็นท่าทางจ๋อยๆ นั่น

“มีอะไรเหรอครับ หัวเราะผมตลอดเลย”

“ฉันกำลังคิด”

“คิดว่า?”

“คิดว่าจะทำให้เธอสมปรารถนายังไงดี”

“แล้วแด๊ดดี้มีอะไรที่พอจะหยุดเวลานี้ไว้ได้บ้างล่ะครับ”

“ฉันมีเงิน”

ออสตินตอบออกมาแทบไม่หยุดคิด คำตอบนั้นทำเอากานต์มองหน้าอีกฝ่ายด้วยอารมณ์ที่ยากจะอ่าน

เห็นท่าทางนั้นของกานต์แล้ว ออสตินก็หัวเราะ

“ทำไม คิดว่าฉันใช้เงินซื้อเวลาที่แสนวิเศษนี้ไม่ได้เหรอ”

“ก็ไม่ได้น่ะสิครับ แด๊ดดี้ก็พูดเหมือนเป็นเรื่องตลกไปได้”

เรื่องซื้อเวลาไม่ได้น่ะ เขารู้หรอก แต่สิ่งที่เขาจะซื้อมันไม่ใช่เวลาสักหน่อย เพราะสิ่งที่เขาจะซื้อน่ะ มันคือ...

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอซื้อเธอเอาไว้สร้างเวลาสุดวิเศษนี้กับฉันแล้วกัน”

กานต์เลิกคิ้วสูงทันควันพลางหัวเราะร่วนเมื่อเข้าใจว่าออสตินหมายถึงอะไร

“ค่าตัวผมแพงนะ ล้านดอลล่าร์ก็เอาไม่อยู่หรอก”

“แย่จังนะ” ออสตินทำท่าเสียดาย ก่อนจะซุกปลายจมูกลงบนซอกคอหอมกรุ่น กระซิบเสียงพร่าตามมา “แล้วถ้าฉันซื้อไว้ด้วยตัวของฉันเองล่ะ เธอจะยอมขายไหม”

เล่นแบบนี้ มีใครบ้างล่ะที่ไม่ยอม

“แด๊ดดี้น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วนะครับ”

เสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังมาอีก ก่อนที่จะกลายเป็นเสียงครางกระหืดหอบของกานต์แทนเมื่อออสตินเริ่มอยู่ไม่สุข

หากหยุดเวลาที่วิเศษนี้ไว้ไม่ได้ เขาก็จะสร้างมันขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ ขอเพียงอย่างเดียว... ขอเพียงแค่มีกานต์อยู่ข้างๆ เขาเท่านั้น

ให้โลกนี้มีแต่เขากับกานต์เพียงสองคน เวลาที่วิเศษขนาดไหน เขาก็สร้างมันขึ้นมาได้ทั้งนั้น

“ฉันรักเธอ...กานต์”

เสียงคลื่นทะเลแม้จะดังเพียงใดก็ไม่สามารถกลบเสียงของออสตินที่ดังก้องในหูของกานต์ซ้ำไปซ้ำมาได้

รัก...

เสียงของความรักดังก้องอยู่ในใจ วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ

อดัมกับอดัม...โลกใบนี้เป็นของพวกเขาเท่านั้น...ตลอดทั้งคืน

-------------------------------

กลับมาแล้วค่ะ เคลียร์ภารกิจงานหนังสือจบละ รากเลือดมาก

วันนี้หลายๆ คนคงเดินทางกันเนอะ เดินทางไปเที่ยวกันอย่างปลอดภัยนะคะ หนูแดงพักผ่อนอยู่กับบ้าน คงได้เขียนนิยายรัวๆ เลย ไว้พรุ่งนี้มืดๆ เจอตัวอย่างตอนหน้ากันค่ะ




ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
บอกรักกันแล้วววววว  :กอด1:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
โหย...สวีทกันน่าดู
แต่ถ้ากลับไปแล้วจะเจออะไรบ้าง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ฟินนนนนน :impress2:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 22: Truth[1]

ความฝันมักหลุดลอยไปทุกครั้งที่ลืมตาตื่นในเช้าวันใหม่เสมอ วันนี้ก็เช่นกัน ออสตินลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหวั่นใจเล็กๆ เมื่อหันไปมองยังคนข้างกายที่ยังคงหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เขาก็ยิ่งหวั่นใจมากกว่าเดิม

กี่วันกี่คืนแล้วที่เอาแต่หนีความจริงมาอยู่ยังบ้านพักตากอากาศในฮาวายแบบนี้ กลัว... กลัวว่าเด็กหนุ่มในอ้อมแขนของเขาจะหายไปทันทีที่กลับสู่นิวยอร์ก และแน่นอนว่าเขาไม่ยอมให้ทุกอย่างมันลงเอยอย่างนั้นแน่ ถึงตอนชวนกานต์มาที่นี่จะเกิดขึ้นเพราะความบุ่มบ่ามของเขา แต่ตอนจะกลับ เขาจะต้องคิดให้รอบคอบเพื่อรับมือกับสิ่งที่จะตามมาหลังจากนั้น

แน่ล่ะว่าจะต้องรับมือกับจัสตินที่คงค้านหัวชนฝาเหมือนเดิมเรื่องที่เขาไม่อยากรับกานต์เป็นบุตรบุญธรรม...

ออสตินรอจนกระทั่งกานต์ตื่นนอน ในใจคิดไว้แล้วว่าจะสารภาพความจริงทั้งหมดให้เด็กหนุ่มฟัง อันดับแรกเลยคือเรื่องเหตุผลที่เขาแต่งงานกับแม่ของกานต์ อันดับที่สองคือต้องบอกให้รู้ว่าใครคือพ่อเลี้ยงที่แท้จริงของเขา

ชายหนุ่มนอนรอนิ่งๆ รอให้อีกฝ่ายตื่นจากนิทรา ทว่าเหมือนกานต์จะรับรู้ได้ว่าออสตินรอเขาอยู่ พลันก็ขยับตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อย ปรือตาขึ้นมองพลางอมยิ้ม

“ตื่นแล้วทำไมไม่ลุกไปล่ะครับ มัวนอนเฉยๆ อยู่ทำไม”

คนถูกถามคลี่ยิ้มบาง “ฉันกลัวทำให้เธอตื่น”

กานต์หัวเราะเพราะตระหนักได้ว่าเขายังคงนอนหนุนแขนของพ่อเลี้ยงตัวเองอยู่

“ขอโทษครับ แด๊ดดี้คงเมื่อยแย่แล้วมั้ง”

พูดจบก็ขยับศีรษะออกจากท่อนแขนแกร่งลงไปนอนหนุนหมอน หากแต่ออสตินกลับรั้งเขาไว้ในอ้อมแขนให้กานต์ได้เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามว่ามีอะไร

“ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ”

ไม่ทันจะได้ถามเป็นคำพูด ออสตินก็ว่าออกมาแล้ว กานต์พยักหน้าน้อยๆ

“เอาไว้หลังอาหารได้ไหมครับ ผมว่าผมหิวแล้ว”

เหลือบมองนาฬิกาดูก็คงจะเป็นอย่างนั้น นอนตื่นสายจนเกือบเที่ยงขนาดนี้ กระเพาะก็ต้องเริ่มทำงานแล้วล่ะ โดยปกติออสตินจะยอมแต่โดยดี ทว่าครั้งนี้เขาใจร้อนเกินกว่าที่จะรอได้

“แต่ฉันอยากจะคุยตอนนี้”

“เรื่องสำคัญเหรอครับ”

ออสตินพยักหน้า “ใช่ เรื่องที่ฉันจะบอกมันเป็นเรื่องสำคัญ”

“เรื่องอะไร บอกผมได้ไหม”

“เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเราสองคน”

ได้ยินอย่างนั้น กานต์ก็เงียบนิ่ง รอฟังอย่างตั้งใจ ขณะที่ออสตินมองหน้าของคนรักแล้วสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

“สัญญากับฉันก่อนว่าถ้ารู้เรื่องนี้แล้ว ความรู้สึกของเธอจะไม่เปลี่ยนไป”

“มันเรื่องอะไรล่ะครับ”

“สัญญากับฉันก่อนสิ”

กานต์ไม่เคยเห็นออสตินจริงจังอย่างนี้มาก่อนเลย รับรู้ได้จากน้ำเสียงและสีหน้าเลยว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่คาดคั้นเอาคำสัญญากับเขา ถึงจะไม่อยากรับปากเพราะรู้สึกระแวง แต่สุดท้ายก็จำใจตอบรับไป

“ผมสัญญา”

“ต่อให้มันเป็นเรื่องที่ผิดหรือเรื่องที่ทำให้เธอเสียความรู้สึก หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เธอช็อก สัญญากับฉันว่าเธอจะยังรักฉันเหมือนเดิม”

“...”

ยิ่งระแวงหนักเข้าไปใหญ่ ออสตินไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนจริงๆ เขาเองก็ดูหวั่นใจเหมือนกัน ยิ่งคาดคั้นเอาคำมั่นสัญญาขึ้นมาอีก กานต์ก็รับรู้ได้ทันทีว่าควรจะต้องทำอย่างไร

“สัญญาสิ”

“ผมสัญญาครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ผมก็จะยังรักแด๊ดดี้เหมือนเดิม”

คำพูดนั้นปลอบประโลมให้ออสตินสงบสติอารมณ์ลงได้ เขาคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะเริ่มเปิดปาก

“เรื่องที่ฉันอยากบอกก็คือ...”

“...”

“ฉันไม่ได้แต่งงานกับแม่ของเธอเพราะรัก ฉันหมายถึงรักแบบคนรัก”

ความงุนงงฉาบพรายบนใบหน้าของเด็กหนุ่มทันที เรื่องที่ได้ยินมันก็น่าตกใจอยู่หรอก แต่เขางงกับสิ่งที่ได้ยินมากกว่า

ในเมื่อไม่ได้รักแม่ของเขาแล้วจะแต่งงานกับเธอทำไม

แล้วคำตอบก็ได้ในอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น

“แต่ฉันแต่งงานกับแม่ของเธอเพราะรักเธอ”

กานต์งงงันหนักขึ้นไปอีก เขาไม่เข้าใจสิ่งที่ออสตินพูดเลยแม้แต่น้อย ท่าทางอิหลักอิเหลื่อนั่นทำให้ออสตินลอบระบายลมหายใจออกมา เขาก็กะไว้อยู่แล้วว่ากานต์จะต้องมีอาการตอบสนองอย่างนี้ พลันทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า คว้ามือทั้งสองของเด็กหนุ่มมาจับแน่น

“มันอาจจะฟังดูประหลาดสักหน่อย แต่ว่าจริงๆ แล้วฉันแต่งงานกับแม่ของเธอเพราะรักเธอ”

“ผม...ไม่เข้าใจ”

ในที่สุดก็คลำหาเสียงของตัวเองเจอ ออสตินยิ้มบางๆ กานต์ไม่เข้าใจก็ไม่แปลก แต่ตอนนี้ล่ะที่เขาจะทำให้เข้าใจ

“ฉันรักเธอ... รักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น”

ครั้งแรกที่เห็น...มันก็ตอนที่เขาเจอกับออสตินที่สนามบินไม่ใช่เหรอ ตอนนั้นแต่งงานกับแม่เขาไปแล้วนี่

ทว่าสิ่งที่คิดกลับผิดคาดเมื่อออสตินว่าเสริม

“รัก...ตั้งแต่เธออายุแค่สิบห้า”

กานต์นิ่งงัน คิดอะไรไม่ออกแล้วในตอนนี้ ถ้ารักเขาตั้งแต่เขาอายุสิบห้า มันก็เมื่อสองปีก่อน ก่อนที่แม่ของเขาจะมาทำงานที่ร้านอาหารไทยในอเมริกา แต่...ทำไมเขาไม่เห็นจะจำได้เลยล่ะว่าเคยเจอออสตินด้วย กับผู้ชายที่มีเสน่ห์ชวนฝันอย่างนี้ ต่อให้เจอแค่ครั้งเดียว เขาก็ไม่มีวันลืมหรอก

“ผม...”

