-38-
ตั้งแต่เกิดมาภูไม่เคยต้องทำงานหนักแบบผู้ใช้แรงงานเลยสักครั้ง แม้แต่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างการมาอยู่ไทยแรกๆ กับแม่ในวัยเด็ก เขาก็ยังไม่เคยต้องเหนื่อยขนาดนี้ เหตุผลคงเป็นเพราะยังไม่ค่อยคุ้นชินกับการทำงานมากนัก อีกทั้งคนที่นี่ก็ดูเข้าถึงยากพอสมควร จึงทำให้อะไรๆ ก็ดูลำบากไปหมด เขารู้ดีว่าจริงๆ แล้วคนที่นี่ทุกคนล้วนเป็นคนดีและทำงานกันมานาน แม้แต่พ่อกับแม่ของเก้าก็ยังเป็นเช่นนั้น แต่สิ่งที่ทำให้คนเหล่านั้นไม่ยินยอมให้เข้าใกล้ง่ายๆ คงเป็นเพราะสถานะพิเศษที่เก้ามีให้เขา จะบอกว่าทุกคนที่นี่รักและหวงคุณหนูของตัวเองมากก็คงไม่ผิดนัก…
จนเมื่อย่างเข้าสัปดาห์ที่สอง สถานการณ์ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปช้าๆ…
“คุณภู มากินข้าวเร็วเข้า” คนงานที่แนะนำตัวว่าชื่อดำ แต่ถูกคุณหนูของตัวเองเปลี่ยนชื่อให้ใหม่เป็นเฮียแปดกวักมือเรียกยิกๆ จากศาลาที่มีคนงานมารวมกันอยู่หลายคน
“อันนี้ส่วนของคุณภู กินเลยกิน” คนงานอีกคนดันจานข้าวมาให้เขา ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ
ภูได้แต่มองข้าวในจานอย่างเงียบงัน ใช่ว่าเขารังเกียจกับข้าวพื้นๆ ธรรมดาๆ พวกนี้ เพราะเกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมาก็กินมาโดยตลอด เพียงแต่วันนี้มันไม่เหมือนกัน เพราะเมื่อวานดันไปสัญญากับกระต่ายบางตัวว่าจะรอมันมากินข้าวด้วยที่นี่
“พี่ภู!” แล้วเสียงของคนที่กำลังคิดถึงก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ภูหันหน้ากลับไปมองแล้วก็ต้องยกยิ้มขัน เมื่อเห็นกระต่ายตัวก้อนๆ กำลังวิ่งมาหาโดยมีใครอีกคนวิ่งตามมาทั้งหน้าตาตื่น
“คุณหนู! รอร่มก่อนสิครับ” สองที่เป็นคนสนิทตะโกนไปหอบไป โดยพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะกางร่มให้คนร่าเริงที่วิ่งนำอยู่ด้านหน้า แต่พอตามทันคุณหนูของบ้านก็เข้ามาถึงศาลาเสียแล้ว กลายเป็นคนวิ่งตามแทบจะล้มลงไปกองกับพื้นเพราะความเหนื่อย
“ผมเอากับข้าวมาเพิ่มให้ด้วย” กระต่ายก้อนพูดจ้อพร้อมทั้งแกะกล่องใส่กับข้าวที่ถือมาออก มันทำการแหวกวงคนงานเข้ามาโดยไม่ถือศักดิ์ ก่อนจะวางกับข้าวห้าหกอย่างไว้กลางวง “อันนี้ผมช่วยนมสายทำ เจ๋งมะ”
“โห…คุณหนูทำเองเลยเหรอครับ”
“น่ากินมากเลยครับคุณหนู”
“คุณหนูเก่งมากเลยครับ”
บรรดาคนงานที่ล้อมวงอยู่ชื่นชมคุณหนูของตัวเองกันยกใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างเก้าย่อมยืดอกรับอย่างภาคภูมิใจโดยไม่คิดปฏิเสธ ภูได้แต่ส่ายหน้าหน่าย มองทั้งเจ้านายและลูกน้องที่ขยันเข้าข้างกันเหลือเกินอย่างเพลียๆ แต่พอเห็นเขาจ้องมากเข้าคนที่กำลังยืดอกก็ทำหน้าตาตกใจ ก่อนจะรีบตักกับข้าวให้
“พี่ภูหิวใช่เปล่า กินเลยๆ”
“กินได้หรือเปล่า” เขาแกล้งเลิกคิ้วมองมันแบบไม่ไว้วางใจ เล่นเอากระต่ายทำหน้าบึ้งตึงแล้วตักข้าวในจานเข้าปากตัวเองคำโต
