ตอนที่ 9
ไคจ้องผมเขม็ง เหมือนกำลังข้องใจกับสิ่งที่ผมพูด และเพื่อเป็นการชี้แจงความในใจ ผมขอพูดกับเขาอย่างตรงไปตรงมาเลยล่ะกัน จะได้เข้าใจสิ่งที่ผมกำลังคิดเสียที
“ผมว่าผมคิดดีแล้ว”
“คิดอะไร” ไคขมวดคิ้วหนัก
“ผมรู้สึกเคารพคุณ” ผมเลือกที่จะประจันหน้ากับเขาตรงๆ และพูดออกไปว่า “มาเป็นพ่อเลี้ยงของผมได้มั้ย!”
“…”
“…”
เงียบกริบกันทั้งคู่ เราต่างคนต่างจ้องกันสักพักก่อนที่ไคจะถอดสีหน้าและถอนหายใจอย่างแรง
“พ่อเลี้ยง?”
“ใช่ครับ ในเมื่อผมเป็นน้องไม่ได้ เป็นหลานไม่ได้...ก็ขอเป็นลูกซะเลย”
ตั้งแต่คืนที่ผมขอความช่วยเหลือจากไค ชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเด็กมหา’ลัยธรรมดาต้องขาดเรียนมาหนีผู้ร้าย ต้องตะลอนไปเรื่อยจนมาถึงเกาะลังกาวี และจากนี้จะเป็นไงต่อก็ไม่รู้ ทว่าสิ่งที่ผมวิตกกังวลนอกจากเรื่องการพ้นผิดของไคก็คือการจากไปของเขา ผมรู้สึกเศร้าใจหากวันหนึ่งเราเจอกันแล้วไคกลับมองว่าผมเป็นแค่คนรู้จัก หรือนานวันที่ไม่ได้ติดต่อกันจะเป็นผลให้เราห่างเหินจนกลายเป็นคนแปลกหน้าในที่สุด
ไคบอกว่าไม่อยากพรากอะไรไปจากผม ก็แปลว่าเขาจะเอาตัวออกห่าง แทนที่จะให้ผมจากพ่อแม่เพื่อไปกับเขา นั่นสินะ เขาอาจไม่อยากให้ผมต้องเจอกับสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ แต่หลังจากที่ผมเชื่อใจเขาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวคือผมเคารพไค อยากใช้คำว่าสนิทสนมกับเขา อยากเป็นเหมือนคนในครอบครัว และอยากเป็นคนที่เขาให้ความเอ็นดูเหมือนลูกหลาน ซึ่งความรู้สึกนี้เองที่ทำให้ผมไม่อยากให้เขาจากไป
“ด่าฉันว่าแก่ยังดีซะกว่า”
“ผมไม่ได้จะว่าอะไรคุณนะ แค่อยากได้คุณมาเป็นพ่ออีกคนเฉยๆ”
“แต่ฉันไม่อยากให้นายเป็นลูก”
“แล้วระหว่างเรามันต้องจะใช้คำไหนระบุสถานะล่ะครับ ผู้ร่วมทาง ผู้ร่วมชะตากรรม เพื่อนมนุษย์ คนรู้จัก อะไรแบบนั้นน่ะเหรอ” ความเฉยชาของไคกำลังทำให้ผมหงุดหงิดโคตรๆ ก็รู้ว่ามันเป็นสิทธิ์ของเขา แต่มันอดน้อยใจไม่ได้จริงๆ
“ฉันไม่อยากขีดเส้นว่าเราควรรู้จักกันแบบไหน เพราะในที่สุด อนาคตจะกำหนดทุกอย่างด้วยตัวของมันเอง หรือถ้าไม่นับว่าวันหนึ่งนายอาจต้องแนะนำฉันกับใครๆ...เท่าที่เราเป็นตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้ว” หลังจากได้ยินคำสุดท้าย ผมเริ่มใจชื่นขึ้น จนอดสงสัยไม่ได้ว่าสิ่งที่เขาพูดมันเริ่มมีอิทธิพลต่อจิตใจกับผมตั้งแต่เมื่อไหร่
