ตอนที่ 7รถยนต์จอดหน้าตึกใหญ่ของบ้าน ‘อรุณกิจไพศาล” ชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาผิวพรรณคมเข้มผู้เป็นทายาทก้าวลงจากรถ เดินผ่านประตูใหญ่เข้าสู่ภายใน ร่างสูงไม่ได้รู้ตัวว่าถูกจับจ้องจากสายตาคู่หนึ่งที่มองมาจากสนามหญ้าอีกฝั่งของบ้าน
“กลับแล้วเหรอคะคุณฟิน เดี๋ยวนี้คุณฟินกลับบ้านเร็วทุกวันเลย”
“ครับป้านอม ผมเบื่อเที่ยวกลางคืนน่ะ”
ผมยิ้มและตอบกลับป้านอมซึ่งเป็นหัวหน้าแม่บ้านของบ้านอรุณกิจไพศาลแห่งนี้ และเป็นคนเดียวในบ้านนี้พี่ผมพูดคุยด้วยมากที่สุดตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ตั้งแต่ผมรู้ว่ามีใครบางคนทำให้ใจของผมเต้นแรงได้ เรื่องเที่ยวกลางคืนนั้นก็เป็นเรื่องน่าเบื่อของผมไป วิถีชีวิตเปลี่ยนเช้าไปทำงานเย็นกลับบ้านรอเวลาโทรหาคนไกลซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมตื่นเต้นและมีความสุขที่สุดภายในหนึ่งวัน
แต่มีครั้งหนึ่งที่ผมออกไปเที่ยวกลางคืนกับไอ้ธีที่โทรมารบเร้าว่าผมเป็นความหวังเดียวของมัน เพราะมันโทรไปชวนทั้งวินและปรัชแล้วแต่โดนทั้งสองคนปฏิเสธผมจึงต้องออกไปกับมันจนได้ สถานที่คุ้นเคยผู้คนคุ้นตาแต่ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม ความสนุกที่เคยมีจากผู้คนและเสียงเพลงกระหึ่มหายไป แม้จะมีทั้งสาวสวยและหนุ่มน้อยน่ารักมาขอทำความรู้จักผมก็ไม่นึกอยากจะสานสัมพันธ์ด้วย ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้แม้ไม่มีอารมณ์แต่เบอร์ที่ได้มาก็เก็บไว้ใช้เมื่อยามมีอารมณ์ ’อยาก’ สาน และวันนั้นผมต้องโดนไอ้เพื่อนตัวแสบที่ลากออกไปแซวไม่หยุดว่า ‘เพลย์บอย’ อย่างผมหมดลายเพราะหนุ่ม ‘เนิร์ช’ ใส่แว่นแต่น่ารักซะแล้ว ได้ฟังแทนที่จะโกรธมันผมกลับหัวเราะอย่างถูกใจ
“คุณฟินคะมีไปรษณียบัตรส่งถึงคุณค่ะ” ป้านอมยื่นไปรษณียบัตรมาให้ผมก่อนที่ผมจะก้าวขึ้นบันไดกลับห้องตัวเอง
เมื่อแรกผมยังนึกแปลกใจว่าใครส่งมันมา แต่พอได้เห็นรูปภาพที่ถ่ายจากมุมสูงมีสายน้ำกลางภาพด้านข้างมีร้านรวงเรียงรายและผู้คนเดินขวักไขว่ก็รู้ว่ามันเป็นภาพของ ‘ตลาดน้ำอัมพวา’ นึกถึงทริปนี้แล้วจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ และผมขอตัวป้านอมเดินกลับห้องตัวเองระหว่างทางก็พลิกดูว่าใครเป็นคนส่งมาให้ ผมไล่สายตาผ่านข้อความลงมาด้านล่างหาชื่อคนส่ง พอได้เห็นว่าใครเป็นผู้ส่งก็ยิ่งดีใจเพราะเป็นคนที่ผมคิดถึงอยู่ตลอดเวลานั่นเอง ส่วนข้อความที่คนตัวเล็กเขียนมาก็ยิ่งเรียกรอยยิ้มกว้างกว่าเดิม
