>….ตอนที่ 13 [100%]….<
“ก็ได้ๆ...วันอาทิตย์ไปงานหนังสือด้วยรถพี่พีก็ได้ครับ”
(ไม่เคืองพี่ใช่ไหมเนี่ย)
“ไม่เคืองหรอก แต่พี่พีไม่อยากซ้อนผมจริงเหรอ...”
(ไม่ดีกว่าน้า)
“เศร้าเลย แต่ตามใจพี่พี...แล้วเที่ยงนี้พี่พีอยากกินอะไร”
(อื้ม...อะไรก็ได้ครับ พี่ไม่เรื่องมาก) ก็รู้ว่าพี่ไม่เรื่องมากแต่ก็อยากทำอะไรเอาอกเอาใจนี่นา
“อืม...ขนมจีนไหมพี่ ผมไม่ได้กินนานล่ะ”
(อืม...เอาเป็นขนมจีนแกงเขียวหวานได้ไหมล่ะ)
“ได้เลย ผมจัดให้ รับรองพี่พีต้องติดใจมากๆ จนไปไหนไม่รอด”
(ฮ่าๆ แค่นี้ก็ไปไหนไม่รอดแล้วครับท่านขุน) ชอบ...ชอบมากเวลาพี่พีเรียกชื่อเต็ม ฟังแล้วหัวใจเต้นแรง
“ครับ พี่พีตั้งใจทำงานนะ”
(เช่นกันครับ รักท่านขุนนะ)
“รักพี่พีครับ”
ด้วยความที่เมื่อเช้านี้พีระพลไม่สามารถมาที่กินข้าวที่ร้านได้ ทำให้พีระพลต้องโทรมาหาท่านขุนแต่เช้าแทน นอกจากคุยเรื่องปกติทั่วไปแล้วพีระพลยังได้บอกถึงแผนการณ์ที่เขาจะทำในวันอาทิตย์นี้ งานสัปดาห์หนังสือ หนอนหนังสืออย่างพีระพลไม่พลาดหรอก เขาก็เลยถือโอกาสบอกกับท่านขุนให้ได้รู้ ตอนแรกท่านขุนจะให้พีระพลซ้อนมอเตอร์ไซก์เขาไป แต่พีระพลไม่ยอม...
เห็นยอมทุกอย่างมาตลอด...เอาเข้าจริงก็มีดื้อแหละนะ
เขากับพี่พีเข้ากันได้ดี...ดีมาก นี่ตอนนี้ท่านขุนเริ่มจะอยากจับพี่พีมานอนที่นี่ถาวรเสียแล้วด้วยซ้ำ เขามีค่ำคืนที่แสนหวานกับพีระพลแค่คืนวันเสาร์และก็วันอาทิตย์อีกนิดหน่อยเท่านั้น ท่านขุนรู้สึกว่ามันไม่เพียงพออะ...อยากได้อีก โลภมากจริงๆ เลยให้ตาย
อยากนอนกอดทุกวัน...อยากจูบทุกคืน อะไรแบบนี้ ติดที่ท่านขุนไม่กล้าบอกพี่พีของเขาเรื่องความต้องการนี้ ยังคิดว่าพี่พีไม่น่ามานอนที่นี่ถาวรได้ เท่าที่รู้พีระพลมีบ้านหลังเล็กๆ ของตัวเองอยู่หมู่บ้านไม่ไกลจากที่ทำงานนัก ซื้อมาด้วยเงินตัวเองอีกด้วย แบบนี้เท่ากับว่าพี่พีก็มีบ้านที่ต้องดูแลอยู่ จะทิ้งบ้านมาอาศัยกับเขาเลยดูจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าการจับพี่พีมาเป็นแฟน
เข้าใจ...เลยต้องทนนี่ไง
โห่ คืนเดียวมันไม่พอหรอกนะ ท่านขุนเป็นเด็กหนุ่มไง ยังไฟแรงและยังต้องการอยู่เรื่อยๆ ที่จริงพี่พีก็ตามใจเขาแหละ ตามใจทั้งคืนเลยไง แต่ก็ยังไม่พอไง...เอาจริงๆ มาอยู่ด้วยกันไม่ต้องทำกันตลอดก็ได้แค่อยากอยู่ด้วยกันน่ะ
เฮ้อ...ช่วงนี้หมกมุ่นจัง
เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้น ท่านขุนไม่ได้หันไปมองหรอกเพราะกำลังเขียนใบรายการให้จิมออกไปซื้อของที่ตลาด เที่ยงวันนี้จะทำแกงเขียวหวานให้พี่พีทาน พร้อมขนมจีน เป็นแอ้ที่เอ่ยต้อนรับลูกค้า ทว่าเสียงของแอ้กลับหายไปง่ายๆ แค่คำว่าอ่าว...
