ข่าวการประมูลโครงการบางกอก บูเลอวาร์ดสำเร็จของเคเค คอนสตรัคชั่นนำความยินดีมายังพนักงานทุกคน สำหรับพนักงานระดับล่างจนถึงกลาง ความสำเร็จของบริษัทย่อมเป็นสิ่งยืนยันถึงความมั่นคงในหน้าที่การงานของพวกเขา สำหรับพนักงานระดับสูง นี่เป็นโอกาสอันดีที่เคเค คอนสตรัคชั่นจะได้แย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด คว้าเค้กชิ้นโตนี้ไปกิน และมีภาษีเหนือบรรดาคู่แข่งในวงการเดียวกัน
กลุ่มทีมงานที่ริเริ่มทำโครงการนี้ร่วมกันมากับพิชญ์เองก็พลอยยินดีเมื่อทราบข่าวความสำเร็จนี้ หลายคนทำหน้าที่ช่วยพิชญ์ในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ประเด็นสำคัญต่าง ๆ ตลอดจนจัดเตรียมแผนงานบางส่วน ยามที่งานสำเร็จลุล่วงแล้ว พิชญ์เองก็อดคิดถึงบรรดาลูกน้องขึ้นมาไม่ได้
“กำลังคิดอะไรอยู่”
อริญชย์ที่นั่งเซ็นเอกสารอยู่เอ่ยถามพิชญ์โดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง หลังจากแอบเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่นั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียวนานแล้ว
“คิดเรื่องงานประมูลน่ะครับ”
“งานประมูลก็เสร็จไปแล้วไม่ใช่หรือไง”
“ก็ใช่ครับ เพียงแต่ผมรู้สึกว่าคนอื่น ๆ ที่คอยช่วยผมก็มีส่วนให้งานนี้สำเร็จเหมือนกัน เลยคิดว่าอยากจะเลี้ยงตอบแทนพวกเขาเสียหน่อย”
อริญชย์คลี่ยิ้มออกมา ต้องยอมรับว่าการเป็นผู้บริหาร บางครั้งจะยึดถือแต่อำนาจเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ น้ำใจก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยเหมือนกัน
“เป็นความคิดที่ดี แล้วนายมีแผนยังไงล่ะ”
พิชญ์นิ่งเงียบไป เพราะว่าเขายังคิดไม่ตกอยู่นี่ไง ถึงได้มัวแต่นั่งคิดจนไม่เป็นอันทำงานทำการ
“ยังคิดไม่ออกเลยครับ แต่ไม่อยากให้ทางการมาก ผมอยากให้เป็นกันเองมากกว่า ถ้าทางการมาก กลัวว่าพนักงานจะหมดสนุกกันเปล่า ๆ”
“ก็ดี แล้วคิดว่าจะเลี้ยงวันไหนล่ะ”
พอได้ยินคำถามของอริญชย์ พิชญ์ก็คว้าปฏิทินมาพลิกดู วันนี้เพิ่งจะวันจันทร์ วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้จะมีงานโรงเรียนของน้องหนู ถ้าเป็นวันศุกร์...
