ASHTRAY
ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้
ตอนที่ 50
การมาโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายตามนัดของแก้วในครั้งนี้ ผลอัลตร้าซาวด์ช่วงอกออกมาว่ามีภาวะหัวใจโตกับน้ำในเยื่อหุ้มปอดแทรกซ้อน แพทย์เจ้าของไข้แนะนำให้แอดมิททันทีเพื่อดูแลรักษาตามอาการอย่างใกล้ชิดและเตรียมทำหัตถการเจาะระบายของเหลวออกนอกร่างกายที่วางแผนจะดำเนินการในวันถัดไป
แก้วถูกย้ายไปยังห้องพิเศษบนชั้นสามของอาคารเดิมที่แสนคุ้นเคย โชคเลยต้องรีบกลับบ้านไปจัดการเก็บของเพื่อมานอนเฝ้าพร้อมกับพาโมกไปฝากไว้ที่บ้านเพื่อนสนิทให้ช่วยดูแลอีกครั้ง และในระหว่างที่กำลังลังเลใจเพราะไม่อยากทิ้งอีกคนไว้ลำพัง อาธีร์ผู้ยังคงหล่อเหลาในวัยใกล้ห้าสิบปีก็มาถึงพอดี
โชคฝากฝังอีกฝ่ายให้อยู่เป็นเพื่อนน้าแก้วแทนชั่วคราวก่อนจะคว้าของติดตัวกับกุญแจรถออกจากห้องไป ได้ยินเพียงเสียงพูดคุยที่แว่วหลังมา
“วันนี้วันเกิดเมษาทั้งที มึงไม่เห็นต้องมาเลย”
“ต้องมาสิ ยังไงกูก็ต้องมาหามึงอยู่แล้ว...”
...มันทั้งน่าหมั่นไส้
“วันเกิดเมษาน่ะปีหน้าก็ยังมี”
“นั่นสินะ”
...และอ้างว้างจนหัวใจวูบโหวงเหลือเกิน
คืนนั้นโชคนั่งอยู่ข้างเตียงของแก้ว พูดคุยกันเคล้าเสียงโทรทัศน์ที่เปิดคลอให้ห้องไม่เงียบเหงา ยิ้ม หัวเราะ จูบราตรีสวัสดิ์ และแม้กระทั่งหลังจากที่คนบนเตียงร่วงลงสู่ห้วงนิทราไปแล้วเขาก็ยังคงปักหลักอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น เฝ้ามองใบหน้าคนรักยามหลับใหลในแสงสลัว กอบกุมมือเรียวข้างที่ไม่ได้ถูกเจาะต่อสายน้ำเกลือไว้แผ่วเบาจนตัวเองผล็อยหลับไป
อย่างน้อยในค่ำคืนนั้นโชคก็ไม่ได้ถูกปลุกด้วยเสียงหอบหายใจแสนทรมานของแก้ว
2 เมษายนฝนตกลงมา พายุฤดูร้อนก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยมวลอากาศเย็นของประเทศจีนที่เคลื่อนตัวมาปะทะเข้ากับอากาศร้อนของประเทศไทย กลั่นหยดน้ำมหาศาลเทกระหน่ำซัดสาดพร้อมกับลมกรรโชกจนคลองระบายน้ำกรุงเทพมหานครทำงานไม่ทัน
ทีมแพทย์และพยาบาลเข้ามาในห้องพร้อมกับรถเข็นอุปกรณ์ในช่วงสาย โชคถูกขอให้ออกไปรอด้านนอกระหว่างที่พวกเขาทำการเจาะดูดน้ำในปอดของแก้ว มันไม่ได้ใช้เวลาเนิ่นนานเท่าที่โชคคิดไว้ในตอนแรก เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงประตูที่กั้นขวางเขากับทุกความกังวลใจก็เปิดออก โชคจึงกล่าวขอบคุณทุกคนด้วยรอยยิ้มจริงใจอย่างรีบร้อนก่อนจะเดินสวนเข้าห้องไปหาคนด้านในทันที
แก้วส่งยิ้มบางมาให้จากบนเตียงที่เดิม และมันก็สว่างไสวมากพอจะย้อมให้โลกทั้งใบของโชคอบอุ่นแม้นอกหน้าต่างจะมีพายุฝนชื้นฉ่ำและเย็นเฉียบ
“เจ็บไหมครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามขณะขยับเดินเข้าไปทิ้งตัวลงบนที่ประจำข้างเตียง
“ตอนฉีดยาชาก็เจ็บอยู่ แต่ก็พอทนได้” คำตอบเหมือนกับทุกครั้งที่โชคถามคำถามเดียวกันนี้ ถึงจะมีบางครั้งที่แก้วบอกว่าไม่เจ็บขนาดนั้นหรือมันไม่เจ็บเลย แต่โชคก็ไม่รู้เลยว่าคำว่าไม่เจ็บของแก้วมันหมายความว่าไม่เจ็บเลยสักนิดจริงๆ หรือว่ามันเป็นความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายรับมือไหวกันแน่...