“ทำอะไรน่ะ” แล้วท่านขุนก็รู้ว่าทำไมแอ้ถึงชะงักไป เมื่อผู้มาใหม่เข้ามายังห้องครัว ทั้งยังชะโงกหน้าเข้ามาดูสิ่งที่ท่านขุนกำลังเขียน
“เอ๋...จะทำแกงเขียวหวานเหรอ พอดีเลย ขอฝากท้องไว้ด้วยสิ” ผู้มาใหม่ยิ้มหวาน ยิ้มน่ารักและสดใส ท่านขุนขยับตัวถอยห่างออกมานิดหน่อยเพราะรู้สึกว่าไหล่ของพวกเขาจะชนกันแล้ว
คนๆ นี้ชื่อรัก...เป็นแฟนเก่าของท่านขุน
มณีน้อยเห็นคนคุ้นเคยเข้ามาก็ตรงดิ่งเข้าไปคลอเคลีย รักละสายตาจากท่านขุนลงไปอุ้มเจ้าแมวน้อยขึ้นมา ยีหัวลูบหัวมณีด้วยความเอ็นดู แต่ท่านขุนไม่ได้รู้สึกชุ่มชื่นอย่างที่มณีเป็น เขาอึดอัด...เขาอยากหายไปจากตรงนี้เลยด้วยซ้ำไป
“มาได้ไง...” ท่านขุนถามแค่สั้นๆ
“ก็ขับรถมาไง ท่านขุนไม่ได้ยินเสียงเจ้ายักษ์ของข้ารึขอรับ” รักเล่นแบบที่เคยเล่น
“โทษที ไม่ได้ยินเลย มีอะไรหรือเปล่าถึงมา”
“มาแบบไม่มีอะไรไม่ได้เหรอ...มาเพราะคิดถึงก็ไม่ได้หรือไง” คำพูดของรักยิ่งทำให้ท่านขุนรู้สึกอึดอัด บางทีคำว่าผู้ใหญ่มันก็ค้ำคอจนพูดอะไรหยาบๆ ออกไปลำบาก
“โทษทีนะ ขอเขียนต่อก่อนแล้วกัน” ท่านขุนทำอะไรไม่ถูก เขากลับไปสนใจเขียนใบรายการที่ต้องให้จิมไปซื้อ รักเล่นกับมณีน้อยของเขา...ใช้คำนี้จัดว่าถูกต้องที่สุด
มณีเป็นแมวของรัก เขาซื้อแมวน้อยมาเพื่อเป็นลูกของเขากับท่านขุน...เป็นเหมือนพยานรักก็ว่าได้ ตอนนั้นมีความสุขมากกับการเลี้ยงลูกแมวตัวนี้ด้วยกัน มณีถูกตั้งชื่อให้คล้องจองกับท่านขุน แถมมณียังรักท่านขุนมากในตอนนั้น เธอติดท่านขุนแจ อ้อนให้ท่านขุนป้อนนมอยู่ตลอด
ทว่าภาพความทรงจำสีหวานนั้นกลายเป็นสีเทาไปแล้วในหัวท่านขุน...ระหว่างเขากับรักจบกันไม่สวยเท่าไหร่
คู่อื่นอาจคิดว่าการที่คนรักเรานอกลู่นอกทางบ้างมันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ถ้ารักกันก็ต้องให้อภัยกันแต่การที่รักมีคนอื่นแอบซ่อนเอาไว้มันทำให้ท่านขุนรับไม่ได้จริงๆ ต่อให้เป็นความผิดครั้งแรกของรักก็ตาม ท่านขุนไม่ยอมให้อภัยและตัดสินใจบอกเลิกง่ายๆ ทันทีที่จับได้ว่ารักเลี้ยงแฟนอีกคนไว้ที่คอนโดตัวเอง ความเด็ดขาดของท่านขุนในวันนั้นดูเหมือนคนไม่เคยรักแฟนคนนี้ แต่ไม่หรอก...ท่านขุนเจ็บปวดมากกับคำว่าเลิกกันเถอะ เราไปต่อด้วยกันไม่ได้แล้วล่ะ
