ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]  (อ่าน 35152 ครั้ง)

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
แอร๊ยยยย

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
โอ้วววว นี่แด๊ดดี้ไม่ได้อ่อยอยู่ใช่ไหมคะ?

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
จะร้อง
ทำไมมันขมขื่น

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
แดดดี้ ก็มองในมุมผู้ใหญ่อะเนอะ  :z2:

ออฟไลน์ fahdekkom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
แดีดไม่ควรทำแบบนี้ กานต์คงทำตัวลำบากกว่าเดิมอีก

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
กานต์ดูหยุดความรู้สึกตัวเองได้ยากแล้วนะนั่น แล้วแดดดี้จะทำอย่างไงต่อไป

ออฟไลน์ Minzero

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

แด๊ดดี้!! :z3:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 7: New friend

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้กานต์คิดไม่ตก เขากลัวเหลือเกินว่าการกระทำของตนเองจะเป็นเหตุที่ทำให้มองหน้าออสตินไม่ติด แค่ไม่ได้ทำอะไร เขาก็รู้สึกว่าการเข้าหาผู้ชายคนนั้นมันยากมากพออยู่แล้ว แต่นี่... เขาถึงกับดูดดุนนิ้วหัวแม่มือของอีกฝ่ายราวกับว่ามันเป็นโลลิป็อป

ไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไรตอนอยู่ต่อหน้าพ่อเลี้ยงแล้ว...

ทว่าออสตินกลับทำทุกอย่างเหมือนเช่นทุกวัน วันใหม่มาถึง เขาก็พูดคุยกับกานต์ราวกับเรื่องเมื่อวานไม่เคยเกิดขึ้น ทำเอาเด็กหนุ่มที่หวาดหวั่นในเรื่องนี้พอจะผ่อนคลายลงมาได้บ้าง

แต่...ก็แค่ได้บ้าง ในใจของเขายังตะขิดตะขวงอยู่

ออสตินไม่คิดหรือรู้สึกอะไรกับสิ่งที่เขาทำลงไปเมื่อวานนี้บ้างเลยเหรอ?

ปากอยากจะถามนัก แต่เมื่อเห็นออสตินไม่พูด กานต์ก็ไม่กล้าเอ่ยปาก ได้แต่ชำเลืองมองชายหนุ่มที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา สายตาไล่ไปบนหน้าจอแท็บเล็ตตรวจสอบกราฟหุ้นประจำวันอยู่ เมื่อรู้ตัวว่าถูกดวงตาคู่สวยของลูกเลี้ยงจ้องมอง ออสตินถึงได้ละสายตาเพื่อหันกลับไปมองบ้าง

“มีอะไรอยากจะพูดงั้นเหรอ”

กานต์สะดุ้ง จะเสแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรก็คงจะไม่ทันแล้ว จึงได้แต่อึกๆ อักๆ

“คือผม...”

“อยากจะพูดเรื่องเมื่อวานใช่ไหม”

คำถามตรงๆ ทำให้กานต์ไม่กล้าปฏิเสธ พยักหน้ารับเซื่องๆ ออสตินวางแท็บเล็ตลงบนตัก ว่าด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“ไม่ต้องคิดมาก ฉันกับเธอไม่ได้ผูกพันกันมา ไม่แปลกหรอกถ้ามันจะมีความรู้สึกแปลกๆ โผล่มาให้เห็นบ้าง เธอเองก็ยังเป็นวัยรุ่น มันเลี่ยงไม่ได้ถ้าหากมันจะเกิด”

“...”

“แต่ก็อย่างที่บอก ตอนนี้เราเป็นครอบครัวกันแล้ว มันไม่ควรมีความรู้สึกแบบนั้น ถ้ากลัวว่าฉันจะโกรธล่ะก็ เธอทำใจให้สบายแล้วเอาเวลาไปเตรียมตัวให้พร้อมเถอะ พรุ่งนี้ไปโรงเรียนวันแรกไม่ใช่หรือไง”

“ครับ”

ฟังแล้วกานต์ก็พอจะสบายใจขึ้นมาอยู่บ้าง ออสตินมักมีคำพูดที่ชาญฉลาดมาพูดให้เขาสบายใจได้เสมอ ซึ่งนั่นมันได้ผล สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือถูกออสตินโกรธ ทว่านอกจากจะไม่โกรธแล้ว ออสตินยังไม่สร้างบรรยากาศน่าอึดอัดระหว่างเขาทั้งสองอีกต่างหาก

“อยากได้อะไรเพิ่มเติมไหม เครื่องเขียน สมุดโน้ต...”

จากนั้นก็เบี่ยงประเด็นเพื่อไม่ให้จมอยู่กับหัวข้อนั้นนานเกินไป

“ผมเตรียมหมดเรียบร้อยแล้วครับ”

“อืม ฉันชอบเด็กมีความรับผิดชอบ”

ถึงกานต์จะบอกให้ตัวเองไม่ให้คิดวุ่นวายฟุ้งซ่านกับคนตรงหน้าอย่างที่เคยทำ แต่เมื่อได้ยินคำชม หัวใจของเขาก็พองโตขึ้นมาแม้ว่ามันจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ออสตินชมเขาในเรื่องนี้ก็ตาม

“พรุ่งนี้ฉันจะไปส่งเธอ เลิกเรียนแล้วจะไปรับ พอเธอเริ่มคุ้นชินแล้วถึงจะให้เธอไปกลับเอง มีปัญหาอะไรไหม”

“ทำไมผมถึงต้องมีปัญหาด้วยล่ะครับ”

“เผื่อเธอไม่อยากให้ฉันไปรับ อายุสิบเจ็ดแล้วยังมีผู้ปกครองไปคอยรับคอยส่ง บางทีมันก็น่าอาย”

สำหรับเด็กอเมริกันอาจจะใช่ แต่สำหรับกานต์แล้ว เขาไม่อายเลย ดีเสียอีกที่ผู้ชายคนนี้ใส่ใจเขาถึงขนาดนั้น เขาออกจะยินดีด้วยซ้ำ

“ไม่อายครับ”

“อืม”

“แต่ถ้าแด๊ดดี้ไม่สะดวก ผมก็ไม่มีปัญหา ไปกลับเองได้ครับ”

แล้วก็ว่าอย่างเกรงใจทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ได้พูดอะไรด้วยซ้ำ ทำเอาออสตินเหลือบมองแล้วถามนิ่งๆ

“ฉันบอกเธอแล้วเหรอว่าไม่สะดวก”

กานต์นิ่งงันไปบ้าง พลันส่ายหน้า “เปล่าครับ”

“งั้นก็แสดงว่าสะดวก ฉันจะไปรับส่งเธอจนกว่าเธอจะคุ้นเคยเส้นทาง”

คราวนี้ไม่ปฏิเสธหรือพูดสิ่งใดออกไปแล้ว กานต์พยักหน้ารับ ขณะที่ออสตินระบายยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางเซื่องๆ ของเด็กหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะเบนความสนใจกลับมาที่แท็บเล็ตบนตักของตัวเองอีก ปล่อยให้กานต์ได้ทอดมองพลางพร่ำบอกกับตนเองในใจ

เท่านี้...เพียงความรู้สึกเท่านี้ กานต์ก็หลงคิดไปว่ามันมากเพียงพอแล้ว

ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นพ่อเลี้ยง เป็นสามีของแม่ ไม่ควรที่จะคิดเกินเลยไปกว่านี้อีกแล้วล่ะ

 

วันใหม่มาถึง กานต์รีบตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการไปโรงเรียนวันแรก โรงเรียนของเขาอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านที่อยู่มากนัก สามารถเดินเท้าไปที่โรงเรียนได้โดยใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที หากขึ้นรถบัสที่ถนนหน้าหมู่บ้านก็ใช้เวลาเพียงสิบนาทีเท่านั้น เรียกได้ว่าการไปมาสะดวกสบาย ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ออสตินไปรับไปส่งด้วยซ้ำ แต่ออสตินก็ดึงดันว่าจะไปส่ง โดยบอกกับเด็กหนุ่มว่าวันนี้เขาจะต้องเข้าไปคุยกับครูใหญ่ของโรงเรียนด้วย เนื่องจากว่ากานต์มาเข้าเรียนกลางคัน จึงต้องมีการพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียนสักหน่อย

กานต์ก็ไม่ได้มีปัญหา เขาไม่ค่อยรู้เรื่องระบบการศึกษาในระดับไฮสกูลสักเท่าไรหรอก ออสตินบอกให้ทำอย่างไร เขาก็ทำอย่างนั้น กระทั่งผู้ปกครองของเขาคุยธุระกับครูใหญ่เสร็จสิ้นถึงได้ออกมาพบเขาที่นั่งรออยู่ข้างหน้าห้องครูใหญ่อีกครั้ง

“เดี๋ยวที่ปรึกษาของเธอจะพาไปที่ห้องเรียน”

ออสตินว่า ด้านหลังของเขามีผู้หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีอยู่ กานต์พอจะเดาได้ว่าเจ้าหล่อนคืออาจารย์ที่ปรึกษาที่ว่า

“แล้วเดี๋ยวฉันจะมารับ”

ความสนใจของเด็กหนุ่มถูกดึงกลับไปอีกครั้ง ก่อนที่จะต้องใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อมือใหญ่ของอีกฝ่ายวางลงมาบนศีรษะแผ่วเบา

“เป็นเด็กดี ไว้ตอนเย็นค่อยเจอกัน”

รอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มอีกครั้ง พลันบอกลาออสตินที่เดินห่างออกไปทีละน้อย

ถึงจะบอกกับตัวเองเพียงใดว่าไม่ควรคิดกับผู้ชายคนนั้นไปมากกว่าคนในครอบครัวเดียวกัน พร่ำบอกว่าเขาเป็นพ่อเลี้ยง เป็นสามีของแม่อย่างไร มันก็เหมือนจะสูญเปล่า ในเมื่อในใจของเขายังคงพร่ำเรียกหาอีกฝ่ายไม่หยุดหย่อน ยิ่งกลิ่นหอมอันเป็นกลิ่นประจำตัวของเขาลอยอบอวลเข้ามาในจมูก กานต์ก็ต้องกำมือแน่นด้วยพยายามควบคุมความรู้สึกของตัวเองไม่ให้เตลิดไปไกลกว่านี้

“ไปกันได้แล้วจ้ะคาร์ล”

สติทั้งมวลถูกดึงกลับมาโดยอาจารย์ที่ปรึกษา กานต์อยากจะขอบคุณหล่อนเป็นร้อยเป็นพันครั้งที่กระชากเขาออกมาจากหลุมของความฝันเฟื่องได้ ตอนนี้กานต์ประจักษ์แล้วว่าความยากของการใช้ชีวิตในต่างแดนไม่ใช่เรื่องการปรับตัวให้เข้ากับสังคมของที่นี่หรือการเรียนการสอนที่ไม่คุ้นชิน แต่เป็นการอยู่ร่วมกับผู้ชายที่เขาหลงเสน่ห์อย่างเต็มเปาคนนั้นต่างหาก

เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก้าวตามหลังอาจารย์ที่ปรึกษาไปยังห้องเรียน

ถึงเขาจะทำตัวไม่ดีไปเมื่อวาน แต่วันนี้เขาจะเป็นเด็กดีอย่างที่เคยเป็น

จะไม่ทำอะไรบ้าๆ อีกแล้ว...

 

ถึงจะบอกว่าการเรียนการสอนนั้นไม่ยากลำบากเท่ากับการอยู่กับออสติน แต่เอาเข้าใจก็ทำหืดขึ้นคออยู่เหมือนกัน นอกจากสำเนียงการพูดของออสตินและมาเรียแล้ว เขาก็ดูเหมือนจะไม่คุ้นชินกับสำเนียงของชาวอเมริกันคนอื่นสักเท่าไรนัก ปัญหาหลักที่เขาต้องเผชิญคือการฟังไม่ทัน ทำให้การเข้าสังคมกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันยากพอสมควร พอพักเที่ยง กานต์จึงขอปลีกตัวไปพักตามลำพังด้วยเหนื่อยล้ากับการใช้สมองประมวลผล ตอนนี้ถึงเพิ่งเข้าใจว่าตลอดมาที่ฟังออสตินพูดรู้เรื่องเป็นเพราะอะไร

ผู้ชายคนนั้นตั้งใจพูดช้าๆ เพื่อให้กานต์ได้ฟังอย่างชัดเจน มาเรียก็เช่นกัน แต่ที่หล่อนพูดช้าเป็นเพราะเจ้านายอย่างออสตินสั่งเอาไว้ต่างหาก

ออสติน สเวน ทำอะไรเพื่อเขามากมายจริงๆ...

กานต์บอกย้ำกับตัวเองว่าไม่ควรทำลายความหวังดีของออสตินด้วยการหมกมุ่นคิดแต่เรื่องอกุศลอย่างนั้นเมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ก่อนจะเดินทอดน่องเลาะไปตามสนามฟุตบอลเพื่อหาที่นั่งพักกินแซนด์วิซที่ซื้อมาจากโรงอาหารเป็นมื้อกลางวัน

หากแต่ขณะที่เดินเลาะไปตามสนามฟุตบอลนั้น สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นทีมฟุตบอลกำลังฝึกซ้อมกันอยู่ เขามีโอกาสได้ดูกีฬาชนิดนี้ผ่านทางโทรทัศน์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยได้ดูให้เห็นกับตาจริงๆ สักครั้ง ดังนั้นระหว่างที่เดินอยู่ก็เลยหยุดที่ข้างสนาม ทอดสายตามองการฝึกซ้อมของนักฟุตบอลเหล่านั้นไปครู่

ทว่า...คงจะมองเพลินไปสักนิดเลยไม่ทันได้สักเกตว่าลูกฟุตบอลลูกเขื่องถูกโยนมาทางเขา รู้ตัวอีกทีว่าตนกลายเป็นคนรับลูกฟุตบอลก็ตอนที่ลูกบอลพุ่งเข้ามากระแทกที่ศีรษะเขาจนล้มไปกับพื้นแล้ว ล้มอย่างเดียวไม่ว่า ยังจะถลาไปล้มใส่กระถางสีที่ภารโรงของโรงเรียนวางไว้ตรงนั้นสำหรับทาสีรั้วที่อยู่ใกล้ๆ อีกต่างหาก ทำเอากางเกงของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยสีขาวไปหมด

“เฮ้ย!”

เสียงของใครบางคนดังตามมา ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะถูกใครสักคนก่นด่า

“จัดการเลยเจฟ! ความผิดนาย ไปรับผิดชอบเร็วเข้า!”

เด็กหนุ่มผู้เป็นมือขว้างลูกฟุตบอลลูกนั้นมุ่ยหน้าเล็กน้อย ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปยังเด็กหนุ่มอีกคนที่ล้มหงายไม่เป็นท่า เข้ามาใกล้ได้ก็โน้มตัวถาม

“นายโอเคไหม”

กานต์ยังมึนอยู่ แต่ก็พอจะมีสติบ้างแล้ว เงยหน้ามองก็พบว่าคนที่เข้ามาถามเขาเป็นเด็กหนุ่มผมสีบลอนด์สว่าง รูปร่างสูงใหญ่ตามประสานักฟุตบอล ทว่าก็ไม่ได้ใหญ่เกินไปจนดูบึกบึนเกินอายุเด็กในรั้วไฮสกูล ที่สำคัญ...เขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมากคนหนึ่งทีเดียว มองแล้วก็รับรู้ได้ทันทีว่าคงจะเป็นหนุ่มฮ็อตประจำโรงเรียนอะไรอย่างนั้น

“นี่นาย... เด็กใหม่นี่นา”

แล้วจู่ๆ เขาก็ทักขึ้นมาอีกด้วยคุ้นหน้าคุ้นตากับกานต์ ทิ้งตัวลงนั่งยอง ขณะที่คนถูกทักย่นคิ้วยู่

“ฉันอยู่ห้องเดียวกับนาย จำไม่ได้เหรอ ที่นั่งอยู่ข้างหลังห้อง ถัดจากนายไปสองที่นั่งน่ะ”

กานต์ยังคงย่นคิ้วอยู่ เขาจำไม่ได้หรอกว่าเพื่อนในห้องเขาหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็พอจะคุ้นหน้าคุ้นตากับคนตรงหน้าอยู่บ้างด้วยเขาโดดเด่นกว่าใคร

แต่...ไม่ได้โดดเด่นถึงขนาดจะทำให้กานต์จดจำได้ เพราะในสายตาของเขามีเพียงออสตินเท่านั้น

“ให้ตาย โทษทีนะ ทำนายเปื้อนไปหมดแล้ว”

แล้วจากนั้นก็เพิ่งสังเกตเห็นว่านอกจากจะปาลูกฟุตบอลใส่ศีรษะของเด็กใหม่แล้ว ยังจะทำกางเกงของกานต์เปื้อนไปด้วยสีไม่มีชิ้นดีด้วย กานต์เองก็เพิ่งจะรู้สึกตัวในคราวนี้ เขาออกจะหัวเสียอยู่เหมือนกันแต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจ

“ไม่เป็นไร”

“ไม่เป็นไรได้ไง เปื้อนอย่างนี้นายจะเรียนคาบบ่ายได้ไงกัน” อีกฝ่ายโวยทันทีเมื่อได้ยินกานต์ว่าอย่างนั้น ก่อนจะผุดไอเดียขึ้นมา “เอางี้ ที่ห้องชมรมพอจะมีกางเกงวอร์มให้เปลี่ยนอยู่ ไปกับฉันแล้วกัน จะได้ไปเปลี่ยน ดูท่ากางเกงของนายจะใส่อีกไม่ได้แล้วล่ะ”

เป็นอย่างที่ว่านั่นแหละ คงจะต้องทิ้งสถานเดียว ต่อให้เอาแช่ทินเนอร์ก็ไม่สามารถล้างคราบสีออกได้แล้ว

“ไปลุก ฉันพาไป”

พูดเองเออเองเสร็จสรรพ ไม่ลืมที่จะหันไปร้องบอกเพื่อนร่วมทีมด้วยว่าจะแวะไปที่ห้องชมรมสักครู่หนึ่ง ซึ่งก็ไม่มีใครขัดอะไรด้วยเห็นกันทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กหนุ่มผู้โชคร้ายที่เดินอยู่ดีๆ ก็ต้องมาเป็นเด็กเก็บฟุตบอลอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“ว่าแต่นายจะไปด้วยสภาพนี้จริงๆ น่ะเหรอ ห้องชมรมอยู่ไกลนะ”

เด็กหนุ่มผมบลอนด์หมายถึงในสภาพที่กางเกงเปื้อนสีทั้งตัว หากไปในสภาพนี้ ดูจะเป็นตัวตลกอยู่ไม่น้อย แต่กานต์มีทางเลือกอื่นอีกไหมล่ะนอกจากจะพยักหน้า

“อืม ก็คงจะต้องอย่างนั้นแหละ”

คนฟังย่นคิ้วทันที “น่าเกลียดตาย นายคงไม่อยากถูกล้อตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียนหรอกมั้ง เอางี้ เอาเสื้อฉันมัดเอวไปแล้วกัน อย่างน้อยก็พรางสายตาคนอื่นได้”

ไม่พูดเปล่า ถอดเสื้อแจ็กเก็ตวอร์มของชมรมที่สวมอยู่ออกมาด้วย พลันทำท่าจะเอามามัดเข้าที่เอวให้ ทำเอากานต์ต้องรีบร้องปราม

“เดี๋ยวเสื้อนายก็เปื้อนสีไปด้วยหรอก”

คนฟังชะงัก ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ฉันมีหลายตัว ตัวนี้เก่าแล้ว ว่าจะทิ้งอยู่เหมือนกัน ไหนๆ จะทิ้งแล้ว ก่อนทิ้งก็ขอใช้ประโยชน์หน่อย”

ดูเหมือนจะไม่ฟังเลยแม้แต่น้อย ดึงดันจะทำให้ได้ กานต์มองหน้าอีกฝ่ายที่ยิ้มร่าให้เขาแล้วก็รู้สึกถึงสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ขึ้นมา

จะมากระดิกหางระริกระรี้ใส่เขาอย่างเป็นมิตรตั้งแต่เจอกันครั้งแรก... ไม่สิ ครั้งที่สองอย่างนี้ไม่ได้นะเจ้าหมาใจง่าย

แต่อีกฝ่ายจะสนใจอะไร เห็นกานต์ไม่ตอบโต้ก็ถือวิสาสะเอาเสื้อแจ็กเก็ตมาพันรอบเอวทันที

“นายชื่ออะไร” พลันถามออกมา

“อยู่ห้องเดียวกันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงไม่รู้จักล่ะ”

เพราะความเป็นกันเองของคนตรงหน้าทำให้กานต์ผ่อนคลาย ถึงเขาจะเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นมิตรขนาดนี้ ความสบายใจในการพูดคุยก็พุ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ฉันก็ไม่ได้ฟังที่นายแนะนำตัวเท่าไร เมื่อเช้ายังไม่ตื่นดี” อีกฝ่ายว่าติดตลก ก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง “ตกลงนายชื่ออะไร”

คราวนี้เห็นทีว่าจะไม่ตอบคงไม่ได้แล้ว

“กานต์”

“หืม?”

“เรียกว่าคาร์ลก็ได้ถ้านายไม่ชิน นั่นมันชื่อไทย”

พอพูดไปอย่างนั้น คนตรงหน้าก็ยกยิ้มขึ้นมา

“ได้คาร์ล ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันเจฟฟรี่ย์... เจฟฟรี่ย์ โอโคเนล”

พูดจบจังหวะเดียวกับที่เสื้อแจ็กเก็ตวอร์มถูกมัดที่เอวของกานต์เรียบร้อยพอดี เด็กหนุ่มผมบลอนด์ผละถอยห่างไปเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งออกมาตรงหน้าให้กานต์ได้จับ

“ยินดีที่ได้รู้จัก”

กานต์เพียงยื่นมือออกไปสัมผัสเท่านั้น คนตรงหน้าก็กระชับมือของเขามั่น จับเขย่าๆ พลางว่าด้วยน้ำเสียงรื่นเริง

“เรียกว่าเจฟก็ได้ถ้านายไม่ถนัด บางทีเจฟฟรี่ย์อาจจะยาวไป”

ความเป็นมิตรของเขาทำให้กานต์ผ่อนคลาย รอยยิ้มผุดพรายขึ้นมาบางๆ บนใบหน้า ก่อนที่จะเปล่งเสียงพูด

“ฉันตั้งใจจะเรียกนายว่าคุณโอโคเนลน่ะ”

คนฟังเบ้หน้า “หยึย”

“มันสุภาพดีสำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักกันไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่ แต่ตอนนี้นายกับฉันรู้จักกันแล้ว เรียกว่าเจฟก็พอ”

“ได้”

“ต้องเรียกว่าเจฟเฉยๆ นะ ไม่ใช่เจฟฟรี่ย์”

คนตรงหน้าย้ำอีกอย่างทะเล้น คราวนี้เรียกเสียงหัวเราะของกานต์ออกมาได้ทันควัน

ได้...เจฟก็เจฟ กานต์บันทึกข้อมูลลงในสมองของตนเองอย่างรวดเร็ว

เพื่อนใหม่ของเขามีชื่อว่า...เจฟฟรี่ย์ โอโคเนล แต่เขาจะจำไว้ว่าต้องเรียกว่าเจฟเฉยๆ

ยินดีที่ได้รู้จัก...เจฟเฉยๆ

 

กานต์ถูกเพื่อนใหม่พาไปเปลี่ยนชุด โชคดีที่กางเกงวอร์มของนักกีฬามีไซส์สำหรับคนเอเชียตัวเล็กอย่างเขาอยู่ ไม่อย่างนั้นล่ะก็คงจะต้องใส่กางเกงเปื้อนสีไปทั้งวันแน่

แต่เพราะเสื้อผ้าที่ต่างจากในตอนเช้าที่ใส่มา ทำให้ออสตินซึ่งมารับตามสัญญาในตอนเย็นต้องหรี่ตามองเขม็ง พอเด็กหนุ่มขึ้นรถมานั่งข้างๆ ก็ไม่วายปราดสายตามองสำรวจตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนที่กลิ่นเหม็นฉุนของสารเคมีบางอย่างจะลอยมาแตะจมูก

“ไปทำอะไรมา”

พลันก็ถามขึ้นด้วยสงสัย ทำเอากานต์หันไปมองพลางเลิกคิ้วสูง

“ครับ?”

