ตอนที่ 13
ภายในห้องเรียนค่อนข้างเงียบ มันมีเพียงเสียงของอาจารย์ประจำภาควิชาที่ตอนนี้กำลังพูดอยู่หน้าห้อง เพื่อประกอบความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาบนสไลค์ที่ฉายอยู่บนจอซึ่งกว่าจะผ่านไปได้แต่ละอัน ก็เรียกได้เต็มปากเลยว่าเชื่องช้า แต่ถึงอย่างงั้นผมที่ฟังอยู่ ก็ไม่ได้จดจำไว้แต่อย่างใด
เป็นเพียงคำพูดที่แค่ผ่านเข้ามาทางหูซ้ายแล้วทะลุออกไปทันทีในทางหูขวา แล้วที่เป็นแบบนั้น ทุกอย่างก็เหมือนจะเพราะ ตัวผมยังคงติดอยู่ในช่วงเวลานั้น
ตรงช่วงเย็นของเมื่อวาน ที่นั่งเป่าขนให้เจ้าแมวสองตัวจนแห้ง กับคนข้างห้องที่บอกความจริงจากใจให้ฟังเสียยืดยาวถึงขั้นต้องบอกให้พักไปเสียก่อน เพราะหัวใจผมมันเกิดเต้นแรงเกินอัตราจะรับไหว หรือไม่ก็อาจจะเป็นช่วงเช้าก่อนจะออกมาเรียน ที่เราได้เจอกัน
“ ทำแผลจ้า ” หลังจากที่ทำใจอยู่หน้าห้องสักพักใหญ่ๆ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดไปจนลึก ด้วยอารมณ์ฮึดสู้ ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือเคาะประตูของคนข้างห้องด้วยความร่าเริง รอยยิ้มฉีกกว้างที่ดูจากดาวอังคารยังดูออกว่าเกร็งจัด ผมชูมือขึ้นในตอนที่อาร์มเปิดประตูห้อง “ หวัดดีจ้า ”
“ กว่าจะเคาะได้นะ กูคิดว่ามึงรอฤกษ์ดีอะไรอยู่ ” ขมวดคิ้วงงเล็กน้อยในตอนที่อีกคนบอกแบบนั้น ผมเอียงหน้าให้มัน อาร์มก็ยกยิ้ม “ ท่าเหมือนแก้มหอมเลย ”
“ อะไรวะ ไม่เข้าใจ ” ผมถาม
“ เมื่อกี้กูจะเดินออกไปตามมึงมาทำแผลให้พอดี แต่พอมองผ่านตาแมว ก็เห็นมึงมายืนท่องเหี้ยอะไรอยู่หน้าห้องกูก็ไม่รู้ ” พูดไปพลางเหล่ผมไป “ ทำปากงุบงิบพูดคนเดียวอยู่นั่น ทำไม ? จะท่องมนต์สะกดให้กูหลงรักมึงเหรอ ”
“ Kเถอะ! ” หันไปพูดกับอีกคนที่ก็ยกยิ้มขึ้นมา ไม่รู้จะอารมณ์ดีออะไรนักหนา กูจะตายห่าอยู่แล้วกับแค่การจะเจอมึงสักครั้ง “ กูแค่พูดกับตัวเองเฉยๆ มึงไม่เคยพูดกับตัวเองเหรอ ”
“ พอดีกูไม่ได้บ้าเหมือนมึง ”
“ งั้นมึงจะยืนมองกูอยู่ทำไม ถ้าเห็นว่ากูยืนอยู่ ทำไมไม่เปิดประตูออกไปทัก ”
“ จำเป็นเหรอ ” ร่างสูงถามกลับยิ้มๆแบบที่ผมอยากจะเดินเข้าไปต่อยมันสักหมัด
อาร์มหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเข้าคู่กับโต๊ะกินข้าว พร้อมทั้งค้ำศอกข้างที่มีแผลโชว์ให้กันดู ส่วนผมที่ได้แต่กรอกมองบนนั้น ก็แค่ต้องเดินมานั่งลงข้างๆอย่างจำยอม พร้อมทั้งหยิบเอาถุงยาที่วางไว้อยู่แล้วบนโต๊ะมาทำแผลให้อีกคน
“ เมี๊ยว ” เจ้าตัวขาวเดินเข้ามาคลอเคลียกันที่เท้าถามนิสัยขี้อ้อน แก้มหอมกระโดดขึ้นมาบนตักผมที่ก็ลูบหัวเจ้าขนนุ่มไปสองสามครั้ง
“ แก้มหอม มีอะไรครับ ” ไม่มีเสียงตอบรับอะไรจากอีกตัว แก้มหอมแค่นอนลงบนตักผม “ ให้พี่เมี่ยงทำแผลให้ป๊าเค้าก่อนนะ แล้วเดี๋ยวพี่เมี่ยงจะเล่นด้วยนะ ” บอกแบบนั้น ก่อนจะหันไปสบตากับเจ้าของแมวที่มองกันอยู่พอดี ผมเลิกคิ้ว “ ทำไม มีอะไรอีก อย่าบอกนะสัด ว่ากูเรียกมึงว่าป๊ากับแก้มหอมไม่ได้ ”
“ ร้อนตัว ยังไม่ได้พูดอะไรเลย ” อาร์มมันว่า ก่อนจะยื่นมือตัวเองเข้ามาวางไว้บนมือผมที่ก็จัดการล้างแผลที่ดูไม่เหมือนแผลสักเท่าไหร่ เพราะแผลที่ไอ้นายท่านทำไว้ตอนนี้เหมือนจะเริ่มแห้งจนตกสะเก็ดเป็นสีน้ำตาลแล้ว “ แล้วทำไมถึงคิดว่าว่ากูจะไม่โอเค ”