“วันศุกร์นี้แล้วกันครับ เผื่อเลิกดึกจะได้ไม่ต้องห่วงว่าวันรุ่งขึ้นต้องมาทำงาน”
“ที่พูดนี่กำลังหมายถึงตัวเองหรือลูกน้องกันแน่”
พิชญ์หัวเราะออกมาทันที ตัวเขาเองก็ห่างหายจากงานสังสรรค์ประเภทนี้นับตั้งแต่เรียนจบจากรั้วมหาวิทยาลัย ส่วนมากก็มักจะเป็นงานเลี้ยงกับบรรดาผู้บริหาร ซึ่งพิชญ์สารภาพเลยว่า เขานั่งตัวเกร็งแทบทุกครั้งที่ไปร่วมงาน ถึงฉากหน้าพิชญ์จะดูเป็นนักธุรกิจที่ภูมิฐาน คู่ควรกับตำแหน่งรองประธาน แต่คงมีเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองกำลังโหยหาชีวิตวัยรุ่นที่ขาดหายไปมากแค่ไหน
“ทั้งคู่เลยครับ”
“วันศุกร์ก็ดี นายเลือกร้านเอาตามที่เห็นสมควรเลยแล้วกัน ฉันอนุมัติหมด”
“ใจป้ำจังนะครับ”
อริญชย์หัวเราะให้กับคำกระเซ้าของพิชญ์ การได้นั่งคุยอย่างเป็นธรรมชาติกับพิชญ์แบบนี้ทำเอาเขาอารมณ์ดีและรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย เขาหยิบปฏิทินของตัวเองมาดูบ้างก่อนจะต้องขมวดคิ้ว
“สงสัยฉันจะชวดงานเลี้ยงซะแล้ว”
“ทำไมล่ะครับ”
“ฉันมีบินไปประชุมที่ฮ่องกงวันพฤหัส กว่าจะกลับก็วันอาทิตย์เลย”
“ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
ถึงจะไม่ได้รู้ตารางงานของอริญชย์ทั้งหมด แต่พิชญ์ก็พอรู้ตารางหลัก ๆ ทว่างานที่อริญชย์เอ่ยถึง เขากลับไม่คุ้นแม้แต่น้อย
“งานนี้มันฉุกละหุกนิดหน่อย ฉันกำลังจะให้ตุลย์บุ๊คตั๋ววันนี้พอดี”
“แล้วอย่างนี้คุณใหญ่จะกลับมาทันงานโรงเรียนน้องหนูหรือเปล่าครับ”
อริญชย์ลืมไปสนิทว่าเขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่าง นั่นคืองานโรงเรียนของน้องหนู ที่ปีนี้หลานสาวตัวน้อยของเขาได้ร่วมแสดงด้วย ความจริงแล้วเขาอยากจะลากไอลดากลับมาดูลูกสาวตัวเองขึ้นแสดงเสียด้วยซ้ำ แต่การที่ไอลดาเตลิดหนีไป ความผิดหลายส่วนก็มาจากเขา ในเมื่อน้องสาวของเขายังไม่พร้อมที่จะกลับมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง อริญชย์ก็ไม่คิดที่จะบีบคั้นอีกฝ่าย
“งานโรงเรียนน้องหนูวันไหน กี่โมงนะ”
ฟังคำถามของคนเป็นลุงแล้วพิชญ์ก็อดเคืองแทนลูกสาวตัวเองไม่ได้
“ผมนึกว่าคุณใหญ่จดใส่ตารางของตัวเองไว้แล้วเสียอีก”
“ฉันว่าจะจดอยู่ แต่มันยุ่ง ๆ เลยลืม ตกลงวันไหนนะ”
“วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ครับ ตอนหกโมงเย็น”
“ฉันน่าจะกลับมาทัน เดี๋ยวให้ตุลย์จองตั๋วกลับไฟล์ทเช้า วันอาทิตย์”
“ถ้างานคุณไม่เสร็จ ไม่ต้องรีบก็ได้นะครับ”
เห็นท่าทางเกรงอกเกรงใจของพิชญ์แล้วอริญชย์ก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ พิชญ์คิดว่าเขาเป็นใครกัน คุณลุงข้างบ้านหรือไง ทำไมเขาถึงจะไม่อยากดูหลานสาวตัวเองขึ้นแสดงกันล่ะ
“ฉันไม่ปล่อยให้นายไปนั่งให้กำลังใจน้องหนูคนเดียวหรอก”
