วิวาห์อามันต์
บทนำ
“วีว่าอยู่ไหน วีว่าอยู่ไหนคะ ฮือ ๆ ยี่หวาไม่ดื้อแล้วค่ะ วีว่ากลับมานะ” เสียงร้องสะอึกสะอื้นของเด็กหญิงวัยไม่เกินห้าขวบดังก้องไปทั่วโซนสัตว์ปีกของสวนสัตว์กลางเมือง เธอหยุดยืนเช็ดน้ำตาป้อย ๆ กับชายกระโปรงบานฟูฟ่องแบบเจ้าหญิง ผมหยักศกสีอ่อนผูกโบว์เอาไว้สองข้างแกว่งไปมา “วีว่าทิ้งยี่หวาจริง ๆ เหรอคะ ยี่หวาร้องไห้แล้วนะ โกรธวีว่าจริง ๆ ด้วย” พูดจบเธอก็ทิ้งตัวลงไปนั่งกับพื้นแล้วปล่อยโฮดังลั่น
ทำเอาคนที่แอบดูอยู่ต้องรีบพุ่งออกมาจากที่ซ่อน วิวาห์ตรงเข้าไปอุ้มเด็กหญิงขึ้นมาพลางนึกบ่นอยู่ในใจว่าวิธีหนีไปซ่อนแบบนี้ไม่เห็นจะได้ผลตรงไหน มีแต่ทำให้หวันยิหวาร้องไห้งอแงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ..พี่วิรัตน์นี่มั่วแน่ ๆ
“ไม่ร้องแล้วค่ะ วีว่าอยู่นี่แล้ว ไหนดูซิ...ร้องไห้ขี้มูกโป่ง ไม่สวยแล้วเนี่ย” ก้มลงดูใบหน้าเล็ก ๆ ที่เปื้อนขี้มูกขี้ตาอย่างน่าขัน วิวาห์ล้วงทิชชูในกระเป๋าเป้ออกมาเช็ดหน้าเด็กน้อยให้อย่างเบามือ “หยุดร้องได้แล้ว วีว่าอยู่นี่ไง”
“ฮึ” เด็กหญิงสะบัดหน้าหนี พยายามฮึบเอาไว้เพราะกลัวไม่สวย “โกรธวีว่าแล้ว”
“ดีกัน ๆ ดีกันนะคะ เอาอย่างนี้ ยี่หวาอยากดูคุณหมีขั้วโลกอีกใช่มั้ย เดี๋ยววีว่าพาไป” วิวาห์จำต้องตามใจเด็กหญิงอย่างช่วยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าตัวมีหวังโวยวายไม่หยุดแน่
“จริงนะคะ”
“จริงค่ะ” วิวาห์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาวิรัตน์ บอกว่าขอเลื่อนเวลานัดเจอกันไปอีกครึ่งชั่วโมง เพราะสาวน้อยของเขาอยากดูหมีขั้วโลกมากจริง ๆ
“ไอ้ว่าน ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าเอาแต่ตามใจลูกมาก เจ้ายี่หวาน่ะกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจไปแล้วนะ” เสียงพี่ชายบ่นมาตามสายอย่างฉุน ๆ “แล้วจะไปสวนสนุกทันเหรอบ่ายนี้”
“เลื่อนไปเป็นพรุ่งนี้ได้มั้ยครับ แล้วบ่ายนี้เราไปเที่ยววัดแทน” วิวาห์พูดอ้อมแอ้ม อันที่จริงทริปนี้พี่ชายเป็นคนออกเงินให้เขากับลูกสาวมาเที่ยวทั้งหมด ก็เลยอดเกรงใจไม่ได้
“ยัยยี่หวาคงจะยอมหรอก ร้องหามิกกี้ตั้งแต่เมื่อคืน”
“นะพี่วัต ว่านไม่รู้จะทำยังไงแล้วนี่ ยี่หวาเล่นร้องกรี้ด ๆ อยู่กลางสวนสัตว์เลย ว่านเกรงใจคนอื่นเขา”
“แกมันก็ใจอ่อนกับลูกตลอด” พี่ชายพูด แต่วิวาห์ก็รู้ดีว่าพี่ทำพูดไปงั้นเองแหละ ความจริงคนที่ตามใจหวันยิหวามากที่สุดก็น่าจะเป็นวิรัตน์นั่นเอง ไม่อย่างนั้นคงไม่พาบินลัดฟ้ามาเที่ยวเพียงเพราะหลานบ่นอยากเห็นคุณมิกกี้เม้าส์ตัวจริงหรอก
“นาน ๆ มาเที่ยวทีนะครับ พี่วัตอย่าโหดนักเลยน่า” วิวาห์เสียงอ่อน อมยิ้มออกมาตอนพี่ชายอืออาแล้วก็วางสายไป
“วีว่า ยี่หวาขอเข้าไปดูคุณโค-อา-ล่าอีกรอบได้มั้ยคะ” เด็กหญิงเกาะแขนเขาแล้วเงยหน้าขึ้นถาม พยายามออกเสียงให้ถูกต้องตามที่วิวาห์เพิ่งสอน “นะคะ..แค่แป๊บเดียว”
“เราเหลือเวลาอีกนิดเดียวเอง ยี่หวาต้องเลือกว่าจะดูหมีขั้วโลกหรือโคอาล่านะ ไม่อย่างนั้นเราจะไปเจอคุณมิกกี้ไม่ทันนะคะ”
เด็กน้อยหน้าม่อย
“ไม่เอา ยี่หวาอยากดูทั้งสองอย่างค่ะ อยากไปเจอคุณมิกกี้ด้วย” เธอพูดเสียงแหลม “วีว่าให้ยี่หวาไปนะคะ”
