บทที่ 11
ผมนั่งสเก็ตเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ที่ศาลาในสวนหลังบ้าน ระหว่างทำงานก็เปิดเพลงลูกทุ่งจากโทรศัพท์ฟังไปด้วย ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา นอกจากเพลงสากลที่ฟังประจำแล้ว ผมก็ฟังเพลงลูกทุ่งมากขึ้น เพราะตอนอยู่ที่โน่นคล้าวมันเปิดให้ฟังทุกวัน อย่างเพลงรอยไถแปรนี่ ตอนที่มันโดนทิ้ง ผมต้องทนฟังวันละหลายๆ รอบจนแทบจะละเมอร้องได้เลยทีเดียว
ส่วนเพลงโปรดที่ฟังบ่อยที่สุดก็เพลงมนต์รักลูกทุ่งที่คล้าวมันเคยร้องให้ฟัง ผมหามาฟังทุกเวอร์ชั่น ฟังทีไรก็นึกถึงเสียงร้องนุ่มๆ ของมันทุกที
อยากฟังเสียงของมันอีกสักครั้งจังเลย
ผมละมือจากสมุดสเก็ตแล้วเหม่อมองดอกพวงครามที่กำลังออกดอกพราวเต็มต้น แต่ในหัวกลับนึกถึงภาพท้องทุ่งนาที่อาบด้วยแสงพระอาทิตย์ยามอัสดง
“แสน พักทานของว่างก่อนลูก” ผมละสายตาจากดอกไม้แล้วหันไปตามเสียงเรียกก็เห็นแม่ถือถาดอาหารเดินมาหา ผมรีบลุกขึ้นเดินไปรับถาดจากมือแม่มาวางไว้บนโต๊ะในศาลา หยิบโทรศัพท์มาปิดเสียงเพลง แม่ก้าวมานั่งข้างๆ ก่อนจะเปิดฝาชามออก เมื่อเห็นอาหารที่อยู่ชามผมก็ยิ้มกว้าง
“สละลอยแก้วของโปรดแสน กำลังเย็นๆ เลยจ้ะ ทานก่อนสิลูก”
“ขอบคุณครับแม่ แม่ทานรึยังครับ ทานกับแสนไหม ถ้าไม่พอเดี๋ยวแสนวิ่งไปเอามาให้”
“แม่ชิมไปบ้างแล้วจ้ะ แสนทานเลย แม่แก่แล้ว ทานหวานๆ มากไม่ค่อยดี”
“ครับแม่” ผมตักสละลอยแก้วเข้าปาก รสชาติที่หวานกำลังดีและเย็นชื่นใจ ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น แม่นั่งมองผมกินด้วยแววตาอ่อนโยน
“อร่อยมากครับ” ผมยิ้มตาหยีเมื่อเขมือบสละในถ้วยจนหมด
“อิ่มไหมลูก ถ้าไม่อิ่ม เดี๋ยวแม่ไปตักมาให้อีก”
“พอแล้วครับแม่ แสนอิ่มแล้ว”
“แสนผอมลงมากเลย แม่อยากให้มีเนื้อมีหนังกว่านี้” แม่ขยับมาลูบแขนเบาๆ แล้วมองด้วยสีหน้ากังวล
“นี่น้ำหนักแสนขึ้นมาหลายโลแล้วนะครับแม่ ทั้งแม่ทั้งเฮียขุนดีขนาดนี้ แต่ถึงจะผอมไปหน่อยแต่แสนแข็งแรงนะครับ เฮียลากแสนเข้าฟิตเนสทุกวันเลย” ผมทำหน้าเซ็งๆ เมื่อนึกถึงเวลาที่ต้องเข้าฟิตเนสกับเฮีย ก็ผมขี้เกียจนี่ครับ ชอบนั่งๆ นอนๆ มากกว่า
“ดีแล้วลูก จะได้แข็งแรงมากๆ แล้ววันนี้ไม่เข้าร้านเหรอลูก”
“ไม่ครับ แสนเคลียร์งานในร้านไว้แล้ว ช่วงนี้แสนกำลังออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ เตรียมไว้จัดงานแฟชั่นโชว์ จะได้โปรโมทร้านให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วยครับ”
“ดีจ้ะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ แม่กับป๊าจะช่วยเต็มที่เลยจ้ะ”
“ตอนนี้ช่วยเป็นกำลังใจให้แสนก็พอครับ” ผมกอดแม่อ้อนๆ
“อันนี้ไม่ต้องขอแม่ก็ให้เต็มที่เหมือนกันจ้ะ” แม่กอดตอบแล้วลูบหัวอย่างอ่อนโยน
ผมกระชับอ้อมกอดแน่นๆ แล้วยิ้ม โชคดีจริงๆ ที่ฟ้าให้โอกาสผมได้กลับมากอดแม่อีกครั้ง
“ทำอะไรกันสองแม่ลูก” เสียงทักของป๊าทำให้ผมผละออกจากแม่แล้วส่งยิ้มให้
