---- Pillow Talk ----
“ไหนว่าจะคุยกันไง ทำไมเงียบไปล่ะครับ?”
เจนยุทธเงยหัวขึ้นจากอกกว้างที่เขานอนหนุนซบอยู่ คนตัวโตของเขากำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดครุ่นคิดอะไรไปต่างๆ นานาเจหัวเราะเบาๆ
“เป็นอะไรของคุณ ทำหน้าเครียดยังกะจะไปทำสัญญาพันล้าน”
“ฉันกำลังนึกอยู่ว่าจะถามอะไรเจดี”
“อยากรู้อะไรก็ถามมาสิ ถ้าอันไหนตอบไม่ได้จริงๆ ก็จะบอก”
“เจรักฉันไหม?”
คนตัวเล็กเกาหัวแกร่ก
“เห้ย อะไรที่มันรู้อยู่แล้วจะถามทำไม?”
“ก็อยากได้ยินอีกนี่จ๊ะ”
ฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม เจขยับลุกขึ้นนั่งและมองตาคนตัวโตที่นอนอยู่ตรงหน้า
“งั้นไม่รักละ”
“อ้าว เฮ้ย ไหงตอบงั้นล่ะ?”
คนตัวโตโอดครวญ เขารู้ว่าคนตัวเล็กแค่พูดเล่น แต่มันก็แอบสะเทือนใจเล็กๆ
“ไม่รักเฉยๆ แต่รักที่สุดต่างหากล่ะ รักแบบที่ไม่เคยรักใครมาก่อนนอกจากคนในครอบครัว พอใจหรือยัง?”
เจก้มลงจูบหน้าผากของคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มกว้าง เขายกนิ้วแตะริมฝีปากตัวเองเบาๆ แล้วประทับมันบนริมฝีปากเจนยุทธ เจทำแบบเดียวกันกลับคืนมา
“ผมถามบ้าง…คุณชอบดูหนังแนวไหน?”
ฆาเบียร์กระพริบตาปริบๆ เขากับเจไปดูหนังกันบ้างบางครั้ง แถมยังนั่งดูซีรีส์และหนังในเคเบิลทีวีด้วยกันตลอดเวลาอยู่แล้ว เจน่าจะรู้ความชอบของเขาดี
“ฉันก็ชอบพวกหนังแอ็คชั่น ไซไฟ สืบสวนสอบสวนอะไรพวกนี้แบบที่เราดูกันเป็นปกตินี่เจ อะไรก็ได้ที่ตื่นเต้นและทำให้อะดรีนาลีนหลั่ง”
“ผมก็นึกว่าคุณดูเพราะดูตามผม นึกว่าคุณจะชอบพวกหนังโรแมนติกหวานแหววอะไรพวกนั้น”
เจพูดเสียงอ่อยๆ เขาสารภาพว่าเขาเห็นฆาบี้เป็นเกย์ ก็น่าจะชอบอะไรหวานๆ อย่างพวกโรแมนติกคอมเมอดี้ หรือหนังรักแบบผู้หญิงจ๋าที่เจเรียกว่า chick flick ตัวอย่างหนังพวกนี้ก็อย่างเช่น The Notebook, The Holiday, 10 Things I Hate About You หรือกระทั่ง La La Land ก็ใช่
“เจ ความชอบในเรื่องต่างๆ ของฉันมันก็เหมือนผู้ชายคนอื่นๆ นั่นแหละ การที่ฉันชอบผู้ชายไม่ได้ทำให้ฉันต้องมาทำตัวหวานแหวว หรือมีรสนิยมแบบสาวๆ ฉันก็เหมือนผู้ชายทั่วๆ ไป ชอบดูกีฬา ชอบรถหรือพวกเครื่องยนต์กลไก ดูหนังแอ็คชั่น แต่ต่างไปที่รสนิยมทางเพศแค่นั้นเอง”
ฆาเบียร์หัวเราะ เจคงยึดติดกับ stereotype หรือภาพฝังหัวเกี่ยวกับชาว LGBT แต่ที่จริงแล้วแต่ละคนก็มีบุคลิกและนิสัยแตกต่างกันไปไม่ต่างกับชายหญิงทั่วไป
“ที่ฉันแต่งตัว ดูสำอางก็เป็นเพราะฉันชอบแต่งตัวและดูแลตัวเองอยู่แล้วอยู่แล้วตั้งแต่ตอนเป็นวัยรุ่น ไม่เกี่ยวกับว่าฉันเป็นเกย์หรือไม่ โอเค อาจมีส่วนนิดหน่อย แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”
คนตัวโตพูดยิ้มๆ
“ฉะนั้น การที่นายมามีคนรักเป็นผู้ชาย มันก็ไม่จำเป็นว่าเจจะต้องเปลี่ยนตัวเอง เข้าใจไหม? นายก็ทำตัวเหมือนเดิม เป็นเจคนเดิม”
เจนยุทธพยักหน้า เขาเข้าใจสิ่งที่ฆาเบียร์ต้องการสื่อแล้ว
“แต่ผมว่าผมแต่งตัวดีขึ้น รู้จักกาละเทศะมากขึ้น แต่ก็อย่างว่าแหละ นั่นเป็นเพราะผมอยากทำตัวให้สมกับคุณ ผมอยากยืนเคียงข้างคุณโดยที่ไม่ทำให้คุณได้อาย”
“โธ่เอ๊ย เจ อย่าคิดมากเรื่องนี้อยู่อีกเลยน่า นายไม่เคยทำให้ฉันอายนะ”
คนตัวโตใช้หลังมือไล้แก้มแดงระเรื่อที่ป่องน้อยๆ ของคนรักด้วยความเอ็นดู
“งั้นผมถามต่ออีกนิดได้ป่าว?”
