ตอนที่ 4
ผมเดินเท้าเปล่าตั้งแต่หนีออกมาจากหน้าต่างบ้านตัวเอง จนมาถึงเซเว่นแถวบ้านเพื่อรอให้ตำรวจมาเคลียร์เรื่องที่มีโจรบุกเข้าบ้านผม ทว่าสิบนาทีที่แล้วผมต้องเดินเข้าไปซื้อรองเท้ามาใส่ และออกมานั่งทำสติข้างฟุตปาธหลังจากได้ฟังข่าวด่วนที่รายงานว่าคนร้ายคือผู้ชายข้างบ้านผม
ตำรวจสืบประสาอะไรถึงรายงานผู้สื่อข่าวไปอย่างนั้น ผมทั้งหงุดหงิด ทั้งโมโห ในขณะที่ไคเอาแต่นั่งเงียบ หลังจากผมเอารองเท้ามาใส่ตามที่บอกแล้วเขาก็ไม่พูดอะไรอีก สงสัยจะตกใจมาก
แหงล่ะ ถ้าเป็นผมก็คงไปไม่เป็นเหมือนกัน อยู่ๆ ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรลักพาตัวแบบนั้น โคตรไร้สาระเลย เขายังต้องรออะไรอีกวะ ไปอธิบายกับตำรวจตอนนี้เลยเถอะ ผมหัวร้อนจนลืมความหิวไปหมดแล้วเนี่ย!
คิดได้ดังนั้น ผมก็ลุกขึ้นยืน ตั้งใจจะเดินไปยังตู้โทรศัพท์
“จะทำอะไร” ไคร้องถามผม พลางเงยหน้ามองด้วยสายตาอันดุดัน
“ผมจะโทรหาพ่อกับแม่ อธิบายเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง ข่าวออกมาขนาดนั้นยังไงพ่อกับแม่ก็ต้องรู้ถึงสิ่งเกิดอะไรขึ้นที่บ้านแล้วแน่ๆ” พูดจบผมก็เดินกำเหรียญในมือที่ยังไม่คืนเขาไปตู้โทรศัพท์ที่อยู่ไม่ไกล และแน่ล่ะ ผมรู้ว่าเขาต้องเดินตามมา จนถึงตู้โทรศัพท์และกำลังกดเบอร์โทรแม่ ผมก็หันไปพูดกับไคต่อ “ถ้าโทรไปไม่ติดอีก ผมก็จะโทรเล่าให้ตำรวจฟัง”
“อย่าโง่หน่อยเลยน่า” เขากดสายวางในทันที แถมยังจ้องผมเขม็งอีกด้วย
“ทำไม? พวกเขากำลังเข้าใจคุณผิดนะ”
“เพราะอะไรตำรวจถึงสงสัยฉัน นายรู้หรือเปล่า”
“...” ผมส่ายหน้า
“ฉันเคยบอกแล้วว่าคนพวกนั้นไม่ใช่โจรธรรมดา ในข่าวพูดถึงแค่ฉันกับนาย แสดงว่าร่องรอยที่สาวถึงตัวพวกมันไม่เหลือให้ตรวจสอบ เพราะอย่างนี้ฉันถึงมั่นใจว่ามันทำงานกันเป็นทีมแน่ ถึงได้กลบหลักฐานซะมิดชิดขนาดนั้น” ความจริงแล้วตำรวจไม่ได้โง่ แต่พวกโจรมันฉลาดกว่า ไคคงนั่งวิเคราะห์เรื่องนี้อยู่ถึงได้เอาแต่นั่งเงียบ ส่วนผมไม่ทันคิดอะไรถึงได้เอาแต่วู่วาม
“ให้ตำรวจมาช่วยไม่ใช่วิธีที่เวิร์ก เพราะทันทีที่นายโทรหาพวกเขา รถตำรวจก็จะมารับเราสองคนไปโรงพักถึงที่ จากนั้นฉันก็จะถูกสอบสอน และฟันธงได้เลยว่าตำรวจพวกนั้นต้องไม่ปล่อยฉันไว้แน่” ผมตกใจที่ได้ยินไคพูดอย่างนั้น ซึ่งเขาก็ไม่ลืมที่จะอธิบายให้ผมเข้าใจ “ถ้านายใช้สติคิดสักนิดก็คงดูทุกอย่างออก ถ้าพวกมันกลบร่องรอยตัวเองได้ ก็แปลว่าการเรื่องสร้างหลักฐานปลอมเพื่อให้ฉันกลายเป็นแพะรับบาปก็คงไม่ใช่เรื่องยากเหมือนกัน ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในเกมที่ไม่มีวันชนะ และนายเป็นคนดึงฉันเข้ามา ฉะนั้นการตอบแทนฉันเท่าที่นายจะทำได้ก็คืออยู่เฉยๆ และรอจนกว่าฉันจะสืบจนรู้ว่ากลุ่มคนที่เข้าไปบ้านนายเป็นใคร”