“ ก็เห็นมึงมองมา ”
“ แค่กำลังคิด ว่าจะบอกดีมั้ย ” เหลือบมองอีกคน ผมเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยในตอนที่อาร์มพูดแบบนั้น
“ บอกอะไร ”
“ ก็เมื่อกี้มึงถาม ว่าทำไมกูเห็นมึงยืนอยู่หน้าห้องแล้วไม่ยอมเปิดประตูออกไป จะยืนมองมึงอยู่ทำไมตั้งนาน ”
“ เออ ทำไม ” ดึงมืออีกคนลงอย่างสนใจ ผมสบสายตาร่างสูงตรงหน้า
“ ก็ตอนนั้นมึงน่ารักมากเลย กูเลยต้องยืนมองไง ” บอกกันด้วยรอยยิ้มจางๆ เหมือนว่ามันเป็นแค่คำพูดธรรมดาที่ก็รู้สึก “ เอาจริงๆ ไม่อยากจะเปิดประตูเลยด้วยซ้ำ อยากจะยืนมองอยู่อย่างงั้นสักพักด้วยซ้ำไป”
“ อ่า...” เสียงครางเบาๆเปล่งออกไปอย่างไม่มีความหมายใด ผมคล้ายกับคนที่โดนสมองโดนตัดขาดทางความคิดไปชั่วขณะ และหลงเหลือไว้เพียงหัวใจที่เร่งอัตราขึ้นอย่างฉับพลัน “ กู น่ารักสินะ ” หลุดถามออกไปอย่างงั้น อีกคนก็ยักคิ้ว อาร์มพยักหน้ารับ
“ อื้ม ”
“ อื้ม ” ตอบกลับอีกคนไปเหมือนคนเหม่อลอยอย่างไม่รู้จะตอบอะไรได้อีก ผมก้มหน้าลงใบหน้าตอนนี้ร้อนจนคิดว่าถ้าเอากระทะใส่น้ำมันมาตั้งไว้ บางทีมันอาจจะทอดไข่ได้ด้วยซ้ำ เป็นวินาทีที่ไร้เรี่ยวแรงจนแทบอยากจะปล่อยมือที่กุมจับไว้ แต่ทว่ามือของอาร์มกลับกระชับมันให้แน่นขึ้น แต่นั่นก็ยิ่งแล้วใหญ่ ผมเลิ่กลั่กมองต่ำแบบซ้ายทีขวาที อย่างคนไปไม่เป็น “ เอ่อ.. คือ เอ่อ ทำแผลเถอะเนอะ กูจะได้ไปเรียนอีก เรียนเช้าด้วยเนี้ย ถ้าช้าอยู่ ต้องไม่ทันแน่ๆเลย ”
“ แล้วใครบอกให้มึงมัวแต่เขิน ”
“ แล้วใครมันทำกูเขินละไอ้สัด ” เงยหน้าบอกอีกคนอย่างไม่กลัวตาย อาร์มสบสายตาผม จังหวะที่เราได้แต่เงียบนั้น มันถามแบบหาเรื่อง
“ กูเอง แต่แล้วมึงจะทำไม ”
ได้แต่กัดฟันไว้แน่นอย่างงั้น ผมที่ผ่อนหายใจออกมา ยกเอามือข้างที่ว่างทุบอกตัวเองอย่างม่รู้จะทำอะไรได้อีก เป็นความรู้สึกที่จะอยากด่า อยากกรี๊ดอัดใส่หมอน อยากเอามือไปขูดกำแพง อยากตะโกนว่า ‘ เหี้ยเอ้ย พอแล้ว ไอ้สัด ไม่ไหวแล้ว พอสักทีหน้าเหี้ย จะทำให้กูเขินไปถึงไหนกัน ’
แต่เพราะว่ามึงคงจะดูออกทั้งหมด ว่าผมสู้อะไรมันไม่ได้เลย ทุกอย่างก็เลยถูกจำกัดไว้แค่นั้น แค่ทุบอกตัวเอง แล้วผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ
ผมกลั้นความรู้สึกลึกๆเอาไว้ แบบที่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะไม่รู้
“ ทำไมอีก ” อาร์มมันถามยิ้มๆ
“ มึงเงียบ กูไม่มีสมาธิทำแผล ” ยกมือขึ้นห้ามอีกคน ผมสูดลมหายใจเข้าปอดแบบตั้งสติ ก่อนจะคว้าเอาที่ล้างแผลกับสำลีมา “ จะว่าไปไม่ต้องล้างแผลแล้วก็ได้นะ ไม่ต้องติดพาสเตอร์แล้วด้วย เพราะมันก็แห้งหมดแล้วอะ เริ่มตกสะเก็ดแล้วด้วย ”
“ ตกสะเก็ตแล้วไง มึงจะไม่มาทำแผลให้กูแล้วว่างั้น ” อีกฝ่ายถาม พลางเหล่มองกัน “ ไม่มีความรับผิดชอบเลยนะ ”
“ กูยังไม่ได้พูดเลยไอ้สัด แล้วพูดให้มันดีๆหน่อย ไม่มีความรับผิดชอบเหี้ยอะไร กูก็มาทำแผลให้มึงทุกวันอะ ”
“ แต่กูกลัวเป็นรอยแผลเป็นจัง ” มือข้างที่ว่างค้ำอยู่กับโต๊ะ ท่าทางยียวนกวนประสาทของมันแบบที่แบะปากน้อยๆเหมือนเด็กเล็กๆที่กำลังครุ่นคิด “ เพราะงั้นเจ้าของแมวที่ทำให้กูเป็นแผล ต้องรับผิดชอบด้วยการมาทายาให้กูทุกวันหรือเปล่านะ ”
