(ต่อ)
บรรยากาศมหาวิทยาลัยที่กุมภ์เรียน ต่างจากที่เคยเรียนนิดหน่อย ตรงที่คณะนี้เงียบกว่า และต้นไม้น้อยกว่า มหาวิทยาลัยของเขาเต็มไปด้วยต้นไม้เพราะอยู่ต่างจังหวัด แต่ในทุกๆ วันใต้คณะจะเต็มไปด้วยเสียงคุยบางวันก็หนักหน่อยถ้าหากมีใครอุตริเอาสัตว์เลี้ยงมาด้วย สำหรับคณะเกษตรไม่แปลกนักหรอก เพราะนอกจากจะมีคนแล้วยังมีสัตว์อีกด้วย ทั้งเล้าเป็ด เล้าไก่ กระทั่งคอกวัวก็ยังมี
แต่สำหรับคณะนิติศาสตร์มันเงียบและสงบกว่ามาก เสียงพูดคุยกันมีบ้างแต่ไม่ดังนัก นักศึกษาจับเป็นกลุ่มๆ ส่วนใหญ่จะนั่งอ่านหนังสือกัน เสียงเปิดกระดาษสลับกับคุย กุมภ์บอกว่าช่วงนี้ใกล้สอบนักศึกษาเลยอ่านหนังสือหนักขึ้น แต่เขายังไม่เห็นคนที่บอกว่าใกล้สอบจะหยิบหนังสือมาอ่านสักเล่ม
กุมภ์มานั่งบนเก้าอี้หินอ่อนตัวเก่า ตรงนั้นมีนักศึกษาชายนั่งอยู่ก่อนแล้วสองคน แค่เห็นแผ่นหลังเขาก็จำได้ว่าเป็นใคร
“อ้าวมาแล้วเหรอ พี่โหร สวัสดีครับ”
ยังไม่ทันจะได้นั่ง หนึ่งในสองก็หันมาเห็นเสียก่อน เอยทักพร้อมยกมือขึ้นไหว้ทักทาย เขารับไหว้แทบไม่ทัน นึกดีใจที่ได้เห็นสีหน้าสดใสของอีกฝ่าย แสดงว่าผีแม่พิกุลคงไปใช้กรรมแล้วจริงๆ ไม่ได้มากวนใครอีกแล้ว
“สวัสดี สบายดีนะ” เขาทักทายกลับ ซึ่งรชตก็พยักหน้ารัว
“สบายดีพี่ ไม่เจอกันนานเลย หล่อขึ้นปะเนี่ย”
เขาอมยิ้ม ไม่รู้ว่าหล่อขึ้นจริงๆ หรือแค่ให้กำลังใจเท่านั้น
กุมภ์เลือกนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับรชต ซ้ายมือคือพันนาที่กำลังง่วนอยู่กับการโทรศัพท์ ไม่ได้จะคิดแอบฟังแต่คำว่า ‘ไอ้ดื้อ’ มันชวนให้สนใจใช่ยอก และเดาว่าไอ้ดื้อที่พันนาเรียกคือจ้าวจอม ไอ้แสบประจำตำบลแน่นอน พันนาเหลือบมามองที่เขาแล้วรีบกระพุ่มมือไหว้ ยิ้มให้เล็กน้อย ท่าทางจะคุยติดพันถึงขนาดไม่ยอมวางสาย ซึ่งเขาก็ไม่ถือสา พอจะระแคะระคายบ้างอยู่แล้วว่าสองหน่อนี่ไม่ใช่พี่น้องหรือคนรู้จักทั่วไป อาจจะไม่เปิดเผยเท่ากับเขา แต่เชื่อขนมกินได้เลยว่าเกินพี่น้อง
“มาไม่บอกกันเลย ไอ้นี่ก็เก็บเงียบ” รชตต่อว่า แต่ไม่จริงจังนัก
“กูบอกแล้วไหมล่ะ” กุมภ์แย้ง
“เพิ่งบอกตอนแปดโมงเนี่ยนะ” คำประชดของเพื่อนสนิทไม่ได้ทำให้คนถูกว่ายี่หระสักเท่าไร ตรงกันข้ามกลับยกแก้วกาแฟเย็นเฉียบแก้วละร้อยกว่าบาทขึ้นดูดหน้าตาเฉย
กาแฟแก้วนี้ได้มาก่อนจะเดินมาที่คณะ กุมภ์แวะซื้อให้ตัวเองแก้วหนึ่งของเขาอีกแก้ว แค่ยี่ห้อรูปดาวก็รู้แล้วว่ามันแพงแค่ไหน แต่รสชาติก็สมกับราคาของมัน
“ได้ข่าวว่าพี่รับราชการแล้วเหรอ ตอนแรกที่ได้ยินไอ้กุมภ์บอก ผมยังนึกภาพใส่ชุดกากีไม่ออกเลย แต่พอวันนี้เห็นพี่หล่อขึ้นเลยพอจะเห็นภาพบ้างแล้วล่ะ จริงๆ แต่งตัวแบบนี้ก็ดีนะ เหมือนพระเอกหนังสมัยก่อน”