ไคพูดถูกทุกอย่าง...พอผมคิดตามที่เขาพูดแล้วก็เริ่มคิดตามสถานการณ์ได้ พวกมันมีแผนเอาตัวรอดด้วยการให้ไคเป็นคนร้ายในคดีนี้ และเมื่อเอาตัวเองลอยนวลได้แล้ว ก็คงหาทางปิดคดีจากการเอาตัวไคเข้าคุก เท่ากับว่าตอนนี้ไคกำลังตกที่นั่งลำบาก หากผมยังพลีพล่ามทำอะไรโดยไม่คิด ก็อาจจะทำให้เขาเดือดร้อน เหมือนอย่างที่ผมเป็นคนไปขอความช่วยเหลือจากเขาในตอนแรก
“ผมขอโทษ” นับเป็นคำกล่าวที่ออกมาจากใจของผม
“ฉันจะหาวิธีให้นายได้คุยกับพ่อแม่เอง แต่คงไม่ใช่ตอนนี้”
“แล้วจะให้พวกท่านเข้าใจว่าผมถูกลักพาตัวไปแบบนี้เหรอครับ”
“มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“ถึงยังไงผมก็ไม่อยากให้คุณถูกตราหน้าว่าเป็นคนร้ายอยู่ดี” ในใจคิดแต่ว่ามันไม่ถูกต้อง ความจริงที่มีเพียงผมกับเขาเท่าที่รู้มันเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดใจมาก สายตาคนอื่นคงมองไคในแง่ร้ายกันหมด และเมื่อผมลองนึกถึงความรู้สึกของเขา ก็พอจะเข้าใจว่ามันทุกข์ทนแค่ไหน
ไคถอนหายใจทันทีที่ผมเอ่ยจบ นัยน์ตาเขามองตรงไปโดยไร้จุดมุ่งหมาย ผมมั่นใจว่าเขากำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง ใบหน้าแสนนิ่งไม่บ่งบอกให้รู้ถึงความรู้สึกภายใน นอกเสียจากคำพูดที่ฟังคล้ายกับเป็นเรื่องขบขัน
“ฉันชินแล้วล่ะ...”
เขาพูดเพียงแค่นั้นก่อนจะเดินข้ามถนนเพื่อกลับไปที่รถ ผมมองตามแผ่นหลังของเขาโดยไม่พูดอะไรต่อ จากนั้นจึงกัดฟันหยิบเหรียญในตู้โทรศัพท์ออกมาแล้วเดินตามเขาไปติดๆ
เมื่อเข้าไปนั่งในรถ ผมนั่งมองของกินทั้งหลายแหล่ที่ซื้อมาจากเซเว่นโดยไม่มีความรู้สึกอยากกินเหมือนหลายนาทีก่อน กระทั่งรถติดเครื่องยนต์ เสียงจากฝั่งคนขับก็พูดกับผม
“ไหนบอกว่าหิว?” ตอนนี้ผมคงเหมือนกับคนหมดอาลัยตายอยาก
“กินไปก็คงไม่อร่อย”
“กินซะ เราต้องเดินทางอีกไกล” ว่าแล้วก็เหยียบคันเร่งออกไปยังถนนใหญ่
“เราจะไปไหนกัน” ผมหันไปถาม ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ผมต้องรอคำตอบจากเขาอยู่นาน
จนกระทั่ง!
“ที่ที่ไกลมาก...”