“ถึง นายฟิน
เราให้ไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งนายเคยมาเที่ยวอัมพวา เพราะดูแล้วคนอย่างนายคงไม่ทำอะไรแบบนี้เองแน่
ปล.ขอบใจที่วันนี้เลี้ยงไอติมถ้วยใหญ่”
ผมอดคิดถึงใบหน้าเจ้าของไปรษณียบัตรนี้ไม่ได้ จึงเดินไปหยิบอัลบั้มรูปเล่มสีเขียวตองอ่อนจากชั้นวางติดผนังที่เรียงรายไปด้วยอัลบั้มรูป ผมมีนิสัยที่ชอบถ่ายรูปเก็บไว้เป็นความทรงจำในเหตุการณ์สำคัญต่างๆ และต้องอัดภาพออกมาไว้เก็บเป็นอัลบั้ม เพราะอย่างนั้นที่ห้องผมจึงมีแต่อัลบั้มเรียงเต็มไปหมด และเล่มสีเขียวในมือนี้ก็ถูกเลือกแล้วว่าสีนี้มันเหมาะกับทริปแรกที่ผมได้ไปกับมิคคนที่ผมเฝ้าคิดถึง ‘สีเขียว’ เป็นสีที่มองแล้วสดชื่นสบายตาสบายใจซึ่งเข้ากับมิคมาก เมื่อผมได้อยู่ใกล้มิคมีแต่สบายใจและรู้สึกสดชื่นกับนิสัยร่าเริงเหมือนเด็กของมิค เมื่อได้เล่มที่ต้องการแล้วผมหยิบมันมานั่งที่ชุดเก้าอี้ยาวในห้องนั่งเล่นบนชั้นสอง เปิดไปหน้าแรก
รูปใบแรกเป็นภาพรวมของพวกเราทั้งหมดที่หาดดอนหอยหลอดทุกคนยิ้มกว้างสายตาผมหยุดที่คนตัวเล็กใส่แว่นผมยุ่งฟูจากแรงลมพัดสองไม้สองมือเต็มไปด้วยถุงขนมกินเล่นที่แวะซื้อแถวนั้น ขนาดตอนนั้นผมแบ่งมาช่วยถือแล้วแต่ก็ยังดูเต็มมือของเจ้าของอยู่ดี
รูปถัดมาก็เป็นบรรยากาศของดอนหอยหลอดจนหยุดอยู่ที่รูปถ่ายใบหน้ามิคเกือบเต็มบานตอนที่เจ้าตัวอ้าปากกว้างเตรียมงับไอศกรีมที่จ่ออยู่ที่ปากและรูปใกล้กันเป็นรอยยิ้มหวานที่มิคเผลอยิ้มเมื่อได้ลิ้มรสไอศกรีมที่ชอบ ซึ่งเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นคือหลังพักผ่อนที่รีสอร์ทซักพักแล้ว พวกเราจึงนั่งเรือมาลงที่ตลาดน้ำในเวลาเย็นมีผู้คนพลุกพล่าน แถมคนยิ้มกว้างในรูปก็
ช็อปปิ้งอย่างสนุก พอหมดแรงก็เติมพลังด้วยไอศกรีมร้านนี้ที่มิคชอบมากเพราะมีให้เลือกหลายรส ถึงกับไปยืนเกาะตู้ไอศกรีมเพื่อเลือกรสชาดอยู่นานเหมือนเด็กๆ ผมยังจำได้ว่ามิคน่ารักขนาดไหนในตอนนั้น
