Chapter 6
เจอหมีให้แกล้งตาย
ที่นั่งบนรถไฟฟ้ายามค่ำคืนถูกจับจองจนหมดเพียงแค่พริบตา แต่ผมกับใครอีกคนเลือกที่จะไปยืนชิดริมประตูอีกฝั่งเพราะไม่อยากจะไปเล่นลิงชิงเก้าอี้กับคนอื่นๆ ผมยืนแผ่นหลังชิดกับกระจก ส่วนเขายืนสูงๆอยู่ข้างหน้า บังทัศนียภาพทุกอย่างมิด
เงยหน้ามองคนตัวสูงที่เหม่อมองออกไปยังนอกตัวรถ ที่ผ่านมาเห็นเขาเป็นอย่างไร เขาก็ยังคงเป็นแบบนั้น ชอบมองวิวด้านนอก ชอบยืนเงียบๆเหมือนอยู่ในโลกส่วนตัว นอกจากนั้นยังใช้ขาของตัวเองวางแปะลงที่พื้นตัวรถไฟ กางขาออกเล็กน้อยเพื่อพยุงตัวไม่ให้ล้ม
ส่วนผมที่เป็นคนศูนย์ถ่วงไม่ดีก็ต้องหาที่ยึดเกาะ จะเดินไปเกาะเสาเขาก็ยืนขวางอยู่ จะหันไปเกาะราวเขาก็ยืนเอาหัวพิงอยู่
สรุปก็คือ เกาะเขาแล้วกัน ง่ายดี
“ดีขึ้นยัง ยังมึนอยู่มั้ยวะ”
เขาถามขึ้นขัดความเงียบ
“ไม่มึนแล้ว”
“ไม่มึนของมึงเนี่ย คอเอียงๆนะ”
“เหรอ”
หันไปมองตัวเองในกระจก คอที่ควรจะตั้งตรงๆเหมือนชาวบ้านเขา ตอนนี้เริ่มเอียงประมาณแปดองศา คอเอียงอาจจะไม่ใช่ประเด็นเท่าไร แต่หน้าแดงๆเหมือนคนเป็นไข้เนี่ย ยังไงก็โกหกไม่ได้จริงๆ
ไอ้ที่กินมาเมื่อกี้ ไม่ว่าจะชานมเอย หมากฝรั่งเอย ไม่สามารถฆ่าฤทธิ์เหล้าได้เลย สาบานได้ถ้าครั้งหน้าพี่รหัสบังคับผมอีกล่ะก็ จะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งนั่นแหละที่หัวแตก
ผมแพ้แอลกอฮอล์ ถ้ากินแล้วตัวจะแดงเหมือนลูกหนู ดังนั้นถ้าพี่กันสังเกตว่าผมเมาได้เพียงแค่แวบแรกที่มอง ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
เราสองคนเงียบกันไปอีกครั้ง คงเป็นนิสัยที่ติดตัวเวลาขึ้นรถไฟฟ้า แล้วเราสองคนก็ไม่คิดจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น สำหรับเขาผมไม่รู้ อาจจะเพลิดเพลินกับการดูวิว แต่สำหรับผม ผมรู้…
เพราะผมเพลิดเพลินกับการมองเขาเงียบๆคนเดียว
‘ครืด’
พูดไม่ทันขาดคำ โทรศัพท์ก็สั่นครืด สุดท้ายก็ต้องหยิบออกมาเพื่อดูการแจ้งเตือนจากไลน์ที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ ที่จำเป็นต้องหยิบออกมาเพราะไม่แน่ใจว่าแม่ติดต่อมาหรือเปล่า ผมกลับบ้านช้ากว่าที่ควรจะเป็นขนาดนี้
แต่ไม่ใช่ เมื่อบนหน้าจอขึ้นชื่อกรุ๊ปไลน์เด่นหราว่า สายรหัสสุดขั้ว
เจอหมีให้แกล้งตาย เจอผู้ชายให้แกล้งเมา
เจอผู้หญิงอย่างมึง ผู้ชายต้องแกล้งตาย
เห็นกูเป็นหมีเหรอลุง
เห็นมึงเป็นผี!
