::Clive Save Me:: คนร้ายกับชายข้างบ้าน... [ตอนที่ 18] *Update 18/01/60
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ::Clive Save Me:: คนร้ายกับชายข้างบ้าน... [ตอนที่ 18] *Update 18/01/60  (อ่าน 20803 ครั้ง)

ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

[Clive Save Me]
คนร้ายกับชายข้างบ้าน...


จากเจ้าของบ้านข้างๆ ที่ผมไม่ค่อยถูกชะตา ต้องกลายมาเป็นผู้มีพระคุณ...
ในค่ำคืนที่ผมต้องเผชิญกับสถานการณ์เลวร้าย
บุคคลผู้แสนลึกลับและเต็มไปด้วยสัมผัสอันตราย
ก็ได้เข้ามาทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

“ฉันไม่เคยให้คำสัจกับใครหากตัวเองทำไม่ได้ ฉะนั้น...”
“ฉันจะไม่ทิ้งนาย ฉันสัญญา”


**********************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-01-2017 21:24:42 โดย La_Pomme »

ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
ตอนที่ 1




พ่อผมซื้อบ้านใหม่ เป็นทาวน์เฮ้าส์อยู่ในซอยภิรมย์เดชาในย่านหลักสี่ นับว่าเป็นบ้านหลังใหญ่ที่พ่อตัดสินใจซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง และพอถึงวันที่ผมกับพ่อแม่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ สิ่งแรกที่ผมสังเกตคือ...บ้านข้างๆ

ให้ตายเถอะ...มีบ้านร้างอยู่ใกล้ๆ ด้วย!

ขนาดบ้านก็เท่ากับบ้านของผมแหละ แต่แค่ไม่มีสนามหญ้า ดอกไม้เหี่ยวแห้ง ละแวกบ้านดูรกไปหมดเพราะใบไม้จากต้นไม้ใหญ่ร่วงเต็มพื้น พอมองเข้าไปในบ้านตอนกลางคืนจะมองไม่เห็นแสงไฟ เงียบเชียบยังกับป่าช้า สรุปได้ว่าบ้านหลังนี้คงไม่มีใครอยู่แน่ๆ

โชคร้ายชะมัด!

ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าดีใจแค่ไหนที่พ่อสามารถตั้งตัวได้จนซื้อบ้านหลังใหญ่ให้เป็นของขวัญของครอบครัว แต่เสียตรงที่มีบ้านร้างอยู่ใกล้ๆ แถมยังอยู่ฝั่งเดียวกับห้องผมเนี่ยแหละ แค่เปิดผ้าม่านออกก็เห็นบ้านสุดหลอนนั่นแล้ว เสียสายตาสุดๆ ไม่ใช่ว่าพ่อซื้อบ้านหลังมาเพราะมันถูกแล้วแถมผีข้างบ้านมาด้วยหรอกนะ

ระหว่างทานข้าวเย็นในบ้านหลังใหม่ ผมตัดสินใจถามพ่อเรื่องนี้อย่างไม่สบอารมณ์ พอท่านได้ยินดังนั้นก็รีบแย้งและอธิบายว่าตอนสอบถามกับเจ้าของบ้านคนก่อน เขาบอกว่ามีคนอยู่แต่ไม่ค่อยได้กลับบ้าน สภาพจึงเป็นอย่างที่เห็น ผมเลยบอกพ่อว่า

‘เจ้าของบ้านเขาอาจจะหลอกก็ได้ คนอยากขายบ้านจะพูดอะไรก็ได้ละน่า’

แบบนี้ยิ่งทำให้พ่อยิ่งยัวะใหญ่ ท่านเลยตอบกลับผมพร้อมคำท้าทายว่าถ้าบ้านหลังนี้มีคนอยู่จริงๆ ผมต้องยอมกินผักหนึ่งอาทิตย์ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมไปเอาความมั่นใจมาจากไหน หรือเป็นเพราะผมอยากเอาชนะพ่อมั่ง ถึงได้ยอมตกปากรับคำไป

กระทั่งสองอาทิตย์ถัดมา…

“ติณณ์ ลงมากินข้าวได้แล้วลูก เดี๋ยวก็ไปมหา’ลัยสายหรอก”

แม่เรียกขึ้นมาจากชั้นล่าง ผมติดกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายเสร็จพอดี หนังสือเรียนที่นั่งทำรายงานเมื่อคืนยังวางกองไว้ ผมรีบเก็บใส่กระเป๋าอย่างลวกๆ ก่อนจะหยิบผ้าผืนใหญ่ขึ้นมาคลุมรูปภาพที่วาดค้างอยู่ ซึ่งผมต้องวาดให้ทันส่งอาจารย์ในสัปดาห์หน้า

ผมเรียนคณะจิตรกรรมของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง อันที่จริงผมไม่ได้หลงใหลการวาดภาพขนาดนั้นหรอก แต่มันเป็นแค่สิ่งที่ผมทำได้ดีในระดับหนึ่ง และพ่อเองก็ส่งเสริมเพราะเห็นว่าเป็นพรสวรรค์ ผมก็เลยเลือกเรียนไป ตั้งแต่จำความได้จนอายุ 21 ผมไม่เคยมีความฝันว่าอยากเป็นอะไร เพราะไม่ว่าจะทำสิ่งไหนผมก็ไม่เคยทำมันได้แบบสุดโต่ง

ผมไม่ได้เก่งคำนวณเหมือนแม่ หรือเก่งวิทยาศาสตร์เหมือนพ่อ ที่พอเรียนจบแล้วก็มีงานดีดีรองรับมากมาย ทุกวันนี้ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่าตัวเองคิดถึงเรื่องของอนาคตน้อยไปหรือเปล่า

ขณะนั่งทานอาหารเช้าพร้อมกัน พ่อพูดเปรยกับแม่ด้วยน้ำเสียงสุขุม

“พรุ่งนี้ทำเมนูผักเยอะๆ นะคุณ” พอได้ยินคำว่า ‘ผัก’ ผมถึงกับหูตั้ง

“ทำไมคะ”

“เจ้าติณณ์มันจะยอมกินผักหนึ่งอาทิตย์น่ะ”

“โธ่พ่อ...พ่อรบเร้าผมไม่สำเร็จหรอกน่า” แต่ก่อนพ่อชอบพูดเรื่องสุขภาพเพื่อให้ผมตระหนักถึงการกินผัก แต่คนไม่ชอบมันก็ไม่ชอบป่าววะ คราวนี้พ่อก็คงอยากบังคับผมอีกตามเคย

“แกบอกเองว่าถ้าข้างบ้านเราไม่ใช่บ้านร้าง แกจะยอมกินผักหนึ่งอาทิตย์”

เออว่ะ ลืมเรื่องนี้ไปเลย! ถ้างั้นก็หมายความว่า...

