.
.
“รักมานานแล้ว”
ไม่รู้ว่าจะรอเวลาที่เหมาะสมไปทำไม ในเมื่อทั้งใจผมให้เขาไปหมดแล้ว และแค่ได้เห็นเค้กชาเขียวก้อนโตกับสารพัดชาเขียวบนโต๊ะ ผมก็รับรู้ได้ในทันทีว่าใครเป็นคนต้นคิดเรื่องทั้งหมดนี้…
‘เดือนหน้าวันเกิดผมแล้วนะ’
‘แล้วไง’
‘ผมอยากกินเค้กชาเขียวก้อนใหญ่ๆ’
‘เอาไว้ก่อน กูทำงานอยู่’
‘เอาแบบเสิร์ฟพร้อมสารพัดชาเขียวเลยนะ ขอมื้อเดียวอิ่มยันชาติหน้าเลยจะดีมาก’
‘…’
เพราะไม่ได้กินชาเขียวมานาน ผมถึงได้เก็บกดเอาไปบ่นให้เขาฟังตอนเดือนก่อน ซึ่งคนตรงหน้าก็ไม่เคยรับปากว่าจะหามาให้เลยสักครั้ง แต่เขากลับจดจำสิ่งที่ผมเคยพูดได้ทั้งที่ชอบแสดงท่าทีเหมือนไม่สนใจ
แม้จะไม่รู้…แต่ผมก็เชื่อว่ามีเรื่องราวอีกมากมายที่เขาทำเพื่อผมโดยที่ไม่ยอมบอก แต่ก็เพราะเป็นคนแบบนี้…ผมถึงได้รัก
“จะอ้อนขออะไร” พี่ภูแกะมือผมออก ก่อนจะหมุนตัวมาเผชิญหน้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมพุ่งเข้าไปกอดเขาได้ถนัดขึ้นกว่าเดิม
“ไม่อยากได้อะไรแล้ว”
แค่พี่อยู่กับผมก็พอ…
“เดี๋ยวพ่อมึงก็เอามีดมาแทงกูหรอก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงติดตลกแต่ก็ไม่ได้ดันผมออก ทั้งยังใช้มือข้างหนึ่งกอดกลับแล้วลูบหัวผมอีกต่างหาก
“ป๋าไม่ทำหรอก ป๋าใจดี”
“ถึงป๋าจะยอมรับแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าป๋าจะโอเคที่ต้องมาเห็นตัวเล็กกอดกับคนอื่นนะ…” น้ำเสียงเศร้าสร้อยของป๋าทำให้ผมรู้สึกตัว ต้องรีบผละออกจากพี่ภูแล้วหันไปมองคนอื่นๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งนอกจากไอ้โซกับไอ้เจไดที่กำลังกลอกตา พี่กีล์ที่กำลังอมยิ้ม และแม่เฮเลนกับจ๋าที่กำลังคุยกันแล้ว…ตอนนี้พวกเฮียๆ กับป๋าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้กันแทบทุกคน
“คุณหนู…”
“คุณหนูของไอ้สาม…”
“ตัวเล็กของป๋า…”
จะเล่นใหญ่กันไปไหนวะเนี่ย
“ผมไม่ได้จะแต่งงานนะ ร้องไห้อะไรกันเนี่ย” ผมบ่นเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางโอเวอร์ของพวกเขา ก่อนจะก้าวเท้าไวๆ เข้าไปเป่าเทียนชาเขียวอย่างรวดเร็ว “ตัดๆๆ หิวแล้ว อยากกิน”
ช่างหัวความโรแมนติกมัน ในเมื่อช่วยกันทำลายไปหมดแล้ว งั้นผมก็ขอหันมาสนใจของกินแทนเลยแล้วกัน
“ตะกละ” ไอ้หมาที่เดินเกาะติดพี่กีล์เป็นตังเมเบะปากใส่ผมหนึ่งที จากนั้นก็หันไปอ้อนคนข้างๆ “กีตาร์ ตัดเค้กให้หน่อย”
