[H.E.A.R.T.] R. Rabid หัวใจคลั่งรัก
Part 14# Pie เปลี่ยนแปลงตัวเอง
หลังจากนั้นผมกับเพลิงก็เป็นแค่เพื่อนร่วมคณะกันแค่นั้นจริงๆ เวลาเจอกันโดยบังเอิญหรือว่าเดินสวนกันเพลิงไม่มีแม้แต่จะมองหน้าผมด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมรู้สึกจุกและหน่วงๆ ในใจ แต่ผมได้เตรียมใจเอาไว้แล้วเลยไม่ได้เจ็บมากอย่างที่คิดเท่าไหร่
คงไม่มีเรื่องอะไรทำให้ผมเจ็บได้เท่ากับวันนั้นที่เพลิงทำกับผมอีกแล้ว...
มาพูดถึงเรื่องของอินน์กันบ้าง ดูเหมือนว่าหลังจากวันนั้นก็จะไปได้สวยกับเพลิง ก็ไม่รู้ว่ากำลังคบกันหรืออยู่ในสถานะเดียวกันกับที่ผมเคยเป็น แต่ผมก็ไม่คิดจะถามเพราะได้ปล่อยวางเรื่องของเพลิงไปแล้ว แถมผมยังรู้สึกยินดีที่ในที่สุดอินน์ก็ได้อยู่ข้างเพลิงอย่างที่ตัวเองต้องการ แม้ว่านั่นจะทำให้อินน์ต้องสูญเสียเพื่อนสนิทอย่างผมไป
พูดตามตรงผมรู้สึกไม่ค่อยสนิทใจกับอินน์อีกแล้ว ส่วนอินน์ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยกล้าสู้หน้าผมเหมือนกัน เพราะงั้นเราสองคนเลยค่อยๆ ห่างกัน จะมีคุยกันบ้างก็แค่เรื่องงานที่ทำคู่กันเท่านั้น ส่วนเรื่องกินข้าวหรือไปไหนมาไหนด้วยกันนี่ตัดทิ้งไปได้เลย
อ้อ แต่ถึงจะไม่ได้ไปกับผมก็ใช่ว่าอินน์จะไปกับเพลิง เพราะเท่าที่ผมเห็นเพลิงก็อยู่แต่กับกลุ่มเพื่อน นานๆ ทีจะเห็นอินน์อยู่ข้างๆ บ้าง แต่ผมว่าอินน์ก็น่าจะมีความสุขนะ เพราะถึงนานๆ ทีจะได้อยู่ด้วยกัน แต่อินน์ก็เป็นคนเดียวนอกจากกลุ่มเพื่อนที่ได้อยู่ข้างกายเพลิง
“ฝากคืนให้เพลิงด้วยนะ เราคงไม่เหมาะที่จะใส่มันแล้วล่ะ” ผมยื่นสร้อยเกียร์ของเพลิงที่ผมใส่เป็นประจำให้กับอินน์ ซึ่งอินน์ก็ดูจะอึ้งๆ ไปนิดนึงแต่ก็ยื่นมือมารับเอาไว้
ผมคิดว่าจะปล่อยเพลิงออกไปจากใจตั้งแต่คืนสร้อยเส้นนั้น...
