ตอนที่ 5 ครึ่งหลัง
ตายหรือยัง...
ที่นี่คือที่ไหน สวรรค์หรือเปล่า หรือว่านรก...
อินทัชค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเมื่อรู้สึกตัวจากการสลบไสลเป็นเวลาหลายสิบชั่วโมง จนตอนนี้คงจะเป็นเช้าวันใหม่ ความรู้สึกรวดร้าวไปทั่วทั้งช่วงล่าง ร่างกายปวดสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย
ไม่แปลกเลยที่น้ำตาเขาจะไหลอีกครั้ง มันทั้งเจ็บใจ และก็เจ็บกาย ทุกอย่างมันเลวร้ายสุดๆ จนอยากจะให้มันเป็นเพียงแค่ความฝัน อินทัชที่อยู่ในชุดเมื่อวานค่อยๆ ประคองตัวเองขึ้นมา ก็พบว่าไม่ได้อยู่ในห้องของรามินทร์แล้ว และไม่ได้อยู่ที่บ้านพักของเขาเช่นกัน
มันคือห้องเก็บของเก่าๆ ที่ฝุ่นเขรอะ ก็เดาเอาไว้ว่าคงจะนอนตรงนี้มาทั้งคืน...
“แคกๆ” ตอนนี้ร่างโปร่งที่ดูทรุดโทรมไอและจามออกมาอย่างสุดจะทน เพราะเขามีโรคประจำตัวคือโรคภูมิแพ้ และแพ้ฝุ่นด้วย
เขาเจอฝุ่นได้ โดนฝุ่นได้ แต่ต้องไม่เยอะมากขนาดนี้
“อึก...เจ็บ”
อยากจะลุกแต่เขาก็ลุกไม่ได้ รู้สึกทั้งแสบช่องทางนั้น และก็แสบตามากๆ แสบจมูกและคัดจมูกสุดๆ อาการแพ้เริ่มกำเริบออกมา หายใจแทบจะไม่ออกจนต้องตะเกียกตะกายคลานไปที่ประตูห้อง แม้เสื้อผ้าที่สวมอยู่จะทำหน้าที่เป็นผ้าขี้ริ้วเช็ดพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่น อินทัชก็หาได้สนใจ ขออกไปจากห้องนี้ ห้องที่ไม่มีแม้แต่หน้าต่างถ่ายเทอากาศ ทุกอย่างปิดทึบ
“เดินไม่ไหว ลุกไม่ขึ้น กรรมเวรอะไรของกู” เสียงสั่นเครือเพราะน้อยใจในชะตาชีวิตดังออกมาจากปากสวยที่ซีดเซียวราวกับกระดาษ
ทำไมเขาต้องมาอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเวทนาแบบนี้ด้วย
แกร๊ก!!
ยังไม่ทันที่จะคลานถึงประตู ร่างสูงของรามินทร์ก็เปิดเข้ามาในมือมีขันน้ำมาด้วย เลิกคิ้วนิดๆ เมื่อเห้นว่าคนที่เขาตั้งใจจะมาปลุกตื่นแล้ว
“ตื่นไวดีนี่ แต่ช้าไปหน่อยนะ มึงต้องตื่นตีสี่ไม่ใช่หรือไง นอนขนาดนี้ ไม่ได้ไปเลยล่ะ”
“ก็อยากอยู่เหมือนกัน” เสียงอ่อนแรงเถียงออกไป พยายามหยัดกายตัวเองเอาไว้ ไม่กล้าใช้ตรงนั้นโดนพื้นมากเพราะมันเจ็บ เจ็บจริงๆ และมันคงจะฉีกพร้อมกับอักเสบมากแน่ๆ
“หึหึ กูอุตส่าห์ใจดีให้ที่นอน ใส่เสื้อผ้ากับล้างตัวให้ ขอบคุณกูซะสิ”
“ฆ่ากูให้ตายเถอะ มึงไม่มีทางได้ยินคำว่าขอบคุณจากกูแน่”
“ปากดี ถ้าตื่นแล้ว กูจะช่วยอาบน้ำให้ก็แล้วกัน”
ซ่า...