“ไม่มีใครได้สมใจทุกอย่างหรอกลูก ต้องเลือกนะคะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องไปไหนกันล่ะ ยืนอยู่ตรงนี้แหละ” วิวาห์พูด วันนี้เขาจะแข็งใจไม่ยอมโอนอ่อนตามลูกสักครั้ง ให้มันรู้ไปว่าคนอย่างวิวาห์จะทำไม่ได้ “ยี่หวาต้องเลือกค่ะ” พูดเสียงแข็งขึ้นไม่เท่าไหร่ พอเห็นหยดน้ำตาคลอหน่วยในดวงตากลมโตเหมือนลูกแก้วคู่นั้น วิวาห์ก็ใจอ่อนยวบ ลดระดับเสียงอย่างรวดเร็ว “ยี่หวาเลือกได้หนึ่งอย่างนะคะ”
หวันยิหวาเป็นเด็กฉลาด ถึงจะเอาแต่ใจไปบ้างแต่ก็รู้ว่าเวลา ขืนมัวแต่ดันทุรังจะดูครบทุกอย่างมีหวังวีว่าหิ้วตัวกลับบ้านแน่ ๆ ดูสีหน้าที่เริ่มนิ่งเฉยนั้นก็รู้
“ยี่หวาเลือกคุณหมีขั้วโลกค่ะ” เธอตอบจ๋อย ๆ “แล้วไปดูคุณมิกกี้ตอนบ่ายด้วยได้มั้ยคะ”
“ถ้ายี่หวารีบเดิน ไม่ร้องไห้งอแงก็ทันค่ะ” ชายหนุ่มตอบเนิบ ๆ ซ่อนยิ้มเอาไว้ภายใต้สีหน้านิ่ง ๆ
กุมมือเล็ก ๆ พาเดินเที่ยวในสวนสัตว์ต่อตามที่เด็กน้อยบัญชา วิวาห์หยุดยืนรอหน้าห้องน้ำหญิงให้หวันยิหวาเข้าห้องน้ำ
“วีว่ารอตรงนี้นะ ห้ามไปไหนนะ” เจ้าตัวกำชับสองรอบถึงได้ยอมเข้าไปในห้องน้ำ สักพักก็เดินกลับมาหาหน้าตาตื่น “วีว่า ยี่หวาถูกผีหลอกค่ะ”
“อะไรลูก” วิวาห์เลิกคิ้ว “เกิดอะไรขึ้นคะ”
“ชักโครกกดเอง” ยี่หวาตอบ หันไปมองรอบห้องน้ำอย่างหวาดระแวง วิวาห์รู้ดีว่าในบรรดานกหนูแมลงต่าง ๆ ที่ยี่หวากลัวนั้น ยังไม่ถึงครึ่งความหวาดกลัวที่มีต่อภูตผีปีศาจ “ยี่หวาว่าในห้องนี้จะต้องมีผีแม่หม้าย” เด็กหญิงฟันธง
คนฟังเกือบสำลักน้ำลาย หันไปส่งยิ้มแหย ๆ ให้ผู้หญิงอีกคนที่เดินสวนออกมาพอดีอย่างขออภัย ลืมไปว่ายังไงเธอก็คงฟังภาษาไทยไม่ออกอยู่แล้ว
“ผีแม่หม้ายอะไรลูก ไปฟังมาจากไหน” วิวาห์รีบลากเด็กหญิงออกมาจากห้องน้ำ ตรงกลับไปที่รถบัสทันควัน
เด็กหญิงพูดจ้อย ๆ ถึงเรื่องตำนานผีแม่หม้ายที่ยายเอิบเล่าให้ฟัง วิวาห์ตั้งใจว่ากลับบ้านไปเมื่อไหร่จะต้องไปจัดการยายพี่เลี้ยงเสียหน่อยแล้ว ชอบเล่าอะไรไม่รู้ให้ลูกเขาฟัง
“ลุงวัต ยี่หวาอยู่นี่ค่ะ” รถบัสแล่นเข้าไปจอดที่หน้าสถานีรถไฟที่มีร่างสูงใหญ่ของวิรัตน์ยืนรออยู่ก่อนแล้ว วิวาห์รีบจูงมือลูกสาวเดินเข้าไปหาพี่ชาย
“มาพอดี เจ้าตัวแสบ เกือบไม่ทันรถไฟแล้วมั้ยล่ะ” วิรัตน์คว้ามือหลานสาวอีกข้างหนึ่ง อีกมือก็ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไปด้วย พาเดินเข้าไปในสถานีรถไฟที่เต็มไปด้วยผู้คนจอแจ วิวาห์กระชับมือหวันยิหวาเอาไว้มั่นเพราะกลัวพลัดหลง สุดท้ายเลยอุ้มขึ้นมาเสียเอง ปล่อยหน้าที่ลากกระเป๋าอีกใบให้พี่ชายจัดการ
“คันนี้ ว่าน” วิวาห์อุ้มลูกเดินตามพี่ชายเข้าไปนั่งบนรถไฟความเร็วสูง หวันยิหวาหันมองทางนู้นทีทางนี้ทีอย่างตื่นเต้น
“วีว่าดูสิคะ ลายน้องเหมียวคิตตี้ล่ะ สวยมั้ยคะ”
“สวย ๆ” วิวาห์ตอบ “แล้วพี่เบสต์ล่ะครับ” เขาถามหาคนรักของพี่ชายที่กำลังจะแต่งงานกันในอีกสองเดือนข้างหน้า
“เบสต์ไปรอที่นู่นแล้ว เดี๋ยวไปเจอกัน” วิรัตย์ตอบยิ้ม ๆ
“วีว่า ยี่หวาปวดฉี่อีกแล้ว”
“อั้นเอาไว้ก่อนได้มั้ยเรา” วิรัตน์พูด “เดี๋ยวตกรถไฟ รถจะออกแล้ว”
“เด็กผู้หญิงกลั้นฉี่ไม่ดีนะพี่วัต ยี่หวาเคยติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเพราะกลั้นฉี่มาแล้วด้วย หมอบอกเอาไว้” วิวาห์พูดอย่างกังวล มองหน้าลูก “ปวดมากหรือเปล่า”