“ข้างบ้านเรามีคนอยู่จริงๆ เหรอพ่อ สภาพบ้านแบบนั้นน่ะนะ!” พ่อผมพยักหน้า

“ไม่เชื่อแกก็ออกไปดูสิ พ่อเพิ่งได้คุยกับเขาเมื่อเช้านี้เอง”

“แต่เขาดูเป็นคนเงียบๆ นะคะคุณ พูดจาเย็นชาเหมือนไม่ค่อยได้ปฏิสัมพันธ์กับใครมาก่อน สงสัยจะเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง” แม่ผมชอบวิเคราะห์คน รู้จักการวางตัวตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่น และจะแจงพฤติกรรมของคนคนนั้นมาให้ผมฟังเพื่อดูว่าสิ่งไหนที่ควรทำตาม สิ่งไหนไม่ควรทำ สิ่งไหนควรส่งเสริม และสิ่งไหนควรห้ามปราม จะบอกให้ว่าท่านวิเคราะห์คนเก่งถึงขนาดจับคนโกหกได้ด้วย ฉะนั้นเวลาผมโกหกอะไรไป ท่านก็จะจับได้ทุกครั้ง ผมล่ะอยากเรียนวิชานี้จากแม่จริงๆ

“เขาเป็นผู้ชายเหรอครับ” ผมรู้เพราะพ่อกับแม่ใช้สรรพนามว่า ‘เขา’ “...อายุประมาณเท่าไหร่”

“พูดถึงเรื่องอายุแล้วนึกขึ้นได้ ตอนแรกพ่อบอกอายุกับเขาเผื่อจะได้เรียกกันถูกใช่มั้ย แต่พอเขาตอบ กลับบอกว่าอายุน้อยกว่าพ่อ 6 ปีซะงั้น จะตอบตรงๆ ก็ไม่ได้” อืม ดูท่าจะเย็นชาเหมือนที่แม่ว่าจริงๆ “แต่จากหน้าตา พ่อว่าหน้าเขาดูอ่อนกว่าอายุอีกนะ หล่อใช้ได้เลย”

“คนแก่มองคนแก่ด้วยกันก็เงี๊ยะ” ผมพูดพึมพำ ถ้าอายุน้อยกว่าพ่อ 6 ปี ก็เท่ากับเขาอายุ 36 แล้ว

“ติณณ์ จะสายแล้วนะลูก” แม่ย้ำให้ผมรีบ

“ครับๆ”

“เออ! เจ้าติณณ์ คืนนี้พ่อกับแม่จะกลับบ้านดึกหน่อยนะ ถ้าหิวก็ซื้อข้าวกล่องในเซเว่นหน้าปากซอยมากินรองท้องไปก่อน จะขึ้นห้องก็ล็อคประตูให้เรียบร้อยด้วย”

“ผมโตแล้วนะพ่อ พูดยังกับผมเป็นเด็กอายุสิบขวบไปได้”               

ไม่อยากฟังพ่อสาวความยาว ผมเลยหยิบเป้กับกระดานวาดรูป ลุกจากโต๊ะอาหาร แล้วเดินออกไปทันที

ผมต้องเดินไปรอรถเมล์ที่หน้าปากซอย เดินจากบ้านมันก็ไม่ไกลนักหรอก แต่วันนี้ผมอยากจะนั่งวินมอเตอร์ไซค์ไป แปลว่ามีเวลาเหลือเฟื่อหากผมจะแวะดูบ้านข้างๆ ว่ามีคนอยู่อย่างที่พ่อพูดหรือเปล่า เพราะเรื่องนี้แท้ๆ ที่ทำให้ผมต้องยอมกินผักทั้งๆ ที่โคตรเกลียด แต่เอาจริงๆ นะ พอมาเห็นสภาพหน้าบ้านหลังนี้แล้ว ผมยิ่งเกลียดกว่าอีก

อยากโทรจ้างให้คนมาทำความสะอาดให้จริงๆ ผับผ่าสิ!

...เขาอยู่ตัวคนเดียวแสดงว่ายังไม่แต่งงาน แต่ก็ไม่น่าจะปล่อยเป็นเหมือนบ้านร้างขนาดนี้ป่ะ

เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน ตรงกระจกบริเวณชั้นสอง...เหมือนมีใครบางคนกำลังมองลงมา!!

ผ้าม่านถูกแง้มให้เห็นแค่ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขา ให้ตายหลอนฉิบหาย ละแวกนี้ก็เงียบซะเหลือเกิน ตรงข้ามกับบ้านเราสามีภรรยาไปงานบวชที่ต่างจังหวัดตั้งแต่เมื่อวาน ถัดไปอีกหลังเป็นนางพยาบาลที่มักจะเข้าเวรกะดึก เออดี คืนนี้จะได้มีสมาธินั่งวาดภาพที่ค้างอยู่ให้เสร็จ

แน่ะ! ยังมองอยู่อีก โอเค...ไปก็ได้วะ ไล่กันด้วยวิธีนี้มันน่าขนลุกนะเว้ย

 







กว่าผมจะกลับมาจากมหาวิทยาลัยก็ปาไปหกโมงเย็น ก่อนเข้าบ้านผมแวะซื้อข้าวกล่องจากเซเว่นมาเผื่อหิวตอนดึก คืนนี้ผมตั้งใจว่าจะนั่งวาดภาพให้เสร็จ สำหรับผมการวาดรูปนามธรรมต้องใช้สมาธิสูงมาก ถึงขนาดรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งนั่งไปแปบเดียว แต่พอหันมองนาฬิกาอีกทีกลับพบว่ามันผ่านมา 3 ชั่วโมงแล้ว จู่ๆ ผมก็รู้สึกหิวจึงละจากผลงานตรงหน้า ก่อนคิดว่าจะลงไปข้างล่างเพื่อเวฟข้าวกล่องที่เพิ่งซื้อมาเมื่อเย็น

กึก กึก

เสียงคนกำลังปลดล็อดลูกบิดหน้าประตูทำให้ผมชะงักเท้า หยุดยืนอยู่ตรงบันไดที่เพิ่งเดินลงมาได้ครึ่งทาง ผมพยายามเพ่งดูว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ที่เข้าบ้านมาเป็นคนแรก แต่ไฟตรงห้องนั่งเล่นถูกผมปิดเอาไว้เลยเห็นไม่ชัด น่าแปลกที่ผมไม่ได้ยินเสียงพ่อกับแม่ มันเงียบผิดปกติจนคิ้วผมขมวดมุ่น จนกระทั่งประตูบานใหญ่ค่อยๆ แง้มออก

สิ่งแรกที่ผมเห็นทำนัยน์ตาเบิกกว้าง มีชาย 4 คนค่อยๆ ย่องเข้ามาพร้อมอาวุธที่ใช้งัดบ้าน ทุกคนใส่เสื้อยืดสีเข้ม สวมกางเกงคาร์โก้สีดำ สองคนสวมหมวกแก๊บ อีกคนคาบบุหรี่ไว้ที่ปาก และอีกคนสวมแว่นสายตา มองโดยรวมแล้วพวกเขารูปร่างกำยำเหมือนกันหมด

ผมรีบเดินหลบขึ้นไปข้างบนอย่างว่องไว เพราะในหัวคิดได้อย่างเดียวว่าคนพวกนั้นต้องเป็น ‘โจร’ แน่ๆ

เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น ผมย่องเข้าไปในห้องตัวเองอย่างเงียบเชียบที่สุด จากนั้นก็จัดการล็อคประตู ปิดไฟ พับโน๊ตบุ๊คที่เปิดค้างไว้ และเดินไปคว้าโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะขึ้นมากดเบอร์ของพ่อ ก่อนจะย้อนกลับมาที่ประตูอีกครั้ง ผมแนบหูกับประตูไว้เพื่อฟังเสียงด้านนอก ส่วนอีกหูก็ฟังเสียงสัญญาณโทรศัพท์ ตอนนี้เสียงหัวใจผมเต้นดังจนได้ยินชัดเจน มันกระวนกระวายไปหมด

รู้นะว่าต้องตั้งสติ แต่มันก็ยากเกินไป

‘เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’

เวรละ! พ่อปิดเครื่อง

“นายขึ้นไปหาข้างบน” เสียงแว่วแผ่วเบาที่ผมได้ยินจากข้างนอกแทบทำเข่าทรุด ผมกวาดสายตามองรอบห้อง หาอาวุธที่พอจะสู้กับพวกมันได้ แล้วถ้าเกิดพวกมันมีปืนล่ะ สู้ไปก็ตายเปล่าอีก เพราะงั้นผมจึงทำได้แต่ก้มๆ เงยๆ เดินวนรอบห้องพร้อมกดโทรศัพท์ไปหาตำรวจในที่สุด

กึก กึก

ลูกบิดประตูห้องผมขยับไปมา แสดงว่ามันอยู่หน้าห้องผมแล้ว!!

เอายังไงดีวะ! ผมเริ่มประสาทเสีย รีบกดสายวางไปโดยที่ไม่รู้ว่ามือไปโดนหรือตั้งใจ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นการกระทำที่โง่มากหรือเปล่า ตอนนี้ผมรู้แค่ว่าควรเงียบเสียงไว้ ถ้าเปิดไม่ได้มันอาจจะไปก็ได้ เอาล่ะ...อะไรก็เกิดขึ้นได้ ผมต้องหาที่ซ่อนก่อน ตรงไหนพอจะหลบได้อย่างแนบเนียนได้บ้าง ผมสแกนสายตารอบห้อง

เชี่ยละ! ไม่มีเลย!!

หลบตู้เสื้อผ้า? เบสิกโคตร...ใต้เตียง? มุกเด็กสามขวบ...ซ่อนในผ้าห่ม? คงโดนยิงตายภายในสามวิ!

ขณะที่ผมกำลังยืนเกาหัวตัวเองอย่างแรง สายตาก็หันไปเห็นแสงไฟบนชั้นสองของบ้านข้างๆ ที่อยู่ๆ ก็สว่างจ้าขึ้นมา ผมรีบเดินไปเปิดผ้าม่าน เห็นเงาของชายผู้เป็นเจ้าของบ้านร้างสุดหลอนนั่น ผมเห็นชัดเจนว่าเขากำลังเดินอยู่ในห้อง ทว่าเพียงไม่กี่นาทีไฟก็ดับลง ให้มันได้อย่างนี้สิ! ผมกลับมามืดแปดด้านอีกครั้ง และในจังหวะที่ผมค่อยๆ มองลงไปข้างล่าง ความคิดสุดโต่งของก็บังเกิดขึ้น

ผมเปิดประตูหน้าต่างออกช้าๆ ชะโงกออกไปมองพร้อมกะความสูงโดยประมาณ หวังว่าพื้นหญ้าจะทำให้ผมเจ็บน้อยหน่อย และในความสูงระดับนี้คงไม่ทำให้ผมต้องพิการ

แต่วิธีนี้มันจะเวิร์กเหรอวะ?

ฟิว~

นี่มัน...เสียงปืน!

ผมหันไปที่ประตูพบว่ามันยิงตรงลูกบิดประตูเพื่อจะเข้ามาในห้อง เมื่อกี้เสียงปืนไม่ดังมากคงเป็นเพราะพวกมันใช้ปืนที่เก็บเสียง ตายห่าล่ะคราวนี้! ตกลงว่าพวกมันเป็นโจรหรือหน่วยจารชนกันแน่ เคยดูในหนังคนที่ใช้ปืนเก็บเสียงมักจะเป็นพวกนักฆ่าอะไรทำนองนั้นไม่ใช่เหรอ หายนะของแท้ ชะตาจะขาดอยู่รอมร่อ ผมมองประตูสลับกับทางออกตรงหน้าต่าง

“เอาวะ...พิการยังดีกว่าโดนฆ่าก็แล้วกัน” ผมพูดกับตัวเองก่อนจะตัดสินใจกระโดดลงไป

ตุบ!!

“มีคนอยู่ในบ้าน!”

โดนเห็นเข้าให้...ผมชักจะตกที่นั่งลำบากเข้าไปทุกที พยายามลุกขึ้นยืนแม้ข้อเท้าจะเจ็บมาก จากนั้นก็กระเสือกกระสนตัวเองไปจนถึงหน้าบ้าน ความอยากเอาตัวรอดทำให้ผมสาวเท้าไปจนถึงประตูหน้าบ้านหลังใหญ่ที่ผมเคยคิดว่าคงไม่มีคนอยู่ โชคดีที่ประตูรั้วไม่ล็อค ผมรีบพาตัวเองเข้าไปในขอบเขตของคนอื่นเพื่อขอความช่วยเหลือ ในขณะที่อีกมือก็พยายามติดต่อพ่อกับแม่ ตำรวจ หรืออะไรก็ตามอย่างทุลักทุเล มือผมสั่นไปหมดจนกดผิดกดถูกอยู่หลายครั้ง

ปึง ปึง ปึง

“ช่วยด้วยครับ ช่วยผมด้วย!!” ผมทุบประตูรัว

ปึง ปึง ปึง

“ได้โปรด เปิดประตูที!” ผมยอมรับว่าโคตรกลัว กลัวเสียยิ่งกว่าตอนเห็นงูเลื่อยเข้ามาใกล้ตอนอายุ 8 ขวบซะอีก “มีโจรเข้าบ้านผม พวกมันมีปืนด้วย คุณช่วยผมด้วยนะครับ เออ...คือ ผมกำลังจะโทรหาตำรวจ” ว่าแล้วก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ 191 และคอยมองหลังตลอดเผื่อพวกมันจะตามมา

“มันอยู่นั่น!”

ฉิบหาย! ตามมาจริงๆ ด้วย ผมต้องวิ่งเท้าเปล่าไปด้านหลังแล้วหาทางออกทางอื่นแล้วล่ะ แต่เอาจริงๆ นะ ถ้าพวกมันจะมาขโมยของ ก็เอาไปให้หมดรีบขับรถเผ่นไปสิ ไม่เห็นจะต้องมาตามตัวผมขนาดนี้เลย

“ไอ้หนู ยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ แล้วมึงจะไม่เป็นอะไร” มันขู่ฟ่อพร้อมยกปืนขึ้นมาหาผมตั้งแต่หน้าประตูรั้ว ถึงมาแค่คนเดียวผมก็... อ้อไม่สิ มีคนใส่หมวกเดินตามมาอีกคน แสดงว่าอีกสองยังอยู่ในบ้านของผม

‘สวัสดีค่ะ ศูนย์รับแจ้งเหตุ มีอะไรให้รับใช้คะ’

“วางโทรศัพท์ลงกับพื้น ช้าๆ” คนใส่แว่นสายตาบอกกับผมด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ฟังน่าขนลุก หางคิ้วผมกระตุกถี่แทบไม่เป็นจังหวะ แม่งเอ้ย อุตส่าห์โทรติดแล้วกลับทำอะไรไม่ได้ จบสิ้นแล้วชีวิต การเผชิญหน้ากับความตายตอนอายุ 21 มันไม่ใช่เรื่องที่ทำใจได้ง่ายเลยจริงๆ

หากทว่า...

ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก มือปริศนาคว้าคอเสื้อผมแล้วดึงเข้าไปด้านในบ้านเพียงชั่วพริบตา และพอมารู้ตัวอีกทีแผ่นหลังของผมก็กระทบเข้ากับกำแพงปูนอย่างจัง ความเงียบภายในบ้านบวกกับลมหายใจที่คนตัวสูงพ่นมาโดนปลายจมูก ยิ่งทำให้หัวใจของผมสั่นไหวด้วยความตื่นตระหนก ผมกำโทรศัพท์มือถือตัวเองแน่น พยายามมองคนที่พาตัวผมเข้ามา ก่อนจะพบว่าเขาสวมเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงเนื้อผ้าขายาว หากแต่ยังไม่ทันเลื่อนขึ้นมองใบหน้า คนตัวสูงใหญ่ที่อยู่ใกล้จนเกือบจะแนบเนื้อก็โน้มศีรษะลงมากระซิบข้างหูผมอย่างแผ่วเบา



“ขึ้นไปบนห้องทางซ้ายมือ ล็อคประตู และอยู่ในนั้นจนกว่าฉันจะตามขึ้นไป”

 

 

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-01-2017 22:43:35 โดย La_Pomme »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เปิดเรื่องมา ก็น่ากลัวซะละ :hao7:
ไหนจะบ้านร้างมีผี ไหนจะผู้ร้ายสี่คน :katai1:
มียิงกลอนประตู โดดบ้าน   :ling1: :ling1: :ling1:
ดีที่คนอายุ 36 ปีข้างบ้านช่วยไว้ทัน :เฮ้อ:
แถมเก่งกล้า จะจัดการกับพวกโจร ดัวยตัวเองซะด้วย
ปกป้องติณณ์ด้วย ให้ติณณ์ อยู่แต่ในห้องห้ามออกมา  :mew1: :mew1: :mew1:
ไม่ใช่พวกโจรมาค้นสิ่งประดิษฐ์ที่พ่อติณณ์ คิดไว้นะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
ตอนที่ 2




บรรยากาศโดยรอบมืดสนิท ในบ้านหลังนี้ดูไม่รกร้างเหมือนนอกบ้าน ผมรับฟังคำที่ชายคนนั้นพูดพร้อมทำตามในจังหวะเดียวกับที่โดนเขาผลักตัวให้เดินตรงไปที่บันได ผมหันกลับไปมองเขาอีกครั้งก่อนจะเห็นเขาไม้เบสบอลไว้ในมือ อาวุธแค่นั้นจะช่วยอะไรได้ ผมชักเป็นห่วงความปลอดภัยของพลเมืองดีคนนี้ขึ้นมาเพราะโจรพวกนั้นมีปืน

เห็นทีว่าผมควรทำในสิ่งที่ทำได้ดีกว่า...

“รีบไปสิ!”

ผมเรียกสติตัวเองกลับมาหลังจากโดนเร่ง รีบเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนอย่างช่วยอะไรไม่ได้ เป็นคนนำปัญหามาขอความช่วยเหลือแต่กลับต้องขึ้นไปหลบอยู่บนห้องในขณะที่ชายคนนั้นต้องเผชิญหน้ากับคนร้ายเพียงลำพัง 

ไม่ได้การ ผมต้องรีบโทรแจ้งตำรวจให้เร็วที่สุด!

หลังจากเข้าไปในห้องด้านซ้ายมือ ผมล็อคประตูเสร็จก็รีบกดเบอร์หาตำรวจ ประกอบกับควบคุมอารมณ์ให้คงที พอมีสติที่จะคุยกับตำรวจให้รู้เรื่องในเวลาอันรวดเร็ว

‘สวัสดีค่ะ ศูนย์รับแจ้งเหตุ มีอะไรให้รับใช้คะ’

“สวัสดีครับ! คือตอนนี้ผมกำลังตกอยู่ในอันตราย มีคนร้ายบุกเข้าบ้านผมพร้อมอาวุธปืน...รีบมาช่วยผมด้วยครับ ผมอยู่บ้านเลขที่ 256/88 หมู่บ้านภิรมย์เดชา ซอย 2 เขตหลักสี่ แล้วก็เออ...ผมเพิ่งปีนออกมาจากทางหน้าต่าง และ...”

ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด

“ฮัลโหล! คุณตำรวจ...”

แม่งเอ้ย!! โทรศัพท์แบตหมด

ข้างล่างจะเป็นยังไงบ้างนะ ผมไม่ค่อยได้ยินเสียงเลย เขาจะต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า ผมเริ่มเดินหาอุปกรณ์ที่พอเอามาใช้เป็นอาวุธได้ แต่ในห้องนอนเขามีแต่ชั้นวางของที่ว่างเปล่า ตู้เสื้อผ้าที่มีชุดอยู่ไม่กี่ตัวนอกนั้นมีแต่ไม้แขวนเสื้อ อะไรก็ตามที่เป็นลิ้นชักถูกล็อคหมด ขนาดตู้หนังสือยังล็อคไว้ ที่พอจะเห็นวางเด่นอยู่ก็มีแต่แผ่นเสียงเพลงสากลคลาสิกในยุค 80

ปึง ปึง

เสียงทุบประตู้ทำให้หยุดชะงัก ยืนตัวซีดพร้อมริมฝีปากที่กำลังสั่นระริก

“ฉันเอง”

ให้ตาย...อายุสั้นลงไป 10 ปี ตกใจฉิบหาย

ผมรีบเดินไปเปิดประตู พบกับชายผู้เป็นเจ้าของบ้านในสภาพเหงื่อท่วมตัว เขาได้เผชิญหน้ากับคนร้ายหรือเปล่า ทำไมผมถึงไม่ได้ยินเสียงปืนเลย ข้างล่างเงียบสนิท และไม่มีใครตามขึ้นมาด้วย เรียบร้อยดีงั้นเหรอ ปลอดภัยแล้วใช่มั้ย ผมอยากจะถามแบบนี้แต่กลับพูดไม่ออก

ชายตรงหน้ามองผมด้วยนัยน์ตาฟ้าเข้ม ใบหน้าของเขาออกไปทางยุโรป แต่ก็ยังมีความคมเข้มแบบชาวเอเชีย ผมเดาว่าเขาคงเป็นลูกครึ่ง ตัวเขาถึงได้สูงใหญ่ บึกบึนไปด้วยกล้ามที่น่าจะผ่านการออกกำลังกายมาอย่างสม่ำเสมอ เขาเดินผ่านผมไปยังบานหน้าต่าง เปิดผ้าม่านและเพ่งมองไปยังบ้านผมด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง   

“นายกระโดดออกมาจากทางนั้นใช่มั้ย” เขาคงเห็นบานหน้าต่างของห้องผมเปิดอยู่พร้อมผ้าม่านที่ปลิวไสว