เจหัวเราะแหะๆ
“เอ้า ถามมา”
“คุณอยู่แถวซานฟรานฯ เคยไป Pride Parade กับเขาป่าว?”
คนตัวโตอึ้งเล็กน้อยเมื่อเจถามถึงงานพาเหรดของชาว LGBT ที่ซาน ฟรานซิสโก
“ผมเคยแปลสารคดี เขาว่ามันเป็นงานพาเหรดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ตอนแปล ผมดูๆ แล้วก็ว่ามันน่าสนุกดี”
จากที่เขาแปล เทศกาลที่เรียกชื่อว่า San Francisco Pride นี้จัดขึ้นมา 47 ครั้งแล้วและในปีนี้จะเป็นครั้งที่ 48 โดยจะจัดขึ้นในวันเสาร์และอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน มีผู้เข้าร่วมเทศกาลนี้มากมาย โดยเฉพาะในเช้าถึงบ่ายวันอาทิตย์ซึ่งจะเป็นการเดินพาเหรดของกลุ่ม LGBT และผู้สนับสนุนหลายร้อยกลุ่ม มันดึงดูดผู้เข้าร่วมและผู้ชมนับแสนคนในแต่ละปี
“ว่าไง คุณเคยไปกับเขาหรือเปล่า?”
“ฉันก็ไปดูอยู่บ่อยๆ นะ”
คนตัวโตอ้อมแอ้มตอบ
“ไม่เอาน่า คุณก็รู้ว่าผมหมายถึงอะไร”
ฆาเบียร์หน้าแดงซ่าน เจหมายถึงเขาเคยไปเดินขบวนด้วยหรือไม่ เจยืมไอแพดของคนตัวโตมาเปิดๆ ดู ภาพงานไพรด์ปีที่แล้ว ฆาบี้มองนัยน์ตาแป๋วที่จ้องหน้าเขาเป๋ง เขาถอนหายใจ
“ก็ เคยไปเดินครั้งหนึ่งน่ะ”
โดยปกติแล้ว เหล่าบริษัทไอทีในซิลิคอน วัลเลย์มักจะส่งขบวนพาเหรดเข้าร่วมโดยมีเหล่าพนักงานซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศรวมทั้งผู้ที่สนับสนุนกลุ่ม LGBT เป็นผู้ร่วมขบวน บริษัทของเขาก็ส่งขบวนพาเหรดเข้าร่วมอยู่เนืองๆ ในปีนั้นเขาที่ยังอยู่ในฐานะโปรแกรมเมอร์ของบริษัทเกิดนึกสนุกและได้เข้าไปร่วมเดินขบวนกับเขาด้วย
“แล้วคุณแต่งตัวไงอ่ะ? แล้วขบวนของบริษัทคุณเป็นแบบไหน?”
เจถามอย่างตื่นเต้น
“อืมม์ ขบวนของบริษัทเราก็มีพวกพนักงานใส่เสื้อยืดบรฺิษัทที่ทำขึ้นพิเศษ มีติดธงสีรุ้ง ถือป้ายรณรงค์เรื่องความเท่าเทียมทางเพศ หรือใครอยากแต่งอะไรหวือหวาก็ตามใจ เรามีรถแห่ด้วย ไม่ใหญ่หรอก แต่ทำเป็นเหมือนชายหาด มีต้นมะพร้าว มีเตียงชายหาด มีพนักงานพวกที่แต่งแดร็กไปเต้นฮูล่า หรือใส่บิกินี่นอนริมหาด อะไรแบบนั้นเพื่อสื่อถึงความเป็นบริษัทที่ทำเว็บไซต์ด้านการท่องเที่ยว ด้านล่างเราก็มีพวกพนักงานพวกละตินหรือบราซิเลี่ยนแต่งตัวแบบคาร์นิวาล พวกนี้ก็เดินไปเต้นไป ก็แค่นี้แหละจ้ะ”
“ชิ ทำเป็นเลี่ยงไม่ตอบนะ แล้วตัวคุณล่ะ ฆาบี้ แต่งตัวยังไง? ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะใส่แค่เสื้อยืดธรรมดา แต่ถ้าคุณไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรนะ”
คนตัวโตถอนหายใจพรืด เขาตัดสินใจตอบไป
“ฉันก็ไปทั้งที่หัวกระเซิงใส่แว่นหนาเตอะเหมือนในรูปที่เจเคยเห็นนั่นแหละ”
ฆาเบียร์พูดถึงคราบของเขาในตอนที่ยังเป็น Tech guy
“ว้า จืดชืดแย่”
เจนยุทธมีทีท่าผิดหวัง ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ
“แต่เจจ๊ะ นอกจากแว่นตาแล้ว ของที่ติดตัวฉันวันนั้นมีแค่กระเป๋าแล็บท็อป รองเท้าผ้าใบ และกางเกงว่ายน้ำสปีโดสีฟ้าสดที่เป็นสีของบริษัทนะ”
เจทำตาโต ฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม เขาในตอนนั้นเป็นช่วงที่มั่นใจในรูปร่างที่บ่มเพาะมาอย่างงดงามของตนเองที่สุดแล้ว เขาบอกเจว่าหุ่นเขาในตอนนั้นฟิตกว่าตอนนี้มาก อกของเขากว้างและมีกล้ามอกใหญ่สวยงาม ไหล่ที่ตั้งตรงผึ่งผาย กล้ามแขนเป็นลูกๆ
“กล้ามฉันตอนนั้นชัดกว่าตอนนี้อีกนะ ช่วงเอวก็หนากว่านี้ แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้เพาะมันขนาดนั้นแล้ว”
เจตาเหลือก ในตอนนี้เขาก็ว่าฆาเบียร์หุ่นงามกล้ามสวยมากแล้ว ในตอนนั้นเขาจะบึ้กขนาดไหนเชียว
“แต่ผมว่าหุ่นคุณขนาดตอนนี้กำลังสวยแล้วล่ะ ถ้าล่ำไปกว่านี้ก็อาร์โนลด์แล้วคุณ”
เจพูดถึงคนเหล็กอย่างอาร์โนลด์ ชวาเซเนกเกอร์
“โอ๊ย ไม่ๆ ยังอีกห่าง”
ฆาเบียร์เล่าต่อว่าเขายังใช้สีเขียนอกตัวเองว่า Hunky Geek เจพยักหน้าหงึกหงัก
“มีช่างภาพถ่ายรูปฉันไปลงเว็บด้วยนะ จำไม่ได้ว่า Getty หรือเปล่า”
ฆาเบียร์เอาไอแพดของเขามาหารูปดู
“เอ้า เจอละ”
เจรับมาดู เขาหน้าแดงซ่านเมื่อเห็นฆาเบียร์ในวัยยี่สิบกลางๆ รูปร่างของเขาในตอนนั้นงามสมบูรณ์อย่างที่อวดไว้จริงๆ ผิวของเขาก็ดูมีสีแทนกว่าตอนนี้ แว่นกรอบดำที่ดูหนาเตอะ ผมยาวรุงรังไม่ค่อยเป็นทรงที่ถูกรวบเอาไว้หลวมๆ ที่ด้านหลังไม่อาจซ่อนความคมเข้มของหน้าตาของคนตัวโตไปได้ หนวดเคราที่ขึ้นเขียวครึ้มยิ่งเน้นสันกรามและโหนกแก้มให้หน้าตาที่ดูอ่อนเยาว์ของเขานั้นดูสมชาย เจกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่เมื่อเห็นแนวรูปตัววีและไรขนสีน้ำตาลที่นำลงไปสู่กางเกงสปีโดตัวน้อยที่แทบจะซ่อนพัสดุของเขาไม่มิด
“แม่ง น่าฟัดชิบ”
เจเผลออุทานออกมาเป็นภาษาไทย คนตัวโตยิ้มกริ่ม เขาไม่เข้าใจความหมายของมัน แต่เสียงของมันคล้ายๆ คำในภาษาอังกฤษ เขาเดาเอาเองว่าความหมายก็คงใกล้ๆ กัน เขาเลื่อนๆ ภาพที่หน้าจอให้เจดูเพิ่ม
“มีหลายรูปเหมือนกันนะ”
เจดูอีกภาพหนึ่งซึ่งเป็นภาพด้านหลังของคนรัก แผ่นหลังใหญ่หนาเต็มไปด้วยกล้ามเป็นมัดๆ นั้นน่าอิงแอบแนบซบนัก หากก้นแน่นๆ ของเจ้าตัวถูกกระเป๋าคอมที่คนตัวโตสะพายอยู่บังไว้ เจ้าตัวเองก็เหมือนจะรู้ตัวว่าเป็นเป้าสายตาคน และภูมิใจในเรือนร่างของตัวเอง ในภาพนั้นเขากำลังยืนเท้าสะเอวเบ่งกล้ามเหมือนพวกนักกล้ามนิยมทำเพื่ออวดความงามของร่างกาย
“แล้วทำไมต้องสะพายกระเป๋าคอมด้วยอ่ะ?”
“ก็จะได้เน้นไง ว่าฉันเป็นพวกโปรแกรมเมอร์ แต่ในนั้นไม่ได้ใส่แล็ปท็อปไว้จริงๆ หรอกนะ”
“แต่มีถุงยางติดไว้เหมือนเดิม?”
เจถามยิ้มๆ คนตัวโตหน้าแดงก่ำ เจหัวเราะเบาๆ แล้วจุ๊บปากคนรัก
“เข้าใจน่า เตรียมพร้อมไว้ดีกว่า ใช่ไหม?”