ทำไมเขาถึงไม่ได้รู้สึกดีใจกับคำชมของรชต เพราะมันคล้ายกับว่าเขาเป็นคนยุคโบราณ พอก้มมองเสื้อเชิ้ตสีเข้มสวมทับเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนและรองเท้าผ้าใบ บางทีแฟชั่นของเขามันคงจะตกยุคไปแล้ว
“พูดอะไรของมึงวะ พระเอกหนังสมัยก่อน” พันนาส่ายหัว พลางสอดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง “แต่พี่หล่อขึ้นนะ ราศีจับแล้ว”
เขาส่ายหัวให้กับคำวิจารณ์ของแต่ละคน ร่วมครึ่งปีแล้วกระมังที่ทุกคนผ่านเหตุการณ์เลวร้ายเกือบเอาชีวิตไม่รอดมา แต่ตอนนี้ร่องรอยพวกนั้นแทบไม่มีให้เห็น กลายเป็นนักศึกษาธรรมดา แต่เขากลับรู้สึกดีมากกว่าที่ได้เห็นทุกคนได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง
“แล้วนี่ชาร์ลกับคะนิ้งไปไหนซะล่ะ”
“เดี๋ยวก็มาพี่ เออ แล้วนี่พี่จะมาอยู่กี่วัน ไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อไหม ผมยังไม่เคยตอบแทนพี่จริงๆ จังๆ สักที” รชตเอ่ยปากชวน
“มะรืนก็กลับแล้วล่ะ ลางานได้ไม่กี่วัน”
“งั้นเย็นนี้ไปกินข้าวบ้านผมกัน เอาไอ้กุมภ์ไปด้วยก็ได้นะ” รชตพูดเองเออเองเสร็จสรรพ แต่ไม่มีใครค้าน ยกเว้นแค่พันนา
“เออ กูไปไม่ได้ว่ะ เย็นนี้มีประชุมสงสัยพี่เก๋ใช้ให้กูดูเรื่องภาพงานกีฬาสีอีก ใช้ยันลูกบวชอ่ะกูว่า” พันนาบ่นพลางส่ายหัวคล้ายกับจะระอาเต็มที
พันนามีกิจกรรมและความสามารถพิเศษที่ค่อนข้างจะขัดแย้งกับการเรียน นั่นคือการถ่ายภาพ แม้จะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรพันนาถึงได้ชอบ แต่ฝีมือที่เคยเห็นเกือบจะเทียบเท่ามืออาชีพได้เลย ไม่แปลกถ้าหากจะถูกเรียกใช้เป็นประจำ
“ไม่เป็นไร ไม่มีมึงกูกินอิ่มขึ้นอีกเท่าตัว” รชตพูดยิ้มๆ
ไม่นานชาร์ลกับคะนิ้งก็มาถึง ทุกคนดูดีใจที่ได้เจอเขา แล้วสารพัดคำถามก็ระดมใส่ การพูดคุยเป็นไปอย่างเป็นกันเองและผ่อนคลาย ยิ่งได้มาเห็นเด็กพวกนี้ได้กลับมาใช้ชีวิตปกติอีกครั้งเขาก็ยิ่งดีใจที่วันนั้นติดสินใจรับงานเสี่ยงตาย มิตรภาพและชีวิตมันมีคุณค่ามากอย่างที่เราคิดไม่ถึง…
พันนาถอนหายใจยาวหลังจากรุ่นพี่ปล่อยออกจากห้องประชุม แขน ขาและคอปวดร้าวไปหมด ไม่น่าเชื่อเลยว่าการเป็นแค่ช่างภาพประจำคณะจะเหนื่อยขนาดนี้ ถึงจะมีทั้งรุ่นพี่อีกสี่ห้าคนที่ชอบถ่ายรูปเหมือนกันมาช่วย แต่ต้องยอมรับว่างานหนักมันอยู่ที่เขาทั้งหมด ทว่ามันคือความชอบ เขาไม่เคยบ่น เขารักที่จะถือกล้องตัวใหญ่ไปไหนต่อไหน แม้จะเรียนนิติศาสตร์ก็ตาม
ท้องฟ้านอกห้องประชุมกลายเป็นสีดำไปเสียแล้ว เพื่อนร่วมก๊วนหนีกลับบ้านไปตั้งแต่หมดคาบเรียนเพราะต้องพาโหรไปกินข้าวเย็นกันที่บ้านรชต เหลือแค่เขานี่แหล่ะที่ต้องเข้าร่วมประชุมกับรุ่นพี่เพราะใกล้งานกีฬาแล้ว