“พิสูจน์แล้ว อร่อยชัวร์” มันพยักหน้าหงึกหงักยืนยัน ปากก็เคี้ยวข้าวยกใหญ่โดยไม่ห่วงภาพลักษณ์ ภูเลยทำได้เพียงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วตักกินบ้าง ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่มันโฆษณาเท่าไหร่นัก กับข้าวที่มันทำอร่อยจริงๆ “เป็นไง”
มันทำหน้าตาตื่นเต้นจ้องมองเขาด้วยความตั้งใจ ทำเอาคนถูกถามที่กำลังจะเอ่ยปากชมต้องหุบปากเงียบแล้วแกล้งทำหน้าครุ่นคิดอย่างอดไม่ได้ เห็นท่าทางเหมือนเด็กๆ ของมันเมื่อไหร่เขาก็อยากแกล้งขึ้นมาทุกที แล้วก็เป็นไปตามที่คิด…กระต่ายก้อนทำหน้าเครียดโดยไม่รู้ตัวจริงๆ
“ไม่อร่อยเหรอ”
“อร่อย” เขาเลิกแกล้งแล้วออกปากชมก่อนที่คนร่าเริงจะห่อเหี่ยวขึ้นมาจริงๆ และแค่คำพูดสั้นๆ ก็ทำให้คนฟังยิ้มได้แทบจะทันที เพียงเท่านั้นเสียงซุบซิบด้วยความไม่พอใจของบรรดาเฮียๆ ผู้หวงคุณหนูของตัวเองก็ดังขึ้นรอบโต๊ะ
“หมั่นไส้…”
“ฮือ…คุณหนู”
ถ้าเป็นช่วงแรกๆ ภูก็คงคิดมากอยู่เหมือนกัน เพราะคนเหล่านี้แทบจะไม่สนใจเขาเลย ยิ่งรู้ว่าเก้าให้ความสำคัญกับเขามากเท่าไหร่ก็ยิ่งแยกตัวออกห่าง ทำตัวเหมือนนายใหญ่ของที่นี่ไม่มีผิด เพราะงั้นเขาถึงได้พยายามทำทุกอย่างให้คนเหล่านี้ยอมรับ และความพยายามนั้นก็เริ่มสัมฤทธิผลมากขึ้นเรื่อยๆ จนพวกนั้นยอมคุยและยอมรับเขามากขึ้นแล้ว ถึงแม้ทุกครั้งที่เป็นเรื่องของเก้าจะดูเข้มกันอยู่เหมือนเดิม แต่ก็ออกไปทางหวงมากกว่าไม่พอใจ
“พี่ภู วันนี้ผมไปเล่นกับเดอะแก๊งมาตอนเช้า พวกมันบอกว่าอยากอาบน้ำแล้ว” กระต่ายที่ไม่เคยอยู่นิ่งได้นานหาเรื่องพูดคุยต่อ และเมื่อภูหันไปมองเป็นเชิงถามมันก็พูดออกมาด้วยความกระตือรือร้น “วันนี้ผมไปขออนุญาตป๋ามา บอกว่าอยากให้พี่ภูไปช่วยอาบน้ำเดอะแก๊ง ป๋าเลยยอมอนุญาต บอกว่าวันนี้พี่อยู่ในไร่แค่ครึ่งวันพอ”
“มึงคุยกับหมารู้เรื่องเหรอ ถึงบอกว่าพวกมันอยากอาบน้ำ” ภูถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบ
“มันไม่ตอบแสดงว่ามันตกลงไง”
“ใครสอนให้มึงคิดแบบนี้เนี่ย” เขาผลักหัวคนที่กำลังหัวเราะอารมณ์ดีด้วยความหมั่นไส้ เหตุผลที่มันพูดแบบนั้นออกมาไม่ใช่ว่ามันคิดจริงๆ แต่เป็นเพราะมันอยากให้เขาอารมณ์ดีตามไปด้วย เรื่องนั้นภูรู้ดีที่สุด แต่เห็นสีหน้าจริงจังของมันทีไร เขาก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ทุกที
“พี่รีบกินเร็ว จะได้ไปอาบน้ำเดอะแก๊งกัน”
“อืม”
ภูจำได้ว่าเขาเคยได้รับคำสั่งให้อาบน้ำฝูงหมาของเก้าในวันแรกที่เริ่มทำงาน แต่วันนั้นเขาขลุกอยู่ในไร่ทั้งวัน กลับไปอีกทีก็มีคนอาบให้พวกมันไปแล้ว หลังจากนั้นเขาก็วนเวียนอยู่กับการทำงานในไร่หรือไม่ก็ไปช่วยงานบัญชีของแม่เก้าอยู่ทุกวัน ที่ครั้งนี้เด็กนี่ไปขอพ่อให้เขาไปช่วยงานเล็กๆ อย่างการอาบน้ำหมาก็คงเพราะอยากให้เขาพักบ้าง
“ไปเลยคุณภู เดี๋ยววันนี้พวกผมจัดการเอง” แปดซึ่งเป็นหัวหน้าคนงานในไร่พยักหน้าให้เขา ก่อนจะบอกให้รีบเดินตามคุณหนูของตัวเองไป ภูเลยพยักหน้ารับแล้วเดินจากไปพร้อมเก้า