เด็กหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไรดี จะบอกว่าจำไม่ได้ก็ไม่แน่ใจนักว่าสมควรพูดไหม ออสตินหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ก่อนจะจ้องดวงหน้าอ่อนเยาว์นิ่ง

“เราเคยเจอกันมาแล้ว... ไม่สิ ฉันเคยเจอมาแล้ว ครั้งหนึ่ง...ที่เมืองไทย”

“เรื่องมันเป็นยังไงครับ”

ในเมื่อคิดไม่ออกก็ขอให้เล่าดีกว่า แต่ถึงกานต์จะไม่ร้องขอ ออสตินก็พร้อมจะเล่าอยู่แล้วเพราะนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของแผนการทุกอย่างในลำดับต่อไปของเขา พลันน้ำเสียงทุ้มก็ดังขึ้นหลังจากนั้น

“ทุกอย่างมันเริ่มตั้งแต่...”

 

ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน

ออสติน สเวน ดูหงุดหงิดกว่าทุกครั้งที่เคยเป็นมา พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินส่วนตัวของเขาดูจะต้องรับศึกหนักกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของเขาตั้งแต่ที่เขามีคำสั่งออกมาว่าจะเดินทางไปเมืองไทยอย่างเร่งด่วน โดยไม่สนว่างานที่คั่งค้างอยู่จะมากมายแค่ไหนแต่อย่างใด ทุกอย่างล้วนแล้วต้องเป็นไปตามความต้องการของเขาโดยไร้ซึ่งเหตุผลใดๆ ที่เหมาะสม

ปกติออสตินไม่ใช่คนที่จะทิ้งภาระหน้าที่ทุกอย่างไปง่ายๆ แบบนี้ ยิ่งถ้ามีคนใกล้ชิดทัดทานด้วยแล้ว เขายิ่งไม่ทำใหญ่ แต่ครั้งนี้มันแปลกออกไป เพราะ...เขาได้ยินบางสิ่งที่ไม่เข้าหูจากพี่ชายมา

 

‘พี่รักเธอ และพี่ต้องการที่จะแต่งงานกับเธอ’

‘พี่หมายถึง...กับผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ’

‘ใช่’

‘ทั้งที่พี่ไม่เคยเห็นหน้าเธอเนี่ยนะ’

‘ฉันเคยเห็นหน้าเธอ’

‘แต่มันก็แค่ในรูปถ่าย ตัวจริงไม่เคยเจอด้วยซ้ำ’

‘ไม่เห็นจะเป็นอะไร แต่งงานกันเมื่อไรก็คงได้เจอ’

‘ให้ตายเถอะจัสติน! พี่เป็นบ้าไปแล้วหรือไงถึงจะแต่งงานกับผู้หญิงที่เจอกันในแอพฯ หาคู่โดยไม่เคยเจอตัวจริงกันเนี่ยนะ’

‘ใจเย็นๆ ก่อนออสติน’

‘จะให้ผมใจเย็นยังไงได้อีก ให้ตาย พี่กำลังทำผิดพลาดครั้งใหญ่รู้ไหม’

‘พี่ไม่ได้ทำผิดพลาด และขอเถอะ อย่าพูดอะไรอีกเลย เพราะต่อให้นายพูด พี่ก็จะแต่งงานกับเธออยู่ดี’

‘...’

‘พี่รักเธอ...ออสติน พี่รักผู้หญิงคนนั้น’

 

ไม่เข้าหูจริงๆ ไม่อยากจะเชื่อด้วยว่าพี่ชายของเขาจะหลงรักผู้หญิงที่รู้จักเพียงแค่รูป เคยเห็นแค่ในวิดีโอคอลล์ มิหนำซ้ำจะแต่งงานด้วยทั้งที่ไม่เคยเจอตัวจริง

ผู้หญิงคนนั้น...ต้องเป็นแม่มดแน่ๆ!

และเพราะเหตุนี้ เขาถึงได้วางงานทุกอย่างแล้วบินมายังประเทศบ้านเกิดของผู้หญิงคนนั้นเป็นการด่วน แน่นอนว่าทุกอย่างดำเนินการโดยที่จัสตินไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่ ‘เธอ’ เท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะมาหา...ในฐานะตัวแทนของพี่ชายที่พิการและไม่อาจเดินทางออกนอกประเทศได้ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่เหมาะสม

ทันทีที่เห็นชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีฟ้ายืนอยู่ที่หน้าบ้านของเธอพร้อมกับล่ามแปลภาษาที่เขาจ้างมาพิเศษเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ‘กนกกานต์’ ก็รีบเร่งไปให้การต้อนรับเป็นอย่างดี

ผู้หญิงชาวไทยวัยสามสิบกว่า รูปร่างสันทัด ดวงหน้าสวยงามสมวัยเปิดประตูออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม ท่าทางของเธอในสายตาของเธอดูไม่มีพิษมีภัย แต่ออสตินก็ไม่ปักใจเชื่อ ภายใต้รูปร่างหน้าตาไร้เดียงสาอย่างนี้แหละที่มากไปด้วยพิษร้าย

“ฉันดีใจนะคะที่จัสตินส่งคุณมา ช่วยแปลให้เขาทีค่ะว่าฉันขอบคุณมากที่เขาอุตส่าห์สละเวลามาให้”

กนกกานต์บอกกับล่ามที่นั่งอยู่ข้างๆ กับชายหนุ่ม ถึงเธอจะพอรู้ภาษาอังกฤษอยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่ในระดับที่สามารถสื่อสารได้คล่องแคล่วโดยเฉพาะในการฟังพูด ล่ามสาวจึงต้องทำหน้าที่ของตนเองช่วยอีกแรง ขณะที่ออสตินปรายตามองเล็กน้อยก่อนว่าสั้นๆ

“ต่อให้เขาไม่บอกให้ผมมา ผมก็ต้องมาทำความรู้จัก ‘ว่าที่พี่สะใภ้’ อยู่แล้ว”

กนกกานต์ยิ้มบางๆ เธอพอจะจับใจความได้ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้รางๆ ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้มาพบเธอเพราะจัสตินขอให้มาหรอก น่าจะเป็นเหตุผลอื่นมากกว่า กระนั้นเธอก็ยังส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

“แต่ก็ไม่รู้ว่าผมจะมีโอกาสได้เรียกคุณว่าพี่สะใภ้จริงๆ หรือเปล่า”

คำพูดอีกประโยคที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหยักนั่นทำให้กนกกานต์นิ่งไปครู่

นั่นไงล่ะ เธอถึงได้บอกว่าน่าจะเป็นเหตุผลอื่น และนั่นก็ทำให้เธอต้องยิ้มให้เขาอีกครั้ง

“ฉันไม่รู้ว่าคุณมาหาฉันเพื่ออะไรนะคะ แต่ถ้ามีอะไรในใจก็พูดมาตรงๆ เลยก็ได้ค่ะ ถึงฉันจะแปลออกบ้างไม่ออกบ้างก็คงไม่ใช่ปัญหา ไหนๆ คุณก็จ้างล่ามมาช่วยอยู่แล้ว”

ล่ามสาวรีบทำหน้าที่ของตัวเอง ออสตินได้ยินดังนั้นก็ยืดตัวตรง จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง

“ถ้าอย่างนั้นผมก็จะไม่อ้อมค้อมแล้วกัน”

กนกกานต์เองก็ยืดตัว รอฟังสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูดบ้าง

“ผมต้องการให้คุณเลิกยุ่งกับพี่ชายผม”

หญิงสาวไม่แปลกใจเลยที่ออสตินจะว่าอย่างนี้ เพราะไม่ว่าใครที่รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของเธอกับจัสตินก็ล้วนแล้วแต่ต้องการให้เธอเลิกยุ่งเกี่ยวกับเขาทั้งนั้น สำหรับฝั่งของเธอนั้นเป็นเพราะจัสตินพิการทุพลภาพ แต่สำหรับฝ่ายของจัสตินแล้ว...ก็คงจะกลัวว่าเธอไปหลอกนั่นแหละ มันเรื่องอะไรที่ผู้หญิงที่มีอวัยวะครบทั้งสามสิบสองประการอย่างเธอจะไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายแบบนั้นถ้าอีกฝ่ายไม่ได้รวยล้นค้ำฟ้าล่ะจริงไหม

แต่สำหรับกนกกานต์แล้ว... เงินทองมากมายของจัสตินมันไม่ใช่เรื่องที่สำคัญนัก สำคัญที่สุดก็คือเธอรู้ว่าเขารักเธอจากใจจริง และนั่นก็คือสิ่งที่ผู้หญิงธรรมดาๆ อย่างเธอต้องการ

“ฉันคิดอยู่แล้วค่ะว่าคุณต้องพูดเรื่องนี้” กนกกานต์ว่าพลางเจือหัวเราะเฝื่อนๆ ให้ออสตินได้หรี่ตาจับผิด ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาอีก “แต่ฉันไม่เลิกยุ่งกับเขาหรอกนะคะ ขอโทษที่ทำให้การมาของคุณในครั้งนี้เสียเปล่า”

“คุณต้องการเท่าไร”

พูดยังไม่ทันจบดี ออสตินก็สวนขึ้นแล้ว ไม่ต้องให้ล่ามแปลให้ คำว่า ‘How much do you need?’ ก็ทำให้กนกกานต์เข้าใจความหมายดีว่าออสตินหมายถึงอะไร

“อยากได้เท่าไรก็บอกผมมา ผมสามารถจ่ายให้คุณได้มากเท่าที่คุณต้องการถ้ามันทำให้คุณเลิกยุ่งกับพี่ชายผมได้”

ไม่พูดเปล่า ยังทำท่าจะเขียนเช็คให้อีก ท่าทาง น้ำเสียง และคำพูดที่กึ่งดูแคลนของออสตินนั้นทำให้กนกกานต์หน้าชาอยู่ไม่น้อย แต่กระนั้นเธอก็ยังฝืนยิ้ม

“เก็บเงินของคุณเอาไว้เถอะค่ะ มันไม่มีความหมายอะไรหรอก เพราะตอนนี้จัสตินเขาขอฉันแต่งงานแล้ว”

เป็นออสตินบ้างที่ชะงัก “แต่งงาน?”