หลังจากบอกเลิก ท่านขุนก็เลิกติดต่อกับรักอีก ไม่คิดจะกลับไปสนใจคนทรยศคนนี้ ต่อให้ตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ท่านขุนไม่ฟังเหตุผล ไม่ฟังคำแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น สำหรับท่านขุนแล้ว...การนอกกาย นอกใจจัดเป็นความผิดที่ไม่อาจยอมรับ เขาเกลียดสิ่งที่รักทำ เกลียดที่รักหักหลังความรักที่ท่านขุนได้มอบให้ แต่ถึงท่านขุนจะเด็ดขาดกับรักขนาดไหน ช่วงแรกรักก็มาตามตื๊อ มาขอโทษอยู่ดี
ตอนนั้นอารมณ์ร้อน...ท่านขุนกับรักต่อยกันที่ร้านเพราะท่านขุนอารมณ์ร้ายใส่ รักเองก็ไม่ยอม หาว่าท่านขุนไม่เคยรักตน เรื่องแค่นี้ก็ยอมให้กันไม่ได้ แค่ผิดไปครั้งเดียวเท่านั้นเอง คำพูดนั้นเห็นแก่ตัวสิ้นดี ท่านขุนไม่สนใจใครหน้าไหน เขาเป็นฝ่ายต่อยรักก่อนแล้วทั้งคู่ก็ทะเลาะกันหนักมาจนแยกจากกันไป
ช่วงนั้นเรียกว่าถ้าตายกูก็ไม่ไปงานศพ...
แล้วทำมันนี้ถืงโพล่มา?
“แปลกนะที่ขุนทำอาหารเอง” รักเปรยขณะที่ท่านขุนเดินออกไปด้านนอกเพื่อส่งรายการให้จิม
“จิมไปซื้อมาให้ทีนะ พี่รีบ” สั่งลูกน้องเสร็จก็หันไปหารัก เขาแย่งมณีน้อยมาอุ้มเอง
“วันนี้มาต้องการจะทำอะไร...รถมีปัญหาเหรอครับ” เหมือนพูดกับลูกค้าทั่วไป เรื่องนั้นผ่านมาเป็นปีแล้ว ท่านขุนรู้ดีว่าระหว่างเขากับรักจะไม่มีทางกลับไปเป็นแบบเดิม แต่แปลกที่กาลเวลาทำให้เขาเริ่มปลงกับความเกลียดชังที่เคยมี
“กล่องดำเจ้ายักษ์มีปัญหาน่ะ ก็เลยเอามาให้ท่านขุนช่วยดูให้หน่อย นี่รักตั้งใจมากเลยนะ...อยากให้ท่านขุนเป็นคนทำเจ้ายักษ์เอง” พูดแบบนี้คือเอาใจหรือเปล่า ท่านขุนยิ้มการค้า...ยิ้มแบบที่ยิ้มให้ลูกค้าทุกคน
“ได้สิ เดี๋ยวผมดูให้” ท่านขุนปล่อยมณีลงไปเดินเล่นที่พื้น ซึ่งเธอก็ยังเดินป้วนเปี้ยนอยู่กับรักไม่ไปไหน มันเป็นความคุ้นชิ้น...เป็นความสนิทสนมที่อยู่ในตัวของมณี มันหายไปไม่ได้ ต่อให้คนสองคนเลิกกันไปแล้ว แต่ในความรู้สึกมณี นี่ก็คือคนอีกคนที่เธอรัก
