วันนี้เขามีถ่ายซีรีส์ตั้งแต่เช้ายันดึกในย่านควีนส์ (Queens) ต้องขับรถไปอีกฝั่งที่ไปไกลจากนี่มาก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมต้องนั่งรถไฟใต้ดินไปโผล่ที่โน่นเอง ผมยังไม่รู้จักสถานที่หรอก ไว้ถามเขาก็แล้วกัน แต่ถ้าไม่ยอมบอกคงต้องพึ่งคุณเอมิลี่ ผมรับรู้ว่าวิคเตอร์ไม่ค่อยลงลอยกับโปรดิวเซอร์กองถ่ายซีรีส์เรื่องนี้เท่าไหร่ เนื่องด้วยเป็นเพราะที่วิคเตอร์มักไปสาย แล้วไม่ค่อยมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีเท่าใดนักกับคนในกอง แต่อีกฝ่ายทำอะไรมากไม่ได้เพราะผู้กำกับชอบวิคเตอร์ แล้วตัวโปรดิวเซอร์ดันพลาดเลือกเขามาแล้ว จะเปลี่ยนตัวตอนนี้ก็คิดว่าแฟนๆ คงเกิดความไม่พอใจอย่างมาก เลยต้องทนทำงานร่วมกันไปจนกว่าจะจบซีซั่นทั้งหมด
พอผมเลือกชุดให้เขาเสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินออกมาจากห้องแต่งตัว ก็เลยได้ยินเขาคุยโทรศัพท์เสียงดัง และเห็นสีหน้าอันไม่สบอารมณ์อย่างแรงของเขาตอนคุย
“ผมไม่เอา!...ไม่ต้องส่งใครมาทั้งนั้นแหละ…เป็นห่วงหรือส่งมาสอดแนม!...ไม่ต้องมาห่วงผม ผมดูแลตัวเองได้ คุณไม่ใช่แม่ผมซักหน่อย…อย่าพูดเรื่องนั้นอีกนะ ผมเบื่อคุณพล่ามเรื่องนี้ละ…ไม่งั้นผมจะบอกพ่อว่าคุณยังไม่เลิกวุ่นวายกับผม!... อย่าโง่ไปหน่อยเลย ไม่ใช่! มันจบแล้ว!…เลิกยุ่งกับผมได้แล้ว อย่าให้ผมหมดความอดทนนะ!” เขากดวางสายอย่างแรง
ผมสะดุ้งกับอารมณ์กราดเกรี้ยวของเขา วิคเตอร์สีหน้าเกร็งเครียด แล้วขว้างโทรศัพท์ลงพื้น อะ…ไอบ้า ไอโฟนหกมันยิ่งมีข่าวว่างอง่ายอยู่นะ ผมเอื้อมไปหยิบมือถือของเขาขึ้นมา เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปนอกระเบียงเล็กๆ ที่หน้าต่างบานยาวสีขาวที่เพิ่งถูกเปิดออก ผมไม่รู้ว่าเขาเพิ่งคุยกับใคร แต่ท่าทางคนทางโน้นคงจะจุดอารมณ์ของเขาได้ดีทีเดียว และตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไง ควรปล่อยเขาไว้แบบนี้ ใช่มั้ย แน่ล่ะสิ มีสิทธิอะไรเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเขาล่ะ เดี๋ยวก็ได้โดนตอกหน้าแหกกลับมาหรอก
ผมกดที่หน้าจอโทรศัพท์ของวิคเตอร์ ตอนนี้แปดโมงสี่สิบห้าแล้ว ผมกลัวเขาจะไปทำงานสายและรู้สึกเป็นห่วงเมื่อเห็นอาการเกร็งเครียดขนาดหนัก เลยอยากจะออกปากบอกเขาเรื่องไปทำงานและถามว่าเขาโอเคมั้ย แต่ความกล้าในใจมันก็หดตัวหนีตั้งแต่เห็นเขากระฟัดกระเฟียดเมื่อกี้นี้แล้ว ผมหันไปมองอาหารในจาน ข้าวลดไปนิดเดียวเท่านั้นเอง ผมเลื่อนสายตาไปมองแผ่นหลังของเขาที่อยู่ตรงระเบียง แล้วตัดสินใจเดินเข้าไปตรงหน้าต่าง ยืนเงอะๆ งะๆ ทำตัวไม่ถูก
“Mr.Raymond—are you okay? (คุณเรย์มอนด์ คุณโอเคมั้ยครับ)” เขายังคงยืนหันหลังไม่หันหน้ามามอง
“Leave me alone. (ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน)” เขาไม่ได้ตวาดหรือตะคอกอะไรกลับมา แต่บอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เป็นน้ำเสียงบอกปัดธรรมดาๆ