“ครับ”

“พวกมันมีกันกี่คน” น้ำเสียงเข้มถามอย่างฉะฉาน ไม่มีความสั่นไหวแต่อย่างใด

“ผมเห็น 4 คนครับ”

“แปลว่าอีก 2 คนยังอยู่ในบ้าน” เขาหันมามองผมอย่างดุดัน “ฝีมือมันดูจะไม่ใช่โจรธรรมดา ถ้านายอยากรอดก็ต้องหนีไปให้ไกลจากที่นี่ เพราะอีกเดี๋ยว 2 คนในบ้านต้องตามมาสมทบแน่”

“เมื่อกี้ผมเพิ่งโทรแจ้ง 191 ไป พวกตำรวจน่าจะกำลังเดินทางมาถึง”

“โทรแจ้งตำรวจ?” เขาขมวดคิ้วหนัก และมองผมอย่างไม่สบอารมณ์

“ใช่ครับ”

ชายคนนั้นถอนหายใจทิ้งก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น

“ทำไมฉันต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วยนะ” ดูเหมือนเขาจะตัดพ้ออยู่คนเดียว ผมล่ะสงสัยจริงๆ ว่าความหมายที่ชัดเจนคืออะไร เพราะช่วยผมเท่ากับการหาเรื่องใส่ตัวอย่างนั้นใช่มั้ยวะ 

อีกครึ่งชั่วโมงจะห้าทุ่ม คุณอาของบ้านเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบแจ็คเก็ตสีดำขึ้นมาสวมทับเสื้อกล้าม ก่อนจะเดินดุ่มไปหยิบกุญแจใต้หมอนมาเปิดลิ้นชักบริเวณโคมไฟ เขาหยิบกระเป๋าสตางค์และคว้าพวงกุญแจรถยนต์ขึ้นมาพร้อมกับปืนสั้นกระบอกหนึ่ง พระเจ้าจอร์จ! นั่นมันปืนของจริงเลย

“อาจะไปไหนครับ” ผมรีบถามเพราะเขากำลังทำท่าเหมือนจะเดินออกจากห้อง

“เราต้องหนี ก่อนที่พวกมันจะตามมา”

“แต่ตำรวจ...”

“ถ้ารอให้ตำรวจมาถึง ฉันคงฆ่าพวกมันตายก่อนแน่!”

เขาชิงตัดบทผมพร้อมเสียงทุ้มในลำคอที่ฟังเกรี้ยวกราดอย่างน่าเหลือเชื่อ ความจริงแล้วผมก็สองจิตสองใจนะ แต่ในเมื่อเขาเป็นคนช่วยชีวิตผมไว้แต่แรก ผมก็ควรเชื่อฟังเขาทุกอย่าง และเท่าที่คิดดู ผมว่าผู้ชายคนนี้กำลังเลี่ยงการปะทะกับอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายที่มันอาจบานปลายไปกว่านี้

เมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่าง ผมเห็นคนร้ายสองคนนอนโอดโอยอยู่บนพื้น ใกล้กับประตูหน้าบ้านที่ไฟถูกปิดไว้ ผมจึงเห็นสภาพของพวกเขาไม่ชัด แต่ถือว่ายังไม่ตายเพราะกำลังหายใจอยู่ อาเจ้าของบ้านข้างๆ ที่ผมเดินตามไปจนถึงลานจอดรถนี่ไม่ธรรมดาแฮะ สู้กับคนมีปืนด้วยไม้เบสบอลเพียงอันเดียวได้ยังไง ผมพยายามเงี่ยหูฟังก็ไม่ได้ยินปืนดังขึ้นมาเลย โชคช่วยงั้นเหรอ หรือว่าเขามีวิธีเอาตัวรอดในแบบที่ผมคาดไม่ถึง

ให้ตายสิ...ยิ่งคิดยิ่งอยากรู้

“รีบขึ้นรถ อย่ามัวแต่โอ้เอ้” พอดึงสติกลับมาอีกที เจ้าของบ้านสุดขรึมก็นั่งอยู่ในรถเรียบร้อยแล้ว

“ครับๆ”

ผมรีบเข้าไปนั่งในรถซีดาน 4 ประตู โดยไม่ลืมที่จะรัดเข็มขัดนิรภัย ชายคนนั้นเข้าเกียร์และเหยียบคันเร่ง โชคดีที่ประตูรั้วถูกเปิดไว้ก่อนหน้า รถยนต์สามารถขับผ่านไปได้สบาย แต่ที่เป็นอุปสรรคจริงๆ เห็นจะเป็นคนร้ายอีกสองคนที่วิ่งมาสมทบมากกว่า

ปัง ปัง!

ไม่พูดพร่ำทำเพลง พอพวกมันเห็นรถยนต์เคลื่อนออกมาจากตัวบ้านก็รัวกระสุนใส่สองนัดติด ผมกลัวสุดชีวิต ยกมือขึ้นปิดหูโดยอัตโนมัติ ซึ่งต่างจากคนขับที่ขับรถต่อไปอย่างมีสติแน่วแน่ กระทั่งรถยนต์เคลื่อนออกจากหมู่บ้านไปสักพัก ผมทั้งมองผ่านกระจกหลัง กระจกข้างและหันไปมองด้วยตาตัวเอง เพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันไม่ตามมาอีก

“นายไม่รู้จักพวกมันใช่มั้ย” อยู่ๆ เขาก็ถามขึ้น

“คะ...ครับ”

“ฉันว่าพวกมันอาจต้องการตัวนายด้วย”

“หา?”

“ตอนที่นายอยู่หน้าประตูบ้าน ถ้าพวกมันอยากจะปิดปากเพราะนายบังเอิญไปเห็นหน้าก็คงยิงนายตายคาที่ตั้งแต่อยู่ตรงประตูรั้งแล้ว ปืนมันมีลำกล้องส่องยิง ระยะแค่นั้นไม่จำเป็นต้องเดินเข้ามาใกล้ให้เสียเวลาหรอก”

พอคิดตามไปด้วยก็ยิ่งรู้สึกหวั่นใจ และไม่นานผมอาจจะประสาทเสียไปเลยก็ได้ 

“ถึงกับจะฆ่ากันเลยเหรอ” ความกลัวของผมออกมากับประโยคพูด

“ดูจากการจับปืนและท่าทางการต่อสู้ ก็พอจะรู้ว่าพวกมันถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี” ผู้ชายคนนี้รู้เยอะ ดูฉลาดจนน่าพิศวง นอกจากผมจะสงสัยเกี่ยวกับคนร้ายพวกนั้นแล้ว ผมก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยตัวตนของคนคนนี้ เขามีอะไรลึกลับซ่อนอยู่ หรือจะเป็นความรู้ที่เขาผ่านอะไรมาเยอะกว่าผมแค่นั้น

“ตอนนี้พวกมันคงขนข้าวของผมออกไปหมดบ้านแล้วแน่ๆ” ผมเอ่ย

“นายเห็นพวกมันรื้อของในบ้านเหรอ”

“ครับ”

หลังจากผมตอบกลับ เขาก็นิ่งไปซะเฉยๆ ทำเหมือนครุ่นคิดอะไรสักพัก แล้วก็กล่าวขึ้น

“ให้ตำรวจจัดการไปละกัน” ได้ยินดังนั้นแล้วผมก็พยักหน้าอย่างงงๆ

“เออ...ขอบคุณที่ช่วยผมนะครับ”

เขาเป็นคนดีและพึ่งพาได้จริงๆ ทำให้ผมรู้สึกผิดเรื่องที่ไปหาว่าบ้านเขาเป็นบ้านร้าง แถมยังมองข้ามเรื่องการเกี่ยวดองเพื่อเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน เพราะเขาแทบจะไม่อยู่ในสายตาผมด้วยซ้ำ แต่พอเกิดเรื่องขอความช่วยเหลือ ผมดันตรงดิ่งไปที่บ้านของเขาโดยไม่คิดเลยว่าจะนำพาความเดือนร้อนไปให้หรือเปล่า

“นั่นอาจเป็นสิ่งที่ฉันตัดสินใจพลาดที่สุดในชีวิตก็ได้”

“...”