“ใครบอกว่าผมจะไปคนเดียว ผมจะขนไปให้หมดบ้านเลย”
“ก็เอาสิ ป้าน้อยกับนวลก็คงดีใจ”
ก่อนที่พิชญ์จะมัวแต่ชวนคุยเรื่องงานโรงเรียนน้องหนูจนเพลิน เขาก็นึกได้ว่าเรื่องที่คุยกันค้างอยู่คือเรื่องเลี้ยงพนักงานต่างหาก ดูเหมือนพอคุยเรื่องน้องหนู ทั้งเขาและอริญชย์ต่างก็คุยกันอย่างลื่นไหล
“ถ้าวันศุกร์นี้คุณใหญ่ไม่อยู่ ผมว่าเราเลื่อนที่จะเลี้ยงพนักงานออกไปก่อนดีกว่า”
“ไม่ต้องหรอก เอาตามเดิมนั่นแหล่ะ นายจัดการได้เต็มที่เลย”
เห็นอริญชย์ออกปากมาแบบนี้แล้ว แต่พิชญ์ก็ยังอดลังเลไม่ได้
“คุณใหญ่ไม่อยู่ร่วมงานแบบนี้จะดีหรือครับ”
อริญชย์ยกยิ้มมุมปากขึ้นมา พยายามหักห้ามใจไม่ให้ดึงพิชญ์เข้ามากอดรัดเอาไว้ในวงแขน น่าแปลก...ที่เขาไม่นึกเบื่อในความช่างคิดเล็กคิดน้อยของพิชญ์ ขอเพียงให้พิชญ์คิดเรื่องของเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรอริญชย์ก็ชอบใจทั้งนั้น
“แค่นายก็พอแล้ว คราวนี้เป็นผลงานของนายด้วย แต่ถ้าอยากให้ฉันเลี้ยง...” ดวงตาที่มักปรากฏแววเย็นชาอยู่เสมอพลันเปล่งประกายเจ้าเล่ห์ กว่าพิชญ์จะรู้ตัวว่าพลาดก็ตอนที่อริญชย์เอ่ยประโยคถัดมา “...ไว้ฉันจะพาไปเลี้ยงกันสองคน”
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นเสียหน่อย” ตอบอุบอิบออกไปแล้วพิชญ์ก็ได้แต่เสก้มหน้าก้มตาทำงาน
นับวันความรู้สึกดี ๆ ระหว่างเขากับอริญชย์ดูเหมือนจะค่อย ๆ เพิ่มพูนขึ้นช้า ๆ จนพิชญ์กลัวเหลือเกินว่า สุดท้ายอาจจะเป็นตัวเขาเองที่เป็นฝ่ายยอมถูกพันธนาการเอาไว้
อิสรภาพที่เคยเรียกร้องอยากได้นักหนา ยามนี้กลับดูเหมือนจะไม่จำเป็นเสียแล้ว
.
ข่าวเรื่องที่ทางเคเค คอนสตรัคชั่นเป็นฝ่ายประมูลงานชนะก็รู้มาถึงหูของปฐพีเช่นกัน เขาดูแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นว่าราชันย์ไม่ได้หงุดหงิดมากอย่างที่คาดว่าจะเห็น อีกฝ่ายยังคงมีท่าทีปกติเหมือนทุกวัน จนบางทีปฐพีก็นึกสงสัยว่า...
ราชันย์อยากได้งานที่ว่าจริงหรือเปล่า หรือแค่ต้องการขัดแข้งขัดขาอริญชย์ไปอย่างนั้น
แต่ถ้าเอ่ยถามถึงรัญญา เท่าที่เขาบังเอิญได้ยินที่ราชันย์คุยกับปกรณ์หลังเสร็จงานประมูล ดูเหมือนรัญญาจะค่อนข้างหัวฟัดหัวเหวี่ยง ซึ่งปฐพีก็ไม่ค่อยแปลกใจนัก งานนี้รัญญาลงทุนลงแรงไปเยอะเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากบรรดาคนเก่าคนแก่ในตระกูลว่าผู้หญิงอย่างเธอก็มีความสามารถ ดังนั้นการที่ทางกมลวิลาศน์ชวดงานคราวนี้ นอกจากจะทำให้รัญญาเสียหน้าแล้ว ความน่าเชื่อถือของเธอในสายตาของบรรดาคนเก่าแก่ตระกูลกมลวิลาศน์ก็ลดลงด้วยเช่นกัน
