Chapter 7: New friend
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้กานต์คิดไม่ตก เขากลัวเหลือเกินว่าการกระทำของตนเองจะเป็นเหตุที่ทำให้มองหน้าออสตินไม่ติด แค่ไม่ได้ทำอะไร เขาก็รู้สึกว่าการเข้าหาผู้ชายคนนั้นมันยากมากพออยู่แล้ว แต่นี่... เขาถึงกับดูดดุนนิ้วหัวแม่มือของอีกฝ่ายราวกับว่ามันเป็นโลลิป็อป
ไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไรตอนอยู่ต่อหน้าพ่อเลี้ยงแล้ว...
ทว่าออสตินกลับทำทุกอย่างเหมือนเช่นทุกวัน วันใหม่มาถึง เขาก็พูดคุยกับกานต์ราวกับเรื่องเมื่อวานไม่เคยเกิดขึ้น ทำเอาเด็กหนุ่มที่หวาดหวั่นในเรื่องนี้พอจะผ่อนคลายลงมาได้บ้าง
แต่...ก็แค่ได้บ้าง ในใจของเขายังตะขิดตะขวงอยู่
ออสตินไม่คิดหรือรู้สึกอะไรกับสิ่งที่เขาทำลงไปเมื่อวานนี้บ้างเลยเหรอ?
ปากอยากจะถามนัก แต่เมื่อเห็นออสตินไม่พูด กานต์ก็ไม่กล้าเอ่ยปาก ได้แต่ชำเลืองมองชายหนุ่มที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา สายตาไล่ไปบนหน้าจอแท็บเล็ตตรวจสอบกราฟหุ้นประจำวันอยู่ เมื่อรู้ตัวว่าถูกดวงตาคู่สวยของลูกเลี้ยงจ้องมอง ออสตินถึงได้ละสายตาเพื่อหันกลับไปมองบ้าง
“มีอะไรอยากจะพูดงั้นเหรอ”
กานต์สะดุ้ง จะเสแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรก็คงจะไม่ทันแล้ว จึงได้แต่อึกๆ อักๆ
“คือผม...”
“อยากจะพูดเรื่องเมื่อวานใช่ไหม”
คำถามตรงๆ ทำให้กานต์ไม่กล้าปฏิเสธ พยักหน้ารับเซื่องๆ ออสตินวางแท็บเล็ตลงบนตัก ว่าด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ไม่ต้องคิดมาก ฉันกับเธอไม่ได้ผูกพันกันมา ไม่แปลกหรอกถ้ามันจะมีความรู้สึกแปลกๆ โผล่มาให้เห็นบ้าง เธอเองก็ยังเป็นวัยรุ่น มันเลี่ยงไม่ได้ถ้าหากมันจะเกิด”
“...”
“แต่ก็อย่างที่บอก ตอนนี้เราเป็นครอบครัวกันแล้ว มันไม่ควรมีความรู้สึกแบบนั้น ถ้ากลัวว่าฉันจะโกรธล่ะก็ เธอทำใจให้สบายแล้วเอาเวลาไปเตรียมตัวให้พร้อมเถอะ พรุ่งนี้ไปโรงเรียนวันแรกไม่ใช่หรือไง”
“ครับ”
ฟังแล้วกานต์ก็พอจะสบายใจขึ้นมาอยู่บ้าง ออสตินมักมีคำพูดที่ชาญฉลาดมาพูดให้เขาสบายใจได้เสมอ ซึ่งนั่นมันได้ผล สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือถูกออสตินโกรธ ทว่านอกจากจะไม่โกรธแล้ว ออสตินยังไม่สร้างบรรยากาศน่าอึดอัดระหว่างเขาทั้งสองอีกต่างหาก
“อยากได้อะไรเพิ่มเติมไหม เครื่องเขียน สมุดโน้ต...”