เพราะถึงแก้วไม่โกหก แต่ความจริงของคนเราก็ไม่ได้ตรงกันเสมอไป
“แต่ถ้าวันไหนที่ทนไม่ได้แล้วแก้วจะร้องไห้กับผมบ้างก็ได้นะครับ” ขณะที่พูดอยู่ๆ ลำคอก็ตีบตันขึ้นมาจนเค้นเสียงออกไปได้ลำบาก โชคมองคนตรงหน้าด้วยทะเลสีน้ำตาลที่ดวงดาวไม่เปล่งแสง “แก้วรู้ใช่ไหมว่าผมจะอยู่ตรงนี้ข้างๆ แก้วไม่ไปไหน...ไม่ไหนทั้งนั้น”
“ฉันรู้” แก้วระบายยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย และดำลึกลงไปในทะเลตรงหน้าเพื่อค้นหาดวงดาวที่หายไป ...ในเมื่อเขาชอบนัยน์ตาคู่สวยที่พราวระยับยามจับจ้องมองมามากกว่า “ฉันเองก็จะอยู่กับเธอไม่ไปไหนโชค ตราบเท่าที่เธอยังไม่ลืมฉัน ฉันจะอยู่กับเธอในนี้”
มือเรียวผอมบางแตะสัมผัสลงที่กลางหน้าผาก ราวกับจะบอกว่าพื้นที่ในสมองส่วนหน้าที่เก็บความทรงจำมนุษย์จะเป็นที่อยู่ต่อไปของตนในวันข้างหน้า โชคเลยคว้ามือข้างนั้นให้เลื่อนต่ำลงมา แนบประทับกับแผ่นอกที่รับรู้ได้ถึงจังหวะของก้อนเนื้อที่เต้นตุบอยู่ด้านใน
“อยู่ในนี้ด้วยครับ” คนฟังได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะ ขยับตัวเพียงเล็กน้อยอีกฝ่ายก็รู้ได้ทันทีว่าเขาต้องการอะไร
โชคโน้มตัวเข้าไปใกล้คนบนเตียง ในองศาที่เจ้าของริมฝีปากซีดจางแนบจูบลงบนหน้าผากเขาได้อย่างสะดวก ก่อนที่จะเป็นฝ่ายมอบจุมพิตเนิบนาบหวานละมุนแต่ไม่เนิ่นนานจนรบกวนจังหวะหายใจให้กลับไป ได้ยินเพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาอยู่ในลำคอ
“เด็กน้อย”
...ของแก้ว เที่ยงวันเจ้าหน้าที่นำอาหารผู้ป่วยมาให้ถึงหน้าห้อง โชคออกไปรับก่อนกลับมาจัดแจงปรับระดับยกหัวเตียงและโต๊ะล้อเลื่อนเพื่อให้สะดวกต่อการกินข้าว จากนั้นก็ตั้งสำรับพร้อมรินน้ำใส่แก้วเตรียมไว้ให้อีกคนได้กินยาหลังอาหารอย่างเสร็จสรรพ
ข้าวสวยร้อนๆ กับปลานึ่งและผัดผักรสอ่อน แก้วที่ไม่มีความอยากอาหารมากนักตักกินเพียงเล็กน้อยแล้วก็เลิกกินไป ยังดีที่มีผลไม้อีกสองสามอย่างในจานเล็กที่เขาพอจะกลืนลงท้องได้
“น้าแก้วครับ” โชคเอ่ยเรียกเสียงอ่อนเมื่อเขาอยากให้อีกคนกินอาหารมากกว่านี้สักนิด แต่ก็ไม่ได้บังคับเมื่อดวงตาสีเข้มที่หันมาสบฉายแววอ่อนล้าเต็มที
