ต่อ...คิ้วหนาของตรีเพชรขมวดเข้าหากันอย่างคนกำลังใช้ความคิด แววตาจริงจังของเขาฉายแววเครียดตัดสินใจไม่ถูก ชายหนุ่มลูบไล้คางอย่างเผลอไผล สักพักเขาก็ถอนหายใจออกมาเสียดื้อๆทำเอาคนที่นั่งข้างๆพาลเครียดไปด้วย
“ถ้าตัดสินใจยากนักก็ตามน้องวามาช่วยเลือก” พลอยลดาพูดกับน้องชายที่กำลังดูแบบการ์ดเชิญงานหมั้น ตรีเพชรนั่งเลือกอยู่
พักใหญ่แล้ว ไม่เห็นว่าจะมีอันไหนถูกใจเขาสักที
“ไม่ทันแล้วเจ้ ผมก็ลืมคิดว่าควรพานาวามาด้วย”
“โทรลากเจ้มาแต่เช้าเพราะจะเร่งพิมพ์การ์ดเชิญ แต่พอถึงเวลาเลือกแบบการ์ดดันคิดไม่ออกซะงั้น”
“มันต้องเลือกดีๆหน่อย ผมไม่อยากให้ใครมาว่าเอาทีหลังว่าจัดงานหมั้นทั้งทีการ์ดเชิญก็ไม่สวย”
“จ่ะๆ แล้วมานี่บอกนาวาหรือยัง ตกลงกันแล้วหรือไงว่าจะใช้ที่ไหนจัดงาน มันต้องพิมพ์แจ้งในบัตร” พลอยลดาถามน้องชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่ได้บอกหรอก ไม่รู้ตอนนี้ตื่นหรือยัง”
“งั้นที่เมื่อคืนไม่หายออกไปจากบ้านเพราะไปหอนาวามา? เพชรไปมาหาสู่กันน่ะเจ้ไม่ว่าหรอกนะ แต่ดูกาลเทศะบ้างออกไปหาดึกๆแบบนั้น น้องวาจะเสียหาย”
“เจ้หัวโบราญจังเลยว่ะ อีกอย่างผมไม่ทำอะไรน้องวาของเจ้หรอก” แต่ภาพการลงโทษและสัมผัสอุ่นวาบไม่เคยจางหายไปจากปลายนิ้ว ตรีเพชรสะบัดไล่ความคิดและภาพเปล่าเปลือยของนาวาออกไปจากสมองก่อนที่เขาจะไม่เป็นอันทำอะไร
“แน่ใจเรอะ เพราะแผลที่มุมปาก กับผ้าพันแผลที่มือขวามันเหมือนจะบอกอะไรเจ้บางอย่างนะ” พลอยลดาส่งสายตารู้ทันให้ตรีเพชร
“แผลพวกนี้ไม่เกี่ยวกับน้องวาของเจ้หรอกไม่ต้องห่วง แต่มันเกี่ยวกับเรื่องที่ผมต้องรีบพิมพ์บัตรให้เสร็จภายในวันนี้”
“ทำไม อะไรรบเร้าเราขนาดนั้นเหรอเพชร”
“เอาเป็นว่าเพราะน้องวาของเจ้มีคนมาหลงจนโงหัวไม่ขึ้น ผมเลยต้องเอาการ์ดงานหมั้นไปเตือนให้มันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“ไม่แปลกหรอก นาวาเป็นเด็กน่ารักขนาดนั้น ทั้งนิสัย หน้าตา ชาติตระกูล ยิ่งพอได้คุยได้รู้จัก ใครๆก็ต้องเกิดความสนใจ ต้องมีคนชอบบ้างเป็นเรื่องธรรมดา”
“ชอบน่ะได้ แต่อย่าได้หมายมายุ่งยุ่มย่าม ผมไม่ปล่อยให้อยู่สุขแน่”
“หึหึ”
“เจ้ขำอะไร คนกำลังหงุดหงิด”
“ก็เจ้ขำคนที่ไม่อยากจะหมั้นน่ะสิ แถมยังเคยหนีหัวซุกหัวซุนอีกต่างหาก แล้วเป็นไงท้ายที่สุดก็มานั่งเลือกการ์ดอยู่เนี่ย”