ระหว่างทางเดินกลับไปที่บ้านพักของเขาซึ่งเก้าบอกว่าเอาพวกหมาไปทิ้งไว้ที่นั่นแล้ว กระต่ายก้อนทำหน้าตาอารมณ์ดีมีความสุขอยู่ตลอดเวลา จนไม่แม้แต่จะหันมาชวนเขาคุยแบบที่มักทำ ภูเหลือบตามองแล้วก็ได้แต่อมยิ้มตาม เห็นมันมีความสุขไม่เหมือนช่วงแรกๆ ที่ทำหน้าตาเศร้าๆ เพราะเห็นเขาทำงานหนักแล้วก็โล่งใจ
“เดินนานหน่อยนะพี่ ผมไม่ได้เอารถมา” มันหันมาบอกยิ้มๆ แล้วตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อ ไม่ต้องถามภูก็รู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายจงใจไม่เอามาเพราะอยากอยู่กับเขานานๆ
เป็นความคิดที่ทั้งเด็ก…แล้วก็น่ารักพอๆ กัน
เมื่อได้กลับมาเจอมันอีกครั้งหลังจากห่างกันไปนานถึงสองปี ภูก็พบว่ากระต่ายของเขาดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ยามอยู่ที่อังกฤษมันคอยช่วยเหลือและคิดแทนเขาอยู่หลายครั้ง แถมความคิดหลายๆ อย่างก็เห็นแก่คนอื่นเป็นสำคัญมากกว่าแต่ก่อนพอสมควร แต่พอเคลียร์เรื่องราวทั้งหมดแล้ว รวมถึงได้กลับมาอยู่บ้านซึ่งมีครอบครัวที่รักตัวเองมากๆ อยู่ กระต่ายก้อนที่เป็นผู้ใหญ่มาหลายเดือนก็เผยมุมเด็กๆ ตามนิสัยของตัวเองออกมาในที่สุด…ซึ่งมันก็ไม่ได้สร้างความรำคาญให้เขาแต่อย่างใด กลับกันภูคิดว่าเขาชอบเห็นมันเป็นแบบนี้ด้วยซ้ำ เพราะมันดูมีความสุขมากกว่าปกติ แล้วเขาก็เชื่อว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เป็นเรื่องที่ต้องจริงจัง มันก็จะกลับไปเป็นผู้ใหญ่เหมือนเดิมได้แน่นอน
เพราะงั้นตอนนี้ให้มันเป็นเด็กให้เต็มที่…เป็นกระต่ายก้อนที่ชอบทำหน้าอ้อนเขาโดยไม่รู้ตัวก็ดีแล้ว
“พี่นั่งก่อน”
ภูมองตามหลังคนที่ออกคำสั่งในทันทีที่มาถึงบ้านเงียบๆ เขายอมนั่งลงตามที่มันพูดเพราะอยากรู้ว่าเจ้าตัวจะทำอะไร และวินาทีต่อมาก็ได้รับคำตอบ เมื่อสิ่งมีชีวิตหน้าขนกว่าหกตัววิ่งดุ๊กดิ๊กมาจากหลังบ้าน
“ห้ามขึ้นโซฟานะ ยังไม่ได้อาบน้ำ” เจ้านายของพวกมันตะโกนสั่ง ก่อนจะก้าวเท้าเดินตามมา ภูมองหมาหกตัวนั่งเรียงกันอยู่ที่พื้นด้วยความประหลาดใจ เขาคิดว่าคนที่นี่คงจะฝึกพวกมันมาดีมากถึงได้เชื่อฟังคำสั่งขนาดนี้ และอีกอย่าง…
“คุยกับหมารู้เรื่องจริงๆ ด้วย”
กระต่ายก้อนชักสีหน้า แต่มันคงรู้ตัวว่าคนพูดเปิดประเด็นเรื่องนี้ไว้ในตอนแรกคือตัวเอง เพราะงั้นถึงได้ยอมเมินทำเป็นไม่สนใจและไม่ได้เถียงอะไร
“พาพวกมันไปอาบน้ำกัน วันนี้พี่จะได้พัก”
ภูหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง เขาขยับกายลุกขึ้นยืนก่อนจะบอกให้มันนำทางไป แล้วเก้าก็พาเขามาที่หลังบ้านซึ่งมีสายยางกับแชมพูอาบน้ำหมาวางไว้อยู่แล้ว
“พี่เคยอาบน้ำหมามาก่อนไหม”
“ไม่”
“ดีเลย” มันบอกก่อนจะยิ้มแป้น และนั่นทำให้เขาต้องหรี่ตาลงโดยอัตโนมัติ “ผมก็ไม่เคยเหมือนกัน”
ภูกลอกตาเมื่อสิ่งที่มันพูดตรงกับสิ่งที่เขาคิดจริงๆ คิดอยู่แล้วว่าคนที่นี่คงไม่ปล่อยให้คุณหนูของบ้านอาบน้ำหมาด้วยตัวเอง แถมเจ้าตัวก็ไม่น่าจะขยันอยู่แล้วด้วย ดูจากนิสัยแล้วน่าจะเป็นคนพาไปทำเลอะเสียมากกว่า