เจถามต่อ
“แล้วคุณไปแค่ปีนั้นปีเดียวเหรอ?”
“ใช่จ้ะ คือมันร้อนมาก กว่าจะเดินครบฉันงี้แทบแย่ ก็เลยไปครั้งเดียวพอ อีกอย่าง ไม่นานหลังจากนั้นพ่อแม่ฉันก็เสีย ฉันเลยต้องขึ้นมารับตำแหน่ง แถมควบตำแหน่งประชาสัมพันธ์อีก มันเป็นตำแหน่งที่คนต้องรู้จักหน้าตาแล้ว ก็เลยไม่ได้ไปอีก”
เจกุมมือคนรักบีบกระชับแน่นเมื่อเขาพูดถึงพ่อแม่ที่เสียไป ฆาเบียร์บีบตอบเพื่อเป็นการบอกว่าเขาไม่เป็นไร เขาบอกเจว่าบางทีเขาก็ยังคิดถึงวันเวลาสบายๆ ในฐานะพนักงานไอที
“เอ้า อยากรู้อะไรอีกเรื่องงานไพรด์”
“แล้วตอนคุณไปเป็นคนดู คุณต้องแต่งตัวอะไรไหมอ่ะ?”
ฆาเบียร์สั่นหัว เขาบอกว่าเขาก็แต่งตัวธรรมดา อาจจะแต่งจัดกว่าทุกทีหน่อยเพื่อให้เป็นสีสัน
“มีปีหนึ่งฉันรู้สึกพลาดมาก มาดูรูปที่เพื่อนๆ ที่ไปด้วยถ่ายไว้ทีไรฉันก็อายทุกที”
เขาบอกว่ามันเป็นช่วงปลายยุค 90 เขาก็จำไม่ได้แน่นอนว่าเมื่อไหร่ จำได้แค่ว่าปีนั้นเขาปิดเทอมและกลับมาที่พาโล อัลโตพร้อมมีเพื่อนๆ บางคนตามมาเที่ยวด้วย
“ถ้าจำไม่ผิด น่าจะช่วงปิดเทอมปีสองก่อนเจอนพ เพราะเหมือนว่าจอชจะมาด้วย แล้วก็มีเพื่อนที่เป็นเกย์เหมือนกันมาอีกสองสามคน พวกเขาแต่ละคนแต่งตัวจัดๆ กันทั้งนั้น ฉันก็ยอมแพ้ไม่ได้”
ในตอนนั้นเขาคิดว่าเขาแต่งตัวเท่สุดๆ แล้ว คือกางเกงทหารและรองเท้าบู้ท ส่วนเสื้อของเขานั้นเป็นเสื้อตาข่ายถี่ๆ แขนยาวสีดำ เสื้อซีทรูของเขานั้นแนบเนื้อไปทั้งตัวเน้นให้เห็นกล้ามเนื้อชัดเจน
“คือ ในตอนนั้นฉันก็ว่ามันโอเคเพราะใครๆ เขาก็ใส่กัน ส่วนจอช รายนั้นใส่กางเกงยีนส์สั้นแทบปิดก้นไม่มิดกับเสื้อยืดขาวบาง คนอื่นๆ ก็แรงไม่แพ้กัน ฉันก็เลยคิดว่าตัวเองไม่ได้แรงเกินไป แต่พอกลับมาดูรูปทีหลังแล้วก็คิดว่าใส่ไปได้ไงวะ?”
“โอ๊ย ผมอยากเห็นจัง”
“อย่าเลยเจ ฉันเองยังไม่อยากเห็นเลย”
คนตัวโตส่ายหัวให้กับความพลาดครั้งหนึ่งในชีวิต นั่นเป็นงานไพรด์ครั้งสุดท้ายในชีวิตวัยรุ่นของเขา ปีถัดมา เขาอกหักอย่างแรงจากนพและไม่มีกะจิตกะใจจะไปงาน อีกปีหนึ่ง เขาก็จบการศึกษาและเริ่มไปฝึกงานกับหลายๆ บริษัทที่พ่อเขาติดต่อไว้ให้ เมื่อถึงวัยทำงาน นอกจากครั้งที่ไปเดินขบวนครั้งนั้นแล้ว ครั้งอื่นๆ ที่เขาไปในฐานะคนดู เขาเน้นแต่งตัวเรียบๆ แต่ดูดีมีสไตล์ไปมากกว่า
“แต่ฉันก็ไม่ได้ไปมาหลายปีแล้วนะ งานยุ่งน่ะ แล้วเจอยากไปไหม? ถ้าอยากไป ปีนี้อาจจะไม่ทัน แต่ฉันพาไปปีหน้าได้นะ หรืออยากไปเดินกับพวกที่บริษัทก็ได้”
คนตัวโตพูดยิ้มๆ เจครุ่นคิด
“อืมม์ ไม่เป็นไรคุณ ถ้าได้ไปเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ ยังมีเวลาคิดอีกหลายปี”
เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์เองก็ยิ้มกลับคืนให้คนตัวเล็กของเขา
“ใช่จ้ะ เรายังมีเวลาคิดกันอีกหลายปีนะ”
ฆาเบียร์หอมแก้มของคนที่นอนร่วมหมอนกับเขา
“เอ้า ถึงตานายมั่ง ฉันอยากรู้ว่าทำไมนายถึงเลิกเรียนคอมแล้วหันไปเรียนด้านการโรงแรมแทน มันผิดกันลับเลยนะ”
“อืมม์ อย่างที่บอก ตอนแรกที่อยากเรียนคอมน่ะ เพราะผมคิดว่าผมก็ใช้คอมเยอะ เคยเรียนการใช้โปรแกรมต่างๆ มาก็เยอะ แม่ส่งเรียนพิเศษน่ะครับ แล้วช่วงนั้นกระแสวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ก็กำลังมาแรง แถมตอนที่โรงเรียนเขาจัดให้พวกรุ่นพี่มาแนะแนวเรียนต่อให้รุ่นน้อง พวกพี่ที่จบวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์แต่ละคนก็ช่างดูเจ๋งและเงินเดือนสูงๆ กันทั้งนั้น ผมก็เลยสนใจ...”