ขันที่รามินทร์ตักน้ำเข้ามาด้วยถูกสาดไปที่ร่างของอินทัชเต็มๆ จนร่างโปร่งบางต้องหลับตาเพราะน้ำมันโดนที่หน้าเต็มๆ เชื่อเถอะว่า ถ้าเขาลุกขึ้นยืนได้ มันไม่มีทางได้กระทำเขาอยู่ฝ่ายเดียวแน่ๆ
ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวที่มีอยู่ก่อนหน้านั้นกลับรู้สึกหนาวขึ้นเมื่อโดนสาดน้ำมา แม้ไม่เปียกมากเพราะขันเดียว แต่คนที่ไม่สบายอยู่ก็รู้สึกหนาวได้
“ไอ้เหี้ย!!!” แม้ว่าเสียงจะเบาแต่ก็แข็งจนรามินทร์กระตุกยิ้ม
“สภาพมึงนี่ดูไม่ได้เลยนะ ทำมาเป็นเจ็บ ทำมาเป็นสำออย หึหึ แน่ล่ะก็ของกูมันใหญ่ มึงคงจะเดินไม่ไหว แต่กูไม่ใจดีหายาหาข้าวให้หรอกนะ จัดการเอง อ้อ!! ไปทำงานด้วยล่ะ”
“มึงมันสารเลว”
“แค่กับมึงนั่นแหละ เอาล่ะ ไปซะ! ทำตามที่กูสั่ง” สั่งเสียงเข้ม
“เออ!!” แม้จะตอบไปแบบอวดดี แต่มีอ่อนแรงของตนก็พยายามที่จะหยัดตัวเองขึ้น เขาใช้มือดันตามข้าวของเก่าๆ ที่กองอยู่สูงๆ เพื่อลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ความเจ็บที่บีบรัดที่ช่องทางนั้นก็ทำเอาอินทัชกัดปากตัวเองแรงๆ จนเลือดซิป ท่ามกลางสายตาที่เย็นชาของรามินทร์ ก็ไม่รู้เลยว่า ใจของเขามันสั่นไหวขนาดไหนที่เห็นอีกคนมีสีหนน้าเจ็บปวดและทรมาน
แน่นอนว่าคนที่ทำผิดไม่ได้สะใจอย่างเดียว แต่แต่ก็รู้สึกผิดด้วย
“หลบ” บอกคนที่อยู่ขวางหน้าประตูเสียงเบา จมูกที่แดงเด่นชัดเพราะใบหน้าขาวใสของอินทัชมันซีดเซียวเหมือนกับปาก แต่ที่เห็นว่ามันแดงจัดก็คือจมูก
“เชิญ” เขาขยับเล็กน้อยให้มีช่องทางให้เดิน ก่อนที่ร่างบางๆ นั่นจะเดินผ่านเขาไปอย่างยากลำบาก แต่เพียงแค่เดินผ่านไป รามินทร์ก็รับรู้ได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมา
เขาหันหลังกลับมามองคนที่เดินเกาะตามกำแพงไปด้วยความฉงน ใบหน้าเริ่มเครียดอย่างเห็นได้ชัด
รู้ตัวอีกที ก็เดินตามร่างโปร่งนั่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงที่พักซอมซ่อที่เขาเป็นคนให้อีกคนพักที่นี่เอง รามินทร์มองขาเรียวที่ก้าวขึ้นบันไดอย่างสั่นๆ มือกำราวบันได้แน่นเกร็งจนเห็นเส้นเลือด บ่งบอกว่าอีกคนเจ็บแค่ไหน เดินลำบากแค่ไหน แต่อีกคนก็ไม่มีท่าทีว่าจะร้องขอหรือเอ่ยบอกจนคนที่เป็นสาเหตุหงุดหงิด
ไม่รู้ว่าหงุดหงิดอะไร แค่หงุดหงิดก็เท่านั้น
“คงไม่ตายหรอกมั้ง” คิดแบบนั้นก็หันหลังกลับไปเพื่อไปทำงานของตัวเองทันที ปล่อยให้อินทัชจัดการตัวเองไป แม้จะรู้สึกกังวล แต่ความความโกรธความเกลียดมันบดบังจนทำให้ต้องก้าวไปแบบคนไม่รู้สึกอะไรเลย
...
