**
ดราม่ายังคงถล่มอย่างต่อเนื่อง
บัญชีเลือดบ้านเว่ยขโมยซีนจริงๆ อิอิ
มาอัพต่อล่ะค่ะ
------------------------------------
บทที่71 คำที่เคยอยากได้ยิน
“ฟ่งครับ นอนเถอะครับ”
รูฟัสจำได้ว่าตัวเองเอ่ยประโยคนี้แทบทุกคืนตั้งแต่วันที่ฟ่งทะเลาะรุนแรงกับพี่สาว หลังจากวันนั้น ชายหนุ่มสวมแว่นก็ดูเหมือนจะพาตัวเองหลีกหนีจากโลกแห่งความเป็นจริง ฟ่งทานอาหารน้อยมาก เรียกว่าถ้าไม่เรียกให้กินก็เหมือนจะลืมไปเลย วันทั้งวันนอกจากคุยกับเขาเป็นพักๆ แล้ว ก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเครื่องเกม ชนิดที่ถ้ายังลืมตาได้ก็ไม่ยอมนอน เป็นแบบนี้มาเกือบอาทิตย์แล้ว และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น
แม้รอยจ้ำบนใบหน้าจะจางไปมากแล้ว แต่ฟ่งกลับดูซูบลงไปมาก รูฟัสไม่นึกมาก่อนเลยว่าฟ่งจะสะเทือนใจกับเหตุการณ์นั้นมากขนาดนี้ เขาลืมไปเลยจริงๆ ว่าผู้ชายคนนี้อ่อนไหวขนาดไหน ฟ่งละสายตาจากหน้าจอแวบหนึ่ง และหันมายิ้มเซียวๆ ให้เขา
“นอนก่อนเถอะ เดี๋ยวผมเล่นเสร็จแล้วจะตามไปนอน”
รูฟัสได้แต่ยิ้มตอบ ที่น่าเจ็บปวดคือการที่เขาอยู่ก็ดูจะเยียวยาหัวใจของฟ่งได้ไม่มากนัก ฟ่งเริ่มปิดขังตัวเองเอาไว้กับความเจ็บปวดอีกครั้ง ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ การได้อยู่ด้วยกันคงไม่ใช่เรื่องมีความสุขอีกแล้ว
ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ และคว้าตัวของอีกฝ่ายมากอดเอาไว้ ฟ่งปล่อยจอยเกมส์ออกจากมือ ไม่ได้โวยวายอย่างที่เคยทำ แต่กลับกอดตอบเขาแนบแน่น ร่างกายสั่นสะท้าน
ฟ่งร้องไห้อีกแล้ว
เสียงสะอื้นที่ไม่ต้องการให้ใครได้ยิน หนุ่มสวมแว่นคนนี้กล้ำกลืนเสียงร้องเอาไว้อย่างเงียบเชียบ หยดน้ำอุ่นร้อนไหลซึมสัมผัสกับหัวไหล่กว้าง ร่างบอบบางสั่นไหวราวใบไม้ที่กำลังจะปลิดหลุดออกจากก้านเพราะแรงลม รูฟัสกอดฟ่งแน่นขึ้น ลูบไล้เรือนผมสีน้ำตาลนั้นอย่างปวดร้าว ไม่มีคำพูดใดกับความรู้สึกแบบนี้ เขาได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายร้องไห้ไปเรื่อยๆ
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะรู้สึกเจ็บปวดกับความเจ็บปวดของคนอื่นได้ขนาดนี้
ฟ่งเงยหน้าขึ้นจากไหล่กว้าง หยาดน้ำสุกใสหนุนเนื่องออกมาตามร่องหางตา ไหลอาบพวงแก้ม นัยน์ตาสีน้ำตาลสั่นระริกยามเพ่งมองดวงหน้าของอีกฝ่ายผ่านม่านน้ำตา รูฟัสถอดแว่นตาที่เลอะเลือนเพราะหยาดน้ำใสออกอย่างเบามือ ก่อนจะใช้นิ้วเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของอีกฝ่าย ฟ่งแนบหน้าเข้ากับมือแกร่ง หลับตาลง โอบรัดแนบแน่นขึ้น ก่อนที่จะลืมนัยน์ตาขึ้นมา ริมฝีปากได้รูปเผยออ้าออก
“ผมรักคุณ”