“ผมนึกว่าคุณไม่อยากนับญาติกับผมซะอีก” ฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะคิดอะไรบางอย่างออก คือมันก็สร้างความคาใจให้ผมตั้งแต่เมื่อกี้แล้วล่ะ “ว่าแต่...คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเรียนศิลปะ”
ไคครุ่นคิด ยกกาแฟขึ้นดื่มเพียงอึกเดียวก็เอ่ยตอบ
“ตอนออกกำลังกายอยู่บนบ้าน ฉันเดินไปตรงหน้าต่างเพราะเห็นเด็กผู้ชายยืนอยู่หน้าประตูรั้ว เขาใส่ชุดนักศึกษา สะพายเป้ แล้วก็ถือกระดานวาดรูป ฉันแง้มผ้าม่านเพื่อดูให้ชัดๆ แต่ไม่นานนักเขาก็รีบเดินไป”
อ้า~ ผมสินะ ตอนนั้นผมเพิ่งทานข้าวเช้าเสร็จและกำลังเดินทางไปมหา’ลัย ระหว่างเดินผ่านบ้านข้างๆ ผมหยุดยืนดูเพราะอยากรู้ว่ามีคนอยู่อย่างที่พ่อบอกไว้หรือเปล่า ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริง เพราะผมเห็นคนในบ้านแง้มผ้าม่านออกพอดี
“ตอนนั้นคุณหลอนมากขอบอก เห็นบ้านร้างๆ มีคนอยู่แล้วผมไม่ค่อยชิน” ผมเจื่อนยิ้มพร้อมพูดต่อ “เอางี้ดีมั้ย ไว้กลับไปผมจะทำความสะอาดหน้าบ้านให้คุณเอง จะปลูกต้นไม้ใหม่ วางสนามหญ้าใหม่ เอาให้น่าอยู่ไปเลย”
ไคเลิกคิ้วสูง เหลือบตามองผมอย่างมีเลศนัย
“กำลังหวาดล้อมให้ฉันอยู่ต่อหรือไง”
“...” ผมเงียบ พลางหันหลบสายตาของเขาไปอีกทาง
หากแต่คำพูดของเขายังแว่วอยู่ข้างหู...
“รู้ตัวมั้ยว่านายกำลังจะทำให้ฉันกลายเป็นคนไม่มีความแน่วแน่” พูดจบไคก็ลุกเดินออกไปจ่ายเงินค่าเครื่องดื่ม ทิ้งให้ผมนั่งจับเจ่าอยู่ที่โต๊ะโดยไร้ซึ่งความคิดใดใด อยู่ๆ สมองก็ว่างเปล่า เฝ้าทวนคำพูดของไคไปมา
ไม่นาน...รอยยิ้มของผมก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น
ไคเช่ารถโดยใช้ใบขับขี่ปลอมเป็นเอกสารในการขอเช่า ผมแอบเหล่มองด้วยความอยากรู้จึงพบว่าเขาใช้ชื่อปลอมด้วย เมื่อเจรจากันเรียบร้อยเขาก็จ่ายเงินค่ามัดจำจำนวนหนึ่งไป ไคบอกว่าไม่เคยมาลังกาวีเลยส่งแผนที่ให้ผมคอยบอกทางให้ โชคดีที่ผมสามารถพูดอ่านเขียนภาษาอังกฤษได้พอสมควร จึงไม่เป็นอุปสรรค