จุกจนพูดไม่ออกเลยกู...












« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-01-2017 22:59:19 โดย La_Pomme »

ออฟไลน์ DESZCZ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น่าติดตามค่ะ
ผู้ชายข้างบ้านที่ดูมีปริศนา กับเด็กหนุ่มที่ดูมีอะไรมากกว่าที่คิด
รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
ตอนที่ 3




ขับรถออกมานอกหมู่บ้านได้ไม่ไกล อาข้างบ้านก็จอดรถเทียบกับฟุตปาธใกล้ๆ กับตลาดกลางคืน คงเพราะมีคนพลุกพล่าน สามารถหลบลี้ภัยได้สบาย ผมกวาดสายตามองลาดเลาให้แน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะพบกับเซเว่นที่อยู่อีกฝั่งของถนน และยังมีตู้โทรศัพท์สาธารณะอยู่ใกล้ๆ อีกด้วย

ป่านนี้พ่อแม่คงเป็นห่วงผมแย่แล้ว...

ขณะที่ผมกำลังคิดถึงหัวอกพ่อแม่ จู่ๆ ชายที่นั่งตำแหน่งคนขับก็ค่อยๆ เอนเบาะลง ทำท่าเหมือนจะนอน

“พ่อกับแม่อาจตกใจที่ผมหายตัวมา เออ...” ถ้าพูดแบบนั้นมันจะดูเกินไปหรือเปล่าวะ...คงไม่หรอกมั่ง ก็มันจำเป็นนี่หว่า เขาคงเห็นใจบ้างแหละ “ผมขอโทรศัพท์หาที่บ้านได้มั้ยครับ”

ผมพูดจบเขาก็เหลือบตามาจ้องผมเขม็ง

“จำเป็นต้องขออนุญาตจากฉันด้วยเหรอ”

“คือมือถือผมแบตหมด อาพอจะมีโทรศัพท์...เออ เอาเป็นเหรียญบาทให้ผมหยอดตู้โทรก็ได้ครับ สักห้าบาทคงพอ” สาบานได้ว่าผมกำลังพูดอยู่เขา แต่ไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่เขาเบือนหน้าหนีผมอย่างหน่ายใจแบบนี้ เอาจริงๆ ผมก็ไม่ค่อยสมอารมณ์เท่าไหร่หรอก เพราะนอกจากผมจะรู้สึกผิดกับการสร้างเรื่องยุ่งให้เขาแล้ว ผมก็เริ่มรู้สึกสมเพชตัวเองด้วย

ผ่านไปไม่ถึงสามสิบวินาที อาข้างบ้านก็โน้มตัวมาเปิดกล่องหน้ารถในฝั่งที่ผมนั่งอยู่ ความรวดเร็วนั้นทำให้ผมแทบกระเด้งตัวหนีไม่ทัน ปลายจมูกเขาผ่านหน้าผมไปไม่ถึงคืบ ซ้ำยังค่อยๆ เบียดเข้ามาในขณะที่มือข้างหนึ่งจับเบาะที่ผมนั่งอยู่ ส่วนอีกข้างก็เพื่อหาสิ่งที่ผมต้องการไป ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนโดนถาโถมด้วยกลิ่นกายที่มีความหอมของสบู่อาบน้ำปะปนอยู่กับกลิ่นเหงื่อ จึงพยายามนั่งให้หลังติดเบาะแบบเกร็งสุดฤทธิ์ โดยอธิบายไม่ได้ว่ามันคือความอึดอัด หรือเกรงใจหากต้องแตะโดนตัวเขากันแน่

ไม่นาน เศษเหรียญที่ผมต้องการก็ถูกคนตรงหน้ายื่นมาให้ ผมรีบผมมาพร้อมผงกหัวเล็กน้อย

“ขอบคุณครับ”

ไม่รอช้า ผมเปิดประตูรถออกไปยังตู้โทรศัพท์ทันที ตอนนี้ถนนค่อนข้างโล่งผมจึงลากเท้าเปล่าเดินข้ามถนนได้อย่างสบายๆ และหลังจากเข้าไปในตู้ ยกหูโทรศัพท์พร้อมกดเบอร์ของพ่อเสร็จ ผมก็รอสัญญาณอย่างใจจดใจจ่อ

แต่ทว่า...

‘เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’

อะไรกัน! เวลาป่านนี้แล้วทำไมพ่อยังประชุมไม่เสร็จอีก...งั้นโทรหาแม่

‘เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’

เกิดอะไรขึ้นวะ!! ทำไมช่วงเวลาคับขันแบบนี้ผมถึงติดต่อใครไม่ได้เลย

เอ๊ะ! หรือว่า...

ไม่... ไม่หรอกน่า อย่าเพิ่งคิดอะไรในแง่ร้ายสิ ผมไปหาพ่อที่บริษัทพัฒนาเวชภัณฑ์ดีมั้ยนะ เพราะตอนนี้ท่านอาจจะทำงานอยู่ก็ได้ แล้วจะไปยังไงล่ะ ค่ารถก็ไม่มี จะขอให้คุณอาข้างบ้านช่วยพาไปก็เกรงใจ...ดูดิ เขาเอนตัวหลับไปแล้วด้วย ดึกขนาดนี้ก็ถือเป็นเวลานอนสินะ แม่ง! จะบ้าตาย

 ถ้างั้น...ลองบอกให้เขาขับรถกลับไปดีกว่า เพราะป่านนี้ตำรวจอาจมาถึงแล้วก็ได้

ผมตัดสินใจเดินย้อนกลับไปที่รถหลังจากเสียเวลาในตู้โทรศัพท์ประมาณ 15 นาที เปิดประตูขึ้นไปนั่ง และค่อยๆ ส่งเสียงกระซิบให้เขาตื่นอย่างมีมารยาทที่สุด

“อาครับ อา...ผมว่าป่านนี้ตำรวจคงมาถึงแล้ว เราขับรถกลับกันดีมั้ย”

เงียบกริบ...