“ บอกมาเลยตรงๆก็ได้ไอ้สัด ว่ากูต้องมาทาแผลให้มึงทุกวัน แม้มันจะเป็นแผลที่เล็กน้อยมากๆขนาดนี้ ”
“ พูดแล้วนะ ” อาร์มพูดยิ้มๆ ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ เอาจริงๆมันก็อดบ่นเบาๆไม่ได้เลย
“ ก็แค่ทาแผลเอง แต่ยังเสือกทำเองไม่ได้ ”
“ คือมันต่างกันนะ ระหว่างทำเอง กับให้คนที่กูอยากเจอทุกวัน มาทำให้ ”
ถึงขั้นหยุดหายใจไปชั่วขณะ ผมพยักหน้ารับประโยคนั้นก่อนจะเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่ไว้ในถุงตามเดิมอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกไปอีก อาการเหมือนคนโดนยิงกลางหัวใจแบบหลายนัดติด ใกล้สิ้นชีวิตเต็มที แต่เหมือนอีกฝ่ายจะยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“ งั้น งั้นตอนเย็น เดี๋ยว คือ เดี๋ยวกูซื้อยาทารอยแผลเป็นมาให้แล้วกัน ” คำพูดตะกุกตะกักมาพร้อมสายตาที่เหลือบไปมองทางอื่น ผมลุกขึ้นเต็มสูง พร้อมกับอุ้มเจ้าแก้มหอมที่อยู่บนตักนั้นขึ้นมาด้วย มือที่ลูบขนสวยๆ พยายามผ่อนคลายกับอาการที่เป็นอยู่ ก่อนจะถอนหายใจแล้วดึงหน้าตัวเองลงไปซบเจ้าตัวกลม พลางกับส่ายหน้าไปมา “ ไหนใครน่ารักที่สุดในโลก แก้มหอมละสิ แก้มหอมละสิ ”
“ หึ ” คนตรงหน้าที่หยุดยิ้ม ดึงให้สายตาของผมหันไปมองดู
“ ยิ้มเหี้ยอะไรอีก ”
“ เปล๊า ” อีกคนพูดเสียงสูงพลางยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ แต่ผมก็ยังจ้องมองมันอยู่อย่างงั้นด้วยความรู้สึกไม่ไว้วางใจเท่าไหร่ “ ทำไม หรือว่ามึงอยากจะฟัง ว่ากูคิดอะไรอยู่ ”
“ ไม่อยาก! ” แทบจะเรียกว่าตะโกนบอกออกไป แต่อีกคนก็ยิ่งยิ้ม อาร์มมันเดินเข้ามาใกล้ผม ร่างสูงเอียงตัวเข้ามาบอกกัน
“ ไม่แน่จริงนี่หว่า ”
“ มึงว่าใครไม่แน่จริง ”
“ ใครที่ไม่กล้าฟังคำพูดของกู เพราะว่ากลัวว่าหัวใจจะเต้นแรง กูก็ว่าคนนั้น ” สายตาที่มองกันอย่างหาเรื่อง ผมทำได้แค่จ้องมองมันกลับไปอย่างไม่อยากจะเป็นผู้พ่ายแพ้
“ ใครหัวใจเต้นแรงไม่ทราบครับ กูก็แค่ไม่อยากฟังมันก็เท่านั้น ” ยกไหล่ใส่มันที่ก็แค่แบะปากกับท่าทางนั้น
“ ก็ดี เพราะจริงๆกูก็แค่อยากจะบอก ว่ามึงอย่าเข้าใจผิดให้มันมาก ” อาร์มพูดเสียงจริงจัง “ คนที่น่ารักที่สุดในโลกไม่ได้มีแค่แก้มหอม เพราะแม่งมีมึงรวมอยู่ด้วยอีกคน ”
กระสุนคำพูดที่พุ่งตรงเข้าใส่หัวใจอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมเบือนหน้าหนีไปมองไปทางอื่นอย่างฉับพลัน พร้อมกับกัดฟันที่อยากจะยิ้มกว้างไว้ให้แน่น และในตอนนั้นประโยคเดียวที่ผมอยากพูดกับอีกคน ก็เป็นแค่ประโยคสั้นๆ
“ มึงแม่ง ช่วยไว้ชีวิตกูหน่อย ”
“ ฮ่าๆ ”ทว่านั่นกลับทำให้อาร์มหัวเราะออกมาเสียงดัง อย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ร่างสูงที่ชอบตีหน้าเข้ม มันหัวเราะตัวโยแบบที่ต้องเอื้อมมือมาจับที่ไหล่ของผมแล้วยึดเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปกองด้วยความถูกอกถูกใจ พร้อมกับคำพูดเบาๆที่เหมือนจะหลุดออกมาจากความรู้สึก
“ คือมึงจะน่ารักไปไหนวะเมี่ยง ”