ปฐพีที่นั่งอ่านหนังสืออยู่มุมหนึ่งได้ยินเสียงแกรกกรากก็ชะโงกหน้ามอง เห็นราชันย์ลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากห้องนอน เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย กำลังชั่งใจว่าจะเอ่ยปากถามออกไปดีหรือไม่ ราชันย์ก็เป็นฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเขาก่อน
“จะไปด้วยกันไหม”
เป็นประโยคคำถามที่คุณครูภาษาไทยไม่ควรปล่อยผ่านเลยจริง ๆ อยู่ดี ๆ ก็ถามขึ้นมาดื้อ ๆ ไม่มีการเกริ่นที่มาที่ไปให้รู้กันบ้าง คนฉลาดน้อยอย่างเขาจะรู้ไหมว่ากำลังถูกชวนไปไหน
“ไปไหนครับ”
“ฮ่องกง” คำตอบของราชันย์ยังคงสั้นและสงวนถ้อยคำอย่างน่าหงุดหงิด
“เฮียจะไปฮ่องกงเหรอ”
“อืม จะไปจัดการธุระนิดหน่อย จะไปด้วยกันหรือเปล่า ฉันไม่ได้บังคับนาย แค่ลองถามดู เผื่อนายคิดถึงที่นั่น” ยังดีที่คราวนี้ประโยคยาวขึ้นมาอีกหน่อย
ปฐพีวางหนังสือนิยายภาษาจีนลงข้างตัว ก่อนจะลุกขึ้นมาจากโซฟา ภาพราชันย์ที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดของอาจจะดูแปลกตาสำหรับคนอื่นที่เคยชินกับภาพลักษณ์ของนักธุรกิจใหญ่ผู้กุมบังเหียนบริษัทเครือกมลวิลาศน์ แต่สำหรับปฐพีที่เรียกได้ว่าเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ภาพนี้กลับชวนให้เขาคิดถึงวันเก่า ๆ สมัยที่ยังอยู่ที่ฮ่องกงกับราชันย์
“ถ้าผมไปด้วยจะไม่เกะกะเฮียใช่ไหม”
“ถ้าคิดว่านายเป็นตัวเกะกะ ฉันก็คงไม่ชวนไปด้วย”
ปฐพีอดแสดงความดีใจออกมาไม่ได้ ราชันย์คงไม่รู้ว่าแค่ประโยคธรรมดาที่เพิ่งเอ่ยออกมากลับทำให้เขายินดีที่ได้รู้ว่าราชันย์ยังคิดถึงเขาบ้าง อย่างน้อยก็ไม่ได้เห็นเขามีหน้าที่เพียงแค่บำบัดความใคร่ให้ ยังเห็นว่าเขาก็มีหัวใจและความรู้สึกเหมือนกันใช่ไหม
“งั้นผมขอไปด้วยนะ ผมอยากแวะไปเยี่ยมน้าเหมยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเป็นยังไงมั่ง”
“เอาสิ ซื้อของติดไม้ติดมือไปฝากด้วยล่ะ แกจะได้ดีใจ”
“ว่าแต่เฮียจะไปวันไหนถึงวันไหนบ้างนะ ผมจะได้จัดกระเป๋าถูก”
“ไปวันพฤหัส กลับวันอาทิตย์”
“งั้นเดี๋ยวผมจัดกระเป๋าให้เอง เฮียไปทำอย่างอื่นเถอะ”
ได้ยินปฐพีเอ่ยออกมาอย่างนั้นแล้ว ราชันย์เลยปล่อยกระเป๋าเดินทางของตัวเองให้อีกฝ่ายเอาไปจัดการแทน เขาเดินไปห้องครัวเพื่อชงกาแฟ แวบหนึ่งที่มุมปากกดลึกเป็นรอยยิ้มโดยที่ปฐพีไม่เห็น เขาก็แค่สงสัย...
ถ้าหากปฐพีรู้ว่าการที่เขาพาเจ้าตัวไปด้วยคราวนี้เพราะมีจุดประสงค์แอบแฝง อีกฝ่ายยังกระตือรือร้นที่จะไปกับเขาอีกไหม เขารู้ว่าปฐพีไม่ใช่คนโง่อย่างที่เจ้าตัวคิดว่าตัวเองเป็น เพราะฉะนั้นอะไรที่ป้องกันได้ก็ควรป้องกันไว้ก่อน
ราชันย์เพิ่งจะหยิบเมล็ดกาแฟลงมาจากตู้ เตรียมจะชงกาแฟให้ตัวเอง ปฐพีก็ยื่นหน้าเข้ามา แต่ไม่ยอมพูดอะไร จนเขาต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเอง
“มีอะไร”
“เฮียจะไปฮ่องกง แล้วเรื่องทางนี้...”