“เหอะน่า” ตรีเพชรเริ่มรู้สึกอาย “ตอนนั้นผมแค่ตกใจ”
“แล้วตอนนี้ล่ะ ชอบเขาแล้วว่างั้น”
“เปล๊า” ตรีเพชรรีบปฏิเสธเสียงหลง “ใครชอบ ไม่ซหน่อย ผมแค่ไม่พอใจให้คนมายุ่งแค่นั้นเอง”
“หึหึ ปากแข็งจริงนะ เราน่ะทั้งชอบเขาทั้งหวงเขาออกขนาดนี้”
“เจ้พูดอะไรไม่รู้เรื่อง รีบๆช่วยเลือกการ์ดเลย ผมจะได้รีบเอาไปแจก”
“ก็ได้ๆ ปากแข็งให้มันตลอดนะ” พลอยลดาเหน็บน้องชายก่อนหันมาสนใจแบบการ์ดเชิญที่พนักงานเว็ดดิ้งสตูดิโอชื่อดังที่สุดของเมืองไทยนำมาวางไว้ให้ “แล้วตกลงจะจัดงานหมั้นที่ไหน”
“ผมเอาโรงแรมใหม่ในเครือตรงสุขุมวิท”
“โรงแรมตรงสุขุมวิทเหรอ แต่เลขาเจ้บอกว่ามีมาเปรยๆว่าจะขอห้องจัดเลี้ยงใหญ่ไปถ่ายละคร”
“แล้วไงผมต้องสนเหรอ? ใครจะจองแคนเซิลให้หมด ผมไม่ยกให้”
“ตกลงว่าจะจัดงานใหญ่ใช่ไหม นาวาเขาอยากได้งานเงียบๆนะ” พลอยลดาเอ่ย
“แต่มันเป็นงานหมั้นผมเหมือนกัน น้องวาของเจ้ก็ใช่ย่อยไปไหนคนมองตามกันเป็นพรวน จัดงานใหญ่ๆแหละดีแล้วคนเขาจะได้รู้ว่าคนนี้ยุ่งไม่ได้”
“จ้าๆ พ่อคนขี้หวง หึหึ”
ตรีเพชรเลิกสนใจพลอยลดา ชายหนุ่มหันมาคุยกับพนักงงานเว็ดดิ้งเพลนเนอร์ “คุณครับ แบบนี้สวยสุดแล้วเหรอ ผมอยากได้เรียบๆแต่ดูดี อ้ออย่างในแบบอันนี้น่ะ สีมันชมพูไปผมไม่ชอบ อยากได้เป็นสีเหลือบมุกละมุนตา ตัวอักษรพิมพ์ออกเหลือบทองก็ได้ ขอเป็นการ์ดเชิญภาษาอังกฤษแล้วกันจะได้เชิญแขกคู่ค้าของพวกเราได้ ส่วนเรื่องกระดาษผมอยากได้ที่มีกลิ่นกุหลาบจางๆ…..” แล้วตรีเพชรก็ร่ายยาวถึงการ์ดเชิญที่เขาอยากได้ ท่ามกลางรอยยิ้มของพี่สาว
*******
เก้านั่งกอดออก จ้องนาวาไม่วางตา เอ็มปั้นหน้าเมินเฉยมองเลยไปเหมือนนาวาไม่มีตัวตน แบงค์หน้างอแสดงอาการงอนขัดเคืองใจ นิสานั่งไขว่ห้างตะไบเล็บมือไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เห็นดังนั้นนาวาจึงเข้าใจได้ว่าเพื่อนๆทุกคนยังคงไม่พอใจ เด็กหนุ่มถอนหายใจเบาๆ แล้วนั่งตรงฝั่งตรงข้ามเพื่อมองเพื่อนแต่ละคนได้ถนัด
“เอ่อ คือ… กูมีเรื่องจะบอกพวกมึงว่ะ” นาวาเริ่มพูดหลังจากเห็นท่าทีแล้วคงไม่มีใครยอมเอ่ยปากอะไรแน่
สายตาทุกคู่ของเพื่อนหันมาสนใจนาวา แต่ก็ยังไม่มีใครพูดอะไร
“กูกำลังจะหมั้น” นาวาบอก