“ใช่ค่ะ และฉันก็ตอบรับไปแล้วด้วย”

ออสตินถึงกับสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรงเพื่อระงับความหัวเสีย พลันพึมพำออกมา

“ไอ้พี่บ้าเอ๊ย”

กนกกานต์ยิ้มให้กับคำสบถนั้น เธอรับรู้ในความหวังดีต่อตัวพี่ชายของออสติน พอจะรู้มาจากปากของคนรักอยู่บ้างว่าน้องชายเขาเป็นประเภทที่ดื้อรั้นหัวชนฝา ถ้าไม่เห็นดีเรื่องอะไรก็จะค้านเรื่องนั้นแบบสุดๆ ซึ่งเขาก็เคยบอกเธอเช่นกันว่าให้เตรียมตัวเอาไว้ เผื่อวันใดวันหนึ่ง น้องชายเขาจะบินมาหาเธอโดยไม่บอกกล่าว และนั่นก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย โชคดีที่เธอพอจะเตรียมพร้อมอยู่บ้างแล้ว

“แต่ฉันไม่ได้จะแต่งงานกับเขาเร็วๆ นี้หรอกนะคะ อีกปีสองปีถึงจะถึงขั้นนั้น เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าคุณไม่ไว้ใจฉันว่าจริงจังกับพี่ชายคุณแน่หรือเปล่า คุณก็ยังมีเวลาที่จะศึกษาฉันและรอดูต่อไปอีกเยอะค่ะ”

ประโยคนี้ทำให้ออสตินต้องขมวดคิ้วน้อยๆ

“ทำไมถึงต้องรอนานขนาดนั้น คุณกลัวว่าถ้ารีบแต่งไป ผมจะครหาคุณว่าอยากได้สมบัติของพี่ชายผมจนเนื้อตัวเต้นหรือไง”

ไม่เคยมีคำไหนที่ไม่แฝงความเหยียดหยามหลุดออกจากปากของออสตินเลย ล่ามสาวพยายามที่จะแปลให้ไม่ทำร้ายจิตใจคนฟังมากที่สุด แต่กนกกานต์ก็พอจะเข้าใจโดยไม่ต้องอาศัยใครแปลให้ว่าผู้ชายตรงหน้าดูแคลนเธอมากเพียงใด

กระนั้น...เธอก็ยังยิ้ม

“ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นหรอกค่ะ ฉันรู้ว่าเขามีเงิน แต่ฉันไม่ได้สนใจเรื่องเงินทองของเขา แต่ที่ต้องชะลอการแต่งงานออกไป เป็นเพราะเรื่องอื่นต่างหาก”

“เรื่องอะไร”

“ลูกชายฉัน”

“ลูก?”

ออสตินทำหน้าประหลาดใจ เหมือนเขาจะเพิ่งรู้ในตอนนี้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีลูกติดด้วย

“ใช่ค่ะ เขาเพิ่งอายุสิบห้า กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ฉันกลัวว่าถ้าฉันแต่งงานใหม่ไปแล้วต้องไปอยู่ที่ต่างประเทศ เขาจะปรับตัวไม่ทันหรือรับไม่ได้อะไรแบบนั้น เลยอยากจะขอเวลาให้เขาได้โตกว่านี้อีกนิดก่อน จะได้รับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตได้ ฉันหมายถึง...มีครอบครัวใหม่”

คนฟังเข้าใจสิ่งที่หญิงสาวต้องการจะทำ แต่ถึงอย่างไร เขาก็ไม่เห็นดีด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้แน่

ให้ตาย! นอกจากจะเป็นผู้หญิงที่รู้จักกันผ่านแอพฯ หาคู่แล้ว เธอยังเป็นแม่ม่ายลูกติดอีกด้วย นี่พี่ชายเขาเป็นบ้าไปแล้วหรือไงถึงได้ไม่ลืมหูลืมตาขนาดนี้ ผู้หญิงคนนี้มีอะไรดีกันถึงได้หลงนัก

“ไม่ว่าเหตุผลของคุณจะเป็นยังไง ผมก็ต้องการให้คุณเลิกยุ่งกับพี่ชายผม เอาเงินก้อนนี้ไปแล้วอย่ามายุ่งกับเขาอีก”

ออสตินสรุปรวบรัดเอง ก้มหน้าเขียนเช็คโดยไม่สนใจจะฟังสิ่งที่กนกกานต์จะพูดอีกแล้ว ปล่อยให้ล่ามต้องรับหน้าที่แปลและคอยปรามให้หญิงสาวสงบอารมณ์เพราะดูเหมือนว่าเธอเองก็ชักทนไม่ไหวแล้วเหมือนกันกับความเผด็จการของผู้ชายตรงหน้าจนเผลอแสดงออกทางสีหน้าให้รับรู้ชัดเจนว่าเริ่มไม่พอใจแล้วเหมือนกัน

ทว่า...ระหว่างที่ความตึงเครียดน้อยๆ เกิดขึ้นนั้น เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นจากทางหน้าบ้าน ก่อนที่เสียงของเจ้าตัวจะดังขึ้น

“แม่ครับ กานต์กลับ... อ้าว มีแขกเหรอครับ”

เด็กหนุ่มชะงักเมื่อเห็นว่ามีแขก กนกกานต์รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ หันไปยิ้มรับกับลูกชาย

“จ้ะ ขึ้นไปข้างบนก่อนนะกานต์ ไว้แม่เสร็จธุระแล้วค่อยลงมา”

เด็กหนุ่มออกจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นชายชาวตะวันตกมานั่งหัวโด่อยู่ในบ้าน แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว ท่าทางแม่เขาคงไม่อยากอธิบายอะไรในตอนนี้สักเท่าไร เขาเลยพยักหน้าและทำตามที่มารดาสั่งแต่โดยดี

คล้อยหลังเด็กหนุ่มไป กนกกานต์ก็ยิ้มฝืนๆ ให้กับแขกของตน

“ลูกชายฉันน่ะค่ะ ชื่อกานต์”

ออสตินไม่พูดอะไร ได้แต่มองจ้องไปยังจุดเดิมที่เด็กหนุ่มยืนเมื่อครู่ ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระส่ำขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุด้วยภาพใบหน้าของเด็กคนเมื่อกี้ยังติดตา

ดวงหน้าอ่อนเยาว์ รูปร่างสันทัดสมวัยในชุดนักเรียน ท่าทางไม่ประสา... ทั้งหมดนั้นฉุดกระชากหัวใจเขาให้ลืมไปหมดสิ้นว่าตัวเองกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ทันที

ออสติน...ไม่เคยชอบพอผู้หญิงคนไหนเลย เขาถูกข่าวซุบซิบในแวดวงไฮโซโจมตีเป็นเนืองนิตย์ว่าเป็นพวกตายด้าน แต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะเปิดเผยว่าสาเหตุที่เขาไม่สนใจผู้หญิงคนไหนนั้นเป็นเพราะว่า...เขามีรสนิยมชอบผู้ชาย

นอกจากนั้น เขาเองก็ไม่ได้ว่างมากพอที่จะไปสร้างความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใครด้วย ตั้งแต่ที่จัสตินมอบหมายให้เขาเป็นผู้ดูแลความรับผิดชอบต่างๆ ของบริษัท ชีวิตของเขาก็มีแต่คำว่างาน งาน และงาน ครั้งนี้นับได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาถูกใจใครสักคน

และเป็นการถูกใจที่...อาจจะเรียกได้ว่ารักแรกพบด้วยก็ได้

พอตั้งสติได้ก็ชะงักมือที่กำลังเขียนตัวเลขลงในใบเช็ค มองจ้องหน้ากนกกานต์นิ่ง

“ผมมีคำถามอยากจะถามคุณสักข้อ”

“ว่ายังไงคะ”

“ถ้าคุณแต่งงานกับพี่ชายผม คุณจะย้ายไปอยู่กับเขาใช่ไหม”

กนกกานต์ออกจะแปลกใจสักหน่อยที่ถูกถามแบบนี้ขึ้นมากะทันหัน แต่ก็ตอบไปตามตรง

“ค่ะ ฉันจะไป”

“แล้วลูกชายคุณก็จะไปด้วยใช่หรือเปล่า”

“ค่ะ”

เท่านั้นออสตินก็สูดหายใจเข้าเต็มปอด ทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ เงียบนิ่งไปครู่ราวกับครุ่นคิด ก่อนที่จะตัดสินใจว่าออกมา

“ถ้าอย่างนั้นในระหว่างที่คุณรอให้ลูกชายคุณปรับตัวได้ ผมถือว่าจะให้โอกาสคุณได้พิสูจน์ตัวเองแล้วกัน”

การเปลี่ยนใจแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้นสร้างความประหลาดใจให้กับทั้งกนกกานต์และล่ามสาวที่คอยแปลให้อยู่ไม่น้อย แต่ออสตินก็ไม่คิดที่จะอธิบายใดๆ นอกจากจะรำพึงชื่อของเด็กหนุ่มคนนั้นในใจตัวเอง

กานต์...

หวังว่าเราจะได้มาเป็นครอบครัวเดียวกันนะ...กานต์

 



ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 22: Truth[2]


สองปีต่อมา

เป็นระยะเวลาที่นานมากพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าผู้หญิงไทยคนนั้นรักในตัวพี่ชายของเขาจริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือหรือรับเงินจากพี่ชายเขาเลยสักครั้ง ทุกอย่างในชีวิตเธอ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ครอบครัวที่ต้องดูแล ล้วนแล้วเป็นน้ำพักน้ำแรงของเธอทั้งนั้น

ออสตินเชื่อแล้วว่าเธอรักพี่ชายเขาจริงๆ...