“ไปเลือกตัวแรกมา” เขาออกคำสั่ง ก่อนจะพับแขนเสื้อกับขากางเกงของตัวเองขึ้น จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้เตี้ยๆ ที่วางอยู่สองตัว ซึ่งคนที่พยายามทำตัวให้มีประโยชน์ก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างตั้งใจ แล้ววิ่งไปจับหมาฮัสกี้ตัวโตมาเป็นลำดับแรก
“หมาปัญญาอ่อน” มันจับหน้าหมาฮัสกี้ของตัวเองไว้แล้วเบะปากใส่ ภูได้แต่ส่ายหน้าหน่ายขณะมองไปยังคนที่กำลังจ้องหมาฮัสกี้ตาเขม็ง “ทำไมมึงเหมือนไอ้โซจังวะ”
“เอาเพื่อนไปเปรียบกับหมาอีก”
“อย่าว่าแต่ผมเลย ขนาดเมียมันยังบอกว่ามันเหมือนหมา” มันอธิบาย ก่อนจะขยี้หัวหมาตัวโตด้วยความหมั่นไส้ เห็นแบบนั้นแล้วเขาก็เงียบไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
สรุปแล้วถึงจะทำท่าทางอยากช่วย แต่หลังจากจัดการหมาฮัสกี้เสร็จไปตัวเดียว เขาก็ออกคำสั่งเด็ดขาดให้กระต่ายก้อนคอยจับหมาอยู่เฉยๆ เพราะถ้าขืนยังให้มันช่วย นอกจากจะอาบน้ำให้หมาไม่เสร็จเสียทีแล้วมันยังจะทำให้เขาเปียกไปทั้งตัวด้วย
“คุณอชิรา…”
ภูหยุดมือที่กำลังล้างตัวให้หมาตัวสุดท้าย ก่อนจะหันไปมองตามเสียงเรียก เช่นเดียวกันกับเจ้าของชื่อที่รีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาแม่ตัวเอง
“จ๋ามาไม”
“คุณป๋าเรียกหาค่ะ คุณแม่ให้คนรออยู่หน้าบ้านแล้ว เสร็จแล้วค่อยกลับมาอีกที”
เก้าขมวดคิ้วมองคนพูดด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ ถึงอย่างนั้นเมื่อหันไปเห็นใครอีกคนพยักหน้าให้ก็ยอมตกลง โดยไม่ลืมหันไปย้ำกับแม่ตัวเองอีกที
“ห้ามแกล้งพี่ภูนะ”
สิ้นคำ เจ้าตัวก็รีบวิ่งไปหน้าบ้านอย่างรวดเร็วเพราะจะได้รีบกลับ ปล่อยให้คนสำคัญของตัวเองทั้งคู่ยืนจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้น
เนิ่นนานหลายนาทีก็ไม่มีใครแสดงท่าทีอะไรออกมา ภูมองธารินทร์นิ่งงันเช่นเดียวกับที่เธอมองเขา หนึ่งคนมีใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ ส่วนอีกคนหนึ่งมีใบหน้ายิ้มแย้มทว่าดูอันตราย หากในยามนี้คนสำคัญของที่นี่ซึ่งเพิ่งวิ่งจากไปมาเห็น เจ้าตัวคงจะบ่นว่าจ๋าของตัวเองน่ากลัวยิ่งกว่าป๋าเสียอีกเป็นแน่
“คุณแม่มีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” แล้วก็เป็นภูที่เลือกทำลายความเงียบก่อนตามมารยาท เขาก้มตัวลงปิดน้ำ จากนั้นก็วางสายยางลงแล้วยืดตัวยืนตรง แม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ผู้หญิงใจดีที่จะยอมยกลูกชายให้ง่ายๆ แต่เขาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเดินทางมาหาด้วยตัวเองแบบนี้
“คุณแม่แค่จะมาเตือนอะไรคุณภูสักนิดค่ะ” ธารินทร์แย้มรอยยิ้มสวยไปถึงดวงตา เธอจ้องมองคนที่ลูกชายเลือกด้วยความชอบใจเมื่อพบว่าเขาไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา ทั้งยังเหมือนจะรู้อยู่แล้วด้วยว่าเธอจะมาหา
“เชิญครับ”
“คุณภูดูไม่ตกใจเลยนะคะ”
“ผมทราบดีอยู่แล้วว่าคุณแม่คงไม่ยกลูกชายให้ง่ายๆ” ภูตอบกลับไปตามความจริง ก่อนจะสังเกตท่าทีของฝั่งตรงข้ามอย่างละเอียดผ่านสายตาเรียบนิ่งเย็นชา ยิ่งได้พูดคุยโดยไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยแบบนี้เขาก็ยิ่งมั่นใจว่า…คนตรงหน้าน่ากลัวกว่าพ่อของเก้าที่แสดงออกอย่างชัดเจนหลายเท่า