“ตะกละพอกันนั่นล่ะ” ไอ้เจไดแทรก
“เสือก!” แล้วก็เป็นผมที่ด่าทีเดียวได้เหี้ยสองตัว
“อย่าทะเลาะกันสิครับ” พี่กีล์คนดีส่ายหน้าหน่าย ก่อนจะช่วยหยิบมีดมาตัดเค้กแบ่งให้พวกผมคนละชิ้นอย่างเท่าเทียม โดยหลังจากนั้นเขายังหันไปตัดให้พวกเฮียๆ ที่ทยอยเดินเข้ามาอวยพรผมด้วย
“คุณหนู มีความสุขมากๆ นะครับ”
“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
“ขอโทษที่ผมไม่มีของขวัญมาให้นะครับ พอดีผมไม่มีเงิน”
“ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากผมครับ”
กว่าจะรับของขวัญมากมายจากบรรดาเฮียๆ หมดก็เล่นเอาเหนื่อย ผมตักเค้กเข้าปากไปเรียงของขวัญไปอย่างตั้งใจ สุดท้ายเมื่อจัดการเรียบร้อยแล้วก็หันไปแบมือใส่หน้าไอ้เพื่อนทั้งสอง
“ของขวัญกูล่ะ”
“ไม่มี/ไม่มี”
“ไอ้พวกขี้งก” ผมบ่นแบบไม่จริงจังนัก ก่อนจะหันหน้าหนีพวกมันเพื่อมองหาคนที่ตอนนี้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ จะว่าไปป๋าเองก็หายไปด้วย…
หลังจากมองจนแน่ใจแล้วว่าพี่ภูไม่อยู่แถวนี้ ผมก็เดินไปหาผู้หญิงสองคนที่กำลังคุยกันอย่างออกรสโดยไม่สนใจเจ้าของวันเกิดเลยแม้แต่น้อย
“จ๋า แม่เฮเลน เห็นพี่ภูกับป๋าไหมครับ”
“แม่เห็นเดินไปทางนั้นนะจ๊ะ” แม่เฮเลนชี้มือไปทางหนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้ผม “สุขสันต์วันเกิดนะหนูเก้า ของขวัญเดี๋ยวแม่จะให้ตอนเรากลับไปอังกฤษด้วยกันนะ”
“ครับแม่…ว่าแต่…” ผมหันไปมองจ๋าด้วยความลังเลใจ เพราะเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกเรื่องจะขอไปทำงานกับพี่ภูที่อังกฤษ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร จ๋าก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“คุณแม่ไม่ว่าค่ะ มันคืออนาคตของคุณอชิรา ถ้าคิดว่าดีก็ทำ ขอแค่เวลาท้ออย่ายอมแพ้ให้เสียชื่อคุณแม่ก็พอ”
“ขอบคุณนะจ๋า” ผมยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินเข้าไปกอดจ๋าแน่นๆ หนึ่งที
ไม่ว่าเมื่อไหร่ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นกำลังใจให้ผมได้เสมอ ถ้าไม่ใช่เพราะจ๋า…ผมคงไม่มีทางกลายมาเป็นผู้ชายสุดเพอร์เฟกต์อย่างนี้แน่
หลังจากคุยกับพวกคุณหญิงเสร็จแล้วผมก็เดินไปตามทางที่แม่เฮเลนชี้ มันเป็นทางที่ตัดผ่านต้นไม้ไปอีกด้าน เดินมาสักพักแล้วผมก็ยังไม่เห็นคนที่กำลังตามหา แต่ก่อนจะได้หมุนตัวเดินกลับไปทางเดิม คนที่หายไปไหนแต่แรกอีกคนก็เดินเข้ามาหาเสียก่อน