“คุณอา”

“…”

“อาครับ”

“…”

“อา...” จู่ๆ เขาก็ลืมตาขึ้นมา ผมยิ้มแห้ง พลางกลืนน้ำลายลงคอ

“ฉันไม่ได้นอนเพราะนาย จะขอเวลาพักสักหน่อยไม่ได้หรือไง” หูย~ สายตาน่ากลัวฉิบหาย

“เชิญเลยครับ ตามสบาย ผมจะนั่งรอเงียบๆ”

เวรเอ้ย!! คล้อยตามน้ำเฉยเลย แล้วจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่วะเนี่ย ข้าวกล่องที่ซื้อมาก็ยังไม่กิน หิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว หิวโว้ย! หิวจนตาลายไปหมด สายตาผมจ้องไปที่เซเว่นฝั่งตรงข้ามประหนึ่งเป็นสวรรค์ที่อยากลอยไปหา จากนั้นก้มมองดูเศษเงินในมือ มีเกือบสิบบาท ยังไงก็ไม่พอ

เออ...แล้วถ้าลองเปิดในกล่องเก็บของหน้ารถนั่นดู จะมีเงินสมบททุนเพิ่มเพื่อเป็นค่าอาหารคนตาดำๆ อย่างผมมั้ยนะ

คิดได้แค่นั้น ผมก็เหลือบไปมองคุณอาข้างบ้านด้วยหางตา ก่อนจะค่อยๆ ใช้มือเปิดกล่องออกอย่างเงียบเชียบที่สุด อีกนิดเดียว อีกนิด ใกล้แล้ว...

เปิดออกแล้ว!

หมับ!!

ผมถูกมือใหญ่กุมรอบข้อมือข้างซ้าย ก่อนจะโดนกระชากให้หันตัวไปทางคนขับอย่างเต็มแรง นี่ถ้าในร่างผมมีวิญญาณสิงสถิตอยู่คงกระเด็นออกไปแล้วแน่ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นโดยฉับพลันทำเอาผมขวัญกระเจิง ชายตรงหน้าจับข้อมือแน่น พลางหรี่ตามองผมโดยไม่ละสายตา คือจะพูดอะไรก็ไม่รีบพูด ผมขนลุกวูบจนไปไม่ถูกแล้วเนี่ย

“เจ้าเด็กขี้ขโมย”

อ้า...ผมถูกจับได้สินะ

“ผมไม่ได้กินอะไรตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว” โปรดเข้าใจว่ามันไม่ใช่ข้ออ้างแต่อย่างใด

“นายเป็นเด็กประเภทที่ต้องกินข้าวให้ตรงเวลา จากนั้นค่อยอาบน้ำแล้วดื่มนมก่อนเข้านอนงั้นสิ” เดี๋ยวนะ นี่เขาหาว่าผมทำตัวเป็นเด็กเล็ก หรือเข้าใจว่าผมมีอายุที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะกันแน่

“ผมเรียนมหา’ลัยแล้วนะอา”

“เลิกเรียกฉันแบบนั้นสักที เราสนิทกันหรือไง”

เขาปล่อยมือผม ก่อนจะเอื้อมไปเปิดกล่องเก็บของเพื่อหยิบบุหรี่ซองหนึ่งขึ้นมา ในจังหวะนั้นผมบังเอิญเห็นว่าข้างในมีเศษเหรียญอยู่ แต่ให้ตายเถอะ มันเหลือไม่ถึงสิบบาทด้วยซ้ำ เฮ้อ...ท้อแท้กับชีวิตจริงๆ ผมหายใจทิ้งในจังหวะเดียวกับตอนที่เจ้าของรถเปิดประตูรถออกไปยืนข้างนอกพอดี

เขายืนพิงประตูรถ นำไฟแช็คไฟฟ้าขึ้นมาจุดที่ปลายบุหรี่ ผมนั่งมองการกระทำของเขาอยู่สักพักก่อนจะเดินตามออกไป เนื่องจากยังข้องใจในเรื่องที่เขาพูดค้างไว้อยู่

“แล้วจะให้ผมเรียกคุณว่าอะไร” ผมถามพร้อมกับเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ

“ไคลฟ์” เขาปล่อยควันบุหรี่ออกจากปาก ตอบคำถามโดยไม่มองหน้าผม

“คะ...ไค?” ทำไมออกเสียงยากอย่างนี้วะ “เออ...ผมชื่อติณณ์นะ”

“…”

เงียบคือ...กำลังคิดประโยคถัดไป หรือบทสนทนามันจบลงแค่นี้

เออ เอาเหอะ!

“ต้องให้ฉันจับมือข้ามถนนด้วยหรือเปล่า”

“ห๊ะ?”

ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายพูด แต่ประเด็นคือเขาล้อว่าผมเหมือนเด็กสองครั้งแล้ว และในจังหวะที่ผมจะพูดสวนกลับไป เขาก็เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมา

ผมเบิกตากว้าง ตะลึงกับสิ่งที่เห็น...

แบงค์สีเทา...แบงค์พัน...เขามีเงินตั้งพันนึงแน่ะ!! 

ชายตรงหน้าจับแบงค์เหมือนคีบกระดาษ กระทั่งถนนโล่ง เขาเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งโดยไม่พูดอะไรกับผมสักคำ เขาจะไปไหนน่ะ เดินผ่านไปตู้โทรศัพท์ ทิ้งบุหรี่ไว้ข้างทาง และ...เดินเข้าไปในนั้น

เข้าไปในเซเว่น!

อรุณเบิกฟ้า~ ผมรีบจ้ำอ้าวตามไปแบบเท้าเปล่าแถมเจ็บข้อเท้าอีกต่างหาก แต่ถ้ามีอะไรตกถึงท้อง จะให้เดินข้ามไปข้ามมาอีกสิบกว่ารอบก็ยังไหว ไคล...ไม่สิ ไคล์...ออกเสียงไงนะ อืม ช่างเหอะ...เขาน่ะเกิดมาเพื่อโปรดคนที่น่าสงสารอย่างผมแท้ๆ แม้นเรามีดวงได้เกื้อกูลกันแค่คืนนี้ ผมก็จะขอจำความดีนี้ไว้ตลอดชีวิตละกัน

ผมเดินตรงไปที่ตู้แช่ข้าวกล่องเป็นอันดับแรก จัดมาเลย สปาเก็ตตี้ขี้เมา ข้าวผัดกุ้ง เกี๊ยว จากนั้นก็ยืนรอพนักงานเวฟแบบช็อตต่อช็อต ไม่นานผมก็รู้สึกว่ามีใครบางคนมายืนอยู่ข้างๆ

อ้อ...ไค นั่นเอง

เขามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็เลื่อนขึ้นมามองหน้าและก็เลื่อนลงไปที่เท้าอีกที คือมีอะไรจะพูดกับผมก็ว่ามามั้ยล่ะ ทำแบบนี้มันชักจะเกินไปนะผมว่า ถ้าเกิดไม่เคยเจอกันมาก่อนผมคิดว่าเข้ามาหาเรื่องนะนั้น แถมมองเสร็จก็ยังเดินไปกาแฟร้อนตรงเค้าน์เตอร์ ทิ้งความข้องใจไว้ที่ผม ไม่อธิบายอะไรก็เดินเข้าไปเลือกของต่ออย่างหน้าตาเฉย

“Hey!” ผมหันขวับไปตามเสียงเรียกที่มาจากด้านหลัง

ตุบ!!