...
ทางด้านอินทัชเมื่อเข้าไปถึงตัวห้องที่ใช้นอนก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเก่าๆ แล้วหยิบเสื้อผ้าแบบเดียวกับที่ใส่อยู่ตอนนี้มา ก่อนจะเดินไปที่ห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็มีสีหน้าเครียดๆ
“น้ำหมดแล้ว” นั่นหมายความว่าต้องไปตักน้ำจากธารน้ำมาเติม แต่สภาพสังขารตอนนี้ไม่ไหวแน่ๆ แค่ยืนและเดินได้มาขนาดนี้ถือว่าสุดๆ แล้ว
“ช่างมัน ค่อยเดินไปอาบที่น้ำตกเอาก็ได้” พึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินจากห้องน้ำเก่าๆ มา ความรู้สึกแสบร้อนที่ดวงตาทำเอาอยากจะนอนพัก ไหนจะช่องที่ใช้งานหนักจะฉีกและบวมมากอีก อินทัชแตะนิดเดียวก็แทบจะร้องไห้
แค่ยาแก้อักเสบสักเม็ดก็ได้ แล้วจะไปหามาจากที่ไหนล่ะ
“อึก...เจ็บ”
มันร้าว มันปวด มันทรมาน...เขาค่อยๆ เดินอย่างสุดแสนจะลำบาก แต่คำสั่งของรามินทร์เขาก็ไม่อาจจะเพิกเฉยได้ กลัว...กลัวว่ามันโกรธแล้วทำแบบนี้กับเขาอีก
ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น เขาคงจะตายจริงๆ
ตุบ!!
ร่างทั้งร่างทรุดลงที่พื้นอย่างแรงเพราะเดินต่อไปไม่ไหว มันทั้งปวดหัว เวียนหัว และหายใจไม่ออก
“ฮึก...เจ็บ” น้ำตาของเขาไหลออกมา และร้องไห้อยู่ตรงนั้นอยู่นาน ไร้เสียงร้อง ไร้เสียงสะอื้น มีเพียงน้ำตาที่ไหลรินกับมืออ่อนแรงที่พยายามกำให้แน่น
มันเวรกรรมอะไรเขานักหนา...
เขาทำอะไรผิดมากมายขนาดนั้น ถึงได้ลงโทษกันแบบนี้
ไม่เอาแล้ว...ไม่อยากอยู่แล้ว
“ฮึบ” แม้จะคิดอย่างนั้น แต่เขาก็ฝืนลุกขึ้นมาอีกครั้ง เดินไปที่บันไดอย่างค่อยๆ ช้าๆ เพื่อจะไปรดน้ำผัก แม้ว่ามันจะเลยเวลามาแล้วก็ตาม
พอมาถึงด้านล่างเขาก็แทบทรุดเพราะเหนื่อยที่สุดกับการเดินลงบันได แต่ในขณะที่เขาเจอแสงแดดทำร้าย อาการหน้ามืดก็ตีขึ้นมา พร้อมกับสติที่ดับวูบ ร่างกายล้มกระแทกพื้นอย่างแรง
ตุบ!!!
“เฮ้ย!!! อิน เป็นอะไรวะ” แต่โชคดีหน่อยที่ขรรค์มาทันเห็นภาพนั้นพอดีเลยรีบวิ่งมาดูอาการ หากแต่อินทัชก็ไม่ได้มีสติที่จะตอบใครได้ แต่พอร่างสูงใหญ่ของขรรค์แตะเข้าที่ผิวกายหวังจะอุ้มอีกคนขึ้นก็รับรู้ได้ถึงความร้อนที่ผิดปกติของร่างกาย บวกกับใบหน้าที่แสนซีดเซียว แต่จมูกแดงก่ำ มีน้ำมูก
“ไม่สบาย...ทำไงดีวะกู”
คิดอะไรไม่ออก ขรรค์เลยตัดสินใจยกร่างของอินทัชพาดบ่าแล้วตรงไปยังที่พักของคนงานทันที เนื่องจากที่นั่นจะมีที่นอนพักกับพวกยาสามัญประจำบ้านอยู่
“อ้าวเฮ้ย ขรรค์ มึงเอาใครมาวะนั่น”
“อิน...”
