Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]  (อ่าน 131288 ครั้ง)

ออฟไลน์ Jadd

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
หุยยย น้องรันแซ่บขึ้นนะ :hao6:

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
เป็นเลิฟซีนที่ดีมากกกก เก๊าชอบบบ

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 26

ตั้งแต่น้องรหัสของผมเริ่มคบหากันในสถานะ ‘คนรัก’ อย่างเป็นทางการ พอเปิดภาคเรียนใหม่ ก็ถูกแซวกันระงม เพราะว่าทั้งสองคนชอบอ้างว่าพี่รันนัดไปนั่น พี่รันนัดไปนี่ ส่วนพี่รันตัวจริงน่ะเหรอ ได้แต่ฟังแล้วก็อมยิ้ม โดยไม่ได้คิดจะโกรธเคืองที่ถูกแอบอ้างแต่อย่างใด เพราะผมเข้าใจว่า แรกๆทั้งสองคนอาจจะยังอยู่ในขั้นจีบกันน่ะแหละ ก็เลยยังไม่กล้าออกตัวมาก พอความสัมพันธ์มันไปได้ดี ทั้งสองคนถึงได้เปิดเผย พี่รหัสคนนี้เลยกลายเป็นหมาหัวเน่าไปซะ แต่พองอนกันที ผมล่ะโคตรจะวุ่นวาย
แต่ที่วุ่นวายนี่ ก็เพราะน้องโบว์นะ ไม่ใช่ปาล์ม

พอพูดถึงสายรหัส ผมก็นึกขึ้นได้ว่าสายของผมมันเริ่มขยายใหญ่ขึ้นตั้งแต่ภาคเรียนก่อน เพราะปีนี้ได้รับน้องเข้าสายรหัสด้วยกันถึงสองคน แล้วก็เป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งคู่ แต่ผมไม่ค่อยสนิทกับน้องมากนัก อาจเพราะผมเป็นผู้ชายแล้วก็อยู่ปีที่สูงกว่าด้วย ก็เลยไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับน้องๆนั่นแหละ น้องกิ๊ฟกับน้องเฟิร์นก็เลยสนิทกับน้องโบว์มากกว่า และด้วยความที่น้องรหัสรายนี้ของผม เป็นคนพูดเก่งอยู่แล้ว เรื่องการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอเลย แถมแคมเปญโปรโมทสาขายังตกเป็นหน้าที่หลักของปีหนึ่งกับปีสองอีกต่างหาก แต่คราวนี้ง่ายๆ ไม่ยากนัก เห็นว่าให้เลือกท่อนเด็ดๆของเพลงอะไรก็ได้มาสักหนึ่งเพลง แล้วแปลภาษามือในท่อนนั้นส่งให้พี่ทีมที่เป็นประธานรุ่น ที่ตอนนี้กำลังหัวหมุนจนได้ที่ เพราะปีสี่จะเรียนภาษามือเกี่ยวกับกฎหมาย โดยมีการจำลองสถานการณ์เหมือนตอนว่าความกันจริงๆ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ยากมากสำหรับพวกพี่เขา
เพราะลำพังแค่มาตรากฎหมายก็ยากมากพออยู่แล้ว แต่นี่ยังต้องมาจำลองสถานการณ์เสมือนจริงอีก คงจะสั่นและตื่นเต้นกันน่าดู

“พี่รันของที่ให้ฝากหาค่ะ” ผมกำลังจะเข้าหาห้องเรียนวิชาภาษามือในด้านกฎหมายอยู่แล้ว แต่เผอิญผมได้ยินเสียงเรียกของน้องโบว์เข้าเสียก่อน ก็เลยยืนรอเธออยู่ตรงหน้าห้อง ขณะที่เพื่อนๆ ก็ทยอยกันเข้าไปด้านในอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะยื่นมือออกไปรับถุงกระดาษใบขนาดกลางที่น้องโบว์ยื่นมาให้พลางก้มหน้าหอบแห่กๆ
“หนูไปก่อนนะคะ จะเข้าเรียนแล้ว” น้องก้มลงนาฬิกาข้อมือของตัวเองสักพัก จากนั้นก็รีบวิ่งจากไป จนแม้แต่ผมก็ยังหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาจ่ายเงินแทบไม่ทัน ผมจึงได้แต่ส่ายหัวกับความกระโดกกระเดกของน้องรหัสคนนี้ พลางเดินเข้าไปในห้องเรียน พร้อมกับแหวกถุงดูของที่ให้น้องโบว์ไปช่วยหาซื้อให้ที่กรุงเทพ เพราะว่าของชนิดที่ว่า มันเป็นตุ๊กตา ซึ่งผมไม่ค่อยจะรู้แหล่งในการซื้อขายนัก แต่เพราะมันเป็นตุ๊กตา ‘เขี้ยวกุด’ จากภาพยนตร์แอนนิเมชั่นชื่อดัง ที่ผมอยากจะมอบให้พี่เนย์เป็นของขวัญคู่กับรูปวาดที่ผมเพิ่งจะกลับไปเอาจากที่บ้าน เมื่อตอนช่วงปิดเทอมหลังสอบไฟนอลที่ผ่านมา

ซึ่งช่วงเตรียมตัวสำหรับการรับปริญญา ผมได้เจอพี่เนย์บ่อยกว่าปกติ เพราะว่าพี่เขาต้องลางาน เพื่อมาวัดตัวสำหรับเตรียมตัดชุดครุยที่มหาลัย จากนั้นก็ต้องลางานมารับชุด อีกทั้งยังต้องมาซ้อมย่อยถึงสองครั้ง กระทั่งวันนี้ที่การซ้อมใหญ่ดำเนินมาถึง และวันมะรืนก็จะเป็นวันรับจริง ซึ่งพ่อกับแม่ของผมก็จะมาด้วย ส่วนผมคงจะมาหาพี่เขาช้าหน่อย เพราะว่าผมมีเรียนแทบทั้งวัน และกว่าจะเลิกเรียนก็สี่โมงเย็นแล้ว แต่ก็คิดว่าน่าจะพอดีกับเวลาที่พี่เขาเสร็จจากพิธีการรับปริญญาเลยล่ะมั้ง  หรือถ้าไม่ ผมก็แค่นั่งรอ โดยบังคับให้เพื่อนสองคนรอเป็นเพื่อนก็แค่นั้น
“เนี่ยเหรอที่มึงให้น้องโบว์หาให้?” ทันทีที่ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ ไอ้หมอกมันก็หยิบถุงกระดาษใบนั้นไปเปิดดู

“อืม”
“ว่าแต่มะรืนนี้ กูกับไอ้คินรวมเงินกันซื้อช่อดอกไม้ให้พี่เนย์ มันจะโอเคไหมวะ?” ไอ้หมอกยังคงตั้งคำถาม เพราะเราไม่เคยพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน แต่ก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าส่วนใหญ่เขามักจะให้อะไรเป็นของขวัญเพื่อแสดงความยินดี เพียงแต่พี่เนย์ไม่ได้มีวี่แววว่าจะชอบทั้งตุ๊กตาและดอกไม้เลยแม้แต่นิด ไอ้หมอกมันก็เลยไม่ค่อยมั่นใจ อีกทั้งสาขาของเรายังเป็นสาขาที่เพิ่งจะเปิดได้ไม่นาน จึงยังไม่เคยมีพี่บัณฑิตให้ต้องไปร่วมแสดงความยินดี แต่ในเทศกาลรับปริญญาเราก็มักจะเห็นพี่บัณฑิตผู้ชายเดินหอบดอกไม้และตุ๊กตากันเยอะแยะไป

“ปีก่อนกูเห็นพี่ผู้ชายเขาถือดอกไม้กันเยอะแยะ ชอบไม่ชอบก็เรื่องของพี่เนย์ มึงมาแสดงความยินดี จริงๆไปตัวเปล่ายังได้” ผมว่าอย่างนั้น เพราะผมคิดว่าการมาแสดงตัว มันก็คือการแสดงความยินดีอย่างนึงแล้ว แต่ในส่วนของผม ที่มีของขวัญจะให้อีกฝ่าย นั่นก็เพราะผมอยากจะให้ ไม่ได้ให้ตามมารยาทเหมือนกับคนอื่น ส่วนตุ๊กตาเขี้ยวกุด ผมก็แค่คิดว่ามันน่าจะดีกว่าให้ตุ๊กตาหมี ตุ๊กตาหมา เหมือนคนอื่นๆ อีกอย่างเขี้ยวกุดมันก็สื่อถึงลูกรักของพี่เนย์ด้วย ผมก็เลยให้ทั้งเขี้ยวกุดทั้งรูปวาดเน่าๆของตัวเอง
เพราะอย่างน้อยเขี้ยวกุดมันก็ยังดูมีสกุลรุนชาติและภาษีดีกว่าภาพวาดของผมน่ะ

“จะบ้าเหรอวะ เสียมารยาท” ไอ้คินมันด่าเข้าให้ ขณะที่ไอ้หมอกมันก็พยักหน้าเห็นด้วย ผมจึงได้แต่ยักไหล่ เพราะถึงยังไงมันก็เป็นปัญหาของพวกมัน จะคิดจะตัดสินใจอะไรก็เป็นสิทธิของพวกมันอยู่ดี
“วันนี้กูก้าวขาออกจากห้องผิดข้างเหรอวะ” ผมแอบบ่นเบาๆกับเพื่อนซี้ เมื่ออาจารย์เริ่มคาบด้วยการเรียกชื่อผมให้ออกไปบรรยายภาษามือในด้านกฏหมาย ต่อจากอาทิตย์ที่แล้วที่เราเรียนค้างกันไว้

“การคุ้มครองสิทธิของคนพิการ ตามกฎหมายไทย” ทันทีที่ผมหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าชั้นเรียน อาจารย์ผู้ที่ไร้ความบกพร่องทางการได้ยินก็เริ่มบรรยายข้อมูลทางด้านกฎหมายที่เราจะเริ่มเรียนกันในวันนี้ ส่วนอาจารย์ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ท่านก็มองจ้องมาที่ผมอย่างตั้งใจ
โดยผมเริ่มคิดประมวลผล เป็นภาพของท่ามือ ‘ไทย + กฎหมาย + สิทธิ + คนพิการ + ดูแล’