อิเลว
น้องกอด พี่รหัสทักชื่อผมขึ้นมากลางวงสนทนา ทำให้ต้องรีบพิมพ์ตอบอย่างทุลักทุเล เพราะนอกจากจะเห็นนิ้วตัวเองแยกร่างได้แล้ว แป้นพิมพ์ยังซ้อนกันอีก
*ตับ
เอ๊ะ มันเป็นตับไปได้ยังไงกัน เมื่อกี้ผมกดคำว่าครับอ่ะ บ้าจริงๆเลย
ตับ ตับ ตับ ตับ
เงียบปากดิ๊
จ้าคนฝวย
ยัยหนู เมาป่ะเนี่ย *ย่าจะ
ผมจะพิมพ์คำว่าน่าจะนะ แป้นพังป่ะเนี่ย
เมาแน่นอนร้อยเปอเซง
ทำไรกันครับ ทำไมน้องกอดเมา
ระฆังดังเพราะคนตี เหล้าที่ดีทำให้คนเมา ขอบคุณค่า
พี่รหัสครับ
จ๋าปู่
พรุ่งนี้โดนตีแน่ๆครับ ยิ่งคุยยิ่งปวดหัว เพราะนอกจากตัวอักษรจะเล็กแล้ว มันยังซ้อนทบกันเป็นภาพสามมิติ ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง แต่สุดท้ายก็ต้องหยิบมันออกมาอีกเพราะมีสายเข้าจากคนที่เพิ่งจะตีกับปู่รหัสอยู่ในไลน์เมื่อกี้
“ครับ”
(อยู่ไหนยัยหนู)
“บนรถไฟฟ้า”
(ไปกับใคร)
น้ำเสียงห้วนๆของพี่รหัสทำให้ผมต้องเงยหน้ามองพี่กันโดยอัตโนมัติ ถึงได้รู้ว่าคนตัวสูงมองอยู่ก่อนแล้ว
“มาคนเดียว”
(อย่าโกหก พี่เห็นว่าไปกับผู้ชาย เพื่อนเหรอ ไม่เคยเห็นเลย)
กลืนน้ำลายดังเอื้อก ลังเลใจว่าจะตอบยังไงดี
เขาไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นคนที่ผมแอบชอบ
เหมือนคิดนานไปหน่อย คนตัวสูงถึงได้ยื่นมือมาตรงหน้าเหมือนจะขอโทรศัพท์มือถือ แล้วผมก็ดันยื่นให้เขาง่ายๆ พี่กันรับไปแล้วกรอกเสียงโมโนโทนของเขาลงไป
“สวัสดีครับ”
“ครับ น้องมันเมา ผมเลยจะพาไปส่งบ้าน แค่นี้นะครับ”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมเป็นผู้ชาย มันแกล้งเมาอ่ะถูกแล้ว”
พี่กันยื่นโทรศัพท์กลับคืนมาให้ในขณะที่ผมยังคงมึนงงกับคำพูดของเขา ปลายสายวางไปแล้ว ผมขมวดคิ้วมองหน้าพี่กัน พยายามเรียบเรียงคำพูดเมื่อกี้ให้เข้าใจง่ายมากขึ้น
“ทำไมต้องแกล้งเมาอ่ะ”
“เมาจริงๆมันไม่เท่”
“เหรอ”
มีอีกสิ่งหนึ่งที่อยากถามเขา เพราะได้ยินเพียงแค่แวบเดียวก็ใจเต้นเป็นบ้าเป็นบออยู่นี่
“จะไปส่งที่บ้านเหรอ”
“แล้วเมามั้ย ถ้าเมาจะไปส่ง”
“งั้นแกล้งเมาก่อนนะ”
หึ
แอบได้ยินเสียหัวเราะเบาๆหลุดมาจากลำคอของเขา
“อย่างมึงอ่ะ ไม่ต้องแกล้งกูก็ส่ง”
คำพูดของเขาชัดเจนอยู่ในหัว ดังก้องไปมา
“เหรอ”
“หยุดยิ้มเลยไอ้ตัวนิ่ม”
“แหะๆ” ก็คนมันดีใจจนจะบ้า
ถ้าเมาแล้วพี่กันตามใจแบบนี้ แกล้งเมาทุกวันเลยก็ได้