“พวกกูรู้ พี่เพชรประกาศชัดขนาดนั้น” แบงค์พูด แต่สีหน้ายังคงงอนไม่พอใจ “ถ้าไม่รู้จากพี่เพชรก็คงจะเซอร์ไพรส์เอาตอนวันหมั้น มีอะไรมึงไม่คิดจะบอกพวกกูอยู่แล้วนิ”
“กูเปล่า…” นาวาพยายามคิดหาเหตุผล “กูแค่ไม่กล้าบอก กูอายนะเว้ยต้องหมั้นกับผู้ชาย แถมเป็นไอ้ตี๋อีกต่างหาก พวกมึงได้ล้อกูจนลูกบวชแน่ๆ”
“แน่ใจเหรอว่าแค่อายไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น ข่าวซุบซิบเขียนจั่วกันให้รึ่ม ‘ไฮโซ พ. อาจเตรียมสละโสดเพราะต้องหมั้นหมายกับทายาทตระกูลดังตามใจคุณหญิงย่าที่ไฟเขียวให้ว่าที่หลานสะใภ้ งานนี้ดันกันสุดๆวงในกระซิบมาว่าคุณหญิงย่าปลื้มหลานสะใภ้คนนี้มาก’ หึ ถ้าฉันไม่อ่านข่าวซุบซิบแวดวงไฮโซบ้างตอนอยู่ข้างล่างเมื่อกี้ก็คงเอ๋อรับประทาน” นิสาวางตะไบเล็บแล้วหันมาสนใจคำตอบจากนาวา
“ไอ้สาทำไม ตอนอยู่ข้างล่างเกิดอะไรขึ้น” แบงค์ถามนิสา
“ก็ไม่ทำไมหรอกค่ะคุณ กะอีแค่ฉันเพิ่งจะรู้ว่าเพื่อนแกเป็นท่านประธานใหญ่ของดรุณเอสเตส งานนี้รองประธานหนุ่มมาหาเพื่อนแกด้วยตัวเองเลยนะ แต่บังเอิญว่ามีเหตุแฟนสาวของท่านรองนิดหน่อยเลยได้ปะทะอารมณ์กันไปพอหอมปากหอมคอ” นิสาแจกแจงอธิบาย “พึงระลึกไว้เถอะว่าคอนโดนี้ก็ของเพื่อนแก บริษัทอังสังหาใหญ่โตนั่นก็ของเพื่อนแก คนที่ไม่เคยคิดจะบอกอะไรเลยน่ะ”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นสา อย่าเพิ่งพูดแบบนั้นสิ” นาวาออดอ้อน
“ตอนม.ปลายพวกกูเคยถามเรื่องนามสกุลมึง จำได้ไหม” เอ็มย้อนถามนาวา “พวกเราอยากรู้เพราะมันคุ้นๆคล้ายๆกับของตระกูลเจ้าพ่ออสังหา แต่มึงเฉไฉตอบว่าไม่เกี่ยวกัน พวกกูเลยไม่ติดใจอะไรแต่นี่ข่าวก็บอกว่าพี่เพชรหมั้นกับทายาทตระกูลดัง อะไรกันวะ มึงเป็นใครกันแน่นาวา บอกพวกกูให้หายโง่สักทีเถอะ พวกกูห่วงมึงจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
“กูขอโทษ” นาวารู้สึกไม่ดีที่มีอะไรไม่ยอมบอกเพื่อน
“นาวา” เสียงของเก้าเรียบจนน่าใจหายแต่น้ำเสียงนั้นก็แฝงความน้อยใจเสียใจไปในความนิ่งที่นาวาได้ยิน เด็กหนุ่มรู้ได้ทันทีว่าเก้ากำลังเสียใจ เพื่อนคนแรกของเขากำลังน้อยใจ “มึงยังจำตอนพวกเราหลงป่าตอนม.