“ไปไหนมา”
“ออกมาเดินเล่น” ภามตอบสั้นๆ ก่อนจะยิ้ม “มีความสุขมากๆ นะ”
“ขอบใจมาก” ผมตบบ่าเขาเบาๆ จากนั้นก็มองภามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจ “มึงก็เหมือนกัน”
ผมเชื่อว่าต่อจากนี้หนทางของภามจะต้องสดใสกว่าเดิม เพราะเพียงแค่ยอมเปิดใจและพร้อมรับสิ่งใหม่ๆ เขาจะต้องได้พบกับสิ่งที่เป็นของตัวเองแน่นอน
“ตอนนี้ผมก็มีความสุขมากแล้ว…เก้ารีบไปเถอะ” เขาดันหลังผมให้เดินต่อ
“เค เดี๋ยวเจอกันนะ”
“อือ”
พอแยกกับภามแล้วผมก็เดินไปตามทางอีกครั้ง แต่คราวนี้เดินมาอีกแค่นิดเดียวผมก็พบว่าหนทางด้านหน้าไม่ได้เต็มไปด้วยต้นไม้เหมือนเคย เพราะห่างออกไปไม่มาก…ผมเห็นร่างของผู้ชายสองคนยืนอยู่ตรงนั้น
ตรงพื้นที่โล่งเหมือนบริเวณที่พวกเราใช้จัดงาน ป๋ากับพี่ภูยืนหันหลังให้ผมและกำลังคุยกันอยู่ ผมไม่แน่ใจนักว่าพวกเขากำลังคุยกันเรื่องอะไร แต่ก็รู้ดีว่ายังไม่ควรเข้าไปกวนในเวลานี้ เพราะงั้นผมถึงได้เดินเข้าไปหาช้าๆ ก่อนจะหยุดยืนห่างจากทั้งคู่ประมาณห้าก้าว
“ฉันเคยติดยา เล่นการพนัน มั่วผู้หญิง ทำทุกอย่างที่เลวร้ายโดยไม่สนใจว่าพ่อแม่จะรู้สึกยังไง สุดท้ายพอได้เข้าไปอยู่ในคุกถึงได้เริ่มคิดเป็น…” ป๋าเริ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะตั้งตัวได้…โชคดีอย่างแรกในชีวิตของฉันคือการที่พ่อแม่มีฐานะ มีกิจการให้ดูแลต่อ และโชคดีอย่างที่สอง…คือการได้พบกับธารินทร์”
แม้จะไม่ได้เห็นหน้าคนพูด แต่ผมมั่นใจว่าในยามนี้ป๋าจะต้องกำลังยิ้มอย่างอ่อนโยนอยู่แน่ๆ…
“ใครจะเชื่อว่าผู้ชายเลวๆ อย่างฉันจะสามารถพิชิตใจผู้หญิงสมบูรณ์แบบอย่างธารินทร์ได้…แม้แต่พ่อกับแม่ยังดูถูกและบอกว่าเธออยู่สูงเกินไป แต่นายรู้อะไรไหม…”
“…”
“ตอนที่ฉันคิดจะปล่อยให้เธอไปมีชีวิตที่ดี ผู้หญิงคนนั้นกลับคลายรอยยิ้มหวานที่มีมาตลอด…แล้วตบหัวฉันเต็มแรง” ป๋าหัวเราะออกมาเบาๆ ซึ่งผมเองก็ต้องหลุดยิ้มออกมาไม่ต่างกัน…สมเป็นจ๋าจริงๆ “เธอบอกว่า ‘รู้ทั้งรู้ว่ากูท้องมึงยังมีหน้ามาขอเลิกอีกเหรอ อยากตายใช่ไหมไอ้เจี๊ยวหมา’ ”
โห…เมื่อก่อนจ๋าโคตรฮาร์ดคอร์ เจ๋งเว่อร์
“ตอนนั้นฉันอึ้งไป รู้ตัวอีกทีก็แต่งงานกันไปแล้ว มานึกได้ว่าไม่เคยมีอะไรกันเลยสักครั้งก็หมดทางหนีแล้วซะอย่างนั้น”
ผมจะบอกว่าป๋าโง่และเอ๋อเอง หรือจะบอกว่าจ๋าเก่งดีวะ…
