ตอนที่ 18
เดินทางต่อไปจนถึงหาดใหญ่ เพื่อความปลอดภัย ไค เอ้ย! ไม่ใช่สิ วีล...แสร้งเดินไปคุยภาษาอังกฤษกับคนไทยคนหนึ่ง โกหกว่าเป็นนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันต้องการจะซื้อตั๋วแต่ไม่รู้จะทำยังไง จึงอยากจ้างให้คนไทยคนนั้นไปซื้อตั๋วให้ และอาจเป็นเพราะวีลจะให้ค่าตอบแทนหลายบาท ชายคนนั้นจึงตัดสินใจช่วยเราในทันที
หลังจากนั้นเราสองคนก็เลยนั่งรออยู่บริเวณโต๊ะม้าหินใกล้ๆ กับคิวรถสองแถว...
“ทำไมถึงอยากให้ผมเรียกคุณว่าวีลล่ะครับ หรือไม่ชอบเวลาที่ผมเรียกเป็นสำเนียงไทย” แค่ผมไม่เรียกให้ถูกต้องว่าไคลฟ์ เขาก็เลยตัดปัญหาโดยการให้เรียกวีลอย่างนั้นหรือเปล่า
“แล้วทำไมต้องสงสัยไปซะทุกเรื่องด้วย นายเป็นคนถามเองว่าอยากให้เรียกว่าอะไรฉันก็ตอบไปแล้ว ยังจะต้องถามหาเหตุผลอีกเหรอ” น้ำเสียงฟังเหมือนยัวะแฮะ คืออันที่จรองผมชินกับการเรียกเขาว่าไคแล้วไง พอมาบอกให้เรียกอีกชื่อผมก็เลยอยากรู้สาเหตุ...ให้ตาย นี่เขาจะจริงจังไปทุกเรื่องเลยเหรอวะ
“คุณไม่อยากตอบก็บอกมาตรงๆ สิครับ ไม่เห็นต้องต่อว่าเหมือนผมเป็นเด็กช่างซักเลย” ก็รู้ตัวแหละว่าถามมาก แต่เขาก็ควรเข้าใจด้วยว่าแต่ละอย่างที่เขาทำมันดลใจให้สงสัยทั้งนั้น แล้วจะมาว่าผมฝ่ายเดียวได้ไง
หลังจากนั่งนิ่งไปสักพัก วีลก็เอ่ยขึ้น
“ฉันชอบชื่อนี้”
อ้า~ งั้นเหรอ? แต่มันทะแมงๆ นะ เป็นเพราะเหตุผลนั้นจริงอ่ะ
“ชื่อในบัตรประชาชนของคุณคือไคลฟ์ ไมเนอร์ แสดงว่าจ่าวีลคงเป็นฉายาของคุณใช่ป่ะ” หลังจากผมพูดจบวีลก็ใช้แววตาอันคมกริบจดจ้องมาที่ผมทันที
กำลังจะบอกว่าผมถามมากอีกแล้วสินะ…
“ผมก็ชอบเหมือนกัน วีล...ออกเสียงง่ายดี” ถือว่าจบนะ เข้าใจแล้วว่าต้องเรียกเขาด้วยชื่อนี้ วีลๆๆ
“ชื่อฉันก็ชอบ สีตาฉันก็ชอบ...” วีลยังคงมองผมอยู่ แต่เปลี่ยนจากสีหน้าเรียบเฉยเป็นคนขี้สงสัย คิ้วหนาขมวดมุ่นก่อนจะริมฝีปากจะขยับตามมา “คิดอะไรกับฉันหรือเปล่า”
“…”
เหมือนโดนน้ำทะเลซัดเข้าหน้าสักหนึ่งแก่นลอน รู้สึกจุกหนักจนคิดว่ามันมีส่วนทำให้กล้ามเนื้อผมเกร็งไปทุกสัดส่วน เผลอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าผมกำลังอ้าปากค้าง อยากพูดตอบโต้แต่สมองก็ประมวลผลช้าเหลือเกิน ไปไม่เป็นแล้วทีนี้ ทำไมผมต้องตกใจกับคำถามยียวนของเขาด้วยนะ มันเป็นแค่มุกเอง ไม่เห็นต้องเก็บมาคิดจริงๆ จังๆ ขนาดนี้เลย
ผมคิดอะไรกับเขาน่ะเหรอ?
ทำไมต้องคิดมากด้วยนะ หรือว่านอกจากความเคารพแล้วมันยังมีอย่างอื่นอีก...