ประโยคสั้นๆ เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ รูฟัสเคยคิดว่าวันที่ฟ่งเอ่ยบอกรักเขา มันคงเป็นวันที่เขามีความสุขที่สุด แต่ตอนนี้ ฟ่งพูดประโยคที่เขาอยากฟังออกมาแล้ว แต่มันกลับทำให้หัวใจปวดแปลบ รูฟัสก้มลงจูบใบหน้าเปื้อนน้ำตานั้น แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ต่อให้ฟ่งไม่พูดออกมา เขาก็รับรู้เต็มอกแล้ว รับรู้แล้วว่าฟ่งรักเขาจริงๆ รักกระทั่งยอมเจ็บปวดและทรมานตัวเองเพื่อตอบรับความรักนี้
“ผมรักคุณ.. รักคุณ” ฟ่งเอ่ยย้ำคำพูดเดิมเหมือนจะย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้ฟังผิด สำหรับรูฟัสแล้วการที่ฟ่งเอ่ยปากบอกรักเขาในสภาพแบบนี้ยิ่งทำให้หัวใจปวดจี๊ดราวกับถูกไฟจี้ ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้า อับจนปัญญาจะเอ่ยคำพูด เพราะความรู้สึกที่มีล้นทะลักออกมาแทบจะถึงคอ เขารั้งร่างบางเข้ามาแนบตัวให้ชิดขึ้นอีก จูบปลอบลงไปบนใบหน้าเปียกชื้น ฟ่งตะกายกอดเขา กระซิบเสียงแหบแห้ง “รูฟัส ผมรักคุณ”
หัวใจของรูฟัสแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เป็นเรื่องตลกอย่างร้ายกาจ เขากำลังเจ็บปวดกับการถูกบอกรักจากปากของคนที่เขาอยากให้บอกมากที่สุด ชายหนุ่มขยับริมฝีปากอย่างยากเย็น ฟ่งพยายามจะสื่อว่ารักเขา พยายามจะทำให้เขาเชื่อว่าสิ่งที่พูดนั้นจริง หัวใจอ่อนไหวนั้นกำลังอ้อนวอนหาที่พึ่งสุดท้าย เขาจำต้องพูดอะไรบ้าง ก่อนที่ฟ่งจะแตกสลายไปมากกว่านี้
“I understand…understood.” รูฟัสเอ่ยเสียงสั่น ไม่รอให้ฟ่งทนพูดอะไรอีก เขาก้มลงจูบไล้พวงแก้ม แนบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของอีกฝ่าย ประโลมจูบลงไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด
น้ำตาของฟ่งไหลเป็นสายยาว กระชับแขนโอบรัดร่างของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างแนบแน่น ราวกับกลัวจะถูกทอดทิ้ง ร่างบางสะอื้นจนตัวสั่น ตอนนี้รูฟัสเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาเหลืออยู่จริงๆ
รูฟัสถอนจูบออก และใช้ปลายจมูกสัมผัสพวกแก้มเปียกชื้น เขารักผู้ชายคนนี้มากเหลือเกิน ความรักที่สับสนปนเปพ่วงไปกับความเจ็บปวด ฟ่งขยับเลื่อนใบหน้าเข้ามา เสนอริมฝีปากให้กับเขาด้วยท่าทีที่ต้องการการพึ่งพิงอย่างไม่ปิดบัง รูฟัสจูบตอบด้วยความรู้สึกขมไปทั่วทั้งปาก ไม่มีความหวานหลงเหลืออยู่อีกแล้ว มีเพียงรสชาติขมเฝื่อนของความปวดร้าวที่แพร่กระจายไปทั่วทุกอณูสัมผัส
ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังต้องการซึ่งกันและกัน
ชายหนุ่มประคองร่างสั่นเทาวางลงบนพื้นพรมอย่างเบามือ จูบไล้ไปตามส่วนต่างๆ ด้วยความรู้สึกปวดแปลบในหัวใจ ฟ่งยกมือขึ้นลูบไล้เรือนร่างของอีกฝ่าย ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กัน ในความปวดร้าวของความรักที่ต้องตัดขาดบางสิ่งบางอย่าง เขากำลังโหยหาสิ่งเติมเต็ม โหยหาบางสิ่งเพื่อปลอบประโลมหัวใจแตกสลาย
รูฟัส....