สามได้ไหม ที่มึงบอกว่าพวกเราเหมือนเป็นครอบครัวมึงเพราะเราผ่านทุกข์ผ่านสุขมาด้วยกัน กูอยากรู้จริงๆว่าตอนนั้นมึงแค่พูดให้พวกกูหลงดีใจหรือมึงหมายความอย่างนั้นจริงๆ มึงรู้ไหมตั้งแต่วันนั้นมาสำหรับกู กูยิ่งห่วงมึงเข้าไปใหญ่ คิดว่ามึงก็เป็นครอบครัวของกูจริงๆ แต่พอมาวันนี้มีอะไรทำไมมึงถึงยังปิดบังกัน ถ้าพวกเราเป็นครอบครัวของมึงจริงๆมึงน่าจะบอกให้พวกเรารู้เป็นคนแรกๆไม่ใช่หรือไง บางทีกูก็อดน้อยใจไม่ได้ เพราะตั้งแต่พี่เพชรเข้ามา มึงเริ่มมีความลับกับพวกเรา รู้ไหมตอนที่รู้ว่ามึงโดนลอบทำร้ายพวกกูตกใจกันแค่ไหน คนปาอิฐใส่มันคงไม่ใช่แค่ขู่ เหมือนกับตอนม.ห้าที่มีคนตั้งใจทำร้ายมึง เรื่องใหญ่ขนาดนี้มึงยังเก็บเงียบไม่ปริปาก ที่อยากรู้เรื่องของมึงไม่ใช่เพราะพวกกูสอดรู้สอดเห็นหรอกนะเว่ย พวกกูแค่เป็นห่วง พวกกูอยากช่วยเหลือมึง เพราะอย่างน้อยๆสำหรับกูมึงคือคนในครอบครัว”
น้ำตาคลอเบ้าตาสีสวยของนาวา เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนมีก้อนบางอย่างจุกและหน่วงอยู่ตรงทรวงอก ความรู้สึกที่ว่าเพื่อนๆเป็นประหนึ่งครอบครัวไม่เคยจางหายไปไหน นับวันมันยิ่งทบทวีเป็นความผูกพันที่แสนแน่นแฟ้น แต่เรื่องราวผ่านมาที่เขาไม่พูดไม่ใช่เพราะไม่ให้ความสำคัญกับเพื่อนๆ แต่ไม่อยากให้มาเดือดร้อนด้วยต่างหาก ไม่อยากให้มากังวลในสิ่งที่เขาเองก็ไม่แน่ใจ
“เก้า… ทุกคน… กูขอโทษ” นาวาพยายามกลั้นน้ำตาไว้ “ที่กูมีอะไรไม่ยอมบอกพวกมึงเพราะไม่อยากให้เป็นห่วง ไม่อยากให้ใครมาเครียดแทนกู แต่ตอนนี้กูเข้าใจแล้ว กูจะบอกพวกมึงทุกอย่าง”
“งั้นก็พูดมาพวกกูจะรับฟัง แต่ต่อไปนี้มึงต้องบอกพวกกูทุกอย่างนะวา อย่าให้พวกกูกังวลอยู่ฝ่ายเดียว” เอ็มเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
นาวาจึงเริ่มต้นเล่าที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนฟัง
“จริงที่กูเป็นทายาทตระกูลดรุณาทร พ่อกับแม่แต่งงานกันหลังเรียนจบใหม่ๆจากนั้นพวกเขาก็มีกู แต่แม่เล่าว่าหลังจากที่กูสองขวบ พ่อก็พาผู้หญิงอีกคนมาพร้อมกับเด็กทารก เขาบอกว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกชายอีกคนของเขา แถมผู้หญิงคนนั้นยังมีลูกติดเป็นเด็กชายวัยราวๆเจ็ดขวบคนนึง คนในบ้านเล็กของพ่อก็เลยได้อยู่เรือนหลังเล็กของที่บ้าน ถึงคุณย่าจะไม่พอใจที่คุณพ่อทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาท่าน แต่ถึงอย่างไรเด็กคนนั้นก็เป็นหลานของท่านอีกคน คุณย่าเลยไม่ได้ว่าอะไรมากนัก เพราะงั้นตั้งแต่ที่กูจำความได้ก็เลยเห็นครอบครัวแตกแยกไปเรียบร้อยแล้ว