ผมเริ่มยกนิ้วชี้ข้างขวาให้ขนานราบกับพื้นในระดับจมูกก่อนจะลากลงมาในระดับอก เพื่อแสดงถึงท่ามือของคำว่า ‘ไทย’ และต่อด้วยการยกมือซ้ายขึ้นตั้งตรง ขณะที่มือขวาก็ชูนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้น โดยแตะปลายนิ้วกลางเข้ากับปลายนิ้วกลางด้านขวา ก่อนจะวาดนิ้วออกเป็นครึ่งวงกลมขนาดเล็ก และจรดปลายนิ้วเดิมลงบนฝ่ามือซ้ายบริเวณใกล้ๆกับนิ้วก้อย เพื่อแสดงถึงท่ามือของคำว่า ‘กฎหมาย’
จากนั้นผมก็เริ่มทำมือทั้งสองข้างให้งองุ้ม พร้อมกับนำมาบรรจบกัน เป็นท่ามือของคำว่า ‘เสมอ’ ก่อนจะหมุนวนฝ่ามือทั้งสองข้างออกด้านนอก แล้วถึงค่อยวนกลับเข้าหาตัว เพื่อประกอบเป็นคำว่า ‘สิทธิ’ ต่อมาผมเริ่มทำท่ามือของคำว่า ‘คนพิการ’ โดยการยื่นมือทั้งสองข้างไปด้านหน้าในแนวราบ พร้อมกับทำสันมือให้ตั้งตรงในแนวนอน ก่อนจะใช้มือซ้ายตัดเข้าที่แขนขวา ตามด้วยมือขวาตัดเข้าที่แขนซ้าย  ปิดท้ายด้วยท่ามือของคำว่า ‘ดูแล’ เริ่มจากชูนิ้วชี้และนิ้วกลางทั้งสองข้าง ก่อนปาดวนเป็นลักษณะครึ่งวงกลมทั้งซ้ายและขวาเข้าหาตัวประมาณสองครั้ง ก็เป็นอันจบหัวข้อใหญ่ที่เราจะเรียนกันในวันนี้

“1.3.17 พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ” ผมเริ่มประมวลผล พลางนึกถึงภาพของท่ามือ ‘เลขหนึ่ง จุด เลขสาม จุด เลขสิบเจ็ด + พอ จุด รอ จุด บอ จุด + คนพิการ + เรียน + จัดการ’ ก่อนจะเริ่มชูนิ้วชี้ข้างขวา อันเป็นสัญลักษณ์ของ ‘เลขหนึ่ง’ ที่คนทั่วไปรู้จัก จากนั้นก็ชี้นิ้วดังกล่าวไปด้านหน้า แสดงถึงคำว่า ‘จุด’ ก่อนจะชูนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง อันเป็นสัญลักษณ์ของ ‘เลขสาม’ จากนั้นก็ใช้นิ้วชี้ ชี้ไปข้างหน้า ตามด้วยการกำข้อมือขวา โดยหันหลังมือออกจากตัว เหมือนกับตอนจะเคาะประตูห้อง ก่อนจะรีบบิดข้อมือให้หันออกจากตัว และแบมือออกพร้อมกับจรดปลายนิ้วโป้งกับนิ้วนางเข้าหากัน อันเป็นท่ามือของ ‘เลขสิบเจ็ด’ และเมื่อประกอบรวมทุกท่ามือเข้าด้วยกัน ก็จะเท่ากับ ‘1.3.17’
ต่อมาเป็นท่ามือของ ‘พ’ โดยชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางในลักษณะเหมือนคนกำลังก้าวเดินด้วยเท้าซ้ายเป็นก้าวแรก ที่เปรียบเสมือนกับนิ้วชี้ของเรา ก่อนจะชูนิ้วชี้ไปข้างหน้า ตามด้วยการไขว้นิ้วกลางทับกับนิ้วชี้ข้างขวา ซึ่งเป็นท่ามือของ ‘ร’ จากนั้นก็ชูนิ้วชี้ไปข้างหน้า และตามด้วยการทำมือข้างขวาเหมือนเลขสี่ที่คนทั่วไปรู้จักในระดับเอว อันเป็นท่ามือของคำว่า ‘บ’ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการชูนิ้วชี้ไปข้างหน้าอีกครั้ง เพื่อแสดงถึงท่ามือของคำว่า ‘จุด’ จนประสมกันเป็นคำว่า ‘พระราชบัญญัติ หรือ พ.ร.บ’ และตามด้วยท่ามือของ ‘คนพิการ’ เหมือนกับที่เคยทำไปก่อนหน้านี้ จากนั้นก็ตามด้วยท่ามือ ‘เรียน’ โดยการแบมือซ้ายขึ้น ก่อนมือขวาจะทำท่าเหมือนกำลังกินข้าวแบบไทยโบราณ จากนั้นก็ดึงมือข้างขวาขึ้นมาวางแหมะลงตรงหน้าผาก และตามด้วยท่ามือของคำว่า ‘จัดการ’ โดยการทำมือทั้งสองข้างให้หงิกงอทั้งห้านิ้ว เหมือนกับตอนกำลังจะยีขนแมวที่อยู่ตรงหน้าเล่นสักสองที ก็เป็นอันจบหัวข้อย่อยที่กำลังจะเริ่มต้นในวันนี้

“มาตรา 5 คนพิการมีสิทธิทางการศึกษาดังนี้” อาจารย์พูดพลางเว้นวรรคให้ผมหายใจหายคอ ผมจึงยังไม่รนอะไรมาก แต่ก็ใช่ว่าจะมีเวลามาวอกแวกแต่อย่างใด สติต้องมีอย่างเหลือล้น ไม่งั้นผมพลาดแน่ๆ
 “ข้อหนึ่ง ได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่แรกเกิด หรือพบความพิการจนตลอดชีวิต พร้อมทั้งได้รับเทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ข้อสอง เลือกบริการทางการศึกษา สถานศึกษา ระบบและรูปแบบการศึกษา โดยคำนึงถึงความสามารถ ความสนใจ ความถนัดและความต้องการจำเป็นพิเศษของบุคคลนั้น ข้อสาม สิทธิได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา รวมทั้งการจัดหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ การทดสอบทางการศึกษา ที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของคนพิการแต่ละประเภทและบุคคล” สมองผมเริ่มเบลอไปชั่วขณะ เมื่อสุดท้ายแล้วอาจารย์ก็ยังรัวเนื้อหาทางกฎหมายใส่ผมเต็มๆ จนผมจับใจความได้ทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่ก็ยังถือว่าใจความสำคัญน่าจะพอจับจุดได้หมด เพราะอาจารย์พิสมัยไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ ที่เป็นไปในเชิงน่าหวาดเสียว ซึ่งสาเหตุของมัน ก็ไม่ใช่เพราะว่าผมเก่ง หรือโปรมากแต่อย่างใด
อย่าลืมว่าวันนี้พี่ล่ามไม่ได้เข้ามาดูการเรียนการสอนต่างหาก ผมถึงได้ไม่ถูกเชือด!

“ไอ้เชี่ย ยากโว้ย ยากชิบหาย” ทันทีที่เดินออกมาจนพ้นตึกคณะแล้ว ผมก็ร้องตะโกนออกมาอย่างไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น เพราะกฎหมายแม่งยากกว่าการแพทย์อีก ในเมื่อระดับความต่างของภาษามันออกจะสุดขั้วขนาดนี้ พูดตรงๆ ผมเครียดกับการเรียนภาษามือด้านกฎหมายชิบหายเลย มิดเทอมรอบก่อนก็เกือบแย่ เล่นเอาเส้นเลือดเต้นตุบๆ ตอนกำลังสอบกันเลยทีเดียว
“น็อตหลุดอีกแล้วเหรอมึง?” ไอ้คินถามพลางขำเบาๆ ด้วยสีหน้าระรื่น ก็ใช่สิ ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยจะโวยวายอะไร ออกจะเงียบๆ เรื่อยๆ เปื่อยๆ เกินไปซะด้วยซ้ำ แต่พอถูกเรียกออกไปหน้าห้องเมื่อไหร่คือพัง ทุกอย่างพังหมด!

ปึ่ก!

“มึงขำเชี่ยไร ทำเป็นลืมเรื่องราวก่อนสอบมิดเทอมนะไอ้คิน” ผมเอาถุงของขวัญฟาดไอ้คินอย่างแรงอยู่หลายที แถมไอ้เพื่อนตรงหน้ามันยังมาเยื้อแย่งกับผมอีก สุดท้ายถุงกระดาษก็ขาด และตุ๊กตาเขี้ยวกุดก็ลอยไปตกอยู่ที่พื้นโน่น
“มึงก็ไปแกล้งมันเนอะ” วันนี้ผีตัวไหนเข้าสิงไอ้หมอก ผมก็ไม่รู้ แต่อยากจะขอบคุณมาก ที่เลือกเข้าสิงได้ถูกคนแถมถูกเวลาอีก

“พี่เนย์มา” ผมหันไปมองทางด้านหลังตามการชักนำของไอ้คิน ผมถึงได้เข้าใจในพฤติกรรมของไอ้หมอกด้วย สรุปคือแม่งหน้าไหว้หลังหลอกนี่หว่า
ถ้าเกิดพี่เนย์ไม่เดินเข้ามาหา มึงกับไอ้คินก็จะรวมหัวกันแกล้งกูสินะ

“ไปยัง หิว” พี่เนย์พยักหน้าทักทายไอ้เพื่อนซี้สองคนของผม พลางเหลือบมองไอ้เขี้ยวกุดในมือไอ้หมอกเพียงเสี้ยวหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก จึงหันมาถามความเห็นจากผมที่เพิ่งจะเลิกเรียน ผมก็เลยพยักหน้าเป็นคำตอบ เพราะพอจะเข้าใจความเหนื่อยและความหิวที่อีกฝ่ายเจอมาจากพิธีซ้อมรับปริญญาอยู่หรอก
“กูไปนะ” ผมหันไปบอกลาเพื่อนทั้งสอง พลางพูดกับไอ้หมอกแบบไม่มีเสียงว่า ‘ฝากเก็บด้วย’ ก่อนจะรีบก้าวเดินตามพี่เนย์ไปยังลานจอดรถของคณะ เพราะสามวันนี้ผมถูกลักพาตัวไปอยู่หอนอก ที่พี่เนย์เช่าไว้ เนื่องจากมะรืนนี้ก็จะถึงวันรับจริงแล้ว พี่เขาก็เลยลางานรวดเดียวเลย ส่วนวันรุ่งขึ้นคุณหมอก็ให้พี่เนย์พักอีก เลยไม่ต้องมาทำงานที่คลินิก
แบบนี้แสดงว่าทั้งสองฝ่าย น่าจะคุยกันถูกคอมากๆเลยนะนั่น

“วันนี้กินอะไรดีครับ?” ผมถามว่าที่บัณฑิตที่กำลังมุดตัวเข้าไปเก็บชุดครุยและหมวกแขวนไว้ที่เบาะหลัง
“ก๋วยเตี๋ยว”

“อื้อ” ผมตอบรับในลำคอ พลางนั่งรออีกฝ่ายจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จ จะได้ขับรถออกจากมหาลัยสักที
“วันรับจริง พวกไอ้เอ้มันนัดเลี้ยงทุกคนเลยนะ ชวนเพื่อนมึงมาด้วยล่ะ” ผมตอบรับในลำคอ พลางเอื้อมมือไปปัดแอร์ให้หันออกไปนอกกระจก เพราะมันเป่าเข้าจมูกจนเกินไป