“นายฟิน เราเลือกไม่ถูกอ่ะ อันนี้ก็อยากชิม รสนี้ก็อยากกินท่าจะอร่อย อ๊าเลือกไม่ถูก” มิคหันมาทำสายตาอ้อนวอนให้ผมแบบที่เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าทำเอาผมที่มองอยู่ใจละลายไปหมดแล้ว ขอเพียงเจ้าตัวพูดว่าอยากได้อะไรผมหามาให้ได้ทั้งนั้น
“เดี๋ยวสั่งไปหลายๆรสนะ แล้วนายช่วยเรากินล่ะ กินสองคนจะได้เลือกหลายๆก้อน นะๆ” แล้วมิคก็ได้เห็นการพยักหน้าแบบเบลอๆของผมไปเพราะตอนนั้นจำได้ว่าสมองหยุดสั่งการชั่วคราว เพราะมัวแต่มองเพื่อเก็บภาพและเสียงที่นานๆจะได้เห็นมิคอ้อนกันแบบนี้ซะที
อีกรูปที่หน้าถัดไปเป็นภาพของมิคถ่ายคู่กับเรือพายบริเวณที่ขายอาหาร ตาโตๆภายใต้แว่นนั้นเบิกกว้างเมื่อเห็นปลาหมึกตัวใหญ่กว่าหน้าตัวเองถูกวางปิ้งบนเตาย่าง และรูปที่เจ้าตัวเคี้ยวกุ้งที่ผมเป็นคนแกะให้แก้มตุ่ยเชียว เห็นแล้วอยากฝั่งจมูกไปที่แก้มใสจัง
พลิกเปิดไปอีกหน้าเป็นรูปภาพที่คนตัวเล็กภายใต้เสื้อชูชีพสีส้มตัวโต พื้นหลังรูปดำมืดแต่มีแสงระยิบระยับจากหิ่งห้อยอยู่เต็มไปหมด มีตัวหนึ่งที่กล้ามาเกาะเปล่งแสงที่ปลายจมูกโด่งของคนในรูปเห็นแล้วผมก็นึกอิจฉาไอ้หิ่งห้อยตัวนี้จังที่มันได้ใกล้คนน่ารักขนาดนี้ ผมคงเป็นเอามากอิจฉาแม้กระทั่งหิ้งห้อย ทำเอาต้องถอนใจเฮือกใหญ่กับความไร้สาระของตัวเอง
“ขอผลบุญที่ทำไปส่งผลเร็ววันเถอะ”
ผมเผลอเอ่ยประโยคนี้ออกมาเมื่อเห็นรูปที่อยู่ตรงหน้ามันเป็นประโยคที่ผมอธิษฐานในตอนนั้น ในภาพเป็นรูปที่ผมกับมิคนั่งคุกเข่าและช่วยกันหยิบของใส่บาตรพระที่พายเรือมารับบาตร ส่วนรูปด้านล่างเป็นตอนที่เราทั้งสองนั่งพับเพียบพนมมือรวมอยู่กับเพื่อนๆเพื่อรับพรพระหลังใส่บาตรกันแล้ว นึกแล้วก็ขำให้ความเจ้าเล่ห์ของไอ้ปรัชที่มันหาทางให้ผมกับตัวมันได้ใส่บาตรพร้อมกับคนที่ตัวเองชอบได้ เพราะทางรีสอร์ทเค้าจัดของใส่บาตรให้ห้องละชุดเท่านั้น และไอ้วินมันก็ต้องใส่กับแฟนมันส่วนมิคในตอนนั้นทำท่าจะไปใส่บาตรพร้อมหมอมาย แต่เรื่องอะไรที่ผมกับไอ้ปรัชจะยอมเลยชิ่งเดินไปถึงของใส่บาตรก่อนจนทำให้มิคต้องมาทำบุญใส่บาตรร่วมกับผมจนได้ และผมก็ได้อธิษฐานไว้ว่าให้ผลบุญที่ผมได้ทำในวันนั้นส่งผลให้มิคหันมารับรู้ความรู้สึกของผมและตอบรับมันด้วย ตอนนี้นอกจากเดินหน้าจีบมิคเต็มที่แล้วก็หวังสิ่งศักดิ์ให้ช่วยด้วยอีกแรง ผมไม่ได้งมงายนะแต่ขอแค่ท่านเป็นกำลังเสริมเท่านั้นและดูท่ามันเริ่มได้ผลแล้วล่ะมั้ง มันคงเริ่มจากเหตุการณ์ในรูปถัดมานี้