พี่เติร์กเป็นลูกติดของแม่เลี้ยงกู วรากรเป็นน้องชาย ทุกครั้งที่พวกเราสามคนเล่นด้วยกัน กูไม่เข้าใจมากนักหรอกว่าทำไมถึงชอบโดนน้องชายแกล้ง บางครั้งพี่เติร์กก็ช่วยไว้ทัน บางครั้งเขาก็ไม่เห็น พอเป็นแบบนี้มากเข้าพ่อกับแม่กูก็เริ่มทะเลาะกัน พ่อหาว่าแม่ถือข้างกูเกินไปบ้างล่ะ ว่ากูเป็นฝ่ายจงใจแกล้งวรากรบ้างล่ะ กูเป็นเด็กกูยังรู้สึกได้ว่าพ่อรักน้องมากกว่า ทั้งบ้านมีแค่แม่กับคุณย่าเท่านั้นที่ดูเหมือนจะสนใจกูจริงๆ จนในที่สุดเหมือนแม่จะทนไม่ไหวเลย เลยพากูออกมาจากบ้านหลังนั้นตอนเก้าขวบพอดิบพอดี พวกเราย้ายไปอยู่เชียงใหม่ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น
ตอนที่พวกมึงถามว่ากูเป็นอะไรกับคนบ้านนั้น แล้วกูบอกไปว่าไม่เกี่ยวข้องกันก็เป็นจริงตามนั้น เพราะกูกับแม่ออกมาจากที่นั่นแล้ว ไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันอีก อีกอย่างพ่อกูเองยังไม่มาสนใจใยดีอะไรเลย มีแต่คุณย่าที่พอรู้ว่ากูย้ายกลับมาอยู่ในกรุงเทพก็หมั่นแวะมาหา คะยั้นคะยอให้กูกลับไป กูปฏิเสธทุกอย่างที่คุณย่าเสนอให้ คอนโด รถ เงิน ของฝากอะไรก็ตามที่คุณย่าหามาให้กูไม่เคยรับ กูสงสารแม่เพราะพ่อทำให้แม่เสียใจหลายครั้ง เพราะพ่อไม่เคยดูดำดูดีกู กูเลยตั้งใจตัดขาดกับคนที่นั่น จนกูบอกปัดไม่อยากเจอคุณย่า พยายามไม่ไปหา หลบหน้าไม่อยากเจอ
พอขึ้นม.ปลายเข้า หลายครั้งที่ไปเจอวรากรโดยบังเอิญตามที่เรียนพิเศษ คำพูดถากถางทุกครั้งที่เจอหน้ากันมันทับถมให้กูยิ่งเกลียดคนบ้านนั้นเข้าไปใหญ่ ทั้งแม่มัน ทั้งมันแย่งทุกอย่างที่ควรเป็นของกูไป พ่อสงเสริมให้พี่เติร์กเข้าทำงานในบริษัททันทีที่เรียนจบ ส่งวรากรไปเรียนไฮสคูลต่างประเทศ พาแม่เลี้ยงออกงานเป็นหน้าเป็นตา กูไม่เคยได้อะไรจากพ่อเลยสักอย่างนอกจากครั้งนั้นที่พ่อโทรศัพท์บอกว่าจะมาหา แต่พ่อก็ไม่เคยมาอีกเลย เพราะเขาประสบอุบัติเหตุแหกโค้งเสียก่อนจะได้มาเจอกู