“ฉันไม่ค่อยหิวน่ะ” คนป่วยว่า แม้จะไม่ใช่คนเลือกกินแต่รสชาติของอาหารโรงพยาบาลก็ไม่ได้กระตุ้นความอยากอาหารของเขาสักเท่าไหร่ และเมื่อเชฟใหญ่ของบ้านได้ชิมก็ตัดสินใจในทันทีว่าหลังจากนี้ตอนเช้าเขาจะกลับบ้านไปทำอาหารสำหรับแต่ละวันมาให้แก้วเอง
“งั้นกินผลไม้อีกไหมครับ เดี๋ยวผมลงไปซื้อมาให้” แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมแพ้เสียทีเดียว เสนอทางเลือกใหม่ที่จะเติมท้องแก้วให้เต็มขึ้นได้สักอีกหน่อย
“อือ เอาส้มก็ได้” แก้วบอกขณะที่เอนหลังพิงหมอนและเปลือกตาปรือต่ำ ทว่ามุมปากยังคงยกสูงเป็นรอยยิ้มเมื่อโชคหอมแก้มเขาเร็วๆ ก่อนจากไปพร้อมกับคำที่บอกว่าจะรีบกลับมา
โชคถือโอกาสแวะเอาถุงเสื้อผ้าใช้แล้วไปเก็บที่รถ ก่อนจะไปซื้อส้มกับของกินเล็กๆ น้อยๆ สำหรับตัวเองจากร้านรวงในละแวกนั้น แถมยังได้ดอกทานตะวันสีเหลืองที่เบ่งบานอย่างสดใสใต้ท้องฟ้ามืดครึ้มและม่านฝนหม่นมัวอยู่หน้าร้านขายดอกไม้ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลติดมือขึ้นมาด้วย
“นั่นของเยี่ยมเหรอ” คนบนเตียงส่งยิ้มบางขณะเอ่ยถาม เขาไม่ได้นอนหลับอย่างที่ตั้งใจเมื่อสิ่งเดียวที่ทำมาตลอดก็คือการนอนจนข่มตาไม่ลง และอาจจะเป็นเพราะเขากำลังรอให้ใครอีกคนกลับมาอยู่ด้วย
“ครับ” โชคยิ้มตอบพลางเดินเข้าไปยื่นช่อดอกไม้ผู้รักมั่นในดวงอาทิตย์น้อยใหญ่ให้กับคนรัก “แก้วจะได้รู้สึกสดใสขึ้นบ้าง ฝนน่าจะตกยาวไปถึงเย็นเลย”
“อือ” แก้วครางรับแผ่วเบา ดวงตาจ้องมองกลีบดอกเรียวรีที่ซ้อนทับกันหลายชั้นรอบวงเกสรดวงใหญ่ตรงใจกลาง ราวกับดวงตะวัน สดใสอย่างที่คนให้ว่าเลย “ขอบใจ”
ชายหนุ่มรับช่อดอกไม้คืนมาเพื่อไปจัดใส่แจกันใสทรงสูงที่ทางโรงพยาบาลมีให้อยู่ในทุกห้องแล้ววางตั้งไว้บนขอบไม้ริมหน้าต่างเยื้องๆ กับด้านหลังเก้าอี้ที่เขานั่ง หากเป็นตรงนั้นแก้วจะสามารถมองเห็นมันได้ตลอดเวลา และดูเหมือนว่ามันจะทำให้เจ้าตัวดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาในดวงตาสีเข้ม...
นับตั้งแต่นั้นโชคจึงเก็บดอกไม้จากสวนที่บ้านในตอนเช้าที่เขากลับไปทำอาหาร สลับกับซื้อจากร้านหน้าโรงพยาบาลมาเปลี่ยนใส่แจกันข้างบานหน้าต่างทุกสองสามวัน...