“ฉันถามว่าเธอไปทำอะไรมาถึงได้มีกลิ่นแบบนี้”

อ๋อ สงสัยจะได้กลิ่นสี

“ผมล้มใส่ถังสีเมื่อตอนกลางวันน่ะครับ”

เพียงคำตอบสั้นๆ ก็ทำให้ออสตินเข้าใจได้ว่าทำไมลูกเลี้ยงของเขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้าชุดเดียวกับเมื่อเช้า แต่สิ่งที่เขาเป็นห่วงกลับไม่ใช่เรื่องนั้น เขาเป็นห่วงอย่างยิ่งในเรื่อง...

“โดนใครแกล้งหรือเปล่า”

...โดนบูลลี่

สิ่งนี้ล่ะที่ทำให้ออสตินไม่ยอมให้กานต์ไปกลับเองโดยอ้างว่าจะมารับส่งจนกว่าจะเคยจริง ความจริงแล้วเขาต้องการจะมาคอยดูต่างหากว่าลูกเลี้ยงของเขาถูกใครรังแกหรือไม่ต่างหาก

เด็กอเมริกันบางจำพวกก็ไว้ใจไม่ได้...

“เปล่าครับ”

“เธอแน่ใจนะ”

เด็กหนุ่มพยักหน้า ออสตินมองจ้องนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่เชื่อคำพูดสักเท่าไรเพราะพอจะรู้ว่าเด็กอย่างกานต์คงจะไม่มีวันบอกอะไรเขาแน่ถ้าไม่ถูกต้อนจนมุม แต่ก็ไม่อยากจะคาดคั้น จึงได้ถามไปเรื่องอื่น

“แล้วเอาชุดใครมาใส่”

“ชุดของชมรมฟุตบอลน่ะครับ”

“ไปเอามาได้ยังไง”

“พอดีกัปตันชมรมเป็นคนให้ยืมมา”

แน่นอนว่าหมายถึงเจฟฟรี่ย์ กานต์เพิ่งจะมารู้ในระหว่างที่ถูกพาไปเปลี่ยนชุดว่าเขาเป็นกัปตันทีมตอนที่คุยกันสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย แต่มันไม่ได้สำคัญอะไรเท่ากับการที่ออสตินพยายามหาทางจับผิดอะไรบางอย่าง

“อย่าบอกฉันว่าหมอนั่นเป็นคนทำให้เธอต้องล้มใส่ถังสีด้วย”

ใช่เลย...มันเป็นอย่างนั้นแหละ พอกานต์พยักหน้า ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลของออสตินก็วูบไหวเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะถามเสียงเรียบออกมา

“หมอนั่นชื่ออะไร”

“จะ...เจฟครับ”

“เจฟอะไร”

“เขาบอกให้ผมเรียกเขาว่าเจฟเฉยๆ”

“...”

“เจฟฟรี่ย์ โอโคเนลครับ”

ว่าจะหยอกสักหน่อย แต่ถูกสายตานั้นกับความเงียบงันคาดคั้น กานต์ก็ออกอาการปากเปราะทันที หากแต่ออสตินได้ยินชื่อนั้นแล้วก็คลายความดุดันในสายตาลง

“เจฟฟรี่ย์ โอโคเนล?”

“ครับ”

“อืม”

ครางรับเพียงเท่านั้นแล้วก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก ท่าทางที่ดูเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างทำให้กานต์อดสงสัยไม่ได้

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ฉันรู้จักเด็กนั่น”

“ครับ?”

“ลูกชายของคุณโอโคเนล หุ้นส่วนรายใหญ่ของบริษัทฉันเอง”

กานต์ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ไม่คิดไม่ฝันเช่นกันว่าโลกจะกลมถึงขนาดนี้ แต่ออสตินก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรแสดงออกมาให้เห็น ได้แต่พูดสั้นๆ เท่านั้น

“หมอนั่นนิสัยใช้ได้ คบเป็นเพื่อนไว้ก็ดี ดีใจด้วยที่เธอมีเพื่อนใหม่แล้ว แต่ก็ต้องระวังเรื่องการวางตัวหน่อย หมอนั่นค่อนข้างจะเป็นนักปาร์ตีตัวยง ระวังถูกพาเสียคน อย่าคล้อยตามไปทุกอย่าง”

แล้ว...อย่างไรต่อล่ะ?

ก็ไม่ยังไงต่อ ออสตินไม่ได้พูดอะไรออกมาแล้ว ทำเพียงสตาร์ตรถแล้วขับออกไปเท่านั้น ปล่อยให้กานต์ได้นั่งนิ่ง เบนสายตามองออกไปข้างทาง ขณะที่ออสตินขับรถไปก็เหลือบมองคนข้างกายตัวเองไปด้วย

เจฟฟรี่ย์ โอโคเนล...

 เจฟเฉยๆ...

เจ้าเจฟเฉยๆ กำลังจะมาเป็นเพื่อนคนแรกของลูกเลี้ยงเขา

จู่ๆ หัวคิ้วก็ย่นเข้ามาชนกันอย่างไม่อาจควบคุมได้ ภายในใจของออสตินนั้นคิดอะไรอยู่ เด็กหนุ่มข้างๆ เขาไม่อาจรับรู้ได้เลยนอกจากความเงียบตลอดทางกระทั่งถึงบ้าน

----------------------------------

ตอนแรกว่าจะไม่อัป เขียนจบตอนพอดี (อีกแล้ว ฮา) เลยอัปให้เลยค่ะ เรื่องนี้เขียนไวเพราะกำลังอิน

เห็นหลายๆ คอมเมนต์บอกว่าอยากอ่านพาร์ตที่เป็นความคิดของแด๊ดดี้ ใจเย็นๆ นะคะ มันเพิ่งเปิดเรื่อง แต่เดี๋ยวมีแน่ๆ ค่ะไม่ต้องห่วงเน้อ ตอนนี้อยู่กับความวัยรุ่นว้าวุ่นของน้องกานต์ก่อนนะ

ฝากฟีดแบ็กกันด้วยจ้า ^^


ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
เพื่อนใหม่น้องกานต์จัดว่าคูลเลยทีเดียว แด๊ดดี้ไม่หึงเนอะ ถถถ :hao3:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เจฟที่ดีหรือไม่ดี ท่าทางคุณพ่อไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไหร่  o18

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
 

Chapter 8: Questions[1]

การได้ไปโรงเรียนเป็นวิธีที่ดีที่ทำให้กานต์เลิกหมกมุ่นกับเรื่องของออสติน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เลิกคิดอย่างเด็ดขาด ก็ต้องยอมรับว่าเขายังคงคิดอยู่ เพียงแต่ไม่ได้คิดตลอดเวลาแล้ว ด้วยมีสิ่งอื่นที่ต้องใส่ใจมากกว่าเรื่องของพ่อเลี้ยง แน่นอนว่ามีเรื่องการเรียนการสอนที่ต้องปรับเข้ากับระบบที่ไม่คุ้นเคยให้ได้ ไหนจะเรื่องชมรมที่ต้องมีเพื่อสร้างสังคม และเรื่องเพื่อน...

“ไง”

เสียงของใครบางคนดังขึ้นขณะที่กานต์กำลังก้มหน้าจัดการกับมื้อเที่ยงของตัวเอง พอเห็นว่าเป็นเจฟฟรี่ย์ในชุดวอร์มของชมรมฟุตบอล เขาก็ส่งยิ้มให้

“ไงเจฟเฉยๆ”

คนถูกเรียกอย่างนั้นหัวเราะในลำคอ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม

“มากินมื้อเที่ยงคนเดียวอีกแล้ว ทำไมไม่ไปกับพวกนั้นล่ะ”

พวกนั้นก็คือกลุ่มเพื่อนในห้องที่เจฟฟรี่ย์แนะนำให้รู้จัก เด็กพวกนั้นไม่ได้เลวร้าย ออกจะนิสัยดีเสียด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าเขากลายเป็นที่สนใจของกลุ่มเด็กพวกนั้นจากการโอ้อวดของคนตรงหน้า

ก็เจฟฟรี่ย์เที่ยวไปบอกใครต่อใครว่ากานต์เป็นเพื่อนสนิทคนใหม่ของเขานี่นา หนุ่มฮ็อตที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดีอย่างเขาก็ต้องมีสาวๆ อยากจะเอาใจอยู่แล้ว เผื่อว่าการทำตัวดีกับเพื่อนสนิทของเขาจะเป็นการเปิดโอกาสให้เจฟฟรี่ย์สนใจมาเดตกับพวกเธอสักคนก็เป็นได้ หากแต่กานต์ไม่ได้สนใจสักเท่าไรนัก ค่อนไปทางอึดอัดด้วยสาวๆ พวกนั้นเอาแต่ถามถึงเรื่องของเจฟฟรี่ย์ ต่อให้ไม่ถามก็พูดถึงอยู่ดี ไม่ใช่เพียงแค่สาวๆ ด้วย หนุ่มๆ บางคนก็เช่นกัน มันทำให้กานต์อึดอัดอยู่ไม่น้อย จนสุดท้ายก็ต้องปลีกตัวมาใช้เวลาตามลำพัง

“ฉันว่าจะไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาสักหน่อยน่ะ ก็เลยมากินคนเดียว”

กานต์อ้าง จริงๆ แล้วเขาไม่มีเรื่องจำเป็นที่จะต้องไปพบกับที่ปรึกษาเสียหน่อย แค่ไม่อยากให้เจฟฟรี่ย์ซึ่งอุตส่าห์แนะนำเพื่อนคนอื่นๆ ให้รู้จักคิดว่าเขาปฏิเสธความหวังดีก็เท่านั้น

“นายไปทำอะไรไว้ล่ะถึงต้องไปพบ โดดเรียนหรือถูกจับได้ว่าไปกุ๊กกิ๊กกับสาวๆ ในห้องน้ำโรงเรียน?”

เจฟฟรี่ย์ว่าติดตลก เรื่องนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นกับกานต์อยู่แล้ว เขาเองก็รู้ว่าคนตรงหน้าว่าหยอก จึงได้แต่หัวเราะรับมุกตลกนั่นไป

“ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอก”

“อีกหน่อยนายก็คงจะทำถ้านายยังคิดจะคบฉันเป็นเพื่อนน่ะนะ”

นี่ก็พูดเล่น แต่กานต์พอจะรู้ว่ามันมีเค้าโครงความจริงอยู่บ้าง ได้ยินสาวๆ จากกลุ่มเพื่อนที่เจฟฟรี่ย์แนะนำให้รู้จักเล่าให้ฟังเหมือนกันว่าพวกผู้ชายในชมรมฟุตบอลชอบชวนพวกหล่อนไปทำเรื่องอย่างว่าในห้องน้ำของชมรม บางครั้งก็เป็นหนุ่มๆ ด้วยกันเอง เรื่องนี้ถึงหูอาจารย์ในโรงเรียนหลายครั้งแล้ว ถูกจับได้ก็หลายครั้งเช่นกัน เรียกกันว่าเป็นที่โจษจันเลยทีเดียว

“แต่ฉันไม่พาใครไปกุ๊กกิ๊กในห้องน้ำชมรมหรอก”

พอพูดไปอย่างนี้ เจฟฟรี่ย์ก็หัวเราะ มือยื่นไปคว้าเอาแคร์รอตต้มในจานอาหารของคนตรงหน้ามาเข้าปากอย่างถือวิสาสะ

“งั้นเหรอ? ก็ไม่แน่นะ เรื่องของอนาคต ใครจะไปรู้”

แล้วก็เคี้ยวแคร์รอตนั่นตุ้ยๆ กานต์ยิ้มน้อยๆ ตอบรับ ถึงเจฟฟรี่ย์จะชอบพูดไปเรื่อยเปื่อย บางครั้งก็ห่ามและตรงไปบ้างจนกานต์ไม่ชิน แต่ความเป็นกันเองของเขาก็ทำให้อีกฝ่ายสบายใจที่จะพูดคุยกับเขามากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ก่อนที่กานต์จะว่าเสียงเบามาอีกครั้ง

“ฉันไม่ทำหรอก เก็บห้องน้ำของชมรมนายไว้ใช้เองเถอะกัปตัน”

คราวนี้เจฟฟรี่ย์ถึงกับเลิกคิ้วสูงกับสรรพนามนั้น กานต์เองก็รู้จักตอบโต้เหมือนกัน ไม่ใช่จะสงบปากสงบคำอย่างท่าทางที่เห็น

“จะว่าไป ฉันมีเรื่องจะถาม”

แล้วเจฟฟรี่ย์ก็เปลี่ยนเรื่องขึ้นมา พอกานต์สบตา คนตรงหน้าก็เอ่ยขึ้นมาทันควันโดยไม่รอให้กานต์ได้ถามก่อนว่าเรื่องอะไร

“ฉันได้ยินมาว่านายเป็นลูกเลี้ยงของคุณสเวน”

เรียวคิ้วของกานต์ย่นยู่เล็กน้อย เขาไม่เคยบอกกับเพื่อนคนไหนเรื่องนี้ มีเพียงอาจารย์ที่ปรึกษากับครูใหญ่รู้เท่านั้น

“นายไปได้ยินมาจากไหน”

น้ำเสียงที่เจือความครียดเล็กน้อยหลุดออกจากริมฝีปากสีเชอร์รี

“ได้ยินครูที่ห้องพักครูคุยกัน” จากนั้นก็รีบแก้ตัวยกใหญ่เมื่อเห็นกานต์ขมวดคิ้วยู่ “แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะแอบฟังนะ พอดีเอาของไปให้โค้ชก็เลยได้ยิน”

กานต์ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นหรอก เขาไม่ค่อยชอบใจเท่าไรที่เรื่องของเขาถูกพูดถึงมากกว่า แต่ก็เอาเถอะ ออสตินไม่ได้สั่งห้ามนี่ว่าห้ามบอกให้ใครรู้ ไม่อย่างนั้นเขาจะมาส่งลูกเลี้ยงของตัวเองที่โรงเรียนทำไม ทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่าพร้อมที่จะเปิดเผยอยู่แล้ว

“ตกลงนายเป็นลูกเลี้ยงของคุณสเวนจริงไหม”

เจฟฟรี่ย์ถามมาอีกเมื่อเห็นว่ากานต์เงียบ ต่อให้เสียมารยาทแต่เขาก็อยากรู้ กานต์นิ่งไปครู่ ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าครอบครัวของอีกฝ่ายก็รู้จักกับออสติน คงจะไม่เป็นอะไรถ้าจะบอกความจริงไป

“อืม ฉันเป็นลูกเลี้ยงของเขา”

“นายพูดจริงเหรอ?”

เมื่อได้ยินสิ่งที่กานต์บอก เจฟฟรี่ย์ก็เบิกตาโต ก่อนหน้าที่จะได้ยินครูพวกนั้นคุยกัน เขาก็พอจะได้ยินพ่อแม่ของเขาคุยกันมาก่อนอยู่บ้างว่าออสตินจะรับอุปถัมภ์เด็กชาวเอเชียซึ่งเป็นลูกของผู้หญิงที่เขาแต่งงานด้วย แต่ก็ไม่คิดว่าโลกจะกลมถึงขนาดนี้

“อืม”

พอกานต์ขานรับ เจฟฟรี่ย์ก็หยิบเอามันฝรั่งทอดในจานอาหารของกานต์เข้าปากไปอีก เคี้ยวตุ้ยๆ พลางจ้องอีกฝ่ายเขม็ง

“ไม่น่าเชื่อ โลกกลมชะมัด ไม่คิดเลยว่าฉันจะได้มาเป็นเพื่อนกับลูกเลี้ยงของคุณสเวน”

กานต์พยักหน้า คิดเช่นเดียวกัน เขาก็ไม่คิดว่าจะได้มาเป็นเพื่อนกับลูกชายหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทที่พ่อเลี้ยงของตนเป็นเจ้าของอยู่ ก่อนที่เจฟฟรี่ย์จะเปิดปากอีก

“งั้นก็แสดงว่าเรื่องที่พ่อแม่ฉันคุยกันเป็นความจริง”

“พ่อแม่นายคุยอะไร”

“พวกเขาบอกว่านายไม่เคยเจอหน้าคุณสเวนมาก่อน มาอยู่ด้วยทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่ตัวเองแต่งงานกับพ่อมด...ไม่สิ คุณสเวนน่ะ”

“พ่อมดเหรอ?”

“เขาได้รับฉายาว่าเป็นพ่อมดแห่งโลกตลาดหลักทรัพย์” เจฟฟรี่ย์ขยายความให้ “แต่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก ตอบฉันมาดีกว่าว่าที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริงไหม”

ถึงจะอยากปฏิเสธแต่มันก็คือเรื่องจริง ดังนั้นกานต์จึงพยักหน้ารับไป ทำให้เจฟฟรี่ย์ครางออกมา

“ไม่อยากจะเชื่อว่ามีเรื่องแปลกๆ แบบนี้ด้วย แต่ที่แปลกกว่าคือคนอย่างคุณสเวนแต่งงาน”

“มันแปลกยังไงเหรอ”

เจฟฟรี่ย์มองหน้าคนถามทันที “นายไม่รู้เหรอว่าเขามีข่าวลือว่าอะไร”

แน่นอนว่าต้องไม่รู้ เด็กหนุ่มส่ายหน้าทันควัน

“คุณสเวนเป็นนักธุรกิจที่คว่ำหวอดอยู่ในวงการตลาดหลักทรัพย์ มีผู้หญิงมากมายอยากจะจับเขาก็จริง แต่นายรู้ไหมว่าเขาไม่เคยมีข่าวว่าออกเดตกับใครให้ได้ยินเลย จนมีข่าวลือมาว่าเขาน่ะตายด้าน”

กานต์หัวเราะน้อยๆ คงจะจริงอย่างนั้นเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเคยแสดงออกต่อหน้าออสตินจนถูกปฏิเสธมา

ต่อให้เขาเป็นผู้หญิงก็คงจะโดนปฏิเสธ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะตายด้านจริงๆ นั่นล่ะ

“แต่น่าตกใจนะที่จู่ๆ เขาก็แต่งงาน ไม่ประกาศอะไร รู้กันอีกทีก็ตอนที่เขาแต่งงานเรียบร้อยแล้ว ขนาดคนสนิทของเขาบางคนยังไม่รู้เรื่องนี้เลย”

เจฟฟรี่ย์ว่าขึ้นมาอีก กานต์ฟังอย่างตั้งใจ เรื่องนี้เขาก็ได้ยินมาเรียพูดเหมือนกันว่าหล่อนตกใจไม่น้อยที่จู่ๆ ออสตินก็มาบอกว่าแต่งงานแล้วและจะพาภรรยาเข้ามาอยู่ในบ้าน แต่หล่อนก็ไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรไปมากกว่านี้เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย

“แล้วเขาดีกับนายไหม”

จู่ๆ เจฟฟรี่ย์ก็เปลี่ยนเรื่อง คงเพราะรู้ว่ากานต์เข้ามาอยู่ที่บ้านของออสตินหลังจากที่มารดาเสียชีวิตถึงได้ถามอย่างนี้

“ดีสิ”

“จริงเหรอ”

“อื้ม ดีมาก”

“ดีของเขานี่เป็นยังไง ไม่ใช่ว่าให้นายไปนอนห้องใต้บันไดหรือห้องใต้หลังคาอะไรแบบนั้นหรอกนะ”

พูดมาถึงตอนนี้ กานต์ก็หัวเราะ

“ไม่ใช่หนังพ่อเลี้ยงใจร้ายกับลูกเลี้ยงผู้น่าสงสารซะหน่อย แด๊ดดี้ให้ฉันไปนอนห้องเดิมของแม่น่ะ”

เอ่ยคำว่า ‘แด๊ดดี้’ ออกมาก็ชวนให้เจฟฟรี่ย์สะดุดหูอยู่ไม่น้อยเพราะคนตรงหน้าไม่ได้ผูกพันอะไรกับออสตินเลยสักนิด จู่ๆ มาเรียกว่าแด๊ดดี้มันก็แปลก หากทว่าคำว่า ‘ห้องเดิมของแม่’ ทำให้เขาสะดุดมากกว่า

“เฮ้ๆ เดี๋ยวนะ ที่นายบอกว่าห้องเดิมของแม่นี่หมายความว่าอะไร อย่าบอกนะว่าเขาไม่ได้นอนร่วมห้องกับแม่นาย?”

เป็นกานต์บ้างแล้วที่ชะงัก เขาไม่เคยฉุกใจคิดเรื่องนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่สำหรับเจฟฟรี่ย์ที่ไม่ได้ไม่ประสากับเรื่องเหล่านี้กลับรู้สึกถึงความผิดปกติตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องราวจากปากของกานต์ พอกานต์พยักหน้าให้เป็นคำตอบ เขาก็ทำหน้าไม่เชื่อออกมา

“เอาจริงดิ แต่งงานกันแต่ไม่ได้นอนร่วมห้องกันนี่นะ?”

ความเงียบเป็นคำตอบชั้นดี พอเจฟฟรี่ย์โพล่งออกไปแบบนี้ กานต์ถึงได้หาเสียงของตัวเองเจอ

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“แปลกแฮะ แต่ก็น่าสนใจ”

เด็กหนุ่มผมบลอนด์ทำท่าเหมือนได้ยินเรื่องสนุก ทว่าเขาก็ไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อ เพื่อนในชมรมที่ตามหาตัวกัปตันทีมอยู่นานสองนานก็มาโผล่อยู่ทางข้างหลัง ก่อนจะจัดการลากอีกฝ่ายให้ไปฝึกซ้อมประจำวันทันใด

“เดี๋ยวฉันต้องไปก่อน ไว้เจอกันใหม่นะคาร์ล”

กานต์พยักหน้ารับ ยกมือขึ้นเตรียมจะบอกลา แต่ก็ต้องยกค้างเมื่อเจฟฟรี่ย์เอื้อมมือมาหยิบของกินจากจานอาหารเที่ยงของเขาอีก

“ขอบใจสำหรับมันฝรั่งทอด”

พูดจบก็เอาเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ พลันเดินออกไปนอกอาคารกับเพื่อน ปล่อยให้กานต์มองจานอาหารของตนที่แหว่งเป็นหย่อมๆ เพราะถูกเจ้านักฟุตบอลตัวโตนั่นแย่งกินแล้วหัวเราะกับตัวเองตามลำพัง

เจ้าเจฟเฉยๆ นี่ตะกละน่าดู โดนแย่งของกินแบบนี้จะเรียกว่าโดนบูลลี่ได้หรือเปล่านะ?

ขณะเดียวกันก็มีสิ่งหนึ่งที่รบกวนใจเขาขึ้นมา...

เรื่องของออสตินกับแม่ของเขา...

กานต์เม้มริมฝีปาก คิดไม่ตกเรื่องนี้ฉับพลัน

 

ออสตินยังคงมารับเด็กหนุ่มหลังเลิกเรียนตามสัญญา หากแต่วันนี้เขาทั้งคู่ไม่ได้ตรงกลับบ้าน แต่มุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนแห่งหนึ่งที่อยู่ละแวกแมนฮัตตัน โดยออสตินบอกกับลูกเลี้ยงของตนว่าอยากจะพาไปเปลี่ยนบรรยากาศ เพราะตั้งแต่ที่กานต์ย้ายมาอยู่ที่นี่ ยังไม่มีวันไหนเลยที่ได้ออกกินทานอาหารเย็นนอกบ้าน

ร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่ตกแต่งอย่างหรูหราเป็นที่หมายของพวกเขา กานต์รู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางไปเสียหน่อยเมื่อเดินเข้ามาด้านในและเห็นบรรยากาศในร้าน ชุดไปรเวทที่เขาใส่ไปเรียนไม่ได้เข้ากับร้านอาหารหรูนี่เลยแม้แต่น้อย ซึ่งออสตินเองก็คิดแบบนั้น ก่อนลงจากรถจึงได้ยื่นเสื้อสูทตัวหนึ่งให้กับเขาพร้อมกับบอกว่า ‘ให้เป็นของขวัญ’

ของขวัญชิ้นที่สองที่ไม่มีโอกาสพิเศษใดๆ กานต์อดสงสัยไม่ได้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายไปรู้ขนาดตัวของตนได้อย่างไร แต่ไม่ต้องเอ่ยปาก ออสตินก็ไขข้อข้องใจให้เป็นที่เรียบร้อยว่าเอาเสื้อแจ็กเก็ตของเขาที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าไปให้ช่างวัดเอา

เรียกได้ว่าเป็นการเซอร์ไพรส์ที่เหนือความคาดหมายของกานต์มากจริงๆ...