ไม่เคยมีวันไหนที่ลงสถานีนี้แล้วมีความสุขเป็นบ้าเป็นบอเท่าวันนี้ อยากจะกระโดดโลดเต้นไปมา อาจจะเป็นเพราะว่าเพียงแค่วันเดียว สามารถทำสิ่งที่อยากทำกับเขาได้ถึงสองอย่าง
อย่างแรกคือขึ้นรถไฟฟ้าด้วยกัน
อย่างที่สองคือกลับบ้านพร้อมกัน
“เออ พวกมึงกินกันก่อนเลย” พอเหยียบสถานี คนตัวสูงก็ต่อสายหาเพื่อนแทบจะทันที
“เลทประมาณครึ่งชั่วโมงว่ะ”
“เออ กูพาตัวนิ่มกลับบ้านก่อน”
สรุปว่าผมเปลี่ยนสถานะกลายไปเป็นตัวนิ่มแล้วใช่ไหม
“ตัวนิ่มมันน่ารักยังไง” บ่นพึมพำกับตัวเอง ขาก็ก้าวเดินไปตามบันไดทางลง ฝ่ามือหนักๆของใครอีกคนวางลงบนหัวของผมแล้วผลักเบาๆ นอกจากจะใจบาปแล้ว คนๆนี้ยังโรคจิตชอบทำร้ายร่างกายชาวบ้าน ถ้าผมตกบันไดลงไปตาย พี่กันจะต้องชดใช้
“ไม่น่ารัก”
“งั้นก็เปลี่ยน”
“ไม่เปลี่ยน”
หันมองเขาตาขวาง
“ตัวนิ่มอ่ะดีละ”
ไม่พูดเปล่า ดันยื่นมือมาดึงแก้มผมซะจนเซไปหาเขา
“นิ่มๆอ่ะน่ากอด”
ผมหยุดเดินแล้วปล่อยให้พี่กันเป็นฝ่ายนำออกไป คนตัวสูงหันหลังมาทำท่าจะเป็นฝ่ายเดินตามผม แต่ผมรีบหมุนตัวเขา ผลักแผ่นหลังของเขาให้เดินนำหน้า
ขืนเขาหันกลับมามองตอนนี้ล่ะก็
เขาคงจะหัวเราะเยาะ ที่ผมไม่สามารถซ่อนความดีใจเอาไว้ได้
ฝ่ามือของผมสัมผัสกับแผ่นหลังของคนตัวสูง ผลักเขาเดินตามฟุตบาทไปเรื่อยๆก่อนจะเลี้ยวเข้าที่ซอยเบอร์หก ไม่ไกลจากตัวสถานีรถไฟฟ้าเท่าไร พอเดินเข้ามาในซอยผมถึงได้สังเกตเห็นว่า ฝ่ามือของผมเมื่อวางลงบนหลังของเขา มันเล็กนิดเดียว
เขาเหมือนหมีตัวโตๆ ผมวาดภาพไว้แบบนั้น
พลางคิดเพ้อเจ้อไปว่า ผมไม่อยากเป็นจุดเล็กๆในชีวิตของผู้ชายคนนี้เลย
เพราะตอนนี้พี่กัน เป็นจุดใหญ่ๆในชีวิตของผม ที่ผมไม่สามารถมองผ่านไปได้
“เลิกดันหลังกูได้ยัง ไอ้ตัวนิ่ม”
“ก็ได้” ถอนฝ่ามือของตัวเองออก แล้วติดสปีดเดินให้ทันเขา
เราสองคนเดินอยู่ข้างๆกันในซอยเปลี่ยว มีเพียงแค่แสงไฟจากหลอดตะเกียบที่ให้ความสว่างเป็นหย่อมๆ บ้านผมอยู่ไม่ไกลจากตัวถนนใหญ่ ดังนั้นเวลากลับบ้านทีไรก็จะชอบเดินแบบนี้คนเดียว มีรถผ่านไปผ่านมาบ้าง แต่ก็ไม่วุ่นวาย
เดินตอนกลางคืนลมเย็นๆมันสบายใจดีครับ แม้จะโดนเพื่อนสนิทบ่นบ่อยๆว่ามันอันตรายก็เถอะ แต่เดินมาตั้งแต่เด็กก็ยังไม่เคยเจออะไรนะ
“มึงเดินกลับบ้านแบบนี้คนเดียวเหรอ”
“อือ”
“ถามจริง?”