จากนั้นก็เบี่ยงประเด็นเพื่อไม่ให้จมอยู่กับหัวข้อนั้นนานเกินไป
“ผมเตรียมหมดเรียบร้อยแล้วครับ”
“อืม ฉันชอบเด็กมีความรับผิดชอบ”
ถึงกานต์จะบอกให้ตัวเองไม่ให้คิดวุ่นวายฟุ้งซ่านกับคนตรงหน้าอย่างที่เคยทำ แต่เมื่อได้ยินคำชม หัวใจของเขาก็พองโตขึ้นมาแม้ว่ามันจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ออสตินชมเขาในเรื่องนี้ก็ตาม
“พรุ่งนี้ฉันจะไปส่งเธอ เลิกเรียนแล้วจะไปรับ พอเธอเริ่มคุ้นชินแล้วถึงจะให้เธอไปกลับเอง มีปัญหาอะไรไหม”
“ทำไมผมถึงต้องมีปัญหาด้วยล่ะครับ”
“เผื่อเธอไม่อยากให้ฉันไปรับ อายุสิบเจ็ดแล้วยังมีผู้ปกครองไปคอยรับคอยส่ง บางทีมันก็น่าอาย”
สำหรับเด็กอเมริกันอาจจะใช่ แต่สำหรับกานต์แล้ว เขาไม่อายเลย ดีเสียอีกที่ผู้ชายคนนี้ใส่ใจเขาถึงขนาดนั้น เขาออกจะยินดีด้วยซ้ำ
“ไม่อายครับ”
“อืม”
“แต่ถ้าแด๊ดดี้ไม่สะดวก ผมก็ไม่มีปัญหา ไปกลับเองได้ครับ”
แล้วก็ว่าอย่างเกรงใจทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ได้พูดอะไรด้วยซ้ำ ทำเอาออสตินเหลือบมองแล้วถามนิ่งๆ
“ฉันบอกเธอแล้วเหรอว่าไม่สะดวก”
กานต์นิ่งงันไปบ้าง พลันส่ายหน้า “เปล่าครับ”
“งั้นก็แสดงว่าสะดวก ฉันจะไปรับส่งเธอจนกว่าเธอจะคุ้นเคยเส้นทาง”
คราวนี้ไม่ปฏิเสธหรือพูดสิ่งใดออกไปแล้ว กานต์พยักหน้ารับ ขณะที่ออสตินระบายยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางเซื่องๆ ของเด็กหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะเบนความสนใจกลับมาที่แท็บเล็ตบนตักของตัวเองอีก ปล่อยให้กานต์ได้ทอดมองพลางพร่ำบอกกับตนเองในใจ
เท่านี้...เพียงความรู้สึกเท่านี้ กานต์ก็หลงคิดไปว่ามันมากเพียงพอแล้ว
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นพ่อเลี้ยง เป็นสามีของแม่ ไม่ควรที่จะคิดเกินเลยไปกว่านี้อีกแล้วล่ะ
วันใหม่มาถึง กานต์รีบตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการไปโรงเรียนวันแรก โรงเรียนของเขาอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านที่อยู่มากนัก สามารถเดินเท้าไปที่โรงเรียนได้โดยใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที หากขึ้นรถบัสที่ถนนหน้าหมู่บ้านก็ใช้เวลาเพียงสิบนาทีเท่านั้น เรียกได้ว่าการไปมาสะดวกสบาย ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ออสตินไปรับไปส่งด้วยซ้ำ แต่ออสตินก็ดึงดันว่าจะไปส่ง โดยบอกกับเด็กหนุ่มว่าวันนี้เขาจะต้องเข้าไปคุยกับครูใหญ่ของโรงเรียนด้วย เนื่องจากว่ากานต์มาเข้าเรียนกลางคัน จึงต้องมีการพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียนสักหน่อย