“แต่ถึงผู้หญิงคนนั้นจะโหดร้ายยังไง ฉันก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่เลือกเธอ” น้ำเสียงของป๋าเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก มันเป็นน้ำเสียงที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนและทำให้ต้องนิ่งค้างอยู่นาน “แต่จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราทั้งคู่…คงเป็นการที่เราได้ช่วยกันสร้างสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ คนหนึ่งขึ้นมา”
“ตอนที่ตั้งท้องตัวเล็ก ธารินทร์มีอาการผิดปกติหลายอย่าง…ทั้งครรภ์เป็นพิษและความดันโลหิตสูง” ป๋าพูดออกมาช้าๆ โดยที่ยังหันหน้ามองไปในทิศทางเดียวกับพี่ภู ผมไม่รู้ว่าสายตานั้นกำลังจับจ้องไปที่อะไร แต่ผมกลับรับรู้ได้ว่าป๋ากำลังนึกถึงช่วงเวลาในตอนนั้นอยู่ “พวกเรากังวลกันมากว่าลูกจะมีปัญหา แต่สุดท้ายตัวเล็กก็ลืมตาขึ้นมา และกลายเป็นเด็กชายตัวน้อยๆ ที่น่ารักที่สุดในโลก”
“…”
“นายไม่มีทางจินตนาการได้เลย ว่าคนที่เคยทำเรื่องเลวร้ายมาแล้วทุกอย่างอย่างฉันจะรู้สึกยังไงในเวลานั้น…มันเหมือนมีคนเอาค้อนมาทุบหัวแรงๆ แล้วถามว่ามึงทำอะไรลงไป ทำไมไม่เป็นคนดีแต่แรกวะ แล้วถ้าเด็กคนนี้โตมาแล้วรู้ว่ามึงเคยติดคุก คิดบ้างไหมว่าเขาจะรู้สึกยังไง…ความคิดหลายๆ อย่างวนเวียนอยู่ในหัวทั้งที่เด็กตัวน้อยๆ คนนั้นเพิ่งเกิดมาได้ไม่ถึงสิบนาที และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันต้องร้องไห้และก่นด่าตัวเองในใจเป็นล้านๆ ครั้ง”
ผมเม้มปากแน่นจนเจ็บไปหมด ใจอยากเดินเข้าไปกอดป๋าแล้วบอกว่าผมไม่เคยเสียใจเลยสักครั้งที่เกิดมาเป็นลูกป๋า แล้วก็ไม่เคยสนด้วยว่าป๋าจะเคยเป็นยังไง เพราะเวลานี้ป๋าคือพ่อที่ดีที่สุดในโลกสำหรับผมแล้ว แต่เพราะไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะ ผมเลยทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่ด้านหลังพวกเขา
“ฉันเปลี่ยนตัวเอง กลายเป็นคนใหม่เพื่อตัวเล็ก ทั้งตั้งใจเรียนรู้งานจากพ่อ กลับไปเรียนต่อจนจบ รวบรวมคนไม่ดีที่เคยรู้จักและอยากกลับตัวกลับใจให้มาทำงานด้วยกัน เพราะฉันเข้าใจดีว่าคนบางคนไม่มีทางเลือก”
พวกเฮียๆ…
“ตอนแรกพวกนั้นก็ทำงานชุ่ยๆ ไม่ได้เต็มใจนัก แต่นายรู้อะไรไหม…สิ่งแรกและสิ่งเดียวที่รวบรวมคนพวกนั้นไว้ด้วยกัน รวมถึงสามารถทำให้พวกเขามอบให้ได้ทั้งใจ…ก็คือเด็กตัวเล็กๆ ที่มีอายุแค่หกขวบ…เด็กที่ชี้มือไปที่ทุกคนแล้วนับเลขให้ฟัง หลังจากนั้นก็เรียกพวกนั้นเป็นตัวเลขมาโดยตลอด”