“ผมก็ตอบจริงๆนะ” มีตรงไหนที่ไม่น่าเชื่อเหรอ
“กวนกูอีก”
“ก็เดินแบบนี้บ่อยๆอ่ะ ผมชอบเดิน”
“แล้วกลับบ้านวันไหนบ้าง”
“ช่วงนี้ก็เฉพาะศุกร์เสาร์อาทิตย์ ถ้าปิดเทอมก็กลับมาอยู่บ้าน วันไหนไม่มีเรียนเช้าก็จะกลับอ่ะ” เป็นประโยคที่ร่ายยาวที่สุดตั้งแต่คุยกับเขามา
ไม่รู้สิ ปกติผมเป็นคนสร้างบรรยากาศการสนทนาได้ยอดแย่ถึงขั้นติดลบ พูดง่ายๆก็คือเป็นคนทำเดดแอร์เก่ง ใครชวนคุยมาก็ตอบไปเป็นมารยาทเสร็จแล้วก็หยุดพูดไปซะอย่างนั้น ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร กลายเป็นทำให้อีกฝ่ายเบื่อ
พอมาอยู่กับพี่กันแล้ว มีหลายเรื่องที่อยากจะพูด เรื่องไร้สาระก็อยากพูด เรื่องมีสาระก็อยากคุย เรื่องส่วนตัวก็อยากถาม กลายเป็นเจ้าหนูจำไมอย่างที่เขาว่านั่นแหละ
“แล้วก็จะกลับดึกๆแบบนี้เหรอ”
“ใช่”
“ไม่กลัวหรือไง”
“ไม่อ่ะ ไม่มีผีหรอก”
“กูไม่ได้หมายถึงผี กูหมายถึงโจร”
“พี่อ่ะเหรอ”
พี่กันตีหน้ามึน
“ไรวะ”
โจรขโมยหัวใจไง
ไม่พูดออกไปหรอก พูดออกไปเดี๋ยวจะมีคนหัวใจวาย
“พี่กัน”
“เรียกชื่อกูอีกแล้ว”
เอ้า แล้วถ้าไม่อยากให้เรียกชื่อ เขาจะมีชื่อไปทำแมวอะไรอ่ะ
“ไอ้หมีโฉด”
“เออดีกูชอบหมี”
เอ้อ ประหลาดคน เรียกชื่อดีๆไม่ชอบ ชอบเป็นหมี
จะว่าไป เขาคงจะชอบหมีมากๆสินะ แถมเป็นหมีบราวน์หัวกลมหน้าเดียวด้วย ผมว่าผมเคยสังเกตเห็นพวงกุญแจที่เขาห้อยติดกระเป๋ากีฬา
ความชอบของเขาทุกอย่าง ผมจดบันทึกไว้ในส่วนลึกของสมอง
“ผมชอบกระต่าย”
“อยากให้กูเรียกมึงน้องต่ายว่างั้น”
“ใช่”
“ตัวนิ่ม”
“ไอ้…”
“น่ะๆ หยุดเลย กูเป็นพี่มึงนะ”
“ครับ”
พูดพลางเบะปากใส่เขาแบบกวนประสาท เลยโดนผลักหัวไปอีกรอบ
เดินไม่นานก็ถึงหน้าบ้านเดี่ยวหลังเล็กๆ มีสนามหญ้าอยู่ในตัว ตัวบ้านปิดไฟมืดแล้วบ่งบอกว่าแม่ผมคงหลับไปแล้วแน่ๆ พรุ่งนี้เขาทำงานแต่เช้านี่เนอะ พอเปิดรั้วออกผมก็เดินเข้าไปเปิดไฟโรงรถที่มีรถเก๋งสีขาวจอดอยู่ หน้าประตูบ้านมีกรงนกแก้วกรงเล็ก มีนกแก้วสีเขียวสลับแดงหน้าตาน่ารักอยู่ข้างใน แม่บอกว่าเลี้ยงไว้แก้เหงาเวลาผมไม่อยู่บ้าน
หันไปมองใครอีกคนที่ยืนสำรวจบ้านผมอยู่ไม่ยอมขยับไปไหน
“พี่กัน”
“บอกว่าอย่าเรียกชื่อ”
“ก็อยากเรียกอ่ะ” เขาทำหน้าไม่พอใจอีกแล้ว
ยังไงก็จะเรียกไปเรื่อยๆจนกว่าเขาจะชอบ ตั้งใจไว้ว่าแบบนั้น
“มีไร”
“เข้ามานั่งเล่นก่อนมั้ย แม่หลับไปแล้ว”
“ไม่อ่ะ กูมีนัดกับเพื่อน จำได้มั้ย”
อ่อ … ผมดันลืมไปซะสนิทเลยว่าเขานัดกินข้าวกับเพื่อนฝั่งนี้