ผมค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากเผลอหลับไปโดยไม่รู้ว่าตอนนี้คือช่วงเวลาไหน และหลับไปเมื่อไหร่ ผมยกมือขยี้มองพร้อมมองไปรอบตัว สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือรถยนต์ถูกจอดสนิท กระจกฝั่งผมถูกเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ส่วนสถานที่ที่ผมอยู่นั้นคงเป็นปั๊มน้ำมัน เพราะผมได้กลิ่นและได้ยินเสียงขับเคลื่อนไปมาอยู่ใกล้หู
เบาะที่ปรับเอนถูกปรับให้ขึ้นเหมือนเดิม ผมมั่นใจว่าไม่ได้ทำเองแน่ ฉะนั้นก็น่าจะเป็นไคที่ใจดีปรับให้ผม ว่าแต่เขาอยู่ไหนกันนะ มองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นเลย อ่าวนั่น! นั่นไง เขาเดินออกมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้ว แถมยังหิ้วของที่ซื้อมาเพียบ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมแว่นตาดำ และใส่หมวกแก๊บปิดหน้ามิดชิด
พวกเรา...กำลังเข้าข่ายผู้ลี้ภัยเข้าจริงๆ แล้วสินะ
พอเดินมาถึงรถ เขาเปิดประตูเบาะหลังก่อนจะวางของที่ซื้อมาอย่างรวกๆ และรีบๆ จนผมมองตามแทบไม่ทัน และเมื่อเดินมาเปิดประตูฝั่งผม เขาก็จัดการเอาหมวกอีกใบที่ถือมาแต่ต้นมาใส่ให้ผมโดยไม่ทันบอกให้ตั้งตัวก่อนเลย
“ฉันซื้อพวกของใช้กับของกินมา ถ้าหิวก็กินรองท้องไปก่อน” ขณะที่ไคพูด ผมก็ขยับหมวกที่เขาเพิ่งสวมให้ “ส่วนของใช้...ถ้าขาดอะไรก็ค่อยซื้อเพิ่ม”
“เราอยู่ที่ไหนเหรอครับ” ผมถาม
“ทางลงใต้”
“ภาคใต้น่ะนะ!” ผมอุทานเพราะตกใจไปคำแรก ไคก็ปิดประตูใส่แล้วเดินอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับทันที ผมรอจนกว่าเขาจะคาดเข็มขัดเสร็จ ก่อนจะพูดต่อ “ยะ...อย่าบอกนะว่าคุณจะพาผมหนีออกนอกประเทศ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” ตกใจจนอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าเกิดมาจนอายุ 21 จะได้เจอกับเหตุการณ์ที่มันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ อยู่ๆ ผมก็รู้สึกรักตัวเองขึ้นมา อนาคตคนเรามันพลิกผันได้เพียงชั่วข้ามคืนจริงๆ
“นี่ผมต้องไปสุดแดนใต้ ข้ามเขตชายแดนอะไรทำนองนั้นเลยหรือเปล่า”
“ไปไม่ถึงชายแดนหรอกน่า”
“งั้นคุณพูดมาเลยดีกว่าว่าจะพาผมไปอยู่ที่ไหน” ผมอยากรู้จนละสายตาจากเขาไม่ได้
“ไปลังกาวี”
หา?
“ลังกาวี? มันอยู่ที่ไหน” เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก
“ไปถึงนายก็รู้เอง” ตอบแบบนี้ไม่ช่วยอะไรเลย นี่แปลว่าผมต้องเก็บความสงสัยจนไปถึงเลยน่ะสิ โหดร้ายโคตร...แต่เดี๋ยวก่อน! ถ้าเราหนีไปไกลขนาดนั้น แล้วเรื่องคดีล่ะ จะเอาไงต่อ