“เราจะรอที่ห้อง หรือว่าไปรอที่ร้านกาแฟ กูก็ดันลืมไปเลย ว่าร้านมันเปิดหกโมง”
“ที่ห้องดีกว่าไหมครับ จะได้เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย” ผมเสนอทางเลือกอย่างรวดเร็ว เพราะผมอยากจะนอนพักสมองสักหน่อย วิชาภาษามือสุดโหดนั่นสูบพลังผมได้ดีชะมัด

“แล้วพวกพี่คนอื่นพักที่ไหนกันเหรอครับ?” ผมถามพี่เนย์ขณะที่กำลังเดินเข้าหอเก่าของเจ้าตัว เพียงแต่จองได้คนละชั้น เพราะอีกฝ่ายเขาอาศัยใช้สายสืบอย่างพี่ทีมกับพี่บอสให้ช่วยหาให้ ก็เลยจองได้ใกล้มหาลัย แต่พี่คนอื่นๆ ไม่ยอมบอกพี่เนย์ไว้ก่อน ก็เลยต้องระหกระเหินไปอยู่ไกลจากมหาลัยหน่อย
“เข้าไปในซอยแถวหอเรานี่แหละ แต่ก็เข้าไปลึกพอสมควร ไม่รู้ชื่อหออะไร กูจำไม่ได้” ผมพยักหน้าในเชิงรับรู้ พลางเดินขึ้นบันไดไปพร้อมกับคนตัวสูง ที่วันนี้เซ็ตผมซะเรียบร้อยเชียว

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ผมก็นอนแผ่อยู่บนเตียง ส่วนพี่เนย์ก็นั่งไถโทรศัพท์เงียบๆคนเดียว เพราะเจ้าตัวเกรงว่าจะหลับเพลิน แต่สุดท้ายก็ไม่ไหว พี่เขาเลยต้องมานอนแหมะอยู่ข้างๆ แล้วเราก็เผลอหลับไป จนกระทั่งผมสะดุ้งตื่นขึ้น พลางหยิบโทรศัพท์มากดดูเวลา ก็พบว่าเวลานี้มันสองทุ่มกว่าแล้ว ผมจึงหันไปปลุกพี่เนย์ พร้อมกับเขย่าตัวอย่างแรง เพราะอีกฝ่ายท่าทางจะเพลียมาก ถึงได้ปลุกยากปลุกเย็น เนื่องจากต้องตื่นแต่เช้า เพื่อขับรถมาซ้อมใหญ่ถึงต่างจังหวัด

“เหมือนเดิมป่ะ?” พี่เนย์ถาม เมื่อเราเดินกันมาจนถึงร้านก๋วยเตี๋ยวอันคุ้นเคย
“ครับ” ผมตอบพลางเดินแยกไปจองโต๊ะ จากนั้นป้าก็เอาน้ำมาเสิร์ฟ และไม่นานเราก็ได้บะหมี่หมูแดงมากินคนละชาม แต่ด้วยความที่เราต่างก็เสียพลังงานกันมากมายในวันนี้ ชามที่สองและสามจึงตามมาได้ไม่ยาก พวกเราเลยตกลงกันว่าจะไปนั่งย่อยที่สนามเด็กเล่น เพราะเนื่องจากพี่เขาอยู่ในแวดวงการแพทย์มาสักระยะนึงแล้ว ก็เลยได้รับการเตือนว่าหากกินแล้วนอนเลย จะทำให้เป็นกรดไหลย้อน เห็นว่าต้องรออีกสักสองชั่วโมงก่อน ถึงจะนอนได้

“มึงนั่งดิ” พอเดินย้อนกลับไปเอารถ พี่เขาก็รีบขับเข้ามาในมหาลัย และมุ่งตรงไปยังสนามเด็กเล่นที่ไม่ค่อยมีใครมาใช้บริการนัก จากนั้นพี่เนย์ก็ดันตัวผมนั่งลงบนม้ากระดกด้านหนึ่ง จึงทำให้ที่นั่งของม้ากระดกอีกด้านยกสูงขึ้น แต่ก็ไม่เกินความสามารถของนักจิตวิทยาอย่างพี่เขาหรอก ทีนี้ที่นั่งทางฝั่งผมก็ลอยขึ้นกลางอากาศ ผมเลยพยายามจะออกแรงกดที่นั่งตรงฝั่งของตัวเองให้ทิ้งตัวลงกับพื้นบ้าง เพื่อที่พี่เขาจะได้ลอยอยู่ในอากาศเหมือนกับผมเมื่อครู่ แต่ปรากฏว่าพี่เนย์ตัวใหญ่ ผมเลยสู้แรงไม่ไหว
“พี่เนย์” ผมร้องเรียกอีกฝ่ายพลางทำเสียงยานคาง เพราะตัวเองไม่สามารถกลับลงสู่พื้นเบื้องล่างได้ ส่วนอีกฝ่ายก็เอาแต่ยักคิ้วใส่อยู่นั่น แต่พอจู่ๆ นึกจะตามใจกัน ก็ไม่ยอมบอกกล่าว จนผมเกือบจะร่วงเข้าให้แล้ว เพราะเมื่อกี้ไม่ทันได้ตั้งตัว

“ปีหน้ากูว่าจะสอบ License คงต้องเตรียมตัวอีกเยอะเลย” ผมเอามือท้าวคางกับที่จับ พลางมองจ้องไปที่พี่เนย์ที่ลอยอยู่ในอากาศ ขณะที่ผมอยู่ด้านล่าง
“คืออะไรเหรอครับ?” ผมย้อนถามด้วยความสงสัย เพราะพี่เขาดูจริงจังมากเป็นพิเศษ ท่าทางจะมีความสำคัญต่ออีกฝ่าย และก็น่าจะยากพอสมควรด้วย

“ใบประกอบโรคศิลป์น่ะ ถ้ามีใบนี้ กูจะสามารถเซ็นรับรองเอกสารที่มีผลทางกฎหมายได้ แต่ตอนนี้กูต้องทำงานแบบมีพี่เลี้ยงไปก่อน ก็เลยยังไม่ได้แสดงฝีมือเต็มที่เท่าไหร่” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะสถานการณ์ของอีกฝ่าย มันก็ไม่ต่างกับการก้าวเดินได้ด้วยขาของตัวเองเป็นครั้งแรก
“เท่าที่ดูมันจะมีสอบด้านความรู้ทางจิตวิทยา แล้วก็ด้านกฎหมายวิชาชีพ อาจต้องเตรียมตัวเยอะหน่อย แต่จริงๆ กูก็เริ่มๆเตรียมตัวตั้งแต่ตอนไปฝึกงานแล้วแหละ เพราะพี่แป๊ะกับพี่กันต์แกช่วยแนะนำว่าต้องเดินไปในทางไหนต่อ มันถึงจะดี อะไรแบบนี้น่ะ นี่ถ้าไม่ได้พี่แก กูก็แย่เหมือนกันนะ ที่สำคัญพวกเขาเป็นคุณหมอและนักจิตวิทยาที่เก่ง แถมยังวิเคราะห์ได้เฉียบขาดเลยแหละ ถือเป็นโชคดีของกูเลย” พี่เนย์พูดพลางยิ้มๆบาง เมื่อผู้ไปถึงคุณหมอจิตเวชและนักจิตวิทยารุ่นพี่ที่ตัวเองคลุกคลีด้วยจนสนิทกัน เลยทำให้ได้มาร่วมงานกันที่คลินิกแถวๆวังหลัง

“จริงๆ พี่เนย์ก็เก่งเหมือนกันนะครับ ผมว่ายังไงมันก็ต้องผ่านไปได้ด้วยดีแน่ๆ” ผมพูดพลางยกยิ้มจนตาปิด จนอีกฝ่ายถึงกับหลุดหัวเราะ เพราะคำพูดเอาใจที่ผมหยิบยื่นให้

“ทำไมพี่ถึงไม่ชอบให้คนเรียกชื่อเล่นล่ะครับ ชื่อฮ่องเต้ก็เท่ดีออก” หลังจากหมดเรื่องคุย เราก็พากันนั่งเงียบๆ ผมเลยนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องที่เคยสงสัย แต่ยังไม่มีโอกาสได้ถาม ก็เลยถือโอกาสนี้สัมภาษณ์คุณอาคเนย์เขาเสียหน่อย

“ไม่มีเหตุผล ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ” พี่เนย์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางเปลี่ยนมาส่งตัวผมขึ้นกลางอากาศบ้าง
“แสดงว่าพี่เคยถูกเพื่อนล้อแน่ๆเลย ใช่ไหมครับ?” ผมถามพลางยกยิ้ม

“หึ ไม่ใช่ จริงๆ มันเป็นเพราะชื่อสองพยางค์ เวลาที่แม่ขี้เกียจเรียกยาวๆ แม่ก็จะเรียนฮ่องมานี่หน่อย เต้มานี่หน่อย ยิ่งเวลาแม่เรียกกูว่าฮ่องรัวๆนะ ดันกลายเป็นโฮ่งๆ ทุกที พ่อเลยสงสารกู ถึงอนุมัติให้กูเปลี่ยนชื่อได้” พอได้ทราบเหตุผลที่แท้จริง ผมก็อดจะขำไม่ได้
“แล้วทำไมพี่ถึงไม่ชื่อเต้ล่ะครับ?” ผมรีบย้อนถามด้วยความสงสัย เพราะชื่อเต้ก็พยางค์เดียว แถมยังเรียกง่ายเหมือนกันด้วย

“แล้วไง? ก็พ่อกูชอบชื่อนี้มากกว่า” ผมหัวเราะ พลางพยักหน้าเบาๆ กับเหตุผลน่ารักๆ ของอีกฝ่าย ที่มันบ่งบอกได้ถึงความอบอุ่นของครอบครัว ที่ถึงแม้จะดูเหมือนห่างเหินกัน แต่จริงๆ กลับไม่ใช่อย่างนั้นเลย
“แล้วมึงล่ะ ทำไมชื่อเนรัน มันไม่มีความหมายอะไรไม่ใช่เหรอวะ?” พี่เนย์ถามพลางเลิกคิ้วขึ้นสูง

“แต่ก่อนแม่ชอบดูหนังญี่ปุ่นครับ” ผมตอบพลางหัวเราะออกมานิดๆ เพราะเหตุผลของเรา มันก็แทบจะไม่ต่างกัน
“อืม แต่ก็สมกับมึงดีออก” พี่เขาพูดพลางพยักหน้า คล้ายกับเห็นด้วยที่แม่ตั้งชื่อนี้ให้ผม

“แต่ตอนนี้แม่ผมเปลี่ยนมาติดซีรีย์เกาหลีแล้วครับ ถ้าผมเกิดช้ากว่านี้หน่อยคงได้ชื่อปาร์คแน่ๆ” ผมเผาแม่พลางขำออกมาเบาๆ
“ทำไมวะ?”