แต่แค่นี้ก็พอแล้ว แค่ได้ขึ้นรถไฟฟ้ากับเขา ได้เดินกลับบ้านพร้อมกับเขา แค่นี้ผมก็สามารถอยู่ต่อไปได้อีกสามสี่วันโดยที่ไม่ต้องเจอเขา มันอิ่มเหมือนกับได้กินข้าวตุนเอาไว้ในพุง แต่กับเขา ผมตุนความรู้สึกดีๆเหล่านี้เอาไว้ในใจ จนมันล้นแล้วล้นอีกก็ยังไม่รู้สึกพอ
คนตัวสูงเพิ่งจะสังเกตเห็นนกแก้วที่แม่ผมเลี้ยงเอาไว้ เลยสนอกสนใจเข้ามาดูใกล้ๆ เขาน่าจะเป็นประเภทชอบสัตว์ หลังจากที่เคยเห็นเขาพูดกับหมาเป็นเรื่องเป็นราวมาแล้ว
ซักวันคงไปเที่ยวสวนสัตว์กับเขา เพราะผมเองก็ชอบสัตว์เหมือนกัน
“มีชื่อป่ะ”
“กอด”
“ห๊ะ”
“แม่ผมตั้งชื่อให้เหมือนผมอ่ะ เวลาเหงาๆก็เหมือนมีลูกอยู่ด้วย”
เขาพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ นิ้วเรียวๆลูบเบาๆลงบนหัวของกอดเวอร์ชั่นสอง
“มันคือกอดเวอร์ชั่นสอง”
“เหรอ … แต่กูชอบเวอร์ชั่นแรกมากกว่า”
กระพริบตาปริบๆมองเขา ใครอีกคนไม่ได้หันมามองว่าผมจะทำหน้าแบบไหน หากแต่สนใจอยู่กับนกแก้วตัวอ้วนพีเหมือนมันน่ารักนักน่ารักหนา
ผมเอามือแนบแก้มของตัวเองที่ร้อนผ่าวๆเหมือนซึ้งนึ่งซาลาเปา วันนี้รู้สึกหูชักจะฟังอะไรเพี้ยนๆเยอะเกินไป คงเป็นเพราะเมาแน่ๆ ใช่ ผมเมานั่นแหละ
“มันพูดได้ป่ะ”
“พูดได้ แต่ต้องนำทางมันหน่อย” ยื่นหน้าไปใกล้ๆไอ้กอดเวอร์ชั่นสองแล้วพูดเบาๆ “แก้วจ๋า”
“แก้วจ๋า!”
“เช้ด แจ่ม” พี่กันหัวเราะออกมาเหมือนเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ ผมยืนมองเขาเงียบๆ
รอยยิ้มของผู้ชายตรงหน้าเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง การเห็นเขามีความสุขมันทำให้ผมมีความสุขมากๆเช่นกัน ผมเคยบอกว่ายิ้มมุมปากของเขาเหมือนกระสุน ดังนั้นยิ้มกว้างๆของเขาก็คงจะเป็น…
กระสุนสามพันนัดพุ่งทะลุร่างในคราเดียว
เวอร์ไปมะ
ไม่หรอก
“แก้วจ๋า สวัสดีจ๊ะ กอดกอด”
“เออน่ารักว่ะ”
“แก้วจ๋า กอดกอด”
แล้วเขาก็เกาหัวเกาคอกอดเวอร์ชั่นสองอย่างสนุกมือ เล่นจนพอใจ จนกระทั่งเพื่อนของเขาโทรตามยิกๆนั่นแหละเจ้าตัวถึงจำต้องหยุดเล่น ถึงจะหยุดเล่นแต่ก็ยังเอามือไปคลอเคลียนกแก้วตัวโปรดของแม่ไม่ยอมหยุด
“ไปละ พรุ่งนี้เจอกัน”
ผมที่กำลังรู้สึกเสียดายว่าต้องจากกันอีกแล้วสินะถึงกับเงยหน้ามองเขา สีหน้าจริงจังนั่นบ่งบอกว่าเขาไม่ได้พูดเล่น
เจอกันเหรอ
ทั้งๆที่แค่วันนี้วันเดียว ก็ทำให้คลายความคิดถึงเขาไปได้อีกหลายวัน
แต่พอพูดแบบนี้แล้ว ก็อยากเจอเขาทุกๆวันเลย
“ที่ไหนอ่ะ”
“บอกก็รู้ดิ”
อ้าว ไอ้พี่บ้า
“พรุ่งนี้กูมีเตะบอลตอนหกโมงเย็น”
เผลอยิ้มออกมาอีกแล้ว พยายามจะซ่อนมันไว้ แต่ก็ห้ามไม่ได้จริงๆ