แม่เลี้ยงกูรู้สึกจะไม่เสียใจที่พ่อตายด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่เธอเสียใจก็คงจะเป็นเพราะพ่อยังไม่ได้มรดกอะไรจากคุณย่าท่าน ทรัพย์สมบัติทั้งหมดยังอยู่ในนามของคุณย่า ย่าไม่เคยโอนอะไรนอกจากหุ้นบริษัทส่วนหนึ่งให้พ่อ เพราะลึกๆแล้วย่าเองก็รู้สึกผิดที่กูกับแม่ต้องออกมาเผชิญกับอะไรแบบนี้ จากนั้นย่ายังคงแวะเวียนมาหากูเรื่อยๆ กล่อมให้กูกลับไปอยู่กับท่าน พักหลังๆที่ย่ามาหากูรู้สึกได้ว่าท่านทรุดโทรมลงไป แต่กูไม่รู้หรอกว่าท่านเป็นโรคหัวใจ ครั้งสุดท้ายที่เจอท่านกูบอกท่านว่าไม่อยากได้อะไรของดรุณาทรอีก และไม่อยากรบกวนเจอท่านอีก นึกดูตอนนี้กูก็เสียใจพี่พูดกับท่านไปแบบนั้น
ไม่นานมานี้เป็นข่าวใหญ่ถึงการจากไปของคุณย่า กูรู้ข่าวเพราะบังเอิญเจอกับวรากรในห้าง มันมาหัวเราะเยาะ บอกว่าท้ายที่สุดทุกอย่างก็จะตกเป็นของมันคนเดียวซะที ตอนนั้นกูไม่สนเรื่องสมบัติอะไรนั่นเลย กูสงสารก็แต่คุณย่า ท่านป่วยอยู่คนเดียว คนพวกนั้นจะดูแลท่านหรือเปล่าก็ไม่รู้ กูไม่น่าปล่อยให้ย่าอยู่คนเดียวเลย
กูไม่มีโอกาสแม้จะไปงานเผาศพของคุณย่า เพราะพวกแม่เลี้ยงกูกีดกันทุกทาง ไปถึงวัดแต่โดนคนของเขากันออกมา แล้วอยู่ๆแม่กูก็ลงจากเชียงใหม่มาหา แม่บอกว่ามีคนมาคุยกับท่านเรื่องของกู แม่บอกว่าเพื่อนของคุณย่ามาสู่ขอกูให้หลานชายเขา บอกว่าคนคนนั้นคือตรีเพชร และทุกอย่างเกี่ยวข้องกับพินัยกรรมของคุณย่า แม่บอกว่ากูจะปลอดภัยถ้ามีพี่เพชร ตอนนั้นกูไม่รู้หรอกว่ากูจะอยู่ในอันตรายยังไง แต่พอเริ่มมีคนจงใจปาอิฐบล็อกใส่หัว กูเลยคิดได้ว่าชีวิตกูเริ่มไม่ปลอดภัย ต้องมีคนหวังร้ายอะไรสักอย่าง อาจจะเป็นเพราะกูเป็นทายาทคนโตของตระกูล หรือเพราใครบางคนต้องการจะฮุบสมบัติมากมายของคุณย่าเอาไว้ ตอนนี้กูไม่รู้อะไรเลย รู้แค่ว่ากูต้องระวังตัวขึ้นกว่าเดิม
วันเปิดพินัยกรรมกูเลยกลับบ้าน ไปที่นั่นอีกครั้ง ไปรับฟังความประสงค์ของคุณย่าเป็นครั้งสุดท้าย คุณย่ายกมรดกเล็กน้อยให้กับพวกนั้น แต่สมบัติทุกอย่างที่เหลือ บริษัท หุ้นส่วนต่างๆ เครื่องเพชร ทอง เงินฝากธนาคาร บ้านดรุณาทร และที่ดินทุกแปลงในกรรมสิทธิ์ของคุณย่าทานยกให้กู แต่มีข้อแม้ว่ากูจะต้องหมั้นกับไอ้ตี๋จนกว่าจะเรียนจบปีสี่ เรื่องทั้งหมดก็มีอยู่เท่านั้น”