“ปวดมากเลยค่ะ” เด็กหญิงพยักหน้า วิรัตน์ถอนหายใจเฮือก
“งั้นเราเอาลูกไปห้องน้ำก่อน ฉันจะรอในรถ ขี้เกียจขนกระเป๋าไปมา มีเวลาประมาณสิบนาที ถ้ามาไม่ทันก็รอขึ้นขบวนถัดไปนะ อีกสิบนาทีถัดไป”
“ครับพี่วัต ไม่ต้องห่วง” วิวาห์อุ้มลูกสาวพาออกมาจากรถไฟอีกรอบ เดินหาห้องน้ำในสถานีจนเจอแล้วก็พาลูกเข้าห้องน้ำ ยืนรออย่างกระวนกระวายนิด ๆ จนลูกสาวเดินหน้าระรื่นออกมาสะบัดน้ำใส่เขา
“ไม่เอาลูก สกปรกหมด” วิวาห์ขมวดคิ้ว อีกฝ่ายหัวเราะคิกคัก ใช้ฝ่ามือเปียก ๆ มาทาบบนเสื้อของเขาอีกจนขึ้นรอยฝ่ามือเล็ก ๆ
“น่ารัก”
“หวันยิหวา” วิวาห์เรียกชื่อเต็ม เด็กหญิงเลยแลบลิ้นออกมา เข้ามาเกาะมือผู้ใหญ่อย่างประจบ
“ยี่หวาหิวจังค่ะ ท้องร้องจ๊อก ๆ เลย”
“ขอกินไอติมใช่มั้ย” วิวาห์ดักคอ อีกฝ่ายยิ้มหวาน ริมฝีปากแดงสดกับฟันน้ำนมซี่เล็ก ๆ ทำให้วิวาห์ถอนหายใจเฮือกอีกรอบ “เอารสอะไร”
เห็นทีเขาคงไม่มีทางขัดใจเด็กคนนี้ได้เลย
.............................................................................
“เราอยู่ที่ไหนกันคะวีว่า” หวันยิหวาถาม ชะเง้อคอมองไปรอบ ๆ สถานีเล็ก ๆ แห่งหนึ่งล้อมรอบด้วยบ้านเรือนและสวนผักดูสงบเงียบ ตรงข้ามกับจุดมุ่งหมายที่ต้องการจะไปมาก “ไหนคุณมิกกี้คะ”
“น่าจะลงผิดสถานีน่ะ” วิวาห์อ้อมแอ้ม หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูแผนที่อีกรอบ ก็ไหนวิรัตน์ว่าอีกสิบนาทีให้ขึ้นคันที่มาใหม่ไง เขาก็ดูชื่อขบวนแล้วนะ สรุปว่าลงผิดสถานีหรือขึ้นผิดคันกันแน่ “ยี่หวาเกาะวีว่าเอาไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยววีว่าไปถามเขาก่อน” ชายหนุ่มเดินเข้าไปติดต่อสอบถามจนห้องควบคุมจนรู้ว่าตัวเองลงผิดสถานีจริง ๆ เขาควรจะต้องลงเมื่อสถานีที่แล้วเพื่อเปลี่ยนคันใหม่ไปอีกทาง
“รออีกยี่สิบนาทีนั่งกลับไปสถานีก่อนหน้าแล้วขึ้นอีกคันนึง” วิวาห์ทวนคำอย่างหงอย ๆ เหลือบดูนาฬิกาข้อมือแล้วก็พบว่าคงไปดูโชว์คุณมิกกี้ไม่ทันแน่ ๆ “ยี่หวาคะ ถ้าเราอดดูคุณมิกกี้ยี่หวาจะเสียใจมั้ย”
“เสียใจมากเลยค่ะ” แค่พูด หวันยิหวาก็น้ำตาคลอ “ทำไมถึงอดดูล่ะคะ”
“เพราะเราลงรถผิดสถานีค่ะ”
“แล้ว..แล้วเราจะได้เจอคุณมิกกี้มั้ยคะ” เสียงเครือของลูกสาวทำเอาคนฟังรู้สึกผิด วิวาห์ยกมือขึ้นลูบเส้นผมอ่อนนุ่มเบา ๆ
“วีว่าขอโทษนะคะ” ..คนอย่างเขานี่มันไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ ให้ตายสิ
เด็กหญิงนั่งน้ำตาร่วงเผาะ วิวาห์โทรหาพี่ชายอีกรอบ ฝ่ายนั้นดูไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เขาลงผิดสถานี แค่บอกว่าให้รีบตามมาเท่านั้น
วิวาห์จูงมือเด็กหญิงมานั่งรอที่ม้านั่งยาวบนสถานี อากาศเริ่มหนาวขึ้นนิด ๆ ชายหนุ่มถอดผ้าพันคอของตัวเองออกพันให้ลูก
ใกล้เวลาที่รถไฟจะมา เริ่มมีคนอื่น ๆ เดินขึ้นมารอบนสถานีบ้าง หญิงสาวคนหนึ่งเดินมานั่งข้าง ๆ เขา วิวาห์ขยับตัวเพิ่มพื้นที่บนม้านั่งให้ ผู้ชายอีกคนเดินมานั่งถัดไปจากหญิงสาวคนนั้น