“อย่าเข้าใจผิดค่ะ” ธารินทร์ยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะเดินเข้าใกล้คนตัวเปียกที่ยังคงยืนนิ่งเป็นก้อนหินมากขึ้น “คุณแม่บอกว่ายอมรับก็แสดงว่ายอมรับ ไม่คิดคืนคำ ยิ่งเห็นคุณภูพยายามเพื่อคุณอชิรามากขนาดนี้ จะให้ใจร้ายใจดำก็คงไม่ได้”
“…”
“เพียงแต่…” รอยยิ้มสวยบนใบหน้าจางลงเล็กน้อยเมื่อมองสบกับดวงตาสีเทาของว่าที่ลูกเขย “แม้คุณอชิราจะโง่ บ้า ปัญญาอ่อนขนาดไหนก็ยังเป็นลูกชายคนเดียวของคุณแม่”
“…”
“ถึงคุณแม่จะยอมรับคุณภูแล้ว แต่ถ้าทำให้คุณอชิราเสียใจขึ้นมา…” ธารินทร์จับมือเปียกชื้นของคนที่เธอยอมรับขึ้นมาแล้วตบเบาๆ ราวกับจะย้ำ “ไม่ต้องให้ถึงมือคุณป๋า…คุณภูรู้ใช่ไหมคะว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงบีบที่มากขึ้น ภูจ้องมองใบหน้าของคนตรงหน้านิ่งงัน ก่อนเขาจะเป็นฝ่ายบีบมือนั้นกลับเป็นการตอบคำถาม
“ถึงเวลานั้นถ้าคุณแม่อยากฆ่า…ผมก็จะมาให้ฆ่าถึงที่”
มันไม่ใช่เพียงการให้สัญญากับธารินทร์ แต่หมายรวมถึงการให้สัญญากับตัวเองว่า…เขาจะไม่มีวันทำให้มันเสียใจเป็นอันขาด
เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนเต็มที่แขกผู้มาเยือนถูกใช้งานหนักยิ่งกว่าคนงานทั่วไป จากแรกเริ่มที่ต้องทำงานในไร่ส้ม ภูเริ่มได้รับงานทางด้านเอกสารเพิ่มเติมเข้ามา เขาได้รับคำสั่งจากธารินทร์โดยตรงให้ช่วยดูแลบัญชีเป็นการชั่วคราว หลังจากที่คนทำบัญชีคนเก่าขอลางาน ซึ่งภูก็เต็มใจทำทุกอย่าง เพราะเขามีความสุขทุกครั้งที่กระต่ายก้อนเข้ามาพัวพันและพยายามทำให้เขายิ้ม
แน่นอนว่ามันโดนพ่อกับแม่ขังไว้ในบ้านอยู่บ่อยครั้งเพราะมาหาเขาบ่อยเกินไป บางครั้งไม่ใช่แค่มาหา แต่ถึงขั้นมาช่วยรดน้ำต้นส้มอยู่เกือบครึ่งวัน ทำเอาคนงานทำงานกันแทบไม่ได้เพราะเป็นห่วงคุณหนูกันเหลือเกิน แต่ถึงมันจะโดนขังหรือห้ามยังไงก็ยังแอบปีนระเบียงออกมาหาเขากลางดึกได้ทุกวัน ภูไม่เคยตำหนิเพราะเขาเองก็อยากเจอมันไม่แพ้กัน เขาชอบเวลาที่มันมาบีบๆ นวดๆ แล้วถามว่าเหนื่อยไหม หรือบางทีก็พูดจากวนตีนเพื่อให้ยิ้ม
แม้จะเหนื่อย…แต่ทุกๆ วันก็เต็มไปด้วยความสุข
[เฮเลนบอกว่าจะพาผมไปหาอาซีก่อน แล้วถึงจะไปหาพี่]
“อืม ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย”
[ครับ]
ภูละสายตาออกจากจอโทรศัพท์ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ หลังจากคิดใคร่ครวญอยู่นาน เขาตัดสินใจบอกแม่เลี้ยงตัวเองว่ายังไม่อยากให้ภามมาหา เพราะเขายังทำให้ครอบครัวเก้ายอมรับไม่ได้ ถึงจะรู้ว่าทุกคนใจดีและแบ่งแยกสถานะได้แน่นอน แต่เขาก็ยังไม่อยากให้น้องชายมาเห็นตอนตัวเองทำงานหนักแบบนี้อยู่ดี ภามอาจไม่พูดอะไร แต่ถ้าวันไหนมีปัญหาขึ้นมาเขากลัวว่ามันจะไม่จบง่ายๆ…ยังไงเรื่องของภามก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และภูคิดว่าการป้องกันไว้ย่อมดีกว่าการตามแก้ทีหลังแน่นอน
“หมดเวลาพักแล้วนะคุณภู!”