แต่ถึงจะสวมสูททับเพื่อให้กลมกลืนไปกับร้านอาหารร้านนี้ กานต์ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองอยู่ไม่ถูกที่ถูกทางอยู่ดี พอจะสงบลงได้เมื่อออสตินโน้มตัวมากระซิบที่ข้างหู

“ไม่ต้องเกร็ง ทำตามฉันก็พอ”

เด็กหนุ่มพยักหน้า เดินตามหลังผู้ชายอีกคนไปขณะที่บริกรเลื่อนเก้าอี้ให้ทั้งคู่นั่ง ออสตินนั่งลงก่อน พลันปรายตามองกานต์ที่ขยับร่างกายเหมือนกับหุ่นยนต์ ก่อนที่รอยยิ้มจะประดับขึ้นมาที่มุมปาก

“ฉันบอกว่าไม่ต้องเกร็งไง”

“พูดน่ะมันง่าย แต่ทำจริงๆ มันไม่ง่ายนะครับ”

กานต์เถียงหลังจากนั่งลงได้ ออสตินหัวเราะในลำคออย่างขบขัน ทำท่าจะส่งเมนูอาหารให้ แต่ก็ต้องหยุดมือไว้เมื่อกานต์สวนขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“แล้วก็อย่าคิดให้ผมสั่งอาหารเลยครับแด๊ดดี้”

“ทำไมล่ะ”

“ผมไม่รู้จักอาหารอิตาเลี่ยนหรอกครับ สั่งมาแล้วเดี๋ยวกินไม่ได้ แด๊ดดี้สั่งให้ผมเลยครับ”

พูดไปก็ทำหน้าตาจริงจัง ออสตินรับรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายพูดจริง ซึ่งก็ไม่แปลก กานต์เกิดและโตที่เมืองไทยมาทั้งชีวิต และเขาก็ไม่ได้กินอาหารต่างชาติบ่อยสักเท่าไรนัก รู้จักมักกะโรนี สปาเก็ตตี้ กับพิซซ่าก็ถือว่าดีแล้ว ออสตินจึงไม่ได้ขัดอะไร สั่งอาหารที่คาดว่าลูกเลี้ยงของเขาน่าจะกินได้มา

ไม่นานนัก อาหารน่าตารับประทานก็ถูกนำมาจัดวางบนโต๊ะ แต่กานต์ก็ไม่ได้ตื่นเต้นกับอาหารที่เขาไม่เคยเห็นหรือเคยกินมาก่อนสักเท่าไร เพียงแค่ตื่นตาตื่นใจในแวบแรกเท่านั้น ก่อนที่จะนั่งขมวดคิ้วจนยุ่งเหยิง

“เป็นอะไร อาหารไม่อร่อยเหรอ”

เห็นเด็กหนุ่มทำท่าเหมือนไม่อยากอาหาร ออสตินก็อดที่จะถามออกมาไม่ได้ ทว่ากานต์กลับส่ายหน้าปฏิเสธ

“แล้วทำไมถึงไม่ค่อยกิน”

อันที่จริงต้องเรียกว่าไม่กินเลยจะดีกว่า กานต์ยอมรับว่าคำพูดของเจฟฟรี่ย์รบกวนจิตใจของเขามาตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้ว เขาเหลือบมองไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนิ่งๆ ความรู้สึกที่อยากจะดื่มด่ำกับการกินมื้อเย็นสุดหรูมื้อนี้ไม่มีเลยแม้แต่น้อย มีเพียงอยากจะถามคำถามที่ค้างคาใจอยู่เท่านั้น

“แด๊ดดี้ครับ”

ในที่สุดก็ออกปากไปจนได้ ทำเอาชายหนุ่มที่กำลังกระดกแก้วไวน์จรดที่ปลายจมูกต้องชะงัก

“ผมมีเรื่องอยากจะถาม”

“ว่ามาสิ”

“แต่ผมไม่แน่ใจว่าแด๊ดดี้จะอยากตอบผมหรือเปล่า”

“เธอยังไม่ได้ลองถามด้วยซ้ำ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าฉันอยากจะตอบหรือไม่อยากตอบ”

“ก็มันเป็นเรื่องส่วนตัว...”

“ลองถามมาก่อน”

พูดมาอย่างนี้ กานต์ก็ไม่เซ้าซี้ เม้มริมฝีปาก สูดลมหายใจเข้าปอดแล้วรวบรวมความกล้าถามออกไป

“แด๊ดดี้แต่งงานกับแม่ของผมใช่ไหมครับ”

“อืม”

“จดทะเบียนสมรสกันอย่างถูกต้องด้วย?”

“ใช่”

“แล้วทำไมถึงแยกห้องนอนกันล่ะครับ”

ถึงตอนนี้ ออสตินเหลือบขึ้นมามองหน้า เข้าใจแล้วว่าทำไมกานต์ถึงไม่เจริญอาหาร แต่พอเห็นดวงตาสีนิลจับจ้องมายังเขาอย่างขอคำตอบ เขาก็ยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ ลิ้มรสความหวานระคนเฝื่อนอยู่ครู่ ไม่ยอมตอบอะไรสักที ทำให้กานต์กระสับกระส่ายจนต้องทวงคำตอบอีกครั้ง


ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 8: Questions[2]


“แด๊ดดี้ครับ ผมอยากรู้”

วินาทีนี้เองที่ออสตินยอมเอ่ยปาก

“อยากรู้เพราะอะไร”

แต่ไม่ใช่คำตอบที่เด็กหนุ่มต้องกานต์ ถามกลับเสียอย่างนั้น

“ผมก็แค่อยากรู้ว่าทำไมคนที่เป็นสามีของแม่ผมถึงไม่นอนร่วมห้องกับแม่ก็เท่านั้น”

เป็นครั้งแรกที่กานต์พูดออกไปตามที่ตัวเองคิด ออสตินออกจะประหลาดใจอยู่สักหน่อยที่คนตรงหน้ากล้าถามอย่างนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ซักไซ้อะไร ตอบคำถามให้

“คนที่เป็นสามีภรรยากันไม่ได้หมายความว่าจะต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา บางทีก็มีบ้างที่ต้องการความเป็นส่วนตัว”

“ก็เลยแยกห้องนอนเหรอครับ”

“อืม”

“แยกห้องนอน... แสดงว่าแต่งงานกับแม่ผมแต่ไม่ได้มีอะไรกันเลยใช่ไหมครับ”

ออสตินถึงกับชะงักทันควัน คราวนี้ขมวดคิ้วมองคนถามอย่างดุๆ

“ถามทำไม”

“ไม่รู้สิ ผมรู้สึกเหมือนกับว่าแด๊ดดี้กำลังปิดบังอะไรผม”

เรื่องนั้นออสตินไม่ตอบหรอก ถึงเขาจะมีเรื่องที่ปิดบัง แต่มันก็...

“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน ฉันจะบอกหรือไม่บอกเธอ มันก็เป็นสิทธิ์ของฉันจริงไหม”

กานต์พยักหน้ารับ ก่อนที่อีกฝ่ายจะว่าต่อ

“และต่อให้ฉันจะมีหรือไม่มีอะไรกับแม่ของเธอ แล้วมันสำคัญยังไง เธอมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเรื่องนี้หรือเปล่าถ้าได้รู้เรื่องนี้?”

“ไม่มีครับ”

“รู้ไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรใช่ไหม”

“ครับ”

“ถ้างั้นก็ไม่สำคัญที่จะต้องตอบคำถามนั้น”

เด็กหนุ่มยอมแพ้แล้ว เขาตะล่อมออสตินไม่ได้เลยสักทาง จึงได้แต่ก้มหน้างุด มองอาหารในจานตรงหน้าด้วยความรู้สึกไม่อยากจะแตะต้องมันเลยแม้แต่น้อย

ความจริงคำถามเมื่อครู่นี้ เขาก็ไม่ควรที่จะถามมันนั่นแหละ แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ นี่ ถ้าเจฟฟรี่ย์ไม่พูดมาอย่างนั้น เขาก็คงจะไม่ตัดสินใจถาม

“เป็นอะไร”

ออสตินที่เห็นว่าลูกเลี้ยงของตนเอาแต่นั่งก้มหน้าก็ออกปาก กานต์เงยหน้าขึ้นมามองพลันส่ายศีรษะ

“เปล่าครับ”

“คิดมากเรื่องที่แม่ของเธอไม่ได้นอนห้องเดียวกับฉันหรือไง”

กานต์เป็นเด็กหนุ่มที่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกและความคิดของตัวเอง เมื่อถูกถามก็พยักหน้ารับไปซื่อๆ

ออสตินวางมีดและส้อมในมือลง คว้าผ้าขึ้นมาเช็ดมือพลางว่าอย่างสบายๆ

“ถ้าอย่างนั้นเธอก็มานอนห้องเดียวกับฉันดีไหมล่ะ”

กานต์เบิกตาโตอย่างไม่เชื่อหูทันควัน

“อะไรนะครับ”

จากนั้นก็มั่นใจว่าตัวเองฟังไม่ผิดไปอย่างแน่นอนเมื่อออสตินว่าขึ้นมาอีกที

“จะได้ชดเชยที่แม่ของเธอไม่ได้นอนห้องเดียวกับฉันไง”

นะ...นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!?

“ฉันพูดจริง” เห็นท่าทางอึ้งงันของกานต์แล้วก็พอจะเดาได้ว่ากำลังคิดอะไรจึงได้ยืนยันคำพูดไปอีกครั้ง

มือของเด็กหนุ่มสั่นระริกขึ้นมาทันที ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็เต้นระส่ำเมื่อมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองได้ยินนั้นไม่ผิด

นอน...หมายความว่า...

“แค่นอนเฉยๆ นอนหลับ”

ยังไม่ทันจะได้คิดจนจบ ออสตินก็ว่าออกมาแล้ว กานต์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก...หรือเสียดาย เขาก็ไม่แน่ใจตัวเองสักเท่าไรนัก แต่นั่นไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือทำไมจู่ๆ ออสตินถึงพูดอย่างนี้ออกมามากกว่า ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเขาน่ะ...

“แต่แด๊ดดี้รู้ใช่ไหมครับว่าถ้าผมนอนห้องเดียวกับแด๊ดดี้ ผมคง...”

...คงคิดฟุ้งซ่านแล้วก็ทำเรื่องบ้าๆ อย่างที่เคยทำตอนนั้นขึ้นมาอีก

ออสตินรู้ ต่อให้อีกฝ่ายไม่พูดก็รู้ เขาเหลือบมองแล้วก็ว่าช้าๆ

“ฉันก็แค่เสนอเพราะเห็นว่าเธอเป็นครอบครัวเดียวกันกับฉัน การนอนด้วยกันระหว่างสมาชิกในครอบครัวมันเป็นเรื่องปกติ ถ้าเธออยากจะนอนด้วย ฉันก็ไม่ว่าอะไร ส่วนเรื่องนั้น เธอจะทำได้หรือไม่ได้ มันขึ้นอยู่ที่ตัวเธอ ฉันมีหน้าที่แค่เตือนในฐานะผู้ปกครอง”

‘ผู้ปกครอง’… คำนี้ทำให้กานต์ต้องย้ำเตือนตัวเอง

ต้องไม่คิดอะไร...

ต้องไม่ฟุ้งซ่าน...

ต้องไม่หลงเสน่ห์ของผู้ชายตรงหน้าไปมากกว่านี้...

“ตัดสินใจเอาเองนะ”

“ครับ”

เด็กหนุ่มขานรับเสียงแผ่ว ปล่อยให้ออสตินได้ลงมือกินอาหารต่อ ครู่หนึ่งถึงได้ตัดสินใจ

“แด๊ดดี้ครับ”

“หืม?”

“ขอบคุณที่ชวนนะครับ แต่ผมว่าผมไม่เอาดีกว่า ผมกลัวว่าจะควบคุมความคิดของตัวเองไม่ได้”

“แล้วแต่เธอ”

ออสตินตอบรับสั้นๆ เพียงเท่านั้น ไม่มีมีท่าทางอยากจะรั้งหรือให้อีกฝ่ายได้ตัดสินใจใหม่อีกครั้งเลยแม้แต่น้อย จากนั้นความเงียบก็เข้ามาครอบงำพวกเขาทั้งคู่ตลอดมื้ออาหารนั้น

 

หลังจากกลับมาบ้าน ทั้งคู่ก็ต่างแยกย้ายไปทำธุระส่วนตัวของตนก่อนจะเข้านอน ทั้งที่คืนนี้น่าจะเป็นเหมือนทุกคืนที่ผ่านมาแท้ๆ แต่คำพูดของออสตินกลับดังก้องอยู่ในหัวของเด็กหนุ่มไม่หยุดหย่อน

กานต์พลิกตัวไปมาบนเตียง กระสับกระส่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

‘ถ้าอย่างนั้นเธอก็มานอนห้องเดียวกับฉันดีไหมล่ะ’

ถ้าตอบตกลงไป ก็คงไม่ต้องมากระสับกระส่ายอย่างนี้

กานต์คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูหน้าจอ เห็นนาฬิกาบอกเวลาว่าตีสอง เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ป่านนี้ออสตินคงจะหลับไปแล้วล่ะ

แต่...เขานอนไม่หลับนี่นา สงบสติอารมณ์ไม่ได้ด้วย ลุกพรวดขึ้นมา มองรอบห้องภายใต้ความมืดพลางถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า

อยากนอนกับแด๊ดดี้... อยากนอนห้องเดียวกัน...

กานต์ยกมือขึ้นลูบใบหน้า อยากจะตะโกนออกมาให้ออสตินรับรู้นัก ทว่าก็ทำแบบนั้นไม่ได้ ขืนโดนโกรธขึ้นมาที่จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าๆ บอๆ กลางดึก มีหวังคงถูกดุแน่นอน

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็หลับไม่ลงอยู่ดี สุดท้ายก็ตัดสินใจหย่อนตัวลงจากเตียง ก้าวออกนอกห้องไปยืนอยู่ที่หน้าประตูของห้องข้างๆ สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ หลายต่อหลายครั้ง พลันยกมือขึ้นเคาะ

“แด๊ดดี้ครับ”

ร้องเรียกเสียงเบาด้วย กลัวว่าคนด้านในจะไม่ได้ยิน ยืนรออยู่สักพัก ไม่เห็นมีคนมาเปิดก็ถอนหายใจตบท้ายอีกที

สงสัยจะหลับไปแล้ว...

ตัดใจในฉับพลัน เกือบจะหมุนตัวกลับห้องอยู่แล้ว แต่ประตูก็ถูกเปิดออกมาเสียก่อน หันไปมองก็เห็นออสตินที่อยู่ในชุดนอนยืนมองอยู่ สีหน้าของเขาในตอนนี้มีคำถามผุดพรายอย่างชัดเจนว่า ‘มีอะไร’ แต่เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบ เอาแต่มองคนตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าพลางกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก ถึงออสตินจะใส่เพียงเสื้อยืดกับกางเกงขายาว ไม่ได้ใส่สูทอย่างเคย แต่ก็มีเสน่ห์ชวนมองจนทำให้เด็กหนุ่มลืมเรื่องที่จะพูดไปหมดสิ้น

เสื้อยืดสีขาวบางๆ ที่แนบลู่ไปกับผิวเนื้อจนเหมือนจะเห็นลอนกล้ามหน้าท้องข้างในนั้น...

กางเกงขาวยาวพอดีตัวที่เกาะต่ำอยู่ช่วงสะโพกจนเห็นไรขนอ่อนๆ วับแวม...

ทำเอาสติของกานต์แทบจะเตลิดเปิดเปิง!

เรียวคิ้วเข้มของออสตินขยับขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถามว่ามีอะไรเมื่อเห็นว่าลูกเลี้ยงของตนไม่ยอมพูด ก่อนที่จะเรียกคนตรงหน้าเพื่อดึงสติเมื่อเห็นว่าจ้องมองเขานานเกินไป

"กานต์"

"อะ...ครับ?"

"มีอะไร"

นั่นสินะ มีอะไรล่ะถึงได้มายืนเคาะประตูห้องเรียกกลางดึกอย่างนี้

กานต์เม้มริมฝีปากแน่น นึกเรื่องที่ตั้งใจจะพูดขึ้นมาได้ก่อนที่จะเปล่งเสียง

"เรื่องนอนกับแด๊ดดี้...ผมเปลี่ยนใจตอนนี้ทันไหมครับ"

ออสตินยกมือขึ้นกอดอกทันใด สายตาเหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้องด้วย

"เปลี่ยนใจตอนตีสองเนี่ยนะ"

เด็กหนุ่มพยักหน้า รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่สมควร อาจจะทำให้ออสตินหัวเสียได้ แต่ก็ให้ทำอย่างไรได้ล่ะ จิตใจเขามันวุ่นวายจนทำให้ร่างกายกระสับกระส่ายไปหมด อุตส่าห์เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ทว่าจนถึงตอนนี้ก็หลับไม่ลงสักนิด เอาแต่คิดถึงคำพูดของออสตินไม่เลิกรา

"แต่เธอเป็นคนปฏิเสธเองแต่แรก"

พอออสตินว่ามาอย่างนี้ กานต์ก็ก้มหน้างุด

"พูดเองไม่ใช่เหรอว่าไม่อยากนอนห้องเดียวกับฉัน"

"ไม่ใช่อย่างนั้นครับ"

"แล้วมันอย่างไหน"

"คือผม..."

อ้ำๆ อึ้งๆ ไปอีก ออสตินเอนตัวพิงกับขอบประตู รอให้อีกฝ่ายพูดอย่างใจเย็น ผ่านไปครู่หนึ่ง กานต์ถึงได้เอ่ยปากออกมา

"ผมคิดว่าผมจะหักห้ามใจตัวเองไม่ให้คิดฟุ้งซ่านไม่ได้ถ้าได้นอนกับแด๊ดดี้ กลัวว่าจะคิดไม่ดี ทำตัวไม่เหมาะสมอีก แต่พอปฏิเสธไปแล้ว ผมก็นอนไม่หลับ"

"เพราะอะไรล่ะ"

"เพราะจริงๆ ผมอยากนอนกับแด๊ดดี้ครับ"

ยอมรับสารภาพออกไปตามตรงด้วยท่าทางสัตย์ซื่อ ออสตินมองจ้องอีกฝ่ายที่เอาแต่ยืนตัวลีบด้วยสายตาที่ยากจะอ่าน กานต์คิดในใจแล้วว่าเดี๋ยวเขาจะต้องถูกไล่กลับห้องแน่

"กลับห้องไป"

...นั่นไง เดาผิดเสียที่ไหน

"แล้วไปเอาหมอนกับผ้าห่มมา ที่ห้องฉันไม่มีสำรอง"

เด็กหนุ่มมีสีหน้าอึ้งงันทันที พลันสติก็กลับมาเมื่อออสตินว่าออกมาอีกครั้ง

“รีบไปเอามา จะได้มานอน ดึกมากแล้ว”

กานต์ไม่รอช้า รีบหมุนตัวเตรียมกลับเข้าไปในห้องของตัวเองทันที หากแต่ก็ต้องชะงักขาไว้เมื่อถูกเรียกอีก

“กานต์”

“ครับ?”

“เอามาแค่หมอนก็พอ เดี๋ยวใช้ผ้าห่มผืนเดียวกับฉันก็ได้ ผืนมันใหญ่ เอามาเพิ่มอีกผืนเดี๋ยวจะแน่นเตียง”

กานต์ยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่ปกปิดด้วยความดีใจทันควัน ก่อนจะรีบขานรับ

“ครับ!”

สิ้นเสียงก็หายวับเข้าไปในห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว กลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับหมอนที่กอดอยู่ในมือ ออสตินมองเด็กหนุ่มที่แสดงท่าทางดีใจออกมาอย่างชัดเจนแล้วก็ได้แต่หัวเราะในลำคอน้อยๆ

ลูกเลี้ยงของเขาเหมือนลูกหมาน้อยไม่มีผิด...

 

ในที่สุดก็ได้นอนกับออสตินสมใจปรารถนา หากแต่ถึงจะได้นอนเตียงเดียวกัน กานต์ก็ยังคงนอนไม่หลับอยู่ดี เผลอๆ จะกระสับกระส่ายยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยเพราะในตอนนี้หัวใจของเขาเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ความจริงเต้นระส่ำไม่หยุดมาตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาในห้องของออสตินแล้ว

ก็จะให้เขาไม่ตื่นเต้นได้อย่างไรกันล่ะ รับรู้ถึงไออุ่นของออสตินอย่างใกล้ชิดขนาดนี้ เขาสงบสติอารมณ์ของตัวเองไม่ได้หรอก ยิ่งได้มาอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันแล้ว เขาก็...

กานต์สูดหายใจเข้าปอดเพื่อระงับความฟุ้งซ่าน เหลือบไปมองร่างใหญ่ภายใต้ความมืดที่ตอนนี้จังหวะลมหายใจเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ

ออสตินหลับไปแล้ว... ดูท่าทางจะไม่ได้คิดอะไรมากที่อนุญาตให้ลูกเลี้ยงมานอนร่วมเตียงด้วยอย่างนี้ มีแต่กานต์เท่านั้นล่ะที่คิดวุ่นวายไปเอง เขาก็พยายามแล้วที่จะหยุดคิด อยากจะนอนข้างๆ ออสตินแล้วผล็อยหลับไปโดยไม่คิดอกุศลเช่นกัน แต่ว่า...กลิ่นหอมอ่อนๆ ของออสตินที่ลอยมาแตะจมูกในระยะประชิดมันทำให้เขาไม่คิดไม่ได้

กลิ่นสบู่...

กลิ่นแชมพู...

กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มจากเสื้อผ้าที่สวมใส่...

ล้วนแล้วทำให้กานต์อยู่เป็นสุขไม่ได้เลยสักนิด เขาสูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้ง พยายามข่มตาด้วยการดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดใบหน้า

ไม่ต้องได้กลิ่นก็คงจะไม่ฟุ้งซ่าน...

แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อกลิ่นของออสตินไม่ได้มีแค่กลิ่นพวกนั้น บนผ้าห่มของเขาก็มีกลิ่นหอมเช่นกัน เรียกได้ว่ามีกลิ่นของออสตินอบอวลอยู่ทุกที่

จะทนไม่ไหวแล้วนะ!

กานต์ตัดสินใจจะพลิกตัวหนี อย่างน้อยการนอนหันหลังให้ก็คงจะทำให้เขาสงบลงได้บ้าง ทว่า...สวรรค์กลับไม่เป็นใจเสียเลย เพราะในจังหวะที่เด็กหนุ่มกำลังจะพลิกตัว มือของเขาก็เหวี่ยงไปโดนกับหลังมือของออสตินที่อยู่ใต้ผ้าห่มพอดี ผิวเนื้ออุ่นร้อนทำให้กานต์ถึงกับนิ่งงันราวกับหิน นัยน์ตาเบิกโพลงด้วยอารามตกใจ

จะตื่นหรือเปล่า!?

พลันก็แกล้งหลับทันที ผ่านไปครู่หนึ่งถึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเหลือบมอง พอเห็นว่าออสตินยังคงนอนอยู่ในท่าเดิม ลมหายใจก็สม่ำเสมอเหมือนเดิม เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

ไม่ตื่นก็รอดตัวไป...

แต่ว่า...การได้สัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจกลับทำให้กานต์ล้มเลิกความคิดที่จะพลิกตัวหนี เขาค่อยๆ เลื่อนมือไปแตะที่หลังมือของออสตินช้าๆ ระหว่างนั้นก็ลอบสังเกตคนข้างกายไปด้วย

เมื่อไม่เห็นว่าออสตินจะมีปฏิกิริยาใด มือของเด็กหนุ่มก็กอบกุมฝ่ามือใหญ่อย่างถือวิสาสะ ริมฝีปากเม้มแน่น ใจเต้นระทึกด้วยความตื่นเต้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกเต็มตื้นอย่างถึงที่สุด

มือของออสติน...อบอุ่นกว่าที่เขาคาดคิดไว้มากทีเดียว ตอนแรกคิดว่าจะจับเพียงครู่แล้วปล่อย แต่สุดท้ายแล้วก็เผลอไผลไปจนได้

ไว้ถ้าแด๊ดดี้ตื่นค่อยอ้างว่าละเมอก็แล้วกัน...