กิจกรรมโอเพ่นเฮาส์คราวก่อน ได้ผลตอบรับดีมากทีเดียว เขาไม่อยากจะยกเครดิตให้ชาร์ลสักเท่าไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพราะหน้าตาโดดเด่นของมันนี่แหล่ะที่ดึงดูดสาวๆ วัยมัธยมได้ และอีกหนึ่งคนที่เขาคิดไม่ถึงว่าจะเรียกคนได้คือกุมภ์
ถึงกุมภ์จะไม่ได้หล่อเข้ม สูงใหญ่ เหมือนชาร์ล แต่ก็มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง รูปร่างสูงโปร่ง ผิวพรรณขาวสะอาด หน้าตาเป็นมิตรดูเป็นกันเอง ชวนให้เข้าถึงง่ายเสียยิ่งกว่าชาร์ลเสียอีก ดังนั้นหลังจากจบกิจกรรม รูปของกุมภ์ก็ไปปรากฏในเพจคนดังของมหาวิทยาลัยและหนึ่งในนั้นคือฝีมือการถ่ายของเขาเอง
พันนาเดินหมุนคอไล่อาการเมื่อยขบ โชคดีที่พ่อกับแม่ยอมซื้อรถยนต์เอาไว้ให้ใช้ ไม่อย่างนั้นเขาต้องแบกสังขารกลับห้องพักโดยรถไฟฟ้ายิ่งเพิ่มความเหนื่อยมากขึ้นไปอีก และไม่รู้ว่ามหาวิทยาลัยจะประหยัดงบไปถึงไหน ไฟถึงสว่างไม่ทั่วถึงแบบนี้ ยิ่งที่จอดรถยิ่งมืดกว่าบริเวณอื่น แถมตอนนี้มีรถจอดอยู่แค่ไม่กี่คันเท่านั้น เขาไม่ได้กลัวเรื่องผีสางนางไม้ ยอมรับเลยว่าตั้งแต่เจอพิกุล เขาแทบไม่กังวลว่าจะเจอผีอีกแล้ว แต่ที่กลัวคือคนมากกว่า แถมเขายังไม่รู้อีกว่าเผลอไปสร้างศัตรูที่ไหนบ้างหรือเปล่า ตั้งแต่ปฏิเสธสาวๆ ที่เข้ามาสารภาพรักไปหลายราย ทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่คละกัน
เขาไม่อยากยอมรับหรอกว่า ความรู้สึกที่มีต่อความรักมันเปลี่ยนไป บอกไม่ได้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไร แต่ไอ้ที่เรียกว่าดอกไม้ไฟในหัวใจตอนที่เห็นสาวๆ สวยๆ หุ่นสะบึมมันไม่มีอีกแล้ว มั่นใจว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์มาจากการได้ศึกษาพระธรรม และอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์จากไอ้เด็กตัวแสบวัยหัวเกรียน
ความกวน ยียวน แต่จริงใจของจ้าวจอมทำให้เขาเลิกคิดเรื่องมีแฟนไปโดยปริยาย ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้หญิงที่เคยควงกันเมื่อเทอมก่อน ดีกรีถึงดาวคณะเขาก็ยังไม่อาจตอบรับคำขอของเธอได้ แค่เห็นหน้าเธอใบหน้าขาวสะอาดพร้อมกับหัวเกรียนๆ ของจ้าวจอมก็แทรกทับเสียแล้ว นี่เห็นเหตุผลที่เขากลายเป็นคนโสดตั้งแต่ต้นเทอม ออกจะผิดปกติไปสักหน่อยแต่ก็สบายใจดีเหมือนกัน
พันนาเกือบถอนหายใจเมื่อมาถึงรถได้อย่างปลอดภัย ตอนนี้เขาหิวจนแทบจะกินหมูได้ทั้งตัวอยู่แล้ว คิดแล้วก็เสียดาย ถ้าหากอยู่บ้านป่านนี้แม่คงจะทำของโปรดไว้คอยท่า แต่เขาอยู่คนเดียวอาหารการกินเลยจำเป็นต้องพึ่งร้านอาหาร ครั้นจะทำเองก็กลัวว่าจะทำไฟไหม้ห้อง ดังนั้นมื้อเย็นวันนี้เขาคงต้องไปฝากท้องที่ร้านป้าใกล้คอนโดอีกตามเคย