“รู้แล้ว” ร่างสูงโปร่งขยับกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปหาแปด ทว่าเดินไปได้ครู่เดียวก็ต้องหยุดเท้าแล้วยกมือนวดขมับที่ปวดตุบของตัวเองเบาๆ คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อรู้สึกถึงลางไม่ดี ร่างกายที่เหนื่อยล้าสะสมมานานกำลังร้องเตือนว่าถึงเวลาที่เขาควรพักได้แล้ว
การได้นอนน้อยติดต่อกันหลายวันเพราะต้องติดต่องานที่อังกฤษในเวลากลางคืน ทำให้ร่างกายของตัวเองเริ่มรับไม่ไหว เรื่องนั้นภูรู้ดีที่สุด แต่เขาก็ยังฝืนทนทำต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะไม่รู้ขีดจำกัดของตัวเอง เพียงแต่เขาเคยชินกับการทำงานเกินขีดจำกัดอยู่แล้ว ตั้งแต่สองปีก่อนที่เริ่มทำงานที่บริษัทในฐานะประธานเขาก็เป็นแบบนั้นมาโดยตลอด มาได้พักจริงจังก็ช่วงที่โดนกระต่ายบางตัวสั่งให้หยุดวันอาทิตย์
“คุณภู โอเคหรือเปล่า” แปดแตะแขนของคนข้างๆ ด้วยความเป็นห่วง เพราะสนิทที่สุดเขาถึงได้รู้ว่าคุณชายคนนี้ทำงานหนักมากขนาดไหน แม้อยากบอกให้พัก แต่เขาก็ยังไม่กล้าขัดคำสั่งของนายที่ป้อนงานให้อีกฝ่ายอยู่ทุกวัน
“โอเค” ภูยืดกายตั้งตรง ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าให้กลับไปราบเรียบเหมือนเคย
“เออใช่…คุณหนูฝากบอกว่าออกไปข้างนอกกับคุณผู้หญิงนะ เดี๋ยวเย็นๆ จะมาหา”
“อืม” คนฟังถอนหายใจโล่งอก ดีแล้วที่มันไม่ได้มาที่นี่ เพราะถ้ามันมา แค่นาทีแรกก็ต้องสังเกตเห็นแน่
เวลานี้เขาไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าตัวเองจะเป็นยังไง…แต่เขากังวลว่าถ้าใครอีกคนรู้แล้วมันจะเป็นห่วงจนต้องทำหน้าเศร้ามากกว่า และถ้าเป็นแบบนั้น…ภูคงเจ็บมากกว่านี้อีกหลายเท่า
“ถ้าไม่ไหวโทร. เรียกผมนะ” แปดตบบ่าคนข้างๆ เบาๆ ก่อนจะเดินไปอีกทางเมื่อมาถึงจุดที่พวกเขาต้องแยกกันไปทำงาน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ตรงนี้แล้วกายสูงก็ทรุดลงนั่งยองๆ ที่พื้น ยกมือบีบขมับที่เริ่มปวดมากขึ้นของตัวเองแรงๆ ราวกับจะบังคับให้มันหยุดปวด
หลังจากสะบัดหัวเรียกสติอยู่หลายครั้งเขาก็สามารถลุกขึ้นได้ในที่สุด สีหน้าที่เคยราบเรียบเย็นชาฉายแววเคร่งเครียดเมื่อรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังจะไม่ไหว และสุดท้ายเขาก็ไม่สามารถต่อสู้กับอาการปวดหัวของตัวเองได้
“ก้อน…” รู้ตัวอีกทีภาพในสายตาก็เลือนราง ก่อนจะดับลงพร้อมกับที่ร่างสูงโปร่งล้มลงไปนอนอยู่ที่พื้น
ท่ามกลางความมืดและแดดร้อนจัดในเวลากลางวัน ภูได้ยินเสียงคุ้นเคยของใครสักคนเรียกเขาจากที่ไกลๆ เปลือกตาที่ปิดสนิทพยายามปรือขึ้นมอง เมื่อเริ่มรู้สึกว่าเสียงของคนคนนั้นเริ่มสั่นเครือมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสียงปนสะอื้นในที่สุด
“เฮีย! ใครก็ได้!…ฮึก”
คนตะโกนร้องขอความช่วยเหลือด้วยเสียงที่เหมือนใจจะขาด ฝ่ามือเย็นเฉียบพยายามลูบใบหน้าของคนที่กำลังหลับตาให้รู้สึกตัว แต่เมื่อไม่ได้รับการตอบรับ น้ำตาที่ไหลเป็นทางก็ล้นทะลักมากกว่าเดิม
“พี่ภู พี่ภู”
ภูรู้สึกว่าเสียงนั้นดังชัดมากขึ้นเรื่อยๆ แม้เขาจะมองไม่เห็น และในที่สุดความพยายามก็สัมฤทธิผล เมื่อเขาสามารถเค้นแรงเพื่อลืมตามองมันจนได้
“พี่ภู อย่าหลับตานะ แป๊บเดียว…ฮึก…ใครก็ได้! มาช่วยผมหน่อย!” มันพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูปวดร้าว ก่อนจะเงยหน้ามองไปรอบๆ แล้วพยายามคุ้ยกระเป๋าตัวเองหาอะไรบางอย่าง “โอ๊ย! ไอ้เหี้ย!…ฮึก…ลืมโทรศัพท์ไว้อีก ไอ้สัตว์!”