ถึงตอนนี้กานต์ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ แล้ว ต่อให้ต้องกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะ เขาก็ยินดี

รอยยิ้มผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้าอ่อนเยาว์ กานต์ค่อยๆ หลับตาลง ซึมซับเอาความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากฝ่ามือหยาบกร้านนั้นผ่านมือของตัวเอง ก่อนที่จะก้าวย่างเข้าสู่นิทรารมย์

เสียงลมหายใจสม่ำเสมอและเสียงกรนเบาๆ ดังขึ้นจากเด็กหนุ่ม มือของเขายังไม่ปล่อยจากมือของคนข้างกาย และดูท่าทางจะไม่ได้ปล่อยออกจากมือนั้นตลอดทั้งคืนด้วยเมื่อมือใหญ่ค่อยๆ ขยับกระชับฝ่ามือเล็กเข้าหา สอดประสานปลายนิ้วแนบแน่นโดยไร้เสียงใดๆ ท่ามกลางความมืดมิด

เห็นทีคืนนี้กานต์คงจะหลับฝันดี...

---------------------------

ว่าจะอัปตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ แต่หนูแดงไม่ค่อยสบายก็เลยขอยกยอดมาวันนี้

ตอนนี้ยาวจุใจเลย นุ้งกานต์ยังคงวัยรุ่นว้าวุ่นเหมือนเดิม ส่วนแด๊ดดี้...นางร้ายยยย แกล้งหลับคืออัลไลลล 555

ฝากฟีดแบ็กเป็นกำลังใจให้กันหน่อยนะคะ เดี๋ยวมาต่อให้ค่า

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ต้องมีตัวกระตุ้นให้แดดดี้แสดงความรู้สึกออกมาบ้าง แอบเห็นใจน้องกานต์นะเนี่ย

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
ใครจะอดใจไม่ไหวก่อนกันนะ :hao3:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
นั่นซิอยากรู้เหมือนกันว่าแต่งงานในนามใช่ปะ เหตุผลทางธุรกิจหรือป่าว  :hao4:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
 

Chapter 9: Punishment[1]

เมื่อคืนเป็นคืนที่ฝันดีที่สุดสำหรับกานต์ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นิวยอร์ก ทว่าฝันหวานของเขาก็ต้องมลายหายไปเมื่อรู้สึกตัวตื่นและเห็นว่าคนข้างกายทิ้งไว้เพียงที่ว่างเย็นเยียบข้างตัวเท่านั้น เด็กหนุ่มถึงกับใจหายวูบ

เมื่อคืนนี้เขาลอบจับมือของออสติน อีกฝ่ายตื่นก่อนอย่างนี้ อย่าบอกนะว่า...

เท่านั้นก็ไม่รอช้า รีบวิ่งลงมายังชั้นล่างพอดี ก่อนที่จะต้องออกอาการประดักประเดิดเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังg=Hfรองเท้าหนังที่ขัดจนเงาวับอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น

เสียงตึงตังเรียกให้อีกฝ่ายหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นลูกเลี้ยงในชุดนอนก็ออกปาก

“ตื่นแล้วเหรอ”

“คะ...ครับ”

ถึงจะหวาดหวั่นเพียงใด แต่ถูกถามมาแล้วก็ต้องตอบ พลันสายตาก็หลุกหลิกไปมาเมื่อถูกคนตรงหน้าจ้อง

“รีบไปล้างหน้าแต่งตัวซะ จะได้กินมื้อเช้าแล้วไปกัน”

ความนิ่งเฉยของออสตินทำให้กานต์นิ่งไปครู่

หรือว่าจะไม่รู้ว่าเมื่อวานเขาแอบจับมือ?

ใจก็อยากจะถาม แต่เห็นว่าชายหนุ่มไม่พูดอะไรหลังจากนั้นก็ได้แต่อึกอัก จนกระทั่งเป็นออสตินที่พูดขึ้นมาอีก

“มีอะไรเหรอ”

กานต์ก็สรุปเอาเองทันทีว่าเขาอาจจะเผลอปล่อยมือจากออสตินก่อนที่อีกฝ่ายจะตื่น ดังนั้นคนตรงหน้าถึงได้ยังคงมีท่าทีปกติอย่างที่เห็น

“ไม่มีอะไรครับ”

ในเมื่อออสตินไม่พูดหรือทักอะไร เขาก็ไม่ควรที่จะถาม กานต์ปฏิเสธ ส่ายศีรษะดิก ทำให้ออสตินต้องออกคำสั่ง

“ถ้าไม่มีอะไรก็ไปจัดการธุระส่วนตัวได้แล้ว เสร็จแล้วก็รีบลงมา ฉันรอ”

“ครับ”

กานต์ขานรับ วิ่งขึ้นไปยังชั้นบนอีกครั้ง ก่อนหลุบเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตูได้ก็ยกมือลูบหน้าอกตัวเองด้วยความโล่งใจ

ท่าทางจะไม่รู้...ค่อยยังชั่ว

 

แต่...ไม่รู้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ?

ถึงออสตินจะไม่แสดงท่าทางใดๆ ออกมา ทำตัวเป็นปกติทุกอย่าง ทว่ากานต์คงจะลืมไปว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่กว่ากันเยอะ เวลาที่เขาทำผิดอะไรหรือมีอะไรผิดแปลก มีเหรอที่ออสตินจะพูดหรือแสดงออกมาให้รับรู้ได้ ขนาดเรื่องที่เขาคิดฟุ้งซ่านจนเผลอปล่อยให้อะไรต่อผิดอะไรมันตื่นตัวขึ้นมา ออสตินยังไม่พูดเลย ได้แต่ไล่ให้เขาไปชงน้ำผึ้งมะนาวให้ แล้วครั้งนี้...ก็ไม่แน่ว่าอาจจะรู้แต่ไม่พูดเหมือนกัน

เด็กหนุ่มเพิ่งจะมาสำนึกได้เมื่อมาถึงที่โรงเรียน พอคิดอย่างนั้น เขาก็แทบจะเอาศีรษะโขกกับกำแพงให้สมกับการกระทำไม่คิดหน้าคิดหลังของตน

บ้าบอชะมัด ถ้าแด๊ดดี้แล้วจะคิดยังไง!

ออสตินยิ่งเป็นคนอ่านยากๆ อยู่ด้วย ไม่วายสู้หน้าได้ยากกว่าเดิมแหง แต่ก็คงจะทำอะไรให้ดีไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว นอกจากจะแสร้งทำตัวปกติ

กานต์ได้แต่ยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างหัวเสียกับการกระทำไม่คิดหน้าคิดหลังของตน ต่อให้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้จะเป็นฝันดี แต่ถ้ามันส่งผลเสียในอนาคต เขาก็จะไม่ทำมัน

จะไม่ทำ...

ไม่มีวันทำเลย...

“คาร์ล เฮ้! ฟังฉันอยู่หรือเปล่า”

“หืม?”

คนถูกเรียกสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง พอเห็นว่าคนที่เรียกคือเด็กหนุ่มผมบลอนด์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สีหน้าก็แลดูงุนงง ขณะที่อีกฝ่ายขมวดคิ้วยู่

“ฉันถามนายตั้งหลายครั้งแล้ว มัวเหม่ออะไรอยู่”

ตอนนี้เองถึงรู้สึกตัวว่าเขามานั่งกินมื้อกลางวันกับเจฟเฉยๆ อยู่ เมื่อครู่เจฟฟรี่ย์ก็พูดอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่ได้ฟัง มัวแต่เหม่อ

“เมื่อกี้นายถามอะไร”

กานต์เลี่ยงไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับแทน เจฟฟรี่ย์ยู่ปากเล็กน้อยทว่าก็ไม่ได้ถือสาอะไรที่ถูกเมิน ก่อนจะพูดในสิ่งที่ตนพูดไปเมื่อครู่

“ฉันถามนายว่าคืนนี้นายว่าไง ตกลงว่าจะไปไหม”

คนฟังเลิกคิ้วสูง “ไปไหน?”

“เอ้า ก็ไปทำรายงานที่บ้านฉันไง รายงานที่มิสเจนสั่งเมื่อเช้า”

เจฟฟรี่ย์ว่า ส่วนกานต์ก็ร้องอ๋อ... รายงานวิชาประวัติศาสตร์ที่ได้รับมอบหมายเมื่อเช้านี้นี่เอง

“แต่กำหนดส่งมันตั้งอาทิตย์หน้า”

เขารู้สึกว่าเร็วไปหน่อยที่จะทำ งานเพิ่งได้รับมอบหมายมาเมื่อเช้าแท้ๆ มาถูกชวนให้ไปบ้านของอีกฝ่ายวันนี้เลย เขารู้สึกว่ามันกะทันหันไปหน่อย หากแต่เจฟฟรี่ย์กลับยกยิ้ม

“นักเรียนที่นี่ก็อย่างนี้แหละ มีงานอะไรให้ทำก็รีบทำ จะได้มีเวลาเล่นสนุก”

คงเป็นอย่างนั้น การเรียนการสอนของที่นี่ต่างจากที่ไทยมากทีเดียว ความกระตือรือร้นของนักเรียนเองก็เช่นกัน ทำให้กานต์ไม่ได้ใส่ใจที่จะถามอะไรซอกแซกสักเท่าไรนัก

“แต่ฉันต้องขออนุญาตแด๊ดดี้ก่อน”

พูดมาอย่างนี้ เจฟฟรี่ย์ก็เบ้หน้า “คุณสเวนน่ะเหรอ”

“อืม”

“ฉันก็ลืมไปว่านายเป็นลูกเลี้ยงของเขา” ครางออกมาอีก พลันเรียวคิ้วก็ยุ่งเหยิงไปหมดราวกับขบคิดไม่ตกว่าเขาสมควรชวนเด็กหนุ่มตรงหน้าไปที่บ้านตัวเองหรือไม่ เพราะดูท่าแล้วคงจะมีปัญหาตามมาไม่น้อยถ้าหากชวนคนตรงหน้าไป แต่...ตอนนี้กานต์เป็นเพื่อนสนิทเขานี่นา ไม่ว่ายังไงก็อยากให้ไปนี่นะ

“งั้นนายลองไปถามคุณสเวนหน่อยได้ไหมว่าให้กลับบ้านได้กี่ทุ่ม”

“นายคิดว่าฉันควรกลับกี่ทุ่มล่ะ”

“จริงๆ อยากให้อยู่ทั้งคืนน่ะนะ แต่ดูท่าทางแล้วคงจะต้องกำหนดลิมิตไว้ที่สี่ทุ่ม ไม่เร็วเกินไป ไม่ดึกเกินไป”

เจฟฟรี่ย์ว่า กานต์แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่ากับแค่ทำรายงานวิชาประวัติศาสตร์ ทำไมจะต้องกลับดึกขนาดนั้น แต่พอคิดจะถาม คนตรงหน้าก็พูดออกมาก่อนแล้ว

“ต้องเรียบเรียงข้อมูล แล้วก็ต้องปรึกษากันเรื่องรูปแบบการพรีเซ้นต์ ดูท่าต้องใช้เวลาหน่อย มิสเจนยิ่งเขี้ยวๆ อยู่ด้วย ต้องวางแผนงานให้ดี”

กานต์พยักหน้า เจฟฟรี่ย์ก็มีเหตุผลดี ถึงจะเพิ่งเคยเรียนกับอาจารย์คนนี้ กานต์ก็สัมผัสได้ว่าเจ้าหล่อนเป็นคนละเอียดมากทีเดียว หากข้อมูลผิดพลาดไป มีหวังคงโดนหักคะแนนแหลกลาน ทำให้เขาตกปากรับคำไป

“อืม งั้นไว้จะไปขออนุญาตก่อนนะ”

ได้ยินดังนั้น เจฟฟรี่ย์ก็ยกยิ้มขึ้นมา

“ฉันจะรอคำตอบของนาย ขอให้คุณสเวนอย่าทำตัวมีปัญหาเถอะ”

เป็นคำภาวนาที่ไม่รื่นหูกานต์เอาเสียเลย ถึงจะรู้ว่าออสตินเป็นคนเข้มงวด แต่เขาก็ไม่ได้หมายความว่าอยากจะให้คนอื่นมาว่าพ่อเลี้ยงของเขาหรอกนะ

ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะทันทีที่เจฟฟรี่ย์พูดจบ เพื่อนในทีมฟุตบอลของเขาก็โผล่มาพอดี กานต์รู้จักคนพวกนั้นหมดแล้ว เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนของกานต์อีกกลุ่มหนึ่งก็ว่าได้ เขาเลยเปลี่ยนไปทักทายกับคนพวกนั้นแทน

“เดี๋ยวฉันไปซ้อมก่อน ไว้ค่อยเจอกันที่ห้องเรียน”

เจฟฟรี่ย์ว่าส่งท้ายเมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่จะต้องไปแล้ว พอกานต์พยักหน้ารับ โบกมือลา เพื่อนๆ คนอื่นในทีมฟุตบอลก็ร้องบอก

“คืนนี้นายอย่าพลาดเชียวคาร์ล ต้องมาให้ได้นะ”

“ใช่ รับรองเลยว่ามันส์แน่นอน!”

จากนั้นเสียงหัวเราะขรมก็ดังขึ้น คนฟังขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

มันส์... เกี่ยวอะไรกับการทำรายงานวิชาประวัติศาสตร์กัน?

อยากจะถามเจฟฟรี่ย์ให้รู้เรื่องในตอนนี้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่อยู่รอให้ถามแล้ว ทิ้งเพียงคำพูดสั้นๆ

“ไว้เจอกัน”

จากนั้นก็จากไปโดยไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมหลังจากนั้น ปล่อยให้กานต์มองตามด้วยความสงสัย

 

เรื่องการไปบ้านของเจฟฟรี่ย์นั้น บอกตามตรงว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากจะไปสักเท่าไรนัก อันที่จริงก็คิดไว้แล้วด้วยว่าจะปฏิเสธด้วยรู้สึกว่ามันค่อนข้างกะทันหันไปหน่อยที่จู่ๆ ก็จะไปขออนุญาตออสตินไปบ้านเพื่อนโดยไม่ได้บอกล่วงหน้าก่อนหลายๆ วัน แต่เจฟฟรี่ย์ก็มาคะยั้นคะยอราวกับรู้ว่ากานต์คิดจะปฏิเสธ มิหนำซ้ำพวกเพื่อนๆ ที่อยู่กลุ่มรายงานกลุ่มเดียวกันยังผสมโรง ก็ทำให้กานต์หนักใจที่จะปฏิเสธ ยิ่งเจฟฟรี่ย์ออกตัวว่าจะมาช่วยขออนุญาตพร้อมกับขันอาสาทำหน้าที่สารถีรับส่งด้วยแล้ว กานต์ก็ปฏิเสธไม่ออกหนักไปใหญ่

อะไรไม่ว่า พอเลิกเรียนก็ควงแขนกานต์มาหาออสตินที่มารอรับถึงที่รถ ทำเอาเด็กหนุ่มปั้นหน้าไม่ถูกทันทีเมื่อสิ้นเสียงเจฟฟรี่ย์หลังจากที่เอ่ยขออนุญาตกับออสตินตรงๆ

“มันจำเป็นต้องทำวันนี้เลยหรือไง”

กะไว้อยู่แล้วเชียวว่าออสตินเองก็ต้องรู้สึกว่ามันเร็วไป อย่างที่บอกว่างานเพิ่งได้รับมอบหมายเมื่อเช้านี้

“มันมีรายงานหลายวิชาที่ต้องทำนี่ครับคุณสเวน รีบจัดการให้จบไปเลยจะได้ไม่ต้องมาหนักตอนใกล้จะส่ง”

เจฟฟรี่ย์ว่าพลางอมยิ้ม ท่าทางของเขาไม่ได้ยี่หระกับน้ำเสียงเรียบๆ และใบหน้านิ่งเฉยของออสตินเลยแม้แต่น้อย พูดก็พูดคือไม่มีท่าทีว่าจะกลัวสักนิด มีก็แต่กานต์เท่านั้นที่ก้มหน้างุดด้วยอึดอัดกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ไปแล้ว

“แล้วทำไมต้องไปทำที่บ้านเธอ”

ออสตินถามออกมาอีก ในน้ำเสียงนิ่งเรียบนั้นมีความนัยบางอย่างประหนึ่งว่าไม่อยากให้กานต์ไปที่นั่น

“บ้านผมอยู่ใกล้โรงเรียน แล้วก็หลังใหญ่ เพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มสะดวกมารวมตัวที่นี่”

ทว่าเจฟฟรี่ย์เองก็มีเหตุผล เรื่องนั้นออสตินก็ยอมรับได้ แต่ที่เขายังชั่งใจอยู่เป็นเพราะรู้ดีว่าการที่เด็กวัยรุ่นรวมตัวกันไปที่บ้านของเด็กหนุ่มผมบลอนด์ตรงหน้า มันต้องไม่ได้จบแค่การทำรายงานอย่างเดียวแน่ ก็เขาพอจะรู้นิสัยของเจฟฟรี่ย์ว่าเป็นคนรักสนุกแค่ไหน เรื่องการทำรายงานอะไรนั่นก็เป็นแค่การบังหน้าเท่านั้นแหละ

“เอ่อ...ถ้าไม่อยากให้ผมไปก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมโอเค”

เห็นออสตินเงียบไปเสียนาน ไม่ตอบสักที กานต์ก็ว่าขึ้นมา เขาเองก็รับรู้ได้ว่าผู้ปกครองของเขาดูไม่พอใจสักเท่าไรที่ตนขอไปบ้านเพื่อนอย่างนี้ มิหนำซ้ำเพื่อนยังเป็นคนขออนุญาตแทนเขาด้วย เดาไปเองว่าคงจะเพราะมันกะทันหัน ไม่ได้บอกล่วงหน้าหลายๆ วันอย่างที่คาดเดา ออสตินถึงได้แสดงท่าทางเคร่งขรึมออกมาอย่างนี้

ซึ่ง...นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ออสตินไม่อยากให้ไป มันเป็นเรื่องที่แน่นอน เหตุผลอื่นๆ ก็มีอีกหลายประการ เขาเห็นว่ากานต์ยังไม่คุ้นชินกับนิวยอร์กและโรงเรียน การไปบ้านของเพื่อนที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่นานอย่างนั้น แล้วยังมีเพื่อนคนอื่นไป ทำให้กานต์มีโอกาสที่จะถูกกลั่นแกล้งมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

หรือ...บางทีเขาก็อาจจะเป็นห่วงมากไปถึงได้คิดเลอะเทอะไปอย่างนั้น

อีกทั่งเมื่อมาคิดดูดีๆ แล้ว เขาไม่ควรที่จะห้าม เพราะกานต์เองก็อยู่ในช่วงวัยรุ่น การไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อนเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ หากห้ามปรามหรือเข้มงวดเกินไป แล้วในอนาคตแอบหนีไปโดยไม่บอกกล่าวเขาขึ้นมา นั่นจะยิ่งทำให้เขาหัวเสียมากไปใหญ่

“เอาน่าคุณสเวน ยังไงคุณก็รู้จักบ้านผม บ้านเราก็อยู่ใกล้กันแค่นี้ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมดูแลคาร์ลให้เอง”

เห็นคนอาวุโสกว่าลังเล ไม่ยอมอนุญาตสักที เจฟฟรี่ย์ก็ว่าขึ้นมาอีก

ดวงตาสีฟ้าชำเลืองมองไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วถาม

“ไปแล้วจะกลับกี่โมง”

“ผมขอลิมิตที่สี่ทุ่มครับ”

เป็นเจฟฟรี่ย์ที่พูด ส่วนกานต์ก้มหน้างุดไปแล้ว

ออสตินไม่รู้หรอกว่าลูกเลี้ยงของเขาอยากจะไปหรือเปล่า แต่มีท่าทางลำบากใจอย่างนั้น ก็คงต้องปล่อยให้ไป อย่างน้อยก็ต้องรักษาความสัมพันธ์ในสังคมเพื่อนให้กับกานต์ ถ้าไปเข้มงวดมาก ผลเสียมันตกอยู่ที่ลูกเลี้ยงของเขาแน่ ไม่วายโดนตราหน้าว่าเป็นลูกแหง่ แล้วจะกลายเป็นการจุดชนวนให้ถูกกลั่นแกล้งทีหลัง

“แล้วไปกลับยังไง”

ถามมาอย่างนี้ เจฟฟรี่ย์ก็ยิ้มร่าราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายเตรียมตัวจะตอบตกลง

“เดี๋ยวผมจะเป็นคนไปส่งเอง คุณสเวนไม่ต้องห่วง”

ห่วงสิ ห่วงแน่... ออสตินเหลือบมองทันใด

“นายจะขับรถมาส่ง?”

“ครับ”

ได้ยินอย่างนั้น คนฟังก็ยิ่งย่นคิ้วมากขึ้นไปใหญ่

เด็กอายุสิบเจ็ด ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และยังไม่มีใบขับขี่ แต่อาสาจะมาส่งลูกเลี้ยงเขาที่บ้านดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ยิ่งต้องน่าเป็นห่วง

“ให้คนขับรถบ้านเธอขับมาส่ง”

ออสตินเลยโพล่งออกไปแบบนั้น สายตาที่มองไปยังเจฟฟรี่ย์ดุดันประหนึ่งกำลังวางอำนาจและออกคำสั่ง กานต์ไม่ชอบสายตาแบบนั้นเลย เขาจึงยืนตัวลีบ ขณะที่เจฟฟรี่ย์พยักหน้ารับอย่างไม่ยี่หระ

“โอเค ไม่มีปัญหา ตามนั้นครับ”

ไม่มีปัญหาแน่นอนอยู่แล้วล่ะ แค่พากานต์ไปด้วยให้ได้ อะไรเขาก็โอเคทั้งหมด

“แล้วขาไป...”

“เดี๋ยวคนขับรถผมมารับ ไม่ต้องห่วง ให้คาร์ลติดรถไปได้เลย”

ออสตินตั้งใจจะพูดว่าเขาจะเป็นคนไปส่งกานต์ที่บ้านนั่นแท้ๆ แต่ถูกเจฟฟรี่ย์โพล่งสวนมาอย่างนี้ก็จำต้องปิดปากสนิท ระบายลมหายใจออกมาแล้วมองหน้าของเด็กในอาณัติตนนิ่ง

“อย่าผิดสัญญา”

จากนั้นก็ว่าสั้นๆ กานต์รีบพยักหน้ารับหงึกหงักทันที

“เธอต้องถึงบ้านตอนสี่ทุ่ม”

ออกคำสั่งมาอีก กานต์ก็รีบตอบรับทันควัน

“ครับ”

“ฉันจะรอที่บ้านจนกว่าเธอจะกลับ”

พูดจบก็ขึ้นรถแล้วขับออกไป ทิ้งให้ลูกเลี้ยงของตนมองตามหลังกระทั่งรถของออสตินหายลับไปจากสายตา

“เป็นพ่อเลี้ยงที่เข้มงวดดีจัง”

เจฟฟรี่ย์ว่าขำๆ แต่สาบานได้เลยว่าลูกเลี้ยงอย่างกานต์ไม่ขำด้วยสักนิด เขารู้สึกผิดที่ให้เจฟฟรี่ย์ไปขออนุญาตแทนอย่างนั้น เหนือสิ่งอื่นใด... เขารู้ตัวทันทีว่าไปทำให้ออสตินไม่พอใจเข้าเสียแล้ว

“จะไปกันหรือยัง คนขับรถมาแล้ว”

ได้สติกลับคืนมาอีกครั้งก็ตอนที่เด็กหนุ่มผมบลอนด์เอ่ยเรียก กานต์พยักหน้ารับ เดินตามหลังอีกฝ่ายไป ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองยังทิศทางที่รถของออสตินขับออกไปเมื่อครู่นี้

บางทีการไปบ้านของเจฟฟรี่ย์ในวันนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม...

ถ้าทำให้ออสตินไม่พอใจ อะไรก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้นแหละ

 


ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8

Chapter 9: Punishment[2]


ออสตินเคยเรียนไฮสกูลมาก่อน เขารู้ว่าการทำรายงานวิชาประวัติศาสตร์มันต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการค้นคว้า แต่การที่เด็กหนุ่มในอาณัติของเขาไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้ เรื่องรายงานมันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่ดีในการแก้ตัวสักนิด

ดวงตาทรงอัลมอนด์เหลือบมองไปที่หน้าปัดนาฬิกาข้อมือแบรนด์หรู เข็มยาวเลยเวลาสี่ทุ่มมาครึ่งชั่วโมงแล้ว เขากำลังบอกตัวเองให้รออีกฝ่ายกลับมาบ้านอย่างใจเย็นอยู่ ทว่า...ก็หยุดกระสับกระส่ายไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

เขาอนุญาตให้กลับบ้านอย่างช้าคือสี่ทุ่มไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมถึงยังไม่กลับมา!?