ทว่าเพียงแค่ไขกุญแจบางอย่างก็แตะที่ข้อมือ พันนาใจหายวาบชายหนุ่มหันหน้ากลับไปมองทันที วูบแรกเขาคิดว่าผีพิกุล แต่สัมผัสอุ่นเต็มไปด้วยเลือดเนื้อทำให้เขาฉุกคิดขึ้นได้ว่าสิ่งที่กำลังรบกวนเขาอยู่เป็นคน แต่ความมืดทำให้ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นใคร กระทั่งเสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้น
“พัน...เราเอง”
“ปรางค์!”
พันนามองหน้าผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าน่ารักมากขึ้นหนึ่ง ปรางค์เป็นเพื่อนสนิทของกุมภ์ ซึ่งเขาก็เพิ่งรู้เมื่อไม่กี่เดือนมานี่เอง คราแรกเขาก็คิดเหมือนคนอื่นๆ ว่าปรางค์อาจจะเป็นมากกว่าเพื่อน แต่หลังจากที่กุมภ์ป่วยเขาก็รู้ว่าปรางค์ไม่มีทางก้าวผ่านคำว่าเพื่อนไปได้ ชายหนุ่มใช้หลอดคนแก้วนมเย็นที่เริ่มจะละลายของตัวเอง ความหิวที่โจมตีเมื่อครู่ใหญ่ๆ กลายเป็นก้อนกดดันอยู่ในท้องแทนรู้สึกอิ่มทิพย์ขึ้นมาทันที
เขาแทบไม่ได้เจอปรางค์อีกเลยหลังจากกลับมากรุงเทพฯ คงเพราะมัวแต่วุ่นๆ อยู่กับการเรียนและกิจกรรมของคณะ แต่ก็ได้ยินข่าวคราวของเธอบ้างจากรชต ฟังไม่ผิดหรอก รชตนั่นแหล่ะ เขายังไม่รู้แน่ชัดว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นอย่างไร แต่น่าจะสนิทกันในระดับหนึ่งเลยทีเดียว และคงเพราะไม่ได้ค่อยได้เจอกันเขาเลยทึกทักไปเองว่า ปรางค์ผอมและซูบซีดลง แต่ถึงอย่างนั้นความน่ารักของเธอยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม เธอไม่ได้แตะเครื่องดื่มที่สั่งมาเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ท้าวคางเหม่อมองออกไปนอกร้าน จนเขาแปลกใจว่าได้ยินผิดไปหรือเปล่าตอนที่เธอบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย ก่อนที่เขาและเธอจะมาอยู่ในร้านกาแฟในห้างใกล้มหาวิทยาลัย
ที่สุดก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเอง เขาเอ่ยถามปากก่อนที่จะอึดอัดไปกว่านี้
“ปรางค์...มีธุระอะไรกับเราเหรอ แล้วทำไมถึงไปรอเราตรงนั้น มันอันตรายรู้ไหม”
ปรางค์ค่อยๆ เบือนหน้ากลับ ดวงตาของเธอแดงเรื่อง ใต้ขอบดำมีรอยช้ำอย่างเห็นได้ชัด เธอมองเขานิ่งอยู่ชั่วอึดใจถึงได้ตอบคำถาม
“เรามารอตั้งแต่เย็น ไม่คิดว่าพันจะเลิกเรียนช้า” เธอบอก เขาเห็นรอยแดงตามแขนที่อยู่นอกชุดนักศึกษาต่างสถาบันกับเขา ไม่แน่ใจว่าปรางค์มาได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ คงไม่ได้ขับรถยนต์มาไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ทิ้งรถแล้วมากับเขาแบบนี้
“แล้วธุระของปรางค์....”