“คุณบอกว่าจะสืบหาตัวคนร้ายที่ก่อเหตุเพื่อแก้ต่างให้ตัวเองไม่ใช่เหรอ ถ้าเราไปอยู่ไกลขนาดนั้น แล้วคุณจะหาทางตามตัวพวกมันเจอได้ยังไง” หลังจากผมถามจบ ไคก็หมุนตัวไปหยิบกระเป๋าสีดำทรงสี่เหลี่ยมจากเบาะหลังขึ้นมา เขาหยิบแล็บท๊อปขึ้นมาเปิด และล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบเมมการ์ดขนาดเล็กเสียบเข้าไปในอะแดปเตอร์ ก่อนจะเชื่อมเข้าเครื่องคอมเพื่อเปิดบางอย่างให้ผมดู
ไคเข้าไปที่ไฟล์วีดีโอบางอย่าง เมื่อเปิดขึ้นมาก็พบว่ามันคือภาพที่ได้จากกล้องหน้ารถของเขา พอถึงช่วงเวลาที่หนึ่ง เขาก็หยุดภาพไว้เพื่อให้ผมเห็นว่าเพียงเสี้ยวนาทีที่ปรากฏเมื่อครู่ กล้องหน้ารถได้บันทึกภาพของคนร้ายไว้ แม้ว่าภาพใบหน้าจะไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ก็ตาม
“เหลือเชื่อ! กล้องคุณจับภาพคนร้ายสองคนที่ตามมาสมทบได้ด้วย” ผมทึ้งกับสิ่งที่ได้เห็น
“มันมีวิธีตรวจสอบข้อมูลบุคคลจากการตรวจจับใบหน้า แต่ต้องอาศัยการเจาะระบบฐานข้อมูลที่กระจายอยู่ทั่วโลกเพื่อค้นหา และฉันก็พอจะรู้จักแฮกเกอร์ที่พอจะทำแบบนั้นได้ในลังกาวี” ผมนั่งเกาหัวและคิดตามไปด้วย
“แค่ส่งอีเมล์ไปก็ได้มั่ง” เป็นผมจะทำแบบนี้นะ ไม่เห็นต้องถ่อไปถึงใต้เลย
“หมอนั่นคงไม่ยอมช่วยฉัน หากไม่ใช้ไอ้นี่...” ว่าแล้วก็หยิบปืนขึ้นมา
ถือปืนพร้อมทำหน้าตาเฉยแบบนี้ก็ได้เหรอ? เออๆ พอจะเข้าใจละ ดูจากรูปการแล้วเขาต้องไปข่มขู่คนคนนั้นถึงที่สินะ เอาจริงๆ ก็แอบหวั่นใจเหมือนกัน แต่อีกใจก็รู้สึกแปลกๆ
ทำไมเขาถึงรู้จักนักแฮกเกอร์ และมีปืนพกแบบนี้ด้วยวะ
“ผมคิดว่าคุณสนิทกันซะอีก”
ไคไม่ตอบผมในทันที เพราะแบบนี้ ผมถึงต้องคอยลุ้นเพื่อคำตอบจากเขาครั้งแล้วครั้งเล่า...
“ไม่เคยมีใครที่ฉันรู้จักจนถึงขั้น ‘สนิท’ หรอกนะ”
[HOTEL]
ป้ายขนาดใหญ่มีไฟพริบๆ เป็นระยะๆ ผมเห็นมันก่อนที่ไคจะเลี้ยวรถเข้ามาถึงในตอนเย็น มันเป็นโรงแรมแห่งหนึ่งที่อยู่ในจังหวัดชุมพร ดูจากภายนอกมันก็ไม่ใหญ่มากและไม่เล็กเกินไป ไคบอกว่าขับรถตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว คงต้องหาที่พักเพราะเหนื่อยมาก รอให้ถึงวันพรุ่งนี้ค่อยขับรถต่อไปสตูลเพื่อต่อเรือไปเกาะลังกาวี
หลังจากที่ผมได้ยินไคพูดว่าเหนื่อย ในหัวผมก็หวนไปคิดหาวิธีหาทางออกให้กับเรื่องที่เขากำลังเผชิญอยู่อย่างไม่ลดละ หวังว่าจะมีสักทางที่พอจะเป็นทางออก และสักทางที่เขาจะเห็นพ้องด้วย
“ลงสิ”
ไคคงเห็นว่าจอดรถสนิทแล้วแต่ผมไม่ยอมขยับตัวสักที
“ผมมานั่งคิดดูแล้ว ถึงผมจะกลับบ้านไปมันก็ไม่น่าจะมีผลอะไรไม่ใช่เหรอครับ และมันน่าจะดีกว่าการที่ผมต้องเดินทางไปเป็นภาระคุณแบบนี้ด้วย” หลังจากใช้เวลาไต่ตรองเป็นอย่างดี ผมก็พบว่ามันยังพอมีทางแก้ไขปัญหานี้ได้อยู่ “ผมคิดว่าการปล่อยให้ทุกคนคิดว่าผมถูกจับตัวมามันจะกลายเป็นเรื่องที่บานปลาย อย่างน้อยก็ให้ผมกลับไปบอกพวกตำรวจว่าคุณไม่ได้เป็นคนผิด นี่ไง...เรามีกล้องที่ตัวภาพคนร้ายได้ แค่นี้ตำรวจก็เชื่อแล้วว่ามีคนร้ายอยู่หลายคน หรือถ้าคุณไม่อยากถูกสอบสวนก็ให้ผมลองเอาไปให้ตำรวจก่อนก็ได้นะ”
“...”