“Well, I know this is not my business—but I hope you will be okay. I don’t know what is it about—but I care about you. (ก็... ผมรู้นะว่ามันไม่ใช่กงการอะไรของผม แต่ผมก็หวังว่าคุณจะโอเค ผมไม่รู้ว่ามันเรื่องอะไร แต่ผมเป็นห่วงคุณนะครับ)” เขายืนนิ่งสักพัก ก่อนจะหันกลับมามองผมที่มองเขาด้วยสายตาเป็นห่วง ผมยิ้มแห้งๆ รู้ดีว่าตัวเองกำลังแส่ไม่เข้าเรื่อง
“Why do you care about me? (นายห่วงฉันทำไม)” เขาถามเรียบๆ ท่าทีนิ่งสงบ ผมเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงปกติ
“Even you always scowl at me—or always snap me, but I like you in that way than you are now. You look freaking tense and serious. You look uncomfortable—and I feel the same way you are. I just—just want you to feel relax, and then—you will go to take a shower, get dresses, and we will go to work. (ถึงคุณจะชอบทำหนาบึ้งใส่ผม หรือชอบเสียงดังใส่ แต่ผมก็ชอบคุณแบบนั้นมากกว่าตอนนี้ คุณดูโคตรเกร็งและโคตรเครียด คุณดูอึดอัดนะ แล้วผมก็รู้สึกอึดอัดไปกับคุณด้วย ผมก็แค่… แค่อยากให้คุณผ่อนคลาย แล้วหลังจากนั้น คุณจะได้ไปอาบน้ำ แต่งตัว แล้วเราจะได้ไปทำงานกัน)” ผมยิ้มนิดๆ หวังว่าตัวเองจะไม่ทำอะไรมากมายเกินไป หรือดูเกินหน้าเกินตา วิคเตอร์ยังคงมองผมด้วยสายตาเฉยเมย และใบหน้าเรียบนิ่ง
“So—you afraid I will be late? (นายกลัวฉันสายงั้นสิ)” ผมพยักหน้าเร็วๆ
“I don’t want you to get any trouble. (ผมไม่อยากให้คุณมีปัญหาอะไรนี่ครับ)” ผมบอกหน้าซื่อๆ จ้องมองเขาด้วยสายตาไร้สิ่งใดแอบแฝง วิคเตอร์เดินกลับเข้ามาด้วยสีหน้านิ่งสงบ ผมหลีกทางให้ เขาหยุดยืนตรงหน้าผม แล้วก้มลงมองด้วยสายตาเหมือนกำลังประเมิน
“Don’t be afraid, because you are my trouble maker. (ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะนายคือตัวสร้างปัญหาให้ฉันอยู่แล้ว)” ผมยิ้มเพลียๆ ให้เขา วิคเตอร์เดินไปทางห้องน้ำ พลางถอดเสื้อออกแล้วโยนมาใส่หัวผมราวกับจับวางเอาไว้ ผมสูดกลิ่นเหงื่อที่ติดอยู่บนเสื้อเขาเข้าไปเต็มปอด ก่อนจะรีบดึงเสื้ออกจากหัวด้วยสีหน้ามุ่ยๆ ผมเอาเสื้อวางไว้บนโซฟาปลายเตียง แล้วหันไปจัดการกับอาหารที่เขาทานทิ้งไว้ ผมยกถาดขึ้นและกำลังจะเดินออกจากห้อง แต่สายตาไปสะดุดกับรูปผู้หญิงสองคนที่อยู่คนล่ะกรอบ ตั้งอยู่บนตู้ทรงสูงข้างเตียงฝั่งซ้ายมือเวลานอน ผมหันไปมองที่ประตูห้องน้ำ ได้ยินเสียงน้ำไหลก็วางใจ แล้วเดินเข้าไปดูรูปใกล้ๆ
ตอนแรกผมคิดว่าคงจะเป็นรูปแฟนเขารึเปล่า แต่ไม่ใช่ รูปแรกเป็นผู้หญิงผมยาวดกดำ หน้าตาสะสวย ผิวขาวแต่ไม่ได้ขาวโอโม่ ดวงตาสีน้ำตาลยิ้มเป็นประกายฉายชัดออกมาจากรูป รอยยิ้มของเธอมีเสน่ห์มาก ยิ้มแล้วดึงดูดใจจริงๆ ส่วนอีกรูปเป็นผู้หญิงที่มีอายุมากแล้ว ดูได้จากผมหยิกสีขาวโพลน แต่รอยยิ้มของเธอก็ดูใจดีมีเมตตา ผมขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย คนนี้น่าจะเป็นย่าหรือยายของเขาล่ะมั้ง ส่วนอีกคนน่าจะเป็นแม่เขานะ ดวงตาคล้ายๆ กันเลย ผมลองมองไปรอบๆ ก็เห็นรูปอีกใบที่อยู่บนตู้สีขาวสี่เหลี่ยมทรงกว้างยาวแต่สูงที่อยู่ติดผนังห้องนอน บนนั้นมีกรอบรูปวางอยู่สองสามรูป และมีของเอกลักษณ์แต่ล่ะประเทศวางประดับอยู่ มีทั้งหอไอเฟล (Eiffel tower) ที่ปารีส หอเอนปิซ่า (Pisa