“พันรู้ใช่ไหมว่ากุมภ์เป็นเกย์”
พันนากระพริบตาปริบๆ คำถามของเธอมันอยู่เหนือความคาดหมาย...ไปนิดหน่อย ใช้เวลาตั้งสติอยู่สักพักถึงได้ยอมพยักหน้าตอบคำถามของเธอ แต่ก็ตกใจอีกรอบเมื่อหัวไหล่เธอสั่นไหวหยาดน้ำคลอใต้รอบดวงตา
“ปะ ปรางค์ เป็นอะไร?” เขาไม่ค่อยชินกับน้ำตาผู้หญิงนัก แถมหมู่นี้ห่างหายจากการมีแฟนเลยไม่ได้พกผ้าเช็ดหน้า หันรีหันขวางอยู่หลายวินาทีถึงได้ดึงกระดาษทิชชู่ในกล่องบนโต๊ะส่งให้
ปรางค์รับกระดาษทิชชู่ไป ใช้ซับน้ำตาที่ไหลผ่านแก้มหยดแล้วหยดเล่าจนมันเปียก ถึงตอนนี้เขาพอจะเดาได้แล้วว่าทำไมปรางค์ถึงร้องไห้ มันเกี่ยวกับกุมภ์ร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างไม่ต้องสงสัย
นานหลายนาทีกว่าน้ำตาเธอจะแห้ง เขาแทบจะถอนหายใจ บอกตามตรงว่าเขาจนปัญญากับน้ำตาผู้หญิงจริงๆ ใช้เวลาอีกพักเธอถึงจะพูดกับเขาต่อ
“รู้แล้วทำไมไม่บอกเรา” ปรางค์ต่อว่า แต่เธอน่าสงสารเกินกว่าที่เขาจะโกรธได้
“มันเองก็ไม่เคยบอกใคร” เขาบอกไปตามความจริง เรื่องที่กุมภ์เป็นเกย์ เจ้าตัวไม่เคยบอกกับใคร แต่เขาก็โตพอที่จะรู้ได้เองโดยไม่ต้องรอให้ใครบอก
“แต่เราชอบกุมภ์!” ปรางค์กระแทกเสียง ดวงตาเหมือนโกรธแค้นใครสักคน “ถ้าไม่มีไอ้บ้านนอกนั่น กุมภ์คงไมเป็นแบบนี้!”
“ไอ้บ้านนอก?” พันนาเลิกคิ้ว
“ใช่! ไอ้โหรไง มันทำให้กุมภ์เป็นเกย์!”
ที่ตกใจไม่ใช่เรื่องที่ปรางค์กล่าวหาโหร แต่เป็นสรรพนามที่เธอใช้เรียกโหรต่างหาก เขาไม่คิดเลยว่าผู้หญิงที่ดูเพียบพร้อมไปทุกด้านจะมีวาจาก้าวร้าวเช่นนี้เพียงเพราะเข้าใจผิดจนขาดสติ
เขามั่นใจว่าโหรไม่ได้ทำให้กุมภ์เป็นเกย์ หากแต่เป็นความพึงพอใจที่ต่างฝ่ายมีให้กันต่างหาก สำหรับเขาแล้วคำว่าความรักมันไม่เลือกหรอกว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพศอะไร ข้อจำกัดที่บอกว่าผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงเท่านั้นมันไม่มีจริง
เหมือนกับเขาในตอนนี้
พันนาใช้เวลารวบรวมความคิด ก่อนจะอธิบายให้เธอเข้าใจ “พี่โหรไม่ได้ทำให้ใครเป็นเกย์ ปรางค์เข้าใจผิดแล้ว”
“เราไม่ได้เข้าใจผิด เราเห็นไอ้บ้านนอกนั่นส่งข้อความมาหากุมภ์ วันที่กุมภ์ป่วย” เธอพูด น้ำเสียงแข็งกร้าวไม่ลื่นหู ทั้งสีหน้ายังดูน่ากลัว จนเขานึกอยากจะถอนคำพูดที่เคยชมว่าเธอน่ารัก
“เราไม่รู้หรอกว่าสองคนคุยอะไรกันบ้าง แต่ก็พอรู้ว่ากุมภ์ชอบ...พี่โหร” ถึงจะรู้สึกผิดที่พูดออกไป แต่มันคงดีกว่าปล่อยให้ปรางค์เข้าใจผิดแบบนี้
“ไม่จริง! กุมภ์ได้ชอบไอ้บ้านนอกนั่น ต้องไม่ใช่กุมภ์” ปรางค์ส่ายหน้า น้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง แต่คราวนี้พันนาเลือกที่จะเมินเฉย ไม่ได้ช่วยส่งกระดาษทิชชู่ให้เหมือนในครั้งแรก
พันนาถอนหายใจ ไม่ว่าจะใครในยามโกรธมักจะหน้ามืด ปิดหูปิดตาไม่รับฟังสิ่งใดนอกจากตัวเอง เขาเองก็เช่นกัน ก่อนที่จะได้ศึกษาพระธรรมก็ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง แต่หลังจากได้ซึมซับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอารมณ์ต่างๆ ก็ลดลง โดยเฉพาะความโกรธ เขาเรียนรู้ที่จะข่มมันไว้ด้วยคำว่าสติ
“เราว่าคงป่วยการเปล่าถ้าหากปรางค์ยังโกรธอยู่อย่างนี้ เอาไว้ให้ปรางค์เย็นลงสักหน่อยแล้วเราค่อยคุยกันดีกว่า”
“เราไม่ได้โกรธกุมภ์” ปรางค์บอก ดวงตาแดงก่ำ แต่น้ำตาแห้งไปแล้ว “แต่เราเกลียดไอ้บ้านนอกนั่น มันไม่มีอะไรคู่ควรกับกุมภ์สักอย่าง”
พันนาได้แต่ส่ายหน้า เขาไม่รู้ว่าปรางค์เอาอะไรมาวัดมาตรฐานของคำว่าคู่ควร คงจะเป็นฐานะ เงินทอง หรือวงศ์ตระกูลกระมัง ทว่าความจริงแล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นแค่องค์ประกอบภายนอกต่างหาก
“เชื่อเถอะว่าพี่โหรน่ะเหมาะกับกุมภ์ที่สุดแล้ว”
“พอกัน! สมกับเป็นเพื่อนกันจริงๆ เข้าข้างกันทุกคน!” ปรางค์ตะคอก เธอผุดลุกขึ้นยืนพลางคว้ากระเป๋าขึ้นสะพาย “เราไม่เชื่อหรอกว่าไอ้บ้านนอกนั่นจะชนะใจน้าดมกับน้ากัญญาได้!”
พูดจบเธอก็สะบัดหน้าก้าวฉับๆ ออกจากร้านไป พันนาได้ถอนหายใจรู้สึกเหนื่อยกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า ถึงจะมีแฟนมาหลายคน แต่ไม่มีใครทั้งน่าสงสารและน่ากลัวได้เท่ากับปรางค์สักคน
พันนาล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกง กดไล่หาเบอร์โทรศัพท์ของหนึ่งในเพื่อนสนิท ไม่ถึงครึ่งนาทีมันก็รับสาย
“มึงออกมารับปรางค์ที แถวห้างหน้ามหาลัย เออ รีบมา เดี๋ยวเตลิดไปกันใหญ่”
พอเสร็จสิ้นธุระกับปรางค์ เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่เหลือ การคุยกับผู้หญิงที่กำลังโกรธมันเหนื่อยยิ่งกว่าวิ่งถ่ายรูปงานโอเพ่นเฮาส์สามวันติดเสียอีก นมเย็นแก้วนั้นเขาดูดไปแค่ไม่กี่ที ต้องยอมรับว่าปรางค์ทำให้เขาหายหิวได้ชั่วขณะ กว่าจะนึกขึ้นว่ายังไม่ได้กินอะไรแถมลืมซื้อติดมืดมาด้วยก็ถึงห้องเสียแล้ว
พันนาโยนกระเป๋าลงบนโซฟาหน้าจอทีวี ทิ้งตัวลงนั่งพักสักประเดี๋ยวท้องก็ร้องขออาหาร เขาจำใจต้องฝืนความเหนื่อยล้าไปที่ตู้เย็น เจอแค่ไข่ห้าฟอง กับข้าวหอมมะลิบรรจุกระอับที่ซื้อมาจากเซเว่นเมื่อวันก่อน แฮม ไส้กรอกอย่างนะนิดหน่อย จริงๆ ถ้าแค่เอาไปเข้าไมโครเวฟก็พอจะกินได้ แต่เขาอยากได้มากกว่านั้น ทว่าความสามารถด้านอาหารติดลบ อย่างดีที่สุดก็แค่ต้มบะหมี่
มองจากวัตถุดิบก็พอจะทำข้าวผัดโง่ๆ ได้สักจาน แต่ปัญหาอยู่ที่เขาทำไม่เป็น จึงจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากคนคุ้นเคย
จ้าวจอม
ใครจะไปเชื่อล่ะว่าเด็กอายุสิบแปดปี ปากร้าย เถียงเก่ง จะทำกับข้าวเก่งเกินวัย แต่พอได้ฟังเหตุผลก็พอจะเข้าใจได้บ้าง เพราะจ้าวจอมต้องไปค้างอ้างแรมในป่าตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเลยซึมซับวิธีปรุงอาหารแบบง่ายๆ ไปจนถึงเมนูที่มีส่วนประกอบหลายอย่าง เขาเคยได้ฟังไอ้เด็กแสบโม้ว่าได้ลองทำผัดพริกงูเห่าด้วย แต่เขายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ใช้เวลาไม่นานจ้าวจอมก็รับสาย ใบหน้าขาวสะอาดปรากฏเต็มหน้าจอกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆ หัวคิ้วขมวดน้อยๆ คล้ายกับว่าเขาโทรไปรบกวน
“มีไร คนกำลังทำการบ้าน”
“สอนทำข้าวผัดหน่อยสิ หิวจะตายแล้ว” เขาบอก เอาโทรศัพท์ไปวางบนเคาน์เตอร์ทำอาหารใกล้กลับซิงค์ล้างจาน
“หิวทำไมไม่ไปซื้อกินล่ะ เดี๋ยวไฟก็ไหม้ห้อง” อีกคนต่อว่า “แล้วมีอะไรบ้าง จะทำข้าวผัดกินน่ะ”
พันนาเผลอยิ้ม ปากก็บ่นไปตามประสาคนพูดมากทว่าก็ยอมใจอ่อนในตอนท้าย หลังจากจาระไนไปว่ามีอะไรบ้าง จ้าวจอมก็สอนให้เขาทำข้าวผัดทีละขั้นตอน สลับกับก้มหน้าทำการบ้าน เขานึกอยากจะลูบหัวเกรียนๆ นั่นชะมัด ครั้งสุดท้ายที่ได้ทำอย่างนั้นก็งานโอเพ่นเฮาส์ ไม่ต้องถามว่าเขาดีใจมากแค่ไหนที่ได้เห็นเด็กมัธยมคนหนึ่งเดินปะปนมากับเด็กคนอื่นๆ ร่วมพันคน และแน่นอนว่าในกล้องของเขามีรูปเด็กคนนั้นเกินร้อยรูป
หลังจากรบรากับข้าว ไข่ ไส้ กรอกและแฮม เขาก็ได้ข้าวผัดหน้าตาประหลาดมากินจนได้ ควันสีขาวลอยเหนือข้าวสีน้ำตาลทอง ไส้กรอกที่ถูกหั่นแบบขอไปที แฮมชิ้นใหญ่บ้างเล็กล้าง และไข่ที่บางด้านก็ไหม้ บางด้านก็สีสวย แต่ถึงมันจะไม่ได้น่ากินนัก ทว่ารสชาติมันดีกว่ายิ่งกว่าข้าวผัดร้านไหนๆ เพราะมันถูกปากเขาที่สุด แถมด้วยไข่ดาวแบบไม่สุกโปะด้านบน เพิ่มความเจริญอาหารให้มากขึ้นอีก
พันนาเอาจานข้าวพัดวางตรงหน้า เหยาะซอสมะเขือเทศใส่บนไข่ดาวแล้วหันกล้องให้จ้าวจอมดู
“เป็นไง ฝีมือการทำครั้งแรก”
“แย่ ถ้าทำให้คนอื่นกินโดนด่าแน่นอน”
พันนาหัวเราะร่วน ไม่ได้โกรธกับคำสบประมาทจากไอ้เด็กหัวเกรียน เพราะมันก็คือความจริง หน้าตาข้าวผัดของเขามันไม่ชวนกินหรอก แต่รสชาติเขายกให้มันอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา พันนาตั้งโทรศัพท์ให้ตรงกับใบหน้าของตัวเองพลางก้มกินข้าวผัด สลับกับฟังจ้าวจอมบ่นเรื่องความยากของการบ้าน บางจังหวะเขาก็สอนจ้าวจอมคำนวณกลับไปบ้าง เขาอมยิ้มตอนที่เห็นศีรษะกลมทุยผงกรับแล้วก้มหน้าก้มตาขยับปากกา ปากก็ท่องไปด้วย จนกินข้าวหมดจ้าวจอมก็ทำการบ้านเสร็จพอดี
“การบ้านเสร็จแล้ว เดี๋ยวจะอ่านหนังสือต่อ” จ้าวจอมบอก เขาเป็นกระดาษสีน้ำตาลอ่อนพลิกไปมาอยู่ริมกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆ
เห็นแล้วก็อดภูมิใจไม่ได้ จ้าวจอมอยากจะเรียนนิติแถมยังมหาวิทยาลัยเดียวกับเขา ถามหาเหตุผลก็ได้คำตอบมาแบบกวนๆ ว่าอยากจะเอาไว้ช่วยญาติตัวเองเผื่อว่าจะโดนตำรวจจับเพราะแอบไปขโมยโสมป่ามาขาย แต่พอถามจี้ว่าทำไมต้องเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกับเขาเจ้าตัวก็ตีมึน ไม่ตอบเสียเฉยๆ แต่ก็ดีเหมือนกัน ปีหน้าเขาจะมีรุ่นน้องตัวแสบที่ชื่อจ้าวจอมมาป่วนแน่นอน
หลังจากนั้นเขาก็พูดคุยกันอีกนิดหน่อย แล้วก็ปล่อยให้จ้าวจอมไปอ่านหนังสือต่อ เขารู้ว่าวิธีผ่อนคลายความเหนื่อยล้าคือการได้คุยกับไอ้เจ้าเด็กหัวเกรียน มันอิ่มเอม สบายใจ รู้สึกดีเสียยิ่งกว่าตอนที่มีแฟนเสียอีก...
เล้าใจร้ายจัง แอบขายหนังสือก็ไม่ได้ ฮาาาาาาา
อัพจบแน่นอนจ้า แค่ไม่ได้อัพตอนพิเศษแค่นั้นเอง
เจอกันตอนหน้าเน้อ