ไคเงียบใส่ผมอีกครั้ง แน่นอนว่าเรากำลังจ้องตากันระหว่างการสนทนา และเป็นไปได้สูงที่เขาจะรับเอาสิ่งที่ผมเพิ่งพูดไปคิดบ้าง แค่ต้องขอความร่วมมือจากเขาเท่านั้น
“คุณ...คิดว่าไง?”
จะว่าผมรบเร้าเอาคำตอบก็ได้นะ เพราะตอนนี้เรายังอยู่ชุมพร ยังอยู่ในไทย ฉะนั้นเราจะต้องหวนกลับไปกรุงเทพฯ เพื่อทำตามความคิดของผมก่อนที่มันจะสายเกินไป
“นายบอกฉันว่าเห็นคนร้ายรื้อค้นบ้านนายกับตา แต่จากที่ฟังวิทยุเพิ่มเติมเมื่อเช้า พ่อกับแม่นายให้สัมภาษณ์ว่าไม่มีอะไรหายไป เพราะอย่างนั้น พวกตำรวจถึงได้ตั้งข้อสงสัยว่าฉันต้องเจาะจงที่จะลักพาตัวนายมาโดยเฉพาะ ฉันเดาว่าพวกมันคงกลบเกลื่อนร่องรอยให้เหลือแค่การต่อสู้กันเล็กๆ น้อยๆ ทั้งที่จริงแล้ว...พวกมันน่าจะต้องการอะไรบางอย่างนอกเหนือจากของมีค่า”
“บ้านผมมีของสำคัญยิ่งกว่าเงินทองอะไรพวกนั้นด้วยเหรอ” เรื่องมันชักจะซับซ้อนจนผมเริ่มงง
“ถ้าฉันสืบข้อมูลของพวกมันได้สักนิดก็คงรู้อะไรบ้าง”
“แล้วทำไมไม่พ่อกับแม่ผมไปเลยว่าผมไม่ได้ถูกลักพาตัว แต่เรื่องทั้งหมดมันเกิดจากคนร้ายอีกกลุ่มที่ต้องการเข้ามาหาอะไรบางอย่างในบ้านล่ะครับ พอรู้ความจริงแล้ว ไม่แน่ว่าพ่อกับแม่อาจจะรู้ก็ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร และใครที่ต้องการมัน แบบนี้ไม่ง่ายกว่าเหรอ”
หลังจากผมพูดจบ ไคก็หายใจแรงอย่างเหนื่อยหน่าย
“นายนี่มันรั้นจริงๆ คิดว่าหนทางพวกนี้ฉันไม่เคยคิดมาก่อนหรือไง ฉันเองก็อยากพ้นจากข้อกล่าวหาเหมือนกัน ถึงได้คิดหาวิธีต่างๆ เยอะแยะมาตลอดทาง แต่สุดท้ายฉันก็ต้องมาจบที่ลังกาวีอยู่ดี...เข้าใจมั้ยว่าตอนนี้เราทำอะไรเสี่ยงๆ ด้วยการติดต่อคนที่บ้านนายไม่ได้ เพราะเหตุผลเดียวสั้นๆ คือเรากำลังถูกจับตามองจากตำรวจ หรืออาจจะพ่วงไปถึงตัวกลุ่มคนร้ายเลยก็ได้” ไคตะคอกใส่เป็นชุด ซึ่งผมก็เข้าใจว่าเขาพยายามอธิบาย “ถ้าฉันถูกจับเราก็จบเห่...หากยังรักชีวิตตัวเองกับคนที่นายรักอยู่ ก็จงทำตามสิ่งคำพูดของฉันซะ”
จากที่เขาพูดมา ผมสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมต้องหยุดความคิดที่จะกลับกรุงเทพฯ ไปอย่างสิ้นเชิง ไม่อยากเชื่อเลยว่าคำพูดอันหนักแน่นจนฟังเหมือนโดนต่อว่านั้น จะทำให้ผมใจเต้นด้วยความปลาบปลื้มใจได้ขนาดนี้ เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ทราบตัวคนร้าย และคงคิดหาหลักฐานให้มากพอที่จะเอาพวกมันเข้าคุก วิธีนี้นอกจากจะทำให้ตัวเองพ้นผิดก็ยังเป็นการช่วยเหลือครอบครัวของผมด้วย
“คุณกลัวว่าผมกับครอบครัวจะไม่ปลอดภัยใช่มั้ยครับ”