“อ้อนอะไรแม่ฮึแสน” ก่อนจะหุบยิ้มเมื่อเฮียทักด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้
“ทำไม เฮียอิจฉารึไง”
“ทำไมต้องอิจฉา แม่เฮียเหมือนกัน” พูดจบก็ก้าวเข้ามานั่งอีกข้างแล้วจับแขนผมออก ก่อนจะคว้าแม่ไปกอดคนเดียว
“มาแย่งแสนได้ไง แสนกอดก่อน ป๊าดูเฮียสิ” ผมหันไปฟ้องป๊าเมื่อเฮียแกล้งกอดแม่แน่น
“ฮะๆๆๆ” ป๊าเอาแต่หัวเราะอย่างเดียว ผมเลยขยับไปกอดทับเฮียซะเลย
“เฮ้อ! เล่นกันเป็นเด็กๆ ไปได้” แม่บ่นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แต่ไม่ได้ขยับออกจากอ้อมแขนของเราสักนิด
“มาๆ เดี๋ยวป๊ากอดด้วย” พูดจบป๊าก็เดินมาเบียดแล้วรวบกอดเราทั้งหมดเอาไว้
“ฮ่าๆๆๆๆ” จนทุกคนอดจะหัวเราะไม่ได้
“เล่นอะไรกันอยู่ครับเนี่ย น่าสนุกจริง” เสียงกาฝากของบ้านเราดังขัดขึ้นมา ทำให้ป๊าผละออกไปก่อน แล้วก้อนกอดของเราก็เริ่มคลายออก
“ยุ่ง” ผมหันไปหาเรื่องไอ้คนที่มาขัดจังหวะ
“แม่ครับแสนว่ารบ” มันทำเสียงเล็กเสียงน้อยอ้อนแม่จนผมอยากจะตบหัวสักที
“เอาน่าอย่าเพิ่งตีกัน อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนนะรบ” แม่ห้ามยิ้มๆ เพราะรู้ดีว่าเราแค่แกล้งกันเล่นเท่านั้นเอง
“ครับแม่ ผมไม่พลาดอยู่แล้ว”
“คุยกันไปก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวแม่ไปดูในครัวก่อน”
“ครับแม่”
“ป๊าก็ว่าจะไปดูต้นไม้เหมือนกัน ไปคุณ เราไปจู๋จี๋กันเถอะ ปล่อยให้เด็กๆ เล่นกันไป”
“คุณนี่” แม่ตีไหล่ป๊าแก้เขินเมื่อเห็นพวกเรามองด้วยสายตาล้อเลียน
“ฮ่าๆๆๆ” ป๊าหัวเราะชอบใจก่อนจะโอบเอวแม่เดินออกไป
“บ้านช่องตัวเองไม่ยอมกลับ ม๊ากับป๊ามึงไม่ให้อาหารรึไง” พอแม่ไปแล้ว ผมก็หันมาเล่นงานไอ้คนที่เป็นส่วนเกินของครอบครัวทันที
“หนีไปงานเลี้ยงกันหมดทั้งบ้าน กูขี้เกียจไปด้วย” ธงรบทำหน้าเซ็งๆ ก่อนจะก้าวมานั่งตรงข้ามผมกับเฮีย แล้วหยิบโทรศัพท์มาเปิดรูปส่งให้ดู มันเป็นรูปที่เรากอดกันกลมเมื่อครู่ เห็นแล้วผมก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้
“ส่งให้กูด้วย” เดี๋ยวจะเอาไปขยายใส่กรอบไว้ในห้อง
“เออ” มันกดส่งให้ก่อนจะบุ้ยไปที่สมุดสเก็ตแล้วถาม
“แล้วนั่น ถึงไหนแล้ว”
“ก็มากกว่า 50% แล้วละ กูอยากให้งานออกมาดีที่สุดเลยทำไปเรื่อยๆ ไม่รีบ”
“เออ มีอะไรให้ช่วยก็บอก”
“อืม ขอบใจ”
“แสนจะไปดูผ้าวันไหน” เฮียแผนที่นั่งจิ้มแท็บเล็ตอยู่เงียบๆ ถามขึ้นมา
“ดูก่อนครับเฮีย เดี๋ยวจะลองติดต่อไปที่สหกรณ์ที่ศรีสะเกษก่อนว่ามีผ้าในสต็อคเยอะไหม จะได้ไปไม่เสียเที่ยว”
ผมตั้งใจไว้ว่าจะใช้ผ้าไทยในงานชุดนี้ เพราะนอกจากอยากประชาสัมพันธ์ร้านตัวเองแล้ว ผมก็ยังอยากจะประชาสัมพันธ์ผ้าไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นอีกด้วย ผมจึงวางแผนว่าจะไปดูผ้าแต่ละแห่งด้วยตัวเอง เผื่อจะได้ไอเดียใหม่ๆ มาด้วย
“จะไปช่วงไหนก็บอก เดี๋ยวเฮียไปเป็นเพื่อน”
“ครับเฮีย”
“ถ้าเฮียไม่ว่างก็บอก เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อนมันเอง” ธงรบมันรับช่วงต่อ