แต่อะไรก็ไม่สำคัญและน่ายินดีเท่ากับการที่เขาพูดภาษาไทยได้ ตั้งแต่วันที่ได้เจอกับ ‘ว่าที่หลานชาย’ ในวันนั้น เขาก็ไม่รอช้าที่จะไปสมัครเรียนภาษาของประเทศโลกที่สามทันที ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยเช่นกันว่าสักวันจะต้องมานั่งอ่านหนังสือ ท่องศัพท์เป็นบ้าเป็นหลังเพื่อเด็กที่เพิ่งเคยเจอหน้าแค่ครั้งเดียวอย่างนี้

รักแรกพบช่างน่ากลัวนัก และความรักก็ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นกัน ไม่มีเหตุผล ไม่มีความถูกต้องอะไรเลย มีแต่ความปรารถนาที่จะได้ครอบครองอย่างเดียว ตอนนี้เข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมจัสตินถึงได้ตัดสินใจแต่งงานกับผู้หญิงที่รู้จักกันในแอพฯ หาคู่ทั้งที่ยังไม่เคยเจอตัวจริงอย่างนั้น

ทว่า...ตอนนี้ได้เจอตัวจริงแล้ว กนกกานต์มาทำงานที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในนิวยอร์กของเพื่อนเธอเพื่อที่จะอยู่ใกล้ๆ กับจัสติน ขณะที่จัสตินพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เธอได้อยู่กับเขาตลอดไป ย่อมแน่ว่าน้องชายอย่างออสตินก็ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ หากแต่ไม่ใช่เพราะต้องการเห็นพี่ชายมีความสุขกับคนรัก เขาอยากจะได้อยู่ใกล้ๆ กับลูกเลี้ยงของพี่ชายต่างหาก

ถ้าทั้งสองแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกันอย่างถูกกฎหมาย การที่กานต์จะมาอยู่ใกล้ๆ กับเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมายแล้ว

แต่...ทุกอย่างไม่ง่ายอย่างนั้นเมื่อวันหนึ่งจัสตินก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา

“ออสติน พี่มีเรื่องจะคุยกับนาย”

“เรื่อง?”

“เรื่องซีเรียส”

ออสตินที่นั่งดูกราฟหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อยู่เงียบๆ ถึงกับต้องวางแท็บเล็ตลง ถ้าพี่ชายเขาพูดมาอย่างนี้แล้ว มันจะต้องเป็นเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน ซึ่งก็ใช่ เมื่อจัสตินเอ่ยขึ้น

“ฉันจะไม่แต่งงานกับกนกกานต์”

เรียวคิ้วเข้มของออสตินขมวดเข้าหากันทันที “หมายความว่ายังไง”

“เฮ้ ใจเย็นๆ น่า ฉันไม่แต่งงานกับเธอแต่ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกกับเธอ ฉันแค่คิดอะไรได้บางอย่าง”

ออสตินโล่งใจอยู่ไม่น้อย แต่ทว่าก็อดสงสัยไม่ได้

“คิดอะไรได้เหรอครับ”

“เรื่องลูกของเธอน่ะ” จัสตินว่าแล้วถอนหายใจออกมา “นายรู้ใช่ไหมว่ากานต์กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ”

คนฟังพยักหน้า เขาตามติดว่าที่หลายชาย ตามสืบทุกเรื่อง เรื่องที่ชอบ เรื่องที่ไม่ชอบ ประหนึ่งกับเป็นสตอล์กเกอร์อย่างนี้ ทำไมจะไม่รู้กัน

“ฉันกลัวว่าถ้าเขารู้ว่าพ่อเลี้ยงของเขาเป็นคนพิการอย่างฉัน เขาจะรับไม่ได้”

ออสตินขมวดคิ้วย่นยู่หนักกว่าเดิม “ไร้สาระน่าพี่ แค่เดินไม่ได้มันไม่ได้หมายความว่าพี่จะเป็นพ่อเลี้ยงที่ดีไม่ได้สักหน่อย”

จัสตินยิ้มบางๆ “นั่นก็ใช่ แต่ฉันอยากให้เขารู้สึกดีที่มีครอบครัวใหม่ นายก็รู้ใช่ไหมว่ากนกกานต์กังวลเรื่องความรู้สึกของลูกชายเธอมากกว่าอะไร”

ทำไมจะไม่รู้ เขารู้สิ รู้ดีเลยล่ะ

“ฉันก็เลยเสนอว่าจะให้เธอแต่งงานกับนายแทน แบบว่า...ถ้านายตอบตกลงน่ะนะ”

“นี่มันเรื่องบ้าอะไร” ออสตินหัวเสียขึ้นฉับพลัน เขาอยากอยู่กับกานต์ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยอมแต่งงานกับแม่ของกานต์เสียหน่อย ก็คนที่เขารักไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น แต่เป็นกานต์ต่างหาก

“ใจเย็นๆ ก่อน มันก็แค่ในนาม” จัสตินรีบปรามเมื่อเห็นท่าทางเอาเรื่องของน้องชาย ก่อนจะว่าเสริมทันทีที่อีกฝ่ายนิ่ง “ฉันก็แค่อยากมอบสิ่งดีๆ ให้เขา ฉันหมายถึง...ทุกสิ่งที่เพียบพร้อม นอกจากครอบครัวที่ดี ฉันก็อยากให้เขาได้พ่อเลี้ยงที่ดีด้วย แน่นอนว่าหมายถึงพ่อเลี้ยงที่เพอร์เฟ็กทุกด้าน ไม่ใช่ไอ้ง่อยที่ได้แต่นั่งรถเข็นไปวันๆ อย่างฉัน ฉันถึงได้ขอร้องนาย”

“จัสติน พี่ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นเลยนะ”

จัสตินรีบยกมือปรามไม่ได้พูดต่อเมื่อเห็นว่าออสตินกำลังจะบอกว่าเขาดีแค่ไหน เขารู้ว่าออสตินไม่ชอบใจนักที่เห็นเขาพูดถึงตัวเองในแง่ลบอย่างนี้ แต่เขาตัดสินใจและคิดถี่ถ้วนแล้ว

“ลองคิดดูนะออสติน ถ้ากานต์มาอยู่ที่นี่ ต้องเข้าเรียนที่นี่ ถ้าเด็กคนอื่นๆ รู้ว่าแม่เขาแต่งงานกับฉัน เขาจะโดนกลั่นแกล้งแค่ไหน อย่างน้อยแม่ของเขาก็ต้องถูกเรียกว่าเป็นพวกอีตัวอะไรแบบนั้น ผู้หญิงไทยถูกมองไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เผลอๆ จะถูกมองด้วยว่าที่แม่เขาแต่งงานกับฉันก็เพราะเงิน ฉันไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาถูกทำร้ายจิตใจ เข้าใจความหมายที่ฉันต้องการจะสื่อไหม”

เข้าใจสิ ออสตินเข้าใจว่าสังคมในโรงเรียนอเมริกันนั้นมันไม่ได้สวยหรูสักเท่าไรนัก สำหรับเด็กบางคน สังคมในโรงเรียนอาจจะเป็นฝันร้ายไปตลอดชีวิตเลยก็ว่าได้

“ดังนั้นฉันก็เลยอยากให้นายเป็นตัวแทนของฉันที แค่จดทะเบียน แค่ทำให้คนอื่นๆ รู้ว่านายเป็นพ่อเลี้ยงของเขา แต่บทบาทในครอบครัว ฉันจะเป็นคนทำหน้าที่นั้นเอง”

ออสตินพยักหน้า เขาเข้าใจแล้ว แต่เขาก็ตะขิดตะขวงใจที่จะทำอย่างนั้นอยู่ดี

“ผมว่าพี่ควรจะเป็นคนทำหน้าที่นั้นมากกว่า หมายถึงเรื่องจดทะเบียนด้วย”

จัสตินคิดไว้อยู่แล้วว่าน้องชายจะต้องตอบกลับแบบนี้ ซึ่งเขาก็เตรียมพร้อมสำหรับการรับมือเรื่องนั้นมาอยู่แล้ว

“หวังว่านายคงจะไม่ลืมว่าครอบครัวฉันเคยช่วยเหลือนายยังไงนะออสติน”

เพียงคำพูดประโยคเดียวก็ทำให้ออสตินชะงัก ครั้นเหลือบมองหน้าพี่ชายก็เห็นว่าจัสตินจ้องเขาเขม็ง

เคยช่วยเหลือเขาอย่างไรน่ะเหรอ?

ไม่ต้องอธิบายให้มากความนักหรอก ออสตินรู้ดี ที่เขามีทุกวันนี้ได้ แน่นอนล่ะว่าเป็นเพราะครอบครัวสเวน... ไม่สิ เป็นเพราะแม่เลี้ยงของเขา และใช่ เขาหมายถึงแม่แท้ๆ ของจัสตินที่อุตส่าห์เลี้ยงดูและให้การสนับสนุน ‘ลูกของโสเภณีข้างถนนที่เกิดมาโดยความไม่ได้ตั้งใจจากความเสเพลของพ่อ’ อย่างเขาเหมือนลูกแท้ๆ จนเขาหลุดออกจากสลัมอย่างที่เด็กไร้บ้าน ไร้อนาคตคนหนึ่งไม่เคยคาดฝันมาก่อน อันที่จริงต้องบอกว่าแม่ของจัสตินช่วยเหลือเขาตั้งแต่ที่เขายังไม่ลืมตาออกมาดูโลกด้วยซ้ำ แม่ของเขาคิดจะกำจัดมารหัวขนอย่างเขาออกหลังจากที่ไปร้องเรียกค่าเลี้ยงดูจากพ่อเขาแล้วไม่เป็นผล แต่เมื่อแม่เลี้ยงของเขารู้เรื่อง เธอก็ไปยื่นข้อเสนอ ขอรับเขาเป็นลูกบุญธรรมตั้งแต่แรกเกิด ส่วนแม่แท้ๆ ของเขา ตั้งแต่ที่เซ็นเอกสารยกลูกให้เป็นบุตรบุญธรรมแล้ว ก็หอบเงินก้อนโตหนีหายไปแล้วไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลยก็ว่าได้

แม่ที่เขารู้จักมาตลอดชีวิตจึงมีแค่คุณนายสเวนคนเดียวเท่านั้น...

“ขอร้องล่ะออสติน ถ้านายอยากตอบแทนอะไรสักอย่าง ฉันก็ขอเป็นเรื่องนี้”

ออสตินเม้มริมฝีปากไปครู่ เขาไม่อยากจะตอบรับเลย แต่เมื่อคิดถึงใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มคนนั้น ระคนกับบุญคุณที่เขายังค้างคาไว้กับครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่เขายังเหลืออยู่ เขาก็จำใจต้องตกปากรับคำไป

“ได้ แต่แค่ในนาม...”

จัสตินยิ้มกริ่มด้วยความยินดีเมื่อได้ยินเสียงนั้น ก่อนจะตอบรับ “แค่ในนาม... ขอบใจมากออสติน ฉันฝากดูแลเขาอีกแรงด้วย อย่าทอดทิ้งเขา อย่าทำให้กานต์รู้สึกว่าแปลกแยก เขากำลังจะเป็นสมาชิกของครอบครัวเรา”

คนฟังพยักหน้า ระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจไปนั้นมันผิดหรือถูก เขารู้เพียงแต่ว่าเขาสามารถทำทุกอย่างได้เพื่อให้กานต์มาอยู่ข้างๆ เขาก็เท่านั้น และทุกอย่างที่เป็นไปเพื่อกานต์ เขาก็ย่อมทำได้เช่นกัน

เขาทำเพื่อกานต์... เพื่อกานต์คนเดียว...