แล้วเมื่อถึงวันที่แจกันถูกประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู เหล่าเพื่อนร่วมงานจากบริษัทก็พากันมาเยี่ยมเยียนตอนช่วงพักเที่ยงจนทั้งห้องดูวุ่นวายพร้อมกระเช้าผลไม้หลากชนิด
ต่อมาพอเปลี่ยนเป็นดอกกุหลาบขาวและแดงเบ่งบานในวันหยุดสุดสัปดาห์ ครอบครัวของเพื่อนสนิทก็พากันมาเยือนอย่างพร้อมหน้าหลังจากที่เคยมีธีร์เพียงคนเดียวที่แวะเวียนมาอยู่ทุกวัน
จนกระทั่งกลายเป็นดอกบานชื่นอ้วนกลมสีสันสดสวยเบียดเสียดกันอวดความสดใส เพื่อนเก่าสมัยเรียนของแก้วก็รวมตัวกันมาหา บางคนโชคก็คุ้นหน้าเหมือนเคยเจอมาบ้างตามงานสังคมที่อีกคนเคยพาไป ส่วนบางคนก็แปลกหน้าโดยสิ้นเชิงเพราะเพิ่งได้รู้จักกันในวันนี้
ทั้งน่ายินดีและแสนเศร้า
เมื่อผู้คนที่เคยห่างกันไปต่างกลับมาพบเจอกันด้วยเหตุผลที่ว่ามันอาจจะไม่มีวันหน้าให้ได้เจอกันอีกแล้ว
กลางเดือนเมษาที่ไร้ฝน แสงอาทิตย์สาดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาตกกระทบพื้นสีขาวและเก้าอี้ที่ประจำของโชคอย่างอ่อนโยนในตอนที่เขากลับมาถึงโรงพยาบาลอีกครั้ง หลังหายกลับบ้านไปทำอาหารสำหรับทั้งวันของแก้วและตัวเองตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ที่ข้างหน้าต่างวันนี้จึงมีดอกหน้าวัวมาแทนที่ ชูดอกเด่นสวยรับแสงเจิดจ้าของท้องฟ้าหน้าร้อนที่ส่องย้อนเข้ามาในอาคารยามสาย แต่ในอากาศกลับมีกลิ่นหอมจางของมวลดอกแก้วลอยอวลอยู่
โชคนั่งพันก้านดอกบอบบางสีเขียว ม้วนเกลียวเกี่ยวดอกไม้สีขาวร้อยเข้าด้วยกันอย่างใจเย็น ขณะเฝ้ารอให้คนรักของเขาลืมตาตื่นขึ้นมาเหมือนกับในทุกๆ วัน เฝ้ารอคอยอย่างอดทน...
ระยะแพร่กระจาย มะเร็งชนิดเซลล์เล็กในปอดของแก้วเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อไม่ได้รับยาเคมี จากแค่ภายในปอดสองข้างลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลือง และจะกระจายไปทั่วร่างในอีกไม่ช้า การรักษาที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงการประคับประคองเพื่อให้ผู้ป่วยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในช่วงวาระสุดท้ายเท่านั้น
“ทำอะไรอยู่น่ะ” ช่วงเวลาแสนยาวนานของชายหนุ่มที่หยุดชะงักไปได้กลับมาเริ่มเดินต่ออีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงแหบแห้งเอื้อนเอ่ยแผ่วเบา
“มงกุฎดอกแก้วครับ” โชคเงยหน้าขึ้นตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง ขณะเดียวกันก็หยุดมือเพื่อหันไปรินน้ำใส่แก้วจากโต๊ะวางของด้านข้างมาให้คนเพิ่งตื่นจิบ จัดแจงปรับระดับหัวเตียงให้ยกขึ้นได้องศาเสร็จสรรพเรียบร้อยอย่างคล่องแคล่วก่อนจะลุกไปเตรียมสำรับมื้อเช้าที่รวบมารวมกับมื้อเที่ยงให้อีกฝ่าย โดยที่เขาเองก็ร่วมโต๊ะด้วยเช่นกัน