อย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด ปฐพีไม่ได้โง่อย่างที่เขาคิด เพียงแต่ราชันย์คงไม่รู้ว่าในความฉลาดและรอบคอบของปฐพีนั้น เจ้าตัวก็พยายามเพียงเพื่อจะได้มีส่วนช่วยเขา
“ช่วงนี้ทางนั้นคงไม่กล้าลงมืออะไรมาก ยังมีชนักปักหลังอยู่นี่นะ” ราชันย์ตอบพลางชงกาแฟไปด้วย ท่าทางเป็นธรรมชาติเสียจนคนมองไม่รู้สึกว่าเขากำลังพูดปดคำโต
“งั้นก็ดีแล้ว เฮียจะได้ไม่ต้องคอยห่วงทางนี้”
ปฐพีเดินออกจากห้องครัวไปแล้ว พอดีกับที่ราชันย์ชงกาแฟเสร็จ ความจริงแล้ววันนี้เขาควรจะเปิดเบียร์กระป๋องมาดื่มให้กับความสำเร็จอีกขั้นของตัวเอง แต่กาแฟร้อน ๆ ก็ไม่เลวนัก เดินออกมาจากห้องครัวก็เห็นปฐพีกำลังง่วนอยู่กับกระเป๋าเดินทาง คำถามดังมาจากคนที่ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ตรงโซฟาไม่ขาดสาย
“เฮียว่าผมซื้ออะไรไปฝากน้าเหมยดี”
“พวกของกินแปลก ๆ กับผ้าไหมก็ได้มั้ง น้าเหมยน่าจะชอบ”
“ช่วงนี้อากาศที่ฮ่องกงน่าจะแปรปรวน เฮียจะให้ผมเอาเสื้อกันหนาวไปเผื่อให้ไหม”
“ไม่ต้อง เอาแต่สูทไปก็พอ”
คำถามยังดังมาเรื่อย ๆ ไม่ขาดสาย และราชันย์เองก็เอ่ยตอบเรื่อย ๆ บางทีอาจเป็นเพราะว่าวันนี้เขากำลังอารมณ์ดีจนไม่นึกรำคาญคำถามของปฐพีก็เป็นได้
“เฮีย นี่เราจะไปนอนบ้านหรือนอนโรงแรมกันเหรอ”
คำถามนี้ทำเอาราชันย์สะอึกนิดหน่อย เขาแปลกใจที่ปฐพีเองก็เห็นที่นั่นเป็นบ้านไม่ต่างกันกับเขา แต่น่าเสียดายที่คราวนี้เขาคงต้องทำลายความหวังของปฐพี
“นอนโรงแรม”
เขาเห็นแววผิดหวังทอประกายขึ้นมาวูบหนึ่งในดวงตาของปฐพี แต่ก็ทำเป็นไม่เห็นมันซะ ได้แต่เอ่ยกำชับอีกฝ่ายให้จัดการกับกระเป๋าเดินทางให้เรียบร้อย ส่วนเขาก็เดินเข้าห้องมาสะสางงาน หยิบโทรศัพท์มากดหมายเลขที่จำได้ขึ้นใจ รอให้ปลายสายรับถึงได้เอ่ยย้ำคำเสียงหนัก ๆ ผิดวิสัย
“กูเอง อย่าลืมนัดของเราล่ะ”
เรื่องบางเรื่อง เขาปล่อยให้มันคาราคาซังมานานมากเกินไป ตอนนี้ถึงเวลาที่ควรจะสะสางให้มันจบ ๆ ไปเสียทีแล้ว
บางทีต้นสายปลายเหตุของเรื่องบ้า ๆ มันอาจจะมาจากเขาเองก็เป็นได้
เขาที่ใจอ่อนมากเกินไป น่าดีใจที่ในตอนนี้เขาไม่หลงเหลือความใจอ่อนอีกต่อไปแล้ว
TO BE CONTINUE
พาคุณใหญ่กับพีทกลับมาแล้วค่า อาทิตย์ที่แล้วป่วย เลยไม่ได้มาลง
ขอบคณสำหรับทุกคอมเม้นท์เลยนะคะ ^^
พีทเก่งมาก ๆ ยังงี้คุณใหญ่ต้องให้รางวัลแล้วเนอะ
ตอนหน้าเราจะเกาะกระเป๋าคุณใหญ่ไปฮ่องกงกันค่า