ตอนที่ 16
ผมยืนนิ่งกับคำพูดของไค จากที่คิดว่าเขาแสดงท่าทางโกรธเคืองเพราะผมดันไปโทรศัพท์หาแม่จนทำให้พวกเราถูกตามเจอง่ายขึ้น กลายอารมณ์ขุ่นเคืองบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางย้อนกลับมาหาเขาในวันนั้น ทำไมกัน เหตุผลที่ผมกลับมามันน่าโกรธกว่าความปลอดภัยของพวกเราอีกเหรอ
ไคจ้องผมอยู่นานโดยไม่พูดอะไรต่อ แววตาเขายากต่อการคาดเดาถึงความคิด ผมได้แต่ทำความเข้าใจกับคำพูดเมื่อครู่เพียงอย่างเดียว กะว่าจะขอคำอธิบายเพิ่มเติม แต่คนตรงหน้ากลับพูดขึ้นมาก่อน
“นายได้ยินข่าวเรื่องข่าวว่าฉันเคยติดคุก ก็ไม่แปลกหากนายจะไม่ไว้ใจฉัน”
สิ้นเสียง เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าเบือนหน้าหนีผม อีกทั้งสองเท้ายังย่ำผ่านผมไปอย่างเย็นชา เขาเคยนั่งรอผมที่ท่าเรือเป็นชั่วโมงโดยไม่ไปไหน เพราะเชื่อว่าผมจะรู้สึกไว้ใจเขา ซึ่งการที่ผมย้อนกลับมาก็เท่ากับเป็นคำตอบ จนมารู้ภายหลังว่าผมแอบคุยอะไรกับแม่มาบ้าง
แต่...มันไม่ใช่อย่างที่เขาคิดทั้งหมดนะ!
“ไค”
“...” คนตัวสูงชะงักเท้า
“ก่อนจะโทรหาแม่ ผมตั้งใจย้อนกลับไปอยู่แล้ว” ผมเอ่ยอย่างหนักแน่น “แต่ถ้าคุณไม่เชื่อ ผมก็คง...”
“ไปเก็บของซะ” ไคพูดตัดบท ก่อนจะหันมองผมด้วยหางตา “พรุ่งนี้เราจะออกจากเกาะแต่เช้า”
เขาทำน้ำเสียงเข้มใส่ผม ท่าทางจะโกรธกันอยู่
“ครับ”
ผมตอบเนือยๆ ราวกับคนท้อใจกับชีวิต ยอมรับตามตรงว่าการที่ไคทำท่าเหมือนไม่พอใจแบบนี้ ผมโคตรใจไม่ดีเลย ในอกมันรุ่มร้อน กระอักกระอ่วนไปหมด
คิดอยู่คนเดียวได้ไม่นาน ผมกำลังจะเดินตามหลังไคไป หากทว่า...
“ฉันไม่ได้โกรธนาย”
ผมเบิกตากว้าง รีบเงยหน้ามองไคพร้อมกับเดินเข้าไปหา
“แสดงออกชัดขนาดนั้น จะไม่เรียกว่าโกรธได้ไง” ผมแย้ง
“...มันกวนใจฉัน” อีกละ กวนใจอะไรนักหนาวะ
“ช่วยขยายความอีกนิดได้หรือเปล่า” ที่ถามเพราะอยากรู้จริงๆ
“ฉันคงคาดหวังมากเกินไป” ผมทำหน้าฉงนใจ หลังจากนั้นไคก็มองลึกเข้ามาในตาผม ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ช่างเถอะ รู้แค่ว่าฉันไม่ได้โกรธก็พอ”
เห็นไคทำหน้าตายแล้วผมหมดหนทางจะถามต่อ เพราะสุดท้ายคำตอบคงวนอยู่แค่นี้ ไม่ได้ความกระจ่างเพิ่มเติมหรอก ถ้าอย่างนั้นผมขอถามแบบนี้ก็แล้วกัน...
“แล้วไอ้ความรู้สึกกวนใจนั่นน่ะ ตอนนี้...หายยัง?” ไคเงียบไปสักพักก่อนจะตอบกลับ
“ไม่รู้”
อ่าว? ซะงั้น
“ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะไม่ทำตาขวางใส่ผมอีก” เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อน
“แคร์ด้วยเหรอ”
โดนถามแบบนี้ผมแทบไปไม่เป็น แต่ถ้าให้ตอบตามที่ใจรู้สึกล่ะก็...
“มากๆ ครับ”
ไคเงียบ ยืนจ้องผมเพียงชั่วครู่ก็หลบตาไปทางอื่น
“งั้นก็อย่ามองตาฉัน”
“ทำไม่ได้หรอกครับ”
“ทำไม?” เขาหันกลับมามองผมอีกครั้ง
“ผมชอบสีตาคุณ...สีฟ้าครามเหมือนน้ำทะเล มันสวยดี” เอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้าง ผมพูดในสิ่งที่เคยคิดในใจออกไปให้คนตรงหน้ารับรู้ “ยกเว้นแค่เวลาโกรธ แววตาคุณเกรี้ยวกราดเหมือนเทพโพไซดอนพิโรธเลย น่ากลัวสุดๆ”
วาจาของผมจริงจังพอๆ กับแววตาที่กำลังจ้องเขาอยู่ในขณะนี้ เราต่างมองกันและกันโดยที่ผมไม่รู้สึกหวาดหวั่นหรือเป็นกังวลใจเหมือนตอนอยู่ด้วยกันแรกๆ ผมกล้าจ้องตาไคแบบไม่กระพริบตาตั้งแต่เมื่อไหร่ ซึ่งในระหว่างที่ผมกำลังแปลกใจอยู่นั้น คนตรงหน้ากลับเป็นฝ่ายหลบตาผมไปเสียเอง
“เข้าข้างในเถอะ” ไคเสยผมอย่างลวกๆ นำมือทั้งสองข้างล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนที่ผมจะหยิบยกเรื่องบางอย่างขึ้นมาคุยกับเขา
“เออ...คืนนี้ผมขอมีผ้าห่มของตัวเองได้มั้ยครับ”
“...”
ไม่มีเสียงตอบกลับ ผมลุ้นคำตอบอยู่สักพักก็พูดไปอีก
“ผมกลัวว่าคุณจะนอนไม่สบาย ก็เลย...”
“ไม่”
โอ้โห...ตอบซะหนักแน่นเชียว
“ทำไมล่ะครับ เพราะอะไรคุณถึงอยากให้ผมนอนห่มผ้าผืนเดียวกับคุณนัก” เอาจริงๆ ผมไม่ต้องขออนุญาตเขาด้วยซ้ำ ทำไมวะ? ถึงผมเคยสัญญาว่าจะเชื่อฟังเขาแต่สำหรับเรื่องนี้มันก็ดูไม่เข้าท่ายังไงไม่รู้
ถ้าเขาไม่ยอมบอกเหตุผลที่ฟังขึ้น ผมจะตื้อจนกว่าจะได้ผ้าห่มของตัวเอง เอาดิ!
“กรณีเดียวกับที่นายชอบสีตาฉันนั่นแหละ”
“หา?”
อะไรวะ ไม่เห็นเข้าใจเลย และดูดิ ยังไม่ทันหายข้องใจก็เดินนำเข้าไปในบ้านละ...กรณีเดียวกับที่ผมชอบสีตาของเขา แปลว่าเขาชอบห่มผ้าผืนเดียวกับผมงั้นเหรอ ทำไมอ่ะ? เขาชอบความอบอุ่นงี้? ทั้งๆ ที่ผมชอบแย่งผ้าห่มน่ะนะ?
โอ้ย! งงโว้ย!!
เช้าวันต่อมา พวกเรากำลังรอบัฟฟอร์จออกไปซื้ออาหารเช้า ตลอดหลายวันที่อาศัยในบ้านของเขา ไคเป็นคนสั่งการทุกอย่างจนผมพอจะเดาช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ในกองทัพทหารออกเลย
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมเดินออกมาชงกาแฟในครัว กะว่าจะทำให้ไคดื่ม พอเขาออกมาจากห้องจะได้ทานพอดี แต่ระหว่างที่ผมกำลังกะผงกาแฟ น้ำตาลกับครีมเทียม ก็รู้สึกเหมือนมีใครยืนอยู่ข้างหลัง
“ทำอะไร” ไคนั่นเอง
“ชงกาแฟครับ”
“ดื่มด้วยเหรอ” เขาถาม ก่อนจะเอื้อมไปหยิบแก้วบนชั้นวางที่อยู่เหนือหัว ผมรู้สึกได้ว่าเขาค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้แผ่นหลังของผม มันชิดจนผมยืนตัวเกร็งโดยอัตโนมัติ
จะบอกให้ผมหลบไปก่อนก็ได้นี่หว่า
“ผมจะชงให้คุณ” คนตัวสูงหยุดนิ่ง เก็บมือที่กำลังเอื้อมแล้วเปลี่ยนมายืนข้างๆ ผมแทน
“นายชงเป็น?”
“คุณดื่มรสไหนล่ะครับ” ผมถาม
“กาแฟ 2 ครีมเทียม 1 ไม่ใส่น้ำตาล”
“โอเคครับ” ผมลงมือชงตามที่ไคต้องการทันที หากแต่มีบางอย่างที่ผมรู้สึกตงิดใจ
“แต่เมื่อคืนผมเห็นบัฟฟอร์จใส่น้ำตาลด้วยนี่น่า” ถ้ามองไม่ผิด ผมแอบเห็นเขาใส่น้ำตาลทั้งสองแก้วเลยนะ
“ตอนนั้นนายยังไม่นอนเหรอ” ไคขมวดคิ้ว
“ผมกะว่าจะมาชงกาแฟให้พวกคุณ แต่บัฟฟอร์จดันตัดหน้าซะก่อน” หลังจากผมพูดจบ ไคก็กัดฟันกร้าวพร้อมทำท่าไม่สบอารมณ์ทันที
“แล้วยังมีหน้ามาบอกว่านายนอนแล้ว” เขาขยับปากมุบมิบ ฟังจากรูปประโยคน่าจะกำลังพูดถึงบัฟฟอร์จ เข้าใจว่าเขาอาจโมโหที่โดนหลอก แต่ไม่เห็นจะต้องซีเรียสขนาดนั้นเลยนี่หว่า ผมโตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กอนามัยที่ต้องนอนก่อนเที่ยงคืนสักหน่อย แล้วถ้าบัฟฟอร์จบอกว่าผมยังไม่นอนเขาจะทำยังไง อยากรู้จริงๆ
“นับวันคุณยิ่งเหมือนพ่อผม”
วันไหนที่ท่านกลับบ้านช้า หากขึ้นมาที่ห้องผมแล้วพบว่ายังไม่นอน ท่านก็จะไล่ให้ปิดไฟและเข้านอนตลอด ผมรู้ดีว่าท่านเป็นห่วง ซึ่งก็เหมือนกับไคที่เอาใจใส่ผมมาก
ไม่รู้ว่าผมหลงตัวเองไปหรือเปล่านะ แต่เป็นงั้นจริง...เขาก็โคตรน่ารักเลยล่ะ!
“ฉันจะคิดเสียว่านายคิดถึงเขาละกัน” สงสัยจะเข้าใจว่าผมกล่าวหาว่าเขาเป็นตาแกขี้บ่นแน่ๆ
เอาล่ะ! ในที่สุดก็ชงกาแฟเสร็จ
“นี่ครับ เชิญดื่มได้เลย” ผมยื่นแก้วกาแฟให้ ไคใช้ช้อนคนสักพักก็ยกขึ้นดื่ม
“...” ทำสีหน้านิ่งมาก ตกลงว่ามันโอเคมั้ยวะ
“เป็นไง?”
เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าเงียบไปสักพัก ก็เอ่ยตอบพร้อมสีหน้าเรียบเฉย...
“ดีกว่าน้ำล้างเท้า”
เอิ่ม...พูดงี้แปลว่ามันแย่มากใช่มั้ยวะ ทำไมอ่ะ? ผมชงตามที่บอกแล้วนะ
“ไหน ขอลองชิมหน่อย” ว่าแล้วก็คว้าแก้วกาแฟจากไคมายกซด
เท่านั้นแหละ...
“อื้อหือ~ รสเข้มชะมัด!” ผมทำหน้าหยี๋แถมยังไอแค่กๆ ไครีบหยิบแก้วกาแฟออกจากมือผม เดินไปเปิดตู้เย็นเอาขวดน้ำเปล่ามาเปิดฝาแล้วยื่นให้ผม
“ดื่มซะ”
นี่แหละที่ต้องการ ผมรับขวดน้ำมาอย่างรวดเร็ว กาแฟยี่ห้ออะไรวะ ขมติดคอฉิบหาย รีบซัดน้ำเข้าไป แต่เบรกไม่ทันน้ำก็เลยล้นปากและไหลออกมาจนถึงปลายคาง พอค่อยยังชั่วแล้วผมจึงลดขวดน้ำลง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ไคส่งฝาขวดให้พอดี
ขณะที่ผมหยิบฝาขวดมาหมุนปิด มือหนาของคนตรงหน้าค่อยๆ ยื่นเข้ามาใกล้ริมฝีปากผม เขาใช้นิ้วโป้งสัมผัสบริเวณมุมปากที่มีคราบน้ำ จากนั้นจึงเกลี่ยออกอย่างเบามือ วินาทีนั้นผมยืนนิ่งเป็นปูนซีเมนต์ที่ถูกฉาบ กลืนน้ำลายลงคอก่อนจะเหลือบตามองเจ้าของมืออุ่นๆ ตรงหน้า
หลังจากปิดขวดน้ำเสร็จผมว่าจะเช็ดออกเองอยู่แล้ว แต่ไคดันตัดหน้าผมแบบไม่ทันตั้งตัว ก็รู้ว่าอาการของผมค่อยข้างแปลกประหลาด มันอธิบายไม่ได้ และไม่อาจหยุดยั้งหัวใจที่กำลังเต้นแรงอยู่ในขณะนี้ได้ด้วย
เมื่อไคนำมือกลับ ผมสะดุ้งรั้งท้ายคล้ายกับได้สติกลับคืน ยกมือเกาหัวแก้อาการแปลกๆ ก่อนจะหาเรื่องคุยกับเขาเพื่อกลับเกลื่อน
“คุณดื่มเข้าไปได้ยังไง” ผมมองไคที่กำลังยืนพิงเค้าส์เตอร์บาร์ วางเท้าไขว้กันในอิริยาบถที่โคตรสมาร์ท แค่ยืนคนกาแฟ จำเป็นต้องเท่ห์ขนาดนี้ด้วยเหรอวะ
“ฉันไม่ชอบรสหวาน” เอ่ยตอบสั้นๆ
“รวมถึงพวกขนมหวานด้วยหรือเปล่าครับ” ไคพนักหน้า ผมจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นรสนิยมการกินของเราก็ต่างกันมากเลยนะ เพราะของพวกนั้นผมโคตรชอบ ยิ่งตอนวาดรูป ถ้าได้ช็อคโกแลตสักแท่งสองแท่งผมจะเพลินมาก จิตนาการพรั่งพรู บรรเจิดสุดๆ” ผมพูดจบ ไคเงยหน้าขึ้นมาสักพักก็เพ่งสายตาคมใส่ผม
“รสนิยมต่างกันแล้วยังไง”
“ก็ไม่ยังไงครับ ผมแค่พูดให้ฟังเฉยๆ” งงสิ อยู่ๆ จะมาจริงจังอะไรเบอร์นั้น ขนาดผมพูดจบแล้วยังจ้องกันอยู่เลย ไม่รู้นะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จะงงสุดก็ตอนที่เขายื่นแก้วกาแฟในมือมาตรงหน้าพร้อมพูดคำๆ นี้เนี่ยแหละ
“ใส่น้ำตาลมา”
เอ้า? ไหนบอกว่าชอบรสเข้ม และขอโทษเถอะ น้ำตาลวางอยู่ใกล้ตัวเองนิดเดียวทำไมไม่ทำเอง เออ...เอาเหอะ ไหนๆ ผมก็เป็นคนชงให้เขาแต่แรกอยู่แล้ว ช่วยอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป
คิดได้แค่นั้นก็หยิบขวดน้ำตาลก้อน จัดการตักให้ไคไปก้อนหนึ่ง ทว่าในเพียงเสี้ยววินาที คนตัวสูงโน้มตัวเข้ามาใกล้ผมในระยะประชั้นชิด ก่อนจะพูดข้างๆ หูด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ต่อไปนี้...นายก็คอยใส่ความหวานให้ฉันหน่อยละกัน”
เมื่อไคผละตัวออกห่าง ผมกำลังจะสรรหาคำถามเพื่อขอคำอธิบายในประโยคอันแสนครุมเครือนั้น แต่บัฟฟอร์จดันเดินพรวดพลาดเข้ามาในครัวซะก่อน
“จ่าวีล!” นัยน์ตาเขาเบิกกว้าง ดูมีอาการกระสับกระส่ายชัดเจน
“ทำไมต้องทำท่าทางตกใจขนาดนั้น” ไคถาม
“ตำรวจไทยมาถึงลังกาวีแล้ว คุณกับติณณ์ต้องออกจากเกาะเดี๋ยวนี้เลย!”