ตอนที่ 15
ผมกับไครีบเดินเข้าไปในห้องทำงานของบัฟฟอร์จ เห็นภาพถ่ายจากกล้องในรถของไคถูกประมวลผลเป็นข้อมูลที่ถูกเจาะได้ แปลงเป็นภาพใบหน้าของชายที่ละม้ายคล้ายคนที่เคยบุกเข้าบ้านผม อันที่จริงผมก็เห็นหน้าตาเขาไม่ชัดหรอก แต่ดูจากรูปร่างแล้วพอเป็นไปได้อยู่
น่าแปลกอย่างหนึ่งตรงที่เขาใส่สูทผูกไทด์ เพราะมันให้อารมณ์เหมือนคนมีภูมิฐานมากกว่าโจรผู้ร้ายซะอีก
“ผมแฮกหาข้อมูลของหมอนี่ได้คนเดียว เพราะภาพที่ได้มาใบหน้าเขาชัดสุด” บัฟฟอร์จพิมพ์อะไรสักพักก็ใช้เม้าส์คลิกเพื่อป้อนสั่งปริ้นเ ก่อนจะเดินไปยังเครื่องปริ้นเพื่อยืนรอเอกสาร “แหล่งข้อมูลที่เจาะได้เป็นแฟ้มข้าราชการในหน่วยงานทหารที่มีประวัติไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
พูดจบเขาก็ยื่นเอกสารที่ปริ้นออกมาให้ไคอ่าน ซึ่งประกอบไปด้วยภาพถ่ายและประวัติเท่าที่พอเจาะข้อมูลได้ ผมชำเหลืองดูด้วยความอยากรู้ โดยมีบัฟฟอร์จคอยอธิบายประกอบ
“เขาชื่อนายณรงค์ เคยรับราชการทหารมา 15 ปี ก่อนจะถูกปลดเพราะกระทำความผิดฐานเปิดเผยข้อมูลลับทางการทหาร แต่เขากลับไม่ยอมเข้ามอบตัว หลบหนีไปหลายปีกว่าจะมาเจอข้อมูลอีกว่าปลายปีก่อน เขาถูกดึงตัวไปทำงานให้กับเจ้าของบริษัททราน เทอร์มินัลอย่างนายศักดา ธวัชพิชัย” ว่าแล้วก็ยื่นเอกสารอีกชุดให้ “ไอ้แก่นี่ครอบครองสัมปทานการขนสินค้าในท่าเรือสัตหีบ เปิดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และบริษัทเงินกู้ด้วย เรียกว่ารวยระดับมหาเศรษฐี ผมเจาะข้อมูลทางคดีพบว่าเขาเคยถูกสงสัยว่ามีการขนส่งอาวุธ แต่ก็รอดตัวไปเพราะหลักฐานไม่มีน้ำหนัก หึ...คนมีเงินทำได้ทุกอย่าง ทุกวันนี้ผมถึงต้องหาเงินเพื่อเอาไว้จ้างทนาย ซื้ออัยการ ตำรวจ และจ่ายใต้โต๊ะให้นักการเมืองอะไรแบบเนี้ย”
“อดีตทหารอย่างเขาจะต้องการอะไร ถึงได้เข้าไปรื้อค้นในบ้านของนาย” ฟังเหมือนไคกำลังพูดกับผม “แถมยัง...ทำงานให้นายศักดาด้วย?”