วงแขนผอมบางกอดรัดร่างหนาหนักเอาไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นปะปนขมขื่น ไออุ่นจากเรือนร่างแข็งแรงแผ่นซ่านมาตามท้องน้อย รูฟัสแนบร่างเข้ากับร่างผอมบางที่นอนราบอยู่ เล็มเลียหยาดน้ำตาสุกใสที่ไหลเอ่อออกมาราวกับไม่มีวันเหือดแห้ง ฝ่ามือแกร่งลูบไล้เรือนร่างสั่นสะท้าน เลื่อนผ่านท่อนแขน ลงไปยังฝ่ามือ ยกมันกดแนบลงเหนือศีรษะผู้เป็นเจ้าของ ประโลมจูบปลอบโยนลงบนใบหน้าเรื้อน้ำตานั้นอีกรอบ ฟ่งขยับตัว ตอบรับการปลอบประโลมนั้นอย่างโหยหา ริมฝีปากสั่นเทาเอ่ยเรียกชื่อของผู้ที่มอบจูบให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า มือที่ถูกกดเอาไว้อย่างหลวมๆ บีบรัดฝ่ามือของอีกฝ่ายขณะที่ถูกแสดงเจตจำนงในการล่วงล้ำ
ความเจ็บปวดแผ่พุ่งขึ้นมาจากตะโพก แล่นขึ้นไปถึงสมอง แต่สำหรับห้วงอารมณ์นี้ คงไม่มีความเจ็บปวดใดจะเจ็บปวดมากไปกว่าความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจอีกแล้ว
ฟ่งปล่อยให้หยาดน้ำตารินไหล ซึมซับความเจ็บปวดที่กระแทกกระทั้นเข้ามาในร่าง ตะกายกอดร่างกายอันเต็มไปด้วยไออุ่นเอาไว้แนบอก พร่ำเรียกชื่อเดิมซ้ำๆ
ชื่อของคนที่เขามอบหัวใจและทุกสิ่งทุกอย่างให้
ชื่อของคนที่ทำให้เขาขยี้หัวใจดวงเดิมของตัวเอง
ชื่อของคนที่รักเขาจนแทบจะทำให้เขาตายทั้งเป็น
รูฟัส.....