 

“เรื่องทั้งหมดก็มีแค่นี้”

เล่าจบ ออสตินก็สรุป กานต์ดูตะลึงงันอยู่ไม่น้อย มองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาประหนึ่งจะถามว่าถ้าเขาไม่ใช่พ่อเลี้ยงแล้ว ตกลงเขาเป็นใครกันแน่

“ไม่เอาน่า อย่ามองฉันแบบนั้น ก็บอกแล้วไงว่าจริงๆ แล้วฉันมีศักดิ์เป็นอาของเธอ ไม่ใช่พ่อเลี้ยง พ่อเลี้ยงที่แท้จริงของเธอคือพี่ชายฉัน บอกไปแล้วนี่”

ราวกับอ่านสายตาของเด็กหนุ่มออก ออสตินเลยว่าออกไปอย่างนั้น แน่นอนว่าเรื่องที่จัสตินไม่แต่งงานกับแม่ของกานต์นั่นก็เล่าไปแล้วด้วย กานต์เองก็รับฟังไปแล้วเช่นกัน แต่เด็กหนุ่มก็ไม่คิดเลยว่ามันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย

“ผมว่าแด๊ดดี้ไม่เห็นจะต้องทำอย่างที่...พี่ชายของแด๊ด...”

“จัสติน” ออสตินทวนชื่อให้ เผื่อว่าเด็กหนุ่มจะลืม

“นั่นแหละครับ ไม่เห็นจะต้องทำอย่างที่คุณจัสตินต้องการเลย ผมไม่คิดมากกับเรื่องนั้นสักหน่อย ไร้สาระ”

“เธอไม่คิด แต่จัสตินคิด แม่เธอก็เหมือนกัน แน่นอนว่าฉันก็คิดด้วย เรื่องมันถึงออกมาแบบนี้ แต่ขอให้เธอเชื่อเถอะว่าพวกเราคิดกันมาถี่ถ้วนแล้ว”

กานต์ถอนหายใจ บางครั้งความรู้สึกนึกคิดของผู้ใหญ่ก็ซับซ้อนจนเด็กอย่างเขาเข้าไม่ถึงเลย ทำไมจะต้องทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยากกัน

“ถ้ามาถามผมตั้งแต่แรก ทุกอย่างก็คงไม่ออกมาอย่างนี้ หวังดีกับผม แต่ไม่ถามผมสักคำ แบบนี้เรียกว่าหวังดียังไง”

ออสตินยิ้มบางๆ ที่เด็กหนุ่มพูดก็ถูก แต่ว่า...

“เรื่องมันผ่านมาแล้ว ที่ฉันทำไปก็เพราะรักเธอ บางทีความรักก็ไม่ต้องการเหตุผลมากหรอกนะ แค่เป็นเรื่องของคนที่เรารัก คนบางคนก็ยอมทำทุกอย่างให้ได้”

“เหมือนกับแด๊ดดี้ที่ตกปากรับคำยอมจดทะเบียนกับแม่ผมแทนคุณจัสตินน่ะเหรอครับ”

ออสตินพยักหน้า ให้เด็กหนุ่มได้พึมพำ

“ไม่เมคเซ้นส์เลย”

ชายหนุ่มไม่เถียงหรอก เพราะพอมาย้อนคิดดู สิ่งที่พวกเขากระทำก็ไม่เมคเซ้นส์อย่างที่กานต์ว่าจริงๆ

“แต่มันไม่ใช่แค่เรื่องของความหวังดีต่อเธออย่างเดียว มันเป็นเรื่องตอบแทนบุญคุณที่ครอบครัวสเวนมีต่อฉันด้วย โดยเฉพาะแม่เลี้ยงของฉัน”

กานต์เข้าใจสิ่งที่ออสตินต้องการจะสื่อ ถ้าเขาเป็นออสติน เกิดจากแม่ที่เป็นโสเภณีโดยไม่ได้ตั้งใจ มิหนำซ้ำเคยเกือบถูกแม่ทำแท้งโดยที่ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้อย่างนั้น เขาก็ต้องซาบซึ้งพระคุณของคนที่ทำให้เขาได้ลืมตามาดูโลกอยู่แล้ว

“แล้วผมจะต้องทำยังไงต่อจากนี้ ผมจะต้องเรียกคุณจัสตินว่าแด๊ดดี้แทน แล้วเปลี่ยนมาเรียกแด๊ดดี้ว่าคุณอาไหม หรือยังไงดีครับ”

กานต์ถามเข้าเรื่อง เรื่องนี้ล่ะที่ออสตินตั้งใจจะดำเนินการต่อ

“สิ่งที่เธอต้องทำมีแค่อย่างเดียวเท่านั้น” ว่าพลางดึงเด็กหนุ่มให้เข้าไปใกล้ แล้วก็ประทับจูบลงมายังริมฝีปากแผ่วเบา ผละออกได้ก็กระซิบ “รักฉัน... หน้าที่ของเธอมีแค่นี้ คงไม่ยากเกินไปใช่ไหม”

กานต์ยิ้มกว้าง พยักหน้ารับหงึกหงัก

“ไม่ยากครับ”

“ดี งั้นรักฉันให้มากเท่าที่เธอจะทำได้ก็แล้วกัน”

เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรแล้ว ตอบรับไปตามประสา หัวใจดวงน้อยของเขามีไว้เพื่อรักออสตินเท่านั้นล่ะ ขณะที่ออสตินกกกอดคนในอ้อมแขน แววตาฉายความมุ่งมั่นบางอย่างขึ้นมาฉับพลัน

กลับไปนิวยอร์กเมื่อไร เรามีเรื่องต้องคุยกันยาวแน่...จัสติน

-------------------------

มาอัปแล้วค่ะ ตอนนี้ปิดซีรีส์ยักษ์ไปแล้ว คงจะมาอัปเรื่องนี้อย่างเดียวก่อนละ

ตอนนี้เฉลยปมในอดีตของออสตินแล้ว แต่หนูแดงมีแก้ไขปมพล็อตนิดนึง อยากให้ย้อนกลับไปอ่านตอนที่ 19 ด้วย เพราะว่าตอนแรกหนูแดงเขียนให้ศาลสั่งให้จัสตินเป็นบุคคลไร้ความสามารถ แต่ผิดพลาดไปนิดตรงที่ไม่ได้ดูให้ดีว่ามันจะต้องไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ด้วย เลยต้องแก้กันยกใหญ่หน่อย ขอบคุณทุกคนที่ทักเรื่องนี้เข้ามาค่ะ

ส่วนใครขี้เกียจตามกลับไปอ่าน หนูแดงอธิบายคร่าวๆ ไว้ตรงนี้แล้วกัน คือจัสตินกลัวว่ากานต์มาอยู่ด้วยแล้ว ถ้าเพื่อนที่โรงเรียนรู้ว่าพ่อเลี้ยงตัวเองพิการ จะถูกกลั่นแกล้ง เพราะผู้หญิงไทยในความคิดของจัสตินก็ไม่ได้ฟังดูดี กลัวคนอื่นจะเข้าใจผิดว่าแม่ของกานต์แต่งงานกับตัวเองเพราะเงิน เลยขอให้ออสตินที่เพอร์เฟ็กต์ในทุกด้านจดทะเบียนแทน ออสตินยอมเพราะมีหนี้บุญคุณติดค้างไว้อยู่ (จัสตินกับออสตินเป็นพี่น้องคนละแม่ค่ะ เพิ่งมาเฉลยตอนนี้ ออสตินเป็นลูกที่เกิดจากโสเภณีที่พ่อไปมีความสัมพันธ์ด้วย แล้วแม่ออสตินมาขู่เอาเงินกับจะทำแท้ง แม่ของจัสตินเลยขอรับเลี้ยงออสตินเป็นลูกบุญธรรมแทนตั้งแต่ยังไม่เกิดมาลืมตาดูโลก)

ประมาณนี้นะ ซับซ้อนนิดนึง ฮา ตอนหน้าน่าจะได้เจอกันมะรืนนะคะ เดี๋ยวมาอัปให้เน้อ

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
หายใจไม่สุด ลุ้นตอนหน้าจัด

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ความคิดท่านพี่จัสตินล้ำเลิศจริงๆ นับถือๆ  o14

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
หนูแดงกลับมาแล้ววววว

ทั้งสองคนต่างก็รักกัน ตัองฝ่าฟันอุปสรรคไปได้แน่ค่ะ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 23: You are mine

เรื่องของเขากับกานต์ไม่ควรปล่อยไว้นานจนเป็นแผลเรื้อรัง ทันทีที่ตัดสินใจบินกลับมายังนิวยอร์ก ออสตินก็ติดต่อไปหาคนรอบข้างทันที แน่นอนว่าติดต่อไปยังบริษัทของเขาก่อนเป็นอันดับแรกเพราะเกรงว่าลูกน้องจะขวัญเสียด้วยจู่ๆ เขาก็หายตัวไปมากกว่านี้ ก่อนจะติดต่อไปยังจัสตินที่รอคำอธิบายว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงได้หายหัวไป

ออสตินนัดวันเวลาที่จะเข้าไปหาอีกฝ่าย พอกานต์รู้ก็อยากจะไปด้วยเพราะอยากเห็นว่า ‘พ่อเลี้ยงที่แท้จริง’ ของตัวเอง แต่ออสตินไม่เห็นดีนัก

“เอาไว้ให้ฉันสะสางปัญหาระหว่างฉันกับจัสตินได้ก่อน ถึงตอนนั้นแล้วจะพาเธอไป”

พูดมาอย่างนี้แล้ว กานต์จะไปดื้อรั้นอะไรได้ ยิ่งออสตินถามว่า...

“เธอคิดว่าฉันเผด็จการไหม”

คนถูกถามพยักหน้า

“จัสตินเป็นมากกว่าฉันหลายร้อยเท่า”

เท่านั้นกานต์ก็ไม่ตอแยแล้ว ขืนจัสตินเห็นหน้าเขาแล้วดื้อแพ่ง ยืนยันไม่ยอมท่าเดียว เขากับออสตินจะลำบากเอา ดังนั้นให้ออสตินไปคนเดียวก่อนนั่นล่ะดีแล้ว

เมื่อตกลงกันเสร็จเรียบร้อย ออสตินก็ไม่รอช้าที่จะมุ่งหน้าไปหาพี่ชายตนเองทันที จัสตินนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกอยู่แล้ว พอเห็นร่างสูงคุ้นตาโผล่เข้ามา เสียงทุ้มก็ดังขึ้นทันควัน

“หายหัวไปไหนมา”

“ผมมาที่นี่ก็เพื่อจะมาบอกพี่นี่แหละ”

ออสตินตอบรับเสียงเรียบ ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ทอดสายตามองไปยังจัสตินบนรถเข็นที่กำลังจ้องเขาเขม็ง

“ฉันหวังว่าจะได้รับคำอธิบายดีๆ จากนาย”

น้ำเสียงนั้นนิ่งเรียบไม่แพ้กัน แต่อย่างไรก็แฝงไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

ออสตินสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะว่าออกไปตามความจริง

“ผมพากานต์ไปฮาวาย”

“ฮาวาย?”