กานต์ก็ไม่ได้มีปัญหา เขาไม่ค่อยรู้เรื่องระบบการศึกษาในระดับไฮสกูลสักเท่าไรหรอก ออสตินบอกให้ทำอย่างไร เขาก็ทำอย่างนั้น กระทั่งผู้ปกครองของเขาคุยธุระกับครูใหญ่เสร็จสิ้นถึงได้ออกมาพบเขาที่นั่งรออยู่ข้างหน้าห้องครูใหญ่อีกครั้ง
“เดี๋ยวที่ปรึกษาของเธอจะพาไปที่ห้องเรียน”
ออสตินว่า ด้านหลังของเขามีผู้หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีอยู่ กานต์พอจะเดาได้ว่าเจ้าหล่อนคืออาจารย์ที่ปรึกษาที่ว่า
“แล้วเดี๋ยวฉันจะมารับ”
ความสนใจของเด็กหนุ่มถูกดึงกลับไปอีกครั้ง ก่อนที่จะต้องใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อมือใหญ่ของอีกฝ่ายวางลงมาบนศีรษะแผ่วเบา
“เป็นเด็กดี ไว้ตอนเย็นค่อยเจอกัน”
รอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มอีกครั้ง พลันบอกลาออสตินที่เดินห่างออกไปทีละน้อย
ถึงจะบอกกับตัวเองเพียงใดว่าไม่ควรคิดกับผู้ชายคนนั้นไปมากกว่าคนในครอบครัวเดียวกัน พร่ำบอกว่าเขาเป็นพ่อเลี้ยง เป็นสามีของแม่อย่างไร มันก็เหมือนจะสูญเปล่า ในเมื่อในใจของเขายังคงพร่ำเรียกหาอีกฝ่ายไม่หยุดหย่อน ยิ่งกลิ่นหอมอันเป็นกลิ่นประจำตัวของเขาลอยอบอวลเข้ามาในจมูก กานต์ก็ต้องกำมือแน่นด้วยพยายามควบคุมความรู้สึกของตัวเองไม่ให้เตลิดไปไกลกว่านี้
“ไปกันได้แล้วจ้ะคาร์ล”
สติทั้งมวลถูกดึงกลับมาโดยอาจารย์ที่ปรึกษา กานต์อยากจะขอบคุณหล่อนเป็นร้อยเป็นพันครั้งที่กระชากเขาออกมาจากหลุมของความฝันเฟื่องได้ ตอนนี้กานต์ประจักษ์แล้วว่าความยากของการใช้ชีวิตในต่างแดนไม่ใช่เรื่องการปรับตัวให้เข้ากับสังคมของที่นี่หรือการเรียนการสอนที่ไม่คุ้นชิน แต่เป็นการอยู่ร่วมกับผู้ชายที่เขาหลงเสน่ห์อย่างเต็มเปาคนนั้นต่างหาก
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก้าวตามหลังอาจารย์ที่ปรึกษาไปยังห้องเรียน
ถึงเขาจะทำตัวไม่ดีไปเมื่อวาน แต่วันนี้เขาจะเป็นเด็กดีอย่างที่เคยเป็น
จะไม่ทำอะไรบ้าๆ อีกแล้ว...
ถึงจะบอกว่าการเรียนการสอนนั้นไม่ยากลำบากเท่ากับการอยู่กับออสติน แต่เอาเข้าใจก็ทำหืดขึ้นคออยู่เหมือนกัน นอกจากสำเนียงการพูดของออสตินและมาเรียแล้ว เขาก็ดูเหมือนจะไม่คุ้นชินกับสำเนียงของชาวอเมริกันคนอื่นสักเท่าไรนัก ปัญหาหลักที่เขาต้องเผชิญคือการฟังไม่ทัน ทำให้การเข้าสังคมกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันยากพอสมควร พอพักเที่ยง กานต์จึงขอปลีกตัวไปพักตามลำพังด้วยเหนื่อยล้ากับการใช้สมองประมวลผล ตอนนี้ถึงเพิ่งเข้าใจว่าตลอดมาที่ฟังออสตินพูดรู้เรื่องเป็นเพราะอะไร
ผู้ชายคนนั้นตั้งใจพูดช้าๆ เพื่อให้กานต์ได้ฟังอย่างชัดเจน มาเรียก็เช่นกัน แต่ที่หล่อนพูดช้าเป็นเพราะเจ้านายอย่างออสตินสั่งเอาไว้ต่างหาก
ออสติน สเวน ทำอะไรเพื่อเขามากมายจริงๆ...