“อาจเป็นของสำคัญก็ได้” บัฟฟอร์จเอ่ย ก่อนที่ไคจะหันมาผมแล้วเอารูปชายสองคนในเอกสารมาให้ผมดู
“นายเคยเห็นหน้าผู้ชายสองคนนี้หรือเปล่า”
“ไม่ครับ” ผมตอบ ไคจึงหันไปถามไถ่บัฟฟอร์จอีกครั้ง
“นายแน่ใจนะว่านายณรงค์ทำงานให้นายศักดาแค่คนเดียว” ไคคงสงสัยว่านายณรงค์อาจรับจ้างทำงานนี้ให้กับคนอื่นนอกจากนายศักดา
“เรื่องนั้นผมตอบไม่ได้หรอก แต่ถ้าจะหาว่านายศักดาเกี่ยวข้องกับพ่อแม่ติณณ์ยังไง มันยังพอมีวี่แววอยู่” เขากล่าวอย่างมั่นใจ ลงไปนั่งบนแท่นประจำและละเลงนิ้วมือบนคีย์บอร์ดด้วยความไวแสง “ผมสืบความเคลื่อนไหวของนายศักดาย้อนไปหนึ่งเดือน มันมีอะไรแปลกๆ แบบบอกไม่ถูก ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาเอาเงินหลายล้านไปอุปถัมภ์ทุนวิจัยของศูนย์ค้นคว้าและทดลองยาเพื่อสถาบันโรคหัวใจ”
ได้ยินดังนั้น ผมถึงกับผงะ!
“แล้วมันเกี่ยวกับพ่อแม่ของเจ้าเด็กนี่ตรงไหน”
“เออคือ...” ผมอ้ำอึ้ง “พ่อกับแม่ผมเคยทำงานที่นั่นครับ”
ไคมองผมอย่างแปลกใจ ก่อนที่บัฟฟอร์จจะพูดขึ้น
“พ่อของนายเป็นหัวหน้างานวิจัยของศูนย์มาเกือบยี่สิบปี แต่จากที่นายพูดเมื่อกี้ แสดงว่าพวกเขาลาออกจากที่นั่นแล้วใช่มั้ย”
“ใช่ครับ” ผมพยักหน้าประกอบ “พ่อกับแม่ผมเพิ่งลาออกเมื่อสามอาทิตย์ก่อน หลังจากนั้นพวกท่านก็ย้ายบ้านเพราะบริษัทเวชภัณฑ์ที่พ่อเพิ่งได้งานมาอยู่ไกลจากบ้านเก่า”
คำอธิบายของผมทำให้บัฟฟอร์จขมวดคิ้วมุ่น
“มันชักยังไงๆ อยู่นะ นายศักดาเพิ่งให้ทุนวิจัยไปเดือนที่แล้ว แต่พ่อกับแม่นายดันลาออกแบบกะทันหัน และที่สำคัญ พ่อนายเป็นถึงหัวหน้างานวิจัย การลาออกไปดื้อๆ มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ”
“เขาสองคนลาออกเพราะอะไร เคยบอกเหตุผลให้นายรู้หรือเปล่า” ระหว่างที่ผมกำลังคิดตามคำพูดของบัฟฟอร์จ ไคก็ถามผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ทันที
“พ่อบอกแค่ว่างานที่นั่นเหนื่อย และท่านเองก็แก่แล้วเลยอยากหางานอะไรที่สบายกว่า”
หลังจากได้ยินพวกท่านพูดอย่างนั้นแล้วผมยิ่งสนับสนุนด้วยซ้ำ เพราะงานที่ศูนย์วิจัยมันหนักจริงๆ อย่างในหนึ่งอาทิตย์ผมเห็นพ่อกลับมานอนบ้านแค่สองวัน ส่วนแม่ก็ทำงานอยู่ในแผนกปฏิบัติการ ต้องกลับบ้านดึกแทบทุกวัน เมื่อพวกท่านลาออกมาแล้วผมจึงรู้หมดห่วงมากกว่าสงสัยว่าทำไมถึงออก ก็เลยไม่ได้ถามอะไรมากมาย
ไคยืนเงียบไปสักพัก ก่อนจะถามบางอย่างกับบัฟฟอร์จ
“นายหาข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับงานวิจัยนั่นได้มั้ย ฉันอยากรู้ว่านายศักดาต้องการอะไรและทำไมพ่อแม่ติณณ์ถึงตัดสินใจลาออกจากที่นั่น” ดูจากสีหน้าแล้วก็พอรู้ว่าในหัวเขาเต็มไปด้วยความกังวลใจ “ไม่แน่ว่าสิ่งที่พวกมันต้องการ อาจเกี่ยวข้องกับงานวิจัยนั้นก็ได้”