“ฝันดีตัวนิ่ม”
“ฝะ…”
พูดยังไม่ทันจบ ไอ้กอดเวอร์ชั่นสองก็พูดแทรกขึ้นมา
“ฝันดีจ้า ฝันดีจ้า รักกัน กอดกันน๊า” หน้าผมร้อนฉ่าขึ้นมาแบบหยุดไม่อยู่ คนตัวสูงชะงักไปแล้วหันมามองผม
ลืมไปเลยว่าผมชอบพูดทักทายกับมันแบบนี้เสมอเวลาก่อนนอน ซึ่งไอ้คำว่ารักกัน กอดกันเนี่ย เมื่อก่อนมันเป็นเรื่องปกติเวลาได้ยิน แม่ก็ชอบพูดประโยคนี้กับมันบ่อยๆ
แต่มันไม่ปกติก็เพราะตอนนี้ ผมแอบชอบผู้ชายที่มีชื่อว่า
‘กัน’
ซึ่งผู้ชายชื่อกัน ก็ยืนอยู่ด้านหน้า
“รักกัน กอดกันน๊า” แล้วมันก็ไม่ยอมหยุดพูดด้วย ไอ้กอดเวอร์ชั่นสอง ไอ้นกบ้า
“มึงสอนมันเหรอ” เขาเอ่ยถาม
ตอบไงดี ตีมึนไปก่อนดีมั้ย
“เปล่า”
“เหรอ”
“อือ”
เราสองคนจ้องตากันอยู่นาน ไอ้นกบ้าก็ไม่ยอมหยุดร้องสักที ผมเม้มริมฝีปากของตัวเอง ใจเต้นรัวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“กอดกัน” น้ำเสียงโมโนโทนดังออกมาแผ่วเบา แต่ผมกลับได้ยินชัดเจน
“…”
“ก็น่ารักดี” พูดจบก็จ้องมองมาที่ผมไม่วางตา เหมือนจะรอดูปฏิกิริยาตอบสนองว่าผมจะไปทางไหนต่อ สายตาสงบนิ่งของเขา ทำให้หน้าผมร้อนฉ่าจนต้องเอาฝ่ามือสองข้างมาปิดใบหน้าของตัวเอง
ตาย
ตายแล้ว
ผมกำลังจะตาย
“กอด”
สะดุ้งเบาๆเมื่อโดนเรียกชื่อ ไม่รู้หรอกว่าพี่กันจะรู้สึกแบบเดียวกันหรือเปล่า แต่พอเวลาโดนเรียกชื่อทีไร หัวใจก็เต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอก นับเป็นคำต้องห้ามเลยก็ว่าได้
แต่ก็ดันรู้สึกดีเป็นบ้า เวลาเขาเรียกชื่อออกมาแบบนั้น
ทั้งชอบทั้งเกลียด เป็นความรู้สึกประมาณนั้นเลย
“เป็นอะไร”
“…”
“ตัวนิ่ม”
“แกล้งตายอยู่”
“นั่นท่าแกล้งตายของมึงเหรอ”
พยักหน้าตอบเขาเบาๆทั้งๆที่ยังปิดหน้าตัวเองอยู่
ให้เขาเห็นไม่ได้หรอกว่ากำลังยิ้มกว้างอยู่ เขินตายเลย
“กูเป็นหมีดุนะ”
“พี่จะฆ่าผมเหรอ” ลดระดับมือลงเล็กน้อยเพื่อสบตากับเขา พี่กันส่งยิ้มจางๆมาให้
“อือ”
“จริงเหรอ”
“เออ
เอาให้ตายคาอกเลย”
ทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างหมดแรงที่จะต่อต้านผู้ชายคนนี้ นั่งกอดเข่าอยู่เงียบๆคนเดียวพร้อมกับเสียงหัวเราะทุ้มนุ่มเบาๆที่ลอยมาจากที่ไกลๆ
“ฝันดี ไอ้กอด”
เสียงฝีเท้าไกลออกไปพร้อมกับผมที่ค่อยๆเงยหน้ามองแผ่นหลังกว้างๆของพี่กัน
ฝันดีครับ
พี่กัน
คุณหมีของผม
// เจอหมีให้แกล้งตาย เจอผู้ชายให้แกล้งเมา
ถ้าเจอหมีผู้ชายอย่างพี่กัน ก็ขอตายคาอกก็แล้วกันค่ะ ฮืออ
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_