“ห๊ะ!!! คนของนาย?” คนที่ถามอุทานลั่น
“เออ” เขาตอบสั้นๆ พลางวางร่างของอินทัชลงบนเตียงที่ว่างอยู่ ก่อนที่คนที่ถามขรรค์จะเดินมาดูอาการ ช่วงนี้คนงานไม่ค่อยมาพักเท่าไหร่เพราะเพิ่งจะเริ่มทำงานกัน แต่ตอนพักเที่ยงก็ไม่แน่
“ไม่สบายนี่หว่า ตัวร้อนจี๋เลยไอ้ขรรค์”
“กูรู้แล้ว กำลังคิดอยู่”
“ตามหมอสิวะ อาการแบบนี้หนักมากเลยนะเว้ย”
“เออๆ กูจะไปบอกนายท่านก่อนก็แล้วกัน”
“เดี๋ยวเฝ้าให้” ร่างใหญ่รีบวิ่งออกไปทันทีเพื่อไปรายงานเรื่องนี้กับรามินทร์ที่ห้องทำงานของเจ้าของรีสอร์ท
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา”
ขรรค์เปิดประตูเข้าไปหลังจากได้รับอนุญาต เจอผู้เป็นนายกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานของตนอยู่อยู่อย่างเคร่งเครียด
“อินมันไม่สบายครับนาย” รายงานออกไปทันที ทำเอาร่างสูงที่กำลังเขียนบางอย่างถึงกับมือชะงักเงยหน้ามองคนพูดทันที
“แล้ว?”
“ผมมาถามว่าจะให้ทำยังไง ให้พาไปหาหมอไหมครับ”
“ปล่อยมันไว้แบบนั้นแหละ เดี๋ยวมันก็ตื่นขึ้นมาเอง”
“แต่ตัวมันร้อนมากเลยนะครับ” รามินทร์จ้องคนพูดนิ่งๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไร จนขรรค์แปลกใจกับความเย็นชาที่ไม่เคยเจอจากเจ้าชีวิตคนนี้
ปกติรามินทร์ เป็นคนที่ใส่ใจคนงานเสมอ แม้จะบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยก็ยังจะให้ไปตรวจเช็คที่โรงพยาบาล แต่ทำไมกับอินทัช ถึงได้ไม่สนใจใยดีแบบนี้
“แค่นั้นมันไม่ตายหรอก”
“คุณรามครับ ผมไปเจออินมันสลบต่อหน้าต่อตาเลยนะครับ ผมคิดว่าถ้าไม่รักษา มันอาจจะได้ช็อกตายเพราะไข้แน่ๆ” ลูกน้องอย่างเขากล้าที่จะพูดอะไรตรงๆ ขัดคำสั่งของเจ้านายก็ครั้งแรก
ได้ยินแบบนั้นก็ตกใจเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าอินทัชจะหมดสติขนาดนั้น
“ไปตามหมอเอาก็แล้วกัน ไม่ต้องเอามันไปถึงโรงพยาบาลหรอก”
ก็แค่กลัวมันคิดหนีอีกครั้งก็เท่านั้น...