โชคดีที่ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็ถึงฤดูกาลสอบไฟนอล ตลอด 2 สัปดาห์ผมเลยไม่ต้องไปมหา’ลัยนอกจากวันที่สอบ ผมหมกตัวเองอยู่แต่ในห้องเพื่ออ่านหนังสือเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดีเพราะมันทำให้ผมแทบไม่มีเวลาคิดถึงเพลิงอีกเลย
วันเวลาผ่านไปจนกระทั่งการสอบวันสุดท้าย วันนี้เป็นวิชาที่ผมเรียนรวมกับเพลิงเลยต้องสอบห้องเดียวกัน ความจริงยังมีอีกวิชาแต่วิชานั้นไม่มีการสอบ เพราะงั้นนี่จึงเป็นวันแรกใน 2 สัปดาห์ที่ผมจะได้เจอเพลิง ผมเลยอดที่จะตื่นเต้นนิดหน่อยไม่ได้
ผมมาถึงห้องสอบก่อนเวลาเกือบ 1 ชั่วโมง โดยที่ผมมักจะเหลือบสายตาจากหนังสือที่อ่านขึ้นมามองหาเพลิงเป็นระยะ กะว่าแค่ได้เห็นหน้าผมก็พอใจแล้ว แต่จนแล้วจนรอดกระทั่งตอนที่อาจารย์เรียกเข้าห้องสอบเพลิงก็ยังไม่มา ก็ไม่รู้ว่าเพลิงมักจะเข้าห้องสอบสายอยู่แล้ว หรือเป็นเพราะตั้งใจจะหลบหน้าผม แต่ผมก็หวังว่าเพลิงจะมาเข้าห้องสอบทันนะ
และด้วยความที่เอาแต่คิดเรื่องของเพลิง ผมเลยไม่ทันได้ดูตาม้าตาเรือเลยเดินไปชนเพื่อนคนหนึ่งที่หน้าประตูห้องสอบเข้าอย่างจัง
“อ๊ะ! ขอโทษนะ เจ็บตรงไหนมั้ย” ผมขอโทษอย่างรู้สึกผิดและถามอย่างห่วงใย ถ้าจำไม่ผิดเพื่อนคนนี้น่าจะเคยเป็นคู่ขาเก่าของเพลิงล่ะมั้ง
“ประตูตั้งกว้างมึงเดินชนกูได้ไง คิดจะหาเรื่องกูหรอมึง” เพื่อนคนนั้นตั้งท่าจะเอาเรื่องผม ผมที่เป็นคนไม่สู้คนอยู่แล้วเลยยอมก้มหัวพร้อมกับขอโทษไปอีกครั้ง
“ขอโทษนะ แต่เราแค่เหม่อเฉยๆ ไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่องนายจริงๆ”
เรื่องก้มหัวขอโทษมันแทบจะเป็นเรื่องปกติของผมในช่วงนี้อยู่แล้ว เพราะตั้งแต่ที่มีข่าวว่าเพลิงเฉดหัวผมทิ้ง ผมก็ถูกอดีตคู่ขาของเพลิงหลายๆ คนแกล้งบ้าง ถูกถากถาง เหน็บแนม หรือสมน้ำหน้าบ้าง ซึ่งผมก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าทำไม ดีที่ช่วงนี้เป็นช่วงสอบนานๆ ทีผมเลยจะเจอสักครั้ง
“ถ้าขอโทษแล้วหายจะมีตำรวจไว้ทำซากอะไร” เหมือนเพื่อนคนนั้นจะไม่ยอมจบเรื่องง่ายๆ ผมที่ไม่รู้จะทำยังไงเลยได้แต่ยืนนิ่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่จู่ๆ ที่ด้านหลังของผมก็มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้น
“อาจจะเอาไว้รับแจ้งเหตุคนตายเพราะปากหมาก็ได้ใครจะไปรู้” ทั้งน้ำเสียงและวิธีการพูดที่คุ้นหูทำให้ผมรีบหันกลับไปมองด้านหลัง ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมเห็นเพลิงที่อยากเจอหน้ามาโดยตลอด
“เพลิง...” ผมรู้สึกดีใจจนอดที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อยไม่ได้ แต่เพลิงกลับไม่ได้มองมาที่ผมเลยด้วยซ้ำ จนทำให้เมื่อกี้ที่แว้บหนึ่งผมแอบคิดว่าเพลิงมาช่วยผมมันคงจะไม่ใช่ซะแล้ว
“ถอยไป นี่มันหน้าประตูห้องสอบไม่ใช่ที่ยืนเถียงกัน แม่งเกะกะฉิบหาย” เพลิงพูดจบก็กระแทกไหล่เพื่อนคนนั้นแล้วเดินเข้าไปในห้อง โดยที่เพลิงก็ยังคงไม่ได้มองมาที่ผมเช่นเดิม บางทีเพลิงอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้คือผม
“เอ้า! ตรงนั้นน่ะจะไม่เข้าห้องสอบรึไง!” อาจารย์ผู้คุมสอบที่คงเห็นว่าผมยืนอยู่นานแล้วแต่ยังไม่ยอมเข้าไปสักทีก็เลยตะโกนเรียก ผมที่ได้ยินแบบนั้นเลยสะบัดเรื่องอื่นที่อยู่ในหัวทิ้ง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องไปนั่งประจำที่ แล้วก็ทำข้อสอบโดยไม่คิดเรื่องอื่นอีกเลย
ผมใช้เวลาเต็ม 3 ชั่วโมงในการทำข้อสอบ เพราะงั้นกว่าที่ผมจะสอบเสร็จเพื่อนคนอื่นเลยกลับกันไปหมดแล้ว แน่นอนว่าเพลิงก็เช่นกัน และแล้ววันสุดท้ายของภาคเรียนที่ 1 ของผมก็ปิดฉากลงแต่เพียงเท่านี้...
...................................................
..................................
.................
พอเปิดภาคเรียนที่ 2 สิ่งที่ผมและเหล่านักเรียนทุนทุกคนต้องทำเป็นอันดับแรกก็คือการรายงานตัว โดยจะเอาสำเนาเอกสารต่างๆ รวมทั้งเกรดของภาคเรียนที่ 1 มายื่น ซึ่งเกรดของผมที่ออกมาก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจมากๆ
“เทอมเมื่อกี้ได้เกรดเท่าไหร่หรอพาย” ก่อนจะเข้ามาคุยกับผมอินน์มีท่าทีเหมือนไม่ค่อยกล้า แต่พอได้สบตากันแล้วผมส่งยิ้มให้นั่นแหละอินน์ถึงค่อยกล้าเดินมาคุยกับผม ตลอด 1 เดือนที่ปิดเทอมเราสองคนไม่ได้พูดคุยหรือว่าติดต่อกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“3.82 อินน์ล่ะ?”
“โห เกรดดีกว่าเดิมอีกนี่พาย เราเกรดตกเหลือแค่ 3.16 เอง” อินน์ยิ้มแห้งๆ ก็ไม่รู้ทำไมอินน์ถึงได้เกรดตกลงขนาดนั้น ปกติจะอยู่ที่เท่าๆ กับผมเมื่อเทอมก่อนๆ คือประมาณ 3.50 แต่ก็ยังดีที่ครั้งนี้เกรดของอินน์ไม่ต่ำกว่า 3.00 ไม่อย่างนั้นคงได้ถูกตัดออกจากระบบเด็กทุนแน่นอน
สำหรับเรื่องที่ผมได้เกรดดีกว่าเดิม นั่นก็เป็นเพราะผมทุ่มเทให้กับการอ่านหนังสือเพื่อที่จะไม่ต้องคิดถึงเพลิง ตอนนั้นก็ไม่คิดหรอกว่าทำเพื่อให้ได้เกรดดีขึ้น แต่ผลพลอยได้นี้ก็ทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจ พ่อกับแม่ที่เห็นเกรดตอนอยู่ที่บ้านก็พลอยมีความสุขไปด้วย
“จริงสิ ช่วงปิดเทอมเมื่อกี้เราไปคิดหัวข้อโปรเจคมาคร่าวๆ แล้วนะ มีเรื่องเจ๋งๆ อยู่ 2 – 3 เรื่องนี่แหละ เดี๋ยวเราจะเอาให้พายเลือกนะว่าเราควรทำเรื่องอะไรกันดี” อินน์พูดจบก็เปิดกระเป๋าทำท่าจะหยิบเอกสารข้อมูลเรื่องโปรเจคจบขึ้นมา แต่ผมก็ห้ามอินน์เอาไว้ก่อน
“ไม่ต้องให้เราดูหรอกอินน์ เอาไว้ค่อยให้คู่ของอินน์ช่วยอินน์เลือกจะดีกว่านะ”
“หา? ทำไมพายพูดแบบนั้นล่ะ หรือว่าพายไม่อยากจับคู่ทำโปรเจคกับเราแล้ว” อินน์ทำหน้าราวกับจะร้องไห้ คงกลัวว่าผมจะโกรธหรือตัดเพื่อนอะไรแบบนี้ล่ะมั้ง ซึ่งเรื่องนั้นผมไม่คิดจะทำอยู่แล้ว สำหรับผมเพื่อนยังไงก็คือเพื่อน แต่ถ้าจะให้เป็นเพื่อนที่สนิทด้วยเหมือนเดิมนั้นก็คงจะเป็นไปไม่ได้
“เปล่าหรอก คือเราจะเรียนต่อโทเลยต้องทำโปรเจคคนเดียวน่ะ” พอได้ยินแบบนี้สีหน้าของอินน์ก็ดูโล่งใจขึ้นมาหน่อย
“อ๋อ อย่างนั้นเองหรอ แล้วพายตั้งใจจะต่อโทที่ไหน”
“ก็ไกลจากที่นี่พอสมควร ไว้เดี๋ยวเราทำเรื่องเสร็จแล้วที่นั่นรับเราแน่ๆ เราจะบอกอินน์อีกทีนะ”
“อืม” อินน์พยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจไม่พูดมันออกมา แล้วบทสนทนาของเราสองคนก็จบลงเพียงเท่านั้น
วันแรกของการเปิดเรียนของผมนั้นจบลงอย่างเรียบง่าย แต่สำหรับวันที่สองก็ดูจะเป็นที่ฮือฮาอยู่สักหน่อย เพราะผมมาเรียนด้วยลุคใหม่ที่ไม่ใช่เด็กเนิร์ด แว่นตาเชยๆ ถูกแทนที่ด้วยคอนแทคเลนส์ ส่วนทรงผมที่มักจะปิดหน้าปิดตาก็ถูกเซตให้เป็นทรง ซึ่งก็เป็นทรงเดียวกันกับที่เพลิงเคยทำให้ผมวันนึงเมื่อเทอมก่อน
การที่ผมลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ใช่เป็นเพราะเพื่อดึงดูดเพลิงหรือใคร แน่นอนว่าผมยังรักเพลิงอยู่แต่ผมก็ไม่คิดจะกลับไป แต่ที่ผมทำแบบนี้เป็นเพราะคิดว่าบางทีอาจจะไม่มีคนมาแกล้งผม เหน็บแนมผม หรือว่าดูถูกผมอีกก็ได้
ที่ผมมีความคิดแบบนี้เพราะไปอ่านเจอบทความหนึ่งที่เขียนถึงมนุษย์ประเภท Loser ว่ามักจะคอยหาเรื่องเหยียบย่ำคนที่ตัวเองคิดว่าต่ำกว่า ถ้าผมอยู่เหนือกว่าพวกเขาก็จะไม่มายุ่งกับผม นี่คือการปกป้องตัวเองเพราะต่อจากนี้คงไม่มีใครมาปกป้องผมแล้ว ประสบการณ์แย่ๆ ที่ผ่านมานั้นทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น ซึ่งผลลัพธ์มันก็ออกมาเป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้
แต่ไม่สิ...เหนือความคาดหมายเลยด้วยซ้ำ เพราะนอกจากคนที่เคยแกล้งผมจะไม่มี คนที่เข้ามาชวนผมคุยกลับมีมากขึ้นอีกต่างหาก แต่ก็น่าแปลกอยู่อย่างนึง หลังจากนั้นแค่ไม่กี่วันคนพวกนั้นกลับหายไปซะดื้อๆ ไม่มอง ไม่ทัก ไม่คุย และไม่สนใจผมสักนิดจนผมถึงกับงงไปเลย แต่ก็เอาเถอะ ใช่ว่าผมจะชอบการที่มีคนเข้ามาคุยด้วยอยู่แล้ว อยู่คนเดียวมันเงียบสงบดีไม่วุ่นวายจะตาย
วันเวลาผ่านไปอีกเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงปลายเทอมที่ 2 อีกไม่ถึงสัปดาห์ผมก็จะเรียนจบและเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว จะว่าเร็วก็เร็ว จะว่าช้าก็ช้า แต่ว่าที่แน่ๆ ผมเริ่มเกิดรู้สึกใจหายขึ้นมา ก็นะ 4 ปีที่อยู่ในรั้วมหา’ลัยมันไม่ใช่เวลาน้อยๆ เลยนี่นา
ช่วงเวลาที่ผ่านมามีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นกับผมมากมาย โดยเฉพาะปีสุดท้ายที่ผมได้เจอกับเพลิงมันเป็นความทรงจำที่ล้ำค่าที่สุด ถึงแม้สุดท้ายผมกับเพลิงจะไม่สมหวังแล้วกลับมาอยู่ในจุดเดิมก่อนที่จะเจอกัน แต่ความรักมันก็เป็นสิ่งสวยงามสำหรับผมเสมอ
ผมจะไม่มีวันลืมเพลิง และเพลิงก็จะอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป...
“พาย! อยู่ที่นี่เองเราตามหาตั้งนาน” อินน์วิ่งกระหืดกระหอบมาหาผมที่อยู่ตรงโรงจอดรถของคณะ
ที่ผมมาที่นี่ก็เป็นเพราะผมนึกถึงตอนที่เพลิงปกป้องผมและโอบกอดผมเอาไว้ ผมอยากเก็บช่วงเวลานั้นเอาไว้ในหัวใจของผม ก่อนที่ผมจะไปจากที่นี่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กลับมาอีกเมื่อไหร่
“มีอะไรรึเปล่าอินน์”
“อาจารย์เกศฝากเอกสารมาให้” แล้วอินน์ก็ยื่นซองสีน้ำตาลมาให้ผม ถ้าได้จากอาจารย์เกศที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา งั้นในซองนี้คงจะเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับมหา’ลัยที่ผมขอทุนไปเรียนต่อเมื่อปลายเทอมที่แล้วล่ะมั้ง ซึ่งหลังจากที่ผมเปิดดูคร่าวๆ ก็ใช่อย่างที่ผมคิดเอาไว้จริงๆ
“ขอบใจนะอินน์”
“ไม่เป็นไร ยังไงเราก็มีเรื่องจะคุยกับพายอยู่แล้ว ว่าแต่นั่นเอกสารอะไรหรอ” อินน์ถามอย่างสนอกสนใจ ผมเลยคิดว่าคงถึงเวลาที่จะได้บอกอินน์สักที
“เป็นเอกสารเกี่ยวกับมหา’ลัยที่เราขอทุนไปเรียนต่อน่ะ”
“อ๋อ จริงด้วยสิ พายยังไม่ได้บอกเราเลยนี่นะว่าจะไปเรียนต่อที่ไหน” ที่ผ่านมาผมยังไม่ได้บอกใครเพราะไม่มั่นใจว่าตัวเองจะขอทุนได้รึเปล่า แต่ว่าผมยื่นเรื่องผ่านไปหลายขั้นตอนจนตอนนี้ได้รับเอกสารยืนยันวันรายงานตัวแล้ว เพราะงั้นคงไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะ
“เราจะไปเรียนต่อที่คิงส์คอลเลจ ลอนดอน”
“หา! ว่าไงนะ! ประเทศอังกฤษงั้นหรอ!” อินน์อุทานออกมาดังลั่นด้วยความตกใจ สีหน้าตอนนี้ของอินน์ดูสับสนและกระวนกระวายมากจนผมชักรู้สึกผิด
“ขอโทษนะที่เราพึ่งมีโอกาสได้บอก”
“ไม่...ไม่...พายไม่ต้องขอโทษเรา ไม่สิ...ถ้าพายอยากขอโทษเราพายต้องห้ามไปเรียนต่อที่นั่นนะ!” อินน์พุ่งเข้ามารวบมือของผมเอาไว้ ดวงตากลมโตอ้อนวอนผมด้วยความร้อนใจสุดขีด
“เอ่อ...คงไม่ได้หรอกอินน์” ผมพยายามจะแกะมือของตัวเองออก แต่อินน์ก็ไม่ยอมแถมยังจับให้แน่นขึ้นอีกต่างหาก
“ขอร้องล่ะพาย อย่าไปเรียนที่นั่นเลยนะ...อ๊ะ! นี่หรือว่าพายตั้งใจจะไปเรียนที่นั่นเพื่อให้ลืมเพลิง!” พอได้ยินอินน์พูดแบบนี้ จากที่ผมกำลังพยายามแกะมือออกมาจากมือของผมอินน์ก็ถึงกับชะงัก
“ใช่จริงๆ ใช่มั้ย!”
“คือ...” ผมได้แต่อึกอักเพราะไม่รู้จะตอบไปว่ายังไง จริงอยู่ว่าผมตั้งใจจะไปเรียนในที่ไกลๆ เผื่อจะตัดใจจากเพลิงได้ แต่ผมก็ไม่อยากให้อินน์รู้สึกไม่ดีเพราะดูเหมือนว่าอินน์กับเพลิงจะยังคงคบกันอยู่
นอกจากนี้อีกเหตุผลหนึ่งก็คือผมอยากไปเปิดโลกทัศน์ของตัวเอง อยากได้ความรู้ มุมมอง และประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ในประเทศให้ไม่ได้ ผมอยากจะลองใช้ชีวิตในที่ที่ตัวเองไม่รู้จัก เพื่อที่สักวันผมจะได้เป็นคนที่เข้มแข็งมากขึ้นกว่านี้
“พายไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น! แล้วพายก็ไม่ต้องคิดที่จะลืมเพลิงด้วย!”
“อะไรน่ะอินน์ ทำไมจู่ๆ ถึงได้พูดแบบนี้...”
“เราจะบอกความจริงทุกเรื่องให้ก็ได้ แต่พายต้องรับปากนะว่าถ้าเราบอกพายแล้วพายจะไม่ไปเรียนต่อ” อินน์มองตรงเข้ามาในดวงตาของผมอย่างเว้าวอน นอกจากนั้นยังมีความรู้สึกผิดที่ฉายชัดอยู่ในแววตาอีกต่างหาก
“อินน์ต้องการจะบอกอะไรกับเรา”
“ความจริงแล้วเราไม่ได้คบกับเพลิงหรอกนะ ส่วนวันนั้นคนที่พายเจอที่หอสมุดก็ไม่ใช่เพลิง แต่เป็นพี่ชายฝาแฝดของเพลิงที่ชื่อพฤกษ์ต่างหาก!”
2BC
สวัสดีค่า Rabid หัวใจคลั่งรักตอนที่ 14 ก็จบลงไปเรียบร้อยแล้วน้า หลังจากที่ซดมาม่ามาอย่างยาวนาน ในที่สุดตอนนี้ก็ไม่ต้องซดแล้วเน่อ พาราก็ไม่ต้องซัดเช่นกัน สัญญาณความหวังเริ่มจะมีแล้วน้าาา
หลายๆตอนที่ผ่านมาคนด่าอินน์นี่นำลิ่วกว่าใครเลย หวังว่าตอนนี้จะเบาบางลงบ้าง เพราะในที่สุดอินน์ก็ยอมถอยให้กับพายแล้ว เย่!
ถึงจะผ่านไปตั้งเทอมนึงเลยก็เถอะ แหะๆ
แล้วมาดูกันตอนหน้านะคะว่าที่ผ่านมาอินน์อยู่ข้างเพลิงในฐานะอะไร ส่วนอีตานั่นก็ดูเหมือนว่าจะอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆและกันซีนคนอื่นจากพายอยู่ (รึเปล่า?
) นอกจากนี้ก็ต้องมาลุ้นกันอีก 2 เรื่องนะคะนั่นก็คือพายจะไปเรียนต่อมั้ย แล้วทั้งคู่จะได้ปรับความเข้าใจกันรึเปล่า บทสรุปความรักของทั้งคู่ใกล้จะมาถึงตอนจบแล้ว ยังไงก็มาลุ้นและเอาใจช่วยคู่เพลิงพายกันด้วยน้าาาา
ไม่จันทร์ก็อังคารเจอกันค่า
(20 ก.ค. 61)