“นายฟินเอาแว่นคืนมานะ โอ๊ย มองไม่เห็นนะเนี่ย” คนตัวเล็กที่ต้องอาศัยแว่นในการใช้ชีวิตเมื่อโดนผมแกล้งดึงแว่นออกมาจึงโวยวายเสียงดัง
ตอนนั้นเราออกมาถ่ายรูปกันสองคนที่ริมหาดหัวหินหลังจากออกเดินทางจากอัมพวาแต่เช้าและเข้าพักที่บังกะโลที่หัวหินที่เราจองไว้ ชายหาดช่วงสายแบบนี้ยังไม่ค่อยมีคนนักร่วมกับเป็นหาดส่วนตัวของทางรีสอร์ทแห่งนี้ก็ทำให้มีผมกับมิคแค่สองคน และอารมณ์ผมตอนนั้นที่ต้องการเก็บภาพมิคไว้ทุกช่วงเวลาแต่ตั้งแต่ถ่ายมายังไม่มีภาพใบหน้าใสไร้แว่นสักรูปเลย จึงแกล้งขโมยแว่นจากมิคทำให้ต้องโดนมิคโวยวายใส่
แต่มันก็คุ้มเพราะทั้งสองหน้าของอัลบั้นนี้เต็มไปด้วยหน้ามิคที่ไม่มีแว่นมาบดบังความน่ารัก แต่มีหลากหลายอารมณ์ทั้งโมโห โกรธ งอน และสุดท้ายที่ไม่ใช่มีแต่ใบหน้าคนน่ารักเท่านั้นแต่มีใบหน้ายิ้มกว้างอย่างตากล้องแบบผมด้วย ที่สำคัญแบบสุดๆก็คือมีปากนิ่มของมิคมาแตะที่แก้มคนที่ยิ้มกว้างในรูปด้วย ทำเอาผมต้องคลี่ยิ้มออกมาเหมือนในรูป และเอามือลูบแก้มข้างที่โดนจุ๊บแก้มโดยคนตัวเล็กแบบไม่ตั้งตัว
เหตุการณ์ตอนนั้นผมรอจังหวะคนขี้งอนที่โวยวายอยู่ยังไม่ได้แว่นคืนจากคนขี้แกล้งแบบผม และเอาหน้าไปใกล้ยื่นกล้องสุดแขนและสะกิดเรียกหลอกคืนแว่นให้ มิคที่นึกว่าผมจะคืนแว่นจริงหันกลับมาจมูกและปากของมิคฝั่งที่แก้มผมเต็มๆแบบไม่ตั้งใจ ผมก็ได้ภาพที่อยู่ตรงหน้ามาแต่อย่าให้บอกว่าหลังจากนั้นผมโดนอะไรบ้างเลย เพราะพอมิคตั้งตัวได้หายอึ้งหน้าใสแดงก่ำแต่ตาลุกเป็นไฟ มือไวอย่างคาดไม่ถึงฟาดมาที่หน้าข้างที่มิคฝั่งจูบนั่นแหละเต็มแรงและเดินหนีไปไกล หลังจากผมหายอึ้งก็วิ่งตามมิคเป็นหนังอินเดียเลย
จนเรากลับมาถึงบังกะโลก็ได้เวลาไปเที่ยว ‘เพลินวาน’ ต่อ มิคที่ไม่มองหน้าผมไม่คุยด้วย แต่พอผมเผลอกลับแอบมองกันพอผมหันไปก็กลับหันหนี แต่ผมก็ทันเห็นว่าหน้าหวานขึ้นสีลามมาที่หูด้วย ตอนนั้นก็แอบเข้าข้างตัวเองว่าทำให้เด็กน้อยที่สนใจแต่เรื่องขนมของกินหันมาสนใจเรื่องของผมได้บ้าง ใจผมมันพองโตขึ้นมาเมื่อคิดถึงหน้าขึ้นสีของคนหน้าหวาน และการเที่ยววันนั้นผมที่ตามถ่ายรูปมิคตลอดแล้วต้องง้ออยู่นานกว่ามิคจะยอมคุยด้วย
“มิคครับฟินซื้อไอศกรีมรสสตอเบอร์รี่รสโปรดมาให้ครับ”
“มิคครับถ่ายรูปตรงนี้เร็ว วิวสวยมาก”