รักไม่ได้ดูเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากนัก ทั้งรูปร่างและการแต่งตัว รักเป็นคนชอบใส่เสื้อแจ็กเก็ตยีนส์ทับเสื้อยืดคอวีสีพื้น กางเกงต้องเป็นกางเกงฟอกขาดๆ นิดหน่อย เขามีแบรนด์ที่ใส่ประจำอยู่แล้ว ต่อให้มีกี่ตัวมันก็เป็นยี่ห้อนั้น ทรงผมสุดฮิตตามเทรน รองทรงสั้นแต่ด้านหน้าไว้ยาว จัดให้มันตั้งๆ นิดหน่อยเสริมให้รักดูหล่อเหลา แล้วยังมีแว่นสีชาแหน็บอยู่ที่คอเสื้อ รองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังแบบหุ้มข้อ เจ้าตัวเดินตามเจ้าของร้านออกมาด้านนอก
ท่านขุนไม่ได้ให้ความสนใจกับรักนัก เขาคิดว่าตอนนี้รักก็เหมือนลูกค้าคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ลูกค้าจะซอมซ่อ หรือว่าดูสติไม่ดีขนาดไหน เขาเป็นเจ้าของร้านก็ต้องต้อนรับขับสู้ เพราะสิ่งที่เราต้องการก็คือเงินของเขา ปฏิเสธไม่ได้นะ...ทำงานเพื่อเงินนี่
เจ้ายักษ์เป็นรถบีเอ็มดับเบิลยู ทรงสปอร์ทพันซีซี คนอื่นเรียกมันว่าฉลามขาวด้วยรูปลักษณ์ของมันเหมือนปลาสายพันธุ์นี้มาก ช่องระบายอากาศตรงแฟริ่งด้านข้างเป็นขีดสามขีดราวกับเหงือกของฉลามไม่มีผิด ไฟหน้าหรือเรามองว่ามันคือหน้าตาของรถก็โฉบเฉี่ยว ดูดุดันบวกกับความแรงของมัน จัดว่าเจ้านี่มันเป็นนักล่าตัวหนึ่งทีเดียว
ท่านขุนเอาแสตนด์สำหรับทรงตัวรถมาทางล้อหลัง จากนั้นใช้มันงัดรถตั้งตรงเพื่อจะได้ทำการแง้มดูอุปกรณ์ควบคุมไฟด้านใน กล่องดำเป็นสิ่งที่คนรักความเร็วส่วนใหญ่เขาใส่กัน มันสามารถควมคุมไฟทั้งคันรถได้ และยังทำหน้าที่เหมือนปลดลิมิตรเตอร์ความเร็วแต่ละคัน เหมือนว่ารถต่อให้ซีซีสูงต่อแค่ไหน ทางศูนย์ก็จะมีค่าควบคุมความเร็วของรถนั้นๆ อยู่ เพื่อจุดประสงค์ที่ต่างกันไป บางแบรนด์ก็ทำเพื่อประหยัดน้ำมัน ในขณะที่บางแบรนด์ไม่ทำเพื่อขับเน้นเรื่องของความเร็วรถ
“ให้รักช่วยไหม”
“ไม่เป็นไรครับ” ท่านขุนก้มๆ เงยๆ หยิบจับเครื่องมือ แอ้ไม่กล้าเข้ามาใกล้เพราะว่าตรงนั้นมันไม่สะดวกกับการมีคนจำนวนมาก เขายืนอยู่ไม่ห่าง เฝ้ามองดูเจ้านายตัวเองกับคนรักเก่าคุยกันเรื่องรถ