กานต์บอกย้ำกับตัวเองว่าไม่ควรทำลายความหวังดีของออสตินด้วยการหมกมุ่นคิดแต่เรื่องอกุศลอย่างนั้นเมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ก่อนจะเดินทอดน่องเลาะไปตามสนามฟุตบอลเพื่อหาที่นั่งพักกินแซนด์วิซที่ซื้อมาจากโรงอาหารเป็นมื้อกลางวัน
หากแต่ขณะที่เดินเลาะไปตามสนามฟุตบอลนั้น สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นทีมฟุตบอลกำลังฝึกซ้อมกันอยู่ เขามีโอกาสได้ดูกีฬาชนิดนี้ผ่านทางโทรทัศน์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยได้ดูให้เห็นกับตาจริงๆ สักครั้ง ดังนั้นระหว่างที่เดินอยู่ก็เลยหยุดที่ข้างสนาม ทอดสายตามองการฝึกซ้อมของนักฟุตบอลเหล่านั้นไปครู่
ทว่า...คงจะมองเพลินไปสักนิดเลยไม่ทันได้สักเกตว่าลูกฟุตบอลลูกเขื่องถูกโยนมาทางเขา รู้ตัวอีกทีว่าตนกลายเป็นคนรับลูกฟุตบอลก็ตอนที่ลูกบอลพุ่งเข้ามากระแทกที่ศีรษะเขาจนล้มไปกับพื้นแล้ว ล้มอย่างเดียวไม่ว่า ยังจะถลาไปล้มใส่กระถางสีที่ภารโรงของโรงเรียนวางไว้ตรงนั้นสำหรับทาสีรั้วที่อยู่ใกล้ๆ อีกต่างหาก ทำเอากางเกงของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยสีขาวไปหมด
“เฮ้ย!”
เสียงของใครบางคนดังตามมา ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะถูกใครสักคนก่นด่า
“จัดการเลยเจฟ! ความผิดนาย ไปรับผิดชอบเร็วเข้า!”
เด็กหนุ่มผู้เป็นมือขว้างลูกฟุตบอลลูกนั้นมุ่ยหน้าเล็กน้อย ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปยังเด็กหนุ่มอีกคนที่ล้มหงายไม่เป็นท่า เข้ามาใกล้ได้ก็โน้มตัวถาม
“นายโอเคไหม”
กานต์ยังมึนอยู่ แต่ก็พอจะมีสติบ้างแล้ว เงยหน้ามองก็พบว่าคนที่เข้ามาถามเขาเป็นเด็กหนุ่มผมสีบลอนด์สว่าง รูปร่างสูงใหญ่ตามประสานักฟุตบอล ทว่าก็ไม่ได้ใหญ่เกินไปจนดูบึกบึนเกินอายุเด็กในรั้วไฮสกูล ที่สำคัญ...เขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมากคนหนึ่งทีเดียว มองแล้วก็รับรู้ได้ทันทีว่าคงจะเป็นหนุ่มฮ็อตประจำโรงเรียนอะไรอย่างนั้น
“นี่นาย... เด็กใหม่นี่นา”
แล้วจู่ๆ เขาก็ทักขึ้นมาอีกด้วยคุ้นหน้าคุ้นตากับกานต์ ทิ้งตัวลงนั่งยอง ขณะที่คนถูกทักย่นคิ้วยู่
“ฉันอยู่ห้องเดียวกับนาย จำไม่ได้เหรอ ที่นั่งอยู่ข้างหลังห้อง ถัดจากนายไปสองที่นั่งน่ะ”
กานต์ยังคงย่นคิ้วอยู่ เขาจำไม่ได้หรอกว่าเพื่อนในห้องเขาหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็พอจะคุ้นหน้าคุ้นตากับคนตรงหน้าอยู่บ้างด้วยเขาโดดเด่นกว่าใคร
แต่...ไม่ได้โดดเด่นถึงขนาดจะทำให้กานต์จดจำได้ เพราะในสายตาของเขามีเพียงออสตินเท่านั้น
“ให้ตาย โทษทีนะ ทำนายเปื้อนไปหมดแล้ว”
แล้วจากนั้นก็เพิ่งสังเกตเห็นว่านอกจากจะปาลูกฟุตบอลใส่ศีรษะของเด็กใหม่แล้ว ยังจะทำกางเกงของกานต์เปื้อนไปด้วยสีไม่มีชิ้นดีด้วย กานต์เองก็เพิ่งจะรู้สึกตัวในคราวนี้ เขาออกจะหัวเสียอยู่เหมือนกันแต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจ
“ไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรได้ไง เปื้อนอย่างนี้นายจะเรียนคาบบ่ายได้ไงกัน” อีกฝ่ายโวยทันทีเมื่อได้ยินกานต์ว่าอย่างนั้น ก่อนจะผุดไอเดียขึ้นมา “เอางี้ ที่ห้องชมรมพอจะมีกางเกงวอร์มให้เปลี่ยนอยู่ ไปกับฉันแล้วกัน จะได้ไปเปลี่ยน ดูท่ากางเกงของนายจะใส่อีกไม่ได้แล้วล่ะ”
เป็นอย่างที่ว่านั่นแหละ คงจะต้องทิ้งสถานเดียว ต่อให้เอาแช่ทินเนอร์ก็ไม่สามารถล้างคราบสีออกได้แล้ว
“ไปลุก ฉันพาไป”
พูดเองเออเองเสร็จสรรพ ไม่ลืมที่จะหันไปร้องบอกเพื่อนร่วมทีมด้วยว่าจะแวะไปที่ห้องชมรมสักครู่หนึ่ง ซึ่งก็ไม่มีใครขัดอะไรด้วยเห็นกันทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กหนุ่มผู้โชคร้ายที่เดินอยู่ดีๆ ก็ต้องมาเป็นเด็กเก็บฟุตบอลอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ว่าแต่นายจะไปด้วยสภาพนี้จริงๆ น่ะเหรอ ห้องชมรมอยู่ไกลนะ”
เด็กหนุ่มผมบลอนด์หมายถึงในสภาพที่กางเกงเปื้อนสีทั้งตัว หากไปในสภาพนี้ ดูจะเป็นตัวตลกอยู่ไม่น้อย แต่กานต์มีทางเลือกอื่นอีกไหมล่ะนอกจากจะพยักหน้า
“อืม ก็คงจะต้องอย่างนั้นแหละ”
คนฟังย่นคิ้วทันที “น่าเกลียดตาย นายคงไม่อยากถูกล้อตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียนหรอกมั้ง เอางี้ เอาเสื้อฉันมัดเอวไปแล้วกัน อย่างน้อยก็พรางสายตาคนอื่นได้”
ไม่พูดเปล่า ถอดเสื้อแจ็กเก็ตวอร์มของชมรมที่สวมอยู่ออกมาด้วย พลันทำท่าจะเอามามัดเข้าที่เอวให้ ทำเอากานต์ต้องรีบร้องปราม
“เดี๋ยวเสื้อนายก็เปื้อนสีไปด้วยหรอก”
คนฟังชะงัก ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ฉันมีหลายตัว ตัวนี้เก่าแล้ว ว่าจะทิ้งอยู่เหมือนกัน ไหนๆ จะทิ้งแล้ว ก่อนทิ้งก็ขอใช้ประโยชน์หน่อย”
ดูเหมือนจะไม่ฟังเลยแม้แต่น้อย ดึงดันจะทำให้ได้ กานต์มองหน้าอีกฝ่ายที่ยิ้มร่าให้เขาแล้วก็รู้สึกถึงสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ขึ้นมา
จะมากระดิกหางระริกระรี้ใส่เขาอย่างเป็นมิตรตั้งแต่เจอกันครั้งแรก... ไม่สิ ครั้งที่สองอย่างนี้ไม่ได้นะเจ้าหมาใจง่าย
แต่อีกฝ่ายจะสนใจอะไร เห็นกานต์ไม่ตอบโต้ก็ถือวิสาสะเอาเสื้อแจ็กเก็ตมาพันรอบเอวทันที
“นายชื่ออะไร” พลันถามออกมา
“อยู่ห้องเดียวกันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงไม่รู้จักล่ะ”
เพราะความเป็นกันเองของคนตรงหน้าทำให้กานต์ผ่อนคลาย ถึงเขาจะเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นมิตรขนาดนี้ ความสบายใจในการพูดคุยก็พุ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ฉันก็ไม่ได้ฟังที่นายแนะนำตัวเท่าไร เมื่อเช้ายังไม่ตื่นดี” อีกฝ่ายว่าติดตลก ก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง “ตกลงนายชื่ออะไร”
คราวนี้เห็นทีว่าจะไม่ตอบคงไม่ได้แล้ว
“กานต์”
“หืม?”