-------------------------------------------------
เว่ยจินหยินไม่เคยลังเลหลังจากตัดสินใจไปแล้ว สำหรับการเสี่ยงชีวิตของจางซื่อเยี่ยน อีกฝ่ายคงสำนึกตัวแล้วเหมือนกันว่าถ้าไม่สำเร็จจะได้รับโทษทัณฑ์ยังไง เขารู้สึกพอใจที่เห็นฝ่ายตรงข้ามยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ สมกับเคยเป็นสมาชิกหน่วยดำ แบบนี้แหละที่เขาจะได้ฆ่าอย่างไม่ตะขิดตะขวง แต่ความคิดบางอย่างทำให้แขนที่วาดกระบี่เข้าใส่ลำคอนั้นชะงัก
ภาพของเว่ยเฟิงปิงลอยเข้ามาในหัว
ถึงไม่อยากจะจดจำ แต่นัยน์ตาสีฟ้ายาวเรียวราวกับงูนั้น ต่อให้ไม่อยากจำก็ต้องจำอยู่ดี เว่ยจินหยินไม่เคยพออกพอใจน้องชายคนนี้มาก่อนเลย พูดให้ถูกคือเขาไม่เคยพอใจใครก็ตามที่พ่อพยายามจะยกขึ้นมาแก่งแย่งตำแหน่งกับเขา แต่เหตุการณ์ที่ประเทศไทย ทำให้เว่ยจินหยินต้องมองน้องชายคนนี้ใหม่ ดูท่าเว่ยเฟิงปิงจะมีส่วนน่ารักอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ยังแสดงท่าทีเหมือนจะห่วงใยเขาอยู่ ยามที่เขาขาดสติ น้องชายคนนี้ก็ช่วยดึงกลับมา
หัวสมองของเว่ยจินหยินคำนวณการตัดสินใจใหม่อย่างรวดเร็ว เขาควรลองเปลี่ยนตัวเองสักครั้ง ลองรักน้องชายคนนี้อย่างที่พี่ทั่วไปสมควรทำ... ถ้าอย่างนั้น การไม่ฆ่าจางซื่อเยี่ยนน่าจะเป็นผลดีกว่า
อย่างน้อย หากจางซื่อเยี่ยนต้องถูกลงโทษ ก็ควรจะถูกเจ้านายของตัวเองลงโทษ
เว่ยจินหยินหยุดกระบี่เอาไว้ในเสี้ยววินาทีสุดท้าย ก่อนจะเบือนหน้าไปหาน้องชาย
----------------------------------------------------
เว่ยเฟิงปิงนั้นคิดจะยิงพี่ชายคนรองของเขาจริงๆ ยิงด้วยโทสะที่ก่อตัวขึ้นมาในชั่วเสี้ยววินาที เขาเกือบจะเหนี่ยวไกอยู่แล้ว ในตอนที่นัยน์ตาราวสุนัขจิ้งจอกเบือนกลับมา
นัยน์ตาที่เคยเยือกเย็นนั้นไหววูบ ราวกับน้ำนิ่งที่ถูกก้อนหินโยนเข้าใส่
สีหน้าเรียบเฉยของเว่ยจินหยินแปรเปลี่ยนทันที
----------------------------------------------------
เสียงวัตถุโลหะกระแทกกันทำให้จางซื่อเยี่ยนลืมตาโพล่ง กระบี่ที่ควรจะแทงคอหอยเขาไม่ได้อยู่ในมือของเว่ยจินหยินอีกแล้ว ถึงจางซื่อเยี่ยนจะทำใจยอมรับชะตากรรม แต่ในจังหวะที่คู่ต่อสู้หยุดลงมือและดูจะเผลอไปดื้อๆ ถือเป็นโอกาสที่เขาไม่ควรพลาดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ชายหนุ่มกระแทกหมัดเข้าใส่ร่างซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสัญชาตญาณ
---------------------------------------------------