“…”
“ชื่อจำยากจังเลย…เก้าตั้งชื่อให้ใหม่นะ นั่นเฮียหนึ่ง นั่นเฮียสอง นั่นเฮียสาม…จากหนึ่งไปจนถึงกี่สิบก็ไม่รู้ เด็กคนนั้นพูดแบบนั้น แล้วก็น่าแปลก…ที่เขาสามารถจดจำชื่อที่เป็นตัวเลขของทุกๆ คนได้โดยไม่เคยเรียกผิดเลยสักครั้ง แม้แต่ตอนที่ไร่ถูกวางเพลิงจนทุกคนไม่มีงานทำและตกอยู่ในอารมณ์หดหู่ ก็เป็นเด็กคนนั้นที่ก้าวเท้าเข้ามาแล้วบอกว่าเก้าจะช่วยปลูกใหม่เอง” ป๋าหันหน้าไปหาพี่ภู ซึ่งเขาเองก็หันกลับไปมองเหมือนกัน และนั่นทำให้ผมมองเห็นใบหน้าของพวกเขาได้อย่างชัดเจน “ตัวเล็กคือความสุขของทุกคนที่นี่…เป็นหัวใจของทุกคน”
“…”
“สิ่งเดียวที่ฉันอยากจะขอจากนาย…คืออย่าทำพัง”
เป็นเวลาเนิ่นนานที่ทั้งคู่จ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้นโดยมีผมยืนมองอยู่ตรงกลาง ผมรู้ดีว่าพวกเขาเห็นผมแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา จวบจนเมื่อผมเห็นพี่ภูคุกเข่าลงกับพื้นและก้มลงกราบแทบเท้าป๋า น้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลออกมาอย่างเงียบงัน
“ผมจะไม่มีทางทำให้ทุกคนที่นี่ผิดหวัง”
ป๋าทรุดตัวลงนั่งยองๆ กับพื้น ก่อนจะพยุงไหล่ของพี่ภูให้ยืนขึ้นตาม และนั่นเป็นครั้งแรก…ที่ผมเห็นป๋ายิ้มให้เขาอย่างจริงใจ
“ฝากด้วยนะ”
“ป๋า…” ผมส่งเสียงเรียกแผ่วเบา ซึ่งป๋าก็หันมาหา ก่อนจะยิ้มให้ผมแล้วอ้าแขนออก
“มานี่สิตัวเล็ก”
ไม่ต้องรอให้พูดอะไรต่อ ผมโผเข้าไปกอดป๋าเต็มแรง น้ำมูกน้ำตาไหลย้อยปนกันไปหมดจนแทบแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร แต่ป๋าก็ยังลูบหัวผมแล้วโยกไปมาเพื่อปลอบโยน โดยไม่บ่นที่เสื้อเลอะเลยแม้แต่นิดเดียว
“ไปอยู่ที่นั่นก็ต้องหาเวลากลับมาเยี่ยมป๋าบ่อยๆ ด้วยรู้หรือเปล่า”
“ครับ”
“อย่าดื้อกับพี่เขาล่ะ”
“เราไม่ดื้อหรอก”
“เอ้า…ปล่อยป๋าก่อนเร็ว หายไปนานเดี๋ยวก็โดนคุณจ๋าของตัวเล็กกินหัวกันพอดี” ป๋าดันผมออกเบาๆ ก่อนจะเช็ดหน้าเช็ดตาให้จนสะอาดหมดจด “คุยกับพี่เขาเสร็จแล้วก็รีบกลับมากินต่อล่ะ”
“อื้อ” ผมพยักหน้าหงึกหงักและยอมปล่อยให้ป๋าเดินจากไป เพราะแค่ได้เห็นขอบตาแดงๆ ผมก็รู้แล้วว่าป๋าคงไม่อยากให้ใครเห็นตอนร้องไห้เท่าไหร่ เพราะงั้นให้เดินกลับไปหาจ๋าคงจะดีกว่า “พี่…”