ที่ตอนนั้นมันก็คงไม่ทันสังเกตหรอก ว่าทำให้ผมหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง
“ เห้ออออออ ” สุดท้ายก็ได้แค่นั่งถอนหายใจแบบไม่เป็นอันเรียนอยู่อย่างนี้ แล้วพอคิดว่าเย็นนี้ก็ต้องไปเจอมันอีก เพราะว่าเมื่อเช้าเจ้าแก้มหอมถูกเอามาฝากไว้ที่ห้องของผมเพื่อให้ได้เล่นกับนายท่าน ก็ไม่อยากจะให้เวลามันเคลื่อนผ่านไปเลยสักนิด
ชีวิตแม่งมาถึงจุดนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ จุดที่สมองมีแต่คำถามวกวนอย่างไร้คำตอบ จุดที่ไม่อยากจะเจอหน้าใครสักคนเพราะเขินจนทำตัวไม่ถูก จุดที่หัวใจเต้นแรงกว่าปกติในทุกครั้งที่สบตา รวมถึงจุดที่ไม่อยากจะฟังคำพูดคำจาอะไรของคนตรงหน้าคนนั้น เพราะรู้สึกสิ้นสภาพและตั้งรับไม่ไหว
“ เล่นกับไฟอยู่ชัดๆเลยกู เห้อออออออ ” ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ผมค้ำมือกับโต๊ะที่นั่งด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้จะจัดการกับชีวิตต่อไปยังไง
“ ถอนหายใจอยู่ได้ เป็นเหี้ยอะไรของมึง ” ไอ้เจ้ยที่นั่งอยู่ข้างกันถามขึ้นก่อนจะยื่นปากกาที่ถืออยู่ เข้ามาเคาะบนหัวผม “ ตั้งใจเรียนหน่อย พ่อแม่อุตส่าห์ส่งควายอย่างมึงมาเรียน”
“ มึง ” เอ่ยถามอีกคนเสียงอ่อนแรง คนนั่งข้างกันที่กำลังจดคำอธิบายที่อาจารย์พูดอยู่บนหน้ากระดาษก็เหลือบมามองกัน
“ มีอะไร ” คำถามนั้นทำให้ผมเหลือบมองไอ้เบสที่นั่งอยู่ถัดไป มันที่กำลังตั้งใจเล่นเกมส์ในมือถือ ผมถอนหายใจออกมา “ ทำไม มึงจะนินทาไอ้สัดเบสเหรอ ”
“ เกี่ยวเหี้ยอะไรกับมัน ” บอกแบบนั้นด้วยสีหน้าตกใจที่เบิกตากว้าง ผมส่ายหน้า “ กูแค่อยากจะปรึกษาอะไรหน่อย ”
“ อะไร ”
“ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของกูนะ ” คำพูดนั้นทำให้คนที่กำลังเขียนอะไรอยู่ถึงขั้นหลุดยิ้มกว้างแล้ววางปากกาลง เจ้ยมันหันมาหาผม
“ โอเค ”
“ คือ.. คือมันเป็นเรื่องของเพื่อนกู เพื่อนตอนเด็กๆ ”
“ คราวนี้เพื่อนตอนเด็กๆเนอะ ” มันว่าก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้กันอย่างสนใจ “ ว่ามา ”
“ คือเพื่อนคนนี้ เป็นอริกับเพื่อนข้างห้องของมัน ” เกริ่นนำออกไปแบบนั้นก่อนจะนิ่งไปสักพัก ผมแค่กำลังคิดว่าจะเล่ายังไงเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่านั่นคือผม “ คือ..กูแม่งจะเล่ายังไงดีให้มึงเข้าใจ ”
“ เล่าความจริง ” บอกกันแบบนั้นผมก็ได้แต่เบิกตา
“ นี่แหละไอ้สัดเรื่องจริง กูไม่ได้โกหกนะ! ” ผมย้ำ แต่เหมือนอีกคนจะแค่ถอนหายใจออกมา คนข้างกันพยักหน้ารับยิ้มๆ
“ จ้าๆ ต่อเลยจ้ะ ”
“ มึงฟัง คือเพื่อนกูเป็นอริกับเพื่อนข้างห้องของมัน แต่เหมือนว่าคนสองคนต้องมาสนิทกัน ซึ่งต่างฝ่ายก็ต่างมีแผนที่อยากจะให้ฝ่ายตรงข้ามตกหลุมรัก ”
“ ก็คือ ตอนนี้ต่างคนก็ต่างจีบกันว่างั้น ”
“ คือไม่เชิงว่าจีบ ” ผมบอกก่อนจะนิ่งคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมดับอีกฝ่าย “ แต่มันก็เหมือนจีบว่ะ ”
“ ยังไงกันแน่ ”
“ ก็ต่างคนต่างทำให้อีกคนตกหลุมรักนั่นแหละ แต่ตอนแรกไม่คิดว่าจะรักกันจริงๆ มันเป็นแค่การต่อสู้เพื่อทำให้อีกฝ่ายตกเป็นรองเท่านั้น แบบว่าสมมุตินนะ สมมุติว่าถ้ากูกับไอ้อาร์ม....”