เว่ยจินหยินชะงัก ชะงักไปเลยจริงๆ เขาไม่คิดว่าเว่ยเฟิงปิงจะเล็งปืนใส่เขา สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองยามนั้นคือ ทำไม? เว่ยเฟิงปิงมีเหตุผลอะไรที่ทำแบบนี้
เขาไม่ได้นึกเอ็นดูเว่ยเฟิงปิงเพราะรูปร่าง หรือหน้าตา แต่เว่ยจินหยินมองว่าเว่ยเฟิงปิงมีหัวคิด ถึงจะยังเด็กอยู่ แต่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามีสติพอจะไตร่ตรองและทำอะไรโดยไม่บุ่มบ่าม การฆ่าเขาตามคำสั่งผู้เป็นบิดาไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับเจ้าตัวเลย ไม่รู้ล่ะหรือว่าต่อให้ฆ่าเขาตายตรงนี้ บรรดาลูกน้องที่อยู่ด้านนอกก็ไม่ปล่อยให้ออกไปอยู่ดี และถ้าออกไปได้ แน่ใจล่ะหรือว่าเว่ยชิงจะยอมปล่อยไป
เว่ยเฟิงปิงโง่ขนาดมองแผนการนี้ของผู้เป็นพ่อไม่ออกเลยหรือ
แต่เมื่อเว่ยเฟิงปิงกล้าเล็งปืนใส่เขา ก็ไม่แน่ว่าจะไม่กล้ายิง
กระบี่ถูกซัดออกไปอย่างรวดเร็ว เขายังปราณีเว่ยเฟิงปิงอยู่บ้าง เว่ยจินหยินทำอะไรย่อมมีเหตุผลเสมอ และการฆ่าคนโดยไม่เอ่ยปากสอบถามหรือรีดประโยชน์ก่อนไม่ใช่วิธีของเขา อย่างไรก็ตาม การแบ่งสมาธิไปให้ความสนใจน้องชายนั้น เปิดช่องว่างมากพอที่จะทำให้คนที่เพิ่งแสดงทีท่ายินยอมพ่ายแพ้เมื่อครู่ แว้งกลับมาจัดการกับเขาใหม่
ลืมไปเลยว่านี่คือมือสังหารที่น่ากลัวที่สุดคนหนึ่ง
----------------------------------------------------
เลือดไหลอาบข้อมือของเว่ยเฟิงปิง ดูเหมือนเว่ยจินหยินจะจงใจซัดกระบี่เข้าใส่ปืนมากกว่าจะทำร้ายเขา อย่างไรก็ดีการเปลี่ยนจังหวะกะทันหันแบบนั้นใช่ว่าจะเล็งให้แม่นกันได้ง่ายๆ เว่ยเฟิงปิงบาดเจ็บ แต่ปืนก็หลุดออกจากมือไปด้วยเช่นกัน ก่อนจะทันคิดว่าควรจะทำอย่างไรต่อ สถานการณ์ตรงหน้าก็พลิกผันอีกครั้ง
จางซื่อเยี่ยนชกเข้าใส่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างไม่รอให้ตั้งตัว ถึงเว่ยจินหยินจะหันหน้ากลับไปแล้ว แต่ก็ยังช้าไปอยู่ดี แรงกระแทกทำให้เขาเซถลาถอยหลังไปหลายก้าว เห็นได้ชัดเลยว่าร่างกายขอบคุณชายรองคนนี้ไม่ทนทานกับความรุนแรงที่ได้รับ
อดีตหน่วยดำไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ เขารับ”คำสั่ง”มาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรจะต้องปฏิบัติให้สำเร็จ จางซื่อเยี่ยนพุ่งเข้าใส่ร่างที่เซถลาอย่างตั้งตัวไม่ติด ห่วงลวดบางเบาลอยหวิวอยู่ในอากาศ คล้องเข้าใส่ลำคอนั้นอย่างแม่นยำ เว่ยเฟิงปิงตะโกนออกไป
“หยุดนะ!!”