พอป๋าเดินหายไปจากสายตาแล้ว ผมก็หันกลับมาสนใจคนที่ยืนเงียบอยู่อีกครั้ง ซึ่งพี่ภูเองก็มองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว แต่เขาแค่มองมานิ่งๆ ด้วยสายตาอ่านยากและไม่มีทีท่าจะพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว สุดท้ายก็เป็นผมที่ทนไม่ไหวต้องเปิดบทสนทนาก่อน
“พวกเขาทำเหมือนเราจะแต่งงานกันเลยเนอะ”
“แล้วมึงอยากแต่งไหม”
“ฮะ…”
“กูจะไปคุยกับพ่อให้ช่วยจัดการเรื่องงานให้”
“เดี๋ยว…”
“แต่ก่อนอื่นต้องหาวันที่เหมาะสมก่อน”
“พี่ภู หยุดก่อน” ผมยกมือทั้งสองข้างจับแก้มคนหน้าดุที่กำลังขมวดคิ้วเคร่งเครียดไว้ ดีที่การกระทำของผมแลดูจะได้ผลพอสมควร พี่ภูถึงได้กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะถอนหายใจยาว
“โทษที…”
“พี่เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า…” เขาแกะมือผมออกก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ จากนั้นก็ดึงเข้าไปกอดหน้าตาเฉย เล่นเอาผมไปไม่เป็น จะเขินก็เขินไม่ทัน “แค่รู้สึกว่ามึงอยู่สูงกว่าเดิมอีก”
“พี่…”
“กูแค่อยากทำให้คนที่นี่รู้ว่ากูเองก็รักมึงไม่ต่างจากพวกเขา” คนพูดพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ แต่ใจผมนี่เต้นรัวแรงเหมือนจะตายเอาให้ได้เมื่อได้ยินคำบอกรักจากปากเขาเป็นครั้งแรก “ถ้าช้ากว่านี้คงโดนแย่งคืน…แต่งพรุ่งนี้เลยดีไหม…ไม่สิ เดือนหน้าแล้วกัน ต้องจัดการงานก่อน”
ผมทำหน้างงเป็นกระต่ายเอ๋อ เมื่อโดนอีกฝ่ายดันตัวออกแล้วล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“เคน…ช่วยทำแหวนให้ผมหน่อย ขอแบบที่เหมาะกับผู้ชาย ดูดีสมฐานะ ราคาไม่เกี่ยง ส่วนเรื่องขนาด…” เขาประสานนิ้วมือของตัวเขาเข้ากับของผม จากนั้นก็พูดต่อ “ใหญ่กว่าที่นายทำให้เฮเลนหนึ่งเบอร์”
“พี่…พี่ภู…”
“อืม ฝากด้วย” พี่ภูยัดโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม ก่อนจะหันมาพยักหน้าให้ผม “ว่าไง”
“ผมว่า…”
“ต้องติดต่ออะไรอีกนะ”
“ผมว่าไม่ต้องหรอก” ผมรีบยกมือห้ามเมื่อเห็นเขาทำท่าจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดต่อ “ไม่มีใครมาแย่งผมคืนหรอกน่า”
“เหรอ…” เขาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ แต่ก็ยังยอมเอามือออกจากกระเป๋ากางเกง