“เรียกว่าคาร์ลก็ได้ถ้านายไม่ชิน นั่นมันชื่อไทย”
พอพูดไปอย่างนั้น คนตรงหน้าก็ยกยิ้มขึ้นมา
“ได้คาร์ล ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันเจฟฟรี่ย์... เจฟฟรี่ย์ โอโคเนล”
พูดจบจังหวะเดียวกับที่เสื้อแจ็กเก็ตวอร์มถูกมัดที่เอวของกานต์เรียบร้อยพอดี เด็กหนุ่มผมบลอนด์ผละถอยห่างไปเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งออกมาตรงหน้าให้กานต์ได้จับ
“ยินดีที่ได้รู้จัก”
กานต์เพียงยื่นมือออกไปสัมผัสเท่านั้น คนตรงหน้าก็กระชับมือของเขามั่น จับเขย่าๆ พลางว่าด้วยน้ำเสียงรื่นเริง
“เรียกว่าเจฟก็ได้ถ้านายไม่ถนัด บางทีเจฟฟรี่ย์อาจจะยาวไป”
ความเป็นมิตรของเขาทำให้กานต์ผ่อนคลาย รอยยิ้มผุดพรายขึ้นมาบางๆ บนใบหน้า ก่อนที่จะเปล่งเสียงพูด
“ฉันตั้งใจจะเรียกนายว่าคุณโอโคเนลน่ะ”
คนฟังเบ้หน้า “หยึย”
“มันสุภาพดีสำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักกันไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่ แต่ตอนนี้นายกับฉันรู้จักกันแล้ว เรียกว่าเจฟก็พอ”
“ได้”
“ต้องเรียกว่าเจฟเฉยๆ นะ ไม่ใช่เจฟฟรี่ย์”
คนตรงหน้าย้ำอีกอย่างทะเล้น คราวนี้เรียกเสียงหัวเราะของกานต์ออกมาได้ทันควัน
ได้...เจฟก็เจฟ กานต์บันทึกข้อมูลลงในสมองของตนเองอย่างรวดเร็ว
เพื่อนใหม่ของเขามีชื่อว่า...เจฟฟรี่ย์ โอโคเนล แต่เขาจะจำไว้ว่าต้องเรียกว่าเจฟเฉยๆ
ยินดีที่ได้รู้จัก...เจฟเฉยๆ
กานต์ถูกเพื่อนใหม่พาไปเปลี่ยนชุด โชคดีที่กางเกงวอร์มของนักกีฬามีไซส์สำหรับคนเอเชียตัวเล็กอย่างเขาอยู่ ไม่อย่างนั้นล่ะก็คงจะต้องใส่กางเกงเปื้อนสีไปทั้งวันแน่
แต่เพราะเสื้อผ้าที่ต่างจากในตอนเช้าที่ใส่มา ทำให้ออสตินซึ่งมารับตามสัญญาในตอนเย็นต้องหรี่ตามองเขม็ง พอเด็กหนุ่มขึ้นรถมานั่งข้างๆ ก็ไม่วายปราดสายตามองสำรวจตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนที่กลิ่นเหม็นฉุนของสารเคมีบางอย่างจะลอยมาแตะจมูก
“ไปทำอะไรมา”
พลันก็ถามขึ้นด้วยสงสัย ทำเอากานต์หันไปมองพลางเลิกคิ้วสูง
“ครับ?”
“ฉันถามว่าเธอไปทำอะไรมาถึงได้มีกลิ่นแบบนี้”
อ๋อ สงสัยจะได้กลิ่นสี
“ผมล้มใส่ถังสีเมื่อตอนกลางวันน่ะครับ”
เพียงคำตอบสั้นๆ ก็ทำให้ออสตินเข้าใจได้ว่าทำไมลูกเลี้ยงของเขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้าชุดเดียวกับเมื่อเช้า แต่สิ่งที่เขาเป็นห่วงกลับไม่ใช่เรื่องนั้น เขาเป็นห่วงอย่างยิ่งในเรื่อง...
“โดนใครแกล้งหรือเปล่า”
...โดนบูลลี่
สิ่งนี้ล่ะที่ทำให้ออสตินไม่ยอมให้กานต์ไปกลับเองโดยอ้างว่าจะมารับส่งจนกว่าจะเคยจริง ความจริงแล้วเขาต้องการจะมาคอยดูต่างหากว่าลูกเลี้ยงของเขาถูกใครรังแกหรือไม่ต่างหาก
เด็กอเมริกันบางจำพวกก็ไว้ใจไม่ได้...