ภูอยากจะขำก็ขำไม่ออก เขาเห็นตามันแดงก่ำ น้ำตาไหลเป็นทางจนอยากจะยกมือขึ้นเช็ดให้ แต่ติดอยู่ที่ไม่มีแรงแม้แต่น้อย สุดท้ายกระต่ายไร้ความอดทนก็หุบปากฉับราวกับกำลังพยายามตั้งสติ มันหยิบโทรศัพท์ออกไปจากกระเป๋ากางเกงของเขา ก่อนจะกดโทร. หาใครสักคนแล้วเรียกให้ฝั่งนั้นมาหา จากนั้นก็หันมาพยุงเขาให้ลุกขึ้น
“พี่ทนก่อนนะ” มันบอกแล้วพยายามแบกเขาขึ้นหลัง แต่ด้วยสัดส่วนที่ต่างกันพอควรเลยทำให้ทุกอย่างดูยากลำบากไปหมด ภูอยากจะบอกให้มันพอ เขาไม่อยากให้มันเหนื่อย แต่สุดท้ายกระต่ายก้อนก็พาเขามาถึงร่มไม้จนได้ “พี่อย่าเป็นไรนะ…เพราะป๋าสั่งงานหนักไปแน่ๆ ถึงเป็นแบบนี้ ผมจะโกรธป๋า จะงอนสามวัน จะฟ้องจ๋าด้วย แล้วก็…”
ไม่รู้ว่าน้ำตามันหยุดไหลตั้งแต่เมื่อไหร่ บางทีอาจจะตั้งแต่ที่ตั้งสติได้และรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่พอหายเครียดแล้วก็บ่นงุ้งงิ้งไม่หยุดอยู่นานหลายนาที จนเมื่อภูหัวเราะออกมาเบาๆ มันถึงได้หันกลับมาสนใจ
“พี่เป็นไงบ้าง”
“โอเค” ภูตอบสั้นๆ แต่คนฟังกลับทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความไม่พอใจ เขาเลยต้องพูดต่อช้าๆ “ปวดหัว”
“เดี๋ยวเฮียสองก็เอารถมาแล้ว รอก่อนนะ”
“อืม” เขาตอบรับพร้อมกับจ้องหน้ามันเงียบๆ เมื่อได้เห็นเหงื่อเม็ดโตไหลลงมาตามกรอบหน้าของมันแล้วก็รู้สึกผิดอยู่ในใจ และคงเผลอแสดงสีหน้าออกไป มันถึงได้ยกมือเช็ดเหงื่อตัวเองเป็นการใหญ่
“ตอนแรกผมก็จะไปกับจ๋าแล้วนะ แต่มีตัวเงินตัวทองวิ่งผ่านรถ จ๋าบอกลางไม่ดีไม่ไปดีกว่า ผมเลยรีบมาหาพี่” กระต่ายก้อนพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงร่าเริง เขาเลยต้องยกยิ้มตามเมื่อเห็นความตั้งใจของมัน
“ขยับมาใกล้ๆ” ภูพูดเสียงแผ่ว ซึ่งคนฟังก็ทำหน้างงอยู่ครู่เดียว ก่อนจะขยับเข้ามาหาตามคำสั่ง เห็นแบบนั้นแล้วเขาก็ฝืนยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาที่ยังติดอยู่บนแก้มใสให้แผ่วเบา
กระต่ายของเขาทำหน้าตาตกใจ มันยกมือกุมสองแก้มแดงเถือกของตัวเองไว้แล้วนั่งเงียบไม่พูดไม่จา ภูรู้ดีว่ามันกำลังเขิน และเขาก็กล้ายอมรับว่าชอบมากจริงๆ ยามได้เห็นมันแสดงอาการแบบนั้น เพียงแต่ความอ่อนล้าที่ยังคงอยู่ทำให้สติที่มีเริ่มจางหายไปอีกครั้ง แม้แต่เรี่ยวแรงก็ดูราวกับจะถูกใช้ไปจนหมดกับการเช็ดน้ำตาให้มันเมื่อครู่
“กูนอนแป๊บเดียว” เขาบอก ก่อนจะเอนกายไปพิงไหล่มันไว้…แล้วสติที่มีทั้งหมดก็จางหายไป
“ทำไมป๋าทำแบบนี้!”