“เขามาแล้ว” จู่ๆ วีลก็สะกิดผมเมื่อเห็นว่าคนที่จ้างให้ไปซื้อตั๋วกลับกรุงเทพกำลังเดินมา
นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันปลอมๆ ลุกขึ้นรับตั๋วที่ชายไทยคนนั้นยื่นให้ ก่อนจะนำเงินอีกครึ่งที่เขาบอกจะให้ครบจำนวนทันทีที่นำตั๋วมาให้ กระทั่งหนุ่มไทยเดินจากไป วีลก็หันมาพูดกับผมพร้อมสะพายกระเป๋าเป้
“นายยังไม่ได้กินข้าวเช้าก่อนออกมา หิวหรือเปล่า”
“นิดหน่อยครับ” ตอนนี้ก็เกือบบ่ายแล้ว เราทั้งคู่ต่างไม่ได้กินอะไรเพราะตอนเช้าบัฟฟอร์จเข้ามาแจ้งว่ามีตำรวจเดินทางมาถึงเกาะลังกาวีพอดี
“อีกครึ่งชั่วโมงรถจะออก นายรออยู่นี่แล้วกัน ฉันจะไปซื้อข้าวกล่องในเซเว่นมาให้”
วีลกำลังเดินไป ผมรีบรั้งมือเขาไว้ก่อน
“ให้ผมไปด้วยนะครับ”
รู้สึกไม่ดีที่ต้องอยู่คนเดียวในเวลานี้ ไม่รู้ว่าสีหน้าผมดูเป็นยังไง แต่พอจะเดาออกว่ามันแย่มาก ผมคงเหมือนเด็กขี้แงและหวาดกลัวไปซะทุกอย่าง ถึงขนาดจับมือเขาไว้แน่นขนาดนี้ได้ ถ้าจะบอกว่าเข้มแข็งก็คงหลอกตัวเองเกินไป ก็รู้ว่ายิ่งทำแบบนี้ก็ยิ่งเป็นเหมือนภาระให้เขาเข้าไปทุกที
แต่จะให้ทำยังไง ในเมื่อผมไม่อยากคลาดสายตาจากวีลจริงๆ
“ตามใจ”
เมื่อเสียงทุ้มผสมความนุ่มนวลของเขาเปล่งออกมา ผมถึงกับยิ้มไม่หยุด รีบลุกขึ้นยืนทันควัน และจากนั้นเราสองคนจึงเดินทางไปเซเว่นที่อยู่ใกล้ที่สุดพร้อมกัน
ผมเดินเข้าไปหยิบข้าวกระเพราไข่ดาวเป็นอย่างแรก ส่วนวีลก็เดินไปหยิบน้ำและเดินดูของอย่างระมัดระวัง หมวกที่สวมอยู่ ผมคอยจับให้ปิดใบหน้าเพื่อไม่ให้ใครสักเกต
ระหว่างรอข้าวกล่องเวฟ ผมเดินไปตรงโซนพวกหมากฝรั่งก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบรสมิ้นท์ที่ชื่นชอบ หากแต่ในขณะนั้นกลับมามือใครบางคนมาคว้าตัดหน้า หยิบชิ้นไปผมเล็งไว้ไปต่อหน้าต่อตา ด้วยสัญชาตญาณความอยากรู้ ผมเงยหน้ามองตามมือเรียวขาว เห็นเป็นผู้หญิงในในชุดรัดรูปและคลุมทับด้วยแจ็คเก็ตสีดำ เธอใส่กางเกงยีนส์ทรงผู้หญิง ผูกผมสูง สวมแว่นตากันแดด ใบหน้าของเธอคมคาย ดูสวยแตะตา ทั้งจมูกที่โด่งเป็นสันและริมฝีปากแดงสีเข้มจากลิปติก
เธอยิ้มหวานให้ผม และเดินจากไป...พบกันเพียงแค่เสี้ยววินาทีผมแทบลืมไปเลยว่ากำลังจะซื้ออะไรเพิ่ม สายตาผมมองตามหลังเธอไปถึงเค้าน์เตอร์จ่ายเงิน ก่อนที่ผมเรียกสติตัวเองกลับมาได้
คนอะไร สวยชะมัด!
ผมหุบยิ้ม หันไปหยิบหมากฝรั่งที่ต้องการไปที่เค้าน์เตอร์ พอดีกับจังหวะที่ผู้หญิงคนนั้นเดินออกจากเซเว่น วีลเองก็ตามหลังผมมาติดๆ เขาวางพวกน้ำเปล่าและขนมปังให้พนักงานคิดเงิน ผมกำลังจะเล่าว่าเมื่อกี้เจอผู้หญิงสวยส่งสายตาให้แต่กลับโดนพนักงานเซเว่นพูดขัดซะก่อน
“ขอโทษนะคะ” ผมมองหน้าพนักงานที่เรียกผม
“ครับ” ผมขานรับสักพักพนักงานคนนั้นก็ยืนกระดาษใบเล็กๆ ให้ผม
“เมื่อกี้มีผู้หญิงคนหนึ่งฝากกระดาษใบนี้ไว้ให้คุณค่ะ”
“...”