“มิคครับฟินแกะกุ้งให้นะ อ๊ะไม่ต้องๆเดี๋ยวฟินไปหยิบให้เอง มิคนั่งรอนี่นะ”
“มิคครับ มาชิมนี่เร็วอยากได้หม้อแกงแบบไหนเดี๋ยวฟินเหมาให้”
นั่นแค่บางส่วนจากปฏิบัติการง้อให้มิคยอมคุยด้วย และผมก็ทำสำเร็จเพราะว่ามิคยอมอภัยให้หรือเพราะรำคาญผมก็ไม่รู้ แต่สุดท้ายไม่ว่าจะเพราะอะไรผมก็พอใจที่มิคกลับมาคุยกับผมแม้จะได้ประโยคโวยวายมาก็ตาม
“โอ๊ย! นายฟินพอได้แล้ว เรารำคาญนายมาก” หน้ามุ่ยประกอบเพื่อยืนยันว่าเจ้าตัวรำคาญผมจริง แต่ผมไม่สนหรอกขอแค่ยอมคุยกับผมก็พอแล้ว
“ก็ฟินอยากให้มิคหายโกรธนี่หน่า วันนั้นฟินไม่ได้แกล้งแต่ตั้งใจรู้มั้ยครับ” บอกแล้วว่าเมื่อผมเดินหน้าจีบก็ทำเต็มที่ไม่มีกั๊ก ทำให้หลุดประโยคนี้ออกมาให้เจ้าตัวเค้ารู้ซะที มิคอึ้งตาโตหน้าแดงทันตาอ้าปากพะงาบๆแต่ไม่มีหลุดเสียงอะไรออก
มา จนกระทั่ง
“นายฟิน! นายนี่มันไม่เข็ดใช่มั้ย” เสียงดังใส่ผมพร้อมชี้หน้าผมอีกดีนะที่ตรงนี้ไม่มีคนไม่งั้นโดนมองแน่ๆ และใบหน้ามิคก็ยังแดงไม่เปลี่ยน
ผมจึงยิ้มพิฆาตใส่ตาคนเขินไปอีกดอก เล่นเอาเจ้าตัวอึ้งอีกรอบเพราะคงไม่เคยเห็นผมยิ้มโปรยเสน่ห์แบบนี้ให้ ผมไม่ปล่อยโอกาสไป จึงเอื้อมมือกุมมือนุ่มข้างที่ชี้นิ้วค้างมาที่ผมมากุมไว้
“ฟินยังยืนยันนะครับว่าไม่ได้ล้อเล่น มิคครับขอโอกาสให้ฟินรู้จักกับมิคและให้มิคทำความรู้จักตัวตนจริงๆของฟินบ้างนะครับ” มิคฟังจบประโยคก็ก้มหน้าทันที
“ใครเค้าอยากรู้จักตัวตนนายกัน” คนเก่งเค้ายังไม่ทิ้งลายขนาดเขินหลบหน้าหลบตาแบบนี้ยังเถียงผมอีก นี่ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่คนมีนิสัยเด็กแบบมิครู้จักเขินอายกับเค้าด้วย แถมอาการนี้มันเกิดจากผมด้วยยิ่งทำให้ผมมีความกล้าที่จะเอ่ยไปตรงๆ
“ฟินชอบมิคนะครับ มิคให้โอกาสเราสองคนนะ” มิคเงยหน้าแดงก่ำตาโตสบมองตาผมทันทีเมื่อผมสารภาพความรู้สึกไป แต่ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ
“ไม่ตอบงั้นแปลว่าตกลงนะ ไปเราไปซื้อของฝากต่อดีกว่านะ เดี๋ยวเพื่อนไม่รอแล้วมิคอดได้ของฝากกลับไปฝากครอบครัวนะ ไปเร็วครับ” ผมที่ฉวยโอกาสที่คนตัวเล็กยังอึ้งอยู่รวบรัดตัดความทันที และจูงข้อมือเล็กที่ผมกำจนรอบให้เดินตาม