จางซื่อเยี่ยนชะงักทันที เสี้ยววินาทีแรกเขาชะงักเพราะเสียงของผู้เป็นเจ้านาย แต่เสี้ยววินาทีต่อมาทำให้อดีตหน่วยดำหยุดชะงักไปจริงๆ เว่ยจินหยินที่กำลังเสียหลักไม่เป็นท่า ยกมือขึ้นมาเหมือนพยายามจะปัดป้อง แต่สิ่งที่ทำให้นัยน์ตาสีอีกาเบิ่งกว้างคือเลสท์ข้อมือสีเงินที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ
กว่าจะตระหนักถึงอันตรายของการปัดป้องนั้น ภาพตรงหน้าก็วูบลงเหมือนถูกตัดไฟ
------------------------------------------
เว่ยจินหยินสำลัก เหมือนจะมีเลือดออกมาด้วยนิดหน่อย หมัดของจางซื่อเยี่ยนเบาๆ เสียที่ไหน และร่างกายของเขาก็ไม่ได้ถูกฝึกมาให้รับการกระทบกระเทือนแบบนี้ ถึงอย่างนั้นคุณชายรองก็ยังมีแก่ใจจะเอื้อมมือไปกระชากคอเสื้อร่างที่กำลังจะล้มทั้งยืนตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยลงกับพื้น และไอซ้ำอีกครั้ง
“ไม่ตายหรอก” เขากล่าว เมื่อเห็นเว่ยเฟิงปิงวิ่งเข้ามาประคองตัวลูกน้อง นัยน์ตาสีฟ้าเงยมองเขาอย่างงุนงงและตื่นกลัว
“ทำไม?”
เว่ยจินหยินไออีกรอบ ละอองเลือดที่กระเซ็นใส่ฝ่ามือทำให้เขาขมวดคิ้วมุ่น ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองน้องชาย
“พี่ก็อยากจะถาม เธอหักหลังพี่ทำไม?”
-----------------------------------------
ความเงียบอย่างน่าอึดอัดก่อตัวขึ้นภายในห้องทำงานของเว่ยจินหยิน ซึ่งสภาพในตอนนี้ดูคล้ายเพิ่งถูกพายุถล่ม โต๊ะทำงานตัวใหญ่ล้มตะแคงอยู่มุมหนึ่ง ข้าวของกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น เว่ยเฟิงปิงประคองร่างของจางซื่อเยี่ยนวางลงบนตัก ใบหน้านั้นขาวซีดราวคนตาย เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามพี่ชาย โดยไม่ได้ตอบคำถามเดิม
“พี่ทำอะไรซื่อเยี่ยน?”
เมื่อเห็นว่าเว่ยเฟิงปิงไม่ได้มีท่าทีจะคุกคามชีวิตของเขาอีก สีหน้าของเว่ยจินหยินก็ดูผ่อนคลายลง ถึงกับเป็นฝ่ายยอมตอบคำถามก่อน
“ยา” ผู้เป็นพี่ชายตอบสั้นๆ ก่อนจะพูดอธิบายต่อ “ไม่ถึงตาย แค่เป็นอัมพาตชั่วคราว”
คนเป็นน้องมองนัยน์ตาสีดำอย่างไม่แน่ใจนัก แต่ก็พยักหน้า ถึงสงสัยไปก็ใช่ว่าจะได้อะไรขึ้นมา ในเมื่อทางนั้นยืนยันแล้วว่าไม่ตาย เขาก็ไม่ควรจะเซ้าซี้ให้มากอีก เกิดเว่ยจินหยินเปลี่ยนใจโมโหขึ้นมา ตัวเขาเองนั่นแหละจะแย่เปล่าๆ
“ทำไมเธอถึงโกหกพี่?” เว่ยจินหยินเอ่ยถามอย่างมีน้ำอดน้ำทนเมื่อเห็นผู้เป็นน้องชายยังคงนิ่งเงียบ เว่ยเฟิงปิงเงยหน้ามองเขาอีกรอบ ขมวดคิ้ว “ผมโกหกพี่เรื่องอะไร?”
“เธอพูดเองว่าจะไม่ทำตามคำสั่งคุณพ่อ แต่เธอก็ฉวยโอกาสเล็งปืนใส่พี่” เว่ยจินหยินเอ่ย นัยน์ตาสีดำวาววับจับจ้องไปยังมือที่มีเลือดแห้งกรังของผู้เป็นน้องชาย เว่ยเฟิงปิงชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา
“พี่บังคับให้ผมทำ”
คิ้วได้รูปของผู้ฟังขมวดเข้าหากันทันที เหมือนกับจะถามหาเหตุผล เว่ยเฟิงปิงพูดต่อ “พี่จะฆ่าซื่อเยี่ยน พี่รู้ล่วงหน้าแล้วว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ พี่ให้ผมไปหาคุณพ่อ ให้ซื่อเยี่ยนรับคำสั่ง พี่เห็นพวกผมเป็นตัวอะไร?”