“ครับ”
“ฉันจะทำงานต่อ ฝากจัดการแล้วรายงานฉันด้วย”
“ครับ” ร่างสูงใหญ่ของลูกน้องอย่างขรรค์เดินออกจากห้องทันที ต้องกลับไปที่พักคนงานเพื่อใช้โทรศัพท์ของที่นั่นโทรตามหมอให้มาตรวจอินทัช
เมื่อมาถึงเขาก็แปลกใจที่เห็นว่าเพื่อนที่ดูแลที่พักคนงานไม่ได้อยู่คนเดียว แต่กลับอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเขาคาดว่าน่าจะเป็นลูกค้าเพราะการแต่งตัวดูดีมากนั่งหันหลังให้อยู่
“อ้าว นั่นครับ มันมาแล้ว” ขรรค์ขมวดคิ้วเพราะเพื่อนมันไม่ได้พูดกับเขา แต่พูดกับผู้ชายที่กำลังนั่งหันหลังให้เขาอยู่ ด้วยความไม่สังเกตจึงถามออกไป
“อะไรวะ”
“อ้อ คุณหมอเขามาถามหามึงน่ะ”
“หมอ? กูยังไม่โทรเรียกเลยนะ”
“พอดีว่ากูจะออกไปหาอะไรมาเช็ดตัวไอ้อินมัน เจอคุณหมออาสาพอดี ตอนแรกเขาถามหามึง กูก็บอกว่ามึงไปหานายท่านเพราะรายงานเรื่องไอ้อินไม่สบาย คุณหมอรูปหล่อก็เลยอาสามารักษาให้” เพื่อนสนิทที่สุดของเขาเล่า จนคนที่กำลังตรวจดูอินทัชอยู่ หันมายิ้มให้น้อยๆ
หากแต่เอาร่างหนาชะงัก แล้วตัวแข็งทื่อ
“ไม่เจอกันนานนะขรรค์”
“เงิน...” ร่างแกร่งครางชื่ออีกคนเสียงเบาเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเขาคือใคร ใบหน้า รอยยิ้มที่แสนคุ้นเคย ทำเอาร่างสูงใหญ่ทำอะไรไม่ถูก
“อะไรกัน มาหาทั้งทีทักเราแค่นี้หรือ”
“มาได้ยังไง”
“ก็นั่งรถมา” เป็นคำตอบที่เหมือนจะกวน แต่คุณหมอนามว่าเงินก็ไม่รู้จะตอบอะไรนอกจากคำตอบนี้แล้ว
“อืม”
“ขรรค์...สบายดีนะ”
“สบายดี...สบาย...ดี” พูดแบบไม่เต็มเสียงมากนัก
เขาเคยคิดว่าตัวเองสบายดี...สบายดีมาโดยตลอด จนกระทั่งได้มาเจอคนตรงหน้าอีกครั้ง เขาเลยคิดว่าสิ่งที่เขาเข้าใจมาโดยตลอดมันผิด...
มันไม่โอเคเลยจริงๆ
“ขรรค์...เงินมีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ”
“ก็...ได้สิ แต่ช่วงนี้เราไม่ค่อยว่างเท่าไหร่ เอาเป็นว่าว่างเมื่อไหร่เราค่อยคุยกันก็ได้ แต่เงินจะกลับตอนไหนล่ะ” อาการที่คนตัวใหญ่ลนลานนั้นมันดูตลกในสายของเพื่อน เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่คนงานตัวโตที่แสนจะหน้านิ่งคนนี้ลนลาน แต่มันกลับทำให้ตัวต้นเหตุอย่างเงินไม่ตลกไปด้วย
“เราไม่กลับหรอก”
“…” ขรรค์ทำหน้าฉงน แต่ประโยคถัดมาทำเอาชาวาบไปทั้งตัว
“เพราะเรามาประจำโรงพยาบาลในชุมชนนี้น่ะ”
ผู้ชายตัวโตอย่างเขาไม่เคยกลัวอะไร ไม่เคยกลัวใคร ทำงานให้กับรามินทร์ด้วยความจงรักภักดีมาโดยตลอด เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์สุดๆ จิตใจไม่หวั่นไหวอะไรง่ายๆ แต่สิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่ามันจะหวนกลับคืนตอนนี้มันมาอยู่ตรงหน้าแล้ว
คนเดียวที่ทำให้ขรรค์ไม่เป็นตัวของตัวเอง คนเดียวที่ทำให้หัวใจแข็งแกร่งอ่อนแอ
ผู้ชายตัวใหญ่คนนี้ ไม่เคยกลัวอะไรก็จริง…
แต่ ‘แฟนเก่า’ นี่สิที่เขากลัวสุดๆ
...
...
...
เขา...อยู่ที่ไหน
“อึก...”