ผมทำหน้างง แต่ก็รับมาตามมารยาท คิดในใจว่าทำไมหล่อนถึงฝากกระดาษโน้ตไว้ให้ จนเมื่อสิ่งที่ผมนึกได้ผุดขึ้นมาในสมอง บอกเลยว่าโคตรอายตัวเอง ในชีวิตผมมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ เหรอวะ เหลือเชื่อเลย...
ขณะที่ผมกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อำนาจมืดบางอย่างที่มีมวลมหาศาลอยู่ข้างๆ ก็เขม็งตามองผมอย่างไม่สบอารมณ์นัก นี่ผมต้องบอกเขาตอนนี้เลยมั้ยว่าความมีเสน่ห์ของคนเรามันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ
“ผู้หญิงสวยๆ ที่เพิ่งเดินออกไปเมื่อกี้ทิ้งโน้ตไว้ให้ผมด้วยล่ะ” ยื่นหน้าเข้าไปส่งเสียงกระซิบข้างหู “สงสัยจะเป็นเบอร์โทร” ระหว่างรอพนักงานคิดเงิน ผมกำลังจะเปิดโน้ตอ่าน แต่ทว่า...
“เลิกฝันกลางวันเถอะน่า” วีลแย่งโน้ตจากมือผมไปเฉยเลย
“เฮ้ย! นั่นของผมนะ เอามา!” จะคว้าก็เอื้อมไม่ถึง บอกเลยว่าผมโคตรอายที่ต้องมาเปิดชิงกระดาษแผ่นเล็กๆ ต่อหน้าพนักงานก็เลยยอมแพ้ ให้ตาย มาเปิดอ่านของคนอื่นแบบนี้เขาไม่คิดว่ามันเกินไปเหรอวะ ไว้รอให้อ่านจบแล้วค่อยฉวยโอกาสคว้ามาละกัน
หลังจากวีลเปิดกระดาษ ผมนัยน์ตาเขาเบิกกว้าง อีกทั้งหางคิ้วยังกระตุกเล็กน้อย คนตัวสูงค่อยๆ หันมามองผมด้วยสีหน้าไม่ดีนัก ผมแปลกใจกับท่าทางที่แปลกไปของเขามาก รีบคว้ากระดาษโน้ตในมือมา ยังไม่ทันเห็นตัวหนังสือ วีลก็จับข้อมือผมแล้วกระชากให้เดินออกไปจากเซเว่นทันที!
วีลพาผมวิ่งโดยปล่อยของกินไว้บนเค้าน์เตอร์อย่างนั้น ไม่เข้าใจว่าเขาจะรีบร้อนไปไหน ขาผมนี่พันเป็นระวิง ทั้งงุนงงทั้งตื่นตระหนก วีลไม่บอกอะไรสักคำ อยู่ๆ ก็พาวิ่งออกมาเหมือนกำลังหนีอะไรบางอย่าง
“วีล เกิดอะไรขึ้น! ดะ....เดี๋ยวก่อน รอเดี๋ยว บอกผมก่อนมีเรื่องอะไร”
ขณะที่กำลังร้องถามเขา ผมก็ได้ยินเสียงบางอย่างไล่หลังเรามา
นั่นมัน...เสียงไซเรนตำรวจ!
“แย่แล้ว! ตำรวจกำลังมาทางนี้” ผมร้องบอกวีลโดยที่สองเท้ายังก้าวไปไม่หยุด พวกเราวิ่งกันอยู่บนฟุตปาธข้างถนน พอถึงทางแยกบริเวณซอยเลนส์เดียวแคบๆ วีลก็พาผมเลี้ยวเข้าไปทันที
เมื่อหันไปมองข้างหลัง ผมเห็นรถตำรวจสองคันพากันจอดอยู่หน้าซอย สักพักพวกตำรวจก็เดินลงจากรถพร้อมอาวุธปืน ผมตกใจมาก จิตใจว้าวุ่นไปหมด คิดแต่ว่าแย่แล้ว ความรู้สึกของคนที่กำลังวิ่งหนีตำรวจมันเลวร้ายแบบนี้นี่เอง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อดเป็นห่วงวีลไม่ได้ พะว้าพะวงระแวงแทนเขา คาดการณ์ไปถึงขั้นว่าหากเขาถูกจับได้ ผมจะเอาตัวขัดขวางไว้อย่างสุดกำลัง
“บัดซบ!”