เวลาผ่านไปพักใหญ่ รถยนต์ก็ขับเคลื่อนมาในซอยแคบๆ จากถนนคอนกรีตเปลี่ยนเป็นทางดินลูกรัง สองข้างทางเป็นต้นไม้สูงใหญ่ มองดูแล้วน่าจะเป็นเขตชุมชนมากกว่าแหล่งท่องเที่ยว และเมื่อมองตรงไปจนสุดลูกตา พวกเราก็พบกับบ้านไม้หลังใหญ่ ทรงคล้ายกับบ้านเรือนไทยแต่ดูวิจิตรงดงามกว่า
ไคบอกว่าน่าจะเป็นบ้านหลังนั้น พอขับมาถึงเขาจึงหยุดรถและเดินเข้าไปเคาะประตูทันที
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ระหว่างรอเจ้าของบ้านมาเปิดประตู ผมเห็นไคนำปืนขึ้นมาถือไว้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะสั่งให้ผมเดินหลบไปตรงเสาตอม่อที่ทำจากคอนกรีต ส่วนเขาก็รอจังหวะอยู่เงียบๆ
ผมยืนพังผนังภายนอกซึ่งเป็นไม้ตีเกล็ดสีน้ำตาลเข้ม ชะเง้อดูระเบียงด้านขวามือก็เห็นหลังคาบ้านทรงมนิลามุงกระเบื้องสีแดง เดาได้ว่าเจ้าของบ้านหลังนี้มีรสนิยมไม่น้อย
ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าของบ้านหลังนี้จะเป็นแฮกเกอร์
แอด!!
เปิดประตูแล้ว...ผมรีบหลบดีดีและรอลุ้นอยู่ห่างๆ ว่าไคจะทำยังไงต่อ
“วีล!”
เมื่อเจ้าของบ้านเห็นหน้าไค เขาก็ขานอะไรบางอย่างออกมา ผมไม่รู้ว่ามันเป็นศัพท์พื้นเมืองของที่นี่หรืออะไร แต่เอาเถอะ มันไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนั้น เพราะตอนนี้ผมเห็นไคพยายามดันประตูเข้าในขณะที่อีกฝ่ายออกแรงดันประตูให้ปิดจนหน้าดำหน้าแดง ดูยังไงเจ้าของบ้านก็ดูไม่เต็มใจที่จะต้อนรับพวกเราเท่าไหร่ ไคถึงได้หยิบปืนขึ้นมาเพื่อเตรียมการบังคับแต่แรก อุอาจเกินไปแล้ว ถ้าเกิดปืนมันลั่นขึ้นมาจะทำยังไง
“ถอยไป! ไม่อย่างนั้นผมจะร้องให้คนช่วย” ชายคนนั้นตะหวาดเสียงดัง
กึก!
ผมเบิกตากว้าง เมื่อปลายกระบอกปืนของไคกำลังจ่อไปตรงขมับของผู้เป็นเจ้าของบ้าน
“'งั้นก็ให้ฉันเป่าหัวนายเลยสิ มันน่าจะดังกว่า” ฟังน้ำเสียงของไคแล้วรู้สึกสะท้านไปทั้งทรวง เขาจ้องคนตรงหน้าเขม็ง ไม่ต่างกับการให้สัญญาณเตือนว่าเขาพูดจริงและอาจปล่อยลูกกระสุนออกมาได้ทุกเวลา
ชั่วโมงก่อนผมมีบัตรประชาชนปลอมเป็นของตัวเอง ซึ่งในรูปเป็นใครก็ไม่รู้ แค่หน้าตาคล้ายผมเท่านั้นเอง มาตอนนี้ผมอัพเกรดตัวเองเป็นคนดูต้นทางระหว่างที่ไคกำลังใช้ปืนขึ้นมาขู่เจ้าของบ้าน
ให้ตายเถอะ...ผมมาถึงจุดนี้ได้ไง!