tower) ที่อิตาลี บิ๊กเบน (Big ben) ที่ลอนดอน โอเปร่าเฮ้าส์ (Opera house) ที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย ตึกเอ็มไพร์สเตท (Empire State) ของนิวยอร์ค อ๊ะ! มีวัดอรุณของไทยด้วย แล้วก็มีของประดับน่ารักๆ อย่างม้าหมุนขนาดเล็ก ชิงช้าสวรรค์ขนาดกลาง มีปราสาทซินเดอเรลล่า (Cinderella castle) ที่ดิสนีย์เวิร์ด (Disney world) ด้วย แล้วก็มีถ้วยรางวัลคริสตัลที่เป็นรูปมือชูสองนิ้ว ฐานเป็นสีดำ ผมเดินเข้าไปหนึ่งก้าวแล้วแหงนหน้ามอง ที่ฐานเขียนเป็นตัวอักษรสีทองไล่บรรทัดลงไปสี่แถว
‘For my big boy’
‘I will always be with you, remember what I said. Someday…’
‘With love’
30 January 20xx
ผมเอียงคอมองถ้วยรางวัลนั้นด้วยความสนใจ อืม… สวยดีนะ เก๋ดี คงเป็นของขวัญวันเกิดเขาแน่ๆ ว่าแต่ใครให้ล่ะ สำหรับพ่อหนุ่มของฉัน ฉันจะอยู่กับเธอเสมอ จำที่ฉันบอกไว้ว่าสักวันหนึ่ง… คงเป็นโค้ดลับของคนให้กับวิคเตอร์ล่ะมั้ง ผมละสายตาขึ้นไปมองกรอบรูปขนาดยาวเป็นแนวนอนที่ใส่กรอบทองอย่างสวยงาม ติดอยู่บนผนังเหนือตู้ที่วางถ้วยรางวัลคริสตัลกับพวกของประดับทั้งหลาย เป็นภาพวาดสีน้ำ ที่วาดรูปทุ่งหญ้ากว้างสีเขียว ทะเลสาบสีฟ้า ภูเขาสีเขียว มีพระอาทิตย์ขึ้น สาดแสงสีส้มทองผ่องอำไพอย่างสวยงาม เป็นรูปภาพธรรมดาๆ แต่ว่าดูแล้วสบายตามาก
เอ้อ ว่าจะมาดูรูป มัวแต่ดูอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ผมเลยรีบหันกลับไปดูรูปที่เป็นเป้าหมายในตอนแรก เป็นรูปวิคเตอร์ตอนวัยรุ่นกับผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาน่ารักมาก ผิวขาวแต่ก็แอบเห็นกระหน่อยๆ บนแขน เธอกำลังขี่หลังวิคเตอร์อยู่ ทั้งสองคนฉีกยิ้มกว้าง ไม่อยากจะบอกว่ารอยยิ้มแบบในรูปนี้หาได้ยากมากจากตัวจริง ทั้งๆ ที่เวลาเขายิ้มโคตรจะน่ารัก แถมยังมีเสน่ห์ดึงดูดมากกกก! ไม่ยากจะเติมก็ไก่หลายๆ ตัวหรอกนะ แต่หน้าเฉยๆ คือหล่อ แต่พอยิ้มแล้วน่ารักอ่ะ ในรูปเขายังไม่มีหนวด หน้าเขาเลยเผยความใสในตอนวัยรุ่นให้ได้เห็น แต่ผมชอบเขาตอนนี้มากกว่าแฮะ ดูเป็นหนุ่มวัยรุ่นตอนปลายที่มีเสน่ห์ แถมยังเท่กว่าตอนวัยรุ่นอีกต่างหาก
“ทำอะไรน่ะ” เสียงทุ้มห้าวๆ ดังขึ้น ผมหันไปมองทั้งที่ยังยิ้มค้างอยู่ วิคเตอร์ที่อยู่ในสภาพผ้าขนหนูผืนเดียวเกาะเกี่ยวเอวต่ำจนน่าใจหาย กำลังมองผมด้วยสายตาระแวง ผมบุ้ยปากไปในรูปที่เขาถ่ายคู่กับผู้หญิงคนนั้น ท่าจะเป็นแฟนเก่าเขาแน่ๆ
“คุณยิ้มแบบนี้น่ารักดีออก แถมยังเพิ่มความหล่อให้คุณด้วย ทำไมไม่ยิ้มแบบในรูปนี้เยอะๆ มั่ง” เขาเอาผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องคลอ แล้วเสยผมเปียกของเขาขึ้นจนทรงผมเขากลายเป็นเวทลุคส์หรือหวีเปียก เออ หมอนี่นี่ทำอะไรก็หล่อไปหมดเนอะ หนังหน้าดีก็งี้ ผมทรงไหนก็เข้ากับหน้าหล่อเป็นสันเข้มๆ นั่นหมด เขากำลังจ้องมองผมด้วยสายตาเหมือนจะบอกว่า แกมายุ่งอะไรกับฉัน
“ฉันจะยิ้ม แบบนั้น ให้กับคนที่ฉันอยากยิ้มเท่านั้น ซึ่งไม่ต้องกังวลว่าฉันจะยิ้มแบบนั้นให้นายหรอกนะ” ผมเบะปากน้อยๆ แล้วกลอกตา เออ! ฉันก็ไม่ได้หวังให้แกมายิ้มให้ฉันหรอก แค่บอกไว้ว่ายิ้มแบบนี้มันดูดีกว่า หน้าบึ้งๆ เว้ย!