บรรยากาศเงียบสงัดจนแทบจะได้ยินเสียงหายใจกัน วิวาห์รู้ว่าที่นี่เคารพความเป็นส่วนตัวของคนอื่นมาก ๆ โชคดีที่หวันยิหวาไม่ร้องไห้โวยวายอีก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รู้จะพาลูกไปรอที่ไหน เด็กน้อยนั่งโงกหลับซบอยู่กับตักของเขา รออีกครู่หนึ่งรถไฟก็มาพอดี วิวาห์ช้อนตัวลูกขึ้นมาอุ้ม เดินเข้าไปต่อแถวรอขึ้นรถไฟ
มีที่นั่งเหลืออีกหนึ่งที่ วิวาห์รีบเดินไปนั่งแล้วให้หวันยิหวานั่งตัก เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูแผนที่อีกครั้งเพื่อความมั่นใจ คราวนี้จะไม่พลาดแน่ ๆ
“ขอโทษนะ นี่ของคุณหรือเปล่า” ภาษาอังกฤษชัดเปรี๊ยะดังขึ้นเหนือหัวพร้อมกับพวงกุญแจรูปแมวถูกส่งมาให้ วิวาห์เบิกตากว้าง
“ใช่ครับ ขอบคุณมาก” เขารับมาดูใกล้ ๆ ตรงหูคล้องมันขาดไป คงเป็นตอนที่เบียดคนแน่ ๆ ไม่รู้ว่าหลุดตอนไหน วิวาห์รีบเก็บพวงกุญแจใส่กระเป๋าเอาไว้ก่อน เงยหน้าขึ้นมองพลเมืองดีที่ช่วยเก็บของให้เขา
อีกฝ่ายสวมหมวกไหมพรมกับหน้ากากอนามัยเอาไว้ เห็นเพียงแค่สันคิ้วเข้มกับดวงตาคมกริบ ทว่า..เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หัวใจของวิวาห์หยุดเต้นไปวูบหนึ่งแล้วกลับเต้นรัวแรง
รถจอดถึงสถานีพอดี คน ๆ นั้นก้าวลงไปจากรถไฟก่อน วิวาห์อุ้มหวันยิหวาขึ้นแล้วก้าวตามหลังออกมาอย่างตกใจ คนบนสถานีหนาแน่นจนไม่อาจวิ่งตามหลังผู้ชายคนนั้นได้ พริบตาเดียวร่างสูงใหญ่นั้นก็หายไปในกลุ่มฝูงคน
“ถึงแล้วเหรอคะวีว่า” เด็กน้อยในอ้อมกอดของเขาพูดงัวเงีย วิวาห์ละสายตาจากบันไดเลื่อน หันกลับมาตั้งสติ
“ยังค่ะ เราต้องต่อรถ ต่อรถ...คันไหนนะ” ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดผิดกดถูกอยู่พักหนึ่งถึงได้พาลูกสาวขึ้นรถไฟถูกขบวนไปยังสวนสนุกได้
วิวาห์ใจลอยไปตลอดทาง แทบไม่ได้ฟังคำพูดของเด็กน้อยจนเธอเบะปากร้องไห้ว่าวีว่าไม่รัก วิวาห์โล่งอกมากทีเดียวที่มาจุดหมายได้ในที่สุด พี่ชายของเขากับคนรักเดินเข้ามาสมทบ พอวิรัตน์เห็นหน้าน้องก็ขมวดคิ้ว
“เป็นอะไร หรือว่าไม่สบาย? ”
“ว่านเปล่า” วิวาห์ส่ายหน้าหวือ “ลงผิดสถานีนิดหน่อย คนเยอะเลยเวียนหัว” เขาแก้ตัว
วิรัตน์พยักหน้ารับ ไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก พี่เบสต์ทักทายเขากับลูกสาวอย่างเป็นกันเอง เธอยังเป็นหญิงสาวที่สดใสร่าเริงไม่เปลี่ยน บางทีวิวาห์ก็อิจฉาพี่วัตเหมือนกันที่หาคนแบบพี่เบสต์เจอ
“น้องว่านมาเหนื่อย ๆ เดี๋ยวพี่ช่วยดูยี่หวาให้นะคะ” เธอพูดยิ้ม ๆ “เราไปเล่นม้าหมุนกันดีไหม”
พี่เบสต์เข้ากับหวันยี่หวาได้ดีมาก นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่พี่วัตเลือกเธอก็เป็นได้ วิวาห์ปล่อยให้ทั้งสามคนขึ้นไปเล่นเครื่องเล่นกัน เขาไม่ค่อยนึกอยากเล่นอะไรที่ชวนเวียนหัวตอนนี้เท่าไหร่
แอบมานั่งเงียบ ๆ คนเดียวตรงมุมหนึ่งในร้านอาหาร นักท่องเที่ยวพลุกพล่านทีเดียวสมกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมือง ได้ยินเสียงคนพูดภาษาบ้านเกิดอยู่บ่อย ๆ ดูท่าคงจะมีคนหนีร้อนมาต่างประเทศเยอะเหมือนกัน วิวาห์นั่งคิดไปคิดมาก็แวบไปถึงคนที่เจอโดยบังเอิญบนรถไฟนั้น
...ห้าปีที่หายสาบสูญติดต่อไม่ได้...ห้าปีที่ไม่ส่งข่าวจนนึกว่าอยู่กันคนละโลกไปแล้ว ทั้งที่จบกันด้วยดีแท้ ๆ ...วิวาห์กำมือเข้าหากันแน่น ความรู้สึกปวดมวนท้องที่คุ้นเคยเริ่มกลับมาอีกครั้งตอนที่นึกถึงคน ๆ นั้น
พี่อาร์ม..