“แม่ชอบนักแสดงที่ชื่อปาร์คอะไรสักอย่างนี่แหละครับ”
“ดีแล้วที่มึงเกิดเร็ว ชื่อนี่โคตรไม่เหมาะกับมึงเลย” พี่เนย์ค่อยๆถีบขาเพื่อดันตัวเองขึ้นกลางอากาศบ้าง

“วันนี้ดาวสวยดีนะครับ แถมยังเยอะดีด้วย แต่ก็ยังไม่สวยเท่าฝนดาวตกที่เราดูด้วยกันวันนั้นเลย” ผมเงยหน้ามองดาวบนท้องฟ้า พลางอมยิ้มขณะที่พูด
“อืม กูก็เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่าฝนดาวตกมันจะสวยขนาดนั้น” ผมหันหน้าไปมองอีกฝ่าย แต่ปรากฏว่าพี่เขามองผมอยู่ก่อนแล้ว ผมจึงยกยิ้มให้จนเต็มแก้ม เหมือนอย่างทุกครั้งที่พี่เนย์มักจะชอบแอบมองผมอยู่บ่อยๆ จนผมชักสงสัยว่าทำไมพี่เขาถึงชอบแอบมองผมนัก ทั้งๆที่เราก็คบกันมานานแล้ว แถมยังเกินเลยกันก็หลายครั้ง แต่พฤติกรรมชอบแอบมอง หรือการเผลอยิ้มตามผม มันก็ยังคงอยู่ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากผม ที่ชอบเขินอีกฝ่าย แม้ว่าความสัมพันธ์ของเรามันจะพัฒนาไปไกลแล้ว
ซึ่งสาเหตุที่เป็นอย่างนั้น มันก็อาจเป็นเพราะความเคยชิน หรืออาจเพราะความชื่นชอบส่วนตัว ผมเองก็ไม่รู้ แต่ถ้าหากวัดจากความรู้สึกของตัวเอง มันก็คงจะเป็นเพราะพฤติกรรมอันเป็นธรรมชาติของการได้อยู่ใกล้กับคนที่เรารัก เราก็เลยมักจะชอบเขินใส่เขาทุกทีที่มีโอกาส แล้วอีกอย่างเวลาอยู่กับพี่เนย์ ผมก็มักจะชอบยิ้มออกมาอยู่เรื่อย ทั้งๆที่แต่ก่อนผมไม่ใช้คนยิ้มง่ายขนาดนี้

“วันรับจริง ผมมีของขวัญจะให้นะครับ”
“จริงๆมึงให้วันนี้เลยก็ได้นี่” พี่เขาออกความเห็นอย่างไม่คิดมาก

“ให้วันรับจริงดีกว่าครับ แต่พี่อย่าคาดหวังนะ เพราะมันคงไม่ดีเท่ากับของขวัญ ที่ผมเคยอยากเตรียมไว้ให้พี่ตั้งแต่แรก” ผมรีบเอ่ยดักคออีกฝ่ายเอาไว้ก่อนเลย เพราะของขวัญชิ้นนี้ ถ้าเทียบกับการพูดชื่อของพี่เขา ยังไงมันก็เทียบกันไม่ติด
“จริงๆ มึงจะให้อะไร กูก็ชอบทั้งนั้น เพราะคุณค่าของมัน ขึ้นอยู่กับใครเป็นคนให้เรามากกว่า” พี่เขาตอบพลางมองจ้องมาที่ผมแน่นิ่ง จนผมสู้สายตาไม่ไหว เลยต้องหันไปมองทางอื่น

“หรือจะไม่ให้อะไรเลย กูก็ไม่คิดมาก”
“แต่วันสำคัญแบบนี้ก็ไม่ได้มีบ่อยๆนะครับ” ผมรีบแย้ง

“ใครว่า กูยังมีแพลนจะเรียนต่ออยู่หรอก แต่คงรอให้อะไรๆมันลงตัวก่อน ไว้มึงอยากจะแสดงความยินดีอีกกี่รอบ ก็เรื่องของมึงเลย” ผมได้แต่หัวเราะ กับเหตุผลของอีกฝ่ายที่ผมไม่ได้คาดคิดไว้อีกแล้ว
“อีกอย่าง แค่มีมึงอยู่ข้างๆ กูก็ถือว่ากูได้ของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว กูเลยไม่ได้คาดหวังว่าจะได้อะไรจากมึงอีก แล้วก็ไม่เคยคิดจะเรียกร้องอะไรด้วย”

“เพราะสำหรับเรา ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ มันก็ดีอยู่แล้ว”

-----------------------------------------------------
[edit 28/12/2017 แก้คำเบิ้ล / แก้คำผิด ล่วง > ร่วง]
คลิปภาษามือประกอบการอ่าน (ลงในเด็กดี)
ตอนหน้าจบแล้วจ้า ส่วนตอนนี้ก็วิชาเยอะหน่อยเป็นการปิดท้าย 555

เราเห็นมีคนถามความหมายของประโยค 'Don’t let the bedbugs bite' จากเว็บอื่นที่เราไปลงด้วย เลยจะบอกกันอีกทีว่า ความหมายแอบแฝงของมันคือ ฝันดีนะ ขออย่าให้อะไรรบกวน เราเขียนสรุปไว้ในประโยคตัดจบของตอนที่แล้วเลยค่ะ

มาถึงเรื่องการสอบใบประกอบโรคศิลป์ หรือ License ของด้านจิตวิทยา จากข้อมูลที่อ่านมา เขาบอกว่า สามารถสอบได้เฉพาะสาขาจิตวิทยาคลินิกค่ะ สาขาอื่นไม่สามารถสอบได้ หรือหากต้องการจะสอบ ก็ต้องต่อ ป. โท ด้านจิตวิทยาคลินิก แล้วก็ต้องผ่านการฝึกงานมาแล้วด้วย ถึงจะสอบได้ค่ะ หรือถ้าหากมีใบอนุญาตมาจากต่างประเทศแล้ว กลับมาไทยก็ต้องสอบเหมือนกันค่ะ เท่ากับว่าไปทำงานประเทศไหนก็ต้องสอบใบอนุญาตของประเทศนั้น ส่วนถ้าจบจิตวิทยาคลินิก แต่ยังไม่ได้ไปสอบใบประกอบโรคศิลป์ ก็สามารถทำงานได้ แต่ไม่มีสิทธิ์เซ็นใบรับรองที่มีผลทางด้านกฎหมาย และต้องทำงานภายใต้การดูแลของผู้มีใบประกอบโรคศิลป์ค่ะ
เผื่อใครสนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://www.thaiclinicpsy.org/index.php/2015-04-06-00-59-32/2015-04-17-15-52-38

อ้างอิง:  Fall in you ตอนพิเศษ 26
“กฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ”. (กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก :  http://dep.go.th/th/home. [1 เม.ย. 2558].
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-12-2017 14:29:43 โดย Chomin »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
ยังคงน่ารักกันต่อไปป อิจฉาความรักของทั้งสองคน มันดีมากกก ดูแลกันดีจริงๆ

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ข้อมูลแน่นเหมือนเคย สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ :mew1:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
หวานนนน

ออฟไลน์ hibatsumoe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
เพิ่งตามอ่านรวดเดียวตั้งแต่ต้นจนจบค่ะ
ชอบความหาข้อมูลของคนเขียนมากกกก ชอบคอนเซปที่อยากจะอธิบายภาษามือ และหลงรักตัวละครทุกคนมาก
รันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในขณะเดียวกันคนเขียนก็ไม่ลืมความรู้สึกของพี่เนย์
หลงรักพี่เนย์เลยค่ะ ชอบผู้ชายคนนี้ ขอแบบนี้สักคนได้ไหมคะ 555 :กอด1:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 27

ด้วยความที่พี่เปรมเปลี่ยนแพลนจะกลับกรุงเทพพร้อมกับครอบครัว วันนี้พวกเราทั้งหมดเลยต้องมารวมตัวกันที่ร้านอาหารทะเลกว่าสิบชีวิต สามทุ่มคืนนี้ ถึงได้ฤกษ์พากันกลับหอ พร้อมกับฝนที่มันตกปรอยๆ แต่ทันทีที่เดินเข้าไปยังตัวอาคารหอพัก มหกรรมฝนคะนองก็สาดเทลงมาอย่างโหดร้าย
ฝ่ายคนกลัวฟ้า ก็เอาแต่บ่นอุบตลอดทาง ว่าอีกเดี๋ยวฟ้าต้องร้อง และอาจมีฟ้าผ่าตามมาแน่ๆ

“กูอาบก่อน มึงค่อยอาบทีหลังโน่น” พอเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับเปิดไฟจนเรียบร้อย ผมก็วางกระเป๋าเป้ที่ไอ้หมอกเอามาให้ตอนไปรับที่หอใน ก่อนจะไปงานเลี้ยงไว้บนเตียง จากนั้นก็หยิบเสื้อกับกางเกงออกมาเตรียมไว้ แต่คนตัวโตเขาถือโอกาสแซงคิวกันซะงั้น คงเพราะกลัวว่าฝนจะตกหนัก แล้วฟ้าจะผ่า ก็เลยจะรีบอาบน้ำเพื่อมานอนคุมโปงนั่นแหละ
“ตามสบายครับ” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง พลางพูดเปิดทางให้ พร้อมกับมองไปที่นักจิตวิทยาผู้กลัวฟ้าผ่า จนกระทั่งอีกฝ่ายเดินหายลับเข้าไปในห้องน้ำ ผมก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียง โดยที่ขาก็ยังวางอยู่กับพื้น พลางนึกไปถึงช่วงนึง ที่ผมบังเอิญเห็นว่าขาของพี่เนย์เป็นแผลยาวๆ เหมือนรอยโดนอะไรบาด ผมจึงไล่บี้ถาม ถึงได้รู้ว่าเจ้าตัวเขาทำจานแตกตอนฟ้าผ่าอีกแล้ว
เพราะแบบนี้แหละ ผมถึงไม่ค่อยชอบสถานการณ์ของเราในตอนนี้สักเท่าไหร่
และเรื่องนี้ ก็เป็นแค่เรื่องเดียวจริงๆ ที่ทำให้นักจิตวิทยาคนเก่ง เขาดูแลตัวเองไม่ค่อยได้

เปรี้ยง!