“ผมก็แค่แนะนำครับ ไม่อยากยิ้ม ก็ไม่ต้องยิ้ม เชิญทำหน้าเหมือนกินขี้ต่อไปเถอะ” แล้วผมก็เร่งฝีเท้าเร็วจี๋ไปที่ประตู ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไรผม แล้วผมก็ต้องก้มหลบหมอนข้างที่เขาขว้างมาหมายให้โดนหัวผม ผมอ้าปากค้างแล้วหันไปมองเขาด้วยความตะลึง วิคเตอร์ทำหน้าเข่นเขี้ยวมาให้ แล้วชี้หน้าผม
“Be careful. The alien! (ระวังตัวไว้เหอะ ไอ้เอเลี่ยน!)” ผมถลึงตาใส่เขาทีนึง แล้วรีบเดินหนีไปทันที โถ่เอ๊ย! ฉันก็ระวังตลอดอยู่แล้วแหละอยู่กับแกน่ะ ไอ้พระเอก!
เฮอะ! อยู่บ้านผมแทบไม่ต้องทำอะไร แต่มานี่ผมได้ทำอะไรหลายอย่างมาก กลับเมืองไทยไปแม่กับพ่อคงดีใจ ที่ลูกชายใจแอบสาวได้ทำตัวมีประโยชน์บ้าง นอกจากนั่งเล่นเน็ตไปวันๆ แล้วรอกินข้าว การเป็นเบ๊ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่อยากจะเป็น!
Day 4 (วันที่สี่ของเบ๊)ผมกำลังวิ่งผ่านหน้าโรงแรมเซ้นท์รีจิส ในสภาพเหงื่อแตกทั้งๆ ที่อากาศนั้นเย็น และดอกไม้ก็บานเบ่ง แต่หน้าผมไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับช่วง Spring ของนิวยอร์คเลยจริงๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนที่ผมกำลังเลี้ยวตรงหัวมุมของตึกโรงแรม
๛Take me by the tongue, and I’ll know you…
“Where are you?! (อยู่ไหน?!)” เสียงห้วน และสีหน้าคงมึนตึงตามเคยดังออกมาจากโทรศัพท์ ผมหยุดวิ่งแล้วยืนหอบๆ อยู่ตรง Coffee shop ร้านสีส้มสดใส ที่มีต้นไม้ใหญ่อยู่หน้าร้าน
“I’m almost there! (ผมใกล้ถึงแล้ว!)”
“Hurry up! (เร็วๆ)” แล้วเขาก็ตัดสายไปทั้งที่ผมกำลังจะอ้าปากพูดต่อ ผมแยกเขี้ยวใส่โทรศัพท์ แล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์ ก่อนจะกระชับเซิร์ฟบอร์ดและถุงตาข่ายลูกบาสที่บรรจุเป็นสิบลูก แถมถุงใส่ไม้กอล์ฟให้อีกอันเบ้อเริ่ม! โอ๊ยยย! พ่อนักกีฬา! ผมออกวิ่งอีกครั้งในสภาพแบกของหนักๆ และใหญ่ๆ เกินตัวผม เดี๋ยวเอาของไปเก็บไว้บ้านเขาเสร็จ ก็ต้องถ่อไปหาที่กองถ่ายเพื่อรับเขากลับอีก ทั้งที่หมอนั่นเอารถไปเองแท้ๆ แต่เขาก็ยืนยันว่าผมต้องกลับไปรับเขา แม้ขากลับจะต้องแยกกันกลับก็ตาม
ชีวิตตต!
Day 5 (วันที่ห้าของเบ๊)ผมกำลังหอบของออกจากห้าง MACY ห้างอันเก่าแก่ของนิวยอร์ค ที่เป็นแหล่งช้อปปิ้งชื่อดังของคนเมืองนี้ แต่การออกจากห้างนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะคนเบียดเสียดจนจะได้เสียเป็นผัวเมียกันกลางห้างอยู่แล้ว! อ้ากกก! อีตาบ้าวิคเตอร์เอ๊ย! แกจะมาอยากได้เสื้อผ้าอะไรในห้างนี้ คนอย่างกับหนอนในไหปลาร้า อีกนิดเดียวผมจะถึงประตูห้างแล้ว โอ้ววว! สวรรค์ จะได้ออกจากดงเมี่ยงปลากดุกนี่สักที (มันคืออะไร?) ผมยกถุงช้อปปิ้ง ขึ้นเพื่อเป็นการบอกคนที่กำลังเดินขวักไขว่ไปมาว่า ขอทางออกหน่อย โชคดีที่ช่วงตรงทางออกคนไม่ได้แน่นเท่ากับในตัวห้าง ผมเลยหลุดออกมาได้ไม่ยาก พอถึงประตูผมก็รีบพุ่งตัวออกไป แต่สงสัยจะรีบมากเกิน ผมเลยหน้าคว่ำล้มคะมำลงไปกองกับพื้น ถุงช้อปปิ้งเสื้อผ้าตามออร์เดอร์ที่อีพ่อพระเอกนั่นสั่งกระจัดกระจายไปรอบตัวผม ท่ามกลางผู้คนที่กำลังเดินเข้าออกห้างและกำลังเดินผ่านไปผ่านมา
กรีดร้องงงง!