“ว่าแต่…เมื่อกี้พี่บอกรักผมด้วย” ผมรีบพูดถึงเรื่องที่ติดอยู่ในใจเมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ผมคงพลาดเองที่ดันลืมไปว่าถ้าเข้าสู่ภาวะปกติแบบนี้แล้วคนตรงหน้าจะเป็นยังไง…
“มั่วว่ะ”
นั่นไง…
“เบื่อพี่ว่ะแม่ง” ผมจิ๊ปากเบาๆ ด้วยความไม่พอใจแล้วตั้งท่าจะเดินกลับไปหาตัวช่วย เพราะคิดว่าถ้ายังอยู่ตรงนี้ต้องโดนแกล้งต่อแน่ๆ แต่ก่อนจะได้ทำแบบที่ใจคิด แขนก็ถูกดึงอย่างแรงด้วยฝีมือของคนด้านหลัง
“เงยหน้า” เขาออกคำสั่งสั้นๆ และที่บ้าคือผมเสือกยอมทำตามแบบไม่หยุดคิด หลังจากนั้นมือของอีกฝ่ายก็เกี่ยวเอวผมให้เข้าไปใกล้…ก่อนเขาจะกดริมฝีปากลงมาอย่างรวดเร็ว
แรกเริ่มผมมีเพียงความงุนงง แต่เมื่อระลึกได้ว่ากำลังถูกจูบตัวก็แข็งค้างเป็นก้อนหิน อีกทั้งหัวใจยังเต้นกระหน่ำจนน่ากลัวว่ามันจะเด้งหลุดออกมา คนที่เป็นฝ่ายรุกล้ำกอดเอวผมไว้แน่น ก่อนมืออีกข้างที่ว่างจะแตะที่แก้มผมแล้วลูบไล้ไปมาเบาๆ เป็นเชิงบอกให้ผ่อนคลาย และเมื่อผมเริ่มคล้อยตามไปกับสัมผัสนั้น พี่ภูก็สอดลิ้นเข้ามาด้านในโดยไม่ให้ตั้งตัว ผมหมดแรงกะทันหัน ตัวแทบจะล้มพับลงไปกองอยู่ที่พื้น แต่โชคดีที่คนทำกอดเอวผมไว้แน่นจนแทบไม่มีช่องว่าง
“พะ…พี่…อื้อ” ผมตาลายเพราะถูกบดจูบซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นเนิ่นนานหลายนาที มือยังคงเกาะบ่าคนตัวสูงไว้แน่น เพราะกลัวว่าถ้าปล่อยแล้วผมจะละลายลงไปตายอยู่ที่พื้น จวบจนเมื่อเจ้าตัวพอใจแล้วถึงได้ยอมผละริมฝีปากออก แต่ตาคมคู่นั้นกลับเป็นประกายเมื่อได้จ้องหน้าผม และยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ พี่ภูก็กดริมฝีปากลงมาอีกครั้งพร้อมทั้งดูดแรงๆ จนปากผมแทบเปื่อย
“น่าขยี้ชะมัด”
“ไม่เอาแล้วนะ…” ผมรีบร้องบอก ก่อนจะฟุบหน้าลงบนไหล่ของคนที่ยังกอดเอวตัวเองไว้อยู่ “เหนื่อย”
“โอ๋ๆ” เขาหัวเราะแล้วลูบหัวลูบหลังผมเป็นการปลอบ
“ไม่หาย…บอกรักผมอีกทีก่อน” ว่าแล้วผมก็ผละหน้าออกพร้อมทั้งจ้องมองคนหน้าดุด้วยความตั้งใจ พี่ภูไม่ได้ตอบรับในทันที แต่เขาหรี่ตาลง ก่อนจะจ้องผมด้วยสายตาที่ทำเอาอยากหันหลังหนี
“รู้ไหม…ว่ากูบอกมึงไปสามรอบแล้ว”
“ตอนไหน…”
“ถ้าอยากให้บอกอีกก็ต้องหาอะไรมาแลก”
“พี่จะเอาอะ…”
“ลองบอกรักแล้วจูบกูก่อนเป็นไง”
ช่วยอย่าพูดเรื่องแบบนั้นทั้งหน้าตายได้ไหม…ทำได้ยังไงเนี่ย
“เร็วๆ”
“ไม่…”
“ก้อน…”
“ไม่ทำโว้ยยยยยยยยยยยยยย!”
“ฮ่าๆๆๆ”
เกลียด เกลียด เกลียด เกลียดที่สุดเลยแม่ง!
.
.