“เปล่าครับ”
“เธอแน่ใจนะ”
เด็กหนุ่มพยักหน้า ออสตินมองจ้องนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่เชื่อคำพูดสักเท่าไรเพราะพอจะรู้ว่าเด็กอย่างกานต์คงจะไม่มีวันบอกอะไรเขาแน่ถ้าไม่ถูกต้อนจนมุม แต่ก็ไม่อยากจะคาดคั้น จึงได้ถามไปเรื่องอื่น
“แล้วเอาชุดใครมาใส่”
“ชุดของชมรมฟุตบอลน่ะครับ”
“ไปเอามาได้ยังไง”
“พอดีกัปตันชมรมเป็นคนให้ยืมมา”
แน่นอนว่าหมายถึงเจฟฟรี่ย์ กานต์เพิ่งจะมารู้ในระหว่างที่ถูกพาไปเปลี่ยนชุดว่าเขาเป็นกัปตันทีมตอนที่คุยกันสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย แต่มันไม่ได้สำคัญอะไรเท่ากับการที่ออสตินพยายามหาทางจับผิดอะไรบางอย่าง
“อย่าบอกฉันว่าหมอนั่นเป็นคนทำให้เธอต้องล้มใส่ถังสีด้วย”
ใช่เลย...มันเป็นอย่างนั้นแหละ พอกานต์พยักหน้า ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลของออสตินก็วูบไหวเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะถามเสียงเรียบออกมา
“หมอนั่นชื่ออะไร”
“จะ...เจฟครับ”
“เจฟอะไร”
“เขาบอกให้ผมเรียกเขาว่าเจฟเฉยๆ”
“...”
“เจฟฟรี่ย์ โอโคเนลครับ”
ว่าจะหยอกสักหน่อย แต่ถูกสายตานั้นกับความเงียบงันคาดคั้น กานต์ก็ออกอาการปากเปราะทันที หากแต่ออสตินได้ยินชื่อนั้นแล้วก็คลายความดุดันในสายตาลง
“เจฟฟรี่ย์ โอโคเนล?”
“ครับ”
“อืม”
ครางรับเพียงเท่านั้นแล้วก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก ท่าทางที่ดูเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างทำให้กานต์อดสงสัยไม่ได้
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ฉันรู้จักเด็กนั่น”
“ครับ?”
“ลูกชายของคุณโอโคเนล หุ้นส่วนรายใหญ่ของบริษัทฉันเอง”
กานต์ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ไม่คิดไม่ฝันเช่นกันว่าโลกจะกลมถึงขนาดนี้ แต่ออสตินก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรแสดงออกมาให้เห็น ได้แต่พูดสั้นๆ เท่านั้น
“หมอนั่นนิสัยใช้ได้ คบเป็นเพื่อนไว้ก็ดี ดีใจด้วยที่เธอมีเพื่อนใหม่แล้ว แต่ก็ต้องระวังเรื่องการวางตัวหน่อย หมอนั่นค่อนข้างจะเป็นนักปาร์ตีตัวยง ระวังถูกพาเสียคน อย่าคล้อยตามไปทุกอย่าง”
แล้ว...อย่างไรต่อล่ะ?
ก็ไม่ยังไงต่อ ออสตินไม่ได้พูดอะไรออกมาแล้ว ทำเพียงสตาร์ตรถแล้วขับออกไปเท่านั้น ปล่อยให้กานต์ได้นั่งนิ่ง เบนสายตามองออกไปข้างทาง ขณะที่ออสตินขับรถไปก็เหลือบมองคนข้างกายตัวเองไปด้วย
เจฟฟรี่ย์ โอโคเนล...
เจฟเฉยๆ...
เจ้าเจฟเฉยๆ กำลังจะมาเป็นเพื่อนคนแรกของลูกเลี้ยงเขา
จู่ๆ หัวคิ้วก็ย่นเข้ามาชนกันอย่างไม่อาจควบคุมได้ ภายในใจของออสตินนั้นคิดอะไรอยู่ เด็กหนุ่มข้างๆ เขาไม่อาจรับรู้ได้เลยนอกจากความเงียบตลอดทางกระทั่งถึงบ้าน
----------------------------------
ตอนแรกว่าจะไม่อัป เขียนจบตอนพอดี (อีกแล้ว ฮา) เลยอัปให้เลยค่ะ เรื่องนี้เขียนไวเพราะกำลังอิน
เห็นหลายๆ คอมเมนต์บอกว่าอยากอ่านพาร์ตที่เป็นความคิดของแด๊ดดี้ ใจเย็นๆ นะคะ มันเพิ่งเปิดเรื่อง แต่เดี๋ยวมีแน่ๆ ค่ะไม่ต้องห่วงเน้อ ตอนนี้อยู่กับความวัยรุ่นว้าวุ่นของน้องกานต์ก่อนนะ
ฝากฟีดแบ็กกันด้วยจ้า ^^