ผมอยากจะนอนคว่ำหน้าไปแบบนี้ทั้งชีวิต ไม่อยากจะเงยหน้าขึ้นไปพบปะผู้คนที่เหมือนจะหยุดยืนมอง แต่ผมทำไม่ได้ เพราะหมอนั่นรอผมอยู่ที่บ้าน และให้เวลาผมมาจัดการซื้อของที่มากมายมหาศาลเหล่านี้แค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ผมเลยรีบเงยหน้ามองไปรอบๆ ก็เห็นคนกำลังยืนมองทั้งด้วยสายตาสงสาร สมเพช เวทนา และฮา!!
“Are you alright? (เป็นอะไรมั้ยครับ)” ผู้ชายคนหนึ่ง ท่าทางใจดี ในชุดสูททำงานอันดูดี ก้มลงถามผม พร้อมผู้หญิงอีกคนที่ดูท่าทางจะเป็นแฟนเขา ผมรู้สึกปวดแสบปวดร้อนแถวๆ ข้อศอกซ้าย มีเวลาก้มดูนิดเดียว ก็เห็นว่า อื้อหือ! ถลอกปอกเปิกเลือดออก!
“I’m fine! Thanks! (ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก!)” ผมบอกเสียงเร็วหวือ และหน้าตาที่ยิ้มกว้างกว่าปกติเพราะความรวน ผมเริ่มเก็บถุงเล็ก ถุงกลาง ถุงใหญ่ ทั้งหลาย ที่กระจัดกระจายไปทั่วขึ้นมา สองหนุ่มสาวผู้มีน้ำใจช่วยผมก้มเก็บและส่งถุงมาให้ ผมก้มหัวให้แทบติดพื้นและยิ้มขอบคุณเขา ตอนนี้แขนสองข้างของผมเหมือนราวแขวนถุง เพราะมันเต็มตั้งแต่ข้อมือยันข้อแขน! ผมขอบคุณสองคนนั้นอีกครั้ง แล้วเตรียมจะก้าวเดินออกไปขึ้นรถไฟใต้ดิน เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีกรอบ ผมกดรับ
“I’m… (ผม…)”
“Are you finished? (เสร็จรึยัง)”
“Yes, and I’m com…(ครับ และผมกำลังจะ…)” ผมกำลังจะบอกว่ากำลังกลับไป แต่เขาพูดแทรกขึ้นมาน้ำเสียงสบายๆ
“I need more Calvin Klein. (ฉันต้องการคาววินไคลน์เพิ่ม)” ผมคิ้วย่น ตาโต อ้าปากหวอ
“That you ordered me, is it not enough?! (ยังไม่พออีกหรอ ที่คุณสั่งผมมาเนี่ย!)” ผมถามด้วยความตกใจ
“Stop asking. Do what I said. (อย่าถามมาก ทำตามที่ฉันบอก)” แล้วเขาก็วางสายไป ผมกำโทรศัพท์แน่น แทบอยากจะกรี๊ดแม่งหน้าห้างเนี่ยแหละ ถ้าไม่เกรงใจดอกไม้จะหุบเพราะเสียงกรี๊ดผมที่ทางห้างเอามาประดับหน้าห้างช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้วล่ะก็ แม่จะกรี๊ดให้ตึกเอ็มไพร์สเตทที่อยู่ใกล้ๆ ถล่มลงมาซะเลย (เว่อร์)
ผมเตรียมตัวจะเดินกลับเข้าไปในห้าง เสียงมือถือก็ดังขึ้นอีกรอบ ไม่ต้องเสียเวลาเดาหรือเวลาคิด มีคนเดียว!
“Yes! (ครับ!)”
“20 minutes. (ให้อีกยี่สิบนาทีนะ)” แล้วเขาก็วางสายไป หลังจากบอกเวลาเพิ่มจากกำหนดเดิมที่เป็นอันเข้าใจระหว่างผมกับเขา
ผมได้แต่ถอนหายใจเซ็งๆ แล้วหันไปมองประตูห้างกระจกใสแจ๋วที่ผมเพิ่งจะพุ่งตัวออกมาเมื่อครู่นี้ ความรู้สึกแสบๆ คันๆ ที่แผลตรงแขนซ้ายเต้นตุบๆ มันจะเอากางเกงในไปใส่แล้วมาขายต่อให้แฟนคลับรึไง ถึงได้สั่งมาเกือบสิบโหลขนาดนี้! ผมได้แต่จำนนต่อโชคชะตาแล้วเดินกลับเข้าไปในห้าง ไปผจญกับฝูงหนอนในไหห้างอันเป็นตำนานนี่อีกรอบ
ฮือออ! น้ำตาจะไหล ขอแชร์นะคะ!
Day 6 (วันที่หกของเบ๊)ผมกำลังนั่งดมยาดมที่พกติดตัวมาด้วยอยู่ในตึกเอเจนซี่หลังจากวิ่งมาจากซับเวย์ เพื่อมารับฟิล์มรูปของวิคเตอร์ที่มาถ่ายพอร์ทเทรต (Portrait) เอาไว้เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนที่ผมจะมา คุณเอมิลี่สั่งให้วิคเตอร์เข้ามารับรูปเพื่อไปดูว่าถูกใจมั้ย แต่แน่ล่ะ พี่แกไม่ยอมมาเองหรอก ส่งผมมานี่ไง!