“พักร้อน”

จัสตินไม่เชื่อหรอกว่าพักร้อน มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น

“อย่ามาเล่นลิ้น บอกมาตามตรงว่านายกำลังคิดจะทำอะไร”

พี่น้องย่อมรู้กันเสมอ แม้ว่าออสตินจะเป็นน้องชายต่างมารดา แต่ทั้งคู่ก็เติบโตมาด้วยกัน ทำไมจัสตินจะไม่รู้ล่ะว่าคนตรงหน้าเจ้าแผนการที่ไหน บางครั้งเขาเองก็ยังตามความคิดของอีกฝ่ายไม่ทันด้วยซ้ำ

“ถ้าพี่อยากให้ผมบอกไปตามตรง ผมก็จะตอบตามตรง”

“...”

“ผมพากานต์ไปที่นั่นเพื่อขอแต่งงาน”

คำพูดนั้นเสมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางลำตัวของจัสติน ทันทีที่ได้ยิน ใบหน้านิ่งเรียบก็มีความไม่พอใจพร่างพราย

“นายว่ายังไงนะ”

“ผมขอกานต์แต่งงาน เราจะแต่งงานกัน”

ออสตินย้ำ ท่าทางยังคงนิ่งงัน ไม่กระโตกกระตากสักนิด จะมีก็แต่จัสตินเท่านั้นที่แผดเสียงขึ้นด้วยหมดความอดทน

“นายมันบ้าไปแล้ว!”

“ผมไม่ได้บ้า” ออสตินว่า “และผมก็ไม่ได้บังคับกานต์ด้วย ทุกอย่างเป็นไปด้วยความสมัครใจ”

ยิ่งฟัง จัสตินก็ยิ่งโมโห พลันก็กดเสียงต่ำ “แต่เด็กนั่นเป็นลูกเลี้ยงของนาย”

“เป็นของพี่ต่างหาก”

“ไม่ต้องมายอกย้อนฉัน ให้ตายเถอะออสติน! นายกำลังจะรับกานต์เป็นลูกบุญธรรมนะ ทำไมถึงได้ทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้!”

วกกลับเข้ามาพูดเรื่องนี้จนได้ ซึ่งออสตินก็เตรียมใจรับมือมาก่อน ก่อนจะเอาซองเอกสารที่ถือติดมือมาด้วยโยนลงบนโต๊ะกระจกตรงหน้า

“เรื่องนั้นมันจะไม่เกิดขึ้น”

จัสตินมองใบหน้าของน้องชายสลับกับซองเอกสารนั้น

“อย่าพูด...”

“ผมจะไม่รับกานต์เป็นลูกบุญธรรม ไม่ว่าอย่างไรมันก็จะไม่เกิดขึ้น แต่เราสองคนจะแต่งงานกันแทน พอกานต์อายุครบสิบแปด ผมกับเขาจะแต่งงานกัน”

ออสตินไม่ฟังคำห้ามปรามเลยสักนิด แม้ว่าจัสตินจะไม่อยากฟัง เขาก็ต้องพูดออกไปให้ชัดเจน และประโยคนั้นก็ทำให้คนฟังกัดฟันกรอดด้วยไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจู่ๆ ก็เกิดเรื่องบ้าๆ แบบนี้ขึ้นมาได้

“พระเจ้า นายมันบ้าไปแล้ว”

จัสตินดูหัวเสียอย่างถึงที่ทุกอย่างลงเอยแบบนี้ ยกมือขึ้นลูบใบหน้า ขณะที่ออสตินรอให้อีกฝ่ายสงบใจลงได้ครู่หนึ่งก่อน จากนั้นถึงได้เอ่ยขึ้นมาอีก

“ถึงพี่จะไม่เห็นด้วย แต่ผมขอบอกเลยว่าไม่ว่ายังไง ผมก็จะแต่งงานกับกานต์ เราไม่ได้เป็นพ่อลูกที่แท้จริงกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมแค่แต่งงานกับแม่เขา และตอนนี้เธอก็ตายไปแล้ว ผมจะแต่งงานกับลูกของเธอแทนมันก็ไม่ผิด”

“ใช่ ไม่ผิด แต่มันก็แค่ในทางกฎหมาย นายคิดบ้างหรือเปล่าว่าถ้านายแต่งงานกับกานต์ แล้วสังคมจะมองยังไง ไม่พ้นเด็กนั่นถูกตีตราจากคนในสังคมเหรอ”

จัสตินเป็นกังวลขึ้นมาอีกแล้ว ออสตินเองก็เข้าใจความกังวลของพี่ชายได้ดีเพราะเขาเองก็คิดเรื่องนี้ไว้เหมือนกัน

“ผมถึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากพี่ เพราะถ้าผมแต่งงานกับกานต์ มันจะต้องเป็นข่าวแน่” แน่ล่ะ ก็เขาเป็นพ่อมดแห่งวงการตลาดหลักทรัพย์ที่มีผู้หญิงมากมายจากสังคมคนมีชื่อเสียงหมายปองนี่ ไม่พ้นถูกนักข่าวเต้าข่าวเรื่องนี้อยู่แล้ว “ผมเลยอยากจะขอร้อง ถ้าผมแต่งงานกับกานต์เมื่อไร ผมจะแถลงข่าว และจะขอให้พี่ช่วยอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด”

“นายจะให้ฉันบอกกับคนอื่นๆ ว่าเป็นคนขอให้นายแต่งงานกับกนกกานต์...”

ออสตินพยักหน้ารับ ก่อนว่าเสียงเรียบ “เพื่อปกป้องกานต์”

ยิ่งฟัง จัสตินก็ยิ่งหัวเสีย เขาสบถคำหยาบคายออกมาสารพัด ออสตินรอให้อีกฝ่ายใจเย็นลงก่อน จากนั้นถึงได้ปริปากขึ้นอีกครั้ง

“ผมรู้ว่าพี่ไม่สบอารมณ์ที่เรื่องมันลงเอยแบบนี้ แต่ขอเถอะจัสติน พี่รักกนกกานต์ยังไง ผมก็รักกานต์อย่างนั้น ที่ผมตกปากรับคำแต่งงานกับเธอ นอกจากเรื่องคำขอของพี่กับเธอแล้ว พี่คิดว่าทำไมผมถึงยอมรับปาก”

ถึงตอนนี้จัสตินเงียบ รอให้น้องชายได้อธิบายเสริม

“เพราะผมรักกานต์ รักมาตั้งแต่ตอนนั้น พอพี่บอกว่าพี่กังวลว่ากานต์จะถูกรังแกเพราะมีพ่อเลี้ยงแบบ...” ว่าพลางผายมือไปยังจัสติน ไม่ต้องพูดก็รู้กันว่าหมายถึงสภาพร่างกายที่ไม่สมประกอบของพี่ชาย “ผมก็เลยยอมรับข้อเสนอ ถ้าไม่ใช่เพราะกานต์ ผมจะไม่มีวันแต่งงานกับผู้หญิงหรือคนที่ไม่ได้รักอย่างแน่นอน”

เป็นความในใจของออสตินที่เก็บงำมาหลายปี จัสตินก็ออกจะตะลึงงันอยู่ไม่น้อยที่ได้ยินเรื่องนี้ เขาไม่เคยรู้เลยว่าคนมีสักเป็น ‘อา’ อย่างออสตินจะคิดแบบนี้มาก่อน มิหนำซ้ำ ตอนนั้นกานต์ยังอายุแค่...

“นายรักกานต์มาตั้งแต่ตอนที่เขาอายุสิบห้า...”

ออสตินพยักหน้า ไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด และนั่นทำให้จัสตินกังวลขึ้นมาน้อยๆ

“ตอนนี้ได้อยู่ด้วยกัน แต่กานต์ยังอายุแค่สิบเจ็ด นายบอกกับฉันว่าเด็กนั่นตกปากรับคำขอแต่งงานของนาย อย่าลอกฉันนะว่า...”

“ผมยังไม่ได้ทำอะไร”

ราวกับรู้ว่าพี่ชายจะถามอะไร ซึ่งใช่...เขายังไม่ได้ทำอะไร แต่หมายถึงแค่เรื่องการมีความสัมพันธ์ทางกายลึกซึ้งอย่างที่คนรักกระทำกันเท่านั้น เรื่องที่กระทำแต่ภายนอกนั้น เขาไม่ได้พูดถึง และจัสตินก็ไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไรหรอก แต่ด้วยความที่พื้นฐานนิสัยของออสตินไม่ใช่คนขี้โกหกและเป็นจริงจัง แค่สบตาก็ทำให้ยอมรับคำพูดนั้นแล้ว

“ดี ฉันเองก็ไม่อยากเห็นนายถูกจับในข้อหาพรากผู้เยาว์เหมือนกัน”

เหมือนจะเป็นมุกตลก แต่มันไม่ขำเลยสักนิด ขณะที่ออสตินเพิ่มความมั่นใจให้

“ผมจะไม่ทำอะไรเขาจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ”

จัสตินพยักหน้า สูดลมหายใจเข้าปอด เหยียดตัวตรง

“แล้วนายอยากจะบอกอะไรฉัน”

ในที่สุดก็เข้าเรื่องอีกครั้ง อันที่จริงออสตินก็บอกไปหมดแล้ว แต่เขาจะยืนยันความชัดเจนในความต้องการของตัวเองและกานต์อีกครั้งก็ได้

“ผมจะแต่งงานกับกานต์ และผมสัญญาว่าจะดูแลกานต์เป็นอย่างดีตามอย่างที่พี่กับกนกกานต์ตั้งใจไว้ ดังนั้นขอเถอะ อย่าบังคับให้ผมต้องทำโน่นทำนี่ตามใจพี่อีกเลย ตลอดมาผมทำตามคำขอร้องของพี่ทุกอย่าง แต่ครั้งนี้ผมจะขอทำตามความต้องการของตัวเอง จัสติน...” เว้นจังหวะไปครู่ ดวงตาจ้องมองใบหน้าของพี่ชายนิ่ง “...ผมรักกานต์”

เท่านั้นจัสตินก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยยอมแพ้ ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะยอมง่ายๆ แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว ตลอดมาออสตินก็ไม่เคยร้องขออะไรเพื่อตัวเองเลยสักครั้ง ทุกอย่างที่ออสตินกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามารับหน้าที่ดูแลบริษัทแทนเขาในระหว่างที่รักษาตัวจากอุบัติเหตุจนบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งแต่งงานกับกนกกานต์ และรับปากว่าจะเป็นพ่อเลี้ยงที่ดีให้กับกานต์ ล้วนแล้วเป็นไปเพราะความต้องการของจัสตินทั้งสิ้น

บางที...อาจจะได้เวลาที่ให้ออสตินได้มีชีวิตเป็นของตัวเองได้แล้ว

“บอกตามตรงนะออสติน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉันทำใจได้ยากที่สุดในชีวิตเรื่องนึงเลย ขอเวลาฉันหน่อยแล้วกัน จนกว่าฉันจะเลิกมองว่านายเป็นพ่อเลี้ยงของกานต์ได้ ส่วนไอ้เรื่องที่ต้องไปแถลงข่าวอะไรกับนายนั่น ขอฉันคิดดูหน่อย”

ถึงจะไม่เห็นด้วยตามตรง แต่นั่นก็ชัดเจนแล้วว่าไม่คัดค้านเรื่องที่ออสตินปฏิเสธการรับกานต์เป็นบุตรบุญธรรม

คนฟังยกยิ้มมุมปากขึ้นมาน้อยๆ แค่นี้ในอกดีใจอย่างถึงที่สุดแล้ว เขาอยากจะบอกเรื่องนี้กับกานต์ในวินาทีนั้นเลย ทว่าก็ได้แต่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ บอกกับพี่ชายด้วยความรู้สึกที่ตื้นตัน

“ขอบคุณมากจัสติน...ขอบคุณ...”