.....................................................................
“ห้องพักเต็ม? ...แต่ผมจองออนไลน์มาแล้วนะ คุณจะบอกไม่มีห้องได้ยังไง” เสียงพี่วิรัตน์โวยวายอยู่ที่หน้าเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของโรงแรม ดูเหมือนว่าห้องที่จองเอาไว้จะเกิดความผิดพลาดขึ้นซักอย่าง วิวาห์ได้ยินพี่ชายพูดตกลงอะไรกับพนักงานอยู่แว่ว ๆ นัยว่าให้เรียกเจ้าของมาเคลียร์กันอีกรอบ
“พี่วัต งั้นว่านพายี่หวาไปนอนรอตรงโซฟาก่อนได้มั้ย น้องง่วงมาก” วิวาห์สะกิดบอกพี่ชาย วิรัตน์เห็นหลานยืนโงกหลับกลางอากาศก็พยักหน้ารับ วันนี้ที่สวนสนุกคงใช้พลังงานไปจนหมดก๊อก ถึงได้หมดเรี่ยวหมดแรงยืนไม่อยู่แบบนี้
วิวาห์อุ้มเด็กหญิงมานอนรอที่โซฟาข้างหน้าอยู่พักใหญ่ พี่ชายกับแฟนก็เดินกลับมารวมกลุ่ม วิรัตน์ท่าทางหัวเสียพอดู
“เว็ปไม่ได้เรื่อง คราวหน้าฉันจะไม่ใช่บริการมันอีกแล้ว” วิศวกรหนุ่มพูดอย่างฉุนเฉียว
“ใจเย็น ๆ ค่ะ ช่วงนี้นักท่องเที่ยวเยอะก็คงผิดพลาดกันได้” บูรณาปลอบใจ เธอลูบแขนคนรักเบา ๆ “น้องว่าน ไปกันเถอะค่ะ เราต้องเดินอีกนิดนึงก่อนเข้าที่พักกัน”
“พักที่ไหนเหรอครับ” วิวาห์ถามงง ๆ
“เป็นบ้านพักจ้ะ เจ้าของโรงแรมที่นี่เขารับผิดชอบด้วยการจองบ้านให้เราแทน”
“ก็ดีสิครับ” วิวาห์พูด
“ดีกับผีน่ะสิ อยู่กับใครอีกบ้างก็ไม่รู้เต็มบ้าน”
“หรือคุณจะยอมเสียอีกหมื่นนึงเช่าโรงแรมข้าง ๆ นี้นอนล่ะคะ” บูรณาพูดเสียงแข็งขึ้น วิรัตน์หน้าบูดไม่พูดอะไรออกมาอีก ตรงเข้ามาลากกระเป๋าพาเดินลิ่ว ๆ กลับออกไปจากโรงแรม
“พี่วัตเขาคงเหนื่อยมาทั้งวันน่ะครับ ก็เลยโมโหเอา” วิวาห์รีบแก้ให้พี่ชาย
“พี่ชินแล้วล่ะว่าน” บูรณาหัวเราะ “มาเที่ยวก็แบบนี้ล่ะ ไม่มีอะไรได้ดั่งใจตลอดหรอก นอนไม่กี่คืนเอง ถ้าไม่ถูกใจ พรุ่งนี้ค่อยย้ายก็ได้”
วิวาห์อุ้มลูกสาวที่หลับคอพับคออ่อนเอาไว้มือหนึ่ง อีกมือก็ลากกระเป๋าเดินตามหลังพวกเขาออกมาด้วย ที่พักใหม่ของพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมแห่งนั้นเท่าไหร่ เดินนิดเดียวก็ถึง เป็นบ้านหลักเล็ก ๆ ท่าทางน่าสบาย พอไขกุญแจเข้าไปด้านในก็รู้สึกอบอุ่นเพราะฮีทเตอร์และการประดับตกแต่งน่ารัก
“ฉันชอบที่นี่นะ” บูรณาพูดยิ้ม ๆ ช่วยวิวาห์ลากกระเป๋าขึ้นบันได “ถึงจะเล็กไปหน่อยก็เถอะ แต่อยู่กันสี่คนสบายออก”
“นั่นสิ ไม่มีใครพักอยู่เลย...คงมีแค่พวกเรา” วิรัตน์พูดด้วยเสียงอ่อนลง ช่วยคนรักหิ้วกระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้องข้างบน “นอนเสื่อแฮะ ไหวมั้ย” เขาหันมาถามน้อง ๆ
“ไหวอยู่แล้วครับ” วิวาห์ยิ้มกว้าง เขาชอบบ้านหลังนี้มาก “ยี่หวาคงชอบเหมือนกัน”
“รายนี้ไปเฝ้าพระอินทร์แล้วไม่กลับลงมาอีกเลย” คนเป็นลุงพูด ก้มลงหอมแก้มหลานสาวที่หลับปุ๋ยอย่างมันเขี้ยว “ว่านพาลูกไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน จะได้รีบเข้านอน”
“ครับพี่วัต”
วิวาห์อุ้มลูกสาวพร้อมกระเป๋าใส่ของจุกจิกอย่างเช่นแปรงสีฟัน ยาสีฟัน และเสื้อผ้าของลูกลงไปยังห้องน้ำชั้นล่าง เขย่าตัวปลุกยี่หวาขึ้นมาแปรงฟันอย่างงัวเงียแล้วก็จับอาบน้ำแต่งตัวให้ใหม่