“เอาไปให้เขาเลือก ว่าจะให้โชว์รูปไหนบ้างในอินสตราแกรม ทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ค ของเพจเอเจนซี่ เพราะเดือนหน้าเขาคือ Model of the month เราต้องโปรโมตเขาทั้งเดือน” คุณเอมิลี่พูดพลางยื่นซองฟิล์มถ่ายรูปมาให้ผม ผมยิ้มเหนื่อยๆ แล้วรับมาไว้ แต่ก็แอบงงเล็กน้อย
“นี่ยังต้องโปรโมตเขาอยู่อีกหรอครับ” เธอยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปนั่งโซฟาตัวตรงข้ามกับผม
“ถึงวิคเตอร์จะเริ่มดัง มีชื่อเสียงแล้ว แต่เราต้องยิ่งเสริมเขาให้ดังมากขึ้นไปอีก แล้วนี่ก็คืออีกหนึ่งหน้าที่เธอ คือถ่ายรูปเขาแล้วอัพลง ไอจี เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ เขาให้บ่อยขึ้น เพื่อให้แฟนๆ ที่ตามเขาได้อัพเดตชีวิตเขาใกล้ชิดมากกว่าเดิม”
“แล้วปกติเขาไม่เล่นเองหรอครับ ผมก็เห็นเขาก็อัพรูป สถานะ ต่างๆ ตามปกติ ไม่ใช่เหรอ” พูดถึงตรงนี้คุณเอมิลี่ก็ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจ
“ก็ถ้าฉันไม่คอยบอกหรือบังคับให้เขาทำ เขาก็ไม่สนใจจะทำหรอก รูปล่าสุดที่ลงนั่นก็ไม่ใช่เขาลงเอง ฉันลงให้” คงจะหมายถึงรูปในเฟซบุ๊คสินะ ผมยิ้มอย่างเข้าใจในความเหนื่อยใจของคุณเอมิลี่
“เขาคงไม่ได้เป็นพวกโซเชียลมั้งครับ” เธอยิ้มนิดหนึ่ง ก่อนตอบ
“อันนั้นมันก็ใช่ แต่ประเด็นหลักคือเขา…” คุณเอมิลี่ดูจะลำบากใจในการพูดต่อ ผมมองเธองงๆ “…จริงๆ เขาไม่ได้อยากเป็นหรอกอาชีพดารานักแสดง” ผมย่นคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“ไม่อยากเป็นแล้วเขามาเป็นทำไม”
“ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเขานักหรอก แต่คิดว่าคงเป็นเพราะโอกาสที่เข้ามา เขาเลยลองดูล่ะมั้ง ถึงฉันจะดูแลเขา แต่ก็ไม่ได้สนิทกับเขามาก วิคเตอร์เป็นคนเก็บตัว มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูงพอสมควร การที่เขามาทำงานแบบนี้บางทีมันก็อาจทำให้เขาอึดอัดบ้าง”
“ผมไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ ที่ได้ยินว่าเขามีนิสัยแปลกๆ” ผมแอบเบะปากเล็กน้อยจนอีกฝ่ายขำออกมา ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ อีกรอบ
“แต่ถ้าเธอรู้ว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ เธออาจจะเข้าใจเขามากขึ้นก็ได้นะ” ผมกระพริบตามองเอมิลี่ด้วยความงง จ้องเธอตาแป๋ว เธอยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะบอกสิ่งทำให้ผมรู้สึกค้างค้าใจ
“วิคเตอร์สูญเสียจนเขาเกือบเสียคน…” Day 7 (วันที่เจ็ดของเบ๊)ผมกำลังหอบสตอร์รี่บอร์ดเอ็มวีเพลงใหม่ของนักร้องสาวคนหนึ่งซึ่งติดต่อให้วิคเตอร์มาเป็นพระเอกเอ็มวีให้ แต่เนื่องจากพ่อพระเอกของผม เอ้ย! ไม่ใช่ๆ ของใครหลายๆ คน ติดถ่ายซีรีส์ทั้งอาทิตย์ และเทคิวให้ซีรีส์แทบหมดตักไปถึงอาทิตย์หน้า เลยไม่สามารถปลีกตัวมาประชุมได้ แล้วใครล่ะที่ต้องมาประชุมแทนและบรีฟงานแทน ก็ไอ้แมทตัวเตี้ยๆ คนนี้นี่ไง