“ไม่ต้องๆ ถ้าไม่ว่างกูไปเองได้”
“ไม่ได้!!” พ่อ No.2, No.3 ประสานเสียงกันจนผมเกือบสะดุ้ง
“แสนไปได้จริงๆ นะเฮีย แต่ก่อนก็ไปไหนมาไหนคนเดียวประจำ ไม่เห็นเป็นไรเลย” ผมท้วงเมื่อทั้งสองคนออกอาการห่วงเกินเหตุ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าที่จะเกิดอุบัติเหตุผมก็ขับรถเตร่ไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด
“เฮ้อ! เฮียเป็นห่วงแสน เฮียรู้ว่าแสนไม่เคยประมาท แต่ครั้งนั้น... มันทำให้เฮียรู้สึกแย่มากที่เป็นต้นเหตุให้แสนต้องเป็นอันตรายแบบนั้น ให้เฮียได้ดูแลแสนเถอะนะ อย่าเพิ่งรำคาญเฮียเลย”
“กูก็เหมือนกัน กูไม่อยากปล่อยให้มึงอยู่คนเดียวอีกแล้ว เห็นมึงหลับไปนานขนาดนั้นแล้วกูจะบ้านะแสน มึงทนๆ กูไปก่อนละกัน”
นี่สินะ สาเหตุของการเกาะติดของทั้งคู่ในพักหลังๆ มานี้
“มันไม่ให้ความผิดเฮียเลยนะเฮีย ไม่ใช่ความผิดมึงด้วยรบ มันเป็นเพราะคนพวกนั้นต่างหาก อย่าโทษตัวเองกันอีกเลย”
“แต่เฮียไม่สบายใจนี่นา”
“นั่นน่ะสิ”
“เฮ้อ! เอาที่สบายใจกันเลยครับ แสนแค่เกรงใจ ไม่อยากให้เสียเวลาทำงานและเวลาพักผ่อนกัน แต่ถ้ายืนยันอย่างงั้นก็ตามใจเลย”
พอผมพูดจบทั้งคู่ก็ยิ้มอย่างพอใจ ส่วนผมก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างอ่อนใจ ยังไงทั้งคู่ดูแลผมอย่างนี้มาตลอดอยู่แล้ว ถ้าจะเพิ่มเลเวลขึ้นอีกนิดก็จะเป็นไรไป เพื่อให้พี่บังเกิดเกล้ากับเพื่อนที่บังคับให้ผมเป็นน้องมันตั้งแต่เด็กสบายใจก็คงต้องปล่อยเลยตามเลยแหละครับ
*********************************************************
ผมนั่งมองสมุดสเก็ตนิ่งๆ เพราะคิดอะไรไม่ออก วันนี้ผมแวะเข้ามาดูร้านเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าที่โชว์และงานตัดเย็บหลังร้าน หลังจากดูเรียบร้อยแล้วก็มานั่งสเก็ตงานต่อ แต่สมองก็โล่งเกินกว่าจะร่างอะไรออกมาได้
เฮ้อ! คิดไม่ออกแฮะ
ผมวางดินสอในมือก่อนจะเก็บของแล้วเดินออกไปข้างนอก
“คุณแสนจะกลับแล้วเหรอคะ” เด็กในร้านถาม เมื่อเห็นผมเดินดุ่มๆ ออกไป
“เดี๋ยวผมไปเดินเล่นหน่อยน่ะครับ แต่ถ้าไม่เห็นก็แสดงว่าผมกลับแล้วนะครับ ถ้ามีอะไรก็โทรหาผมได้เลย”
“ค่ะคุณแสน”
พนักงานคงชินกับความอินดี้ของผมแล้วจึงรับคำง่ายๆ เพราะปกติผมก็นั่งอยู่กับที่ได้ไม่นาน ถ้านึกอะไรไม่ออกก็มักจะลุกเดินออกไปดื้อๆ อยู่เป็นประจำ
ผมเดินทอดน่องในห้างอย่างไม่มีจุดหมาย พอเมื่อยก็เดินลงบันไดเลื่อนให้มันเลื่อนไปเรื่อยๆ สายตาก็มองรอบๆ ตัวไปเรื่อยเปื่อย จนสะดุดตากับร้านดอกไม้ร้านหนึ่งจึงลงจากบันไดเลื่อนเดินตรงเข้าไปหา สีสันสดใสของดอกไม้ดึงดูดให้ผมยืนมองนิ่งๆ
เห็นแล้วนึกถึงดอกมะลิที่บ้านทุ่ง ถึงจะไม่มีสีสันเท่าดอกไม้นอกพวกนี้ แต่ก็สวยละมุนละไมและมีคุณค่าต่อจิตใจมากกว่า