ใจก็พอจะรู้อยู่ว่าเพราะอะไร ทำรายงานที่บ้านเจฟฟรี่ย์เหรอ? คิดว่ามันจะมีแค่การทำรายงานอย่างเดียวหรือไง กับเจ้าเด็กผมบลอนด์ที่รักสนุกเป็นชีวิตจิตใจ อีกทั้งเพื่อนๆ แห่กันไปที่บ้านของเขาอย่างนั้น มันหนีไม่พ้นแอบจัดงานปาร์ตีอยู่แล้ว

ออสตินหงุดหงิดตัวเองพอสมควรที่อนุญาตให้กานต์ไปทั้งที่รู้อยู่แก่ใจในเรื่องนี้ หากแต่เขาก็ยังคงทำใจเย็น รอเวลาอยู่อีกสักพักด้วยคิดว่ากานต์คงจะต้องหาทางรีบกลับมาบ้านตามสัญญาแน่

เข็มสั้นและเข็มยาวชี้เลขสิบเอ็ด...

ออสตินขมวดคิ้วจนเส้นเลือดขึ้นเป็นร่องที่ข้างขมับ

กานต์ยังไม่กลับมา... เลยเวลาที่สัญญาหนึ่งชั่วโมงเต็ม

จากที่ยังใจเย็นอยู่ ตอนนี้เป็นเขาเองแล้วที่เริ่มทนไม่ไหว ออกอาการกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด ความเป็นห่วงพร่างพรายขึ้นเกาะกุมจิตใจ

แน่นอนว่าความเป็นห่วงของเขาเป็นไปในฐานะผู้ปกครอง

แต่นั่น...เป็นเพียงคำหลอกลวงที่เขาใช้กล่อมจิตใจตนเอง แท้จริงแล้วตอนนี้ออสตินรู้สึกราวกับว่าของรักของหวงของเขากำลังจะสูญหายไป

ชายหนุ่มไม่ทนอีกต่อไป ลุกขึ้นจากโซฟา คว้าเอากุญแจรถ พุ่งออกไปนอกบ้าน ตั้งใจว่าจะไปรับลูกเลี้ยงของตนกลับมาเอง แล้วก็จะเล่นงานเจ้าคนที่ทำให้เด็กดีของเขาต้องเสียคนด้วย

ตอนนี้ในใจคิดแต่จะจัดการกับเจฟฟรี่ย์ ทว่าความคิดนั้นก็ต้องมลายหายไปเมื่อเปิดประตูบ้านออกมา สายตาก็ปราดมองไปเห็นรถคันหนึ่งมาจอดเทียบที่หน้าบ้าน หากจำไม่ผิด รถคันนั้นเป็นของบ้านโอโคเนล พอเดินเข้าไปใกล้ ก็พบว่าผู้ชายที่ขับรถคันนั้นมาเป็นคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดี

“คุณสเวน”

ชายคนนั้นเอ่ยทัก เขาเป็นคนขับรถให้กับบิดาของเจฟฟรี่ย์และคุ้นเคยกับออสตินดี ทว่าออสตินไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เขามองไปผ่านกระจกที่ติดฟิล์มดำมือเข้าไปในรถโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้คนตรงหน้าเอ่ยปาก

“ผมพาคนของคุณมาส่งครับ”

‘คนของคุณ’…เท่านี้ก็รู้แล้วว่าเป็นกานต์

ออสตินไม่พูดอะไร เอื้อมมือไปเปิดประตู จากนั้นก็ต้องย่นคิ้วจนยู่ไปหมดเมื่อเห็นสภาพของคนที่กำลังรออยู่

สลบไสลไม่ได้สติ นอนฟุบคอพับคออ่อนอยู่บนเบาะผู้โดยสารทางด้านหลัง กลิ่นเหล้าฉุนๆ และกลิ่นเหม็นไหม้ลอยคละคลุ้งเข้าจมูกทันทีที่เอื้อมมือไปพยุง ทำเอาเขาต้องหันไปมองหน้าคนขับรถทันควัน

“คุณเจฟฟรี่ย์จัดงานปาร์ตี”

อีกฝ่ายรีบบอกอย่างรู้ทัน ออสตินระบายลมหายใจออกมาเต็มแรง

กะไว้แล้วเชียว...

“มีเหล้า”

คู่สนทนาพยักหน้า

“แล้วก็มีกัญชาด้วย”

พวกเด็กนั่นคงไม่ดูดกันแค่บุหรี่หรอก คนขับรถพยักหน้ารับมาอีกที รู้ดีว่าป่วยการที่จะปฏิเสธหรือแก้ตัวให้กับลูกมหาเศรษฐีที่เอาแต่เล่นสนุกไปวันๆ แล้วก็รู้ดีด้วยว่าการเข้าข้างเจฟฟรี่ย์ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก เพราะถ้าออสตินไม่พอใจขึ้นมา เขาอาจจะทำให้เจ้านายซึ่งเป็นบิดาของเจฟฟรี่ย์ต้องหัวเสียแทน

“เด็กพวกนี้”

ออสตินครางเสียงต่ำในลำคอ ความไม่พอใจผุดพรายอย่างรุนแรง พร่ำโทษตนเองไม่หยุดว่าไม่น่าให้กานต์ไปเลย ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจก็ยังจะให้ไป ลูกเลี้ยงของเขาเลยกลับมาในสภาพนี้

“ให้ผมช่วยพาเขาเข้าไปข้างในไหมครับ”

ได้สติกลับคืนมาอีกครั้งก็ตอนที่คนขับรถร้องถาม ออสตินส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร กลับไปเถอะ ฉันดูแลต่อเอง”

พูดจบก็แทบจะอุ้มเด็กหนุ่มเข้าบ้าน ไม่สนใจที่จะหันมามองหน้าคนรับหน้าที่มาส่งหรือบอกลาด้วยซ้ำ เข้ามาในบ้านได้ก็พากานต์ไปนั่งพักที่โซฟา ตอนนี้เองถึงได้เห็นว่ากานต์ไม่ได้เมามายจนไม่ได้สติอย่างที่เห็นในตอนแรก

เปลือกตาบางปรือขึ้นมามองออสตินที่กำลังถอดรองเท้าให้ตนอยู่ ก่อนที่ริมฝีปากจะเผยอขึ้น

“แด๊ดดี้~”

น้ำเสียงอ้อแอ้เรียกสายตาของผู้ปกครองให้เหลือบมอง พลันก็เห็นว่าเจ้าเด็กเกเรกำลังยกยิ้มอยู่ เขาก็ถอนหายใจออกมา การไม่พูดอะไรของเขาทำให้กานต์ต้องร้องเรียกออกมาอีก

“แด๊ดดี้คร้าบ~”

เมามายจนไม่มีสติสัมปชัญญะจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นออสตินก็เชื่อว่าการที่กานต์ตกอยู่ในสภาพนี้ ต้องไม่ใช่เพราะเขาดื่มหรือสูบของมึนเมาพวกนั้นเองแน่ๆ ต้องเป็นฝีมือของพวกเพื่อนๆ โดยเฉพาะเจฟฟรี่ย์

“แด๊ดดี้คร้าบ~ สนใจผมหน่อย~”

เห็นออสตินไม่หือไม่อือ กานต์ก็ส่งเสียงกระเง้ากระงอดออกมา มือทั้งสองข้างเริ่มป่ายปัดคว้าเอาตัวของคนที่อยู่เบื้องหน้ามาจับ ออสตินถอดรองเท้าผ้าใบออกให้เรียบร้อยแล้ว พลันก็ลุกขึ้นมานั่งบนโซฟา มือเอื้อมไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่เปียกชื้นไปด้วยเครื่องดื่มมึนเมาออกให้

“แด๊ดดี้~”

ดูเหมือนกานต์พยายามจะคว้าเอาคนตรงหน้ามากอด ออสตินเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย ปัดมือออกพลางส่งเสียงดุ

“อยู่เฉยๆ ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ เหม็นไปทั้งตัวแล้ว”

เหม็นไปทั้งตัวจริงๆ กลิ่นฉุนทั้งจากบุหรี่ กัญชาและสุราไม่ได้เหมาะกับใบหน้าน่ารักของเด็กหนุ่มคนนี้เลยแม้แต่น้อย ทว่ากานต์ก็ยังคงไม่รู้สึกตัว เขารับรู้แต่เพียงว่าคนตรงหน้าคือคนที่เขาชอบ เขาก็อยากแต่จะสัมผัสเท่านั้น

“ขอผมกอดหน่อยน้า”

จิตใต้สำนึกบอกอย่างนั้น ผสมกับความมึนเมาก็ทำให้กานต์โผเข้า สองแขนโอบกอดร่างใหญ่ ใบหน้าซุกเข้ากับแผงอกแกร่งทันที ก่อนจะไถไปมา สูดกลิ่นหอมของออสตินเข้าปอด ออสตินก็ไม่ได้ว่าอะไรกับการกระทำนี้หรอกเพราะเขายังสาละวนกับการแกะกระดุมเสื้อของอีกฝ่าย แต่เพราะเด็กตรงหน้าอยู่ไม่สุขเลยแม้แต่น้อย เขาเลยต้องดันไหล่ออกแล้วดุขึ้นมาอีกครั้ง

“ฉันบอกให้อยู่เฉยๆ ไงกานต์”

กานต์หัวเราะ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการถูกดุเลยแม้แต่น้อยทั้งที่ในเวลาปกติ เขากลัวที่จะถูกออสตินดุจะตาย

“แด๊ดดี้เซ็กซี่มาก กอดผมที”

แล้วก็พูดจาไร้สาระขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอีกด้วย ออสตินฟังแล้วก็ได้แต่มองนิ่งๆ เขารู้ว่าถ้อยคำพวกนั้นหลุดออกมาขณะที่กานต์ไม่ได้สติ ย่อมไม่เป็นเรื่องจริงอยู่แล้วจึงไม่ได้ใส่ใจ พลันออกคำสั่งอีกครั้ง

“อยู่เฉยๆ”

มือเอื้อมไปปลดกระดุมอีก หากแต่เด็กหนุ่มกลับไม่เชื่อฟังเลยแม้แต่น้อย เห็นร่างใหญ่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมก็เกาะก่าย คราวนี้ยื่นมือไปโน้มใบหน้าคร้ามของออสตินเข้ามาใกล้พลันยื่นริมฝีปากไปทำท่าจะจูบ ออสตินรีบผละออกทันที มองหน้าอีกฝ่ายอย่างหัวเสีย ขณะที่กานต์เองก็มีสีหน้ายุ่งเหยิงเช่นกัน

“ทำไมล่ะ ทำไมไม่กอดผม”

“ฉันบอกให้อยู่เฉยๆ ไม่ใช่หรือไง”

“ทำไมไม่กอดผม! ทำไม!”

ยิ่งพูดยิ่งไม่รู้เรื่อง ยิ่งต่อล้อต่อเถียง กานต์ยิ่งเสียงดัง ออสตินจึงเลือกที่จะเงียบแล้วตั้งใจจะทำหน้าที่ของตัวเองต่อ

เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสร็จ เช็ดตัวให้แล้วพาขึ้นนอนเลย... เขาตั้งใจไว้อย่างนั้น มือก็เอื้อมไปปลดเข็มขัดและตะขอกางเกงของอีกฝ่ายออกโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้กานต์ที่อยู่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอนมองแล้วว่าเสียงขุ่น

“ทำไมไม่กอดผม...”

ออสตินไม่ตอบ ใช้ความเงียบเป็นการตอบสนอง เท่านั้นสีหน้าของกานต์ก็ย่นยู่อย่างขัดใจ ก่อนที่สายตาขุ่นเคืองนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นเว้าวอน

“แด๊ดดี้...”

ไม่เพียงแค่สายตา น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป เมื่อครู่เพิ่งจะโวยวายเสียงดังเพราะถูกขัดใจแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับเสียงอ่อนเสียงหวานออดอ้อนเสียอย่างนั้น

ออสตินชำเลืองมอง เห็นสีหน้าเว้าวอนนั่นแล้วเขาก็เบือนหน้าหนี แสร้งทำเป็นไม่สนใจอีกครา

“แด๊ดดี้...”

แต่กานต์กลับไม่หยุดแค่นั้น

“แด๊ดดี้ครับ...”

“...”

“แด๊ด...”

ไม่ตอบสนองก็เลยขยับตัวเข้าหาออสตินอีกครั้ง สองแขนตวัดโอบกอด หากแต่ออสตินดึงออกฉับพลัน

“อย่า”

ในที่สุดก็คลำหาเสียงของตัวเองเจอ มือใหญ่รั้งหัวไหล่ของเด็กหนุ่มเอาไว้ ดันให้ติดกับพนักโซฟาขณะที่กานต์ขมวดคิ้วด้วยขัดใจที่ถูกปราม

“อย่าทำแบบนี้”

เสียงทุ้มดังขึ้นมาอีก คนฟังยังคงมีสติไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ดี แต่ก็เข้าใจได้ว่าคนตรงหน้าหมายถึงอะไร ทว่า...ถึงจะเข้าใจไปก็เท่านั้น สติสัมปชัญญะที่ขาดๆ เกินๆ ของกานต์ทำให้จิตใต้สำนึกของเขาทำงานอย่างรุนแรง ความมึนเมาจากฤทธิ์ของกัญชาและสุราบีบคั้นให้แรงขับภายในกายขับเคลื่อน กานต์มองอีกฝ่ายอย่างเว้าวอน ริมฝีปากเผยอขึ้น เรียกคนตรงหน้าเสียงแผ่ว

“แด๊ดดี้...”

“ฉันจะไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้ นั่งเฉยๆ...ตรงนี้”

ออสตินพยายามควบคุมสติของตัวเองด้วยการออกคำสั่ง ครั้นลุกจากพื้น มือของเขาก็ถูกลูกเลี้ยงฉุดเอาไว้

“ไม่...อย่าไป...ได้โปรด”

ร่างกายปวกเปียกไถลลงมาจากโซฟา ทรงตัวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ทำให้ออสตินต้องพยุงเด็กหนุ่มขึ้นไปนั่งอีกครั้ง

“ได้โปรดจูบผม...”

ในที่สุดเด็กหนุ่มก็เอ่ยคำที่ออสตินไม่อยากได้ยินที่สุดออกมา เขากะไว้อยู่แล้วว่าจะต้องมีเหตุการณ์อย่างนี้เพราะก่อนหน้านั้นกานต์ก็เพิ่งจะร้องขอให้เขากอดไป

ดวงตาสีน้ำทะเลจับจ้องไปที่ใบหน้าเมามายของกานต์นิ่ง รู้ดีว่าต่อให้อธิบายเหตุผลใดๆ ไปก็ไม่สามารถเอาชนะความมึนเมาที่กัดกินคนตรงหน้าอยู่ได้

สัญชาตญาณดิบทำให้กานต์กล้าที่จะเปิดเผยความต้องการของตนอย่างชัดเจน...

ไม่เพียงแค่คำพูดเท่านั้น มือก็เอื้อมไปดึงแขนเสื้อของผู้ปกครอง

“ได้โปรด...จูบผม...”

กานต์ย้ำหนักแน่น สายตาที่ทอดมองมาเต็มไปด้วยความต้องการและความคาดหวัง ออสตินสูดหายใจเข้าเต็มปอด เขาเองก็พยายามจะระงับอารมณ์ของตัวเองอยู่เหมือนกัน

อารมณ์...ที่มันไม่สมควรจะเกิดขึ้นระหว่างเขากับเด็กหนุ่มตรงหน้า

พยายามระงับมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว แต่กานต์กลับไม่รับรู้ถึงความอดทนของเขาบ้างเลย

“อยู่เฉยๆ เป็นเด็กดี ฉันจะไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้ แล้วเดี๋ยวจะพาเข้านอน”

ชายหนุ่มกลั้นใจพูดออกไป ความรู้สึกบ้าๆ นี้ เขาต้องเอาชนะมันได้สิ!

หากทว่ากานต์กลับไม่ยอมแพ้ เขาต้องการ... เขาปรารถนา... เขาอยากให้ร่างกายของตนเองแปดเปื้อน ความรู้สึกนี้มันถูกกดให้ต้องระงับมานานแล้ว เมื่อมีสิ่งกระตุ้นเร้าให้มันตื่นขึ้น กานต์ก็ไม่อาจกักเก็บได้อีกต่อไป ต่อให้ต้องตกนรกหมกไหม้หรือถูกตราหน้าว่าไร้ยางอาย สิ่งที่เขาทำในตอนนี้ไม่เหมาะสมอย่างไร เขาก็ต้องการ

เขาต้องการออสติน สเวน...

“แด๊ดดี้...”

น้ำเสียงแผ่วเบาดังขึ้นอีกครั้ง ออสตินจ้องมองหน้าคนพูดนิ่ง ก่อนที่อีกประโยคหนึ่งจะตามมา

“จูบผมที…ผมขอร้อง...”

ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น กานต์ยังเลื่อนใบหน้าเข้าหา ประทับริมฝีปากลงบนหลังมือของคนตรงหน้าอย่างโหยหา ลากปลายลิ้นนุ่มไปบนผิวสีบ่มแดด...เชื่องช้า...อ้อยอิ่ง...จากนั้นก็ดึงไปคลอเคลียที่ข้างซีกหน้า

“ขอร้อง...ทำอะไรกับผมที...”

เหมือนความอดทนของออสตินจะหมดสิ้นกันในคราวนี้ เขามองคนตรงหน้าที่คว้ามือของตนไปแนบที่ข้างแก้ม สัมผัสนุ่มนวลของซีกหน้านั้นทำให้ความร้อนรุ่มบางอย่างแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย ปลายนิ้วสากเคลื่อนไหวอย่างอดไม่ได้ ลูบลากไปแตะแผ่วเบาบนริมฝีปากนุ่ม กานต์ช้อนสายตามอง...ประสานกับแววตานุ่มลึกของอีกฝ่าย ก่อนที่จะค่อยๆ อ้าปากงับเอาปลายนิ้วนั้นเข้าไป

ปลายลิ้นแตะแผ่วเบา เลียไล้อย่างกล้าๆ กลัวๆ ราวกับว่าคนตรงหน้าจะดุเขาถ้าหากทำอะไรตามใจ ชั่วแวบหนึ่งก็พลันรู้สึกขึ้นมาได้ว่าเขาควรหยุด แต่ในเมื่อความปรารถนาผลักดันให้เขาแสดงความต้องการออกมาถึงขนาดนี้แล้ว กานต์ก็ไม่สามารถควบคุมสิ่งใดๆ ของตัวเองได้อีก

กลีบปากปิดเข้าหากัน ดูดเม้มขบกัดปลายนิ้วนั้นอย่างเคลิบเคลิ้ม ขณะที่ออสตินสูดหายใจเข้าปอดเต็มแรง ทว่าก็ไม่ได้ดึงมือออกมา กระทั่งเด็กหนุ่มเป็นฝ่ายถอนริมฝีปากเอง หากแต่ทุกอย่างกลับไม่จบสิ้นแค่นั้นเมื่อเสียงของกานต์ดังขึ้นอีกครั้ง

“จูบผมเถอะแด๊ดดี้...”

ไม่มีคำตอบใดจากออสติน มือข้างนั้นเลื่อนไปประคองใบหน้าอ่อนเยาว์ ก่อนที่เขาจะค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบเสียงแผ่วที่ใบหูเล็ก

“เธอไม่ควรพูดแบบนี้ ไม่ควรเลย...”

จากนั้นก็จ้องมองเจ้าของนัยน์ตาสีนิลนิ่ง พลันความดึงดูดบางอย่างก็ฉุดกระชากให้เขาถลาเข้าหา ริมฝีปากสีสวยถูกครอบครอง ออสตินประทับริมฝีปากของตนลงมาแผ่วเบา ขบเม้มกลีบปากบางนั่นราวกับกำลังละเลียดกินวิปครีมบนหน้าเค้กก้อนโต ก่อนจะบดเบียดแนบชิด ดูดกลืนประหนึ่งว่าจะช่วงชิงลมหายใจของอีกฝ่ายไป

กานต์กำแขนเสื้อของคนตรงหน้าแน่น วูบหนึ่งก็รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก พอออกแรงผลักให้ออสตินถอยห่าง อีกฝ่ายก็ไม่ยอมเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย ยิ่งทวีความดุดัน สอดปลายลิ้นเข้ามาเกี่ยวกระหวัด ลงโทษเด็กหนุ่มที่บังอาจหาญกล้ามาเชื้อเชิญเขาให้ต้องก้าวข้ามเขตแดนอันตรายที่เขาขีดเส้นเอาไว้อย่างสาสม...

มันเป็นความผิดของกานต์...

เป็นความผิดของเขาคนเดียวที่ทำให้ความอดทนของออสตินสิ้นสุดลง...

แต่เป็นความผิดที่เขายินดีจะรับโทษทัณฑ์สาหัสเจียนตาย

การลงโทษนี้หอมหวานจนเกินจะต้านทานไหวเหลือเกิน...

เรียวปากบางถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระในอีกอึดใจต่อมา หากทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่ยอมให้การลงทัณฑ์ยุติแต่เพียงเท่านั้น ครั้นหายใจได้สะดวก ดวงตาคู่สวยก็จ้องมองอย่างเว้าวอน แม้จะไม่เอ่ยคำใด ออสตินก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการการลงโทษมากกว่านี้

ไม่ต้องบอกเขาหรอก... เขาไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้แน่ ปีศาจแห่งราคะเข้าครอบงำให้เขาต้องกระทำบาป ต่อให้ได้ชิมรสหอมหวานจากริมฝีปากสีสวยแล้ว เขาก็หมายจะชิมอีก พลันพรมจูบไปบนกกหู ละเลียดไล่ต่ำลงมาบนลำคอ ขบเม้มราวกับแวมไพร์ที่หมายจะดูดเลือดของเหนื่อ

กานต์กำมือแน่น สาบเสื้อเชิ้ตของเขาถูกแหวกออกจากกัน มือสากหนาลูบลากไปบนแผงอก บดเบียดส่วนอ่อนไหวเล็กๆ จนเด็กหนุ่มต้องหายใจสะท้าน

สัมผัสนั้น...วาบหวามเกินกว่าจะต้านทานไหว ยิ่งถูกโพรงปากอุ่นร้อนเข้าครอบครองดุนดันอย่างกระหาย เสียงคำรามอย่างพึงใจก็ดังมาให้ได้ยิน และดูเหมือนว่าจะดังวนเวียนไปไม่จบสิ้นเมื่อออสตินไม่สามารถระงับความต้องการของตนเองได้อีกต่อไปแล้ว กางเกงของคนตรงหน้าถูกดึงไปกองที่ข้อเท้า มือใหญ่สอดเข้าไปในขากางเกงชั้นใน รุกรานอย่างหยาบโลนจาบจ้วง

"ดะ...แด๊ดดี้..."

ความอุ่นร้อนของฝ่ามือทำให้กานต์ส่งเสียงกระเส่าออกมาอย่างสุดจะทน เสียงนั้นทำให้สัญชาตญาณสัตว์ป่าของออสตินถูกปลุกเร้าขึ้นมาอีก เขากระถดถอยลงไปนั่งคุกเข่าบนพื้น ปรนเปรอศูนย์รวมความรู้สึกของเด็กหนุ่มราวกับว่าจะกลืนกินให้สิ้น

เด็กหนุ่มกระตุกเฮือก...

เขากำลังจะขาดใจตาย...

แต่เป็นความตายที่แสนจะยินดีรับไว้

สะโพกที่แอ่นรับสัมผัสยกลอยเหนือโซฟาถูกมือใหญ่รั้งไว้มั่น ความอัดอั้นปะทุราวกับลาวาของภูเขาไฟใต้มหาสมุทรหลั่งไหล

ความต้องการของเด็กหนุ่มถูกเติมเต็มอย่างถึงที่สุด...