กระทั่งเก็บล้างจานชามเสร็จหมดแล้วชายหนุ่มจึงค่อยกลับมานั่งถักร้อยดอกแก้วต่อ
แก้วมองมือใหญ่ที่ขยับไปมาอย่างนุ่มนวลเพื่อต่อความยาวโซ่ดอกไม้กลิ่นหอมจาง พลางชวนคุยขึ้นมาฆ่าเวลายามบ่ายที่ไร้จุดหมาย
“ที่บ้านเป็นไงบ้าง”
“ก็เหมือนเดิมครับ ...โมกยังอยู่บ้านมิกซ์ ต้นแก้วโดนฝนเมื่ออาทิตย์ก่อนออกดอกเต็มต้นเลย อ่อ แล้วก็ดอกกุหลาบขาวที่เราแยกกิ่งไปปักชำไว้ตอนนั้นเริ่มแตกยอดแล้วนะครับ ส่วนกุหลาบแดงก็ยังบานเรื่อยๆ ...” โชคเล่าความเป็นไปในบ้านไม้สองชั้นที่ทุกชีวิตยังคงเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ ให้เจ้าของบ้านฟัง
“เหรอ” แก้วยิ้ม อย่างเปลี่ยวเหงาเล็กน้อย เมื่อเขาเป็นสิ่งเดียวที่จะไม่ได้เติบโตต่อไปในเขตรั้วไม้สีขาวอันเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวและความทรงจำ
บ้าน... ที่เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับไปอีกแล้ว
ชายวัยกลางคนยื่นมือออกไปลูบหัวเด็กน้อยของตนอย่างเอ็นดู คิดหวังเพียงว่าอีกฝ่ายคงได้เติบโตจนแก่ชราอย่างงดงาม ณ ที่แห่งนั้น
“ครับแก้ว?” โชคเหลือบตาขึ้นมามองเผื่อว่าเขาต้องการอะไร แต่แก้วเพียงแค่ระบายยิ้มขณะผละมือออกเพื่อกลับไปนอนพิงหมอนแล้วชวนคุยเรื่องอื่นต่อ
“เธอทำอะไรบ้างตอนฉันหลับ”
“ผมรอแก้วตื่น” คำตอบของโชคเรียบง่ายและเป็นความจริง
“ฉันทำให้เธอรอนานรึเปล่า” คำถามของแก้วเองก็เช่นกัน เรียบง่าย แสนธรรมดา
“ไม่ครับ ไม่เลย ...แต่ต่อให้นานแค่ไหนผมก็รอได้นะ”
ขอแค่แก้วตื่นขึ้นมาก็พอ ประโยคหลังโชคพูดผ่านแววตาที่หลุบต่ำ จับจ้องยังเส้นโซ่ดอกแก้วในมือที่ได้ความยาวตามต้องการพอดี เขาจึงม้วนขดเกี่ยวรัดก้านเขียวขัดกันไว้ให้เป็นวงสมบูรณ์ ก่อนจะมอบมันให้แด่ชายผู้มีชื่อเดียวกับดอกไม้หอม “ผมทำให้แก้ว”
มงกุฎดอกแก้ว บนกลุ่มผมดำขลับแซมสีอ่อนปะปนเล็กน้อย รอยยิ้มบางเบาและแววตาอ่อนโยน
“ขอบใจ” หนึ่งจูบประทับเหนือหน้าผากพาย้อนเวลากลับไปในอดีต ก่อนที่พวกเขาจะเดินท่องไปในความทรงจำนับสิบปีผ่านคำพูดคุยและบทสนทนาเรื่อยเปื่อย
เนิ่นนานคล้ายห้วงเวลาไร้ที่สิ้นสุด จวบจนแก้วหมดแรงอ่อนล้าและดวงตาสีเข้มปรือปิดไป หลับใหลด้วยจังหวะการหายใจสม่ำเสมอใต้สายออกซิเจนที่คาดผ่านจมูก
กาลเวลากลับไปเดินแช่มช้าชะงักงันอีกครั้ง
ราวกับโชคมีชีวิตอยู่เพียงไม่กี่ชั่วโมงในหนึ่งวันขณะที่แก้วตื่นขึ้นมาสบตา
เข้าสู่ช่วงท้ายของเดือนเมษายนที่ไร้ฝนไร้ลมหนาว พายุฤดูร้อนจากไปนานกว่าสามสัปดาห์แล้ว แก้วหายใจด้วยตัวเองได้ยากขึ้นทุกวันแม้จะเปลี่ยนจากสายออกซิเจนมาเป็นหน้ากาก กระทั่งใช้หน้ากากออกซิเจนแบบมีถุงก็ยังคงรู้สึกอึดอัดทรมาน แต่ถึงอย่างนั้น...