ไม่ได้สานต่อควาทรงจำเก่าก่อน ท่านขุนถามแค่อาการของมันและสิ่งที่รักต้องการในการทำรถครั้งนี้ ซึ่งรักก็ตอบเป็นการเป็นงาน เอาเข้าจริงรักเองรู้เรื่องรถไม่ได้น้อยไปกว่าท่านขุน ถึงท่านขุนเปิดร้านซ่อมรถแต่รักเองก็ซ่อมเป็นเช่นกัน ช่วงที่คบกันพวกเขาช่วยกันซ่อมรถที่เข้ามาอยู่ตลอด เป็นเหมือนหุ่นส่วนที่สำคัญ ทั้งในงานและในชีวิต
ไม่น่าเชื่อ...ทั้งที่เชื่อว่ารักกันมากไม่คิดจะเลิกราจากกันได้ ตอนนี้สิ่งนั้นกลายเป็นแค่ความทรงจำสีหม่นไปเสียแล้ว ท่านขุนไม่โหยหาความรักเลวๆ เขารู้ ผิดที่เขาแหละเป็นคนง่ายๆ เขาใช้ความรู้สึกนำทาง...เขารักรัก และเชื่อว่ารักก็รักเขามากจนไม่มีทางทรยศเขาได้ แล้วยังไง...นี่ไงบทสุดท้ายของความรักที่มีแต่ความรู้สึก
พูดไม่ได้หรอก...ตอนนี้ท่านขุนก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ และเขาก็ยังเชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเอง จะว่าทุเรศก็ได้ ตอนนี้ท่านขุนรักพี่พีของตนยิ่งกว่ารักรักในอดีตเสียอีก ทั้งที่พวกเขารู้จักกันได้ไม่นานและคบหากันมาแค่เดือนกว่าๆ เท่านั้น
“โอเค...สรุปตามนี้ เดี๋ยวผมจะดูอะไหล่ให้ แล้วก็จะเริ่มทำช่วงบ่ายๆ ไว้พรุ่งนี้รักค่อยมารับรถแล้วกันครับ” หลังคุยงานเสร็จ ท่านขุนก็สรุปให้รักฟัง รักไม่ได้มองรถเลย...เขามองท่านขุนไม่วางตา
“นี่ไล่กันหรือเปล่า” ท่านขุนอยากพยักหน้า
“เปล่าครับ หรือว่ารักสนใจสินค้าตัวอื่น...”
“สนใจท่านขุนนี่นับไหม” อยากกรอกตาเป็นเลขแปดแต่ทำไม่ได้ ท่านขุนยังคงยิ้มบางๆ
“ความหน้าหม้อนี้ไม่เปลี่ยนเลยนะครับ อ๋อใช่ รักบอกจะฝากท้องนี่นะ งั้นเข้าไปรอข้างในเถอะครับ” ไม่อยากต่อปากต่อคำ ท่านขุนเดินนำเข้าไปในร้าน รักเดินตาม มณีเข้ามาคลอเคลียทันที
“ขี้อ้อนจังน้า อ้อนไปก็ไม่มีของให้หรอกครับมณี” รักเอ่ยกับแมวน้อย ท่านขุนกดโทรศัพท์หาจิมเพื่อถามว่าได้ของหรือยัง
ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะรับสาย จิมก็โพล่หัวเข้ามาในร้าน เขาเดินมาตรงหน้าท่านขุน สองมือเต็มไปด้วยสิ่งของที่ท่านขุนสั่งให้ซื้อมา จิมวางของข้างหนึ่งลง มันคว้าโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดรับสายของท่านขุนต่อหน้าเจ้าของสายเรียกเข้า
“เดี๋ยวเถอะมึง” ท่านขุนรีบตัดสาย