ความเงียบโรยตัวลงมาราวม่านปิดฉาก หลังจากจบเรื่องเล่าของนาวา เพื่อนๆแต่ละคนเหมือนจะจมอยู่ในความคิดของตัวเอง เก้าเป็นคนแรกที่ดึงตัวออกจากภวังค์แล้วเดินตรงมาหานาวา เขาดึงตัวนาวาให้ลุกขึ้นแล้วสวมกอดนาวาเอาไว้ นาวากอดตอบเพื่อนอย่างงงุนงง แต่แล้วผ่ามืออุ่นของเก้ากลับลูบศีรษะของนาวาแผ่วเบา นาวาจึงซบลงบนไหล่กว้าง
เสียงนุ่มอบอุ่นของเก้าเอ่ยขึ้นแผ่วเบา “ไม่เป็นอะไรแล้วนะ เก้าอยู่ตรงนี้แล้ว”
เพียงคำพูดนี้เท่านั้น น้ำตาที่เคยเก็บกลั้นไว้พาลไหนราวทำนบเขื่อนทลาย นาวาซุกหน้ากับไหล่หนา ปล่อยน้ำตาไหลเป็นสายจนเสื้อของเก้าเปียกชื้น เก้ายังคงกอดปลอบนาวาอยู่อย่างนั้น มืออุ่นลูบหลังนาวาแผ่วเบา ปลอบประโลม
“ไม่เอาน่าอย่าอ้อนไอ้เก้าคนเดียวสิ” เอ็มพูดขึ้น ดึงนาวาไปกอด “อย่าร้องไห้ พอแล้วนะวา มึงมีกูอยู่ทั้งคน”
“ใครว่า” แบงค์ผลักเอ็มออกไป ฝ่ามือใหญ่ของเขาวางหมับลงบนหัวของนาวา ชายหนุ่มขยี้ผมนิ่มๆของเพื่อน “วามีแบงค์อยู่ไม่ต้องกลัวอะไรนะ” แบงค์ฉีกยิ้ม ยกนิ้วปาดน้ำตาออกจากแก้มนาวาอย่างเบามือ
“ฮะแฮ่ม” นิสาเรียกร้องความสนใจ “วา สาบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าให้ไอ้พวกนี้มันหลีเอา เห็นไหมน่ะแต่ละคนแอบกอดแอบลูบ มานี่มา มาหาสา วามีสาทั้งคนไอ้พวกหื่นกามทำอะไรวาไม่ได้หรอก” คำพูดติดตลกของนิสาเรียกรอยยิ้มของนาวาและเพื่อนๆคืนมาได้
“คร้าบ” นาวาขานรับสียงหวาน เด็กหนุ่มเดินตรงรี่ไปหานิสา เจ้าหล่อนคว้าแขนนาวาได้ ทันทีที่ได้ควงแขนนิสาซุกหน้าลงกับอกของนาวา ปล่อยให้เขาลูบหัวตัวเองเบาๆ
“ตลอดอ่ะไอ้สา มึงน่ะว่าพวกกู แต่ตัวเองชอบลวนลามไอ้เตี้ยมัน” แบงค์อดหมั่นไส้ไม่ได้เลยเขกหัวนิสาเบาๆหนึ่งที
“ใคร๊ ไม่มีซะหรอก กูแค่จะปลอบมันต่างหาก ไม่เหมือนพวกมึงแต่ละคนกลัดมันตาเยิ้มเชียวนะ” นิสาเหว
“พวกกูอ่ะตาเยิ้ม แต่หน้าฟินของมึงอ่ะใช่ย่อยที่ไหน” เอ็มมะเหงกนิสาเบาๆเหมือนกัน
แล้วสงครามน้ำลายของเพื่อนๆก็เริ่มต้นขึ้น เรียกเสียงหัวเราะของทุกคนให้กลับคืนมา ความรู้สึกอบอุ่นใจค่อยๆแผ่ซานไปในความรุ้สึกของทุกๆคน นาวามองรอยยิ้มของเพื่อนและฝังจำภาพประทับใจเหล่านี้เอาไว้ ไม่ว่าโลกนี้จะร้ายยังไง ไม่ว่าจะเจอเรื่องหนักหนาแค่ไหน นอกจากแม่ เขาก็ยังมีคนเหล่านี้คอยรับฟังและช่วยเหลือเสมอ เก้า เอ็ม แบงค์ นิสา ไม่ใช่แค่เพื่อน สำหรับเขาทุกคนเปรียบเหมือนหนึ่งครอบครัว เป็นความอบอุ่น ความจริงใจที่ยากจะหาไหนมาทดแทน
*******
TBC.