หลังจากนั้นผมก็เป็นคนชวนมิคคุยแทนเพราะมิคที่เคยพูดไม่หยุดกลับเงียบเหมือนครุ่นคิดตลอดเวลา และบ้างครั้งก็จ้องเขม็งมาที่ผมและไม่พูดอะไร ไอ้ผมก็พอเข้าใจว่ามิคคงสับสนที่อยู่ๆผมก็บอกชอบและคงต้องให้เวลามิคปรับตัว แต่ในเมื่อผมเดินหน้ามาขนาดนี้แล้วไม่มีทางที่ผมจะถอยแม้ว่าตอนหลังมิคจะเอ่ยปฏิเสธ ผมก็ใช้ลูกตื้อและความหน้าทนไม่ยอมรับคำปฏิเสธนั้น นี่ก็ผ่านเหตุการณ์สารภาพว่าชอบมิควันนั้นของผมมาสองอาทิตย์แล้วก็ยังไม่ได้ยินคำปฏิเสธจากคนตัวเล็กเลย ผมก็หวังว่ามิคก็คงเริ่มชอบผมบ้างแล้วนะก็ขอผมเข้าข้างตัวเองหน่อยล่ะกัน มือผมลูบไล้แก้มของคนในภาพที่ส่งยิ้มกว้างมาให้ ผมล่ะอยากให้มิคอยู่ด้วยกันตรงนี้จังแต่ตอนนี้ทำได้เพียงจินตนาการเท่านั้น และตลอดช่วงที่เราห่างกันนี้ผมทำได้เพียงแค่โทรหาคนตัวเล็กที่ทำให้ผมคิดถึงตลอดเวลานี้แค่นั้น จะไปหาที่โรงพยาบาลก็โดนห้ามไว้ก่อน
“นายยังไม่ต้องมาหรอกช่วงนี้เรายุ่งมาก และที่สำคัญเรายังไม่ได้บอกกัสเรื่องนายเลย ขอเวลาเราหน่อยนะ”
มาอ้อนกันแบบนี้มีหรือผมจะไม่ยอมให้น่ะ คงต้องให้เวลามิคเค้าหน่อยล่ะผมก็คงต้องรอแต่ถ้านานเกินไป จะเป็นผมนี่แหละที่จะประกาศให้กัสรู้เอง ส่วนเพื่อนๆผมน่ะเหรอถึงมันไม่ได้ยินจากปากผมแต่เชื่อเถอะสนิทกันขนาดนั้นมีรึพวกมันจะจับสังเกตไม่ได้
“รูปใคร เห็นยิ้มอยู่คนเดียวนานแล้ว” เสียงแหบแบบคนสูงอายุดังขัดความคิดผม
ไม่ต้องมองก็รู้ว่าใครแต่ผมก็หันไปมองคุณตาที่มายื่นหน้านิ่งไม่แพ้เสียงอยู่ข้างหลังผมนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่จากประโยคนั้นก็พอรู้ล่ะว่านานพอที่จะเห็นผมยิ้มค้างกับอัลบั้มรูปในมือ ผมก้มมองภาพใบหน้าที่ยังยิ้มกว้างส่งมาให้และเมื่อตัดสินใจได้จึงเงยหน้าสบตาคุณตาและอมยิ้มมุมปาก ยื่นภาพที่เปิดไว้ให้กว้างขึ้นไปตรงหน้าท่านและเอ่ยให้ได้ยินชัดเจน
“นี่มิคแฟนผม”
.......................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ ^3^
ตอนนี้เราไปเที่ยวอัมพวาและหัวหินผ่านการเล่าเรื่องด้วยรูปถ่ายฝีมือฟินกันนะคะ
บางคนอ่านแล้วอาจจะงงแต่ถามมาได้ค่ะ เพราะอยากลองเปลี่ยนดูกลัวคนที่เคยอ่าน
ตอนไปเที่ยวกับคู่วินกัสแล้วจะเบื่ออ่ะ แต่คิดว่า(นะคะ)คนที่อ่านเรื่องนี้ก่อนก็น่าจะพอเข้าใจ(มั้ง)
และในที่สุดฟินก็จีบไม่มีกั๊ก ทำเอาเด็กน้อยอายไปเลย ฮิ้ววววว
ปล.+1ให้ทุกเม้นแล้วจ้า และมาติดตามความหวานของฟินกัสต่อวันพฤหัสฯน้า