“ปล่อยผมไปตามทางไม่ได้หรือไง จะรังควานกันไปถึงไหน” กระบอกปืนทำให้ชายคนนั้นยอมแต่โดยดี ผมจึงตัดสินใจเดินมายืนข้างหลังไคเพื่อยืนฟังพวกเขาสนทนากัน
“ไม่คิดจะชวนเข้าบ้านหน่อยเหรอ” พูดจบไคก็ลดปืนลงและเก็บมันเข้าที่ ส่วนอีกฝ่ายได้แต่ทำหน้าไม่พอใจ ยืนกอดอกจ้องไคราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
คนคนนี้เป็นคนยุโรปผิวขาวร้อยเปอร์เซ็นต์ ดูจากเส้นผมสีน้ำตาล จมูกโด่ง ความสูง 180 ขึ้น นัยน์ตาสีเขียวมรกต คิ้วเข้ม และหนวดเครามาพร้อม ซึ่งในระหว่างที่ผมกำลังพิจารณาคนตรงหน้าอยู่ ฝรั่งหน้าคล้ายแอนดรูว์ การ์ฟิลด์ผสมนิโคลัส ฮอลท์ก็เพ่งสายตามาที่ผม
“แล้วนี่ใคร” เขาถาม ก่อนที่ไคจะหันมามองผมพร้อมสีหน้าเรียบเฉย
“เขาบอกว่าฉันเป็น ‘ที่รัก’ ของเขาน่ะ”
ผมกับฝรั่งคนนั้นหูผึ่งพร้อมกัน และในท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังเกิดเดดแอร์อยู่นั้น ไคกลับเยี่ยงย่างเข้าบ้านไปอย่างหน้าตาเฉย วางระเบิดไว้ตูมเบ้อเร้อแล้วยังไม่รอกันอยู่ แล้วดูดิ ฝรั่งนี้มองผมตั้งหัวจรดเท้าเลย
“อะ...เอ่อ คือ...” แล้วมันเรื่องอะไรไคถึงมาปล่อยให้ผมยืนอยู่กับเขาสองคนวะเนี่ย เมื่อกี้เพิ่งเอาปืนจอเขาแท้ๆ ไม่ได้หวั่นเกรงอะไรเลย จะแซวผมก็ควรดูสถานการณ์บ้างไรบ้าง แล้วทีนี้จะอธิบายยังไง ปล่อยลอยได้มั้ย เดินเลี่ยงไปน่าจะเวิร์กกว่า “ไค รอผมด้วย!”
เมื่อเดินเข้าไปด้านในผมก็พบกับการออกแบบห้องโถงกว้างที่รวมเอาห้องพักผ่อนและห้องทานอาหารไว้ด้วยกัน เพดานบ้านแต่งด้วยเสื่อสานแบบพื้นเมือง ส่วนโครงสร้างหลังคาก็เป็นไม้ทั้งหมด ผมเห็นหลังไคเดินไปถึงประตูห้องด้านซ้ายมือ จึงรีบเดินตามไปโดยมีเจ้าของบ้านเดินมาสมทบภายหลัง
“หมอนั่นชื่อบัฟฟอร์จ เป็นหนึ่งในบุคคลที่สร้างคุณประโยชน์เอาไว้” ไคพูดกับผม พอดีกับจังหวะที่ชายคนนั้นเดินมาใกล้ และคงได้ยินสิ่งที่ไคพูดชัดเจน ถึงได้ตอบกลับทันควัน
“แหม ทำเป็นพูด...” พูดจบ บัฟฟอร์จก็หันมาผมด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
“ผมชื่อติณณ์ ครับ” รู้สึกเหมือนโดนเพ่งเล็ง ผมจึงรีบแนะนำตัวกับเขาตามมารยาท