“เชี่ยเอ้ย!” หลังจากอาบน้ำเสร็จ ว่าที่บัณฑิตที่จะต้องรับปริญญาในวันพรุ่งนี้ ก็ถึงกับยืนตัวแข็งทื่อ พลางเอาผ้าเช็ดตัวปิดตา พร้อมกับสบถอย่างหัวเสีย ที่จู่ๆ ฟ้าก็ผ่าลงมา โดยไม่มีแม้แต่เสียงคำราม หรือแม้แต่แสงของฟ้าแลบแปลบปลาบเป็นการนำล่อง
“อะไรของมึง?” พี่เนย์ถาม เมื่อผมเดินไปโน้มศีรษะของอีกฝ่ายมาซบที่ไหล่ของตัวเอง

“เพราะแบบนี้ไงครับ ผมถึงได้ไม่ชอบสถานการณ์ที่เรากำลังเป็นอยู่ เพราะมันทำให้ผมก้าวเดินตามพี่ไม่ทันตั้งหลายก้าว” ผมกอดเอวอีกฝ่ายไว้ พลางให้เหตุผลที่เมื่อวานผมคัดค้านคำกล่าวของอีกฝ่ายที่ว่า ‘สำหรับเราที่เป็นอยู่ในตอนนี้ มันก็ดีอยู่แล้ว’ เพราะในความเป็นจริง ยังมีเรื่องเล็กๆ ที่พี่เนย์มองข้ามมันไปอีกเรื่อง สถานการณ์ของเรา มันก็เลยให้อารมณ์ประมาณว่า จะดีก็ดีไม่สุด
“ก็มึงอยากเกิดช้าเองนี่หว่า” คนกลัวฟ้าผ่ากล่าวพลางกลั้วหัวเราะ

“นั่นก็ใช่ครับ ผมไม่เถียง แต่ถ้าผมอยู่ด้วย เวลาที่พี่เนย์ดูแลตัวเองไม่ได้ ก็ยังมีผม แต่ตอนนี้มัน..” ผมหัวเราะเบาๆ ตามอีกฝ่าย เพราะสิ่งที่พี่เขาพูดเมื่อครู่ มันก็ถูก แต่ใจความสำคัญจากผมมันก็ยังมี
“มึงจำได้มั้ย กูเคยบอกว่า ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเราไปหมดทุกอย่างหรอก เอาเป็นว่าต่อไปกูจะระวังตัวเองให้มากกว่านี้” พี่เนย์รีบพูดแทรกขึ้น เมื่อเจ้าตัวเริ่มจะคาดเดาความคิดของผมออก

“ผมเป็นห่วงพี่เนย์นะครับ ถ้าผมเดินตามพี่ทันเมื่อไหร่ ผมสัญญาว่าจะชดเชยให้ พี่จะได้ไม่ต้องเจ็บตัวเพราะตกใจตอนฟ้ากำลังผ่าอีก” ทันทีที่ผมพูดจบ พี่เนย์ก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“ขำอะไรครับ ?” ผมย้อนถาม พลางผละตัวออกจากกัน
“เปล่า กูแค่รู้สึกดีมากๆ ที่มึงเป็นห่วงกู” พี่เนย์พูดพลางยิ้มจนตาปิด ผมก็เลยอดจะยิ้มตามอีกฝ่ายไม่ได้
“รู้ไหมครับว่าพี่เนย์เป็นห่วงผมตอนที่โดนแทงมากแค่ไหน ผมก็เป็นห่วงพี่เนย์ตอนที่กลัวฟ้าผ่าแล้วเผลอทำร้ายตัวเองมากแค่นั้น”

“รัน กูสัญญาว่าจะไม่หยิบจับอะไรทั้งสิ้น จนกว่าฟ้าจะเลิกผ่า” พี่เนย์ยกมือขึ้นราวกับลูกเสือกำลังจะปฏิญาณตน พลางพูดอย่างหนักแน่น จนผมอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้
“แค่อยู่ห่างๆจากของมีคม แล้วก็ของที่มันแตกได้ก็พอครับ เพราะเวลาที่พี่ตกใจมากๆ ไอ้ของพวกนี้นี่แหละ มันจะชอบย้อนกลับมาทำร้ายพี่ตลอด”

“ครับๆ โอเคครับ รับทราบครับ ไปอาบน้ำได้แล้วครับ” พี่เนย์ก้มลงมาหยิบเสื้อผ้าที่ผมเตรียมไว้บนที่นอน พลางรุนหลังผมเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะยัดเสื้อผ้าใส่ในอ้อมแขน แล้วก็ปิดประตูให้เสร็จสรรพ กระทั่งอาบน้ำเสร็จ ก็เห็นว่าคนเก่งของผมเขานอนคลุมโปงไปแล้ว ผมจึงต้องรีบจัดการตัวเองให้เสร็จ จะได้รีบเข้านอนเหมือนอีกฝ่ายบ้าง

“ยังไม่หลับอีกเหรอครับ?” ผมถามว่าที่บัณฑิต ที่ขยับตัวเข้ามากอดทันทีที่ผมล้มตัวลงนอน

“อืม”
“พี่กำลังตื่นเต้นหรือว่ายังกลัวฟ้าผ่าอยู่ครับ?” ผมลูบศีรษะของอีกฝ่าย พลางถามด้วยความสงสัย

“สองอย่าง”
“แต่ก็ต้องนอนนะ ไม่งั้นพรุ่งนี้พี่เหนื่อยแย่ แถมยังต้องตื่นแต่เช้าอีก” ผมรีบออกปากเตือนทันที

“เออ ไอ้เอ้แม่งต้องป่วนทุกคนให้ตื่นขึ้นมาแต่งตัวพร้อมมันแน่ๆ ไม่รู้แม่งจะตื่นเร็วไปไหน”
“ก็พี่เขาเป็นผู้หญิงนี่ครับ วันสำคัญทั้งที ก็ต้องแต่งหน้าทำผมให้สวยๆไง” ผมอธิบายอย่างเข้าใจ เพราะแม่ผมเองก็แต่งตัวนานเหมือนกัน แต่ที่เป็นอย่างนั้น มันก็เพราะอาชีพของท่านทำให้ต้องดูแลตัวเองมากเป็นพิเศษ ด้วยความที่เป็นถึงฝ่ายบุคคลน่ะแหละ ก็เลยต้องเป็นตัวอย่างให้กับผู้อื่นเสมอ จนส่งผลมาถึงพฤติกรรมส่วนตัวก่อนจะออกจากบ้านไปด้วย

“เรานอนกันเถอะครับ”
“อืม” ผมอมยิ้มโดยไม่พูดอะไรอีก แต่กลับลูบผมของพี่เนย์ไปเรื่อยๆ เพราะวิธีนี้ ผมเคยใช้ตอนที่ฟ้าร้องหนักๆ สลับกับฟ้าผ่าบ่อยๆ จนพี่เนย์นอนไม่ได้
ซึ่งผลของมัน ก็ไม่น่าจะต่างกันนัก

เช้าวันนี้ผู้คนมากมายเป็นพิเศษ เพราะมีงานรับปริญญา ส่วนผมที่มีหน้าที่เรียน ก็ต้องนั่งปักหลักอยู่ตรงแถวโรงอาหารกลาง เพื่อรอเวลาเข้าเรียน ขณะที่พี่เนย์ก็ไปรวมกลุ่มกับเพื่อนคนอื่นๆ ตามสถานที่นัดหมาย กระทั่งเวลาเก้าโมงตรง ผมก็ต้องมานั่งปวดหัวกับภาษามือเหมือนปกติ แต่คราวนี้โชคดีหน่อย ที่ผมไม่ถูกสุ่มเรียกให้ออกไปบรรยายภาษามือตรงหน้าชั้นเรียน แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังแอบเครียดอยู่ดี เพราะว่าพอจะรู้แนวทางในการสอบของวิชานี้แล้ว ว่ามันหินมากแค่ไหน ฉะนั้นเทอมนี้ก็ต้องทำคะแนนให้ดีกันต่อไป
จะได้มีชีวิตรอดง่ายๆหน่อย

“มึงว่าพี่เนย์จะออกมาตอนกี่โมงวะ?” ระหว่างกินข้าวไอ้หมอกเริ่มชวนคุยถึงกิจกรรมที่กำลังได้รับความสนใจในวันนี้บ้าง
“น่าจะสามสี่โมงเลยมั้ง คณะเรารับช่วงบ่ายด้วยนี่” ผมตอบพลางเอาตะเกียบคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวกินอย่างรวดเร็ว เพราะความมึนจากในห้องเรียน มันส่งผลไปถึงสุขภาพกระเพาะอาหารได้เป็นอย่างดี
“กูว่าแดกข้าวเสร็จ ก็ไปหาซื้อดอกไม้กันเลยดีกว่า พอเลิกเรียนจะได้ไม่ต้องแวะ” ไอ้คินเสนอขึ้นมาอีกคน ผมก็เลยพยักหน้าตอบตกลง ส่วนของขวัญของผม พวกมันก็หิ้วมาให้ตั้งแต่เช้าแล้ว แถมยังใส่ถุงพลาสติกกากๆมาให้อีก ดีนะที่น้องรหัสของผมยังพอจะมีถุงกระดาษหรือถุงอะไรก็ได้ ที่มันไม่น่าเกลียดอยู่บ้าง
ไม่งั้นนะ พี่เนย์ได้หิ้วถุงกากๆนี่เดินร่อนจนทั่วมหาลัยกันพอดี

“เอาดอกไม้แห้งดีกว่ามั้ยมึง มันยังพอเก็บได้” ผมออกความเห็น เมื่อพวกเราพากันมาเดินดูร้านขายของสำหรับมอบให้พี่บัณฑิต แถวๆคณะ เพราะว่าเดี๋ยวช่วงเย็นก็น่าจะทยอยกันมาที่นี่ ส่วนผมกะว่าถ้าเลิกเรียนแล้วพี่เนย์ยังไม่มา ก็คงจะไปหาอีกฝ่ายที่หอประชุมแล้วเดินมาด้วยกันเลย เพราะว่าพ่อกับแม่ทั้งของผมและของพี่เนย์ก็รออยู่ที่นั่นด้วย แต่พอผมชวนให้พวกท่านมาทานข้าวด้วยกันก็ไม่ยอมมา คงเพราะท่านไม่อยากเดินฝ่ากระไอแดดที่มันร้อนระอุของเมืองไทยในเวลาเที่ยงตรงนี่แหละ ครั้นพอผมจะหาซื้ออะไรไปให้ พวกท่านก็บอกว่าไม่ต้อง เพราะตึกของผมกับบริเวณที่ท่านอยู่ มันก็ออกจะไกลกันพอสมควร อีกทั้งบริเวณนั้นก็พอจะมีร้านอาหารอยู่ ถ้าหากพวกท่านหิว จะพากันไปกินแน่นอน พร้อมกับย้ำปิดท้ายว่าผมไม่ต้องห่วง พวกท่านจะกินข้าวแน่ๆ ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย

“มึงเลือก” ทันทีที่มาถึงร้านขายช่อดอกไม้ที่มันเด่นสะดุดตา ไอ้หมอกมันก็รีบบุ้ยปากมาทางผม
“มึงซื้อให้พี่เนย์นะเว้ย มึงก็เลือกเองดิ” ผมเถียง เพราะไม่เห็นด้วย ของขวัญใครคนนั้นก็ต้องเลือกเองดิ