ออสตินรับเอาทุกหยาดหยดแห่งความสุขสมในปรารถนานั้นไว้ แผ่นอกของกานต์กระเพื่อมอย่างรุนแรงก่อนที่จะค่อยๆ ทุเลาเมื่อชายหนุ่มที่กลั่นแกล้งเขาอยู่ที่บริเวณหน้าขาถอนริมฝีปากออกมา ดวงตาหวานเชื่อมที่ปรือปิดไปเกือบครึ่งทอดมองไปยังคนตรงหน้า ไร้ซึ่งสรรพเสียงใด ออสตินจับข้อมือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่ม ออกแรงบีบจนกระทั่งผิวเนื้อสีน้ำผึ้งเจือสีแดงระเรื่อ

...ราวกับจะระบายความอัดอั้นภายในที่ไม่ได้รับการปลดปล่อย

ออสตินควบคุมตนเองไม่ให้กระทำสิ่งใดมากเกินไปกว่านี้ด้วยการกำหนดการหายใจ กระทั่งกานต์ซึ่งปรือตามองเขาอยู่ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงและผล็อยหลับไป ลมหายใจที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอของเด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้ออสตินตระหนักได้

สิ่งที่กานต์ทำ สิ่งที่กานต์พูด ล้วนแล้วเป็นไปเพราะความมึนเมาทั้งนั้น จะมีก็แต่ตัวเขานั่นแหละที่รู้ทั้งรู้แต่ก็ระงับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้

มือใหญ่ค่อยๆ คลายจากข้อมือนั้น ออสตินดันตัวขึ้นมานั่งบนโซฟา ดึงให้เด็กหนุ่มเอนกายมานอนซบบนตัก ก่อนจะสอดปลายนิ้วเข้าไปใต้เส้นผมสีดำสนิทอย่างแผ่วเบา

ลูกเลี้ยงของเขาคนนี้...กำลังทำผิดมหันต์

ผิดที่ทำตัวเกเรจนเมามายไม่ได้สติ จนเขาต้องลงโทษอย่างเผลอตัว

เรื่องแบบนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้นแท้ๆ...

ชายหนุ่มใช้มือข้างที่ข้างคลึงขมับตนเองอย่างระอาใจกับพฤติกรรมของกานต์

...และแน่นอนว่าของตัวเขาเองด้วย

เขาไม่ควรทำแบบนี้เลยจริงๆ

ไม่ควรลงโทษกานต์ด้วยโทษทัณฑ์นี้เลย...

ไม่ควร...

-----------------------------------

ตอนนี้ยาวหน่อยค่ะ แต่จุใจไปเลยเนอะ แด๊ดดี้แซ้บแซ่บ 555

ในที่สุดก็ตบะแตกจนได้ค่ะ อดทนมาได้ตั้งนาน (มั้ง?) สุดท้ายก็ดีแตก แถมทำซะนุ้งกานต์อ่อนปวกเปียกไปเลย

ฝากฟีดแบ็กด้วยนะคะ พรุ่งนี้เจอกันตอนใหม่จ้า

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เมากลับบ้าน ถึงบ้านอ่อยเดดดี้อีก ส่างเมาเมื่อไหร่ โดนลงโทษแน่ ๆ  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
ว้ายยย ตายแล้ววว แด๊ดดี้ขาาา :hao6:
กลายเป็นว่าแด๊ดดี้ทนไม่ไหวสิแล้วนะคะ ก็แหมมเจอลูกอ้อน(ปนเมา)แบบนั้นไป หึหึ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8

Chapter 10: Big mistake

ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมึนหัวขนาดนี้มาก่อนในชีวิต...

เปลือกตาบางที่เปิดขึ้นมาเมื่อครู่จำต้องปิดลงอีกครั้งเมื่อกานต์เห็นเพดานห้องหมุนคว้าง ความปวดหนึบที่ศีรษะทำให้เขาต้องขมวดคิ้วจนย่นยู่ กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงลืมตาขึ้นมาได้อีกครั้ง

วันนี้เป็นวันเสาร์... ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่มีเรียน ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องเดือดร้อนแน่

เดือดร้อน...

ต่อให้ไม่ใช่วันเสาร์ เขาก็ต้องเดือดร้อนเช่นกันเมื่อตระหนักขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น

เขาไปที่บ้านของเจฟฟรี่ย์เพื่อทำรายงานวิชาประวัติศาสตร์ แต่พอไปถึง กลับมีเพื่อนจากชั้นปีและชมรมอื่นตามมาสมทบ ก่อนที่การทำรายงานบ้านเพื่อนจะกลายเป็นงานปาร์ตีขนาดย่อม เจฟฟรี่ย์บอกกับเขาว่าเป็นเรื่องปกติของเด็กอเมริกันที่มักชวนเพื่อนมาแอบจัดงานปาร์ตีที่บ้าน เรื่องนั้นกานต์พอเข้าใจได้ แต่เขารู้สึกไม่ดีสักเท่าไรที่ผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบนี้ คิดไปถึงพ่อเลี้ยงของตนเองว่าถ้ารู้เรื่องขึ้นมา มีหวังถูกโกรธแน่ ทว่า...พอเขาดึงดันว่าจะกลับ เขาก็ถูกคนอื่นๆ คะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้าแลกกับการให้กลับบ้าน คนที่ไม่ค่อยได้แตะแอลกอฮอล์อย่างเขาถึงกับเสียศูนย์เมื่อถูกมอมเหล้าครั้งแล้วครั้งเหล้า ไหนจะบุหรี่และ...กัญชา ใช่ บางทีอาจจะเป็นกัญชา เพราะกานต์เห็นเพื่อนผิวสีบางคนม้วนพืชแห้งๆ บางชนิดมาจุดสูบกันอย่างสนุกสนาน

แต่ถึงจะเป็นอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ทำให้เขาเมามายจนไม่ได้สติ กานต์พยายามนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนว่าตนมาอยู่ที่ห้องนอนของตัวเองได้อย่างไร

เขาเมา... จากนั้นก็เหมือนจะได้ยินเสียงของเจฟฟรี่ย์ร้องบอกให้คนขับรถพาเขามาส่งที่บ้าน จากนั้นก็เห็นออสติน แล้วก็...

คิดถึงตอนนี้ ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็เต้นระทึกขึ้นมา เพราะเขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าตัวเองไม่ได้ไม่มีสติไปเสียทีเดียว เขาพอจะจำได้ว่าเห็นออสตินอยู่ใกล้เพียงฝ่ามือ ออดอ้อนออเซาะอย่างไม่อาจควบคุม ตอนแรกที่ความทรงจำเลือนรางนี้ผุดพรายขึ้นมา เขาหลงคิดไปเหมือนกันว่าเป็นความฝัน แต่ถ้าเป็นความฝันจริงๆ เสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่ในตอนนี้จะต้องเป็นชุดเดิมที่เขาใส่ไปบ้านเจฟฟรี่ย์สิ ใส่ชุดนอนอยู่อย่างนี้แสดงว่า...

คิดแล้วใบหน้าก็เห่อร้อนขึ้นมาฉับพลัน จะเป็นใครที่เปลี่ยนให้เขากันล่ะนอกจากออสติน...

“บ้าเอ๊ย...”

กานต์สบถ คว้าหมอนมาปิดหน้าตัวเอง แทบอยากจะตะโกนอัดเสียงลงไป แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้

ถ้าเขาเมาหยำเปถึงขนาดต้องให้ออสตินมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ขนาดนั้น ป่านนี้ออสตินคงโกรธเขามากไปแล้ว

คิดได้เท่านั้นก็กระเด้งตัวขึ้นนั่งทันที ก่อนจะรีบพยุงตัวเองลงไปชั้นล่าง ในใจภาวนาขอให้ออสตินออกไปทำงานหรืออะไรแบบนั้น เขาจะได้มีเวลาที่จะนึกคำแก้ตัวโทษฐานที่เมาหัวราน้ำ

ทว่าพระเจ้ากลับไม่เข้าข้างเขาเสียเลย ก็วันเสาร์นี่นะ อีกฝ่ายจะไปทำงานทำไมกันล่ะถ้าไม่ได้มีงานสำคัญ แค่โผล่หน้าเข้ามาในครัว กานต์ก็เห็นชายหนุ่มในชุดลำลองนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร มือข้างหนึ่งจับช้อนคนกาแฟในถ้วย มืออีกข้างถือแท็บเล็ตดูความเคลื่อนไหวของระบบการเงินอย่างเช่นเคย หากแต่พอเด็กหนุ่มโผล่หน้าเข้าไปแล้วทำท่าเหมือนตกใจที่ได้เห็นเขา ออสตินก็เบือนสายตามามองทันที

“ตื่นแล้วเหรอ”

เป็นคนทักก่อนอีกด้วย กานต์อึกๆ อักๆ ไปครู่ก่อนจะพยักหน้า

“ยังมึนหัวอยู่ไหม”

ยังมึนอยู่ แต่กานต์ไม่ได้ตอบอะไร มีก็แต่ออสตินที่เปล่งเสียง

“นั่งลงสิ ฉันชงชาคาโมมายล์ให้”

พูดจบก็ลุกไปจัดการเงียบๆ ปล่อยให้เด็กหนุ่มก้าวมานั่งที่เก้าอี้ด้วยใจที่หวาดหวั่น ครู่หนึ่งออสตินก็เดินกลับมาพร้อมกับถ้วยชาในมือ กานต์เอ่ยขอบคุณเสียงเบาขณะที่สายตาก็เหลือบมองอากัปกิริยาของคนตรงหน้าไม่หยุด

แต่...ออสตินไม่พูดอะไรสักคำ ทำทุกอย่างตามปกติจนกานต์อึดอัดและต้องเป็นฝ่ายที่เปิดปากเอง

“แด๊ดดี้ครับ เรื่องเมื่อคืน...”

เอ่ยมาแค่นั้น ออสตินก็สวนขึ้นมาทันที

“เธอผิดสัญญา”

มีก้อนบางอย่างจุกในลำคอของเด็กหนุ่มทันควัน เขาไม่รู้หรอกว่าตัวเองกลับถึงบ้านกี่โมง แต่ค่อนข้างมั่นใจเลยทีเดียวว่าเกินสี่ทุ่มแน่ๆ

“ถึงบ้านตอนห้าทุ่มกว่าๆ เลยที่เราสัญญากันไว้เป็นชั่วโมง”

“ขอโทษครับ”

“ที่สำคัญ...เธอเมา”

ออสตินว่าด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบอีกครั้ง หากทว่ากลับทำให้คนฟังหน้าซีดเป็นกระดาษ

ความผิดลำดับที่สองของเขาถูกพูดถึงแล้ว!

“แล้วก็พูดอะไรไร้สาระ”

คราวนี้สีหน้าของกานต์ดูแย่มากขึ้นไปอีก

“อยากรู้ไหมว่าพูดว่าอะไรบ้าง”

กานต์กำลังจะอ้าปากบอกว่าไม่ เรื่องแบบนั้นเขาไม่อยากรู้หรอก แต่ก็ไม่ทันออสติน อีกฝ่ายโพล่งออกมาก่อนแล้ว

“เธอบอกให้ฉันกอด”

ถึงกับเสียวสันหลังวาบ ดวงตาเบิกโพลง มองอีกฝ่ายประหนึ่งเห็นผี จากนั้นออสตินก็ทำให้เด็กหนุ่มต้องมีท่าทางเงอะๆ งะๆ จนไปต่อไม่ถูกอีก

“แล้วเธอก็บอกให้ฉันจูบ ตอแยไม่เลิก”

ความทรงจำบางอย่างพอจะผุดพรายขึ้นมาในหัว เขาพอจำขึ้นมาได้บ้างแล้วว่าเมื่อคืนนี้ตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง แต่คำพูดก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับการกระทำ เขาอยากรู้ว่าในขณะที่ตัวเองไม่ได้สตินั้น เกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับออสตินบ้างหรือเปล่า

“ละ...แล้วผมกับแด๊ดดี้...เอ่อ...ได้...”

ออสตินรู้ว่าคนตรงหน้าจะถามอะไรแต่ไม่พูด ได้แต่จับจ้องกานต์นิ่งกระทั่งเด็กหนุ่มเป็นฝ่ายพูดออกมา

“ผมกับแด๊ดดี้ได้ทำอะไรกันหรือเปล่าครับ”

กานต์กลั้นใจพูดเร็วๆ จริงๆ ตั้งใจจะถามว่าเขาได้ทำอะไรพ่อเลี้ยงของตัวเองต่างหากเพราะเขาคิดว่าตอนที่ตัวเองประคองสติไม่อยู่จะต้องทำอะไรบ้าๆ ออกไปแน่ แต่เพราะถูกจ้องจนประหม่าถึงได้พูดเพี้ยนไปหมด

ดวงตาของออสตินวูบไหว คำพูดของกานต์เหมือนกับเข็มที่ทิ่มลงมากลางใจ ก่อนที่เขาจะลอบสูดลมหายใจเข้าปอด ตั้งสติแล้วพูดออกไป

“เปล่า ไม่ได้ทำ ระหว่างเราไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นสักนิด”

อันที่จริงต้องบอกว่าโกหกหน้าตาเฉย...

กานต์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ค่อยยังชั่วที่เขาไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการพูดเพ้อเจ้อ

ทว่า...ออสตินกลับมองลูกเลี้ยงของตนพลางกลืนน้ำลาย ความทรงจำเมื่อคืนผุดพรายราวกับมองทะลุเสื้อผ้าที่กานต์สวมใส่เข้าไปได้

ลำตัวมีกล้ามหน้าท้องเล็กน้อย... ผิวเรียบเนียน... เสียงกระเส่าชวนฟัง... สายตาหวานเชื่อมที่ช้อนมอง...

คิดแล้วเขาก็ต้องขบกรามแน่นเมื่อความรู้สึกอยากที่จะกอดรัด อยากจะขยำขยี้เรือนร่างของคนตรงหน้าให้หนำใจผุดพราย

เฮงซวยจริงๆ! ทำไมต้องคิดถึงร่างกายเปลือยเปล่าของเด็กตรงหน้าด้วย!

กานต์!

กานต์!

กานต์!

เพราะกานต์แท้ๆ พ่อเลี้ยงของเขาถึงกำลังจะตบะแตกทั้งๆ ที่แค่มองเฉยๆ แล้วเห็นไหม!

ถึงกับต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีแทน ความกรุ่นโกรธในการกระทำของตัวเองพร่างพรายไปทั่ว ขณะที่เด็กหนุ่มเห็นใบหน้าบึ้งตึงนั้นก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายโกรธตัวเอง จึงได้แต่ก้มหน้าอย่างสำนึกผิด

“ผมขอโทษครับ”

ออสตินเหลือบมามองอีกครั้งในตอนนี้ เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ยังคงขาวซีดเป็นกระดาษ เขาก็อยากจะบอกเหมือนกันว่าเขาไม่ได้โกรธกานต์สักเท่าไรหรอก หลักๆ คือเป็นห่วงต่างหาก ที่โกรธน่ะคือตัวเขาเองที่ระงับความรู้สึกภายในไม่ได้

เขาสาบานกับพระเจ้าไว้แล้วว่าจะไม่แตะต้องเด็กคนนี้ แต่สุดท้ายก็...

“แด๊ดดี้ครับ...ผมขอโทษ”

สุดท้ายแล้วออสตินก็ต้องหยุดความคิดของตัวเอง ถอนหายใจออกมาเต็มแรงเมื่อเห็นเด็กหนุ่มทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ให้ได้

“เอาเถอะ อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกก็แล้วกัน โดยเฉพาะเรื่องดื่มเหล้าสูบกัญชาอะไรนั่น”

“ผมสัญญาครับ เรื่องเซ็กส์ก็ด้วย รับรองว่าจะไม่ให้มี”

กานต์ดีใจที่อีกฝ่ายไม่โกรธ รีบออกตัวไปสุดแรง หากแต่คำพูดนั้นไม่ได้ทำให้ออสตินเบาใจได้เลย ทำให้เขาชะงักมากกว่า

ไม่ให้มีเรื่องเซ็กส์...

ไม่ทันแล้ว...

เมื่อคืนก็เกือบจะพลาดพลั้งไปแล้ว...

ออสตินยกมือขึ้นปิดปาก ลูบปลายคางกลบเกลื่อนเมื่อในหัวคิดอะไรไม่ดีกับคนตรงหน้าขึ้นมาอีก

ร่างกายนั้น...ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะสัมผัสมันอีกสักครั้ง หรือว่าเขาจะต้องเป็นฝ่ายมอมเหล้าถึงจะได้มีโอกาสอีกที?

คิดแล้วก็ได้สติ อยากจะตบหน้าตัวเองนัก การที่เขาระงับความต้องการของตัวเองไม่ได้มันเป็นความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงของผู้ปกครองเลยทีเดียว

แต่กานต์... เด็กหนุ่มตรงหน้าของเขาคนนี้มีแรงดึงดูดบางอย่างให้เขาก้าวผ่านเส้นเขตแดนที่ตนขีดเอาไว้จริงๆ

“ไม่โกรธผมแล้วใช่ไหมครับ”

เห็นออสตินยังนั่งเงียบอยู่ กานต์ก็ถามให้แน่ใจอีกครั้ง

“อืม ไม่โกรธแล้ว”

เท่านั้นรอยยิ้มกว้างก็ประดับพรายบนใบหน้า “ขอบคุณครับ”

รอยยิ้มของเทวดาตัวน้อยเป็นอย่างไร รอยยิ้มของกานต์ก็เป็นอย่างนั้น ออสตินมองแล้วก็ลอบกลืนน้ำลาย แต่แล้วก็ต้องได้สติเมื่อสังเกตเห็นผิวเนียนของเด็กหนุ่มมีรอยแดงเป็นจ้ำ แวบแรกเห็นแล้วก็ใจหาย คิดว่าเป็นรอยที่ตัวเองทำ ทว่าพอมองดีๆ กลับไม่ใช่ มันเป็นรอยคล้ายกับว่าเป็นผื่นลมพิษมากกว่า

“ที่แขนนั่นเป็นอะไร”

กานต์ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาดู เห็นรอยเป็นปื้นแดงก็ส่ายหน้า

“ผมก็ไม่รู้ครับ”

“ไหนมาดูใกล้ๆ ซิ”

เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหา ออสตินดึงเก้าอี้ให้นั่งข้างๆ ก่อนจะคว้าแขนข้างนั้นขึ้นมาดู รอยแดงนี้น่าจะเป็นอาการแพ้อะไรบางอย่าง ออสตินกำลังคิดว่าอาจจะแพ้แอลกอฮอล์หรือกัญชาอะไรก็ได้ ก่อนที่จะใช้มืออีกข้างจับปลายคางของกานต์ให้หันหลบ สำรวจดูที่ซอกคอ... ตรงนี้ก็มีรอยแดงเหมือนกัน

“น่าจะแพ้อะไรสักอย่าง สงสัยต้องไปหาหมอ”

กานต์แทบไม่ได้ฟังเสียงนั้นเลย ตอนนี้เขาได้ยินแต่เสียงหัวใจของตัวเองเต้น ทุกการสัมผัสและไออุ่นที่ส่งผ่านมาจากฝ่ามือของออสตินทำให้เขาต้องกลั้นหายใจ

ไม่...เขาจะไม่คิดอะไรกับออสตินให้เลยเถิด!

สะกดจิตตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเลยสักนิด โดยหารู้ไม่ว่าขณะที่กำลังสำรวจรอยแดงๆ ที่ซอกคอนั้น ออสตินเองก็เริ่มคิดเตลิดเปิดเปิงไปเช่นกัน

ซอกคอขาว... กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเด็กหนุ่มที่เขาสัมผัสไปเมื่อวาน มันติดตรึงในใจจนแทบจะทำให้เขาอดใจกระทำผิดพลาดอีก

อดทนไว้ออสติน...อดทน...

แต่สายตากลับละออกมาจากผิวนุ่มตรงนั้นไม่ได้เลย ยิ่งได้ยินเสียงอีกฝ่ายเรียก

“เอ่อ...แด๊ดดี้ครับ”

ออสตินก็เหมือนกับถูกความมืดดำบางอย่างเข้าครอบงำ เขาถลาเข้าหา บดเบียดช่วงชิงจูบมาจากริมฝีปากสีเชอร์รี่ ก่อนจะคว้าเอาอีกฝ่ายขึ้นอุ้มแล้วปัดของลงจากโต๊ะ พลันวางเด็กหนุ่มลงไปแทน เสื้อยืดสีขาวที่กานต์สวมอยู่ถูกถลกขึ้นสูง ปลายลิ้นของเขาลากไล้ไปทุกอณูผิว ดูดกลืนขบเม้มจนอีกฝ่ายส่งเสียงครางกระเส่าหวานหู ก่อนที่กางเกงขายาวซึ่งอีกฝ่ายใส่นอนจะถูกดึงลงไปกองที่ข้อเท้า เผยบางสิ่งให้เขาได้ลูบไล้หยอกล้อเล่น

กานต์... เด็กผู้ชายคนนี้...

...เขาจะขยำขยี้ให้สาแก่ใจ

...จะกลืนกิน จะกระชากวิญญาณ จะช่วงชิงลมหายใจ

...จะทำทุกอย่างที่อยากทำจนกว่าอีกฝ่ายจะต้องวิงวอนขอร้องให้เขาหยุด

...จะทำให้ต้องเรียกชื่อเขาแต่เพียงผู้เดียว

“แด๊ดดี้...เอ่อ...แด๊ดดี้ครับ ได้ยินผมไหม”

ออสตินหลุดออกจากภวังค์ของตัวเองทันควัน ผละออกมามองหน้าของเด็กหนุ่มที่เขาเผลอเอาไปจินตนาการไปไกลอย่างกะทันหัน ท่าทางนั้นทำเอากานต์สะดุ้งระคนประหม่าเล็กน้อย

“ปะ...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

แค่ประหม่าที่ถูกจับมือถือแขนและจ้องมองที่ซอกคอ มันก็มากพอที่จะทำให้หัวใจของเขาแทบจะหลุดออกมาเต้นด้านนอกอยู่แล้ว แต่ออสตินกลับนิ่งไม่พูดไม่จาสักที มิหนำซ้ำพอเรียกก็ดันมาทำท่าตกใจใส่เสียนี่ เป็นอะไรของเขานะ

“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”

ออสตินกลบเกลื่อนสิ่งที่เกิดขึ้นไปก่อนหน้าด้วยการตีสีหน้าเรียบเฉย กานต์ยกคิ้วสูง บ่งบอกชัดเจนว่าสงสัยในท่าทางพิลึกๆ ของคนตรงหน้า

ไม่...ให้สงสัยไปมากกว่านี้ไม่ได้

เท่านั้นออสตินก็ออกปาก “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ จะได้ไปหาหมอกัน ดูท่าทางเธอน่าจะแพ้แอลกอฮอล์”

กานต์ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด พยักหน้ารับแล้วยอมเดินออกไปนอกห้องครัวแต่โดยดี ปล่อยให้ออสตินมองตามกระทั่งแผ่นหลังของเด็กหนุ่มหายไป เท่านั้นเขาก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นขยุ้มผมตัวเองอย่างหัวเสีย

“เวรเอ๊ย”

พึมพำออกมาด้วยความหงุดหงิดอีกด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงจริงๆ เพราะมันทำให้เขาหันหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว

ผู้ปกครองที่ดี... พ่อเลี้ยงที่ดี... อะไรพวกนั้นเขาคงจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว

ทั้งๆ ที่สาบานเอาไว้แล้วแท้ๆ...

“แด๊ดดี้ครับ...”

จู่ๆ กานต์ก็โผล่หน้ากลับเข้ามา  ทำเอาออสตินที่ยังคงขยุ้มผมตัวเองไม่เลิกต้องรีบเหยียดตัวตรง มือเลื่อนลงมาลูบหน้าลูบคาง แสร้งทำตัวเป็นปกติทันควัน

“อืม มีอะไร”

“ผมแค่จะมาบอกว่าขอบคุณสำหรับชาคาโมมายล์นะครับ”

เรื่องนั้นไม่ต้องมาบอกเขาหรอก!