และเขาก็หวังว่าทุกอย่างหลังจากนี้จะราบรื่นตลอดไป

กานต์...จะได้เป็นของเขาในฐานะ ‘คู่ชีวิต’ ไม่ใช่ ‘ลูกเลี้ยง’ อย่างที่เคยเป็น

 

เรื่องน่ายินดีที่สุดในชีวิตของกานต์ช่วงนี้ก็คือการได้ยินคำบอกเล่าจากปากคนรัก ฟังสิ่งที่ออสตินเล่าไปก็ทำตาโตไป ยิ้มกว้างเป็นระยะ ขณะที่ออสตินก็มีความสุขจนไม่สามารถพรรณนาออกมาเป็นคำพูดได้

พวกเขากำลังจะเป็นของกันและกัน... ไม่ใช่พ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยงอีกต่อไป

พวกเขารักกัน...

และความจริงนี้ก็ทำให้คนที่มีความอดทนสูงอย่างออสตินอดทนรอไม่ไหวสักเท่าไรนัก ถึงจะรู้ว่าต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม แต่เพราะคิดไปก่อนหน้าแล้วว่าเขาจะทำอะไรกับกานต์บ้างเมื่อถึงวันเกิดอายุครบสิบแปดปี เขาก็อดไม่ได้ที่จะกอดรัดปรนเปรอร่างกายของเด็กหนุ่มทุกวี่วัน โดยปกติแล้วจะเป็นกานต์ที่เข้าหา แต่หลังกลับมาจากบ้านของออสตินในวันนั้น ก็ดูเหมือนว่าออสตินจะเป็นฝ่ายเข้าหาแต่ผู้เดียว

ไม่ใช่ว่ากานต์ไม่ชอบ แต่...บางครั้งถ้ามันเยอะมากเกินไป เขาก็รับไม่ไหวเหมือนกัน

ออสตินทั้งกอด ทั้งจูบ ลูบไล้ตะโบมไปทั่วสัดส่วนของร่างกาย ใช้ปลายนิ้วเข้าสำรวจช่องทางเร้นรับ ปรนเปรอความสุขให้ทุกครั้งที่มีโอกาส...ไม่สิ อาจจะเรียกว่าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันสองคนเลยก็ว่าได้ สิ่งนั้นทำให้กานต์กระอักความสุขจนสำลักครั้งแล้วครั้งเล่า

วันนี้ก็เช่นกัน แม้จะรู้ว่ามันเป็นวันแรกที่กานต์จะไปโรงเรียนหลังจากหยุดมาหลายวัน ออสตินก็ไม่วายอดใจไม่ไหว พอเห็นเด็กหนุ่มก้าวออกจากบ้าน เขาก็รีบจ้ำพรวดๆ ไปคว้าข้อมือของกานต์เอาไว้ พออีกฝ่ายหันมามอง ตั้งใจจะถามว่ามีอะไร แต่ก็ไม่ทันจะได้พูด ถูกออสตินลากกลับเข้ามาในบ้านเสียแล้ว

ทันทีที่ประตูบ้านปิดลง ริมฝีปากหนาก็บดจูบลงมาบนกลีบปาก มือสอดเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตของเด็กหนุ่ม หยอกเย้าตุ่มไตจนชูชัน กานต์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวผลักอกแกร่งให้ออกห่างเล็กน้อยเพราะหายใจไม่ออก แต่กลับกลายเป็นว่าถูกออสตินอุ้มขึ้นไปนั่งบนตู้ใส่รองเท้า แทรกตัวเข้ามาระหว่างขาแล้วจูบพรมไปทั่วใบหน้า ใบหู และลำคอ

สงสัยวันนี้คงจะไม่ได้ไปโรงเรียนแล้วล่ะมั้ง?

“ดะ...แด๊ดดี้ครับ” เด็กหนุ่มครางเรียกเสียงแผ่วเมื่อตระหนักขึ้นได้ว่าเขาจะปล่อยให้ออสตินทำตามใจไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้น เขามีปัญหาเรื่องเรียนแน่

“หืม?” คนถูกเรียกตอบรับทั้งที่ใบหน้ายังไม่ละออกมาจากซอกคอหอมกรุ่น ระเรื่อยริมฝีปากไปตามผิวบางๆ อย่างกระหาย

“ผะ...ผมต้องไปโรงเรียน...” กานต์ข่มความเสียวซ่านที่รุกรานตนอยู่แค่นเสียงออกไปอีกครั้ง

“ก็ไปสิ”

“แด๊ดดี้กอดผมแน่นอย่างนี้ ผมจะไปได้ยังไงล่ะครับ”

ตอนนี้เองที่ออสตินชะงัก ยอมผละออกมาจนได้ พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่ากานต์จับจ้องเขาด้วยสายตาฉ่ำหวานเพราะก็เกิดอารมณ์สวาทเหมือนกัน ใบหน้าขาวนวลก็แดงเรื่อขึ้นมาน้อยๆ ด้วยเขินอายและเลือดสูบฉีดอย่างรุนแรงที่จู่ๆ ก็ถูกออสตินดึงกลับเข้ามาในบ้าน ก่อนจะปลุกปล้ำเสียจนเสื้อผ้าหลุดลุ่ยอย่างนี้

“ขอโทษทีนะ มันเผลอไปหน่อย”

ทั้งที่พูดออกไปอย่างนั้น แต่สีหน้ากลับไม่ได้ดูสำนึกผิดเลยสักนิด มีรอยยิ้มระบาย ดวงตาพราวระยับคล้ายกับเสือตัวโตที่กำลังหยอกล้อกับเหยื่อที่จับได้

“งั้นก็ปล่อยผมได้แล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ต้องไปโรงเรียนมันกันละ ไม่มีแรงแล้ว”

ออสตินหัวเราะออกมา เขาพอจะเข้าใจความหมายที่เด็กหนุ่มสื่ออยู่ ไม่แปลกหรอกถ้ากานต์จะพูดอย่างนี้ ก็เมื่อคืนเขาเองก็ปรนเปรอให้จนกานต์โอดครวญว่าไม่ไหวแล้วนี่นา เช้าขึ้นมาก็ตั้งท่าจะทำอีก ถึงจะมีแรงมากแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าจะทำเรื่องอย่างว่าได้ตลอดสักหน่อย...ถึงเรื่องอย่างว่ามันจะเป็นการที่ออสตินทำให้กานต์สุขสมแค่ฝ่ายเดียวก็เถอะ

“ก็ได้ ฉันเองก็ไม่อยากให้เธอเสียการเรียน”

ได้ยินแล้ว กานต์ก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อออสตินหรี่ตามองเขา

“แต่ก่อนไป ฉันขอทำหลักฐานไว้หน่อยว่าเธอเป็นของฉัน”

พูดจบก็ประทับจูบลงมาบนต้นคอ ทำเอากานต์ต้องร้องปรามเป็นพัลวัน

“ที่คอไม่ได้นะครับ”

ออสตินรู้หรอก แค่แกล้งให้กานต์โวยวายไปอย่างนั้นแหละ เขาออกจะชอบเวลาเห็นท่าทางตื่นตระหนกของเด็กคนนี้ ก่อนจะไล่พรมจูบลงต่ำไปยังแนวไหปลาร้าที่เผยมาให้เห็นหลังจากถูกเขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต พลันดูดดุนจนเกิดรอยแดงเรื่อขึ้นมา

แค่รอยเดียวคงจะไม่พอ ออสตินจัดการทำหลักฐานไม่ต่ำว่าสามรอย พอผละออกมาแล้ว กานต์ก็มุ่ยหน้า

“กลัวผมไม่รู้เหรอว่าผมเป็นของแด๊ด”

ออสตินยกยิ้ม “ใช่ กลัวไม่รู้” ก่อนจะกระซิบลงมาที่ใบหูแผ่วเบา “ฉันเลยต้องย้ำให้มันชัดๆ หน่อยว่าเธอเป็นของฉัน”

เสียงหัวเราะเบาๆ ของเด็กหนุ่มดังขึ้น สองมือประคองใบหน้าคร้ามที่อยู่ใกล้เพียงคืบ

“ไม่ต้องย้ำ ผมก็เป็นของแด๊ดดี้อยู่แล้ว”

สิ้นเสียง กลีบปากบางก็ถูกกลืนกินอีกครั้ง คราวนี้กานต์ตอบรับจุมพิตนั้นอย่างรู้งาน ทำให้ออสตินต้องเป็นฝ่ายเตือนตัวเองไม่หยุด เพราะไม่อย่างนั้น...

“ถ้าเธอยังจูบตอบฉันแบบนี้ ฉันรับประกันได้ว่าวันนี้เธอไม่ได้ไปโรงเรียนแน่”

กานต์เลยจำต้องหยุด เม้มริมฝีปากราวกับกลั้นยิ้ม ก่อนจะว่าออกมาเมื่อเห็นว่าออสตินดูไม่สบอารมณ์สักเท่าไรที่ต้องหยุดกลางคัน

“ผมจะมาชดเชยให้หลังเลิกเรียนนะครับ”

ออสตินพยักหน้า สั่งกำชับ “เลิกเรียนแล้วกลับบ้านทันที เข้าใจไหม”

“รับทราบ” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นตะเบ๊ะด้วยสีหน้าร่าเริง เรียกรอยยิ้มให้กับคนมองได้เป็นอย่างดี

“ไว้เจอกันเย็นนี้”

ออสตินประทับจูบลงบนหน้าผากมน ช่วยกานต์แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วปล่อยให้ไปโรงเรียนได้ กานต์โบกมือเป็นการบอกลา ก่อนจะเดินหายจากหน้าบ้านไป ทิ้งให้ออสตินมองตามแล้วระบายลมหายใจน้อยๆ กับความต้องการของตนเองที่พลุ่งพล่านขึ้นมาราวกับสัญชาตญาณสัตว์ป่า

สงสัยคงจะต้องรออีกสักพักหนึ่งถึงจะออกไปทำงานได้

เด็กคนนั้นมีอิทธิพลกับเขาไปเสียทุกอย่างจริงๆ...