พอนึกถึงดอกมะลิแล้วก็อดจะนึกถึงบ้านไม้หลังนั้นกับเจ้าของบ้านด้วยไม่ได้ หลังจากวันสัมภาษณ์ก็ไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกเลย เพราะยังไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรในการติดต่อไปดี ตอนนี้เลยคิดถึงจนรู้สึกเหมือนจะลงแดงเข้าไปทุกที ได้แต่ดูรูปในกระเป๋าจนซีด คงต้องคิดหาข้ออ้างดีๆ ในการเข้าหาน้องมันแล้ว
เมื่อไหร่จะเจอกันอีกนะ แค่เจอกันก็ยังยาก คงอีกนานกว่าจะมีโอกาสได้ไปบ้านหลังนั้นอีก อยากจะไปดูดอกมะลิด้วยกัน อยากจะดูดาว ดูพระจันทร์ด้วยกันอีกครั้งจังเลย
อีกไกลแค่ไหน จนกว่าฉันจะใกล้ บอกที อีกไกลแค่ไหนจนกว่าเธอจะรักฉัน เสียที มีทางใดที่อาจทำให้เธอสนใจ ได้โปรด บอกกับฉันให้รู้ที ว่าสุดท้ายแล้วฉันยังมีความหมาย ตั้งเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ตอกย้ำตัวเองเข้าไปอีก
ผมหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงมาดู พอเห็นชื่อที่บันทึกไว้ว่า ‘ธงๆ’ บนหน้าจอก็ปล่อยให้มันดังแทงใจตัวเองสักพักก่อนจะกดรับ
“ทำไมรับช้า” ผมกลอกตากับประโยคทักทายของมัน นี่เพื่อนหรือพ่อ ถามจริง
“ไม่ว่าง หายใจอยู่”
“นั่นมุกหรือเปลือกหอย”
“ของมึงกากกว่ากูอีกเหอะ มีอะไรว่ามา”
“เที่ยงนี้ไปกินข้าวด้วยไม่ได้นะ มีงานด่วนต้องไปข้างนอก”
“เออ บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมากินเป็นเพื่อนทุกวันก็ได้ กูกินคนเดียวได้น่า กระเพาะไม่ได้ติดกันซะหน่อย”
“กูพอใจ” ฟังคำตอบของมันแล้วผมก็ถอนหายใจเฮือกแบบจงใจให้มันได้ยินด้วย
“งั้นเอาที่มึงสบายใจเลยรบ”
“ฮ่าๆๆ แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวเย็นๆ ไปรับ”
“ถ้าอยู่ไกลจากที่นี่มากก็ไม่ต้องย้อนกลับมานะ กลับบ้านมึงไปเลย เดี๋ยวกูกลับเองได้”
“เออๆ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที”
“อืม ขับรถดีๆ นะ”
“โอเค” หลังรับคำแล้วมันก็วางสายไป ผมมองโทรศัพท์ยิ้มๆ ก่อนจะเปิดดูไลน์ที่เฮียส่งมากำชับให้กินข้าวจึงหันหลังเพื่อเดินกลับไปหาอะไรกิน
ปึก! โครม
“โอ๊ะ!” แต่เพราะมัวแต่มองหน้าจอไม่ได้มองทางจึงชนโครมเอากับคนที่เดินผ่านมาพอดี เอกสารในมือของคนที่ถูกชนหล่นกระจาย รวมทั้งสมุดสเก็ตที่ผมถือติดมือมาด้วย ส่วนตัวผมก็เกือบหงายเงิบ ยังดีที่คนชนคว้าไว้ทัน
พอตั้งหลักได้ผมก็เงยหน้าเพื่อจะเอ่ยขอโทษ
“ขอโทษครับ” ก่อนที่จะชะงักเมื่อเห็นหน้าคนที่ประคองไว้ชัดๆ
“คล้าว”
“พี่แสน”
“อุ๊ย” เสียงอุทานของคนที่เดินผ่านมา ทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่าเราสองคนอยู่ในท่าที่ชวนให้เข้าใจผิดแค่ไหน
ตอนนี้เหมือนเรากอดกันอยู่กลายๆ ใกล้ชิดกันมากจนได้ยินหัวใจของอีกฝ่าย จึงรีบผละออกจากกันทันทีราวถูกของร้อน ก่อนเบือนหน้าหนีกันไปคนละทาง
ผมรู้สึกเลยว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าว เอาจริงๆ ก็ชอบอยู่หรอกนะที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของน้องมัน แต่ขออยู่ในที่ลับตาหน่อยได้ไหม อยู่ที่สาธารณะแบบนี้มันก็เขินนะครับ!