ออสตินเหล่มอง พลันพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร จะมีก็แต่กานต์เท่านั้นที่เห็นสภาพของอีกฝ่ายในตอนนี้แล้วก็ได้แต่ทำหน้าสงสัย

“ทำไมผมของแด๊ดดี้ถึงได้ยุ่งเหยิงแบบนั้น”

แล้วก็ชี้ไปที่หัวตัวเองเป็นการประกอบท่าทาง ออสตินเหลือบมอง ว่าเสียงเข้ม

“รีบไปจัดการธุระส่วนตัวซะ”

ดุมาอย่างนี้ แล้วกานต์จะอยู่เหรอ รีบพยักหน้าแล้ววิ่งปรู๊ดกลับขึ้นชั้นบนทันที ทิ้งให้ออสตินได้ระบายลมหายใจออกมาด้วยความระอาอีกครั้ง

เรื่องเมื่อวานเป็นความผิดพลาดของเขาจริงๆ ด้วย

...ผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงเลยจริงๆ

 

-------------------------

แด๊ดดี้นี่ไปๆ มาๆ จะยิ่งกว่าน้องกานต์อีกมั้ย เพ้อขนาดนั้น แด๊ดคะ น้องยังไม่บรรลุนิติภาวะ ใจเย้นนนนน 555

ฝากฟีดแบ็กด้วยนะคะ ดึกๆ จะมาอัปตัวอย่างตอนหน้าให้จ้า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-02-2018 21:53:53 โดย NooDangzz »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ atitayalnw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
น้องกานต์หนีมาลูก แด๊ดดี้น่ากลัวเวอร์
แค่สบตาเห็นซอกคอขาวๆคิดเป็นฉากๆขนาดนี้
แหม่  ทำเก๊กนะคะ ดูซิจะเก๊กไปได้ซักกี่น้ำ แค่นี้อาการ
ก็หลุดจนแทบจะเอาไม่อยู่แล้ว นี่ไม่อยากจะคิดถ้ามีคนมาจีบ
น้องกานต์ แด๊ดดี้จะคลั่ง ได้ขนาดไหน อดใจรอตอนที่จะได้สมน้ำหน้า
แด๊ดดี้ไม่ไหวแล้ว หมั่นไส้เบาๆ เก๊กดีนัก ในหัวนี่แบบร้อนแรงเวอร์ กลัวแล้ว

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อย่างไงกันเนี่ย พออีลูกอ่อย อีพ่อเงียบ แต่พออีลูกสลด อีพ่อต่อมหื่นทำงาน  :katai3:

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
ความกระหายของแด๊ดดี้ปิดไม่มิดแล้วนะ :hao6:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 11: Jeffrey O’conell[1]

หากแอปเปิลเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า เด็กหนุ่มคนนั้นก็คงไม่ต่างอะไรจากผลแอปเปิลนั้น

สดสวย...ยั่วเย้า...ล่อหลอกให้เขาต้องเผลอไปเด็ดจากขั้วมากัดกินโดยหารู้ไม่ว่าแอปเปิลผลนั้นอาบยาพิษ...

ออสตินเพิ่งจะตระหนักได้ในตอนนี้ว่าลูกเลี้ยงของเขามีอำนาจอยู่เหนือจิตใจเขามากกว่าที่คิด ตอนแรกที่คิดว่าคงจะทนได้ หากแต่เมื่อได้มาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน อีกทั้งได้รับรู้ว่ากานต์คิดกับเขาอย่างไร ทุกอย่างที่เขาวางแผนไว้ก็ดูเหมือนจะกลับตาลปัตรไปหมด

ตอนนี้เข้าใจ... เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงควรตั้งสติไว้ให้มากเวลาที่อยู่กับกานต์ เพราะหลังจากที่ทำผิดพลาดไปครั้งใหญ่หลวง เขาก็ไม่สามารถหวนกลับคืนเป็นอย่างเดิมได้อีกเลย ต่อให้การกระทำยังคงเหมือนเดิม แสดงออกให้กานต์เห็นเหมือนเดิม แต่ข้างในใจของเขาไม่ได้เป็นเหมือนเดิมสักนิด ทุกครั้งที่เห็นเด็กหนุ่มคนนั้น...ก็พานจะคิดไปเรื่องไม่เหมาะสมทุกที

เขาไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่จะมาคิดเพ้อฝันอะไรเรื่องเซ็กส์กับคนที่ชอบแล้วนะ เขาอายุสามสิบห้าแล้ว ห่างจากเด็กนั่นตั้งสิบแปดปี เขาควรจะตั้งสติได้ดีกว่านี้!

ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ หลังจากที่พากานต์ไปหาหมอและผลตรวจก็ปรากฏว่าผื่นแดงที่เห็นเป็นเพราะแพ้แอลกอฮอล์ เขาก็จัดการอบรมอีกฝ่ายไปอีกยกหนึ่งว่าเป็นผลที่เกิดจากการเกเรเมื่อคืน จนคนถูกดุสลดไปอีกระลอก กระทั่งข้ามมาอาทิตย์ใหม่ กานต์ก็ยังคงถูกดุอยู่ จนเด็กหนุ่มตัดสินใจที่จะเมินใส่เจฟฟรี่ย์ด้วยคิดเอาว่าเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ออสินหัวเสีย ต่อให้เจฟฟรี่ย์ตามขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่า กานต์ก็ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าท่าทีของเขาที่มีต่อเจฟฟรี่ย์เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

บางทีการที่เขาเลิกคบกับเจฟฟรี่ย์อาจจะทำให้ออสตินกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ได้...

ทว่าสิ่งนั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด ต่อให้กานต์เลิกคบหากับเจฟฟรี่ย์ ออสตินก็ยังคงดุเขาอยู่ดี มิหนำซ้ำยังแสดงท่าทางหงุดหงิดมาให้เห็นบ่อยๆ

ไม่สิ...ต้องบอกว่าเป็นสายตาที่ระคนความหงุดหงิดต่างหาก ท่าทางของเขายังปกติดีทุกอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้กานต์อึดอัด ออสตินไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เขาชักจะทนไม่ไหวแล้ว ถูกดุมากกว่านี้อีกสักนิด คงจะได้ร้องไห้ออกมาจริงๆ แน่

ทว่าโชคดีที่มาเรียที่แวะมาดูแลความเรียบร้อยจนเห็นความผิดปกตินี้ช่วยปราม ไม่อย่างนั้นล่ะก็ กานต์คงจะอยู่ที่บ้านหลังนี้ไม่เป็นสุขแน่

หากแต่...ทั้งหมดนั่นกลับเป็นแผนการของออสติน

เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะดุอย่างนั้น เพียงแต่กำลังจะย้ำเตือนให้เขาและกานต์ตระหนักได้ถึงสถานะของตัวเองต่างหาก แต่พอผลออกมาเป็นอย่างนั้น เขาก็ปล่อยเลยตามเลย ให้เด็กหนุ่มเข้าใจไปว่าเขาโกรธเพราะเผลอเถลไถลทำตัวไม่ดีอย่างนั้นแหละดีแล้ว

หลังเลิกงานในวันนี้ ออสตินไม่ได้กลับบ้านในทันที เขาไหว้วานให้มาเรียเป็นคนไปรับกานต์กลับบ้าน ขณะที่ตัวเองมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านอีกหลังหนึ่งของเขาที่อยู่ห่างกันไม่มากนัก

บ้านหลังนั้นเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ หรูหรากว่าบ้านที่เขาอยู่กับกานต์มากโข อันที่จริงแล้วกานต์ต้องมาอยู่บ้านหลังนี้ แต่เพราะความเห็นแก่ตัวบางอย่างของเขาจึงทำให้กานต์ได้ไปอยู่ที่บ้านหลังนั้น เรื่องบ้านใกล้โรงเรียนอะไรนั่นเป็นเพียงข้ออ้าง ความจริงแล้วเขาต้องการมีเวลาส่วนตัวอยู่กับเด็กหนุ่มโดยไม่มีใครมารบกวนมากกว่า บ้านที่มีคนรับใช้มากมายถึงขนาดนี้ เขาไม่ต้องการหรอก เพื่อเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว เขายอมที่จะตื่นเช้ามาเข้าครัวเตรียมอาหารให้ทุกวัน ขอแค่ได้อยู่กันตามลำพังเท่านั้น

นั่นเป็นความเห็นแก่ตัวของเขา...

รถของออสตินมาจอดเทียบที่รั้วหน้าบ้าน ผู้ดูแลก็รีบเปิดประตูรั้วให้เข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว ออสตินส่งกุญแจรถให้กับคนดูแลให้นำรถไปเก็บที่โรงจอด ส่วนตนก็เดินเข้าไปด้านในพลันทักกับหญิงวัยกลางคนซึ่งทำหน้าที่แม่บ้าน

“เขาตื่นอยู่ไหม”

‘เขา’ ที่ว่า ไม่ต้องเอ่ยชื่อ แม่บ้านก็รับรู้ได้ทันทีว่าหมายถึงใคร

“ตื่นอยู่ค่ะ อยู่ชั้นบน แต่คงจะมาพบคุณทันทีเลยไม่ได้ ขอเวลาให้เขาอาบน้ำก่อนนะคะ พยาบาลกำลังดูแลอยู่”

ชายหนุ่มไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปทรุดตัวนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่นแทน

เรียวนิ้วเคาะบนที่วางแขนของโซฟาหนังตัวใหญ่สีดำขลับ มืออีกข้างยกแก้วกาแฟค้าง ไม่จิบสักทีกระทั่งความอุ่นของของเหลวในนั้นเริ่มเจือจาง

เขากำลังครุ่นคิด...

คิดถึงใบหน้าอ่อนเยาว์ที่สลดลงเพราะถูกเขาดุ...

ดวงตาหม่นประกาย สีหน้าวิตก ริมฝีปากที่เม้มเป็นเส้นตรง ทำเอาเขาสงสารขึ้นมาจับใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกราวกับว่าท่าทางไม่สู้คนนั้นกระตุ้นเร้าให้สัญชาตญาณนักล่าของเขาทำงาน จนเขาต้องเป็นฝ่ายขบกรามแน่นเพื่อระงับความคิดบ้าๆ นั้น

กานต์... ทำไมถึงได้...

“ลมอะไรหอบมาล่ะออสติน นายถึงได้มาหาฉันได้”

เสียงของใครบางคนที่ดังขึ้นทางด้านหลังเรียกให้สติของออสตินกลับคืนมา เขาวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะกระจกเบื้องหน้าก่อนหันไปมอง

“จัสติน...”

“ว่าไงน้องชาย” อีกฝ่ายทัก ใบหน้าคร้ามคมที่คล้ายคลึงกับออสตินมีรอยยิ้มประดับพราย ก่อนเขาจะหันหน้าไปบอกกับพยาบาลสาวที่อยู่ทางด้านหลัง “ช่วยเข็นผมไปตรงนั้นที”

พยาบาลสาวรับคำสั่ง ออสตินมองพี่ชายที่นั่งรถวีลแชร์เข้ามาหานิ่ง กระทั่งหยุดอยู่ตรงหน้าถึงได้เอ่ยปากขึ้น

“นายสบายดีไหม”

เป็นคำถามโง่ๆ ที่ถามไปเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ขณะที่อีกฝ่ายใช้มือทั้งสองข้างผายออกมาข้างหน้า

“สบายดี แต่ไม่ครบสามสิบสองประการ”

ในน้ำเสียงนั้นเจือความขี้เล่น ออสตินไม่ตลกด้วย มองปราดไปยังขาทั้งสองข้างของคนเป็นพี่ที่ตอนนี้ใช้การไม่ได้

ใช่...จัสติน สเวน เป็นคนพิการ เขาอายุสี่สิบปีและเดินไม่ได้มากว่าสิบปีแล้ว ทั้งที่เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่น้องชายเขาควรจะชิน แต่ก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่ออสตินจะทำเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องปกติได้

มันช่วยไม่ได้... จัสตินไม่ได้เป็นคนพิการมาตั้งแต่กำเนิดนี่นา แต่เป็นเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อตอนอายุสามสิบต่างหาก

“ว่าแต่นายมาหาฉันทำไม”

จัสตินเข้าเรื่อง เดาได้ว่าคนตรงหน้าไม่มีทางมาหาเขาโดยไม่มีเรื่องอะไรมาคุยอย่างแน่นอน หากแต่ออสตินกลับไม่ตอบไปตามตรง เหลือบมองแล้วว่าด้วยท่าทางสบายๆ

“ไม่มีธุระแล้วผมมาหาพี่ไม่ได้หรือไง”

คนฟังถึงกับหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นฝนก็คงจะตกเป็นลูกกวาด คนอย่างออสติน สเวน น่ะเหรอที่จะมาหาฉันโดยไม่มีเรื่องอะไร”

จัสตินเป็นอีกคนที่ออสตินโกหกไม่ได้ ถึงจะโกหกไปก็ถูกรู้ทันทุกที อีกฝ่ายเลยต้องกลบเกลื่อนด้วยการจัดท่าทางสบายๆ พิงหลังเข้ากับพนักเก้าอี้

“มีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อย”

“เรื่องที่บริษัท?”

“อืม”

โกหกมันไปเสียเลย จริงๆ แล้วเรื่องที่เขาไม่สบายใจมันคือเรื่องของกานต่างหาก

“คิดมากไปทำไมน้องชาย เรื่องที่บริษัท มีอะไรที่คนอย่างนายจัดการไม่ได้บ้าง ฉันไม่เชื่อหรอกว่าพ่อมดอย่างนายจะเป็นกังวลเรื่องนี้”

นั่นก็จริง ไม่มีเรื่องอะไรที่ออสตินจัดการไม่ได้ ถ้าเขาแก้ปัญหาไม่ได้ เขาจะเป็นหนึ่งคนที่ทรงอิทธิพลในวงการตลาดหลักทรัพย์ได้อย่างไร

แต่ออสตินก็ไม่คิดที่จะพูด พอสิ้นเสียงของจัสติน เขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา จัสตินเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็ยักไหล่เล็กน้อย

“แต่ถ้านายไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร ถือซะว่าแวะมาเยี่ยมฉันตามประสาครอบครัวเดียวกันก็แล้วกัน”

ครอบครัวเดียวกัน... ถูกต้อง ออสตินยังมีสมาชิกครอบครัวเหลืออยู่อีกคนหนึ่ง แต่เขาไม่ค่อยได้พูดถึงให้ใครฟังสักเท่าไรนักด้วยเห็นว่าไม่ได้จำเป็นที่จะต้องเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครรับรู้ โดยเฉพาะเรื่องที่จัสตินต้องกลายเป็นคนพิการ

พอสิ้นเสียงของจัสติน ทั้งคู่ก็ไม่พูดอะไรกันสักคำ มีแต่เหลือบมองหน้ากันเป็นระยะ

ไม่สิ...ต้องบอกว่ามีแค่จัสตินเท่านั้นที่เหลือบมองน้องชายเป็นระยะ เห็นรอยย่นระหว่างคิ้วและสีหน้าเคร่งเครียดที่เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างตลอดเวลา เขาก็ละสายตาจากหนังสือในมือ ออกปากถามอย่างอดไม่ได้

“หรือว่าที่นายมาหาฉันเป็นเพราะเรื่องลูกเลี้ยงของนาย?”

เดาเอาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น จัสตินรู้อยู่แก่ใจว่าน้องชายของเขาแต่งงานกับแม่หม้ายลูกติดชาวไทยคนหนึ่ง และเมื่อเกือบหนึ่งเดือนก่อนก็เพิ่งจะรับอุปการะลูกติดมาอยู่ในการดูแลตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับภรรยาที่ล่วงลับ

คำพูดนั้นแทงใจดำของออสตินเข้าอย่างจัง... เขาหันขมับมองหน้าของจัสตินทันที เท่านั้นอีกฝ่ายก็รับรู้แล้วว่าสิ่งที่ตนเดาไปเมื่อครู่มันถูกต้อง

“ทำไม เข้ากันไม่ได้เหรอ”

พอถามออกมาอีก ออสตินก็ส่ายหน้า

“เปล่า”

“แล้วมีปัญหาอะไร นายถึงได้มานั่งกลุ้มใจอยู่อย่างนี้”

จะให้เขาพูดออกไปได้อย่างไรกันล่ะว่าเผลอพลาดพลั้งทำผิดใหญ่หลวงไป มิหนำซ้ำยังคิดแต่จะปลุกปล้ำเจ้าเด็กอายุยังไม่บรรลุนิติภาวะคนนั้นน่ะ ออสตินเลยได้แต่บ่ายเบี่ยง

“ทัศนคติไม่ตรงกันนิดหน่อย”

“เรื่องปกติ ก็เด็กนั่นเกิดและโตที่ไทย ไม่ได้เป็นอเมริกันนี่ อีกอย่างตอนนี้ก็กำลังเข้าช่วงวัยรุ่น”

“อืม”

“อย่าบอกฉันนะว่าที่นายเป็นกังวลอย่างนี้เพราะเด็กนั่นเกเร?”

ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่เลย กานต์เป็นเด็กดีจะตาย ถึงคืนนั้นจะพลาดพลั้งไป แต่ออสตินก็มั่นใจว่ากานต์เป็นเด็กดี เขาจึงส่ายศีรษะเป็นคำตอบ

“ผมแค่รู้สึกว่ากานต์กับผมต้องใช้เวลาปรับตัวเข้าหากันอีกสักพักกว่าจะอยู่ในสถานะพ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยงได้ ผมหมายถึง...รู้สึกเป็นครอบครัวเดียวกัน”

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เขาต้องการเวลาจริงๆ เพราะเขารู้ตัวเองดีว่าตอนนี้ยังไม่สามารถคิดกับกานต์เสมือนลูกเลี้ยงหรือครอบครัวเดียวกันได้ ขณะที่กานต์เองก็แสดงอาการชัดเจนว่าต้องการเขาในอีกรูปแบบหนึ่ง นี่ไงเขาถึงได้คิดว่ามันกลับตาลปัตรจากแผนการที่เขาวางไว้

จัสตินร้องอ๋อ พยักหน้าอย่างเข้าใจ “นายเป็นผู้ปกครอง ต้องพยายามมากหน่อย ฉันรู้ว่ามันอาจจะยากแต่เด็กนั่นไม่เหลือใครแล้ว อย่าทำให้เขาต้องรู้สึกว่าอยู่คนเดียว”

ดวงตาสีน้ำทะเลของออสตินเหลือบมองผู้เป็นพี่

เขาพยายาม...

เขาทำอยู่...

แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้นโดยเฉพาะกับเขาที่ไม่ได้คิดจะรับการเป็นลูกเลี้ยงตั้งแต่คราวแรก...

“ขอร้องล่ะออสติน อย่าทำให้เขาต้องรู้สึกว่าไม่เหลือใครเลย”

จัสตินว่าออกมาอีกครั้ง ทำให้คนที่นั่งเงียบอยู่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะพยักหน้ารับ

“ผมรู้ ผมพยายามอยู่”

คำว่า ‘พยายามอยู่’ ของออสตินมีความหมายว่า ‘ต่อให้ยากสักแค่ไหน เขาก็จะทำมันให้ได้’

จัสตินรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น เหมือนกับตอนที่เขาประสบอุบัติเหตุและออสตินมารับช่วงต่อบริษัทไปดูแล ตอนนั้นชายหนุ่มก็พูดประโยคนี้เช่นกัน

ได้ยินดังนั้น จัสตินก็ไม่ตอแยอะไรอีก ตัดบทเอาดื้อๆ

“งั้นก็เชิญนายตามสบายเถอะ ฉันไม่กวนแล้ว เดี๋ยวจะออกไปเดินเล่นที่สวนสักหน่อย” จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “ไม่ใช่เดินสิ ต้องไปเข็นรถเล่น”

ทำเอาพยาบาลกับแม่บ้านที่อยู่ตรงนั้นด้วยหัวเราะขึ้นมาน้อยๆ ในอารมณ์ขันของเขา ออสตินก็ยังคงไม่รู้สึกว่าเรื่องที่อีกฝ่ายพูดมันน่าขำตรงไหนเลย เขาจึงได้แต่เงียบกระทั่งจัสตินและพยาบาลออกไปข้างนอก เหลือเพียงเขาเท่านั้นที่ยกถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบพลางคิดครุ่นไม่ตก

เขาจะทนกับสถานการณ์นี้ได้อีกนานแค่ไหนกัน?

 

การได้กลับบ้านโดยไร้ซึ่งผู้ปกครองเป็นวันแรกไม่ได้ทำให้กานต์รู้สึกดีเลย แม้ว่าจะเข้าใจว่าสักวันออสตินจะปล่อยให้เขาได้กลับบ้านเองและเขาควรที่จะดีใจที่ได้รับอิสระ ทว่าในความเป็นจริง เขากลับเป็นกังวลเสียอย่างนั้น

ออสตินโกรธอะไรอีกหรือเปล่าถึงได้ปล่อยให้เขากลับบ้านกับมาเรียอย่างกะทันหันแบบนี้?

ยิ่งคิดก็ยิ่งวิตกจนมาเรียต้องปลอบว่าไม่มีอะไร ออสตินน่าจะยุ่งมากจนไม่สามารถมารับในเวลาเลิกเรียนได้ถึงไหว้วานหล่อนมาอย่างนั้น ทว่าก็ไม่ได้ทำให้กานต์คลายความกังวลลงได้เลย เพราะเมื่อมาเรียกลับไป ออสตินยังไม่กลับมาบ้าน

ตอนนี้จะสามทุ่มแล้ว... หรือว่าคืนนี้จะไม่กลับ?

เด็กหนุ่มมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังในห้องนั่งเล่นครั้งแล้วครั้งเล่า มือถือโทรศัพท์แน่น ชั่งใจอยู่หลายครั้งว่าจะโทรหาพ่อเลี้ยงเพื่อถามดีหรือไม่ สุดท้ายก็ยังไม่ได้โทรสักที จนกระทั่งออสตินเป็นฝ่ายโทรมาเองและบอกว่าคืนนี้จะกลับดึกเนื่องจากมีนัดทานมื้อเย็นกะทันหัน ให้กานต์หาอะไรกินแล้วเข้านอนก่อนเลย ถึงกานต์จะเสียดายนิดๆ ที่ไม่ได้ร่วมโต๊ะมื้อเย็นกับออสตินเหมือนอย่างเคย ทว่าก็ดีใจไม่น้อยที่ชายหนุ่มไม่ได้ทิ้งเขาเสียทีเดียว

วันนี้จะเป็นเด็กดี จะทำตัวดีๆ ไม่ให้ออสตินต้องหงุดหงิดอีก...

เมื่อตั้งใจอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็ปฏิบัติตามคำสั่งเป็นอย่างดี จัดการล็อกบ้านอย่างแน่นหนาตามที่ออสตินกำชับไว้ก่อนวางสาย พอถึงเวลาที่ต้องนอนก็เข้านอนโดยไม่รีรอ ให้ออสตินกลับมาเห็นว่าเขาเข้านอนไว ไม่อยู่เล่นอินเทอร์เน็ตดึกๆ ดื่นๆ น่าจะดีกว่า

หัวถึงหมอนได้ไม่นาน ประกอบกับฤทธิ์ยาแก้แพ้ที่กินไปก่อนนอนทำให้กานต์ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนที่หูได้ยินเสียงประหลาดดังแว่วมา

ตึก! ตึก! กึง!

มาสะดุ้งตกใจเอาก็ตอนเสียงสุดท้าย เขารีบผุดลุกขึ้นนั่ง มองหาที่มาของเสียงก่อนจะพบว่าเสียงนั้นดังมาจากทาง...ประตูระเบียงห้องที่เป็นกระจก

เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนเตียงนิ่งๆ ครู่หนึ่ง เพ่งสายตาผ่านความมืดเพื่อมองว่ามันเป็นเสียงของอะไร ก่อนจะเห็นว่ามีก้อนหินเล็กๆ และกิ่งไม้ถูกขว้างขึ้นมา

นั่นมันอะไรน่ะ...

มือคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูนาฬิกา เห็นว่าตีสามแล้วก็ยิ่งย่นคิ้วยู่

ตีสามแล้ว หรือว่านั่นจะเป็นเสียงแมว?

หากแต่ความคิดของเขาก็ต้องมลายหายไปเมื่อตระหนักได้ว่าบางทีอาจจะเป็นเสียงของออสติน ดึกขนาดนี้ เขาน่าจะกลับถึงบ้านแล้ว ทว่าก็ไม่ใช่เมื่อได้ยินเสียงเรียก

“คาร์ล...เฮ้”

เป็นเสียงเรียกที่ค่อยไปทางกระซิบ และมัน...ช่างคุ้นหู

กานต์เลยตัดสินใจที่จะลุกจากเตียงไปชะโงกมอง ก่อนที่จะต้องเบิกตาโพลงเมื่อเห็นใครบางคนโผล่พรวดขึ้นมาจากบันไดหนีไฟที่อยู่ติดกำแพงบ้านด้านนอก

“เจฟ!”