นัยน์ตาสีฟ้าสั่นระริกอย่างมีโทสะ มาคิดดูแล้วก็น่าหงุดหงิดใจจริงๆ ที่พวกเขาสองคนเอาชีวิตมาแขวนไว้กับแผนการสลับซับซ้อนที่หาต้นสายปลายเหตุไม่เจอของผู้เป็นพ่อและพี่ชาย เว่ยจินหยินกะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะพยักหน้า “ออ..อืม... พี่คงทำให้รู้สึกแบบนั้น”
คำตอบนั้นไม่ได้ทำให้เว่ยเฟิงปิงพอใจสักนิด เขาถลึงตาใส่ผู้เป็นพี่ชายอย่างเอาเรื่อง
“อธิบายมา ผมอยากรู้ว่าพี่กับพ่อคิดจะทำอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้หลอกใช้ผมกับซื่อเยี่ยนอย่างนี้”
ก็รู้อยู่หรอกว่าเจอแบบนี้อาจจะไม่พอใจ แต่สำหรับเว่ยจินหยิน เฟิงปิงยังไม่ได้ตอบคำถามของเขาเลย
“เธอยังไม่ได้ตอบพี่เลยว่าทำไมถึงหันปืนใส่พี่”
เว่ยเฟิงปิงอ้าปากค้าง นี่พี่ชายของเขาฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง ไอ้ที่เขาพูดไปไม่ใช่เหตุผลรึ ชายหนุ่มถึงกับต้องกระชากเสียง “ก็พี่จะฆ่าซื่อเยี่ยน!”
นัยน์ตาสีดำของเว่ยจินหยินไหววูบ ดูเหมือนจะแปลกใจอยู่มาก ถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยช้าๆ “เพราะพี่จะฆ่าซื่อเยี่ยน เธอเลยจะฆ่าพี่? ฆ่าพี่เพราะซื่อเยี่ยนเหรอ?”
เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ไอ้คำถามที่ถามกลับมายังไม่น่าหงุดหงิดเท่ากับท่าทีที่แสดงออก พี่ชายของเขาทำอย่างกับว่าการที่เขากลัวจางซื่อเยี่ยนตายเป็นเรื่องประหลาดเสียเต็มประดา อีแบบนี้ไม่โมโหก็ต้องโมโหกันบ้างล่ะ
“ผมไม่อยากให้ซื่อเยี่ยนตาย ประหลาดนักหรือไง? ทีพี่ยังจะเป็นจะตายตอนเถียนซานถูกระเบิดเลย!!”
เมื่อถูกตอกหน้าเรื่องในวันนั้น เว่ยจินหยินถึงกับอับจนคำพูดไปพักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้า
“ไม่ยักรู้ว่าเธอผูกพันกับซื่อเยี่ยนขนาดนี้ เห็นทีพี่คงเข้าใจผิด เธอไม่ได้ยอมนอนกับซื่อเยี่ยนแค่หวังผลประโยชน์เท่านั้นสินะ”
เว่ยเฟิงปิงถลึงตาใส่พี่ชายอย่างโกรธเคือง “ผมจะนอนกับใครมันก็เรื่องของผม แล้วถ้าผมจะรักซื่อเยี่ยน มันไปหนักส่วนไหนของพี่!”
คำต่อล้อต่อเถียบแบบไม่ไว้หน้าของน้องชายทำเอาเว่ยจินหยินสะอึก ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายไม่รักษามารยาท เว่ยเฟิงปิงนั้นแต่ไหนแต่ไรไม่เคยรักษามารยาทกับเขาอยู่แล้ว สิ่งที่ทำให้เว่ยจินหยินตระหนกคือคำว่ารักที่เว่ยเฟิงปิงเอ่ยออกมาต่างหาก
น้องชายของเขางับเหยื่อล่อตัวโตของผู้เป็นบิดาเข้าเสียแล้ว
เว่ยจินหยินเคยสงสัย ว่าทำไมเว่ยชิงต้องจงใจส่งจางซื่อเยี่ยนไปเป็นบอดีการ์ดให้กับเว่ยเฟิงปิงด้วย เพราะคนที่เคยถูกไล่ออกไปหนหนึ่ง ต่อให้เป็นสายเลือดเดียวกัน ตำแหน่งและอำนาจที่ได้หลังกลับมาในตอนแรกไม่มีคุณค่าคู่ควรกับการส่งหน่วยดำไปคุ้มกันด้วยซ้ำ เขาเข้าใจว่าผู้เป็นพ่อต้องการจะจับจ้องพฤติกรรมของลูกชายลักเพศคนนี้อย่างใกล้ชิด แต่เอาเข้าจริงกลับกลายเป็นว่า จางซื่อเยี่ยนเองก็ดูจะไม่ได้ติดต่อกับเว่ยชิงบ่อยนัก ทุกอย่างดูแปลกๆ
เว่ยจินหยินนึกหงุดหงิดใจ กระทั่งบากหน้าไปหาผู้เป็นพ่อเพื่อหยอดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ดูว่าเว่ยชิงจะจัดการยังไงกับลูกชายที่ดูจะมีความสัมพันธ์เกินเลยกับคนที่ส่งไปคุม และก็แปลกใจเมื่อพบว่าพ่อของเขาปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ
เว่ยจินหยินเพิ่งเข้าใจเหตุผลตอนนี้เอง
บ่วงรักบงการคนได้ดีที่สุด
คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยถอนหายใจยืดยาว เขาเกือบพลาดแล้วจริงๆ ถ้าหากเขาไม่หยุดมือและหันมามองน้องชาย เว่ยเฟิงปิงยิงเขาแน่นอน คิดมาถึงตรงนี้เว่ยจินหยินรู้สึกวูบในหัวอย่างบอกไม่ถูก เว่ยชิงถึงกับวางหมากไว้หลายชั้น วางกลยุทธ์ที่พร้อมจะหยิบมาใช้ได้เมื่อมีโอกาส รู้อยู่แต่แรกแล้วว่าเขาเตรียมจะรับมือเอาไว้ รู้แน่ว่าเขาคงไม่ปล่อยจางซื่อเยี่ยน และรู้ว่าเว่ยเฟิงปิงจะไม่ปล่อยให้จางซื่อเยี่ยนตายโดยไม่ทำอะไร
ทำไมคนที่คาดเดาหัวใจคนอื่นได้ดีขนาดนี้ จึงไม่เคยรับรู้ถึงความรักที่เขามีให้บ้าง
ทำไมถึงได้จงเกลียดจงชังเขานัก
-----------------------------------------
เว่ยเฟิงปิงเงยมองผู้เป็นพี่ชาย จนแล้วจนรอดเว่ยจินหยินก็ยังไม่ตอบคำถามของเขา ว่าวางแผนอะไรเอาไว้กันแน่ คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยไม่ยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างไม่สมควร ในเมื่อเขาตอบคำถามแล้ว อีกฝ่ายก็ต้องตอบบ้าง
“พี่รอง พี่บอกผมได้หรือยังว่าพี่กับพ่อวางแผนอะไรกันเอาไว้”
เว่ยจินหยินหันมาเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว ก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ขณะที่กำลังจะอ้าปาก เขาก็สำลักอีกครั้ง
เลือดสีแดงกระจายเต็มพื้นห้อง
------------------------------------------