“ไอ้ได้น่ะได้ แต่มันต้องใช้เวลานานกว่าจะเจาะผ่านระบบความปลอดภัยได้ พวกสถาบันวิจัยหรือสถานพยาบาลมีข้อมูลผู้ป่วยอยู่ ฉะนั้นระบบการป้องกันระดับสิบดาวแน่นอน ถ้าอยากได้ข้อมูลเร็วกว่านี้ ผมว่าคุณไปถามจากปากพ่อแม่ของติณณ์เลยดีกว่า” บัฟฟอร์จเสนอหนทางที่เป็นไปได้ในเวลานี้
“ทำไมนายศักดาต้องสนับสนุนงานทดลองเกี่ยวกับโรคหัวใจด้วย ฉันคิดยังไงก็ไม่เห็นทางว่าเขาจะได้ประโยชน์ตรงไหน” พูดจบไคก็ขยับเก้าอี้แล้วนั่งลง ในหัวของทุกคนมีแต่ข้อสงสัย พยายามหาคำตอบอย่างมีสติ แต่ผมนี่สิที่ทำไม่ได้ ความคิดของผมมันสุดโต่งกว่านั้น และมันโคตรจะบั่นทอนกำลังใจของผมเลย
“ไม่แน่ว่าสิ่งที่ทำให้คนกลุ่มนั้นบุกเข้าบ้านในคืนนั้น อาจเกี่ยวเนื่องกับสาเหตุที่พ่อแม่ของติณณ์ลาออกก็ได้ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงมันน่าแปลก เพราะคนร้ายไม่ลงมือทันทีที่พวกเขาลาออก...จำเป็นต้องรอให้ผ่านมาถึงสามอาทิตย์ด้วยเหรอ และที่โคตรจะสงสัยอีกข้อก็คือ...พวกเขารู้หรือเปล่าว่ามีคนร้ายเข้ามาค้นบ้านเพื่อหาอะไรบางอย่าง หรือตอนนี้กำลังนั่งไม่ติดกับที่เพราะลูกชายถูกลักพาตัวแค่นั้น” คำพูดของบัฟฟอร์จทำให้ผมนึกถึงคำพูดของแม่ขึ้นมาทันที
‘ตอนนี้ลูกยังกลับมาไม่ได้ เพราะที่บ้านเราไม่ปลอดภัยสำหรับลูกแล้ว’
มันยังมีเหตุผลอื่นที่พ่อกับแม่ต้องลาออกอีกหรือเปล่า คนมีอิทธิพลขนาดนั้นจะต้องการอะไรจากพวกท่านกันแน่ ที่บอกไม่ได้กลับบ้านเพราะมันไม่ปลอดภัยสำหรับผม แสดงว่าพ่อกับต้องตระหนักถึงภัยคุกคามบางอย่าง
แบบนี้ก็แสดงว่าพวกเขารู้ตัวดีว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย!
“พ่อกับแม่ผมกำลังโดนตามล่าหรือเปล่าครับ ถ้าพวกมันไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ไม่แน่ว่าพ่อแม่ผมอาจจะ...”
“ถ้าเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นจริงมันก็คงเกิดไปนานแล้ว นายอย่าเพิ่งวิตกเลย” บัฟฟอร์จรู้ว่าผมจะพูดอะไร จึงรีบตัดบทเพื่อให้ผมตั้งสติและใจเย็นกว่านี้
“พ่อแม่นายยังปลอดภัยก็แสดงว่าพวกมันยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ และอีกอย่าง ช่วงนี้ก็กำลังมีข่าวลักพาตัวนายอยู่ ถ้าพลีพล่ามทำอะไรพ่อแม่นายเข้าคดีอาจจะพลิกได้ ฉะนั้นการทำให้ฉันเป็นแพะรับบาปคงไร้ประโยชน์ และพวกมันอาจถูกเพ่งเล็งซะเอง” ผมรู้ว่าไคพยายามอธิบายสถานการณ์เพื่อไม่ให้ผมคิดมาก ซึ่งแน่นอนว่าผมเข้าใจเป็นอย่างดี ถ้าไม่ติดว่าวันนั้นผมจำได้ดีว่าน้ำเสียงอันตื่นตระหนกของแม่มันชัดเจนแค่ไหน
“แม่บอกว่าที่บ้านไม่ปลอดภัยสำหรับผม ถึงได้บอกให้ผมหนีไปกับคุณ แสดงว่าพ่อกับแม่รู้อยู่แก่ใจว่าคนพวกนั้นเข้ามาบุกถึงบ้านเพื่ออะไรใช่มั้ยครับ...”