“ฮ่าๆ ก็พี่อะจะรีบไปไหน...แกงทำแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว” จิมช่วยท่านขุนเอาของเข้าไปในครัว มันวางทิ้งเอาไว้แล้วเดินออกไปเลย รอกินอย่างเดียว
“จิมนี่ยังขี้เกียจเหมือนเดิม แถมท่านขุนของกระผมก็ยังใจดีกับทาสเช่นมันอยู่ดี” ดูสำนวน...เพื่อนเล่นเหรอ
“ฮ่าๆ ก็นะ...อยากให้มันเป็นลูกน้องคนเดียวในประเทศที่สบายกว่าเจ้านายของมัน” ฟังดูก็รู้ว่าเสียงหัวเราะนั้นมันเหมือนหัวเราะเยาะมากกว่า
“แล้วคิดยังไงถึงทำอาหารเองล่ะ” ปกติอยู่ด้วยกันเมื่อก่อน รักไม่ค่อยเห็นท่านขุนทำอาหาร ให้ลูกน้องออกไปซื้อของตลอด
นั่นสิ...ทำไมถึงกลายเป็นคนชอบทำอาหาร คำตอบเหรอ หาง่ายจะตาย...ก็เพราะคนที่กำลังจะมากินข้าวเที่ยงด้วยน่ะสิ พี่พีชอบบอกว่าอาหารที่ท่านขุนทำอร่อย ไม่ว่าท่านขุนจะทำอะไรพี่พีก็ชอบทั้งนั้น นั่นแหละ...ท่านขุนทำเพื่อพี่พีของเขายังไงล่ะ
“ก็...จะว่ายังไงดีล่ะ” ท่านขุนหันไปยิ้มเจ้าเล่ให้รัก ขณะที่มือของเขากำลังเอาของต่างๆ ออกมาจากถุง
“หรือว่าเพราะวันนี้ท่านขุนนึกคึกอะไรใช่ไหม ถ้าใช่นี่...รักโชคดีมากเลยนะที่มาได้จังหวะ” รักเท้ามือกับเคาน์เตอร์ครัว เขาขยับเข้าใกล้ท่านขุนมากขึ้น
“มั้ง แต่ช่วยหลบหน่อยได้ไหม ผมว่ารักควรนั่งรอ”
“ไล่กันนี่นา”
“ครับ” คราวนี้ท่านขุนไม่ปฏิเสธ รักเบะปากใส่นิดหน่อย มันก็ดูน่ารัก...เมื่อก่อนอะนะ
“แล้วช่วงนี้ท่านขุนเป็นยังไงบ้าง...สบายดีไหม” รักไปนั่งรอตรงโต๊ะกินข้าว
“ก็ดี”
“เหรอ นั่นสิ...ท่านขุนดูมีความสุขดีนี่เนอะ แล้วไปได้ไปทริปมั้งปะ รักว่านะ...ตอนนี้อะน่าเที่ยว คนไม่ค่อยเยอะดี นี่กลุ่มรักก็มีแผนจะไปเที่ยวกันวันอาทิตย์นี้ ไปทะเล...ไปปะ เราไม่ได้ซิ่งด้วยกันนานแล้ว ท่านขุนนี่ยังเข้าโค้งสวยอยู่หรือเปล่าน้า” รักพูดเรื่อยเปื่อยดูเป็นธรรมชาติ ก็เขาเคยคบกัน...เขาเป็นคนคุ้นเคย
“วันอาทิตย์นี้ไม่ว่างหรอก”
“อ่าว ทำไมอะ ท่านขุนมีแผนไปไหนเหรอ...รักไปด้วยได้ไหมอะ”
“จะไปงานหนังสือ” เป็นคำสั้นๆ ที่ทำให้รักคิ้วขมวด
“งานหนังสือเดี๋ยวนี้เขามีโคโยตี้เหรอท่านขุน...ฮ่าๆ ตลกอะ ท่านขุนไปงานหนังสือเนี่ยนะ ไปทำอะไร ปกติท่านขุนอ่านอะไรรอดที่ไหน เจ็ดบรรทัดก็หลับแล้วเราอะ” เออ ไม่ปฏิเสธ ทุกวันนี้ก็อ่านไม่ได้เยอะขึ้นหรอก แต่รู้เรื่องหนังสือเยอะนะ...พี่พีเล่าให้ฟัง