“ห้องน้ำว่างแล้วครับพี่เบสต์” วิวาห์บอกว่าที่พี่สะใภ้อย่างเกรงใจ
“น้องว่านอาบก่อนเลยก็ได้นะ ได้เข้านอนพร้อมลูก”
“ไม่เป็นไรครับ ว่านยังไม่ง่วง” วิวาห์ส่ายหน้า
หญิงสาวลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้ว วิวาห์จัดที่นอนให้เข้าที่ พี่เบสต์นอนริมด้านในสุดตามด้วยพี่วัตและยี่หวา ส่วนเขานอนริมประตู พาลูกเข้านอนเรียบร้อย วิวาห์ก็ถอยมานั่งดูรูปในโทรศัพท์และข้อความจากเมืองไทย พี่ป้องหัวหน้าทีมบรรณาธิการส่งข้อความมาหาเขาบอกอยากให้รีบกลับไปเร็ว ๆ อย่าลืมของฝากด้วย
วิวาห์เบ้ปาก ขาดเขาทีมก็คงวุ่นวายมากเลยสินะ ไม่มีเมเนเจอร์เบ๊ล่ะซิ ...บ่นไปก็เท่านั้น สำหรับคนที่เรียนไม่จบปริญญาตรีอย่างเขามีทางเลือกไม่มากนักหรอก ต้องขอบคุณพี่แทนที่ช่วยฝากเขาเข้าทำงานที่บริษัทสื่อสิ่งพิมพ์แห่งนี้ได้สำเร็จหลังจากที่เขาลาออกมาจากมหาวิทยาลัยเมื่อห้าปีก่อนทั้งที่อีกปีเดียวจะจบ
พยายามสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยเปิดเพื่อเอาใบปริญญา ทว่าคนที่ต้องวิ่งหาเงินเลี้ยงลูกอย่างเขาไม่มีเวลามากนัก ถึงแม้ว่าพี่น้องจะพร้อมให้หยิบยืมอยู่เสมอก็ตาม วิวาห์ก็ไม่อยากรบกวนบ่อย ๆ อยู่ดี
ในบรรดาพี่น้องสามคนเขาคือคนที่ไม่ได้เรื่องที่สุด เรื่องเรียนไม่เป็นโล้เป็นพาย เพราะหัวไม่ดีมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องงานก็...อย่าไปพูดถึงมันเลย
ความคิดย้อนกลับไปถึงตอนนั้นอีกครั้ง วิวาห์ส่ายหน้า รีบลุกขึ้นยืนทันที หันไปดูลูกสาวยังนอนหลับสนิทอยู่ก็วางใจ แอบย่องออกมาจากห้องนอน สวนกับพี่ชายและแฟนตรงทางเดิน เขาพยักหน้าให้แล้วรีบเดินลงบันไดไปโดยเร็ว ไม่อยากรบกวนพี่ชายกับคนรักอยู่กันสองต่อสอง
ลงมาเข้าห้องน้ำชั้นล่าง อากาศข้างนอกเริ่มหนาวจนวิวาห์ตัวสั่นถึงแม้ว่าน้ำจะอุ่นก็ตาม เขารีบอาบน้ำจนเสร็จแล้วเช็ดตัว ได้ยินเสียงฝีเท้ากุกกักดังอยู่ข้างหน้าห้องกับเสียงไอ
“พี่วัตเหรอครับ แป๊บนึงนะ ว่านจะเสร็จแล้ว” เขารีบสวมเสื้อผ้า คว้าผ้าเช็ดตัวมาคลุมเส้นผมที่เปียกชื้นเอาไว้ลวก ๆ “เสร็จแล้วครับ”
ร่างสูงใหญ่ของคน ๆ หนึ่งหยุดยืนอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางประหลาดใจ นัยน์ตาคมกริบสีดำสนิทเป็นประกายวาบก่อนจะจางหายไปกลายเป็นดำมืดเหมือนน้ำบ่อลึกเหมือนเดิม
“พี่อาร์ม” วิวาห์ใจหายวูบ เงยหน้าขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายเต็มตา อามันต์ดูผอมลงนิดหน่อย ผิวคล้ำขึ้นเล็กน้อย เส้นผมหยักศกรวบเอาไว้เป็นหางม้าด้านหลัง รอยสักที่โผล่ออกมาจากคอเสื้อและข้อมือยังเหมือนเดิม...เหมือนเดิมไม่มีผิด
“ไม่เจอกันนาน” อีกฝ่ายทัก เสียงของอามันต์แหบนิด ๆ เป็นเอกลักษณ์ไม่เปลี่ยนแปลง “มาเที่ยวเหรอ”
“ครับ” วิวาห์หลุดปากแล้วก็เม้มปากแน่น รีบเดินหนีผ่านหน้าอีกฝ่ายขึ้นบันไดมาชั้นบนแทบจะเป็นวิ่ง พอวิรัตน์เห็นหาน้องชายก็ขมวดคิ้ว
“เป็นอะไร เจอผีหรือไง”
“ยิ่งกว่าผีอีกพี่วัต” วิวาห์พูดตื่น ๆ “พี่อาร์ม...พี่อาร์มอยู่ข้างล่าง”
“อาร์มไหนวะ...เห้ย อะไรนะ ไอ้หน้าตัวเมียนั่นน่ะเรอะ” วิรัตน์อุทาน น้องชายรีบเข้ามาปิดปาก
“เบา ๆ หน่อยซิครับ โธ่”