“คุณหมอถามว่าจะใส่ท่อช่วยหายใจไหมครับ” โชคถามเสียงเบาหวิว
“ไม่ล่ะ” แล้วแก้วก็ตอบกลับทันทีด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวกับจะปลิวหายไปในสายลมที่พัดผ่านมา
ชายวัยกลางคนที่กำลังจะสูญเสียปอดทั้งสองข้างไปอย่างสิ้นเชิงยืนกรานปฏิเสธการสอดท่อช่วยหายใจรวมไปถึงการเจาะคอ และเมื่อเป็นเช่นนั้นมันจึงนำไปสู่อีกหนึ่งคำถาม ...ที่โชครวดร้าวเหลือเกินยามเอ่ยออกมา
“แล้ว... แก้วจะให้ปั๊มหัวใจไหมครับ” ก้อนความรู้สึกจุกลำคอจนแสบร้อนทั่วกระบอกตา โชคไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไรนอกจากความเจ็บปวดที่ไม่มีที่มา เพราะเขาไม่รู้ว่าตัวเองคาดหวังคำตอบแบบไหนจากแก้วกันแน่ ในนาทีที่หัวใจใต้แผ่นอกผอมบางหยุดเต้นลง แก้วจะยอมรับความตายในทันที หรือจะเสี่ยงดวงที่อาจจะฟื้นมันกลับมาได้ชั่วคราวแลกกับการที่ซี่โครงก็อาจจะหักหักทิ่มปอด ทางเลือกของแก้ว...
เขาส่ายหน้า โชคจึงแจ้งความจำนงอันแน่วแน่ของตัวผู้ป่วยเองนี้กับแพทย์เจ้าของไข้ ไม่นานก็มีเอกสารถูกส่งมาผ่านพยาบาลที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เธอยื่นคลิปบอร์ดเย็นเฉียบและปากกาลูกลื่นมาให้ด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครในห้องนั้นพูดอะไรออกมาแม้สักคำเดียว
แดดยามเช้ายังคงส่องย้อนเข้ามาทางบานหน้าต่าง สาดแสงอาบกลีบดอกทิวลิปสีเพลิงในแจกันใส ทอดกายย้อมพื้นขาวให้กลายเป็นสีทองของความอบอุ่น และตกกระทบลงบนเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งของคนที่นั่งอยู่บนเตียง ...ชายผู้ตัดสินใจทางเลือกชีวิตของตนเองแต่ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอจะบังคับปากกาให้ตวัดเป็นลายลักษณ์อักษร
แก้วเพียงแค่คลี่ยิ้มบางอย่างอ่อนโยน ให้กับโชคที่เซ็นชื่อรับรองในหนังสือแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษาเพื่อยื้อชีวิตแทนเขา
...แสนรวดร้าว ปลายนิ้วของชายหนุ่มชาหนึบด้วยความเย็นเยียบที่ซึมลึกเข้ามาถึงขั้วหัวใจ
...แต่ก็เต็มใจจะทำให้ ในเมื่อมันเป็นการตัดสินใจของแก้วในฐานะเจ้าของชีวิตของตัวเอง
“ผมรักแก้วนะครับ” ดวงตาคู่สวยแวววาวด้วยหยาดน้ำใส โชคพูดออกมาเมื่อพยาบาลนำเอกสารสำคัญออกจากห้องไปแล้ว ...เขาร้องไห้
“มานี่สิ” แก้วเรียกพร้อมเรียวแขนที่อ้าออกรอ โชคจึงขยับเข้าไปซุกกอดเรือนร่างผ่ายผอมบอบบางอย่างทะนุถนอม ก่อนถูกรั้งให้ปีนขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงแคบ ในอ้อมแขนของคนที่เขารักหมดหัวใจ และอีกฝ่ายเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน “ฉันก็รักเธอโชค”
ไม่นานหลังจากนั้นแก้วก็ถูกย้ายมาอยู่ที่ห้องไอซียูเพื่อให้มีบุคลากรทางการแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง โชคจึงไม่สามารถนอนเฝ้าและเข้าเยี่ยมได้แค่ตามเวลาที่กำหนด
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จะมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเข้าไปจูบอรุณสวัสดิ์บนหน้าผากคนที่ตื่นบ้างหลับบ้างขณะที่เขาเข้าเยี่ยม จากนั้นก็เฝ้าวนเวียนรออยู่หน้าห้องทั้งวันเพื่อเข้าไปหาอีกครั้งในตอนเที่ยงและตอนเย็น เตร็ดเตร่อย่างไร้จุดหมายจนล่วงเลยไปหมดหัวค่ำค่อยกลับบ้านนอน ก่อนจะมาใหม่อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