ผมเหลือบมองคู่กรณีก็เห็นน้องมันลูบท้ายทอยตัวเองอยู่ ซึ่งเป็นท่าทางที่คล้าวชอบแสดงออกเวลาที่เขินหรือทำอะไรไม่ถูก เห็นแล้วก็ต้องแอบยิ้ม ก่อนจะก้มลงเก็บของที่หล่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้นแก้เขิน
“อ๊ะ!” ผมหลุดอุทานเมื่อเราบังเอิญเก็บเอกสารชิ้นเดียวกันทำให้มือของผมทับมือของน้องอย่างไม่ตั้งใจ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ต้องหน้าร้อนอีกครั้ง เพราะหน้าเราสองคนอยู่ห่างกันแค่คืบ
เราสองคนเผลอสบตากันก่อนที่จะเบือนหน้าหนีกันไปคนละทาง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้หน้าของผมคงแดงจัดแน่ๆ ส่วนคล้าวก็ออกอาการไม่แพ้กัน เพราะใบหูของน้องแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด
พอช่วยกันเก็บเอกสารบนพื้นจนหมด ผมก็ยื่นเอกสารให้คล้าว น้องมันก็รับไปเงียบๆ ต่างคนต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไรในบรรยากาศที่ชวนให้เก้อเขินแบบนี้
“พี่ขอโทษนะที่ไม่ระวัง” ในฐานะที่อายุมากกว่า ผมเลยเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
“ไม่เป็นไรครับ”
“แล้วนี่คล้าวจะไปไหนเหรอ”
“ผมมาติวครับ”
“ติว?”
“ครับ ผมมาติวบางวิชาเพิ่ม รื้อฟื้นความรู้เตรียมสอบเข้ามหาลัยครับ” ฟังคำตอบแล้วก็ได้แต่ยิ้มให้กับความตั้งใจของน้อง
“แล้วนี่ติวเสร็จแล้วเหรอ?”
“เสร็จแล้วครับ”
“คล้าวจะไปไหนต่อไหม ติดธุระที่ไหนอีกรึเปล่า?”
“ไม่มีแล้วครับ ผมว่าจะกลับเลย”
“คือ... พอดีพี่กำลังจะไปทานข้าวคนเดียว” ผมย้ำคำว่าคนเดียวด้วยน้ำเสียงหงอยๆ เพื่อให้น้องมันเห็นใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาแล้วส่งสายตาอ้อนวอนไปสำทับ
“ถ้าไม่รบกวนไปทานข้าวเป็นเพื่อนพี่หน่อยได้ไหม” คล้าวยังคงจ้องตาผมนิ่งๆ น้องเงียบไปจนผมใจเสีย แต่เมื่อสังเกตดีๆ ถึงได้รู้ว่าน้องกำลังเหม่อ
“คล้าว”
“ครับ ได้สิครับ” พอได้รับคำตอบผมก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ คล้าวมองหน้าผมสักพักก็เบือนหน้าหนี
ผมขมวดคิ้วสงสัยในปฏิกิริยาของน้อง แต่เมื่อสังเกตดีๆ ก็เห็นใบหูของน้องมันแดงก่ำ เห็นแบบนั้นแล้วผมก็ได้แต่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี เพราะมันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าน้องมันก็หวั่นไหวกับผมบ้างเหมือนกัน
ถ้าเป็นแบบนี้ก็รุกได้เต็มที่แล้วสินะ หึๆๆ
“ทานอะไรกันดีครับ” ผมถามน้องพร้อมกับยิ้มให้อย่างสดใส
“อะไรก็ได้ครับ ตามใจพี่แสนเลย” คล้าวตอบโดยไม่สบตาผม
ถ้าบอกว่าอยากกินน้องล่ะ จะตามใจพี่ด้วยไหม ผมได้แต่คิดในใจแล้วก็ยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่คนเดียว
“งั้นเราไปที่ศูนย์อาหารกันดีกว่านะ มีอาหารให้เลือกหลากหลายดี” พูดจบผมก็เดินนำไป คล้าวก็เดินตามมาเงียบๆ ระหว่างทางผมสังเกตเห็นสายตาที่สาวๆ แอบมองคนที่เดินตามมาตลอด เห็นแล้วก็รู้สึกกังวลจนอดจะเหลือบไปมองไม่ได้ ว่าน้องมันมีปฏิกิริยากับสาวๆ ยังไง
แต่เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าน้องมองตรงมาที่ผมด้วยสายตาครุ่นคิด ผมก็เผลอสะดุดขาตัวเอง
“โอ๊ะ!”