หลังจากสิ้นเสียงผม บรรยากาศภายในรถก็เงียบสนิททันที ไม่รู้ว่าที่ถามไปจะเป็นการหลงคิดไปเองหรือเปล่า เพราะไคค่อนข้างเงียบ เย็นชา และไม่ค่อยแสดงออกทางสีหน้าให้รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่จากคำพูดและความใจดีที่ผมสัมผัสได้จากไค มันทำให้ผมเกิดความมั่นใจ ซ้ำยังมองว่าเขาเป็นคนดีมากขึ้นไปอีก
“ขนของลงจากรถได้แล้ว”
เขายกมือถอดกุญแจรถใส่กระเป๋า และเปิดประตูลงไปโดยไม่ตอบอะไร ผมเห็นว่าเขากำลังไปเขาข้าวของจากเบาะหลัง จึงรีบออกไปช่วยเขาถืออีกแรง
“คืนนี้เราจะพักที่นี่เหรอครับ” ผมถามขณะคว้าถุงของใช้จำพวกเสื้อผ้า แปรงสีฟัน และของใช้อื่นที่จำเป็นมาถือไว้จนเต็มทั้งสองมือ ส่วนไคก็ถือพวกของจิปาถะอย่างแล็บท๊อปและโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่เขาบอกผมว่าไปแวะซื้อมาจากร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าระหว่างทาง
“อืม”
“แล้วถ้าเกิดมีคนจำหน้าเราได้ จะทำยังไง” ช่องข่าวด่วนที่ดูเมื่อคืนเอาภาพผมกับไคขึ้นหราขนาดนั้น หากมีคนบังเอิญดูแล้วจำเราได้ ไม่จบแห่เหรอ
“พ่อแม่นายเป็นคนดังหรือเปล่า”
“...” ผมส่ายหน้า
“บ้านรวยล้นฟ้ามั้ย”
“...” ส่ายหน้าแรงมาก
“ถ้านายอายุเกิน 20 ปี...ไม่ได้เป็นเน็ตไอดอลหรือดาราที่คนทั่วประเทศจำหน้าได้ก็ไม่ต้องห่วงไปหรอก เพราะโดยเฉลี่ยแล้วคดีลักพาตัวจะเกิดกับเด็กอายุ 1-15 ปี เหตุผลยอดฮิตก็คือการค้ามนุษย์อย่างที่ใครๆ รู้ แต่ถ้าเป็นคนบรรลุนิติภาวะอย่างนาย นอกจากเรื่องค้ามนุษย์และเรียกค่าไถ่แล้ว มันก็มีอยู่เหตุผลเดียวที่พอจะสันนิษฐานได้”
“คืออะไร?”
ไคหันมามองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย...
“ฉันพิศวาสนาย”
“...”
ผมยืนนิ่งกับการให้คำตอบแบบหน้าตายของไค และพอเขาเดินเข้าไปในโรงแรมโดยไม่รอ อยู่ๆ สมองผมก็ลองคิดไปถึงข่าวพาดหัวที่อาจจะเขียนในทำนองว่า
‘จากคดีที่เกิดขึ้น สันนิษฐานว่าชายวัยกลางคนอาจคิดมิดีมิร้ายกับเด็กหนุ่มข้างบ้าน จึงก่อเหตุลักพาตัวเพื่อกักขังหน่วงเหนี่ยว’
เพียงเพราะผมไม่ใช่เด็ก ในรูปคดีอาจไม่ได้มองว่าเป็นการค้ามนุษย์ หรือถ้าเป็นเรื่องของความแค้น พ่อแม่ผมคงยืนยันกับตำรวจว่าไม่น่าใช่เพราะเราเพิ่งย้ายเข้ามาได้ไม่นาน และนอกจากนี้บ้านผมก็ไม่ได้รวยถึงขนาดมีคนจ้องจะจับตัวผมเพื่อเรียกค่าไถ่...แม่ง! พูดไม่ออกเลยกู เพิ่งรู้สึกว่าโทรศัพท์ตัวเองแบตหมดแล้วมันดีก็ตอนนี้แหละ
เพราะถ้าเปิดอ่านข่าวแล้วเลื่อนดูคอมเม้นท์...ผมไม่รู้เหมือนกันว่าชาวเน็ตจะพูดถึงเรื่องนี้ยังไงบ้าง!