“ค่อยๆ ครับ คุณยังอักเสบ และเจ็บแผลอยู่”
เสียงใคร...ทำไมอ่อนโยนเหลือเกิน
เปลือกตาบางค่อยๆ เปิดขึ้น สายตาปรับเข้ากับแสงยามบ่าย ภาพแรกที่เขาเห็นคือผู้ชายตัวพอๆ กับเขายืนยิ้มให้อยู่ข้างๆ เตียง
เตียง...ทำไมเราถึงได้นอนเตียง
“คุณ...เป็นใคร”
“ผมเป็นหมอครับ ตอนนี้คุณไม่สบายอยู่ ต้องพักผ่อนเอาไว้มากๆ ไหนๆ ก็ตื่นขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวผมจะจัดการหาข้าวหายามาให้กินนะครับ”
“ขอบคุณครับ แต่ผมต้องทำงาน เดี๋ยวเจ้านายว่าเอา” ร่างโปร่งพยายามลุกขึ้น แต่ก็ถูกดันไหล่เอาไว้เบาๆ จนต้องนอนลงกับที่นอนคืนอย่างช่วยไม่ได้
“อย่าเลยครับ เจ้านายคุณเองก็รู้แล้วด้วย”
ถ้างั้นก็ยิ่งแล้วใหญ่เลย เขารู้จักมันไม่นาน แต่ก็รู้ดีว่าถ้าเขาพักมากเท่าไหร่ งานที่ตามมามันจะมากขึ้นเท่าตัว
“แต่ว่า...”
“ไข้ขึ้นสูง เป็นโรคภูมิแพ้ แล้วก็อักเสบ...เอ่อ...นั่นแหละครับ” คุณหมอหนุ่มมีสีหน้าที่ไม่ค่อยจะมั่นใจว่าจะพูดออกมาได้ไหม เรียกเลือดมากองที่ใบหน้าขาวเนียนด้วยความอับอาย
“คุณหมอ...ช่วยเก็บเป็นความลับด้วยนะครับ” เขาขอร้องเสียงเบา
“ได้ครับ หมอไม่บอกใครอยู่แล้ว ว่าแต่ว่า...คุณอิน มาอยู่ที่นี่ ในสภาพนี้ได้ยังไงครับ ข่าวในหนังสือพิมพ์ตามหาคุณให้วุ่นวายเลย” ร่างโปร่งหัวใจเต้นแรงอย่างดีใจที่คุณหมอคนนี้รู้จักเขา
“เรื่องมันยาว และผมคงไม่สะดวกเล่าให้ใครฟังด้วย”
“ไม่เป็นไรครับ แล้วทำไมคุณถึงไม่ติดต่อไปหาครอบครัวว่าคุณอยู่ที่นี่ หรือว่า...” ยังไม่ทันที่คุณหมอหนุ่มจะพูดจบ ประตูห้องพักของพนักงานก็เปิดออก บานประตูกระทบกับผนังอย่าแรงจนทั้งคู่สะดุ้ง
ปัง!!!
“ผมว่าเรา...ต้องคุยกันหน่อยนะครับ คุณหมอ!!” รามินทร์พูดขึ้นเสียงเรียบ ทำเอาทั้งสองต่างก็มองหน้ากันเล็กน้อยเพราะความน่ากลัวของรามินทร์
“เอ่อ...ได้ครับคุณราม”
อินทัชเดาจากสายตาแข็งกร้าวนั้นได้...
ไม่ว่าใครกี่คนก็ตามจะรู้จักเขา ก็ไม่มีใคร...ช่วยเขาได้ทั้งนั้น
100%
โอเคค่ะทุกๆ คน ตอนนี้ตัวละครสำคัญโผล่มาครบแล้วเนาะ เรื่องนี้มีสามคู่นะคะ แน่นอนว่าคู่หลักคือรามอิน คู่รอง จักรจอม แล้วก็ขรรค์เงิน อยากลองแต่งเรื่องยาวๆ หลายๆ คู่ในเรื่องเดียวดูบ้าง เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ
ทวงนิยาย พูดคุยกับยูกิที่แฟนเพจ ติดตามข่าวสารการอัพนิยายก็ที่เพจค่ะ
https://www.facebook.com/sawachiyuki/