จนกระทั่งวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆบดบังดวงอาทิตย์ยามเที่ยง พยาบาลประจำห้องไอซียูก็บอกกับคนที่รออยู่หน้าห้องว่าวันนี้ควรอยู่ที่นี่อย่าไปไหน รวมถึงสามารถเข้าไปนั่งที่ข้างเตียงได้ตลอดเวลา
...ชีพจรของแก้วอ่อนลงและไม่ตอบสนองต่อยากระตุ้นแล้ว
ชายหนุ่มหันมาสบกับดวงตาคู่คมของคนที่มาเยี่ยมแก้วทุกวันไม่เคยขาดตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรงพยาบาล และเป็นคนเดียวกับที่เขาจะได้พบหน้าเสมอหน้าห้องบริบาลผู้ป่วยหนักแห่งนี้ ในทุกเช้าที่มาถึงด้วยเวลาไล่เลี่ยกัน ก่อนจะกลับออกไปพร้อมๆ กันในตอนเย็น
โชคพยักหน้าให้เล็กน้อย ธีร์จึงได้เป็นฝ่ายขยับก่อน
ชายวัยใกล้เลขห้าที่ยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับใบหน้าหล่อเหลาราวกับกาลเวลาไม่อาจเอาชัยชนะไปจากเขาได้ลุกขึ้นยืน สองขาก้าวเดินหายเข้าไปหลังบานประตูกระจกขุ่นที่ซึ่งหัวใจของตนถูกทิ้งเอาไว้กับคนในนั้น
กลิ่นของยาฆ่าเชื้อและเสียงเครื่องจับสัญญาณชีพ เตียงเรียงรายถูกกั้นด้วยม่านขาว ความเงียบงันเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงรบกวนเหล่านั้น
ราวกับโลกใบนี้ของเขาไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากคนตรงหน้า
“แก้ว...” เสียงเอ่ยเรียกชื่อนุ่มทุ้มแหบพร่า แม้จะไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย
“...ธีร์” และเสียงที่แหบยิ่งกว่าก็ตอบกลับมา เบาหวิวเสียแทบกลืนหายไปกับเสียงจับชีพจรหัวใจที่แสดงผลอยู่บนหน้าจอข้างเตียง
ดวงตาสองคู่จ้องสบกัน พลันคำพูดมากมายมลายหายสิ้น ทั้งที่เคยมีสิ่งที่อยากเอ่ยบอกและได้ยินอยู่ล้นใจ แต่สุดท้ายเพียงได้มองตากันคำพูดเหล่านั้นก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว ...พวกเขาต่างรับรู้มันมาตลอดแม้ไม่เคยพูดบอกออกมา
ระยะเวลาสามสิบห้าปีที่แสนยาวนานผ่านพ้นไปในชั่วอึดใจเดียว
ธีร์ลูบเสยเรือนผมยาวที่ปรกหน้าผากแก้วออกให้พ้นใบหน้า ก่อนก้มลงไปประทับริมฝีปากอย่างนุ่มนวล แนบแน่น และภาวนาให้ชั่วนาทีนี้เนิ่นนาน
ดวงตาคมที่จ้องมองมาในระยะเพียงเอื้อมมือฉาบความอ่อนโยนโบกทับความเจ็บปวดเอาไว้ได้มิดชิด ส่องสะท้อนภาพของคนที่เขารักอย่างลึกซึ้ง พร้อมด้วยรอยยิ้มที่ยังคงเจิดจ้าและอบอุ่นจนความร้อนตีขึ้นกระบอกตาของผู้ได้รับ
แก้วหลับตาลงแผ่วเบา ก่อนจะปรือเปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มบางของเด็กหนุ่มม.ปลายที่ทำให้ธีร์ตกอยู่ในห้วงภวังค์ดั่งต้องมนต์
...อีกครั้งและอีกครั้ง ไม่เคยจางหาย
ความรู้สึกของการตกหลุมรักในวัยเยาว์ที่แผดเผาหัวใจให้ไหวหวั่น
“ขอบใจ” ชายคนหนึ่งบอก
“ขอบใจเหมือนกัน” และชายอีกคนตอบกลับไปพร้อมความร้อนจากรอยจูบสุดท้ายบนปลายนิ้วเรียวบางที่ยกขึ้นมาแนบอยู่ข้างแก้มตน “เดี๋ยวจะไปเรียกโชคมาให้นะ”
ระหว่างแก้วและธีร์... ไม่มีคำกล่าวลา
.....