“จะเบาได้ยังไง มันทิ้งแกไปไม่ใช่หรือไง” พี่ชายโกรธจนหน้าแดง ผุดลุกขึ้นยืน “ฉันจะไปเคลียร์กับมัน เอาเลือดหัวมันออก ไม่งั้นนอนไม่หลับ”
“ไม่เอา...อย่าไปนะพี่วัต ไม่งั้นว่านโกรธนะ” วิวาห์พูดเสียงแข็งขึ้น “นั่งลงเถอะ พี่อาร์มเขาไม่ได้ทิ้งว่าน เราจบกันด้วยดี เป็นพี่น้องกัน”
“พี่น้อง?! ” วิรัตน์ถลึงตา “แกเข้าไปนอนได้แล้ว ฉันจัดการเอง”
“พี่วัต...ถ้าพี่วัตไป ว่านจะล็อกห้อง พี่วัตไปนอนข้างนอกบ้านเลยนะ”
วิรัตน์ชะงัก เขารู้ดีว่าน้องชายไม่ได้ขู่ ถึงวิวาห์จะไม่ได้เรื่องหลายอย่าง แต่บางเรื่องที่เจ้าตัวเอาจริงขึ้นมา ก็ไม่มีใครกล้าขัด
อย่างเช่นเรื่องของนายอามันต์เป็นต้น
“อย่าบอกนะว่าแกยังหลงรักมันอยู่” วิรัตน์พูดอย่างไม่อยากเชื่อ “บ้าเหรอเปล่า มันทิ้งแกไปนะ ตั้งแต่ตอนที่ดังแล้วแยกวงก็ทีหนึ่งแล้ว แล้วยังมาเรื่อง...”
คิ้วเรียวยาวของวิวาห์ขมวดเข้าหากัน ดวงตากลมโตที่ดูจะเป็นจุดเด่นที่สุดบนใบหน้านั้นเหลือบมองไปทางลูกสาวที่หลับสนิทอยู่แทนการเตือน ทำให้วิรัตน์ยอมหยุด
“พี่วัตเข้าไปนอนเถอะ” วิวาห์พูดเนิบ ๆ แตะไหล่พี่ชายแล้วดันเข้าไปในห้อง “พรุ่งนี้มีแพลนเที่ยวอีกเยอะแยะ เดี๋ยวพักผ่อนไม่พอจะไม่สบายเอา”
คนเป็นพี่จุ๊ปากจิ๊กจั๊กอย่างหงุดหงิด แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากกว่านั้น เขาเคารพการตัดสินใจของน้องชายตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนจนถึงตอนนี้
“ฉันบอกแกแล้ว เตือนแล้วนะ”
“ว่านรู้น่า” วิวาห์พึมพำ กวาดตามองระเบียงที่ว่างเปล่าข้างนอกห้องอีกรอบ นึกสงสัยขึ้นมาว่าผู้ชายคนนั้นจะพักอยู่ห้องไหนในบ้านหลังนี้ แต่แล้วก็ส่ายหน้าตัดความสงสัยใคร่รู้พวกนั้นทิ้งเสีย
วิวาห์นอนไม่หลับ เขาได้ยินเสียงฝีเท้านั้นเดินผ่านหน้าห้องของพวกเขาไปยังห้องพักข้าง ๆ ที่อยู่ติดกัน ความรู้สึกที่ยากจะบรรยายผุดพร่างเต็มอก ได้แต่นอนพลิกตัวด้วยความกระสับกระส่าย สุดท้ายก็ข่มใจหลับไปทั้งอย่างนั้น
ตื่นตอนเช้าด้วยความปวดหัวเพราะนอนไม่พอ วิวาห์เอื้อมมือไปกดปิดนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์แล้วลุกขึ้นนั่งโงนเงนในความมืด เขาตื่นเป็นคนแรกเพราะต้องรีบจัดการตัวเองให้เสร็จก่อนที่จะช่วยลูกสาวอาบน้ำต่อ
หอบเสื้อผ้าเดินหาวออกมาจากห้องนอนตรงไปยังห้องน้ำเพื่อจะพบว่ามีคนเข้าอยู่ก่อนแล้ว ได้ยินเสียงกดชักโครกก่อนที่ประตูจะเปิดออก จะหลบก็หลบไม่ทัน เขาประจันหน้ากับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เหมือนยักษ์เข้าเต็ม ๆ
“เข้าห้องน้ำเหรอ” อีกฝ่ายทักเหมือนไม่มีอะไรจะพูด “เอาสิ”
“พี่อาร์มเป็นไงบ้าง มาเที่ยวเหรอครับ” วิวาห์พูดเร็วปรื๋อ สบตาอีกฝ่ายแวบหนึ่ง
“ใช่ ก็เรื่อย ๆ แหละ เราล่ะ เห็นมากับครอบครัว...คนนั้นแฟนเหรอ”
“ครับ” วิวาห์รับคำไปตามเรื่อง
“แต่งงานเมื่อไหร่”
“ก็..นานแล้วครับ”
“เด็กคนนั้นคงเป็นลูกสาว”
“ครับ” วิวาห์ก้มหน้าลง กลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นแววตาของเขาเข้า “ผม..ขอเข้าห้องน้ำได้มั้ยครับ”
“อ๋อได้ ...เอาสิ ตามสบาย” อีกฝ่ายตอบกลับมาเนิบ ๆ น้ำเสียงแหบเสน่ห์ที่ทำให้เจ้าตัวโด่งดังเมื่อหลายปีก่อนยังคงเหมือนเดิม “พักอยู่กี่คืนล่ะ”