“ระวังครับ” คล้าวมันรั้งแขนผมไว้เมื่อเห็นผมเกือบล้มหน้าคว่ำ ทำให้ตอนนี้แผ่นหลังของผมปะทะเข้ากับตัวของน้องมันแทน
ผมมองมือที่ยังจับต้นแขนไว้แน่นก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองหน้าคล้าว พอสบตากันในระยะประชิดอีกครั้งก็ชะงักกันไปทั้งคู่ คล้าวเป็นฝ่ายหลบตาก่อน แล้วก็ปล่อยมือจากต้นแขนของผม ส่วนผมก็ผละออกแล้วเอ่ยขอบคุณน้องเบาๆ
“ขอบคุณครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
ท่าทีเก้อเขินของน้องมันทำให้ผมเดินยิ้มเหมือนคนบ้า
ผมเดินไปซื้อคูปองสองใบแล้วยื่นให้คล้าว น้องมันจะปฏิเสธแต่ผมก็กล่อมให้น้องรับจนได้ เราแยกกันไปซื้ออาหารของตัวเองก่อนจะพากันเดินหาโต๊ะว่าง แล้วทานอาหารกันเงียบๆ
ผมรู้สึกได้ว่าคล้าวมันแอบมองมาบ่อยๆ แต่พอเงยหน้าขึ้นมอง น้องมันก็หลบตาทันที ผมได้แต่แอบยิ้มและปล่อยให้น้องมันแอบมองต่อไป คิดว่าตอนนี้น้องมันน่าจะกำลังรู้สึกสับสน เพราะสายตาของผมแสดงออกชัดเจนว่ารู้สึกยังไงกับน้อง
ต้องให้เวลาน้องคิดทบทวนความรู้สึกตัวเองหน่อย ผมเข้าใจว่าคงไม่ง่ายเลยที่จะยอมรับว่าหวั่นไหวกับเพศเดียวกัน
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ผมก็ชวนคล้าวลุกเพื่อให้คนอื่นได้มานั่งบ้าง เมื่อคืนคูปองเรียบร้อย ผมก็เดินไปหาน้องที่ยืนรออยู่แล้วถาม
“คล้าวจะกลับเลยรึเปล่า”
“ครับพี่แสน”
“กลับบ้านที่สุพรรณฯ เหรอครับ”
“เปล่าครับ ตอนนี้ผมพักอยู่ในกรุงเทพฯ” เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของผม คล้าวก็อธิบายต่อ
“ก่อนหน้านี้ผมกับไม้มาทำงานเก็บเงินไว้เรียนต่อกันครับ หลังจากนั้นหลวงตาก็โทรมาบอกว่ามีคนให้ทุนพวกเรา ผมเลยวางแผนไว้ว่าจะอยู่ที่นี่ต่อเพื่อติวบางวิชาเพิ่ม ถ้าวันไหนที่ไม่มีติวก็จะทำงานไปพลางๆ ครับ”
“แล้วน้องไม้ล่ะครับ”
“ตอนนี้ไม้ช่วยงานในร้านอาหารของญาติอยู่ครับ ไม้มันเพิ่งจะเรียนจบ แต่ไม่ได้สอบไว้ เพราะไม่มีเงินเรียน เดี๋ยวถ้าร้านหาคนได้มันก็คงมาติวเหมือนกันครับ ไม่งั้นคงสู้รุ่นน้องๆ ไม่ได้”
“แล้วนี่คล้าวลงติววันไหนบ้างครับ”
“ผมลงไว้สามวันครับพี่แสน มีวันอังคาร ศุกร์กับอาทิตย์ครับ”
“อืม แล้วถ้าติวเสร็จคล้าวต้องไปทำงานต่อไหมครับ”
“ไม่ครับ เพราะผมติวครึ่งวัน งานที่ผมทำนี่เป็นงานรายวัน ต้องทำเต็มวันครับ”
“งั้น... ถ้าติวเสร็จแล้ว พี่จ้างคล้าวทำงานต่อได้ไหม”
“งานอะไรครับ”
“คือ... พี่ทำงานออกแบบเสื้อผ้า มันเป็นงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ แต่บางทีพี่ก็คิดอะไรไม่ออก ต้องออกไปหาแรงบันดาลใจในการทำงานข้างนอก ถ้าไม่รบกวนพี่ก็อยากจะให้คล้าวไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยได้ไหม”
ฟังจบน้องมันก็มีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะมองหน้าผมแล้วตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“พี่แสนไม่ต้องจ้างหรอกครับ ผมไปเป็นเพื่อนได้”
“ไม่ได้ พี่ไม่อยากรบกวนเวลาคล้าวเฉยๆ”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ยังไงตอนบ่ายผมก็ว่างอยู่แล้ว ถ้าผมพอจะช่วยอะไรได้ผมก็เต็มใจช่วย ผมอยากจะตอบแทนพี่ๆ บ้างครับ”
“อืม ถ้างั้นเรื่องนี้ค่อยคุยกันทีหลัง สรุปว่าคล้าวตกลงแล้วใช่ไหม” เอาไว้ค่อยไปกล่อมให้รับทีหลังก็แล้วกัน