“มึงเลือกนั่นแหละดีแล้ว” ผมส่ายหัวอย่างอ่อนใจ เมื่อไอ้คินมันก็ออกปาก ให้ผมเลือกของขวัญให้อีกคน แล้วแบบนี้เสียงเดียวหรือจะสู้สองเสียงได้กันล่ะ ผมก็เลยต้องจำใจเมียงมองช่อดอกไม้แต่ละช่อ กระทั่งเห็นช่อหนึ่งที่มันมีดอกกุหลาบสีแดงอยู่ตรงกลาง ส่วนด้านนอกถูกล้อมรอบด้วยดอกสแตติส และดอกยิปโซสีขาว ขณะที่ตัวช่อถูกห่อหุ้มด้วยกระดาษสาสีขาว และผูกด้วยริบบิ้นสีแดงเล็กๆ ดูเรียบๆ และไม่หวานจนเกินไป ผมก็เลยเลือกเอาดอกไม้แห้งช่อนี้ ส่วนเพื่อนสองคนก็หารเงินกันไป จากนั้นเราก็เข้าเรียนวิชาถัดไป จนกระทั่งถึงเวลาเลิกเรียน ผมก็เลยโทรหาแม่ จนได้ความว่าพี่เขาออกมาจากหอประชุมเมื่อครู่ ตอนนี้กำลังถ่ายรูปอยู่กับเพื่อน ผมเลยบอกให้แม่ฝากบอกพี่เนย์ด้วย ว่าผมกำลังจะไปหาที่หอประชุม
ขณะซ้อนท้ายจักรยานของไอ้หมอก ผมก็ถือช่อดอกไม้และถุงของขวัญของตัวเอง ส่วนไอ้หมอกกับไอ้คินก็ต้องบังคับจักรยานให้ดี เพราะในตอนนี้นักศึกษาจากสาขาอื่น ได้เริ่มทยอยมารวมกลุ่มกัน เพื่อทำกิจกรรมบูมให้พี่บัณฑิต ส่วนสาขาของผม หลังเลิกเรียนเราก็ต่างคนต่างก็กลับหอใครหอมัน เนื่องจากในปีนี้ สาขาของเราก็ยังไม่มีพี่บัณฑิตเหมือนอย่างเคย

“พี่เนย์อยู่แถวทะเลสาบ” ผมตะโกนบอกไอ้หมอก หลังจากวางสายกับแม่ จากนั้นไอ้เพื่อนตัวดีมันก็ปั่นจักรยานมุ่งตรงไปยังลานจอดรถสำหรับจักรยาน จากนั้นเราก็เดินเข้ามายังส่วนของสนามหญ้าพร้อมๆกัน ขณะที่สายตาก็สอดส่ายมองหาคนคุ้นเคยไม่หยุด แต่ก็ยังไม่พบ เพราะวันนี้ผู้คนมากมายจากทั่วทุกสารทิศ ต่างก็มารวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยของเรา
“รัน!” ผมหันไปตามเสียงเรียก ก็พบกับพี่เอ้ที่กำลังกระโดดโหยงเหยง พลางโบกมือให้ผมอยู่ ผมจึงยิ้มกว้างพลางเดินรี่เข้าไปหาอีกฝ่าย จนกระทั่งเจอพี่ๆทุกคนอย่างครบถ้วน รวมทั้งพี่เนย์และพ่อกับแม่ของผมและของพี่เขาด้วย

“ยินดีด้วยนะครับ” ผมบอกกับพี่ๆทุกคน พร้อมกับยกยิ้มกว้าง โดยไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่เขาจะมองว่ามันเสียมารยาทแต่อย่างใด เพราะเนื่องจากเมื่อวานนี้ พี่เอ้นี่แหละที่เป็นตัวตั้งตัวตี คอยบอกพวกผมไม่ให้ซื้อของขวัญมาให้ เพราะว่าพวกพี่เขาเกรงใจ แล้วอีกอย่างเวลาที่สายรหัสเขาซื้อของให้ พวกเขาก็จะรวมเงินกันซื้อเป็นของชิ้นใหญ่ๆสักชิ้น หรือไม่ก็ช่อดอกไม้สักช่อแค่นั้น แต่ถ้าหากพวกผมซื้อให้พวกพี่เขา ก็ต้องซื้อให้ตั้งหลายช่อ เพราะในกลุ่มของพี่เนย์ก็มีกันตั้งหลายคน แต่กับพี่เนย์ ที่พวกไอ้หมอกไอ้คินมันตัดสินใจจะซื้อให้ ก็เพราะผมเป็นตัวกลางระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วยนั่นแหละ และพวกมันก็เจอกับพี่เนย์บ่อยกว่าพี่คนอื่นๆ

“มึงมายังไง? กูโทรหากะจะบอกว่าให้รอที่คณะไปเลย เพราะยังไงกูก็ต้องไปที่นั่น” นักจิตบำบัดในชุดครุยสีดำ เดินเข้ามาหาผม พร้อมกับถามด้วยความสงสัย เมื่อหันมาเห็นผมเดินฉายเดี่ยวเข้ามาหา
“ปั่นจักรยานมากับพวกไอ้หมอกไอ้คินครับ” ผมตอบพลางหันไปมองหาเพื่อนทั้งสองคน ถึงได้เห็นว่าสองคนนั้นกำลังยืนคุยกับสามสาวคณะบัญชี ที่คงจะมาร่วมแสดงความยินดีกับพี่บัณฑิตในสายรหัสของตัวเองด้วยเหมือนกัน ผมเลยขอตัวเดินเข้าไปทักทาย พวกเธอจึงฝากช่อดอกไม้มาให้พี่เนย์ด้วย ผมเลยถือโอกาสเดินไปตามให้เจ้าตัวเขามารับเอาเองเลย ไหนๆวันนี้ก็ถือเป็นโอกาสดีๆแล้วนี่นะ

“แล้วนั่นของขวัญของพี่เนย์หมดเลยเหรอครับ?” พอร่ำลากับสามสาวต่างคณะเสร็จ ผมก็เดินเข้ามาหาพ่อกับแม่ พลางไหว้พวกท่านและทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหญ้า ใกล้ๆกับแม่ของพี่เนย์ ขณะที่ดาวเด่นของเราในวันนี้ กำลังจับกลุ่มถ่ายรูปกับเพื่อนร่วมสาขาคนอื่นๆ พร้อมกับต้องคอยรับของขวัญเป็นระยะๆ เพราะมีหลายๆคนที่ถือโอกาสนี้ นำของขวัญมาให้พี่เนย์กันเยอะแยะ
“ใช่แล้ว ลูกชายแม่ดังเหมือนกันเนอะ” คุณแม่กระซิบกระซาบพลางนินทาลูกชายในระยะเผาขน ส่วนผมก็ได้แต่หัวเราะ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แต่คุณพ่อกับคุณแม่ท่านคงไม่เคยรู้ ก็เลยดูตื่นเต้นกันมากๆ

“ไอ้หมอก” ผมหันไปเรียกเพื่อนสนิทที่ยืนมองคนโน้นทีคนนี้ที พลางยื่นช่อดอกไม้ไปให้ เพื่อที่มันจะได้เอาไปให้กับพี่เนย์ด้วยตัวเอง จากนั้นผมก็มานั่งช่วยแม่หอบดอกไม้ไปที่รถของคุณพ่อ ที่จอดเทียบท่าอยู่ตรงริมถนน ขณะที่พ่อกับแม่ของผม ท่านก็ช่วยกันหอบของทั้งหมดตามมาด้วย เพราะของพวกนี้ พี่เนย์จะไม่เอากลับไปที่คอนโด แต่ให้เอากลับไปไว้ที่บ้าน ส่วนช่อดอกไม้ เห็นพี่เนย์บอกว่าให้พ่อกับแม่แบ่งกันเอาไปจัดใส่แจกันที่บ้านได้ ทำเอาแม่ผมปลื้มสุดๆไปเลย เพราะว่าแม่ชอบตกแต่งบ้านอยู่แล้ว แถมเรื่องดอกไม้ ยิ่งเป็นเรื่องที่แม่กำลังเห่อมากๆ
วันหยุดคราวนี้ ท่าทางว่าแม่ของผม คงจะสนุกกับการเอาดอกไม้ของพี่เนย์ ไปจัดตกแต่งบ้านแน่ๆ

“พ่อกับแม่ได้ถ่ายรูปกับพี่เนย์หรือยังครับ?” ผมถามพวกท่าน พลางมุดตัวเข้าไปในรถ ขณะกำลังจัดเรียงดอกไม้ทีละช่อไว้ตรงมุมรถ ส่วนตุ๊กตาก็เอาวางไว้ข้างล่างตามคำแนะนำของผู้เป็นเจ้าของ จากนั้นพ่อของผมท่านก็ขอแยกตัวไปเอารถมาจอดตรงริมถนน เพื่อขนช่อดอกไม้ใส่หลังรถบ้าง ส่วนพ่อกับแม่ของพี่เนย์และแม่ของผมระหว่างยืนรอ ท่านก็เล่าให้ผมฟังว่าได้ถ่ายรูปมุมไหนกับดาวเด่นของเราไปแล้วบ้าง จากนั้นท่านก็นึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่มีรูปคู่กับพี่เนย์เลย คุณแม่ก็เลยถือโอกาสเดินไปตามลูกชายของท่านที่กำลังรวมกลุ่มอยู่กับสายรหัสเพื่อมาถ่ายรูปกับผม โดยการขอยืมตัวตากล้องประจำกลุ่มมาเก็บภาพสักครู่ กระทั่งพ่อผมขับรถเข้ามาจอดเทียบท่าใกล้ๆ บริเวณที่เรากำลังยืนอยู่ เราถึงได้ถ่ายรูปครอบครัวพร้อมกันอีกครั้ง โดยที่ผมกับพี่เนย์ยืนอยู่ตรงกลาง
จากนั้นก็ต้องรีบลำเลียงของขวัญของนักจิตวิทยาคนเก่งไปใส่ไว้ที่ท้ายรถของพ่อผมอย่างเร่งด่วน เพราะเพื่อนของพี่เนย์มาบอกว่าจะเดินไปที่คณะกันแล้ว พ่อกับแม่ของเราจึงขอแยกตัวกลับบ้าน เนื่องจากไม่อยากถึงบ้านมืด และก่อนจะจากกัน ผมก็เลยกอดพ่อกับแม่คนละที ขณะที่พี่เนย์ก็จุ๊บปากกับคุณแม่เหมือนทุกที ส่วนคุณพ่อ เจ้าตัวกลับทำได้แค่เพียงกอดเอวท่านเท่านั้น เพราะตอนนี้คนเยอะ คุณพ่อท่านก็เลยไว้ฟอร์ม แต่ถ้าเป็นปกติ หรือว่าอยู่ต่อหน้าผม เดี๋ยวนี้ท่านจะไม่ค่อยอิดออด เวลาที่ลูกชายขอจุ๊บปากแล้ว