วีลตะหวาดกร้าว ผมมองสถาการณ์ตรงหน้าพบว่าไม่มีทางให้ไปต่อ เขตชุมชนมีแต่อาคารพาณิชย์เก่าๆ เรียงรายกันแบบแถบ ถ้าจะออกจากตรงนี้ก็ต้องหาทางลัดเลาะ และประเด็นคือพวกเราไม่ชินกับเส้นทาง
วีลมองขึ้นไปบนที่สูง เหมือนเขาจะเห็นมมุมหลบซ้อนตัว มันเป็นเหมือนตึกแถวให้เช่าซึ่งเชื่อมถึงกันตลอดแนว บรรยากาศเงียบเชียบปนความหลอน วีลรีบพาผมสิ่งขึ้นบันไดไป เสียงฝีเท้าของเราดังก้องผสมกับกำลังตำรวจที่น่าจะไม่ต่ำกว่าห้านาย หัวใจผมสั่นรัวจนมาถึงระเบียงกว้างลักษณะคล้ายดาดฟ้า วีลดึงผมให้นั่งลงเพื่อซ้อนตัวหลังเครื่องกรองน้ำขนาดใหญ่ ในใจผมหวังว่าตำรวจจะคลาดสายตากับเราและเดินไปทางอื่น
แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น...
“มอบตัวซะเถอะไมเนอร์!!” ผมมองผ่านช่องเล็กๆ เห็นตำรวจนายหนึ่งค่อยเยื้องย่างใกล้เข้ามาอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงหยิบปืนขึ้นมาเตรียมพร้อม นั่นหมายความว่าเขาคงเห็นหลังเราไวไว
สีหน้าวีลดูไม่ดีนัก ผมมองเขาสลับกับกระดาษโน้ตในมือ ด้วยความสงสัยผมจึงคลี่ออกและอ่านมัน
‘หนีให้ทันล่ะ’
“ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึง...” พูดยังไม่ทันจบ วีลก็รีบยกมือตัวเองปิดปากผมไว้
“เงียบก่อน” เขากระซิบข้างหูผมก่อนที่นายตำรวจคนนั้นจะส่งเสียงขึ้นมาอีก
“ฉันรู้ว่านายอยู่ตรงนั้นไมเนอร์ รีบออกมามอบตัวซะก่อนที่ฉันจะเอาจริง” พอได้ยินนายตำรวจพูดแบบนั้น เหงื่อผมแตกพลั่ก หวาดหวั่นใจไปต่างๆ นานา เชื่อเถอะว่าการหายใจในสถานการณ์แบบนี้มันช่างยากลำบากเหลือเกิน
“คุณปีนลงไปจากตรงนี้ได้หรือเปล่า ถ้าได้ก็ไปตอนนี้เลย เดี๋ยวผมจะกันพวกตำรวจไว้ให้” ผมพยายามหาทางช่วย แต่วีลกลับถอนหายใจใส่ผม
“นายไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แค่ให้ฉันจัดการก็พอ”
หลังจากวีลพูดจบ นายตำรวจคนอื่นๆ ก็เข้ามาสมทบ
“ผมไม่ยอมให้คุณโดนจับ...คุณไม่ได้ทำอะไรผิด” ผมพูดกับเขาด้วยเสียงที่เบามาก
“ติณณ์...”
“...”
ผมรอฟังว่าวีลจะพูดอะไร แต่ขอทีเถอะ! อย่าทำสีหน้าหดหู่ให้ผมใจเสียได้มั้ย
“ถือว่าเราหายกันแล้ว”
“หมายความว่ายังไง”
“คราวนี้...ฉันจะเป็นฝ่ายทิ้งนายบ้าง”สิ้นเสียง วีลลุกออกมาจากที่ซ่อน ยกมือเหนือหัวและค่อยๆ เดินไปข้างหน้าช้าๆ ทิ้งให้ผมมองภาพที่เหล่าตำรวจเข้ามาจับกุมเขาด้วยสายตาที่ตกตะลึงและเจ็บปวดอย่างที่สุด
วินาทีที่วีลถูกกดลงกับพื้นเพื่อล็อคกุญแจมือจากด้านหลัง เขาไม่สบตาผม เอาแต่หลับตาจำยอมและสงบปากสงบคำ ขณะนั้นมีตำรวจนายหนึ่งเข้ามาถึงตัวผม พาให้ลุกขึ้น ซ้ำยังเอาแต่ถามว่าเป็นยังไงบ้าง ทว่าสายตาผมกลับมองแต่สิ่งที่พวกเขาทำกับวีล
ผมพูดอะไรไม่ออก ภาพตรงหน้ามันสะเทือนใจจนทำให้น้ำตาผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว... *********************
โฮกกกกกกกกกก จ่าวีล ม่าย!!!!!!!!!!!!
ตอนนี้มีรายละเอียดเยอะ เป็นตอนที่เขียนนานมากที่สุดเลย
ก่อนอื่นขอโทษล่วงหน้าหากมีคำผิดนะจ๊ะ และอีกหลายๆ ตอนที่ผ่านมาด้วย
เรื่องราวจะเป็นยังไงไว้ติดตามกันต่อละกันเนอะ