“ครับพี่แสน” ผมยิ้มด้วยความดีใจ
“ถ้าอย่างงั้นพี่ขอไลน์ ขอเบอร์หน่อยสิครับ จะได้นัดกันอีกที” ผมเนียนขอช่องทางติดต่อ ถึงข้อมูลพวกนี้จะมีอยู่ในประวัติเด็กทุนอยู่แล้ว แต่มันก็ไม่เหมือนขอเป็นการส่วนตัวนี่ครับ ขอจากเจ้าตัวมันรู้สึกเป็นกันเองมากกว่า
“ได้ครับ” ผมแอบยิ้มเมื่อน้องตอบรับแต่โดยดี
หลังจากแลกเบอร์แลกไลน์กันแล้ว ผมก็ปล่อยให้น้องกลับไปก่อน วันนี้ได้แค่นี้ก็ถือว่าก้าวหน้ามากแล้ว ยิ่งคิดว่าต่อไปจะได้โอกาสอยู่ใกล้ชิดกันหลังติวเสร็จอีกผมก็ยิ่งอารมณ์ดี
ผมมองเพื่อนใหม่ในไลน์แล้วยิ้มกริ่ม
ตอนนี้ได้แค่ไลน์กับเบอร์ แต่อนาคตพี่ต้องได้หมดทั้งตัวและหัวใจอย่างแน่นอน เตรียมตัวเตรียมใจไว้เลย พี่คล้าวของทองกวาว
ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่า น้องคล้าวของพี่แสนสินะ ผมยิ้มก่อนจะพิมพ์ข้อความส่งไลน์ไป
“ถึงห้องรึยังครับ”Part คล้าว ผมวางสายจากหลวงตาด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งมากขึ้น เห็นแจ้งเตือนจากไลน์ที่หน้าจอขึ้นเป็นร้อย เพราะนานๆ จะเปิดอ่านสักที เนื่องจากรำคาญข้อความจากบางกลุ่มที่หาสาระอะไรไม่ได้ แต่ก็ต้องทนอยู่ในกลุ่มต่อไป เพราะไอ้ไม้มันบังคับให้อยู่เพื่อติดตามข่าวสารของแต่ละกลุ่ม ข้อความล่าสุดเป็นข้อความจากพี่แสนที่เพิ่งจะแอดมา ผมจึงเปิดขึ้นมาดู
“ถึงห้องรึยังครับ” ผ่านไปสักพักก็ส่งมาอีกรอบ
“ถ้าถึงแล้วบอกพี่ด้วยนะ พี่เป็นห่วง” เห็นข้อความแล้วก็อดจะยิ้มไม่ได้ ก่อนที่จะรีบพิมพ์ตอบไป เพราะดูจากเวลาเห็นว่าพี่แสนส่งมาได้สักพักแล้ว
“ถึงแล้วครับ” ผ่านไปได้ไม่กี่วินาทีก็ได้รับสติ๊กเกอร์รูปควายโอเคจากพี่แสนมา พอเห็นแล้วก็อดจะหลุดขำไม่ได้ เพราะมันไม่เข้ากับพี่แสนเลยสักนิด
ผมวางโทรศัพท์ลงแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงมองเพดานนิ่งๆ
ท่าทีของพี่แสนในวันนี้ทำให้ผมมั่นใจมากขึ้นว่าพี่แสนน่าจะคิดกับผมมากกว่าเด็กทุนของพี่เขา แต่แปลกที่พอรู้อย่างนี้แล้วผมกลับไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเป็นเรื่องผิดปกติอะไรสักนิด ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าไม่หลอกตัวเอง นอกจากจะไม่รู้สึกแปลกแล้ว ผมกลับรู้สึกหวั่นไหวกับพี่แสนอีกต่างหาก
พี่แสนเป็นผู้ชายที่ผิวขาวจัดเหมือนคนไม่ค่อยโดนแดด นอกจากนี้ยังเป็นผู้ชายที่หน้าตาค่อนไปทางน่ารักมากกว่าจะหล่อ อาจจะเป็นเพราะตาโตๆ สีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายสดใสรับกับจมูกได้รูปและริมฝีปากสีสด ทำให้ใบหน้านั้นดูละมุนมากกว่าผู้ชายส่วนใหญ่ แถมรูปร่างยังผอมเพรียวจนไม่กล้าจับต้องแรง เพราะกลัวพี่เขาจะเจ็บ
แต่ผมคิดว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวจริงๆ น่าจะเป็นเพราะใบหน้าของพี่แสนเป็นใบหน้าเดียวกับผู้ชายที่ผมเคยเห็นซ้อนทับกับหน้าของทองกวาวมากกว่า
ตอนเห็นหน้าพี่แสนครั้งแรกผมก็ได้แต่อึ้งด้วยความตกใจ เพราะผมจำใบหน้าที่เคยมองมาด้วยแววตาห่วงใยและส่งสายตาปลอบโยนมาให้เมื่อครั้งที่เสียใจจากดาวเรืองได้ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พี่แสนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