ผมส่งมือรอเช็คแฮนด์ แต่บัฟฟอร์จกลับเมินเฉย ก้าวเท้าเดินตามไคเข้าไปในห้องด้านซ้ายมืออย่างเร่งรีบ และพอผมตามเข้าไปบ้างก็พบว่ามันคือห้องทำงาน มีคอมพิวเตอร์อยู่ทั้งหมดสามตัว บนโต๊ะเต็มไปด้วยกองเอกสารและข้างๆ ก็มีตู้ปลาที่เลี้ยงกุ้งเครฟิชตัวใหญ่ไว้สองตัว ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผมเห็นสภาพของห้องนี้ได้ก็คือแสงไฟสีฟ้าจากตู้ปลากับหน้าจอคอมเนี่ยแหละ จะสลัวไปไหน กลัวไม่รู้ว่าทำอาชีพที่มีความลึกลับหรือไง
“มีธุระอะไร อย่าบอกว่าจะจับตัวผมไปทำอะไรเสี่ยงๆ อีก” บัฟฟอร์จเอ่ยถาม ในขณะที่ไคเดินไปขยับเก้าอี้ทำงานมานั่ง มองไปยังจอคอมที่แสดงผลอะไรบางอย่าง ก่อนจะใช้นิ้วจิ้มลงไปที่คีย์บอร์ดของเจ้าบ้านอย่างถือวิสาวะ
“อยู่ที่นี่นายก็ยังเป็นอาชญากรเหมือนเดิม”
“เฮ้! อย่ายุ่งกับเครื่องทำมาหากินของผมสิ” บัฟฟอร์จรีบเอาตัวเข้าไปขวาง และทำการปิดคอมของตนเองเสร็จสรรพ “แล้วรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่นี่” เขาถามต่อ
“มีวิธีละกัน”
“คงไม่ใช่...” บัฟฟอร์จหันมามองไค จากนั้นก็ขมวดมุ่นเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังแสยะยิ้มให้
“ถึงตอนนี้คุณนายเพิร์กก็ยังอยากให้นายเลิกทำอาชีพแบบนี้นะบัฟ”
“นั่นไง! คุณอาศัยความช่วยเหลือจากแม่ผมอีกแล้ว” บัพฟอร์จเกาหัวแสดงความไม่สบอารมณ์อย่างแรง ผมมองชายต่างชาติสองคนนี้ด้วยความสงสัยในหลายๆ เรื่อง พวกเขาเจอกันได้ยังไง ทำไมไคถึงรู้เรื่องของบัฟฟอร์จทั้งๆ ที่เขาบอกว่าไม่สนิทกัน ซึ่งมันก็อาจใช่ เพราะคงไม่มีใครเอาปืนมาจ่อหัวเพื่อข่มขู่กับคนที่สนิทกันหรอก
“ฉันมีเรื่องให้นายช่วย” ไคเริ่มเข้าประเด็น
“จ่าวีล...” ประโยคของบัฟฟอร์จทำให้ผมชะงัก หันไปมองไคที่กำลังเบิกตากว้างและเหลือบมามองพร้อมความตกใจที่แสดงออกทางสีหน้า อีกทั้งนัยน์ตายังฉายแววดุดันขึ้น “บอกแล้วไงว่าหลังจากปฏิบัตินั้นผมจะไม่ขอเอาตัวเข้าไปยุ่งกับกองทัพอีก เลิกลากให้ผมไปนั่งล้วงข้อมูลที่มันต้องแข่งกับเวลา...”
“หุบปาก!”
ผมสะดุ้งเฮือก ขนลุกวาบไปถึงไขสันหลัง พอเห็นไคสบถออกมาอย่างเกรี้ยวกราด บัฟฟอร์จถึงกลืนน้ำลายลงคอและหันมามองผมด้วยความสงสัย
“เด็กนั่นไม่รู้เรื่องของคุณเหรอ” แม้ถามไค แต่สายตาเขาไม่ได้ละไปจากผมเลย
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น” ในห้องเงียบสนิท ทั้งผมกับบัฟฟอร์จต่างรอฟังว่าไคจะพูดอะไรต่อ “เพราะฉันลาออกจากกองทัพแล้ว”
อะไรนะ?
กองทัพงั้นเหรอ!!