เนื่องด้วยทางผู้กำกับเอ็มวี โปรดิวเซอร์ และแม่นักร้องสาวผมแดงสว่างคนนั้นรีเควสมาเลยว่าอยากได้พ่อวิคเตอร์เป็นพระเอกจริงๆ เลยยินยอมที่จะให้ผมมาบรีฟงานแทนได้ ผมก็เพิ่งได้รับรู้ว่า จริงๆ มันก็ไม่ได้ต่างจากเมืองไทยบ้านเรานักหรอก ที่บางทีถ้าทีมงานอยากได้คนนี้ร่วมงานจริงๆ เขาก็ยินดีรอ ผมว่าเขาคงมองการณ์ไกลมาแล้วว่าคงคุ้มค่าที่จะรอและเลือกเขาคนนี้มาทำงานให้ แต่ส่วนมากวงการทีนี่ต้องผ่านการออดิชั่นและแคสติ้งทั้งนั้น นอกซะจากทีมงานอยากได้คุณจนตัวสั่นมารวมงานจริงๆ ก็ไม่จำเป็นเลย เฉกเช่นกรณีนี้
ผมกำลังยืนรอสัญญาณไฟเขียวอยู่ตรงถนนเส้น 42 แถวๆ Bryan park ในมือขวาหอบสตอร์รี่บอร์ดขนาดใหญ่สี่แผ่น และสมุดโน้ตจดงานสีน้ำตาลเล่มเดิม ส่วนมือขวาถือถุงชุดสูทสี่ตัวที่เพิ่งไปรับมาจากที่ร้านซักรีด เนื่องด้วยผมกลัวเสี่ยงจะทำสูทวาเลนติโนของเขาพัง ผมเลยเถียงกับเขานานมากว่าผมจะไม่ยอมซักและรีดให้เขาด้วยมือผมเอง ผมยืนกรานอยู่นาน สุดท้ายเขายอมแต่ก็ยังมิวายยอมแพ้ราบคาบ
“ไปเรียนรู้วิธีซักรีดชุดสูทมาจากที่ร้าน และมาหัดทำเอง!” ผมได้แต่ทำหน้าเข่นเขี้ยวและทำหน้าเหมือนเหม็นเปรี้ยวกลิ่นตัวใครสักคน และผมก็ลงเอยด้วยการโดนดีดหูไปทีหนึ่ง จนหูแดง
พอไฟเขียวแล้ว ผมก็เดินข้ามถนนไปจนไปอยู่ฝั่งสวนสาธารณะ ผู้คนที่กำลังนั่งทานอาหารทานเล่นในยามบ่ายใกล้เย็น กำลังคุยเล่น ถ่ายรูปกันสนุกสนาน ผมเห็นหญ้าเขียวๆ ของสวนแล้วอยากจะไปนอนแผ่หลาจริงๆ แต่ก็ทำไม่ได้ แล้วสักพักเสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น ผมเลยหยุดอยู่ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ ใกล้ร้านอาหารเขียวๆ ที่เปิดเป็นร้านเล็กๆ ติดๆ กัน ช่วงนี้พี่อดัมออกอาละวาด เอ้ย! ส่งเสียงดังใส่ผมบ่อยเหลือเกิน ผมเอาสตอร์รี่บอร์ดมาถือไว้ที่แขนขวา อื้อหือ แขนสั่น แต่ก็ดีกว่าใช้แขนซ้ายล่ะนะ เพราะแผลที่ล้มหน้าห้างเมื่อวานนั่นแหละ แขนซ้ายผมเลยใช้การได้ไม่เต็มที่ ผมใช้มือซ้ายรับโทรศัพท์ด้วยความทุลักทุเล
“Hello? (ว่าไงครับ)”
“Go get Michael. (ไปรับไมเคิ้ลหน่อย)” ผมขมวดคิ้วงง ใครวะน่ะ?
“Who’s that? (ใครครับ)” แล้วผมก็รู้ว่าอีพ่อสุดหล่อหน้านิ่งยิ้มยาก หาภาระความลำบากมาให้ผมก่อนถึงบ้านอีกแล้ว!!
Day 7 at 18.00 “Good boy! Good boy! Keep calm Keep calm! (เด็กดี! เด็กดี! ใจเย็น! ใจเย็น!)”
แต่ดูจะไร้ประโยชน์เสียจริง เมื่อ มัน ยังคงวิ่งด้วยความเร็วบวกกับความกระตือรือร้น และบวกกับความตื่นเต้นที่พอรู้ว่าจะได้เจอนายมันก็ออกอาการดีใจยกใหญ่
ไมเคิลที่ว่ามันคือหมาครับ! โอ้โห! ตัวใหญ่สีทองขนนิ่มมาเชียว ไมเคิลเป็นหมาพันธ์โกลเด้น รีทรีฟเว่อร์ (Golden retriever) ที่มีแรงมหาศาลและตัวใหญ่มาก ผมที่หอบของด้วยความลำบากอยู่แล้ว ยิ่งลำบากเข้าไปอีก เมื่อต้องคอยดึงเชือกไม่ให้มันวิ่งเร็วจนเกินไป
ผมต้องย้อนกลับไปทางถนนเส้นเดิมที่เพิ่งเดินมา เหมือนอีตานั่นมันกะเวลาถูกว่าผมออกจากร้านซักรีดแล้ว เลยโทรมาให้ผมย้อนกลับไปรับหมาตัวเองที่เอาไปฝากเลี้ยงไว้ที่บ้านหลังหนึ่งที่รับดูแลหมาเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ก่อน และตอนนี้ผมก็พาเจ้าไมเคิลมาถึงซอยทาวน์เฮ้าส์ของวิคเตอร์แล้ว โดยที่ผมต้องพามันเดินมา ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง! เพราะผมไม่กล้าเสี่ยงพาขึ้นรถไฟใต้ดิน แน่ล่ะ ใครเขาจะให้ ถึงให้เดี๋ยวก็จะมีคนรำคาญ เอากำปั้นมาทุบหัวผม ผมจะทำยังไงล่ะ ขนาดแค่บนถนนมันยังเห่าซะเสียงดังและวิ่งเร็วยิ่งกว่านักกีฬาโอลิมปิก ผมทั้งเหนื่อยทั้งหนักกับของที่หอบมา อากาศช่วงสปริงทำอะไรผมไม่ได้เลยจริงๆ สินะ