ชีวิตต่อจากนี้ของผมคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อตอนนี้มีคนสำคัญเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน เขาอาจจะเป็นคนหน้าดุ เย็นชา น่ากลัว แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนอ่อนโยน ใจดี แล้วก็ขี้แกล้งด้วย ผมคิดว่าคนทุกคนไม่ได้มีเพียงด้านเดียว แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเขาจะแสดงด้านไหนให้ใครเห็น ซึ่งโชคดีเหลือเกินที่คนคนนั้นเขาเลือกแสดงทุกด้านให้ผมเห็น และผมก็เลือกแสดงทุกด้านให้เขาเห็นเช่นกัน แต่ถ้าคิดว่ามันง่ายกับการทำให้ใครสักคนบอกว่ารัก…ผมบอกเลยว่ามันยากมาก แค่คำพูดใครก็พูดได้ แต่การกระทำที่ตรงกับคำพูดต่างหากที่สำคัญที่สุด
ผมผ่านเรื่องราวมามากมายกว่าจะได้รับความรู้สึกแบบเดียวกันตอบกลับมา มันทั้งเหนื่อย ทั้งล้า ทั้งอ่อนแรง แต่สุดท้ายเมื่อได้เดินมาจนถึงจุดหมาย ผมกลับรู้สึกว่ามันคุ้มค่ามาก…และมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องของความรัก เพราะการได้ลองพยายามทำอะไรสักอย่างมันทำให้ผมรู้ว่า สิ่งสิ่งหนึ่งจะมีค่าได้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความพยายามนี่เอง ยิ่งเราได้พยายามมากเท่าไหร่…ถ้ามันล้มเหลวเราก็แค่หาทางเริ่มต้นใหม่ และถ้าครั้งไหนที่มันประสบความสำเร็จขึ้นมา…ถึงเวลานั้นรางวัลที่ได้จะยิ่งใหญ่มากเสียจนเรารู้สึกว่าความล้มเหลวที่เคยเจอมามันก็เป็นแค่ทางผ่าน
เหมือนกับที่ผมพยายามจนได้มายืนอยู่ข้างคนคนนี้…
จากเคยเป็นแค่อากาศที่ไร้ตัวตน…กลับกลายเป็นอากาศที่เขารู้ว่ามี…และสุดท้ายก็กลายเป็นคนที่เขาบอกว่ารัก
มันเป็นความพยายามที่ยาวนานและยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมเลยล่ะ
เออใช่…ขอประกาศความสำเร็จหน่อย
ผมทำลายกำแพงน้ำแข็งได้แล้วนะรู้ยัง
END
TALK: ในที่สุดเขาก็จูบกันแล้วนะ......
จบแล้วววว สำหรับนิยายเรื่องที่สองของเรา ไม่คิดว่าจะเขียนได้จบสองเรื่องติดเยี่ยงนี้ ฮ่าๆ
เราก็เป็นแค่นักเขียนฝึกหัดที่เพิ่งเริ่มต้นเข้ามาเขียนหนังสือ ข้อผิดพลาดต่างๆนานาก็คงมากตามประสบการณ์ที่ยังน้อย ที่มาถึงจุดนี้ได้คงต้องขอบคุณผู้อ่านทุกท่านจริงๆ ซึ่งขอยืนยันว่าจะพัฒนาตัวเองต่อไปให้ได้มากที่สุดค่ะ ตอนเราเขียนออกซิเจนกับไนโตรเจนเราเขียนตามความชอบของตัวเอง มันอาจจะมีเรื่องไม่สมจริงใดๆไปบ้างแต่ก็เป็นไปตามจินตนาการของเราทุกอย่างเลย
ทั้งนี้เราจะไม่หยุดที่งานเขียนแนวเดิมๆค่ะ ต่อให้เราเขียนเรื่องต่อๆไป ใช้ตัวละครที่คุ้นหน้าคุ้นตายังไง แต่มันจะต้องไม่ใช่แบบเดิมๆแน่นอน (จริงๆที่เอาตัวละครเดิมมาเล่าต่อโดยไม่สนว่าคนกลุ่มเดียวกันจะชอบผู้ชายกันทั้งกลุ่มเลยหรือไงอะไรแบบนั้น เป็นเพราะว่าเราใส่ชื่อที่ชอบ Character ที่ชอบลงไปหมดแล้ว จะให้เขียนคนใหม่ๆขึ้นมาก็เสียดาย ฮ่าๆ)
เราอยากจะขยับไปเรื่อยๆทีละก้าว เปลี่ยนแนวไปเรื่อยๆ ซึ่งก็มีที่อยากเขียนแล้วทั้งแฟนตาซีและอื่นๆ แต่คงต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้
สุดท้ายนี้ก็...ฝากติดตาม 3KINGS กันต่อด้วยนะคะ แล้วก็เรื่องของน้องภามในอนาคตด้วย (ซึ่งจะไม่ใช่แนวมหา'ลัยอีกต่อไป!)
ปล. Oxygen กำลังจะได้เป็นซีรี่ย์แล้วนะคะ เข้าไปติดตามเพจหรือทวิตโดยค้นหาว่า OXYGEN The Series ได้เลย
รัก
Chesshire