ยิ่งเห็นน้ำตาพี่แสนไหลก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก มันรู้สึกร้อนรนเหมือนจะทนเห็นน้ำตาพี่เขาไม่ได้และยังรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอกอีกด้วย แต่พอเห็นพี่แสนยิ้ม ผมก็รู้สึกสบายใจและอยากจะยิ้มตามไปด้วย จนผมแปลกใจกับความรู้สึกตัวเองมาก
พอกลับมาทบทวนความรู้สึกของตัวเองแล้วก็ยิ่งสับสน เพราะถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่สามารถลืมดาวเรืองได้หมดหัวใจ แต่เมื่อเจอพี่แสนกลับรู้สึกหวั่นไหวในระยะเวลาแค่สั้นๆ ที่สำคัญยิ่งผมนึกถึงพี่แสนบ่อยขึ้นเท่าไหร่ เงาของดาวเรืองในหัวใจของผมก็ยิ่งเลือนรางลงไปทุกที
แปลกที่รู้สึกเหมือนกับว่าเรารู้จักกันมานาน ไม่ได้รู้สึกเหมือนคนที่เพิ่งจะรู้จักกันในระยะเวลาสั้นๆ สักนิด
ระหว่างที่ผมกำลังรู้สึกสับสน หลวงตาก็โทรมาหาพอดี หลวงตาถามสารทุกข์สุกดิบผมกับไม้เหมือนกับทุกครั้ง ก่อนจะถามว่ามีอะไรจะปรึกษาท่านหรือเปล่า
พอผมเงียบไปเพราะคิดไม่ตกว่าจะเล่าให้ท่านฟังดีหรือไม่ หลวงตาก็บอกเหมือนรู้ว่าผมกำลังมีอะไรอยู่ในใจว่าไม่ต้องคิดมาก ให้ผมปรึกษาท่านได้ทุกเรื่อง
ผมจึงตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้หลวงตาฟัง หลวงตาฟังแล้วก็หัวเราะ ท่านบอกว่ามันเป็นเรื่องของโชคชะตา การที่คนเรามีโอกาสมาพบกันได้นั้นก็เพราะเคยทำบุญทำกรรมร่วมกันมาก่อน
หลวงตายังบอกอีกว่า เรื่องบางเรื่องก็ควรปล่อยให้มันค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก อะไรที่ทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะ ขอแค่ยึดมั่นในความดีและไม่เบียดเบียนทำร้ายคนอื่นก็พอแล้ว
หลังจากวางสายจากหลวงตา ผมก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น จึงตัดสินใจปล่อยความรู้สึกให้เป็นหน้าที่ของโชคชะตาอย่างที่หลวงตาท่านว่า ตอนนี้แค่พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ
ผมหลับตาลงพักสายตา แต่สมองกลับนึกถึงหน้าแดงๆ ของพี่แสนแล้วก็ได้แต่ยิ้มอยู่คนเดียว
*********************************************
ไม่ต้องคิดมากแล้วจ้ะน้องคล้าว หลวงตาไฟเขียวแล้วววว
พี่แสนรุกตรงๆ อ่อยมันตรงๆ นี่แหละค่ะ จะจีบเด็กใจต้องกล้า หน้าต้องด้าน 55555
มาถึงตอนนี้ก็ได้ครึ่งทางแล้วฮูเร่ ฮึบๆ อีกนิดนะแม่น้องทองกวาว
ฝากแฮชแท็ก #มนต์รักริมทุ่ง ด้วยค่า กราบงามๆ
Page : Maneethewa สมาชิกน้อยนิด น่ารักๆ
https://www.facebook.com/Maneethewa/
********************************************* #วายซ่า ☼ ไม้นี่มันไม้จริงๆ ค่ะ ถถถ พี่แสนรีบค่ะ พี่แสนบอกว่าอยากเป็นอมตะแล้ว 55555
#Al2iskiren ☼ น้องหวั่นไหวแล้วค่า สนิทกันต้้งแต่เป็นควาย กร๊ากกก ส่วนน้องไม้ รอลุ้นนะคะ
#iceman555 ☼
#puiiz ☼
#19th ☼ เจอพี่แสนรุกหนักค่ะ อ่อยจริง อ่อยจัง 55555
#k2blove ☼ พี่แสนมั่นใจค่ะว่าต้องได้กินอยา่งแน่นอน แค่กๆๆๆ ส่วนทั้งสองคนนั้นนนนน.... อยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ บอกให้เธอฟังไม่ได้สักกกกกกคำ แฮ่
#lovenine ☼ เขียนเรื่องนี้นี่คิดถึงบรรยากาศที่บ้านมากเลยค่ะ ทุ่งนากว้างๆ ช่วงพระอาทิตย์ตกดิน สวยมากกก จะพยายามเข็นให้จบไวๆ ค่า FC เราน้อย แต่ก็มาบ่อยพอให้ชื่นนนนใจค่ะ กอดดด
#ommanymontra ☼
#aoihimeko ☼ รุกแบบอ่อยหนักมากค่ะ 55555