เจ้าไมเคิลกระโดดเหยงๆ ขึ้นบันไดหน้าบ้านนายมัน มีการแวะดมดอกกุหลาบสองฝั่งบันไดที่โน้มลงมา นี่ถ้าสูงกว่านี้คงเป็นซุ้มหน้าประตูบ้านได้สบายๆ
“Wait! You will see your master in a minute! (รอก่อนน่า! เดี๋ยวแกก็ได้เจอนายแกแล้ว!)” ผมบอก มันหันมามองหน้าผมแล้วหอบแฮ่กๆ ลิ้นห้อย ผมหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะไขกุญแจเข้าไป พอเปิดประตูบ้านได้ เจ้าไมเคิลก็วิ่งตัวปลิวเข้าไปในบ้าน แล้วส่งเสียงเห่าอย่างดังลั่นบ้าน ผมเดินตามมันเข้าไปด้วยความทุลักทุเล
“โฮ่ง!! โฮ่ง!! โฮ่ง!!” มันส่งเสียงเห่าลั่นบ้าน และวิ่งตามหานายมันให้วุ่นวาย มันวิ่งเข้าไปในห้องรับรองแขก ผมวางสตรอรี่บอร์ดไว้บนโต๊ะวางแจกันดอกไม้ที่อยู่ใกล้ประตูเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้าน เป็นจังหวะที่วิคเตอร์เดินลงมาจากบันไดบ้านพอดี เขามองผมด้วยสายตาไร้อารมณ์เช่นเคย ก่อนจะหันกลับไปมองทางซุ้มประตูของห้องรับรองแขก
“Hey! Michael! (ไง! ไมเคิล!)” เขาบอกน้ำเสียงเริงร่าลั่นบ้านพร้อมรอยยิ้มเสริมความหล่อที่ผมจะไม่มีวันได้รับจากเขาเหมือนหมา เจ้าไมเคิลวิ่งกุกกักออกมาจากห้อง แล้วกระโดดเข้าหาวิคเตอร์ เขาส่งเสียงหัวเราะดีใจและอุ้มหมาที่ตัวใหญ่บัก ค.ว.า.ย. อย่างสบายๆ เจ้าไมเคิลส่งเสียงร้องหงิงๆ และส่ายหางรัวๆ พลางเลียหน้าเจ้านายมันด้วยความคิดถึง
“แมวก็เลี้ยง หมาก็เลี้ยง คุณไม่กลัวมันกัดกันตายรึไง” ผมถามด้วยความสงสัยใสซื่อ อีกฝ่ายหยุดหัวเราะ แล้ววางเจ้าไมเคิลลงกับพื้นราวกับมันเป็นมหาตัวเล็กๆ
“มันเป็นพี่น้องกัน มันไม่ทะเลาะกันหรอก” ผมขมวดคิ้วด้วยความเอ๋อ หมากับแมวมันจะเป็นพี่น้องกันได้ไง ไอ้เพี้ยน! นี่ถ้าเจ้าฟอกซ์กลับมา มันคงหนีไปหลบอยู่บนหลังคา
“เก็บสูทไว้ในห้องซักรีด แล้วนายก็กลับไปได้แล้ว” ผมที่กำลังงงๆ กับความสัมพันธ์ของหมาและแมว ต้องตาโตด้วยความประหลาดใจ โอ๊ะ!
“คุณให้ผมเลิกงานได้แล้วหรอ?!” ผมถาม ทั้งดีใจและมึนงง อีกฝ่ายยักคิ้วหนึ่งที แล้วก้มตัวลูบหัวเจ้าไมเคิลที่นั่งหอบแฮ่กๆ อยู่ข้างเขา ผมยิ้ม น้ำตาแทบจะไหล โอ้ววว ผมรีบเดินไปที่ห้องซักรีดที่อยู่สุดทางเดินของชั้นหนึ่ง เอาสูทแขวนไว้กับราวในห้องนั้น ก่อนจะออกจากห้องด้วยความลิงโลด หน้าตาระรื่นชื่นมื่นสุดๆ
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับ คุณเรย์มอนด์!” เขานั่งลงที่ตีนบันไดขั้นแรก แล้วกำลังลูบหัวเจ้าโกลเด้นสีทองที่นอนเกยตักเขาอยู่ วิคเตอร์เหลือบตามองที่แขนซ้ายผม เขามองนิ่งอยู่นานจนผมสงสัยว่าผ้าก็อตที่ติดแผลไว้มันมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าจนต้องก้มลงไปดู พอเงยหน้ามาอีกทีวิคเตอร์ก็เลื่อนสายตามามองหน้าผมตามปกติแล้ว
“ยืนโชว์ความเตี้ยอยู่ได้ นี่ขนาดฉันนั่งแล้วนะ ยังจะสูงเท่านายเลย” เขาบอกหน้าตาย เสียงห้วน ผมได้แต่ทำปากยื่นเหมือนเป็ด
“Good night. (ราตรีสวัสดิ์ครับ)” ผมขี้เกียจเถียง ตอนนี้กำลังอารมณ์ดี ได้กลับบ้านไว ผมหมุนตัวเดินออกจากบ้านเขาไปโดยไม่หันกลับไปมองอีก
[ท่อนสุดท้ายต่อที่หน้าสองจ้า]