หลังจากส่งพ่อกับแม่ของพวกเราทั้งคู่ขึ้นรถจนเรียบร้อยแล้ว เราสองคนก็เดินกลับมารวมตัวกับพวกพี่เอ้ เลยเจอกับพี่ทีมและพี่บอสที่มาร่วมแสดงความยินดีกับเพื่อนสมัยเด็กของตัวเอง จากนั้นพวกเราทั้งหมดเลยถ่ายรูปเล่นด้วยกันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่สายรหัสของพี่เนย์จะเดินเข้ามาหา พวกเราก็เลยยังไม่ได้ฤกษ์จะเดินกลับไปที่ตึกคณะกันสักที เพราะว่าพี่เนย์จะต้องถ่ายรูปรวมกับสายรหัสของตัวเอง ที่ผมเคยเจออยู่ครั้งนึง ตอนผมนัดทานข้าวกับพ่อและแม่ช่วงปีหนึ่ง
จากนั้นผมกับไอ้หมอกไอ้คินก็เลยถูกเรียกตัวให้ไปถ่ายรูปเล่นกับพี่ๆคนอื่นๆ จนมั่วไปหมด เพราะว่าพวกพี่เขาพาเราไปแจมกับใครก็ไม่รู้ ซึ่งผมก็ไม่ได้เกร็งอะไร เนื่องจากผมไม่ได้มีอคติแบบเมื่อก่อนแล้ว และผมก็เลือกที่จะมองคนให้เป็น ตอนนี้อุปสรรคที่เคยยิ่งใหญ่จนน่าหนักใจ มันกลับกลายเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ที่ไม่อาจทำอะไรผมได้อีก
นี่แหละ เขาถึงได้บอกว่าความเจ็บปวดจากอดีต มันคือบทเรียนราคาแพงของชีวิต

“ขำอะไร?” ผมหลุดขำออกมาทันที เมื่อหันไปเห็นพี่เนย์เขาใส่มงกุฎดอกไม้ ตามการบังคับของสายรหัส ขณะที่ใบหน้าของผู้ใส่ก็หงิกงอจนได้ที่ บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวไม่ชอบอะไรแบบนี้ แต่เพราะขัดพี่เจตไม่ได้ พี่เขาก็เลยต้องใส่ เนื่องจากพี่เจตคอยเดินคุมอยู่ไม่ห่าง
“ไม่เหมาะกับพี่เลยครับ” ผมรับช่อดอกไม้จากอีกฝ่ายที่ให้ช่วยถือ พร้อมกับมองไปที่มงกุฎดอกไม้ พลางเฉลยความคิดของตัวเองให้อีกฝ่ายทราบ ขณะเดินไปตามริมขอบถนน เพื่อมุ่งตรงไปยังตึกคณะ ส่วนเพื่อนของผมมันก็ขอแยกตัวกลับหอไปพร้อมกับพี่ทีมและพี่บอสได้สักพักแล้ว

“เออดิ ไอ้พี่เจตแม่งกวนตีน” พี่เนย์บ่น
“ปีก่อนมึงเสือกแกล้งกู มันก็ช่วยไม่ได้นะไอ้น้อง กูมีรูปแบ๊วๆขนาดนั้น มึงก็ต้องมีเหมือนกันครับ” พี่เจตเดินเข้ามาเกาะไหล่พวกเราสองคน ที่เดินอยู่ข้างๆกัน จนผมถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ ส่วนพี่เนย์ก็ทำหน้ายุ่งพลางถอดมงกุฏดอกไม้บนศีรษะมาถือไว้ เพราะไม่อาจทานทนกับของขวัญที่พี่เจตนำมาให้แล้วก็ไม่สามารถจะโต้แย้งอะไรได้ซะด้วย เพราะตัวเองเป็นฝ่ายไปหาเรื่องคนอื่นเขาก่อน

“เฮ้ย! เดี๋ยวกูล่วงหน้าไปก่อนเว้ย พวกมึงรีบๆตามไปเร็วๆนะ คนอื่นเขาไปออกันที่คณะหมดแล้ว” พี่เจตรับโทรศัพท์พลางทำท่ารีบร้อน ก่อนจะหันมาบอกพวกเรา แล้วก็เดินหายลับไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่พี่เนย์ก็บ่นอุบ เพราะคนที่ทำให้ช้าน่ะ มันคือพี่แกชัดๆ
ซึ่งพี่เนย์ก็ไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนกับพี่ๆคนอื่นๆนัก พวกเราก็เลยพากันเดินรั้งท้าย และก็ไม่มีใครคิดที่จะเร่งด้วย คงเพราะพวกพี่เขาเข้าใจกันดี ว่าพี่เนย์ไม่ชอบความวุ่นวาย แต่ที่ต้องไป ก็เพราะการบูมมันเป็นสีสันของงานนี้ แถมไอ้ต้นหลานรหัสของพี่เนย์ยังขอร้องจนแทบจะกราบกรานพี่เขาซะให้ได้อยู่แล้ว เพราะว่าการบูมให้พี่บัณฑิต ก็ถือเป็นหนึ่งในวิธีการหาเงินเข้าสาขาด้วย ดังนั้นไอ้ต้นกับพี่แก้วเลยไม่ยอมปล่อยให้พี่เนย์ไปไหนได้ง่ายๆ โดยการให้น้องแพรที่เป็นสายรหัสคนสุดท้อง คอยอยู่บูมให้พี่เขาที่คณะ
นักจิตวิทยาจากเมืองกรุง ก็เลยหาทางเลี่ยงไปไหนไม่ได้อีก

-ต่อด้านล่าง-
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-12-2017 23:36:04 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
“นี่ของผมครับ” กระทั่งรอบๆตัวเราจะเริ่มร้างไร้ผู้คน ผมก็ยื่นถุงกระดาษที่เกี่ยวไว้ตรงปลายนิ้วก้อยส่งไปให้คนข้างๆที่กำลังเดินอยู่บนเส้นสีขาวตรงริมขอบถนน ขณะที่ผมก็ยังคงกอดช่อดอกไม้เอาไว้จนเต็มอ้อมแขน พร้อมกับเพิ่มพร็อบเสริมมาอีกหนึ่งอย่าง ก็คือมงกุฎดอกไม้ ที่เจ้าของเขาให้เหตุผลว่า ถือเอาไว้แล้วมันดูของขวัญไม่สะดวก ก็เลยถือโอกาสวางแหมะไว้บนหัวผม ผู้ซึ่งไม่มีทางปฏิเสธได้ เพราะมือไม่ว่าง ส่วนปากถึงพูดไปก็ใช่ว่าพี่เนย์จะรับฟัง
“เขี้ยวกุด?” พี่เนย์หยิบตุ๊กตาออกมาจากถุง พลางพลิกไปพลิกมาด้วยท่าทางเหมือนเด็ก

“เดี๋ยวกูเอาไปวางตรงข้างตู้เขี้ยวกุดแล้วกัน มันจะได้มีเพื่อน” ผมหัวเราะให้กับความคิดอันแสนน่าเอ็นดูของอีกฝ่าย ที่ไม่ว่ายังไง ก็ดูจะเป็นห่วงลูกชายตัวโปรดมากเหลือเกิน
นี่ถ้าหอบมาด้วยได้ ผมก็คิดว่าพี่เขาคงจะเอามาด้วยแล้ว

“นี่อะไร ?” พี่เนย์หยิบม้วนกระดาษขึ้นมา พลางถามอย่างสงสัย ขณะที่เจ้าตัวก็ถือโอกาสยัดเจ้าเขี้ยวกุดเวอร์ชั่นตุ๊กตาใส่ลงไปในถุงกระดาษ

“ลองเปิดดูสิครับ” ผมไม่ตอบ แต่กลับแนะนำให้พี่เขาหาคำตอบด้วยตัวเอง
“นี่คือของขวัญจริงๆ ที่มึงตั้งใจจะให้กูใช่มั้ย?” อีกฝ่ายค่อยๆแกะปมเชือกพลางซักถามเอาความจริง

“ถ้าตัดเซอร์ไพร์สที่ผมเคยบอกไป อันนี้ก็คือของขวัญจริงๆที่ผมตั้งใจจะให้พี่” ผมตอบพลางมองอีกฝ่ายค่อยๆแก้ปมริบบิ้นที่ถูกผูกกันจนเป็นโบว์อย่างสวยงาม กระทั่งเจ้าตัวเขาหย่อนริบบิ้นสีขาวลงในถุงกระดาษ ก่อนจะค่อยๆคลี่กระดาษในมือให้กางออก หัวใจของผมก็เต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง เมื่อสายตาคมที่เคยมองจ้องกัน กำลังจดจ้องไปที่ภาพวาดกากๆของผมอย่างตั้งใจ พลางแอบอมยิ้มนิดๆ
“พี่เห็นอะไรในภาพนั้นครับ?” ผมเริ่มตั้งคำถาม เพื่อประเมินว่าอีกฝ่ายเข้าใจภาพนี้ได้มากน้อยแค่ไหน

“ภาพนี้แบ่งออกเป็นสามช่องตามแนวนอน ช่องแรกมีคนสองคนกำลังเดินก้มหน้าอยู่คนละฟากฝั่ง แต่ทั้งคู่กลับเดินอยู่บนสะพานเล็กๆที่เชื่อมต่อกัน ผู้ชายที่อยู่ในมุมใกล้มีตา หู จมูก ปาก ครบถ้วน เพียงแต่ริมฝีปากของเขากลับวาดเป็นเส้นตรง น่าจะหมายถึงไม่เคยยิ้ม ไม่เคยมีความสุข เพราะฉลามกลับว่ายวนอยู่รอบๆบริเวณสะพานเล็กๆ ที่ผู้ชายคนนั้นกำลังก้าวเดิน ซึ่งฉลามในรูปนี้ กูคิดว่าน่าจะหมายถึงอคติหรือไม่ก็อุปสรรคต่างๆ ถูกไหม ? ส่วนท้องฟ้าในยามค่ำคืน ที่ยังพอจะมีดวงดาวระยิบระยับให้เห็นบ้าง ก็หมายถึงจิตใจของผู้ชายคนนั้นที่เริ่มค้นพบแสงสว่างขึ้นมาแล้ว แต่มันก็ยังน้อยนิดมากๆ และถ้าหากกูไม่เข้าข้างตัวเองมากจนเกินไป ภาพนี้ตรงช่องแรกก็น่าจะแปลได้ว่า ตอนที่เราสองคนยังไม่รู้จักกัน จิตใจของมึงยังคงมืดมัว แม้ว่ามึงจะมีเพื่อน มีพ่อแม่ หรือมีใครก็ตาม แต่อคติของมึง มันก็ยังเต็มไปหมด จนมึงไม่รู้จักความสุขที่แท้จริง ว่ามันหน้าตาเป็นยังไง”
“ส่วนช่องที่สอง ผู้ชายในภาพนั้นต่างเริ่มมองไปที่กันและกัน โดยที่ริมฝีปากของพวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับระยะห่างระหว่างกัน ที่ค่อยๆถอยหล่นลงมา ขณะที่คีบฉลามก็ยังคงว่ายวนอยู่รอบๆ ในปริมาณที่ยังเท่าเดิม แต่ท้องฟ้าในยามค่ำคืน กลับมีดวงดาวระยิบระยับกระจัดกระจายอยู่บ้าง ซึ่งมันก็แปลได้ว่า หลังจากที่เรารู้จักกันและได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น แม้ว่าอคติของมึงจะยังคงมีอยู่เท่าเดิม แต่ว่าจิตใจของมึง กลับพบความสุขบางอย่าง ที่มึงไม่เคยได้สัมผัส เพราะริมฝีปากของมึงกำลังยิ้ม และริมฝีปากของกูก็กำลังยิ้ม แปลได้ว่าภาพนี้หมายถึงช่วงที่เราสองคนใจตรงกันแล้ว แต่ยังไม่รู้จักกันดีพอ ก็เลยยังมีระยะห่างระหว่างกันอยู่บ้าง”