คำว่าโปรแกรมเมอร์นั้นช่างฟังดูเท่สำหรับหนุ่มน้อยวัย 17 แต่ที่ไหนได้ เมื่อเข้าไปเรียนจริงๆ เจจึงรู้ว่ามันไม่เหมาะกับเขาเลยสักนิด
“ไอ้เรียนการใช้งานน่ะ มันก็อย่างหนึ่ง แต่พอมาเรียนแตะๆ เรื่องการเขียนโปรแกรม ภาษาซี เขียนโค้ด เขียนอัลกอริธึ่มเท่านั้นแหละ ผมรู้ทันทีเลยว่ามันไม่ใช่สำหรับผมเลยสักนิด ผมเหมาะกับเป็นยูสเซอร์มากกว่าโปรแกรมเมอร์ครับ”
เจตัดสินใจเลิกตั้งเมื่อจบปีหนึ่งเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาจนเกินไป
“แล้วนายมาสนใจสาขาการโรงแรมได้ยังไงล่ะ?”
“คือตอนนั้นผมก็คิดว่าจะเบนสายมาบริหาร แต่จะเป็นบริหารธุรกิจเฉยๆ มันก็น่าจะมีคู่แข่งในการทำงานเยอะ ผมก็เลยอยากเรียนอะไรที่มันเฉพาะทางหน่อย แล้วตอนนั้นผมก็ได้คุยกับเพื่อนที่โรงเรียนที่เขาเข้าไปเรียนการโรงแรมที่ม.เอกชนนี่ก่อนแล้วปีนึง ผมก็เลยคิดว่ามันน่าสนใจดี อย่างน้อยถ้าจบมาแล้วไม่ไปทำงานสาขานั้น มันก็ยังมีพื้นฐานด้านบริหารธุรกิจด้วยอยู่ดี ก็เลยสมัครเรียนไป...”
เจถอนหายใจเฮือกใหญ่
“...จะว่าไปจริงๆ ผมชอบนะ ตอนเรียนทฤษฎี คะแนนผมดีมากๆ เลย จะมีติดนิดหน่อยก็ตรงวิชาไฟแนนซ์ แต่นอกนั้นคะแนนออกมาโอเคหมด วิชาครัวหรือการจัดการบาร์ หรือวิชาเกี่ยวกับการจัดการการท่องเที่ยว สายการบินอะไรพวกนี้ก็คะแนนดี มาเสียแค่ตรงตอนฝึกงานนั่นแหละ”
เมื่อเริ่มฝึกงาน เจรู้ทันทีว่าเขามีความอดทนต่ำเกินไปสำหรับงานโรงแรม เขาชอบการบริการก็จริง แต่เขาทนได้แค่กับแขกที่ปฏิบัติต่อเขาดีเท่านั้น
“พอเจอแขกที่ทำกับเราเหมือนเราเป็นคนใช้หรือคนรองมือรองตีนปุ๊บ ผมจะปรี๊ดเลยทุกครั้ง สำหรับผม ผมถือว่าผมจะสุภาพและมีมารยาทกับคนที่ปฏิบัติตัวคู่ควรกับมันเท่านั้น ซึ่งมันไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องสำหรับคนทำงานสายบริการเลย แต่ผมก็อดไม่ได้จริงๆ”
เจบอกว่าเขาพอเรียนจบ เขาเคยลองสมัครทำงานในโรงแรมห้าดาวในเชียงใหม่ แต่ทำได้อยู่ไม่นานก็ตัดสินใจลาออก
“คือนอกจากเรื่องแขกแล้ว มันยังมีเรื่องการเมืองภายในแบ่งพรรคแบ่งพวก ผมไปไม่เป็นเลยคุณเอ๊ย สุดท้ายก็เลยออกมาเคว้งจนได้พี่นพเขาป้อนงานแปลให้นี่แหละ”
เจบอกว่านี่คือสิ่งหนึ่งที่เขายังรู้สึกผิดต่อแม่อยู่ทุกวันนี้ มันเหมือนเขาเอาเงินไปละลายน้ำเปล่าๆ ตั้งหลายแสน
“แต่อย่างน้อยเจก็ได้ความรู้ติดตัวไม่ใช่เหรอ? ทั้งเรื่องการครัว เรื่องเครื่องดื่ม การจัดการนั่นนี่ และที่สำคัญนายได้มารยาทสังคมมา ฉันถึงบอกไงเจ ว่านายไม่เคยทำให้ฉันได้อายเลย ต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ นายทำตัวได้ดีไม่มีที่ติเลยนะ เจนยุทธ”
ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ บางทีเขายังรู้สึกว่าเจแม่นมารยาทมากกว่าเขาเสียอีก เจครุ่นคิดและพยักหน้า นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกดีใจที่ได้ร่ำเรียนสายนี้มา เขายังได้ใช้ความรู้เกี่ยวกับด้านอาหารที่ได้เรียนรู้มาในการเขียนเรื่องราวลงในบล็อกตามที่ได้รับมอบหมายมา
“แต่ที่ผมเสียดายคือ ผมเคยลงเรียนภาษาจีนกลางด้วย แต่มันยากจัดผมเลยดร็อปทิ้ง เสียดายว่าน่าจะตั้งใจเรียนอีกสักหน่อย ไม่น่าด่วนทิ้งเลย”
เขามารู้ซึ้งถึงความสำคัญของมันเอาตอนกองทัพคนจีนบุกเชียงใหม่กับตอนมาคบหากับคนตัวโตที่พูดจีนได้คล่องทั้งกวางตุ้งและแมนดารินคนนี้
“ผมไปหาเรียนที่เรียนภาษาจีนกวางตุ้งซะดีไหมเนี่ย?”
เจเปรยออกมาเบาๆ
“ไม่ต้องก็ได้มั้ง ที่ฮ่องกงคนพูดอังกฤษได้ แถมเวลาไปไหนมาไหนนายก็ไปกับฉันไม่ก็ริคกี้ ไม่ต้องเรียนก็ได้น่า”
“หึ ร้อนตัวกลัวผมฟังเวลาคุณงุบงิบพูดอะไรเป็นกวางตุ้งออกล่ะสิ”
เจหัวเราะหึๆ คนตัวโตยิ้มอายๆ เจคงยังไม่หายเจ็บใจเรื่องที่เขาขอน้องคอนเสียจบนคลับเลาจ์ที่โซฟิเทลช่วยหลอกเรื่องโรบุชง
“ไว้ฉันจะค่อยๆ สอนประโยคง่ายๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันให้แล้วกันนะ”
เจพยักหน้ารับคำ
“แล้วคุณล่ะ ฆาบี้ ผมรู้ว่าคุณเดินทางสายคอมมาตั้งแต่เกิดแล้ว แต่คุณเคยคิดถึงอาชีพอื่นไหม? เคยคิดไหมว่าถ้าไม่เป็นโปรแกรมเมอร์กับทำงานบริหารแบบทุกวันนี้ คุณอยากเป็นอะไร?”
ฆาเบียร์ครุ่นคิดนิดหนึ่ง
“ฉันว่าความฝันของฉันก็คงเหมือนกับเด็กผู้ชายชาวละตินอเมริกาคนอื่นๆ น่ะ คือเป็นนักซอคเกอร์อาชีพ”
คนตัวโตเรียกฟุตบอลว่า soccer ตามความเคยชิน
“เออ จริงสิ คุณเคยเป็นนักฟุตบอล เอ่อ ซอคเกอร์ของโรงเรียนด้วยนี่นา”
“เจชินเรียกฟุตบอลก็เรียกฟุตบอลไปเถอะ ฉันเข้าใจ…”
คนตัวโตลูบหัวคนรักที่นอนจ้องหน้าเขาบนหมอนใบเดียวกัน
“แล้วก็ ใช่จ้ะ ฉันเคยเล่นทีมโรงเรียน อันที่จริงตอนช่วงก่อนเรียนจบก็มีพวกแมวมองจากทีมของม. S มาทาบทามฉันไว้แล้วด้วย คือถ้าไม่เกิดเรื่องอเล็กซ์ขึ้นเสียก่อน ฉันก็เดินเข้าม. S สบายๆ โดยมีทั้งทุนกีฬาและทุนของทางภาควิชา แล้วเผลอๆ ตอนแข่งซอคเกอร์ในระดับมหาวิทยาลัย แล้วถ้าเกิดฉันเล่นดีเตะตาพวกแมวมองทีมชาติหรือทีมอาชีพขึ้นมา ก็อาจมีสิทธิ์ได้เซ็นสัญญาก็ได้ ตอนนั้นเมเจอร์ลีกก็กำลังเริ่มตั้งด้วย เขากำลังหานักกีฬากัน แต่สุดท้ายก็ อย่างที่เห็นนั่นแหละ…”
ฆาเบียร์ถอนหายใจ เขาพูดกับเจว่าเมื่อมานึกๆ ดู เรื่องของอเล็กซ์ส่งผลกับชีวิตของเขามากจริงๆ
“ใช่ ส่งผลกับชีวิตผมด้วย ฆาบี้”
เจนยุทธพูด เขาจับมือคนรักทั้งสองข้างขึ้นมาจูบ