“ตัวเล็ก…”
“เฮียแปดต้องรายงานป๋าอยู่แล้วว่าพี่ภูอาการไม่ค่อยดี แต่ป๋าก็ยังสั่งให้เขาไปทำงาน”
ภูขยับกายเล็กน้อยเมื่อรับรู้ได้ถึงเสียงรบกวนจากคนรอบข้าง เขาจำได้ว่าเสียงหนึ่งคือเสียงของกระต่ายก้อนที่กำลังโวยวาย ส่วนอีกเสียงคือนายใหญ่เจ้าของที่นี่ ถึงอย่างนั้นอาการอ่อนล้าและปวดหัวที่รุมเร้าก็ทำให้เขาไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะพูดอะไร
“ตัวเล็ก ป๋า…”
“ป๋า…พอเถอะนะ”
เขาพยายามฝืนลืมตาเมื่อได้ยินเสียงเก้าพูดด้วยความปวดร้าว และในที่สุดเขาก็ทำได้สำเร็จ…ภาพที่เห็นตรงหน้าคือคนสองคนซึ่งกำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่ โดยไม่ได้สังเกตเห็นว่าเขาตื่นแล้ว
“เรายอมหมดแล้ว อย่าแกล้งพี่ภูเลยนะ” คนพูดยกมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ ด้วยท่าทางน่าสงสารที่ทำให้คนมองปวดใจ และคนที่น่าจะปวดใจยิ่งกว่าคงเป็นเจ้าของไร่ที่กำลังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตาม
“ตัวเล็ก อย่าร้อง…”
“เรารอเขามาสอง…ไม่สิ…สามปี เราพยายามทำให้เขาหันมามอง…ฮึก…สุดท้ายความพยายามก็ชนะใจเขาได้ ป๋าอย่าทำลายความพยายามของเราเลยนะ”
“ป๋าไม่ได้…”
“เรารู้ว่าป๋ารักเรา แล้วก็อยากให้เขาพิสูจน์ตัวเอง แต่แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอป๋า เขาทำงานให้เรามาเป็นเดือนแล้วนะ ทำทุกวันไม่มีหยุด ทำทุกอย่างยิ่งกว่าที่เฮียๆ ทำ” เก้าพูดเสียงสั่นเครือพลางกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่นไม่ให้มีเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา
“ตัวเล็ก…อย่าร้องนะครับ…โอ๋ๆ ป๋าขอโทษนะ” ว่าแล้วนายใหญ่เจ้าของไร่ก็ดึงตัวคนที่กำลังสะอึกสะอื้นเข้าไปกอดไว้แน่นพลางลูบหัวลูบหลังปลอบยกใหญ่ สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจ ก่อนจะพูดต่อ “ป๋าไม่แกล้งคนที่ตัวเล็กชอบแล้วครับ ไม่แกล้งแล้วจริงๆ”
“จริงนะ?”
“จริงครับ ป๋าสัญญา”
“ป๋าให้เขามาอยู่บ้านใหญ่กับเรานะ” คนที่สะอึกสะอื้นเมื่อครู่เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ ทว่าผู้ที่รักและหลงลูกยิ่งกว่าสิ่งใดก็ยังไม่รู้สึกตัว
“ครับ เอาแบบที่ตัวเล็กต้องการทุกอย่างเลยดีไหม”
“ถ้าป๋าคืนคำ เราจะโกรธป๋าสามวัน”
“ไม่โกรธป๋านะคนดี ป๋าไม่คืนคำแน่นอน ตัวเล็กหยุดระ…” คนพูดชะงักไป เมื่อผละกายออกแล้วมองเห็นใบหน้าของลูกชายสุดรักสุดหวงเต็มตา…ใบหน้ายิ้มแย้มที่ไร้ซึ่งความเสียใจใดๆ
“เรารักป๋าที่สุดเลย” เก้าฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะโถมกายเข้ากอดคนที่ยืนนิ่งเป็นหินเต็มแรง สุดท้ายผู้เป็นพ่อก็ทำได้เพียงยิ้มน้อยๆ แล้วกอดกลับ
ต่อให้เป็นการแกล้ง…แต่เขาก็ไม่อยากเห็นลูกชายร้องไห้อีกแล้ว
“เดี๋ยวป๋ามาใหม่พรุ่งนี้นะครับ ตัวเล็กล้างหน้าล้างตาแล้วค่อยมานั่งเฝ้าคนป่วยนะรู้ไหม”
“โอเค” คนฟังพยักหน้าหงึกหงักรับคำ รอจนพ่อตัวเองเดินออกจากห้องไปแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะยกมือขยี้ตา
“ก้อน…” ภูที่มองสถานการณ์ตรงหน้าอยู่นานส่งเสียงเรียกเบาๆ จนกระต่ายสะดุ้งแล้วรีบวิ่งมาหา
“พี่เป็นยังไงบ้าง”
“โอเคแล้ว”
“ค่อยโล่งอกหน่อย”
“มาใกล้ๆ” เขากวักมือเรียกให้มันเข้ามาหา ซึ่งกระต่ายก็ทำตามแต่โดยดี และเมื่อมันเข้ามาใกล้พอให้ยื่นมือไปหาได้แล้ว เขาก็ดึงแขนมันอย่างแรงจนร่างนั้นล้มลงมาทับอยู่ที่อกตัวเอง
“พี่ภู…”
“ว่าแล้ว…”
“หือ”
“มึงทายาหม่องใช่ไหม” สีหน้าของคนป่วยดูราบเรียบว่างเปล่า ในขณะที่คนฟังเงยหน้ายิ้มแห้งพลางหัวเราะแหะๆ เป็นการยอมรับ
“นิดเดียวเอง…”
ถึงขนาดเอายาหม่องป้ายตาเพื่อให้ตัวเองร้องไห้…
“เฮ้อ…”
ในโลกนี้คงหากระต่ายเจ้าเล่ห์แบบมันไม่ได้อีกแล้ว
------------------------
TALK: กำหนดการรอบสต็อคจะออกสิ้นเดือนนะคะ ติดตามได้ทางเพจ Chesshire. กับทวิต @Chesshire04