“ส่วนช่องที่สาม ผู้ชายสองคนในภาพกำลังยืนเผชิญหน้ากัน พลางมอบรอยยิ้มให้กัน แต่คราวนี้ต่างกันตรงที่ ผู้ชายคนนึงดวงตาของเขากลับถูกวาดด้วยรูปครึ่งวงกลม ส่วนริมฝีปากก็โค้งได้รูปเหมือนกับภาพที่สอง แต่บรรยากาศรอบๆ เริ่มเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะคีบฉลามมีลูกศรปักอยู่ แสดงถึงอุปสรรค หรืออคติต่างๆ ค่อยๆหายไป ส่วนท้องฟ้าที่เปรียบเสมือนจิตใจก็เริ่มเต็มไปด้วยดวงดาวมากขึ้น แถมยังมีขีดๆ เหมือนฝนดาวตกด้วย ซึ่งน่าจะหมายถึงตอนที่เราคบกันมาสักพักนึงแล้ว และช่วงนั้นมึงเจอแต่อุปสรรคหนักๆถาโถมเข้าใส่จนใกล้จะล้มลงตั้งไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่สุดท้ายมึงก็ยังผ่านมันไปได้ เพราะมีกูคอยอยู่ข้างๆมึง?” ผมพยักหน้าให้พี่เนย์พร้อมกับยิ้มอย่างดีใจ ที่พี่เขายังคงอ่านความรู้สึกของผมผ่านทางภาพวาดได้เหมือนเคย และถึงแม้ว่าภาพนี้ผมจะวาดเมื่อนานมาแล้ว แต่ก่อนที่ผมจะให้พี่เนย์ ผมก็ได้แต่งเติมฝนดาวตกเข้าไปด้วย เพราะว่ามันจะได้แสดงถึงความรู้สึกของผม ที่มีมาตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งวันนี้ 
“ยังมีอีกครับ พี่ลองมองดูดีๆ พี่เห็นอะไรอีก?” แต่ผมก็ต้องถามจี้ไปอีกขั้น เพราะว่าสิ่งที่พี่เขาวิเคราะห์มันยังไม่หมดแค่นั้น

“ความรักของมึงไง” พี่เนย์ตอบ พลางหันมาจ้องมองผมที่เดินอยู่ข้างๆ
“…”

“เพราะท้องฟ้าที่เปรียบเสมือนจิตใจของมึง มันค่อยๆสว่างไสวเพราะดวงดาวมากขึ้นทุกทีๆ นั่นก็เพราะใจของมึงกำลังบอกกูผ่านภาพๆนี้ ว่ากูคือคนที่ทำให้มึงรู้สึกดี” ผมเริ่มหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เมื่อเริ่มรู้สึกได้ว่า สายตาของพี่เนย์กำลังสะกดผมให้หลงใหลอยู่ในวังวนที่เจ้าตัวสร้างขึ้น

“ถึงพี่จะไม่ค่อยแสดงออก แต่รันก็รู้ใช่มั้ยว่าพี่รู้สึกยังไง” ผมพยักหน้า พลางกระชับมืออีกฝ่ายที่สอดเข้ามากอบกุมกันไว้ เพื่อบอกกลายๆว่า ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
“ยินดีกับทุกความสำเร็จของพี่ด้วยนะครับ”

“ขอบคุณนะ แล้วก็.. พี่ชอบของขวัญชิ้นนี้มากจริงๆ” พี่เขาส่งยิ้มอย่างอบอุ่นมาให้ ผมจึงได้แต่กระชับฝ่ามือของเราให้แน่นขึ้น และเฝ้ารอวันที่เราสองคน จะได้ก้าวเดินไปพร้อมๆกันอีกครั้ง ซึ่งวันนั้นคงจะเป็นวันที่มีความสุขมากแน่ๆ

เพราะเราสองคน จะสามารถเฝ้ามองภาพวิวภาพเดียวกันได้ทุกวัน
เพราะเราสองคน จะสามารถเดินอยู่บนถนนเส้นเดียวกันได้ทุกวัน
เพราะเราสองคน จะสามารถกินของอร่อยๆด้วยกันได้ทุกวัน
เพราะเราสองคน จะสามารถดูแลกันและกันได้ทุกวัน
เพราะเราสองคน จะสามารถดูหนังแผ่นแล้วก็พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติต่อหนังเรื่องนั้นด้วยกันได้ทุกวัน
เพราะเราสองคน จะสามารถทำกิจกรรมที่เราชอบร่วมกันได้ทุกวัน

“ตั้งแต่วันนี้ พี่จะตั้งตารอวันที่รัน ค่อยๆก้าวเดินมาจนถึงเส้นชัยอย่างมั่นคง ด้วยสองขาของตัวเอง จากนั้นเราสองคน ก็ค่อยเดินไปข้างหน้าพร้อมๆกันนะ”
“ครับ” ผมตอบอย่างหนักแน่นและไม่คิดจะลังเลเลยแม้แต่น้อย
เพราะผมเชื่อในตัวเอง แล้วก็เชื่อในตัวพี่เนย์ด้วย

“วันข้างหน้า แม้บนเส้นทางที่เราเลือกเดิน มันอาจจะมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่พี่ก็เชื่อว่ามันจะไม่มีอะไรน่ากลัว ถ้าหากเรายังคงอยู่เคียงข้างกันแบบนี้”
“ครับ ผมก็เชื่ออย่างนั้น”

“พี่รักรันนะ”
“ผมก็รักพี่เนย์ครับ”



♥ REAL END ♥

[edit 31/12/2017 แก้คำตกหล่น และคำเกิน]
ในที่สุดฟอลอินยูก็จบลงแล้ว ขอบคุณทุกคนมากๆเลยนะคะ ที่ติดตามนิยายเรื่องนี้ มันอาจจะเป็นแนวๆเรียบๆเรื่อยๆ ไม่หวือหวา แต่ความรักของทั้งสองคนในเรื่อง เราเขียนในเชิงที่มันค่อยๆเติบโตไปพร้อมกัน ไม่ใช่รักแบบวัยรุ่น แม้ว่าวัยของทั้งสองคนในเรื่องจะเป็นแบบนั้น แต่มันคือรักที่ต่างคนต่างก็วางแผนไว้ในอนาคต ว่าเขาจะยังคงอยู่เคียงข้างกัน และคอยดูแลกัน ค่อยๆสร้างอะไรไปด้วยกัน จะเห็นได้ว่าในเรื่องนี้ ดราม่าจะไม่เชิงเป็นดราม่า แต่มันเหมือนเป็นอุปสรรค ที่สามารถพบเจอได้ในชีวิตจริง เพราะการก้าวผ่านอคติของตัวเองมันยากมาก และการจะมองโลกในแง่ดีแบบพี่เนย์มันก็ยากมากเช่นกัน และสุดท้ายนี้ เราเองก็รู้สึกดีที่ได้เขียนนิยายที่สอดแทรกเรื่องภาษามือเข้ามา และทำให้หลายๆคนสนใจเรื่องนี้ มันดีมากจริงๆค่ะ อีกทั้งหลายๆอย่างในเรื่องนี้สามารถให้ข้อคิดและกำลังใจดีๆ กับคนอ่านทุกคน เราเองก็ดีใจมากๆเหมือนกันค่ะ
ปล. รูปวาดของน้องรัน เป็นรูปที่เราอยากเขียนบรรยายออกมามากๆ เพราะมันเป็นการบอกรักโดยที่เจ้าตัวแทบไม่ต้องพูดอะไรออกมาเลย และมันยังสามารถบอกได้ด้วยว่า กว่าน้องจะเดินมาจนถึงจุดนี้ได้ น้องก็เคยล้มมาก่อน แต่เพราะความพยายามที่น้องมี มันเลยทำให้น้องประสบความสำเร็จ ส่วนกำลังใจไม่ว่าจะคน สัตว์ หรืออะไรก็ตาม มันก็สามารถฮีลเราได้ทั้งนั้น เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับใจของเรื่องที่เลือกจะโฟกัสเนอะ
Happy New Year ล่วงหน้านะคะ >.<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-12-2017 23:38:45 โดย Chomin »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 o13  o13   o13   :pig4:  :pig4:  :pig4:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ujen

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-13

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
อ่านแล้วรู้สึกมีกำลังใจในการใช้ชีวิตมากขึ้นเลยค่ะ ทำให้รู้สึกว่าคนที่มีปัญหามากกว่าเราเค้ายังมีความพยายามในการใช้ชีวิต เค้าต้องอดทนสู้ปัญหาต่างๆ เพราะงั้นเราต้องปล่อยวางปัญหาของเราแล้วสู้ต่อไปให้ได้ น้องรันและพี่เนย์โชคดีที่มีกันและกันคอยเป็นกำลังใจให้กัน ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ ที่ทั้งสนุกและมีแง่คิดดีๆนะคะ :pig4: :กอด1:

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ขอบคุณมากค่ะที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่าน

ออฟไลน์ hibatsumoe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ kanatthanit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เนื้อเรื่องน่ารัก พระเอก นายเอก ก็น่ารัก  :กอด1:

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
ฮือออ จบซะแล้ว เราชอบนิยายเรื่องนี้มากเลยค่ะ พี่เนย์กับน้องรันดูแลกันได้ดีจริงๆ เราเชื่อว่าพวกเขาจะเดินเคียงคู่กันได้แน่นอน

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด