ม่านไหมลายพยัคฆ์
บทที่ 10
อาหารเช้าของผู้นำย่อมไม่ใช่ที่บ้าน เฉินหย่งหนานเดินทางไปยังที่ตั้งของกองบัญชาการรบกองทัพจีนพร้อมกับเฉินจิ้งเหอ
และเฉินหยางซุนตั้งแต่เช้ามืดดังเช่นทุกวัน เหล่าบุรุษจากสกุลเฉินหายใจเข้าออกเป็นงานในทุกนาที จิ้งเหอเคยกล่าวไว้ว่า ในภาวะแห่ง
ความไม่แน่นอนเยี่ยงนี้ แค่วินาทีก็อาจสายเกินไป
“เมื่อคืนพาฟางซินไปเที่ยวมางั้นรึ”
ลุงของเขาเอ่ยทักตั้งแต่รถยนต์ประจำตำแหน่งแล่นออกจากหน้ารั้วบ้าน แม้ว่าจะมีงานมากมายแต่จิ้งเหอก็ยังใส่ใจสมาชิกใน
บ้านเสมอ หย่งหนานก้มศีรษะรับและเอ่ยอย่างนอบน้อม
“ใช่ครับคุณลุง สงสารฟางซินที่ไม่ค่อยได้ออกไปเปิดหูเปิดตาที่ไหน ตั้งแต่แต่งงานเข้าสกุลเฉินก็พบกับสงครามมาโดย
ตลอด ผมเองก็ทำงานจนไม่มีเวลาให้ฟางซินมากนัก”
“ดีแล้วหย่งหนาน เป็นการดีที่หลานเอาใจใส่ภรรยาเช่นนี้”
“เมื่อไหร่จะมีน้องให้เซียวจง” หยางซุนญาติผู้พี่บุตรชายของจิ้งเหอละสายตาจากหนังสือพิมพ์มาเอ่ยถามด้วยความสนิทสนม
“ดูพี่สิ มีลูกสามคนแล้ว นายยังมีเซียวจงอยู่คนเดียว เดี๋ยวจะไม่ทันใช้เอานา”
หยางซุนมีบุตรคนที่สามแล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เขามีบุตรชายคนโต บุตรสาวคนรองและยังได้บุตรคนสุดท้องเป็นบุตรชายอีก
ต่างหาก หย่งหนานส่ายหน้าเมื่อพี่ชายเย้าหยอก
“อยากจะมีเหมือนกันแต่สุขภาพของฟางซินไม่ดีเอาเสียเลยตั้งแต่คลอดเซียวจง หากจะมีลูกอีกคนผมว่าร่างกายของฟางซิน
จะรับไม่ไหว”
“ก็จริงนะ” หยางซุนยกมือลูบคาง
“ถ้าอย่างนั้นทำไมนายไม่แต่งเมียเป็นอนุเข้าบ้านอีกสักคนจะได้ดูแลนายและมีลูกให้นายได้อีก พี่ว่าฟางซินน่าจะเข้าใจ
ธรรมชาติผู้ชายอย่างเรา”
การมีภรรยาหลายคนไม่ใช่เรื่องแปลก ยิ่งกับชนชั้นผู้นำระดับสูง แต่หย่งหนานกลับไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น
“มีเมียแค่คนเดียวผมยังไม่ค่อยจะมีเวลาดูแลให้เขามีความสุขเลยครับ ผมยังไม่อยากลากใครมาเหนื่อยใจเพราะผม”
ใจฉุกคิดถึงใครอีกคนที่เพิ่งจะรับเข้ามาอยู่ในการดูแล ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นยิ่งทำให้หย่งหนานไม่นึกต้องการใครมาขวางกั้นให้
เขากับหนุ่มน้อยต้องยิ่งห่างไกลกันมากขึ้นไปอีก และเพราะเรื่องนี้ทำให้เขาเอ่ยกับผู้เป็นลุงทันที
“เมื่อคืนผมพาฟางซินไปชมงิ้วของครูหยาง ได้พบกับเหยาหงลี่ด้วยครับคุณลุง”
หย่งหนานเล่าให้จิ้งเหอฟังในเรื่องพฤติกรรมของนักการเมืองในสังกัด และเขาจำเป็นต้องเล่าที่มาของเหวินเป่าให้ผู้เป็นลุงรับ
รู้ไว้ด้วย
“เหวินเป่าเป็นเด็กที่ผมเคยช่วยไว้จากซ่องคณิกาและนำไปฝากให้ครูหยางช่วยเลี้ยงดู ไม่นึกว่าเขาจะต้องมาพบกับเหตุการณ์
เช่นนี้ ผมจึงขอรับเหวินเป่ามาเลี้ยงดูที่บ้าน คุณลุงจะว่ากล่าวเรื่องนี้หรือไม่ครับ”
“ลุงจะมากระไรเล่าหย่งหนาน” จิ้งเหอกล่าวอย่างมีเมตตา
“การที่หลานช่วยเพื่อนมนุษย์นั้นเป็นบุญของหลานอยู่แล้ว บ้านของเราออกจะกว้างขวาง เพียงเพิ่มเด็กผู้ชายมาอีกสักคนจะ
เดือดร้อนอะไร จะเลี้ยงดูขัดเกลาเด็กมันอย่างไรก็แล้วแต่ความต้องการของหลานเถอะลุงไม่ว่า แต่ที่ลุงติดใจคือการกระทำของเหยาหง
ลี่มากกว่า”
“เกลียดนักไอ้พวกนี้” หยางซุนสบถออกมา
“ในขณะที่เรารึแสนจะเหนื่อยยากทำงานเสี่ยงตายกับสงคราม แต่พวกนักการเมืองที่ควรจะบริหารบ้านเมืองแทนคุณพ่อกลับ
ถือโอกาสนี้ยักยอกงบประมาณไปใช้ส่วนตัวเป็นว่าเล่น แถมยังทำตัวมีอิทธิพลยิ่งใหญ่กร่างไปทั่ว ยิ่งกลายเป็นประเด็นให้พวกสังคมนิยม
ตราหน้าพวกเราไปอีก”
จิ้งเหอเองก็หนักใจในประเด็นนี้ การรักษาสภาพบ้านเมืองให้บอบช้ำน้อยที่สุดจากสงครามที่แพร่ขยายจนกลายเป็น
สงครามโลกยาวนานถึงแปดปีเป็นงานหนักที่สุด จิ้งเหอจะต้องประสานงานติดต่อประเทศสัมพันธมิตรและป้องกันการโจมตีจากญี่ปุ่นจน
ไม่มีเวลาที่จะเข้าไปประชุมรัฐสภาและทำให้เหล่านักการเมืองที่หวังผลประโยชน์กอบโกยงบประมาณแผ่นดินไปจำนวนมาก
“ผมได้ข่าวมาว่าในตอนนี้พรรคสังคมนิยมได้ผู้คนไปเยอะมาก พวกเขาเบนเข็มจากพวกกรรมกรแบกหามไปสู่พวกเกษตรกร
โดยการโจมตีให้เห็นว่านักการเมืองโกงกินและอวดอำนาจบารมีในขณะที่ประชาชนกลับต้องเหนื่อยยากทำงานโดยได้ผลตอบแทนอย่าง
ไม่คุ้มเหนื่อย”
หย่งหนานบอกกล่าวสิ่งที่รู้ออกไป พรรคสังคมนิยมยอมหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวในช่วงสงครามตามที่สหรัฐอเมริกาเสนอ
พันธะสัญญา แต่ในความจริงแล้วแปดปีที่ผ่านมาพวกเขากลับแอบปราศัยเป็นกลุ่มเล็กๆเพื่อเผยแพร่ความคิดอุดมการณ์ความเสมอภาค
ออกไปเป็นกองทัพมด และดูเหมือนมันจะได้ผลเป็นอย่างดี
จิ้งเหอครุ่นคิดถึงเรื่องทั้งหมดอยู่แล้ว มันเป็นไปตามที่เขาคาดคิดโดยรู้นิสัยของอู๋จินไห่เป็นอย่างดี สีหน้าของชายสูงอายุ
มากด้วยอำนาจเคร่งขรึมเมื่อต้องวางแผนแก้ไขปัญหาในอนาคต
“ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้มากนัก แต่รออีกไม่นานหรอกสงครามคงใกล้จะถึงจุดสุดท้าย ตอนนี้เยอรมันใกล้จะพ่ายแพ้หากฝ่าย
สัมพันธมิตรบุกโจมตีเบอร์ลินได้ และถ้าหากเยอรมันแพ้ญี่ปุ่นก็จะไม่มีตัวช่วยอีกต่อไป”
หย่งหนานภาวนาให้เป็นเช่นนั้น สงครามทำให้ผู้คนอดอยากล้มตายเป็นจำนวนมาก พวกเขาเหล่านั้นต้องพบกับความสูญ
เสียจนน่าสงสารเพียงเพราะผู้นำที่กระหายในอำนาจจนต้องกระโจนขึ้นไปขี่บนหลังเสือเพื่อควบคุมมัน
แต่เสือก็ช่างยากที่จะควบคุมเหมือนจิตใจคนที่มุ่งสู่ความหอมหวานของอำนาจ เมื่อได้ขึ้นขี่บนหลังเสือแล้วน้อยคนนักที่จะลง
มาได้อย่างสง่าผ่าเผย
หย่งหนานเพียงอยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบกับบุคคลที่เขารักทั้งหลาย แต่ดูเหมือนมันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน
หลินเหวินเป่าสะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อตะวันสาดส่องเข้ามาในห้อง มันเป็นการหลับใหลอย่างยาวนานเป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่า
ปีของเขา อาจเป็นเพราะไม่ต้องกังวลกับสิ่งใดรวมถึงความอบอุ่นที่ได้รับก่อนนอนทำให้เขานอนหลับฝันดี และเมื่อลืมตาตื่นเหวินเป่าก็
ลนลานลุกจากเตียงออกไปนอกห้องทันที
หนุ่มน้อยนึกอับอายที่ตนเองตื่นสายขณะที่เข้ามาอาศัยในบ้านของคนอื่น เขาก้าวยาวๆมายังห้องโถงหน้าบ้านทั้งที่ยังไม่ได้
ล้างหน้าหลังตื่นนอน และเมื่อมาถึงเขาจึงเห็นฟางซินนั่งอยู่บนโต๊ะพร้อมกับสาวรับใช้สามสี่คนที่ยืนล้อมอยู่
“ตื่นแล้วหรือเหวินเป่า”
สีหน้าของฟางซินดีกว่าเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาอยู่บ้าง แต่แววตาปรานีก็ยังปรากฏให้เห็นยามมองมายังเหวินเป่า
“นายหญิง ผมขอโทษที่ตื่นสาย ผมจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้วครับ”
หนุ่มน้อยชินกับการทำงานแต่เช้าตรู่ในโรงงิ้ว การนอนตื่นสายจะถูกลงโทษโดยไม่มีข้อแม้ ดังนั้นจึงทำให้เหวินเป่ารู้สึกผิดจน
หน้าเสียและถึงกับคุกเข่าลงเบื้องหน้าฟางซิน
“อ้าว ทำไมถึงทำหน้าราวกับจะร้องไห้เช่นนั้น ตื่นสายนิดหน่อยเท่านั้นเองอย่าได้กังวลเลย และเธอก็เหนื่อยมากเมื่อวานนี้
ลุกจากพื้นมานี่เถอะ ฉันสั่งให้เขานำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้เธอ”
เหวินเป่าจึงได้ลุกจากพื้นแล้วก้าวไปหยุดยืนเบื้องหน้าฟางซิน เขากลายเป็นตุ๊กตาให้สาวใช้ของฟางซินเทียบเสื้อผ้าเข้ากับ
ตัวอย่างสนุกสนาน อย่างน้อยเหวินเป่าก็ยินดีที่มองเห็นรอยยิ้มจากผู้หญิงที่แสนดีอย่างฟางซิน
“พาเหวินเป่าไปอาบน้ำและตัดผมให้เข้ารูปเข้าทรงทีเถอะ แล้วค่อยมาสวมเสื้อผ้าชุดใหม่พวกนี้”
เหวินเป่าถูกนำไปยังด้านหลังของตัวบ้าน พื้นที่โล่งกว้างก่อนถึงเรือนของคนรับใช้มีบ่อน้ำสำหรับใช้อาบน้ำ สาวใช้ของฟาง
ซินดูแลให้เขาได้อาบน้ำจนสะอาดเอี่ยมก่อนจะนำตัวมานั่งให้สาวใช้นางหนึ่งตัดผมให้ด้วยกรรไกรคมกริบให้เข้ากับโครงหน้าเรียว เมื่อ
ทุกอย่างเรียบร้อยเหวินเป่าจึงได้สวมใส่เสื้อผ้าบุรุษสีเข้มตามสมัยนิยมและพากลับไปหาฟางซิน
“เหมาะเจาะดีแท้ เหวินเป่านี่แต่งตัวขึ้นทุกแบบเลยนะ แต่งชุดนางเอกงิ้วก็สะสวยแสนหวานแต่หากแต่งชุดบุรุษเช่นนี้ก็ดู
หล่อเหลาราวกับดาราบนจอหนัง”
โรงภาพยนตร์เริ่มเข้ามามีบทบาทอยู่ในสังคมของชนชั้นสูง แต่ก็ซบเซาไปเพราะพิษสงคราม ฟางซินมองเหวินเป่า อย่าง
พอใจเมื่อจัดการกับรูปลักษณ์ใหม่จนหนุ่มน้อยไม่เหลือคราบมอมแมมอย่างเช่นเคย
เสียงอ้อแอ้ดังมาจากทางเดิน สาวใช้คนหนึ่งอุ้มเด็กน้อยวัยสองขวบหน้าตาน่ารักน่าชังตรงเข้ามาส่งให้ฟางซินได้อุ้มไว้
หญิงสาวมองบุตรชายเพียงคนเดียวอย่างรักใคร่และเมื่อเด็กชายอยู่ในอ้อมกอดของมารดาก็ยิ้มกว้างหัวเราะดังลั่น
“เซียวจงลูกแม่ น้ำหนักคงจะขึ้นมาอีกแล้ว แม่จะอุ้มไม่ไหวแล้วลูก”
ภาพความอบอุ่นระหว่างมารดาและลูกน้อยทำให้เหวินเป่าน้ำตารื้นขึ้นมา แม้จะรู้ว่าแม่ของตนเองนั้นรักลูกไม่แพ้ใคร หากแต่
แม่ของเหวินเป่าก็เป็นแค่หญิงคณิกาไร้การศึกษาจึงไม่เคยอุ้มชูหยอกล้อดั่งเช่นฟางซินกระทำกับฮุ่ยจง และภาพที่แม่ของเขารวมถึง
เพื่อนหญิงคณิกานอนตายกันเกลื่อนเพราะถูกทารุณกรรมจากทหารญี่ปุ่นก็ยิ่งตอกย้ำความเจ็บช้ำที่มิอาจลืมเลือนจากหัวใจ
“อ้าว เหวินเป่า ร้องไห้ทำไม”
ฟางซินหันมาเห็นหยดน้ำตาที่ร่วงอาบแก้มเข้าพอดี เธอเอ่ยถามอย่างตกใจที่เห็นเหวินเป่าร้องไห้ เหวินเป่ารีบใช้หลังมือป้าย
น้ำตาอย่างรวดเร็ว เขาไม่อยากให้ฟางซินต้องมากังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องของเขา
“ผมเห็นนายหญิงแล้วก็นึกถึงแม่น่ะครับ”
“โธ่เอ๋ย เหวินเป่า” ฟางซินอุทานด้วยความสงสารและอยากจะทำให้เหวินเป่าลืมเรื่องทุกข์ในอดีตเหล่านั้น
“มานี่สิเหวินเป่า มาช่วยอุ้มเซียวจงไปหน่อย ตัวหนักเหลือเกิน”
เหวินเป่าได้ยินก็กระวีกระวาดเข้าไปรับเด็กน้อยออกมาจากอกแม่ทันที และเมื่อได้สบตากันในคราแรกเด็กชายเฉินฮุ่ยจงก็
ยิ้มกว้างให้เขาโดยไม่ร้องโยเยเลยสักนิด ทำให้เหวินเป่าตกหลุมรักบุตรชายของฟางซินและหย่งหนานทันที
“คุณชายน้อยน่ารักเหลือเกินครับนายหญิง”
“แปลกนะ กับคนอื่นนี่กว่าจะคุ้นเคยก็ร้องงอแงกันพักใหญ่ แต่กับเหวินเป่าแค่อุ้มครั้งแรกก็หัวเราะใส่เขาเสียแล้ว ดีล่ะ งั้นต่อ
จากนี้ฉันจะมอบหน้าที่ให้เหวินเป่าช่วยอาซิ้มดูแลเซียวจงอีกแรงหนึ่งก็แล้วกัน”
“ได้ครับนายหญิง”
เป็นหน้าที่แรกในบ้านหลังใหม่ที่เหวินเป่าแสนจะยินดี เขามองเด็กน้อยในอ้อมกอดและตั้งใจว่าจะช่วยดูแลฮุ่ยจงให้ดีที่สุดสม
กับบุญคุณที่พ่อและแม่ของเด็กคนนี้มีต่อเขา
“อีกเรื่องหนึ่ง เธอได้เรียนหนังสือหรือเปล่า”
เหวินเป่าส่ายศีรษะ เขาไม่รู้แม้แต่สักตัวอักษร ที่โรงงิ้วจะใช้วิธีบอกบทให้นักแสดงท่องจำกันเอง
“ถ้าเช่นนั้นฉันจะสอนหนังสือให้เธอดีไหม จะได้มีความรู้อ่านออกเขียนได้”
“ขอบพระคุณเหลือเกินครับนายหญิง”
เหวินเป่าซึ้งใจนัก ถ้าไม่ได้อุ้มฮุ่ยจงอยู่เขาก็อยากจะลงไปคำนับฟางซินให้สมกับความดีของหญิงสาว เขาสัญญากับตนเอง
ว่าจะกตัญญูกับคนในครอบครัวนี้ตลอดไป
มีต่ออีกนิด...