 

การมาโรงเรียนในวันแรกหลังจากที่หายหน้าหายตาไปหลายวันทำให้กานต์รู้สึกประหลาดอยู่ไม่น้อย และยิ่งประหลาดกว่าเมื่อกลับมาเรียนในความรู้สึกว่าอยากให้ตัวเองเรียนจบเร็วๆ

เพราะนั่น...หมายความว่าเขาจะอายุถึงสิบแปดและแต่งงานกับออสตินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

คิดแล้วก็อมยิ้มอยู่คนเดียวอย่างเปี่ยมสุข โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าระหว่างที่เดินเข้าห้องเรียนไปนั้น เจ้าแก๊งนักฟุลบอลได้วางกับดักล่อผู้โชคร้ายไว้อยู่ พอเขาก้าวเข้าไป ขาก็เกี่ยวเอากับเชือกที่ผูกติดถังน้ำและวางไว้อยู่เหนือประตูเข้าให้อย่างจัง ถังน้ำนั้นล้มตะแคง ปล่อยให้ของเหลวในนั้นเทราดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าจนเปียกปอน

เสียงเฮโลด้วยความคะนองดังขึ้น ก่อนที่จะเงียบงันเมื่อเห็นว่า...

“คาร์ล?”

“พระเจ้า! เป็นอะไรไหม!”

...แกล้งผิดคน

กานต์ที่ยังงุนงงอยู่ได้แต่ยืนนิ่ง ก่อนจะรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อมีเสียงใครบางคนดังขึ้นด้านหลัง

“โวยวายอะไรกัน เฮ้ย! คาร์ล นายโอเคไหม”

เป็นเสียงของเจฟฟรี่ย์ กานต์หันไปมองก็พบว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะตอบเสียงเบา

“ไม่เป็นไร แต่เปียก ฮ่ะๆ”

ยังจะมีหน้ามาหัวเราะกลบเกลื่อนอีก ขณะที่เจฟฟรี่ย์เห็นสภาพของคนที่ตัวเองคิดถึงมาตลอดหลายวันนี้ดูไม่ได้ก็หันไปมองพวกตัวการด้วยสายตาดุดัน

“ทำบ้าอะไรของพวกนาย”

“พวกฉันคิดว่าเป็นนายนี่หว่า เห็นบอกว่ากำลังจะเข้าห้องเรียนก็เลยทำกับดักไว้รอ”

“เออ ไม่คิดว่าจะมีเหยื่ออื่นมาติดกับดักแทน”

เจ้าพวกตัวร้ายพากันเออออเป็นปี่เป็นขลุ่ย เจฟฟรี่ย์หัวเสียอยู่ไม่น้อย แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่เจ้าพวกนี้รวมหันกันวางแผนแกล้งเขา แต่เป็นเพราะเหยื่อที่มาติดกับแทนเขาคือกานต์ต่างหาก

“เดี๋ยวฉันมาจัดการพวกนายทีหลัง” เจฟฟรี่ย์ว่าเสียงเขียว ก่อนหันไปหากานต์ “ไปที่ชมรมกันเถอะ”

“ฉันไม่เป็นไร”

กานต์รีบว่า แต่แล้วก็ต้องปิดปากสนิทเมื่อเจฟฟรี่ย์มองมาด้วยสีหน้าตึงเครียด

“ไม่เป็นไรน่ะใช่ แต่นายต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปกับฉัน จะเอาชุดวอร์มให้ยืม”

ไม่พูดเปล่า เป็นฝ่ายดึงแขนกานต์ให้เดินตามด้วย เข้าอีหรอบนี่แล้วจะปฏิเสธอย่างไรได้อีก จำต้องเดินตามไปอย่างไม่มีปากเสียง

 

เมื่อมาถึงยังห้องชมรมฟุตบอล เจฟฟรี่ย์ก็ไม่รอช้าที่จะหาเสื้อผ้ามาให้กานต์เปลี่ยน ชุดวอร์มของทีมฟุตบอลประจำโรงเรียนไซส์เล็กที่สุดถูกส่งให้กานต์ถือ ขณะที่เจฟฟรี่ย์มองสภาพเปียกปอนของคนตรงหน้าอย่างหัวเสีย

“เจ้าพวกนั้น ให้ตาย หงุดหงิดชะมัด”

กานต์พอจะเข้าใจว่าทำไม เขารู้ตัวดีว่าเจฟฟรี่ย์ชอบเขา คนที่ชอบถูกแกล้งแทนตัวเอง ไม่แปลกที่เจฟฟรี่ย์จะอารมณ์ไม่ดี

“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าก็เรียบร้อยแล้ว”

กานต์พยายามทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ดี แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ช่วยอะไรเลย เพราะนอกจากเจฟฟรี่ย์จะอารมณ์เสียที่เห็นคนที่ตัวเองชอบเปียกโชกแล้ว เขายังรู้สึกหึงหวงขึ้นมาน้อยๆ เพราะสภาพของกานต์ในตอนนี้น่ะ...เซ็กซี่เป็นบ้า!

เสื้อเชิ้ตสีขาวเปียกๆ นั้นลู่แนบเนื้อจนเห็นข้างใน เขาเหลือบมองกานต์ที่เขย่าคอเสื้อตัวเองไปมาเพราะรู้สึกเขินอายแล้วก็พ่นลมหายใจ ก่อนจะพูดเร็วๆ

“รีบๆ เปลี่ยนแล้วกัน เห็นนายอยู่ในสภาพนี้แล้วฉันอารมณ์ไม่ดีเท่าไร”

กานต์หัวเราะ ท่าทางของเจ้าหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ยามหงุดหงิดก็น่ารักดี

“งั้นขอผ้าเช็ดตัวหน่อยสิ จะได้เอามาซับน้ำ”

เจฟฟรี่ย์พยักหน้ารับ เดินไปหยิบให้ ปล่อยให้กานต์ปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด พอเดินกลับมาก็ส่งเสียง

“อะ ผ้าเช็ดตัว”

แต่แล้วก็ต้องชะงักงันไปเมื่อเห็นว่าภายใต้เสื้อเชิ้ตเปียกๆ นั้น มีบางอย่างที่มากกว่าความเซ็กซี่อยู่

บางอย่างที่...ดูแล้วไม่น่าจะเกิดขึ้นเองได้

กานต์ที่กำลังจะถอดเสื้อออกชะงัก รีบตะครุบสาบเสื้อเข้าหากันก่อนที่รอยคิสมาร์กซึ่งออสตินแสดงความเป็นเจ้าของจะถูกเปิดเผย เพราะเขาเองก็เพิ่งรู้สึกตัวเหมือนกันว่ารอยนี้ไม่สมควรเผยให้ใครเห็น

แต่...ไม่ทันแล้ว เจฟฟรี่ย์เห็นเต็มสองตา พลันก็เกิดรู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วร่าง ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายบีบรัด

ใคร!

ใครเป็นคนทำ!

แต่ก็ยังเก็บความรู้สึกไว้ การโพล่งถามกานต์ออกไปตามตรงเลยไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดแน่ เพราะเขาไม่ได้เป็นอะไรกับกานต์ มีเพียงสถานะ ‘เพื่อน’ เท่านั้น ดังนั้นถ้ากานต์จะไปทำอะไรกับใคร เขาก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย

เจฟฟรี่ย์ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง พลันก็นึกออกว่าสมควรถามอะไร ก่อนออกปากเรียกคนที่กำลังหันหลังถอดเสื้อให้เขา

“คาร์ล”

“หืม?”

“ขอถามอะไรหน่อย”

“ว่ามาสิ”

“นายหยุดเรียนไปไหนมา”

คนถูกถามนิ่งไปเล็กน้อย เหลียวใบหน้ามามอง

“ถามทำไมเหรอ”

“ฉันก็แค่อยากรู้”

เจฟฟรี่ย์พยายามแสดงสีหน้าให้เป็นปกติที่สุดเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ว่ากำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างรุนแรง ขณะที่กานต์เองก็ครุ่นคิดไปครู่ว่าควรบอกดีหรือไม่

แต่...ถึงจะไม่บอกเจฟฟรี่ย์ ทว่าตอนที่เขาหยุดเรียน เขาก็แจ้งกับครูที่ปรึกษาไว้แล้วว่าไปทำธุระกับพ่อเลี้ยง ดังนั้นถ้าจะบอกเจฟฟรี่ย์ไปตามตรงก็คงไม่เป็นอะไร

“ฉันไปฮาวายน่ะ”

“กับใคร”

“ถามแปลกๆ ก็กับแด๊ดดี้สิ”

ได้ยิน ในใจของเจฟฟรี่ย์ก็เต้นระส่ำ

ไปกับออสติน...กับพ่อเลี้ยง ความจริงก็ดูไม่น่ามีอะไรแปลกประหลาด แต่เท่าที่เขาจำได้ ฮาวายนั่นเหมือนจะมีบ้านพักตากอากาศของออสตินอยู่ กานต์ไปกับเขาแล้วกลับมาพร้อมกับรอยคิสมาร์กพวกนั้น

หรือว่า...

“มีอะไรหรือเปล่า”

เสียงของกานต์เรียกให้เจฟฟรี่ย์หลุดออกจากภวังค์ความคิด เขามองใบหน้านวลของอีกฝ่ายก่อนจะตอบเสียงเรียบ

“เปล่า”

กานต์เองก็ไม่เอะใจ แค่รู้สึกว่าเจฟฟรี่ย์ดูนิ่งผิดปกติก็เท่านั้น ก่อนคิดไปเองว่าคงเป็นเพราะยังหงุดหงิดที่เพื่อนๆ ของเขาแกล้งผิดคนไม่เลิก จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก

“งั้นเดี๋ยวฉันรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน จะได้รีบไปเข้าเรียนกัน ใกล้เวลาเริ่มคาบแรกแล้ว”

จากนั้นก็ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ กันอีก มีแต่สายตาของเจฟฟรี่ย์เท่านั้นที่จับจ้องไปยังเพื่อนของตนด้วยความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม

หึงหวง...เขากำลังหึงหวงเป็นอย่างมาก

เพิ่งรู้ในตอนนี้เองว่าตนชอบกานต์มากแค่ไหน เขาจะไม่ยอมให้กานต์ไปเป็นของคนอื่นแน่

นายเป็นของฉัน...คาร์ล

เป็น – ของ – ฉัน!

---------------------------

เขียนไปเขียนมาก็แอบยาวเหมือนกันนะเรื่องนี้ ท่าทางจะต้องเป็นเล่มหนาแน่ๆ ค่ะ ฮา

ฝากฟีดแบ็กไว้ด้วยเน้อ เจอกันอีกทีพรุ่งนี้ค่ะ


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จะมีปรากฏการณ์แย่งชิงกันแล้วซินะ   :katai2-1:

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
โทษทีนะเจฟฟรี่ กานต์เป็นของแด๊ดจ้ะ เสียใจด้วยนะ

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
เจฟฟรี่.....จะสงสัยในตัวแด๊ดดี้ป่าว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด