ไม่รอช้า ตอนที่ 12 มาเเล้วจ้าาา
12
นพรัตน์ก้มมองเครื่องแต่งกายรัดกุมของตนแล้วถอนหายใจยาว เคอแสนเป็นคนเอาชุดนี้มาให้ก่อนออกเดินทางกลับตารกาไม่กี่ชั่วโมง สภาพของเขาเหมือนข้าวต้มมัดไม่มีผิด
“อากาศเริ่มหนาวแล้วครับ ประมาทไม่ได้”
“ไอ้นี่ก็กันหนาวได้ด้วยหรือ” ร่างโปร่งหยิบปืนบนโต๊ะที่เคอแสนเตรียมไว้ให้ขึ้นมาดู
“คุณยิงปืนเป็น เก็บไว้ใช้เถอะครับ”
“ถ้าผมต้องใช้เจ้านี่ก็แสดงว่าสถานการณ์มันอยู่ไม่ได้แล้วนะ”
“แค่เผื่อไว้เท่านั้นครับ ตอนนี้เราคุมสถานการณ์ได้”
นพรัตน์เพียงพยักหน้า เก็บปืนให้เข้าทีเข้าทางกับตัวแล้วจึงเดินตามเคอแสนไปยังขบวนเสด็จ
เจ้านรพยัคฆ์ประทับรอในรถยนต์สีดำสนิทก่อนแล้ว ทอดพระเนตรมองคนทำหน้ารำคาญใจกับเสื้อผ้าอุ่นหนาที่องครักษ์จัดเตรียมให้จนขาดความคล่องตัว
“ต้องเดินทางข้ามวันข้ามคืน อากาศแปรปรวน ควรใส่เสื้อผ้าให้อุ่นไว้” ปลายหัตถ์ยื่นออกไปดึงปลายผมในปกเสื้อออกอย่างปราณี
“เอาไว้ตอนอากาศแปรปรวนค่อยใส่ได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้หนัก”
ร่างโปร่งส่งสายตาขออนุญาต หากมีแต่ดวงเนตรดุส่งกลับมาให้จนต้องถอนหายใจฟึดฟัด
เลิกรักซะดีไหม ดุจริงดุจัง
ชายหนุ่มทิ้งตัวพิงพนักเมื่อรถเคลื่อนตัวออกแต่แยกเป็นสองสาย ทำให้รีบหันมองร่างสูงข้างๆ
“ทำไมยังต้องมีขบวนหลอกอีก?”
“ความประมาทจะทำให้เราตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย” หัตถ์ใหญ่ยื่นเข้าไปกอบกุมมือขาว ถ้าเป็นไปได้พระองค์ก็ไม่อยากหิ้วกระเตงอีกฝ่ายไปด้วย ทว่าจะส่งขึ้นเฮลิคอปเตอร์กลับไปลำพัง หรือให้ไปกับองครักษ์ที่วางพระทัยอีกขบวนหนึ่งก็เกรงว่าจะเกิดเรื่อง พระองค์กังวลไปหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะกินจะนอน จึงได้รั้งอีกฝ่ายไว้ข้างกาย แม้รู้ว่าไม่ควรกระทำ
เจ้าเสือน้อยถอนปัสสาสะกับสิ่งที่พระองค์ได้ตัดสินพระทัยลงไป จากที่เคยเด็ดขาดมั่นใจในทุกอย่างที่ทำ กลับกลายเป็นลังเลเมื่อเป็นเรื่องของคนข้างๆ ซึ่งกำลังเหลียวมอง
“หนักพระทัยเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“เป็นห่วงหรือ?”
นพรัตน์ชะงัก ก่อนลอบกลืนก้อนแข็งลงลำคอ สบสายพระเนตรสีท้องทะเลยามคลื่นลมสงบนิ่ง
คนหน้าตาย
เจ้าตัวนึกค่อนขอดแล้วต้องถอดถอนใจไปด้วย เขาหลงรักคนๆนี้เพราะอะไรกันนะ ไม่เคยบอกรักหรือเอาอกเอาใจ ปากหนักปากร้ายอีกต่างหาก ทว่าเขากลับรู้สึกถึงความอบอุ่นโอบล้อมรอบตัวตลอดเวลายามอยู่ชิดใกล้
ความอบอุ่นที่แทรกซึมเข้าสู่หัวใจอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
นพรัตน์สบดวงเนตรตรงหน้า ทุกอย่างที่เป็นพระองค์นั่นหละ ที่ทำให้ไม่อาจละสายตาไปได้เลย
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นห่วงมาก”
ดวงเนตรคมดุเบิกกว้างคล้ายไม่แน่พระทัย หัตถ์ใหญ่บีบกระชับมือขาวแน่น เมื่อดวงตาคู่สดใสสะท้อนความจริงภายในใจออกมาจนสิ้น
มุมโอษฐ์กดลึกดังสะกดอารมณ์ไว้ หากแต่หัตถ์ใหญ่นั้นยิ่งบีบกระชับแน่นจนกระต่ายต้องพยายามดึงมือออก พระองค์ใหญ่จึงได้คล้ายแรงบีบ ก่อนเหยียดโอษฐ์โค้งขึ้นเล็กน้อยแล้วค่อยๆผินพระพักตร์ไปยังทิวทัศน์ด้านนอก หลบซ่อนพระปรางสีเข้มระเรื่อไว้มิดชิด
“ขอบใจ”
เพียงคำกระซิบแผ่วเบาก็ทำให้ใบหน้าขาวร้อนวูบ จากนั้นจึงเอนตัวพิงเบาะพลางก้มมองหัตถ์ใหญ่คร้ามแดดตัดกับสีผิวขาวของตน
มือสองมือยังคงกอบกุมกันแนบสนิท เสียงแอร์ทำงานท่ามกลางความเงียบ หากภายในอกทั้งสองกำลังทำงานอย่างหนัก
คำว่าพรมลิขิตไม่เคยอยู่ในความคิด ทว่านำพาเขาทั้งสองซึ่งอยู่ห่างไกลกันชั่วฟ้าต่างแผ่นดินให้มาพบกัน แม้ต่างชาติต่างศักดิ์ก็ไม่อาจสะบั้นสายใยบางเบาที่ห้อมล้อมพวกเขาออกจากกันได้
ใครจะคาดคิดว่าช่วงเวลาสั้นๆแต่กลับทำให้คนสองคนถูกดึงดูดเข้าหากันมากมายถึงเพียงนี้
เคนแสนแม้จะตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตน หากภาพด้านหลังจากการชำเลืองมองเพียงครั้งเดียวก็ทำให้เจ้าตัวไม่กล้าหันกลับไปมองซ้ำ เหงื่อกาฬชุ่มมือ
เจ้าเสือน้อยของกระหม่อม
องครักษ์ผู้ติดตามนายเหนือหัวมานานรู้สึกหนักอกหนักใจเป็นนักหนา แต่ในความกังวลเจ้าตัวก็มีคำตอบให้กับตัวเองมานานแล้ว
กระหม่อมติดตามความดีความงาม ความเสียสละของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ
แสงตะวันเจิดจ้าท่ามกลางขุนเขา หากไม่นำพาความอบอุ่นมายังพื้นดินที่สูงกว่าน้ำทะเลหลายพันฟุต การเดินทางผ่านภูมิประเทศแถบพื้นราบเข้าสู่เขตเทือกเขาสูงเพื่อกลับไปยังเมืองหลวงเป็นความสาหัสสากรรจ์อย่างหนึ่ง อากาศเย็นนิ่งสงบทวีความรุนแรงเมื่อร่างสูงเพรียวออกมาจากรถยนต์เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน
คนไม่เคยชินสภาพอากาศยืนถูแขนตัวเองไปมา ขณะดูเหล่าองครักษ์จัดแจงอาหารง่ายๆ ชาร้อนในกระติกถูกรินใส่แก้วยื่นให้โดยเจ้านรพยัคฆ์
“คลายหนาว”
นพรัตน์เผลอค้อนให้คนพูดน้อยก่อนรับแก้วชามาจิบพอชุ่มคอ หันมองไปรอบบริเวณที่หยุดแวะพัก ซึ่งลับตาผู้สัญจรอื่น หากไม่สังเกตจะไม่รู้เลยว่าคณะที่พักนี้เป็นขบวนเสร็จของเจ้านรพยัคฆาภูบดินทร์
“คืนนี้เราต้องนอนกลางป่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าเสือน้อยเพียงส่ายเศียร “ค่ำๆจะถึงที่พักที่องครักษ์ซึ่งล่วงหน้าไปก่อนจัดไว้ให้ ที่นั่นไม่ลำบากนักหรอก”
นพรัตน์พยักหน้ารับ ก่อนจะหูผึ่งเมื่อได้ยินเสียงวิทยุดังขึ้น ท่าทางตื่นตัวของคณะผู้ร่วมเดินทาง และพระองค์สูงใหญ่ที่เสด็จไปร่วมวงสนทนา ทำให้คนไม่รู้เรื่องนึกอยากเรียนภาษาของที่นี่เร็วๆ
เมื่อทานอาหารเรียบร้อยแล้วนั่นหละ พระองค์จึงเสด็จกลับมาประทับใกล้ๆ เพราะมีคำถามในดวงตา เจ้าเสือน้อยจึงประทานเล่าเสียเอง
“มีความเคลื่อนไหวของกลุ่มติดอาวุธที่ยังคงเหลืออยู่ สายที่วางไว้ไม่รู้เป้าหมายความเคลื่อนไหวว่าพวกมันจะทำอะไร ต้องจับตาพวกมันดีๆ ส่วนเราต้องรีบเดินทางให้ถึงตารกาเร็วที่สุด”สายเนตรคมจับจ้องใบหน้าขาว “ต้องนอนกันบนรถแล้วนะ”
ปลายสุรเสียงทรงห่วงใย นพรัตน์ได้แต่เก็บไว้ในอกพลางพยักหน้ารับไม่มีเกี่ยงงอน นายทหารองครักษ์ทุกคนรีบกินรีบเก็บสัมภาระ แรงลมแห้งผากบาดผิวหน้าจนคนไม่เคยคุ้นต้องดึงผ้าปิด
การเดินทางช่วงหลังนั้นรวดเร็วและรัดกุม แม้จะสะเทือนจนแทบคายของเก่าในท้อง หากนพรัตน์ก็นั่งเป็นปกติ เขารู้ ยังมีคนลำบากกว่านี้มาก
สีหน้าของเขาคงดูแย่มากถึงทำให้องค์สูงใหญ่ขมวดขนงเป็นโบว์ขณะแวะพักเติมเชื้อเพลิง นพรัตน์ระบายลมหายใจยาวก่อนจะแลบลิ้นไล้เลียริมฝีปากแห้งและเริ่มแตก เขาขยับแข้งขาคลายความเมื่อยขบอยู่สักพัก จึงเห็นเจ้าเสือน้อยที่ก้มๆเงยๆอยู่แถวกาน้ำร้อนเสด็จมาใกล้ แล้วจับใบหน้าเขาให้เงยขึ้น ก่อนป้ายน้ำอุ่นใสลงบนริมฝีปากรวดเร็ว
“ยิ่งเลียจะยิ่งแตก เลือดออก ทำแบบนี้ไปพลางๆก่อน ถึงวังแล้วจะให้คนหาปิโตเลี่ยมเจลมาให้ทา”
“อะไรพ่ะย่ะค่ะ?” ร่างโปร่งหลุบตาพยายามมองสิ่งที่ปาดอยู่บนริมฝีปากตัวเอง
“ไอน้ำน่ะ”
“ไอน้ำ?”
“ใช่...ไอน้ำที่เกาะบนฝากาน้ำน่ะ ช่วยได้เยอะ”
นพรัตน์พยักหน้ารับ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนัก มันคงเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนที่นี่ แต่ว่า... ร่างโปร่งเผลอมองวงพักตร์ตรงหน้า เรื่องแค่นี้ไม่น่าจะต้องใส่ใจเลย
“อะไร?”
เมื่อรู้ว่าถูกอีกฝ่ายมอง พระองค์จึงสาวพระบาทเข้าไปใกล้ชิดยิ่งขึ้น
“ปะ...เปล่า แค่คิดว่าเรื่องแค่นี้เอง พระองค์ไม่ต้องทรงกังวลหรอกพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เป็นไร”
“อืม” เจ้านรพยัคฆ์พยักเศียรรับ ทว่า “ตอนนี้ทำให้ได้ก็อยากทำให้ แต่บางเวลาอาจทำหรือหาให้ไม่ได้ ถึงเวลานั้นต้องอดทนนะ”
สุรเสียงทุ้มเรียบเรื่อยหากหนักแน่นในทุกถ้อยคำ ยิ่งทำให้ร่างโปร่งรู้สึกตีบตันในลำคอ และปฏิญาณกับตัวเองว่าจะไม่ทำตัวเป็นภาระให้พระองค์ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ จากนั้นองค์นรพยัคฆ์จึงดึงผ้าพันพระศอคล้องลงบนลำคอขาวพร้อมกับพันผูกให้เสร็จสรรพ
“เรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะ”
กลิ่นอายจากวรองค์ใหญ่กระจายล้อมรอบตัว ความอบอุ่นถ่ายทอดจากผ้าผืนยาวลงสู่หัวใจดวงเล็ก นพรัตน์แก้มร้อนเรื่อ ก้มหน้าก้มตาเดินตามองค์นรพยัคฆ์ไปขึ้นรถอีกคัน
พวกเขาต้องสับเปลี่ยนรถที่ใช้เดินทางตลอด เพื่อป้องกันการถูกลอบจู่โจมจากกลุ่มติดอาวุธ และเพราะมาจากดินแดนสงบสุข ไม่เคยต้องรู้สึกถึงภัยสงคราม ร่างโปร่งจึงอดวิตกกังวลไม่ได้ว่าจะเดินทางราบรื่นไปตลอดจนถึงตารกาหรือไม่ ยิ่งเมื่อแสงตะวันหายลับไปตามหลังเทือกเขาสูง ความมืดและถนนหนทางก็ยิ่งทำให้การเดินทางมีความเสี่ยงมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
มือเย็นถูกหัตถ์อุ่นกุมขึ้นแนบอุระก่อนยกจรดนาสิกแผ่วเบา นพรัตน์ไม่ได้ชักมือออก ปล่อยให้พระองค์แนบมือเขาเข้ากับพระปรางสากระคาย แววเนตรสะท้อนวิบวับในความมืดปกคลุมห้องโดยสาร
เมื่อไม่มีเสียงทักท้วง วรองค์สูงจึงโน้มองค์เข้ามาใกล้ ฉกฉวยประทับโอษฐ์ที่มุมปากร่างโปร่งรวดเร็ว
“...!”
นพรัตน์ไม่ได้เปล่งเสียง หากค่อยๆชักมือออกจากหัตถ์ใหญ่ด้วยเกรงองครักษ์ด้านหน้าจะเห็น และเป็นอีกครั้งที่ต้องสบดวงเนตรแวววาว หัวใจแทบกระเด็นออกมานอกอก แม้ในความมืดมิดก็ยังอดสะบัดร้อนสะบัดหนาวไม่ได้