“ ห๊ะ ? ไอ้อาร์ม ”
“ คือ ไอ้อาร์มนามสมมุตินะ ” พูดออกไปเสียงจริงจังหลังจากที่เบิกตากว้างเพราะตกใจสุดขีดที่เผลอพูดออกไปอยย่างั้น แต่เหมือนคนที่ฟังอยู่จะไม่ได้อะไรมาก เจ้ยแค่ถอนหายใจออกมา มันกลั้นยิ้ม พร้อมกับยกมือขึ้นจับที่หน้าผากตัวเองเหมือนเหนื่อยใจกับอะไรสักอย่าง มันโบกมือแบบปัดๆ
“ โอเค เล่าต่อเลย ”
“ ยิ้มเหี้ยอะไรของมึง นามสมมุติไง ”
“ เออ ก็ไม่ได้ขำอะไร เล่าต่อๆ ” มันว่าแบบนั้นก่อนจะหันมามองผม “ มึงกับไอ้อาร์มนามสมมุติ ที่ไม่ถูกกันอยู่ห้องข้างกันแล้วต่างฝ่ายต่างก็พยายามทำให้ทำให้อีกคนตกหลุมรักแล้วยังไงต่อ สุดท้ายมึงกับไอ้อาร์มรักกันเหรอ ”
“ มึงแม่งช่วยต่อคำว่า ไอ้อาร์มนามสุมมติเข้าไปด้วยได้มั้ย พูดว่าอาร์มเฉยๆแล้วกูขนลุก เสือกไปคิดถึงไอ้เหี้ยอาร์มเพื่อนไอ้ดีน ” ผมบอกเสียงจริงจัง คนฟังก็ทำได้แค่เบิกตา ท่าทางเหมือนดูไม่ค่อยเชื่อที่ผมพูด “ กูพูดจริงนะ ”
“ อ่าเหรอ ” อีกคนก็พยักหน้ารับ “ โอเคๆ แล้วไงต่อ ”
“ ก็ไม่ไง แค่มันสองคนมีเรื่องกันนิดหน่อยเลยต้องมาใกล้ชิดกัน ก็จีบกันไปจีบกันมา ทำคะแนนให้อีกฝ่ายตกหลุมรัก แต่เหมือนหลังๆกูรู้สึกว่า มันไม่ได้แกล้งแล้ว ความรู้สึกกูมันบอกอย่างงั้น ”
“ หมายถึงความรู้สึกของเพื่อนมึง ” เจ้ยมันเย้าผมยิ้มๆ
“ เออ นั่นแหละ ”
“ แล้วอะไรที่ทำให้มึง. ” เจ้ยมันถามก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ ไม่สิ เพื่อนมึง อะไรที่ทำให้เพื่อนมึงนามสมมุติคนนี้ถึงรู้สึกรู้สึกว่าไอ้อาร์มนามสมมุติมีใจให้ ”
“ ก็เพราะว่าไอ้อาร์มนามสสมุติมันหึงไง มันบอกตรงๆเลยนะว่ามันหึง แล้วคนที่ไม่ชอบมันจะไม่หึงกันจริงมั้ย ” ผมพูดด้วยเสียงจริงจัง แต่ถึงอย่างงั้นก็เผลอคิดถึงอยู่ดี
ใบหน้าคมในตอนที่พูดกับผม ในเย็นของเมื่อวานที่สวนสาธารณะนั้น สายตาจริงจังที่มองมาก่อนจะพูดในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก “ ถ้าเราไม่คิดอะไรกับใคร แถมยังเป็นแค่คนคนนึงที่เป็นอริกันด้วยซ้ำ มันจะแคร์ทำไมจริงมั้ย ก็แค่กูไปคุยกับคนอื่น มันต้องเฉยๆมั้ยวะ แต่นี่มันถึงขั้นลากกูออกมา ตอนที่เค้าชวนกูไปที่ห้องของเค้า มันที่บอกว่าไม่ให้ไป แถมยังบอกว่าหงุดหงิดที่กูไปยืนคุย ยืนยิ้มให้คนอื่น เอาจริงๆ คนที่มันไม่ชอบกัน จะไม่ทำกันแบบนี้เปล่าวะ ”
“ อื้ม ”
“ มึงก็คิดเหมือนกันเปล่าวะ ว่าไอ้อาร์มมันชอบกู ” ผมนิ่งไปในตอนที่หันไปถามเพื่อนสนิท ไอ้เจ้ยมันยกคิ้วกับคำพูดนั้น ก่อนที่ผมจะปรับสีหน้าเป็นนิ่ง แล้วส่ายหน้าไปมาเหมือนคนกำลังจูนสมอง “ คือหมายถึง อาร์มนามสมมุติกับเพื่อนกู ”
“ ถ้าคิดตามที่มึงเล่านะ ”
“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้เพื่อฟังความเห็นของอีกฝ่าย
“ ถ้าถามว่าคนที่ไม่ชอบกันจะไม่หึงกันใช่มั้ย ก็ใช่ แต่ถ้าถามว่าไอ้อาร์มนามสมมุติมันชอบเพื่อนมึงนามสมมุติคนนี้มั้ย กูก็รู้สึกครึ่งๆนะ ”
“ เหรอ ” หัวใจผมราวกับหล่นไปในตอนที่ฟัง เหมือนจะเซ็งนิดหน่อยในตอนที่ได้ยินอย่างงั้น เพราะผมคิดแค่ว่าเจ้ยมันคงคิดเหมือนผม และคำตอบก็คงออกมาประมานว่า ‘ คงชอบเพื่อนมึงแน่ๆแล้วละ ’ แต่เหมือนว่ามันไม่ใช่
“ คือจะพูดยังไงดี ” เจ้ยมันเว้นเสียง ราวกับกำลังคิดคำง่ายๆ เพื่อให้ผมเข้าใจ “ พวกมันเริ่มต้นมาจากคำว่า แกล้งจีบกันเพื่อให้ฝ่ายใดฝ่ายนึงตกหลุมรักถูกมั้ย ซึ่งถ้าคิดจากตรงนี้ เราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ไอ้อาร์มนามสมมุติมันทำกับเพื่อนมึง จะเป็นความรู้สึกจริงๆ หรือว่าความรู้สึกที่แค่จะเอาชนะ ”
“ นั่นก็จริง ”
ผมถอนหายใจออกมา เพราะคำพูดของเจ้ยมันโคตรมีเหตุผล อาร์มไม่ใช่คนที่ผมจะเล่นด้วยได้ มันเป็นคนที่ดูไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าจริงๆรู้สึกอะไรอยู่ เป็นคนที่ไม่รู้เลยว่าหน้าแดงที่แสดงออกมาให้กัน จะเป็นจริง หรือแค่อยากจะเอาชนะ
“ เงียบไปเลย ”
“ เปล่า กูแค่คิดเฉยๆ ว่าที่มึงพูดมามันก็ถูก แต่ว่านะ..”
“ ยังไงอีก ”
“ มันก็ย้ำกูนะมึง ว่ามันรู้สึกอย่างงั้นจริงๆ มันย้ำด้วยแววตามั่นใจมากๆ แถมยังชอบทำอะไรให้หัวใจกูเต้นแรงด้วย แบบว่าพูดชมว่ากูน่ารักที่สุดในโลก คือถ้าเล่นๆมันจะเกินไปมั้ยวะ อันนี้มันแรงเกินไปนะ ”
“ ไม่แรงหรอก ก็พ้อยท์หลักของพวกมึงคือต่างฝ่าย ต่างพยายามทำให้อีกฝ่ายตกหลุมรักนี่ แล้วการตกหลุมรักมันก็ต้องประมานนี้กันทั้งนั้น มันต้องเล่นของแรง ไม่งั้นก็ไม่ตกหลุมรักหรอก ”
“ แต่ว่ามันบอกนะ ว่าอยากจะเจอกูทุกวัน คนที่ไม่รู้สึกอะไรกัน มันจะบอกแบบนั้นทำไม ”
“ เมี่ยง ” เจ้ยมันยิ้ม “ คือมึงเหมือนอยากจะให้กูพูดเลย ว่าไอ้อาร์มชอบมึง ” ได้แต่นิ่งค้างไปในตอนที่ได้ยินอย่างงั้น ผมส่ายหน้าไปมาทันทีตอนที่ได้สติ ก่อนจะยกสองมือขึ้นโบกไปมาใช้ท่าทางแสดงออกไปก่อนเพราะสมองคิดคำพูดอะไรไม่ออกทั้งนั้น
“ ไม่ใช่นะเว้ย ไม่ใช่ ” ผมว่าก่อนจะตีหน้าจริงจังใส่อีกคน “ แล้วกูพูดย้ำกี่ทีแล้ว ว่านี่คือเรื่องของไอ้อาร์มนามสมมุติกับเพื่อนกู ไม่ใช่เรื่องของกู ”
“ เออๆนั่นแหละ ” เจ้ยพยักหน้ารับก่อนจะถอนหายใจ มันจ้องหน้าผมอยู่สักพัก “ แล้วมึงว่ายังไง คิดว่ามันชอบเหรอ ”
“ ก็.. ”
“ แต่ถ้ามึงมั่นใจมึงก็คงจะไม่ถามกู เพราะงั้นมึงก็คงไม่มั่นใจเหมือนกันจริงมั้ย ”
‘ ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ’ เพราะบางทีที่กูถามมันอาจจะแค่อยากได้ความมั่นใจก็ได้ แค่ความมั่นใจที่คนนอกจะมองแล้วรู้สึกเหมือนกันอย่างที่กูกำลังรู้สึกอยู่ ว่าใครคนนั้นก็กำลังชอบกู ชอบแบบที่ไม่ใช่เรื่องที่อยากจะเอาชนะ ชอบแบบที่ผมไม่ได้คิดไปเองคนเดียว
“ เงียบไปเลยไอ้สัด ” เจ้ยดึงตัวเองมาชนเข้ากับไหล่อีกฝ่ายยกยิ้ม “ เป็นเหี้ยอะไร ”
“ เปล่าๆ ” ผมส่ายหน้ายิ้มๆ
ก็แค่ไม่ได้ตั้งรับว่าจะได้รับคำตอบแบบนั้น ผมคิดมาตลอดว่าเจ้ยก็คงตอบแบบที่ผมคิด แต่ที่มันพูดมาก็ถูก มันเป็นไปได้ว่านั่นอาจจะเป็นแค่การแสดง ที่ก็แค่เพื่ออให้คนอย่างผม ตกหลุมรัก
“ แล้วเป็นเหี้ยอะไร ”
“ กูแค่รู้สึกโหวงๆในใจ ” ผมยิ้ม “ คือ.. กูคิดแทนเพื่อนกูน่ะ เพราะเพื่อนคนนั้นดูรู้สึกกับคนข้างห้องไปแล้ว แล้วพอกูคิดว่าถ้ามันเป็นอย่างที่มึงพูดขึ้นมาจริงๆ กูก็อดสงสารมันไม่ได้เลย เพราะมันไม่ได้คิดเลยสักนิด ในเรื่องแบบที่มึงพูด แล้วพอคิดว่าอาจจะเป็นจริงก็ได้ กูก็รู้สึกเหมือนหัวใจกูมันหายไป ยังไงดีวะ ”
“ เสียใจ ” เจ้ยพูดสั้นๆ ผมก็ได้แต่นิ่งไป
อาจเพราะว่านั่นคือคำที่แทนใจความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมี แต่แค่ไม่กล้าพูดออกมา
“ อื้ม.. คงงั้น ”
“ แต่ว่านะ..”
“ ช่างมันเถอะๆ ” ผมบอกปัดใบหน้าที่เริ่มจะจริงจังขึ้นมาของอีกคน ผมยิ้มให้มันตอนที่มองมา “ ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องของกูจริงมั้ย อย่าสนใจอะไรให้มากเลย ”
“ กูไม่ได้บอกว่า ไอ้อาร์มมันไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึงนะ แต่ที่กูจะบอกคือ เพราะมึงเริ่มต้นความสัมพันธ์กันมาแบบนี้ ก็เลยอยากจะให้มึงระวังมันไว้หน่อยก็ดี เพราะก็เป็นไปได้หมด ทั้งที่ชอบมึงแล้วแบบจริงจัง แล้วก็อาจจะแสร้งทำเป็นว่าชอบเพื่อทำให้มึงตกหลุมรักนั่นก็เป็นได้ เพราะงั้นก็ลองหาวิธีอื่น จับสังเกตมันดู เพื่อความชัวร์น่าจะดีกว่า”
“ คือมึงหมายถึงไอ้อาร์มนามสมมุติกับเพื่อนกู ” พูดออกไปเสียงเบาๆ ไอ้เจ้ยมันก็ถอนหายใจ
“ เออ ”
“ แล้วไอ้การจับสังเกตมันเป็นยังไงวะ มึงแนะนำหน่อย คือ.. คือกูจะเอาไปบอกเพื่อนกู ” ผมยิ้มให้มันที่ก็ทำทีเป็นคิด
“ ก็ลองสังเกตสิ่งที่มันทำให้มึงแบบไม่ตั้งใจ ความเป็นธรรมชาติตอนที่อยู่ด้วยกัน อะไรที่มันแบบเป็นเรื่องเล็กๆ แต่เค้าก็ยังใส่ใจน่ะ ”
“ มันก็มีนะ ” ผมหันไปบอกคนข้างกัน “ อย่างเมื่อวานกู คือเพื่อนกูน่ะมันอยู่ที่ห้อง กำลังวุ่นวายอยู่กับแมวของมันที่ไม่ยอมให้อาบน้ำ แล้วสักพักไอ้อาร์มนามสมมุติมันก็มาเคาะประตู ถามว่าเป็นอะไรเปล่า แบบนี้มึงว่ามันแปลกมั้ย ถ้าไม่รู้สึกอะไรทำไมต้องเป็นห่วง ทำไมต้องคอยฟัง คอยสนใจว่าเค้าทำอะไรอยู่ ”
“ ก็จริง ”
“ ใช่มั้ย แล้วล่าสุดเพื่อนกูก็เล่าว่าตอนที่มันไปยืนเคาะประตูคนข้างห้อง ไอ้คนข้างห้องมันยืนอยู่หน้าห้องแล้วมองมันตั้งนาน แล้วพอถามว่ามองทำไม มันก็บอก ว่ามองเพราะน่ารัก ”
“ ไอ้อาร์มนามสมมุติอะนะ ”
“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับ “ แล้วแบบนั้นมึงจะไม่ให้กู... คือ เพื่อนของกู คิดได้ยังไงว่าคนคนนนั้นชอบมัน ”
“ นั่นก็จริง ” เจ้ยพยักหน้ารับ มันมองกันยิ้มๆ “ แล้วพื่อนมึงคิดยังไงละ ”
“ หมายถึง ”
“ ก็หมายถึงว่า เพื่อนมึงคิดยังไงกับไอ้อาร์มนามสมมุติคนนั้น ถ้ามันชอบขึ้นมาจริงๆจะทำยังไง สานต่อเหรอ หรือว่ายังไง ”
“ ใครจะสานต่อ ” ถามออกไปทั้งๆที่ตาเบิกกว้างแล้วหน้าก็แดง ผมเม้นริมฝีปากตัวเองก่อนจะเหลือบมองซ้ายขวา มันเหมือนใบ้กินไปชั่วขณะ
“ แต่เหมื่อกี้ยังบอกอยู่เลย ว่าเพื่อนมึงรู้สึกกับไอ้อาร์มนามสมมมุติไปแล้ว ”
“ รู้สึกแค่นิดหน่อยเว้ย! ” เถียงออกไปเสียงดังคนฟังก็ได้แต่ยกคิ้วสงสัย “ แค่มึงถ้าไม่รู้สึกก็ไม่ใช่คนแล้วเปล่า เพื่อนกูมันก็คนนะ โดนจีบเบอร์นั้นต้องหวั่นไหวบ้าง อีกอย่างกู ไม่สิ เพื่อนกู ก็คงคิดว่าเป็นต่อแล้วมากกว่า เหนือกว่าแล้ว ก็เท่านั้นอะ ”
“ เหรออออออออออออ ” คนฟังลากเสียงด้วยหน้าตาที่ไม่เชื่อเท่าไหร่
“ จริงๆนะเว้ย คงไม่สานต่อหรอก แค่เหนือกว่าทำอะไรมันก็ง่ายกว่าจริงมั้ยละ ”
“ งั้นกูก็ขอภาวนาให้เพื่อนมึงประคับประคองหัวใจตัวเองไม่ให้หลงรักไอ้อาร์มนามสมมุติไปจริงๆก็แล้วกันนะ ” เจ้ยมันว่า “ แล้วกูก็ฝากเพื่อนมึงด้วยแล้วกันว่า คนที่ฉลาดจริงๆ เค้าไม่เล่นกับความรักหรอกจ้ะ ”
“ อื้มมมมมมมมมม ” ผมลากเสียงก่อนจะพยักหน้ารับ เอาจริงๆก็อยากจะตอบมันออกไปเหมือนกัน ว่ากูก็ไมได้ฉลาดเท่าไหร่หรอกเจ้ย “ แล้วคือ..”
“ อะไร ” อีกคนเลิกคิ้วถาม ตอนที่เห็นว่าผมไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ แล้วถ้าชอบกันจริงๆ มึงคิดว่าดีมั้ย คือ.. ในฐานะที่มึงเป็นเพื่อนกับกู สมมุติว่ากูไปคบกับคนที่มึงไม่ชอบ มึงจะโอเคกับกูมั้ย ”
“ เอ้ ถามแปลกๆน้า มึงเนี้ย ” ผมเบิกตาขึ้นมองคนที่พูดขึ้นมาแบบจับผิด เจ้ยมันยิ้ม จนผมต้องเอาแต่ส่ายหน้าไปมารัวๆ
“ ไม่ใช่กูนะเว้ย แค่ถาม ถามเฉยๆ ”
“ ไม่ใช่เด็กแล้วไอ้สัด เพราะงั้น กูเป็นเพื่อนมึง อะไรที่มึงมีความสุข คนเป็นเพื่อนอย่างกูแม่งต้องยินดีสิ ยกเว้นแค่.. กูไม่ได้คิดกับมึงแค่เพื่อน อันนั้นก็คงไม่ยินดีด้วยหรอกนะ ” เจ้ยพูดยิ้มๆพร้อมกับยักคิ้วให้ผม ก่อนจะหันไปเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างกันอีกด้าน มันชี้ไปที่ไอ้เบส “ อ้อ ยกเว้นไอ้เหี้ยนี่ไว้ในอีกหนึ่งกรณีนะ เพราะสมองยังแค่สามขวบ น่าจะไม่พอใจเท่าไหร่ แต่กูเชื่อว่ามันไม่ห้ามมึงหรอก ”
“ ไอ้สัด ” หลุดยิ้มออกมา ก่อนจะหันไปมองด้านหน้า แล้วอยู่ๆก็เหมือนจะคิดขึ้นมาได้ ถึงคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบก่อนหน้านี้ “ ว่าแต่มึงมีวิธีอะไร แจ่มๆบ้างวะ ไอ้ที่แบบว่า เราจะรู้ได้เลยว่า เค้าชอบเราอยู่ หรือไม่ชอบเราอยู่ ”
“ มันก็ไมได้รู้ได้ขนาดนั้น แต่มึงก็ลองส่งเพลงไปให้เค้าดูสิ เพลงที่เค้าอ่านไม่ออก ฟังไม่รู้เรื่อง เพลงที่มันต้องหาคำแปลด้วยเอง ”
“ ยังไงวะ ”
“ ส่งเพลงเกาหลีไป ถ้ามันสนใจมึงอยู่แล้ว มันต้องหาความหมายของเพลงเพราะอยากจะรู้ว่าคนที่มันชอบ ส่งเพลงอะไรมาให้มัน จริงมั้ย”
“ จริง ” ผมพยักหน้าลงยิ้มๆ “ โอเค ไว้กูจะบอกเพื่อนกูนะ ” ว่าแบบนั้นคนแนะนำก็ถอนหายใจ พลางผ่อนแผ่นหลังลงพิงกับเก้าอี้ตัวที่นั่ง
“ แต่กูว่ากูพอเดาออกแล้วนะ ว่าเพื่อนมึงชื่ออะไร ”
“ ไม่ต้องเดา มึงไม่รู้จักหรอกน่า ” ลากเสียงใส่อีกฝ่าย ผมส่ายหน้าไปแบบบอกปัด แต่ถึงอย่างงั้นคนข้างกันก็ยังดูมั่นใจ “ อะๆ มึงว่ามันชื่ออะไร ”
“ ชื่ออีเลา เรื่องที่มึงเล่า ต้องเป็นเรื่องของอีเลาแน่นอน ” สายตาที่หันมองกันอย่างมั่นใจ ผมที่ได้แต่เงียบไปในตอนนั้น
“ เจ้ย คือกูไม่มีเพื่อนชื่อเลา ” แต่เหมือนคำตอบนั้นจะทำให้อีกคนผิดหวังอย่างหนัก ผมเห็นสีหน้าช็อคผ่านสายตานั้น ก่อนที่มันจะฟุบลงกับโต๊ะตัวที่นั่งไป
“ ไม่รู้จะด่ายังไงดีเลยกู ” ผมที่ได้แต่ยิ้มกว้าง ในตอนนั้นมือมันก็เอื้อมไปจับไปไหล่อีกฝ่ายปลอบๆ
“ ก็บอกแล้วไง เพื่อนกูน่ะ มึงไม่รู้จักหรอกเจ้ย ”
..................................................................