“มันตลกขนาดนั้นหรือไง ไปงานหนังสือก็ต้องไปดูหนังสือ...งานหนังสือไม่ได้มีโคโยตี้ให้ดูอยู่แล้วปะ” ท่านขุนว่ากลับสบายๆ
“มันไม่ตลก แต่มันแปลก...หรือว่าท่านขุนของรักเปลี่ยนไปแล้วกันนะ”
“ผมไม่ใช่ของคุณ” เกิดความเงียบไปชั่วอึดใจเมื่อคำตรงไปตรงมาออกมาจากปากของท่านขุน เจ้าของคำพูดไม่ได้สนใจเลยว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไร เขากำลังทำอาหาร หั่นมะเขือเปราะแบบพอดีคำ
ท่านขุนตั้งหม้อบนเตาให้ร้อน ใส่น้ำมันไม่มากนัก มีไอร้อนออกเขาก็เริ่มใส่เครื่องแกงเขียวหวานลงไปผัดให้กลิ่นหอมฉุย นี่ถ้ามากความสามารถกว่านี้เขาจะตำเครื่องแกงเอง ติดที่เขาไม่มีปัญญาทำมากขนาดนั้น จากนั้นก็ใส่ไก่หั่นสำเร็จรูปลงไปผัดกับเครื่องแกง ให้เครื่องแกงซึมเข้าสู่ชิ้นไก่เหล่านั้น ท่านขุนมีความสุขมากกับการทำ ต่อมาก็เทกะทิลงไป...
“รักขอโทษ...” ดูเหมือนอีกคนเพิ่งจะหาคำพูดตัวเองเจอ
“ไม่เป็นไร ไม่ได้คิดมากขนาดนั้น”
“อื้อ ดีใจที่ไม่ทำให้ท่านขุนเคืองอีก...ไม่อยากให้ท่านขุนโกรธเกลียดรักแล้ว” มันเข้าหูซ้ายและทะลุไปหูขวาแหละในความรู้สึกท่านขุน ตอนนี้เขามีแค่พี่พีกำลังจะมา เขาต้องตั้งใจทำ...พี่พีกินรสจัด เติมพริกอีกดีไหมนะ...
“แล้วชีวิตรักเป็นไงบ้างล่ะ” ไม่ได้ถามเอาอะไรนะ ถามไปงั้นๆ...
“ก็โสด...โสดมาเป็นปีแล้วล่ะ หาคนใหม่ไม่ได้เลย ไม่เคยลืมคนเก่าได้...” ติดว่ามันเป็นคำพูดที่น่าจะทำให้ท่านขุนรู้ตัว การที่รักกลับมาแบบนี้เพราะรักมีจุดประสงค์
หึ...ท่านขุนรู้แล้วล่ะ
“อ๋อ อืม...สู้ๆ ล่ะ” โคตรไร้ความรู้สึกร่วม
“นี่...เรากลับมาเริ่มต้น...” รักกำลังจะเอ่ยสิ่งที่ต้องการบอก ถ้าไม่ติดว่าเสียงกระดิ่งหน้าร้านมันดังขึ้นเสียก่อน...
พี่พีมาแล้ว…
….100%….
ก่อนอื่นเราต้องขอโทษมากๆ เลยค่ะที่หายไปหลายวันจัด พอดีเรายุ่งๆ นิดหน่อย ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ หลังจากนี้จะมาบ่อยขึ้นค่ะ งานเคลียไปได้เยอะแล้ว…ดีจายยยยย
ตอนหน้าแฟนเก่าปะทะแฟนใหม่ล่ะ!