“ผมไม่แน่ใจ”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมเข้มนั้น
“ไม่ต้องเกร็งหรอกน่ะ จะเกร็งทำไมกัน หรือว่ายังโกรธพี่อยู่”
วิวาห์ส่ายหน้า เขายอมรับและอโหสิให้อีกฝ่ายนานแล้ว
“ตอนนี้ทำงานที่ไหน” อามันต์ถามต่อมาอีก มือล้วงกระเป๋าด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติทว่าแสนจะดูดีเหลือเกิน วิวาห์ก้มหน้าอีกครั้ง ขณะที่อีกฝ่ายยังหล่อเหลาจับตา เสื้อผ้าหน้าผมบอกฐานะอยู่ในตัวโดยไม่ต้องอธิบายมาก เขากลับเป็นเด็กที่เลี้ยงไม่โต เรียนไม่จบ ทำงานเป็นเสมียนกิ๊กก๊อกเงินเดือนไม่พอใช้ เกาะพี่ชายเลี้ยงลูกไปวัน ๆ
“ทำบริษัท” วิวาห์ตอบแค่นั้น อีกฝ่ายไม่ได้ถามต่ออีกราวกับแค่ถามไปตามมารยาทอย่างนั้นเอง
“ไม่ได้เจอกันนาน คิดถึง” อามันต์ยกมือขึ้นเหมือนจะแตะที่ศีรษะของเขาแต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นลูบท้ายทอยของตัวเอง “เห็นสบายดีก็โอเค”
“พี่อาร์มทำงานที่ไหน” วิวาห์ถามกลับไปบ้าง “ยังร้องเพลงอยู่หรือเปล่า”
อามันต์ดูประหลาดใจที่ได้ยินคำถามของเขา
“พี่เที่ยวไปเรื่อย ๆ น่ะ ไม่ได้ทำงานประจำหรอก”
วิวาห์เม้มปาก จริงสิ...ตอนนั้นอามันต์ดังเป็นพลุแตก ต่อให้ไม่ทำงานก็ยังมีกินมีใช้ไปทั้งชาติ แถมที่บ้านของชายหนุ่มก็รวยอยู่แล้วเดิม เขาจำได้ว่าเคยไปบ้านของอีกฝ่ายพักหนึ่งสมัยที่ยัง... วิวาห์รีบหยุดความคิด
“เที่ยวให้สนุกนะครับ” วิวาห์พูดออกไปแล้วก็รีบพุ่งเข้าไปในห้องน้ำ ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องน้ำแรง ๆ ก็ขมวดคิ้ว ..อะไรกันอีก ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้หรือยังไง..
“เธอลืมถุงเสื้อผ้าเอาไว้ข้างนอก ...วิวาห์” เสียงของอามันต์ดังอยู่หน้าประตูห้องน้ำ วิวาห์เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาทิ้งห่อเสื้อผ้าตัวเองเอาไว้ที่พื้นทั้งห่อ กลั้นใจเปิดประตูโผล่หน้าออกมา
“ขอบคุณครับ”
วิวาห์รับถุงเสื้อผ้ามากอดเอาไว้ รีบปิดประตูห้องน้ำลงกลอน หัวใจเต้นตึก ๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาหลายปี สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ ยาว ๆ นึกถึงความเสียใจในวันนั้นเอาไว้
...แต่พี่อาร์มก็ไม่ใช่คนเดียวที่ผิด ในเวลานั้น เพราะความอ่อนต่อโลกของเขาทำให้กระโจนลงไปในวังวนแห่งความรักเมื่อหลายปีก่อนนั้นด้วยความเต็มใจ
และก็กลับออกมาอย่างบอบช้ำสะบักสะบอม ยอมรับผลของการกระทำนั้น...ด้วยความเต็มใจเช่นกัน
................................................................................
มาเปิดเรื่องใหม่
เนื่องจากทางเราได้ตัดสินใจปิดเรื่อง #ที่ไม่รัก ไปแล้วนะคะจากเหตุผลตามที่แจ้ง ก็เลยรู้สึกหว่าเว้หงอยเหงามากเว่อ เลยขุดเอาพล็อต Mpreg ที่รักอีกเรื่องมาเขียนให้หายจ๋อยเสียเลย เรื่องนี้ค่อนข้างซอฟต์ คิดว่านะ ฮ่าๆ ตามหลักก็คือไม่สปอย ขอบคุณทุกคนมากที่ยังสนับสนุนกันอย่างดี มีกำลังใจมาต่อมากค่ะ หวังว่าเรื่องนี้จะชอบนะคะ
ใครเล่นทวิต ใช้แท็ก #วิวาห์อามันต์
เจอกันตอนหน้านะคะ