“ว่าไงนะ” ไคเลิกคิ้วขึ้นสูง “นายได้คุยกับแม่ตอนไหน”
วิญญาณผมแทบออกจากร่างทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น
ให้ตายเถอะ! นี่ผมเพิ่งหลุดปากเรื่องแอบโทรหาแม่ไปงั้นเหรอ
“เออ...ผมใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรหาท่านตอนนั่งรถสองเข้าหาดใหญ่ครับ” สุดท้ายก็ต้องสารภาพไปตามตรง
“มิน่า ตำรวจถึงรู้ความเคลื่อนไหวเร็วนัก” บัฟฟอร์จเอ่ยผสมโรง “ฉันว่าพวกคนร้ายต้องแอบดักฟังโทรศัพท์แล้วคาบข้อมูลไปบอกตำรวจในฐานะผู้หวังดีแน่ๆ”
อ้า~ เพราะแบบนี้เอง ไคถึงห้ามนักห้ามหนาว่าอย่าเพิ่งโทรหาพ่อกับแม่
“ผมขอโทษที่ขัดคำสั่งคุณ” ก้มหน้า รู้สึกผิดขึ้นมาทันควัน
ทว่าในขณะที่กำลังเงยหน้าขึ้นมา ไคก็เดินออกจากห้องโดยไม่เหลียวหลัง เขาทิ้งให้ผมยืนเหวอ ทำอะไรไม่ถูก จะมีก็แต่บัฟฟอร์จที่เดินมายืนข้างๆ แล้วยกมือกอดคอผมอย่างหนักหน่วง
“ฉันเห็นเขาทำหน้าแบบนั้นครั้งสุดท้ายตอนกระทืบสายลับจากรัสเซียจนบาดเจ็บสาหัส”
บัฟฟอร์จกำลังขู่ผมถูกมะ
ผมเห็นไคเดินไปตรงระเบียง ก็เลยตั้งใจว่าจะตามไปขอโทษเขาอีกครั้ง แค่เห็นแผ่นหลังผมก็รู้สึกกล้าๆ กลัวๆ เพราะความผิดพลาดครั้งนี้มันไม่ได้สร้างปัญหาให้เขาอย่างเดียว แต่มันอาจเป็นอุปสรรคต่อการหลบหนีเพื่อหาทางจับคนร้ายตัวจริงด้วย
“ไค...” ผมเริ่มด้วยการเรียกเขา พร้อมขยับเท้าเข้าไปใกล้เรื่อยๆ “ผมขอโทษจริงๆ”
“...” ยังเงียบอยู่ ขนาดผมเดินไปจนจะทาบหลังแล้วเขายังไม่ยอมหันมาเลย
“ผมผิดไปแล้ว อย่าโกรธผมเลยนะครับ”
พูดจบไปไม่นาน ไคก็ค่อยๆ หันหลังกลับมา
“นายไม่เชื่อใจฉัน”
“เอ๊ะ?”
“นายกลับมา เพราะคำพูดของแม่” นัยน์ตาสีฟ้าจดจ้องผมไม่วางตา
กระทั่งประโยคสุดท้ายถูกเปล่งออกมาให้อารมณ์ที่แสนหดหู่ใจ...
“แต่นาย...ไม่ได้เชื่อใจฉันจริงๆ”