“ถ้าคุณไม่ไปเจออเล็กซ์นอกใจในวันนั้น คณก็คงไม่หนีไปเรียนที่มินเนโซต้า ก็ไม่ได้เจอพี่นพ ไม่ได้รักและไปทำอะไรแก ไม่ได้รู้สึกผิดและอยากติดต่อกันใหม่ ไม่ได้หาแกเจอและติดต่อไป ผมเองก็คงจะไม่ได้โกรธคุณ ไม่ได้เจอและทำอะไรไปในวันนั้น เราก็คงกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันและกันและอาศัยอยู่คนละซีกโลกโดยไม่รู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายเลยสักนิด”
ฆาเบียร์ยิ้มกว้าง เจพูดถูก ความเจ็บช้ำน้ำใจเพราะการถูกคนรักหักหลังกลายมาเป็นสิ่งที่ผลักดันเขามาให้เจอคนที่เขาต้องการที่สุดในชีวิตคนนี้ ฆาเบียร์ประคองใบหน้าของสุดที่รักที่อยู่เบื้องหน้าและป้อนจุมพิตอันอ่อนหวานให้ เจจูบตอบ พวกเขาแลกจูบกันอย่างอ้อยอิ่งจนเจเป็นฝ่ายดันตัวออก
“พอก่อนๆ คุณ ยังเล่าไม่จบเลยนะ เรื่องฟุตบอลอ่ะ”
ฆาเบียร์ทำท่างอแงอยากพลอดรักต่อ แต่สุดท้ายก็ยอมเล่าเรื่องต่อไป
“พอฉันไปเข้าเรียนที่วิทยาลัยในมินเนโซต้า ฉันก็ไปลองคัดตัวเข้าทีมซอคเกอร์ของวิทยาลัย ฉันก็คัดผ่านนะ แต่ร่างกายฉันมันไม่เหมือนเดิมแล้ว คือ หลังจากเสเพลมาปีหนึ่ง ติดทั้งเหล้าทั้งยากล่อมประสาท มันส่งผลพอสมควร การเคลื่อนไหวของฉันมันไม่เหมือนเดิม ฉันเองก็หมดไฟด้วย แล้วระดับของทีมทางนั้นมันก็สู้ทีมทางแคลิฟอร์เนียที่เป็นชุมชนคนละตินไม่ได้ มันเลยทำให้ฉันไม่สนุกกับการแข่งอีก ก็เลยออกจากทีมตอนขึ้นปีสอง”
ฆาเบียร์จบเส้นทางการเป็นนักกีฬาของเขาไว้ที่ตรงนั้น เขาบอกเจว่าเขากับพวกหนุ่มละตินที่ไปเรียนที่รัฐอันหนาวเย็นนั้นจะรวมตัวไปเตะบอลกันบ่อยครั้ง แต่ก็เพื่อสันทนาการเท่านั้น
“ผมก็เหมือนกัน ตอนม.ปลาย ผมเตะบอลกับเพื่อนเอามันอย่างเดียว เล่นบอลโกลหนูตอนหลังเลิกเรียน คลุกฝุ่นกลับบ้านทุกวันน่ะคุณ”
เจพูดไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงความสนุกของชีวิตสมัยมัธยมปลาย เขาบอกว่าพอเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เขาก็โดนลากให้ไปลงแข่งบอลของภาคบ้างของคณะบ้างด้วยความที่เขาคล่องตัวและวิ่งเร็ว
“คงเพราะผมเคยอ้วนมาก่อนอ่ะ ตอนไดเอ็ทผมก็วิ่งเยอะ ออกกำลังกายเยอะ มันก็เลยทำให้คล่องตัว ไอ้พวกเพื่อนสมัยมัธยมมันก็แซวเหมือนกันว่ามันเหมือนผมใส่ตุ้มน้ำหนักถ่วงมานาน พอสลัดน้ำหนักพวกนั้นทิ้งได้มันก็ทำให้ผมเคลื่อนที่ได้คล่องแคล่วกว่าคนอื่น ผมก็ว่าอาจจะจริงของพวกมัน”
ฆาเบียร์ก็ต้องส่ายหัวให้กับหลักอนาโตมั่วของเจอีกครั้ง
“แต่ไอ้คนที่เตะบอลเก่งน่ะคือไอ้ปรินซ์ครับ ซันซันเคยเล่าให้ผมฟังว่าไอ้นี่มันนักบอลโรงเรียน แถมติดตัวเขตด้วยมั้ง แต่เหมือนว่าช่วงม.ปลายมันจะเข่าพัง หรือเอ็นฉีกอะไรนี่แหละ ก็เลยจบกัน แต่ตอนอยู่ม. มันก็ลงเล่นก๊อกๆ แก๊กๆ ให้ทีมของคณะนะ”
“ปรินซ์เล่นตำแหน่งไหนเหรอ?”
คนตัวโตถามอย่างสนใจ
“กองหลังครับ สำหรับคนไทย หุ่นอย่างมันเอาไปเป็นกำแพงดีที่สุด”
ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำ ปรินซ์นั้นสูงไล่เลี่ยกับเขาคือประมาณ 180 เศษและตัวใหญ่หนาพอๆ กัน
“แล้วคุณล่ะ ฆาบี้ คุณเล่นตำแหน่งไหน?”
“ฉันเป็นสไตรเกอร์ ในตอนนั้นฉันเพรียวกว่านี้และคล่องตัว ฉันมาเพาะกล้ามเอาเมื่อตอนเลิกเล่นซอคเกอร์แล้วน่ะ”
คนตัวโตหัวเราะเบาๆ เมื่อเจถามว่าเขาเล่นฟุตบอลเก่งขนาดไหน
“พูดไปก็จะหาว่าอวด เอาเป็นว่าฉันเป็นคนทำประตูสูงสุดประจำลีกที่ทีมโรงเรียนฉันเล่นอยู่สองปีซ้อนแล้วกัน”
“ขนาดนั้นเชียว?”
เจถามด้วยความทึ่ง
“งั้นกลับไปไทยคราวหน้า ผมลากคุณไปเตะบอลด้วยดีกว่า นานๆ ที ผมกับพวกเพื่อนสมัยเรียนก็นัดเตะกันที่สนามหญ้าเทียม ผมยังไม่เคยชวนคุณไปเลยใช่ไหม?”
ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว
“แต่เจ ฉันไม่ได้ลงสนามมาจะยี่สิบปีแล้วนะ ตั้งแต่จบป.ตรีมาก็ไม่ได้แตะอีกเลย จะให้ไปเล่นเป็นเรื่องเป็นราวอีก ฉันก็คงไม่ไหวแล้ว”
“เห้ย มันไม่ใช่แข่งจริงจังอะไรขนาดนั้นนะคุณ เราแค่รวมตัวกันทีมละ 5-7 คนแล้วไปเช่าสนามหญ้าเทียมที่เปิดกันทั่วเชียงใหม่นี่แหละ ก็แล้วแต่จะกำหนดว่าเล่นกันนานเท่าไหร่ สนามก็เป็นสนามเล็กครับ เหมือนเล่นบอลโกลหนูแต่หน้าตาดูดีกว่าตอนสมัยเป็นเด็กนั่นแหละ”
เจหยิบโทรศัพท์มาเปิดรูปเขาตอนไปเตะบอลกับเพื่อนให้คนตัวโตดู ฆาเบียร์ดูอย่างสนใจ ถ้าสนามเล็กแบบนี้และไม่ได้เล่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาก็น่าจะยังพอไหว
“ดูไปดูมาเหมือนรวมตัวกันกินเหล้ามากกว่ามาเตะบอลนะเจ”
เจนยุทธหน้าแดงเมื่อถูกกระเซ้า จริงอย่างฆาเบียร์ว่า เพื่อนเขาบางคนที่มานั้น เน้นแวะกินเหล้าข้างสนามมากกว่าจะลงมาเตะบอล
“…อย่างไอ้ซันคนนึงล่ะ เป็นโกลประสาอะไร บางทีหันไป อ้าว โกลหาย หลบไปจิบเบียร์กับจ้วงกับแกล้มอยู่ข้างสนามนู่น แต่พอวันไหนมีสาวๆ มานั่งดูด้วยนะ โอ๊ย มันงี้ทำขยันขันแข็ง”
เจหัวเราะเมื่อนึกถึงเพื่อนรัก
“สาวๆ เหรอ?”
“โดยมากในสนามเค้ามีร้านกินดื่มข้างในด้วยไงคุณ บางทีก็มีพวกน้องๆ พริตตี้เชียร์เบียร์น่ารักๆ มาแวะทักทาย ไม่ก็เดินผ่านไปผ่านมา”
“งั้นคราวหน้าถ้านายจะไป ฉันขอตามไปด้วยนะ”
คนตัวโตทำหน้าเคร่งขรึมลงทันที เจหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นสีหน้าของคนรัก เขาจุ๊บแผ่วๆ ที่ปลายคางของฆาเบียร์
“เอาสิครับ ไว้คุณกลับมาคราวหน้าผมจะนัดพวกเพื่อนๆ สมัยเรียนไปเตะบอลกัน ผมจะได้แนะนำคุณให้พวกมันรู้จักด้วยเลย ดีไหม?”
“ถ้านายโอเค ฉันก็โอเคนะ ว่าแต่เพื่อนนายคนอื่นเขาจะรับได้ไหม?”
ฆาเบียร์พูดเสียงแผ่วเบา
“โอ๊ย คุณ ไม่ต้องห่วงหรอก พวกมันได้ยินจากปรินซ์กับซันซันแล้ว ยังถามมายิกๆ กันแล้วว่าเมื่อไหร่ผมจะพาเมียไปแนะนำให้พวกมันรู้จักซักที”
เมียตัวโตของเจหน้าร้อนผ่าว เจยิ้มกริ่ม ที่จริงพวกเพื่อนๆ เขาใช้คำว่าแฟน หากเขาอยากกระเซ้าคนตัวโตของเขาเล่นแค่นั้น
(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)