กานต์ถึงกับอุทานเสียงดัง ขณะที่เจฟฟรี่ย์ซึ่งปีนขึ้นมานั่งบนขอบระเบียงทิ้งตัวลงมายืนบนพื้นได้ก็รีบยกนิ้วชี้ขึ้นปิดปากพลางส่งเสียง

“ชู่ว์ เบาๆ สิ เดี๋ยวคุณสเวนก็ได้ยินหรอก”

เท่านั้นกานต์ก็รีบปิดปากทันที ก่อนที่อีกฝ่ายจะร้องสั่ง

“มาเปิดประตูเร็ว”

ความจริงแล้วเขาไม่ควรที่จะเปิด แต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้เจฟฟรี่ย์ยืนตากลมอยู่ที่หน้าระเบียงห้องตัวเองกลางดึกได้เลยต้องพุ่งไปปลอดล็อก เปิดประตูบานเลื่อนให้เสียอย่างนั้น

เจฟฟรี่ย์ถลันเข้ามาในห้องอย่างถือวิสาสะ ไม่สนใจที่จะร้องขออนุญาตเลยสักนิด ก็แน่ล่ะ ถ้าเขาสนใจ เขาคงไม่ปีนขึ้นบ้านคนอื่นในตอนตีสามอย่างนี้หรอก

“ให้ตายเถอะเจฟ นายมาได้ยังไงเนี่ย”

“ปีนขึ้นมา” เจฟฟรี่ย์ว่าอย่างไม่ยี่หระ

เรื่องนั้นน่ะกานต์รู้แล้ว แต่นึกอย่างไรถึงมาหาตอนตีสาม นี่มากกว่าที่อยากจะรู้

“ไม่ตลกเลยนะเจฟ คิดจะทำบ้าอะไรของนายเนี่ย”

เห็นกานต์เริ่มส่งเสียงเข้ม เจฟฟรี่ย์ก็ไม่ล้อเล่นอีกต่อไป ยอมบอกออกมาตามตรง

“ฉันเห็นนายโกรธมากก็เลยจะมาขอโทษอีกครั้ง”

“ด้วยการบุกห้องฉันตอนตีสามเนี่ยนะ?”

“ให้ทำยังไงได้ล่ะ ตอนอยู่ที่โรงเรียน นายคุยกับฉันซะที่ไหน ขอโทษแล้วก็ไม่คุยด้วย จะให้ฉันทำยังไง”

เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง แค่หน้ายังไม่อยากจะมองเลย เจฟฟรี่ย์เห็นเขาเป็นตัวตลก หลอกเขาไปทำเรื่องที่ออสตินไม่ชอบอย่างนั้น เป็นใครก็ต้องโกรธทั้งนั้นแหละ

“กลับไปซะ ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับนาย”

กานต์ออกปาก ความคุกรุ่นในใจยังคงพร่างพราย เจฟฟรี่ย์สัมผัสได้ดี แต่ในเมื่อเขามาแล้ว เขาไม่กลับไปง่ายๆ หรอก ไม่รู้หรือไงว่าเขาต้องรวบรวมความกล้าแค่ไหนถึงจะตัดสินใจมาบุกบ้านของออสตินกลางดึกแบบนี้ได้

“ฉันไม่กลับไปง่ายๆ แน่”

กานต์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นความดื้อดึงของคนตรงหน้า

“แล้วนายต้องการอะไร”

“ขอโทษนาย”

คนฟังขมวดคิ้วมุ่นมากขึ้นไปอีก

“เท่านี้เนี่ยนะ นายก็ขอโทษไปแล้วหลายรอบไม่ใช่หรือไง”

“มันก็ใช่ แต่นายยังไม่หายโกรธนี่” เจฟฟรี่ย์ว่า กานต์ก็ไม่เถียง เขายังโกรธอยู่จริงๆ แต่แล้วก็เข้าใจได้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเด็กหนุ่มผมบลอนด์ตรงหน้านั้นคืออะไรเมื่ออีกฝ่ายพูดออกมา “ฉันกลัวว่านายจะโกรธจนเลิกคบฉัน ถึงต้องมาขอโทษจากใจจริงถึงที่น่ะ”



ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 11: Jeffrey O'conell[2]


ที่แท้ก็เรื่องนี้...

ก็มีเค้ารางอยู่บ้าง ถึงกานต์จะไม่พูด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่แสดงออกด้วยการตีตัวออกห่าง เริ่มไม่ไปไหนมาไหนด้วย ไม่พูดไม่คุย จนกระทั่งเจฟฟรี่ย์รู้สึกได้ถึงความห่างเหิน และนั่นเป็นเรื่องที่เขายอมไม่ได้ แต่กานต์ไม่ได้คิดอย่างนั้น ว่าออกมาหน้าตาเฉย

“นายก็มีเพื่อนเยอะแยะ จะมาสนใจอะไร”

“ก็นายเป็นเพื่อนฉัน”

“เพื่อนกันไม่หลอกกันไปทำเรื่องไม่ดีโดยที่ฉันไม่เต็มใจแบบนั้นหรอกเจฟ”

ดวงตาสีนิลที่จับจ้องไปยังคนตรงหน้านิ่งนั้นทำให้เจฟฟรี่ย์ต้องยอมแพ้ เขาถอนหายใจออกมายาว

“เรื่องนั้นฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆ ใจก็แค่อยากจะให้นายได้สนุกด้วยก็เท่านั้น”

“แต่ฉันไม่สนุก”

“ใช่ ฉันรู้ ถูกคุณสเวนเล่นงานนี่ไม่ใช่เรื่องสนุกเลย”

ยังจะมีหน้ามาพูดเป็นเล่นอีก กานต์ชักรำคาญแล้ว เดินตรงไปที่ประตูระเบียงแล้วเปิดออกอีกครั้ง

“กลับไปได้แล้วเจฟ ฉันรับคำขอโทษนาย แล้วก็ไม่มีอะไรจะต้องคุยอีกแล้ว”

เจฟฟรี่ย์กลับก็ได้ถ้าอีกฝ่ายอยากให้กลับ แต่เขาจะต้องมั่นใจเรื่องหนึ่งก่อน

“ฉันจะกลับก็ต่อเมื่อนายสัญญากับฉัน”

คนฟังขมวดคิ้ว “สัญญาอะไร”

“อย่าเลิกคบฉัน” เจฟฟรี่ย์ว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง พอเห็นกานต์มองเขาอย่างไม่เข้าใจก็พูดขึ้นมาอีก “ฉันยังอยากเป็นเพื่อนกับนาย ถึงจะทำให้นายโกรธ ทำให้นายซวย แต่ฉันก็ยังอยากคบนาย ห้ามเลิกคบฉันเข้าใจไหม”

กานต์ไม่ชอบเลย มีสิทธิ์อะไรมาสั่งเขา คนที่จะสั่งเขาได้มีแค่ออสตินคนเดียวเท่านั้น เจฟฟรี่ย์เป็นใครกันถึงมาวางอำนาจอย่างนี้

“ฉันจะตัดสินใจคบกับนายต่อหรือไม่ มันก็เรื่องของฉัน เกี่ยวอะไรกับนาย”

เจฟฟรี่ย์จึ๊ปากอย่างขัดใจ คนตรงหน้าที่เห็นเซื่องๆ นั่น จริงๆ แล้วหัวดื้อกว่าที่คิด

สงสัยคงจะต้องพูดตรงๆ...

“กลับไปได้แล้ว”

กานต์พยักพเยิดให้เจฟฟรี่ย์กลับออกไป แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เจฟฟรี่ย์กลับถลาเข้ามาคว้าแขนเขาเอาไว้ ก่อนจะจัดการปิดประตูแล้วดึงกานต์มานั่งที่เตียง คนถูกดึงเบิกตาโพลง เกือบจะโวยวายอยู่แล้วว่าทำบ้าอะไร แต่ก็ถูกอีกฝ่ายจับไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้มั่นเสียก่อน

“รับปากกับฉันก่อนว่าจะไม่เลิกคบฉัน นายจะโกรธฉันนานแค่ไหนก็ได้ แต่ขอร้อง อย่าเลิกคบฉัน”

เห็นย้ำประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา กานต์ก็ชักจะไม่เข้าใจ ทำไมเจฟฟรี่ย์จะต้องกลัวว่าเขาจะเลิกคบถึงขนาดนั้นด้วย เพิ่งจะรู้จักกันไม่กี่อาทิตย์แท้ๆ เลิกคบกันเป็นเพื่อนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ไม่ได้ผูกพันหรือสลักสำคัญอะไรสักหน่อย แต่การที่กานต์ไม่พูด เอาแต่มองเขาอย่างสงสัยกลับทำให้เจฟฟรี่ย์หนักใจ ในที่สุดก็ยอมแพ้ ถอนหายใจออกมาแล้วรับสารภาพตามตรง

“โอเค ฉันพูดก็ได้ ที่ฉันไม่อยากให้นายเลิกคบฉันก็เพราะ...”

“เพราะ?” คนฟังเลิกคิ้ว

“เพราะฉันชอบนายโอเค้ อย่าเลิกคบฉันเป็นเพื่อนเลย ฉันยังไม่ได้จีบหรือเดตกับนายด้วยซ้ำ มาถูกเลิกคบแบบนี้มันก็เสียความรู้สึกน่ะ”

สิ่งที่ได้ยินทำให้กานต์ต้องอ้าปากค้าง

เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เขาได้ยินเจฟฟรี่ย์บอกว่า...

“นายพูดว่าอะไรนะ”

เห็นสีหน้าเหลอหลาของคนตรงหน้าแล้ว เจฟฟรี่ย์ก็หัวเราะออกมา ดูท่าคำพูดของเขาคงจะยังไม่ชัดเจนพอ

“ฉันพูดว่าฉันชอบนาย ได้ยินชัดหรือยังล่ะคราวนี้”

ชัดเลย ชัดเต็มสองหู แต่ก็ไม่ได้ทำให้กานต์หยุดอ้าปากค้างได้เลย เจฟฟรี่ย์เลยยื่นมือไปเชยปลายคางนั้นขึ้น พูดย้ำออกมาอีกครั้ง

“ก็แค่ชอบน่ะ ตกใจอะไรนักหนา หรือว่าจะตกใจที่รู้ว่าฉันเป็นเกย์?”

เรื่องนั้นกานต์ก็ตกใจ แต่ตกใจกว่าด้วยไม่คิดว่าหวยจะมาออกที่เขา

“สะ...แสดงว่าที่ไม่อยากให้ฉันเลิกคบนายก็เพราะว่า...”

“มันหาช่องทางเข้าจีบยาก” เจฟฟรี่ย์ว่าสวนขึ้นมา “แล้วโอกาสได้เดตด้วยก็น้อยลงกว่าเดิม ฉันเลยอยากจะเข้าหาแบบเพื่อนก่อนมันจะได้ง่าย ต่อให้นายไม่ได้เป็นเกย์ก็เถอะ แต่ถ้าได้เป็นเพื่อนก็ยังดีกว่าไม่ได้เป็นใช่ไหม อย่างน้อยก็ได้ใกล้ชิดกัน”

เจฟฟรี่ย์พูดความในใจออกมาอย่างหมดเปลือก ปล่อยให้กานต์ได้สับสนมึนงงกับสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้

เจฟฟรี่ย์ชอบเขา... นี่มันเรื่องเหนือความคาดหมายมากไปหน่อยไหม!?

“ตะ...แต่ว่า...”

“ข้ออ้างของนายจะเป็นอะไร ฉันไม่สนหรอกนะ ไม่ชอบฉันก็ไม่เป็นไร แต่ขอร้องอย่างเดียว อย่าเลิกคบฉันเป็นเพื่อนเลยคาร์ล ขอร้อง”

กานต์จำต้องกลืนคำพูดของตัวเองลงไป ยิ่งสบสายตาเว้าวอนของเจฟฟรี่ย์แล้ว เขาก็ยิ่งพูดไม่ออก

ความจริงเจฟฟรี่ย์ก็ไม่ใช่คนเลวร้าย ถึงจะรักสนุกมากเกินเด็กวัยสิบเจ็ดไปสักหน่อย แต่ก็เป็นเพื่อนคนแรกที่เขารู้จักในนิวยอร์ก แล้วก็เป็นคนที่ทำให้เขารู้จักกับเพื่อนคนอื่นๆ ด้วย จะให้ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยก็ดูจะใจร้ายเกินไปหน่อย

“ขอร้อง...”

พอเห็นกานต์ไม่ตอบ เจฟฟรี่ย์ก็กะพริบตาปริบๆ อย่างเว้าวอน กานต์เกือบจะพยักหน้าตอบไปแล้วถ้าจู่ๆ หูไม่ได้ยินเสียง...

“กานต์... ยังไม่นอนเหรอ”

เสียงของออสติน!

เด็กหนุ่มทั้งสองเบิกตาโพลงแทบจะพร้อมกัน ก่อนที่กานต์จะรีบดึงให้เจฟฟรี่ย์เดินตามหาที่หลบเป็นพัลวัน สุดท้ายคนตัวใหญ่ก็ต้องมุดไปซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าอย่างทุลักทุเล ขณะที่นอกห้องก็มีเสียงเคาะประตูไม่หยุด

“กานต์...”

“อยู่เงียบๆ อย่าส่งเสียงนะ”

กานต์บอกกับเจฟฟรี่ย์ ปิดประตูตู้แล้วสูดหายใจ ทำตัวเป็นปกติที่สุดก่อนจะเดินมาเปิดประตู พลันก็เห็นออสตินในชุดนอนยืนอยู่ที่หน้าห้อง

“มะ...มีอะไรเหรอครับ”

“ฉันได้ยินเสียงตึงตังดังมาจากห้องเธอ เลยมาดูว่าเธอนอนหรือยัง”

ออสตินว่า สายตาเหลือบมองเข้ามาในห้องที่ยังคงปิดไฟอยู่อย่างสงสัย กานต์ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอเอื้อก ก่อนรีบพูดเร็วๆ

“ผะ...ผมนอนดิ้นตกเตียงน่ะครับ ขอโทษที่ทำเสียงดังรบกวน”

ออสตินเลยละสายตามามองใบหน้าของเด็กหนุ่มแทน

“นอนดิ้นตกเตียง?”

กานต์พยักหน้ารับรัว

“แต่ตอนที่นอนกับฉัน ไม่เห็นเธอจะนอนดิ้นเลย”

ก็เขาเป็นคนนอนดิ้นเสียที่ไหนกันล่ะ!?

คนฟังหัวเราะกลบเกลื่อนออกมา “บางทีผมก็ละเมอน่ะครับ”

ไม่รู้ว่าออสตินดูออกไหมว่าเขากำลังโกหกโง่ๆ แต่พอเห็นอีกฝ่ายไม่พูดอะไร กานต์ก็พอจะเบาใจขึ้นมาได้ แต่แทนที่ออสตินจะจบบทสนทนาแล้วกลับห้องของตัวเองไป เขากลับยืนมองลูกเลี้ยงของตนเองนิ่ง ก่อนจะถามออกมา

“แล้วเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“อ๋อ ไม่...”

กานต์กำลังจะตอบว่าไม่เจ็บ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อมือใหญ่ของคนตรงหน้าถูกยื่นมาประคองใบหน้าเขา

“หัวไม่กระแทกอะไรนะ”

เท่านั้นก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็เต้นระส่ำทันที สายตาจับจ้องไปยังใบหน้าคร้ามที่เอียงเล็กน้อยเพื่อสำรวจร่องรอยกระแทกบนใบหน้าของตน ก่อนจะได้สติเมื่อออสตินเปล่งเสียง

“ยังปกติดีอยู่ ดีแล้วที่ฉันไม่ต้องพาเธอไปโรงพยาบาลตอนนี้”

ใช่ เขายังปกติดีอยู่ แต่ที่ไม่ปกติก็คือออสตินต่างหาก

ออสตินเป็นอะไร ทำไมจู่ๆ ถึงได้อ่อนโยน?

กานต์คิดไม่ตกเลย ยิ่งออสตินประคองใบหน้าเขาไม่ยอมปล่อย ซ้ำยังออกปากถาม

“มีอะไร”

กานต์ก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงความไม่ปกติ

“ไม่มีอะไรครับ”

แต่ตอบแบบนี้ไปดีกว่าต่อความยาวสาวความยืด เจฟฟรี่ย์ยังอยู่ในตู้เสื้อผ้าในห้องเขา จะมัวสนใจแต่คนตรงหน้าไม่ได้

“ถ้าไม่มีอะไรก็เข้านอนได้แล้ว”

กานต์พยักหน้า ตอนนี้เองที่ออสตินยอมปล่อยมือ ทว่า...ไม่ใช่ปล่อยเปล่า เขากลับยื่นใบหน้าขึ้นมาแทน ก่อนที่หน้าผากของเด็กหนุ่มจะสัมผัสได้ถึงความนุ่มของริมฝีปาก ครั้นเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าผู้ปกครองของตนกำลังผละจุมพิตออกจากหน้าผากตน

“Goodnight”

ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันดังออกจากปากกระจับนั่นสั้นๆ หากแต่ทำเอาคนฟังสั่นไปทั้งสรรพางค์กาย

มะ...เมื่อกี้แด๊ดดี้...จะ...จูบ...

กานต์ยกมือชี้หน้าผากตัวเองด้วยใบหน้าเหลอหลา ได้สติกลับมาก็ตอนที่ออสตินว่าขึ้นอีกครั้ง

“อยากให้ฉันจูบราตรีสวัสดิ์อีกทีหรือไง”

กานต์พยักหน้าแบบไม่คิดเลยทีเดียว ทำให้ออสตินต้องยื่นข้อเสนอ

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปเอาหมอนแล้วไปที่ห้องฉัน นอนด้วยกัน เธอคงจะชอบกว่า”

แน่นอน! มันแน่อยู่แล้วว่ากานต์ต้องชอบ ดังนั้นเขาต้องรีบจัดการเจ้าคนตัวโตที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าของเขาให้เร็วที่สุด!

“เดี๋ยวผมจะตามไปนะครับ”

ออสตินพยักหน้ารับ เดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง ปล่อยให้กานต์รีบปิดประตูล็อก แล้วถลาไปลากเอาคนที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าของตัวเองออกมา

“นายรีบกลับไปก่อน เบาๆ ด้วยล่ะ มีอะไรค่อยไปคุยกันที่โรงเรียนพรุ่งนี้”

เจฟฟรี่ย์หัวเราะให้กับท่าทางลุกลี้ลุกลนนั่น

“นายนี่กลัวคุณสเวนจริงนะ”

สิ่งที่กานต์คุยกับออสตินนั้น เขาได้ยินไม่ชัดหรอก แต่ดูจากอากัปกิริยาของกานต์แล้ว คงจะเป็นเพราะกลัวว่าจะถูกดุอีกเลยรีบคะยั้นคะยอให้เขากลับไปอย่างนี้

แต่ในความเป็นจริง...มันไม่ใช่ กานต์จะรีบไปนอนกับออสตินต่างหาก!

“อะไรก็ช่างเถอะ กลับไปก่อน”

กานต์ไม่ฟังแล้ว รีบดุนหลังคนตัวโตให้ออกไปที่ระเบียง เจฟฟรี่ย์หัวเราะน้อยๆ ยอมทำตามแต่โดยดี ออกไปที่ระเบียงได้ มือข้างหนึ่งก็คว้าเอาบันไดหนีไว้มั่น

“ไว้พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียน”

เจฟฟรี่ย์บอกลา กานต์พยักหน้า ทว่าก็ต้องย่นคิ้วเมื่อสังเกตเห็นว่าที่มือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายถืออะไรบางอย่างอยู่

“นั่นมัน...”

รูปทรงคล้ายๆ กับกางเกง ถ้าไม่ผิด มันคือ...

“กางเกงบ็อกเซอร์ของนาย พอดีเห็นมันอยู่ในตู้ก็เลยหยิบติดมือมาด้วย”

เท่านั้นคนฟังก็เบิกตาโพลง

“ทำบ้าอะไรน่ะ เอาคืนมา”

กานต์แหวเสียงเบา เจฟฟรี่ย์เอี้ยวตัวหลบได้ทันควัน

“ถือว่าเป็นของรางวัลที่ฉันอุตส่าห์ยอมเสี่ยงตายมาหานายกลางดึกก็แล้วกัน”

ของรางวัลเป็นกางเกงในบ็อกเซอร์เนี่ยนะ! เพี้ยนไปหน่อยแล้ว!

แต่เด็กหนุ่มผมบลอนด์นั่นไม่สนใจหรอก เขาคิดแค่ว่าอยากได้อะไรสักอย่างไว้แทนตัวคนตรงหน้า ต่อให้มันเป็นกางเกงบ็อกเซอร์เอวย้วย เขาก็จะเอา

“ฝันดีคาร์ล เจอกันพรุ่งนี้” เจฟฟรี่ย์ทิ้งท้ายไว้ ปีนจากขอบระเบียงไปเกาะที่บันได้หนีไฟ จากนั้นก็คิดขึ้นมาได้ “คาร์ล มานี่หน่อย”

กานต์เดินหน้ามุ่ยเข้าไปหา เจฟฟรี่ย์กระดิกนิ้วให้เข้าไปใกล้...ใกล้...ใกล้อีก...

จากนั้นก็ถูกขโมยจูบไปฉับพลัน กานต์ผงะถอยออกมา สีหน้าดูตกใจไม่น้อย

“แต่ของรางวัลเป็นอันนี้จะดีกว่า” เจฟฟรี่ย์ว่าอย่างทะเล้น เลียริมฝีปากแผล่บ ก่อนที่จะทิ้งท้ายอีกครั้ง “เจอกันพรุ่งนี้”

แล้วก็ผลุบหายลงไปข้างล่าง ก่อนจะรีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินเลาะออกจากรั้วบ้านของออสตินไป ทิ้งให้กานต์มองตามแล้วนิ่วหน้า

เจ้าเจฟเฉยๆ นี่มัน...

พลันก็หัวเราะขึ้นมาน้อยๆ

เป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตก็มีเรื่องให้เล่นสนุกอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน...

 

ออสตินนั่งนิ่งอยู่ที่ปลายเตียงภายในห้องของตนเอง รอการมาถึงของกานต์อย่างสงบ ทว่าในมือกลับถือแท็บเล็ตแน่นเมื่อสายตาที่จับจ้องยังจอเห็นภาพของเด็กหนุ่มสองคนที่ระเบียงจากกล้องวงจรปิดซึ่งเขาได้เชื่อมต่อกับแท็บเล็ตเอาไว้

ภาพที่เห็นมันช่างไม่จรรโลงใจเอาเสียเลย...

เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ภายในอกร้อนรุ่มอย่างประหลาด ก่อนที่เขาจะวางกระแทกแท็บเล็ตลงบนเตียงข้างๆ ตัว พลันยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

เขาหงุดหงิดมาตั้งแต่เห็นเจฟฟรี่ย์บุกเข้ามาในบ้านแล้ว แต่แสร้งทำนิ่งเพราะคิดว่าคงจะไม่มีอะไร ทว่าพอเห็นว่านานแล้วยังไม่กลับออกไป ถึงได้ตัดสินใจไปเคาะประตูห้องของกานต์ หากแต่ไม่คิดเลยว่านอกจากจะมาโดยไม่ได้รับเชิญแล้ว ยังกลับออกไปโดยไร้มารยาทอีก

จูบกับลูกเลี้ยงของเขาต่อหน้าต่อตา...

ยิ่งคิดก็ยิ่งหัวเสียจนต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์

เจฟฟรี่ย์ โอโคเนล...

ไอ้เด็กนรก...

---------------------------

แด๊ดดี้เริ่มออกอาการแล้วค่ะ ถ้าไม่รีบ เดี๋ยวเจฟเฉยๆ คาบไปเด้อ 555

ตอนนี้ยาวมาก (อีกแล้ว) มีตัวละครใหม่โผล่มาด้วย

อย่าลืมฝากฟีดแบ็กให้เป็นกำลังใจกันนะคะ ^^

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
แด๊ดดี้รู้ใจตัวเองแล้ว
ที่เหลือก็รอแต่ว่าจะกล้าจีบลูกเลี้ยงตัวเองหรือเปล่า

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ต้องเรียกมาอบรมพฤติกรรมใหม่แล้วนะกานต์ เด๋วรอเด๊ดดี้สอนให้นะ  :hao6:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ดิ้นพล่านเลยแต่ละคน

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
Daddyตลกอะ

ออฟไลน์ ous_p

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ติดกล้องไว้อี๊ก อาการนี้น่าจะหึงแล้วนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด