ตอนที่ 11
เกาะลังกาวีมีอาหารพื้นเมืองที่น่าลิ้มลองมากมาย ถ้าบัฟฟอร์จไม่สรรหามาพวกเราก็คงไม่มีโอกาสได้กิน จะว่าไปเขาก็ใจดีเหมือนกันนะ แตกต่างจากตอนที่ชอบทำหน้าตาบูดบึ้งด้วยซ้ำ ระหว่างที่บัฟฟอร์จจัดอาหารอยู่ผมก็แอบถามไคว่าเขาอายุประมาณเท่าไหร่ เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าคาดคะเนอยู่นานก่อนจะตอบกลับมาว่าอายุประมาณ 28
ในที่สุดอาหารอันโอชะก็มาวางเรียงกันบนโต๊ะอาหาร ผมกับบัฟฟอร์จกำลังจะลงมือทาน แต่ทันทีที่เห็นว่าไคกำลังง่วงอยู่กับโทรศัพท์มือถือ ผมจึงรอเวลาเพื่อทานพร้อมกันกับเขา
“ทำตัวเป็นเพื่อนบ้านที่ดีเหมือนกันนี่” บัฟฟอร์จทานไปด้วยพูดไปด้วย
“...”
ไคนิ่งเฉย ไม่แยแสคำถามนั้นแม้แต่น้อย ผมว่าไคคงบอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังแล้ว บัฟฟอร์ตถึงเกริ่นขึ้นมาแบบนี้ และท่ามกลางความเงียบที่ไร้ซึ่งคำตอบ จะให้นั่งเงียบไปเลยก็ดูกระอักกระอ่วน ผมจึงทำทีหยิบแก้วน้ำมาขึ้นมาดื่มเพื่อรอให้ไคเป็นฝ่ายสนทนากับบัฟฟอร์จไป
“คบกันนานหรือยัง”
อุบ!! น้ำแทบพุ่ง
“เราไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดนะครับ!” ผมพูดโพล่งกับบัฟฟอร์จอย่างทันทีทันใด จะหันไปบอกไคให้ช่วยพูดอะไรแก้ต่างหน่อย เจ้าตัวก็ดันหยิบช้อนขึ้นมากินเอาๆ
แหม...คราวนี้ล่ะกินใหญ่เชียว
“ไม่ต้องเขินหรอกน่า สมัยนี้เรื่องเพศมันเปิดกว้างแล้ว จะมัวปิดบังให้เหนื่อยกันทำไม” บัฟฟอร์จเท้าแขนไว้บนโต๊ะ หันไปมองไคที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วหัวเราะออกมา “ฉันน่ะเข้าใจโลกนี้ดี แต่มันน่าแปลกใจก็ตรงที่ขาโหดอย่างจ่าวีลมีความรักเนี่ยแหละ”
“ตอนกินข้าวเขาไม่มีใครพูดมากกันหรอก” พูดจบ ไคก็หันไปสบตาบัฟฟอร์จ “เดี๋ยวจะติดคอ”
สายตาพร้อมบวกมาก พวกเขาคงไม่ใช้โต๊ะกินข้าวเป็นสมรภูมิรบหรอกนะ
“โว้ว เป็นความลับซะด้วย...ดีแล้วล่ะ ให้มันลึกลับแบบนี้ตื่นเต้นดี” เจ้าของบ้านทานข้าวต่อ แต่ก็ยังไม่วายพูดทิ้งท้ายกับผม “คืนนี้จะทำอะไรก็ตามสบายเลยนะ ฉันเป็นคนนอนหลับลึก ต่อให้เสียงดังแค่ไหนก็ไม่ได้ยินหรอก”
โห...คิดไปถึงไหนว่ะเนี่ย ผมกำลังจะอธิบายเพื่อไม่ให้บัฟฟอร์จเข้าใจผิด แต่ไคดันพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ไหนล่ะก๋วยเตี๋ยวแกง”
“อยู่ในครัว ไปตักเอาสิ”
“...” ไคเงียบ เป็นสัญญาณให้บัฟฟอร์จรู้ว่าเหมายถึงอะไร มันจึงไม่แปลกหากเขาจะเกิดอาการยัวะขึ้นมา
“ถามจริง คุณเห็นผมเป็นเจ้าบ้านอยู่หรือเปล่า ที่นี่ไม่ใช่กองทัพนะจ่า จะมาใช้อำนาจสั่งการผมเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ผมให้ที่ซุกหัวนอนแถมออกไปซื้ออาหารให้กินอีก ช่วยระแวงว่าผมอาจจะแอบวางยาในอาหารหน่อยเถอะ ไม่ต้องไว้ใจกันขนาดนี้ก็ได้”
“ฉันให้นายชิมทุกอย่างก่อนอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก”
“เพราะงั้นผมถึงต้องเป็นคนไปเอาสินะ” บัฟฟอร์จหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก ใช้สายตาคาดโทษจ้องมองไคก่อนจะลุกจากเก้าอี้อย่างไม่สบอารมณ์ น่าสงสารแฮะ
เมื่อโต๊ะอาหารเหลือเราแค่สองคน ผมจึงรีบเปิดประเด็นเรื่องที่ค้างคาใจทันที
“จะให้คุณบัฟฟอร์จเข้าใจเราผิดแบบนี้น่ะเหรอ”
“ใครเป็นเริ่มล่ะ” ไคพูดขณะที่ยังคงทานอาหารตรงหน้าอยู่
“ผมก็แค่เล่นละครเพื่อไม่ให้พนักงานที่โรงแรมสงสัย แต่ดูสิ เป็นเพราะคุณมันถึงได้เลยเถิดมาขนาดนี้ ก็รู้แหละว่าสนุกที่ได้ล้อผม แต่คุณไม่อึดอัดกับสายตาที่คุณบัฟฟอร์จมองเราเลยหรือไง”
“นายอึดอัด?” เขาวางช้อนลง แล้วเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างจริงจัง
“ผมก็แค่...”
...แค่ไม่อยากให้ใครเข้าใจคุณผิด
“รู้จักหมอนั่นแค่วันเดียวจำเป็นต้องแคร์คำพูดของเขาด้วยเหรอ ทีตอนออดอ้อนฉันต่อหน้าพนักงานที่โรงแรมนายยังหน้าระรื่นอยู่เลย ทำไม? เพิ่งรู้ตัวว่าอึดอัดหรือไง”
“คือ...”
“สุภาพบุรุษทั้งสอง! ก๋วยเตี๋ยวแกงมาแล้ว” บัฟฟอร์จปรากฏตัวพร้อมกับชามในมือ น้ำเสียงประชดประชันใช่เล่น หลังจากนั้นผมจึงไม่มีโอกาสพูดต่อ ซึ่งไคเองก็หยุดกินอาหารไปดื้อๆ
“บัฟ” คนพูดวางช้อนลง
“ว่า”
“ฉันกับติณณ์ไม่เป็นอย่างที่นายคิด...เลิกมโนได้แล้ว”
“What?”
“ขอตัว” คนตัวสูงลุกจากเก้าอี้ และกำลังจะเดินออกไป
“อิ่มแล้วเหรอครับ” ประโยคของผมทำให้เขาหยุดยืนและมองมาโดยไม่ปริปากพูดอะไร ซึ่งถ้าจะให้เดาสิ่งที่เขาคิดในเวลานี้ผมว่ายาก มันคิดได้หลายอย่างจนน่าสบสนไปหมด เพราะนอกจากสีหน้าที่เรียบเฉยแล้ว ท่าทางและน้ำเสียงพูดของเขามันมีอะไรมากกว่านั้น ผมรู้สึกตงิดใจแปลกๆ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“เขายังเป็นโรคเฉยชากับคำถามเหมือนเดิม” บัฟฟอร์จพูดแค่นั้นก็หันไปทานอาหารต่อ ผมว่าพวกเขาค่อนข้างรู้จักกันเป็นอย่างดี แม้ไคจะบอกว่าไม่สนิทผมก็ยังอยากรู้ว่าเรื่องระหว่างพวกเขาเป็นมายังไง
ผมยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ลังเลอยู่สักพักก็ตัดสินใจถามบัฟฟอร์จทันที
“พวกคุณรู้จักกันได้ยังไงครับ”
“รักษาความเท่าเทียมเหลือเกินนะ ถ้าฉันถามได้นายก็ต้องถามได้งั้นสิ” โดนคำแหนบแนมชุดใหญ่ การอยากรู้อะไรจากผู้ชายคนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแฮะ
“มันเป็นความลับเหรอครับ” ผมยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ
“ฉันเคยถูกจับเข้าคุกในข้อหาโจรกรรมข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ เพราะดันไปเจาะระบบของบริษัทแห่งหนึ่งเพื่อขายข้อมูลให้กับบริษัทคู่แข่ง ประเด็นคือความเก่งกาจของฉันมันดันไปเข้าหูผู้บัญชาการทหารของกองทัพสหรัฐ พวกเขาก็เลยส่งวีลมาคุมตัวฉันเพื่อมาลองแฮกข้อมูลลับในวิธีการเดียวกัน แต่ตรงข้ามเป็นถึงฝ่ายศัตรูที่กำลังทำให้ความมั่นคงของชาติสั่นคลอน” บัฟฟอร์จวางช้อน และเริ่มพูดกับผมอย่างจริงจัง “พอภารกิจแรกเสร็จสิ้น ฉันได้ลดโทษตามสัญญา แต่จากนั้นไม่นานฉันก็โดนวีลคุมตัวไปๆ กลับๆ ระหว่างฐานทัพกับคุกเรื่อยมา พวกเขาใช้งานฉันคุ้ม จนบางวันแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน ทั้งกดดันทั้งกลัวตาย ฉันว่าให้ติดคุกยังสบายดีกว่าอีก”
พอได้ฟังก็เข้าใจทันทีว่าไคเคยเป็นทหาร แล้วเพราะอะไรเขาถึงต้องฆ่าคนล่ะ...
“แล้วเรื่องที่เขาเคยถูกจับเข้าคุกข้อหาฆาตกรรมล่ะครับ คุณพอจะทราบรายละเอียดมั้ย”
“วีลน่ะนะ!” บัฟฟอร์จแสดงท่าทีตกใจ
“ครับ”
“การไม่ได้เจอเขามาเกือบสิบปี มันทำให้ฉันพลาดอะไรไปเยอะขนาดนี้เชียวเหรอ...สงสัยต้องสืบหน่อยแล้ว” ฟังจากที่พูด แปลว่าเขาไม่รู้ เท่ากับว่าความสงสัยนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องราวดำมืดอยู่ แต่เดี๋ยวก่อน! รู้สึกว่าเมื่อกี้มันจะมีอีกความสงสัยหนึ่งที่ยังค้างคาใจผมนะ
“ทำไมคุณถึงเรียกเขาว่าวีลล่ะครับ” ผมถาม
“เพราะเขาคือจ่าวีลไง ในกองทัพก็มีคนเรียกเขาด้วยชื่อนี้ทั้งนั้น ทำไม? นายคิดว่าชื่อเขาอะไร”
“เขาบอกว่าเขาชื่อไค”
“ไค?” เขาทวนชื่อพร้อมขมวดคิ้วหนัก “เพิ่งจะเคยได้ยิน อาจเป็นฉายาก็ได้มั้ง”
เอาล่ะ ถ้าผมถามบัฟฟอร์จต่อไปก็คงได้เพียงการคาดเดา เพราะนอกจากเรื่องในกองทัพแล้ว ดูเหมือนเขาจะไม่รู้อะไรอย่างอื่นเกี่ยวกับไคเลย ฉะนั้น ผมควรหาประเด็นใหม่เพื่อหาที่จบบทสนทนา
“เออ...เรื่องที่เขาขอให้คุณช่วยในวันนี้ คุณต้องช่วยเขาให้ได้นะครับ ถ้ามีอะไรที่ผมพอช่วยได้ ผมยินดีช่วยเต็มที่” แน่นอนว่าผมคงช่วยอะไรไม่ได้มากนอกเสียจากให้กำลังใจ แต่ดูท่าว่าเขาจะตีความสิ่งที่ผมพูดได้ลึกซึ้งกว่านั้น
“เนี่ยแหละน้า~ ความรัก ชัดเจนขนาดนี้ยังจะมาปฏิเสธกันอีก”
“เอ๊ะ?”
“พรุ่งนี้ฉันพยายามเจาะข้อมูลให้อย่างสุดฝีมือล่ะกัน ระหว่างนั้นพวกนายก็ไปเที่ยวที่เคเบิ้ลคาร์กันสิ ไหนๆ ก็มาถึงลังกาวีแล้ว จะหายใจทิ้งไปเฉยๆ ทำไม รู้มั้ยว่าการไม่ไปเหยียบเคเบิลคาร์ก็เท่ากับมาไม่ถึงลังกาวีนะ”
“ชีวิตเขากำลังอยู่ในขั้นวิกฤติ คงไม่มีอารมณ์ไปเที่ยวไหนหรอกครับ”
“นายอย่าไปคิดแทนเขาสิ ลองชวนก่อน ถ้าเขาไม่ไปก็ไม่ต้อง”
หลังจากทานอาหารเสร็จ ผมเดินหอบผ้าห่มที่ขอคุณบัฟฟอร์จเพิ่มเข้ามาในห้อง เห็นไคกำลังเช็ดอุปกรณ์ปืนแล้วเตรียมประกอบเข้าไปใหม่ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ถึงได้เห็นรังสีอำมหิตแผ่ซ่านอยู่รอบตัวเขา อยู่ๆ บรรยากาศก็อึมครึมขึ้นมาซะอย่างนั้น ผมเดินไปวางผ้าห่มไว้บนเตียง ลังเลอยู่นานว่าจะพูดเรื่องที่บัฟฟอร์จแนะนำดีมั้ย ขณะที่อีกใจโคตรจะกลัวเขาดุ หรือไม่ก็เงียบใส่ผมอย่างที่เคยทำบ่อยๆ
เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน
“เขาว่ากันว่า...วิวในลังกาวีจะสวยมากหากได้มองจากมุมสูง คุณอยากเห็นหรือเปล่าครับ” เป็นการพูดที่ใช้เวลาไตร่ตรองโคตรนาน ใจผมตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวโดนด่าฉิบหาย
“เขาที่ว่านั่นใคร?” เสียงแข็งทื่อมาเชียว
สักวันผมต้องประสาทชนิดวิตกกังวลและหวาดระแวงขั้นวิกฤตแน่ๆ
“บัฟฟอร์จอยากให้ผมชวนคุณไปเที่ยวเคเบิ้ลคาร์น่ะครับ” พูดจบ ไคก็เงยหน้าขึ้นมามองผม
“ถ้าไม่มีฉันคอยประกบ หมอนั่นต้องทำงานชักช้าแน่”
“อ้อ...ผมก็ว่างั้น” รีบคล้อยตามโดยอัตโนมัติ เรื่องเคเบิลคาร์ถือเป็นอันตกไปละกัน
“อยากไปหรือไง”
“ผมยังไงก็ได้ครับ คุณว่าไงผมก็ว่าอย่างนั้น” ผมพูดตามที่คิดจริงๆ นะ ตอนนี้อยู่ในช่วงของการหลบหนี หากออกไปข้างนอกก็เท่ากับเสี่ยง และที่สำคัญคือเราต้องรีบหาตัวคนร้ายให้เร็วที่สุด
“แปลว่านายจะเชื่อฟังฉัน?”
“ครับ”
“งั้นอย่างแรก...”
ไคหยุดพูด เลื่อนสายตาจากผมลงไปมองผ้าห่มตรงปลายเตียง
“เอาผ้าห่มที่นายหอบมาไปคืนซะ”