ไคโยนของบางอย่างลงกับพื้น ผมเพ่งมองสิ่งที่อยู่ในถุงพลาสติกใกล้ๆ

“ใส่ซะ”

นี่มัน...รองเท้าแตะ?

“เดี๋ยวผมก็กลับบ้านแล้ว คุณไม่ต้องซื้อให้เปลืองเงินหรอก”

“ตามใจ” เขาไม่เก็บมันขึ้นมา แต่ดันยืนล้วงกระเป๋าทำราวกับไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าให้เดาใจ เขาคงพูดประมาณว่า ‘ฉันเอามาให้ใส่ ถ้าไม่ใส่ก็เอาไปเก็บด้วย’ อะไรทำนองนั้นแน่ๆ

เออ...เก็บก็เก็บวะ!

ผมหยิบถุงรองเท้าแตะไปวางที่เดิม ก่อนจะเดินกลับมารอข้าวกล่องที่กำลังเวฟอยู่เหมือนเดิม อืม...จะว่าไป เขาก็เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เลวเลย ถึงจะดูเย็นชา ชอบทำเสียงเข้มในลำคอ และชอบทำหน้าดุ แต่เขาก็เป็นคนดีใช้ได้

ผมชักอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ซะแล้วสิ...

“นี่ไค...”

เขาเป็นคนบอกให้ผมเรียกแบบนี้เอง ฉะนั้นจะมาหาว่าผมไม่เคารพไม่ได้นะ และเท่าที่ผมรู้มา ในสังคมฝรั่งเขาก็เรียกคนอายุมากกว่า (ที่รู้จักกัน) ด้วยชื่อเล่นกันแบบโดดๆ อยู่แล้วนี่น่า

เดี๋ยวก่อนนะ แค่เรียกชื่อทำไมเขาต้องทำหน้าสงสัยขนาดนั้น แถมยังมองหันซ้ายขวามองไปทั่ว พอมองรอบตัวผมเสร็จ ก็หันมองรอบตัวเอง...เขาทำอะไรวะ?

“ไหน?” เขาถาม

“อะไร?”

“ก็นายพูดถึงใครอยู่ล่ะ”

“เปล่าหนิ” ผมแค่เรียกเขา ไม่ได้พูดถึงใครสักหน่อย

“เมื่อกี้นายถามฉันว่าอะไร”

“ผมไม่ได้ถาม แค่เรียกชื่อคุณเฉยๆ” อ้อ~ เริ่มเข้าใจล่ะ เมื่อกี้เขาคงคิดว่าผมพูดว่า ‘นี่ใคร?’ สินะ

“ฉันชื่อไคลฟ์”

“ก็มันออกเสียงยาก ผมเรียกว่า ‘ไค’ แทนได้มั้ย”

“...”

เอิ่ม...เขาจะใช้ความเงียบเป็นคำตอบสักกี่ครั้งกันวะ!

“คุณทำงานอะไร” นับเป็นเรื่องแรกๆ ที่ผมอยากรู้เกี่ยวกับตัวเขา

“พอกลับไปเราก็ต่างคนต่างอยู่แล้ว จะอยากรู้ไปทำไม”

“โหย...นี่จะตัดสัมพันธ์กันเลยเหรอ”

“ก็ไม่ได้มีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

“งั้นมาเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลยสิ ผมอยากรู้จักกับคุณนะ...ไม่ได้เหรอ?”

ผมเงยหน้ามองเพื่อแสดงความจริงใจ แน่นอนว่าเขาก็หันมามองผมเช่นกัน เอาล่ะ...คราวนี้ผมว่าเขาน่าจะกำลังใช้ความคิดที่จะพูดประโยคถัดไปมากกว่าจบการสนทนาไปเฉยๆ สำหรับผม แค่เขาใช้เวลาคิดก็ถือว่าดีมากแล้ว อย่างน้อยผมก็ได้รู้ว่าเขาเป็นคนรับผิดชอบในคำพูด และที่ไม่ได้ตอบปฏิเสธในทันที ก็แสดงว่าเขาไม่ได้เกลียดขี้หน้าผมเท่าไรนัก

“ของที่ให้เวฟเรียบร้อยแล้วค่ะ”

ผับผ่าสิ! ตอนรอไม่เสร็จสักที แต่พอเปลี่ยนมารออย่างอื่นดันขัดขึ้นมาซะอย่างนั้น!!

“ขอบคุณครับ” ผมหันไปเจื่อนยิ้มกับพนักงาน และกลับมามองไคที่กำลังยื่นแบงค์พันให้พนักงานเพื่อจ่ายเงิน จากนั้นเขาก็รับตังค์ทอน หยิบกาแฟจากเค้าน์เตอร์ แล้วเดินออกประตูไปทันที

หลังจากรับถุงที่เต็มไปด้วยของกินประทั่งชีวิต ผมก็เดินตามไคออกไปติดๆ

“อ่าว หายไปไหนแล้ว” ผมมองหาสักพักก็เห็นเขายืนดูอะไรบางอย่างอยู่ใกล้ๆ กับร้านขายข้าวต้มกลางคืนที่มีโต๊ะสำหรับลูกค้าทั้งในร้านและบริเวณฟุตปาธ ผมเดินตามไปกะจะถามว่าเขายืนดูอะไร

แต่คำตอบที่ว่านั่น คงอยู่ในทีวีจอใหญ่ของร้านแล้ว!

‘รายงานข่าวด่วน เมื่อเวลาประมาณ 00.36 น. ที่ผ่านมา ได้เกิดเสียงปืนปริศนาดังขึ้นบริเวณหมู่บ้านภิรมย์เดชา ย่านหลักสี่ ซึ่งก่อนจะเกิดเสียงปืนดังกล่าว ทางตำรวจได้รับแจ้งความจากเจ้าของบ้านเลขที่ 256/88 ว่ามีคนร้ายบุกรุกเข้าไปพร้อมอาวุธปืน เมื่อทางตำรวจไปถึงที่เกิดเหตุ พบว่าข้าวของถูกรื้อค้น และนายติณณุกูล ลูกชายของนายเจตรินกับนางบุพผาได้หายตัวไปจากบ้านพร้อมกับชายที่อาศัยอยู่ข้างบ้านของเขา ตรวจสอบจากบัตรประชาชนและพาสปอร์ตทราบชื่อคือนายไคลฟ์ ไมเนอร์อายุ 36 ปี สัญชาติอเมริกา เบื้องต้นทางตำรวจได้พบร่องรอยการต่อสู้ในบ้านของชายดังกล่าว จึงมีการตั้งข้อสงสัยว่านายไมเนอร์พยายามงัดเข้าไปในบ้านเพื่อลักพาตัวนายติณณุกูล แต่เพราะนายติณณุกูลขัดขืนจึงเกิดเสียงปืนข่มขู่ขึ้นในภายหลัง โดยการหายตัวไปของนายติณณุกูลนั้น เป็นไปได้สูงว่าเขาอาจโดนลักพาตัวไปจากที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ หากมีข้อมูลคืบหน้าอย่างไร ทางเราจะรายงานให้ทราบอีกครั้งค่ะ’

ผมแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน...มันบ้าบอมาก!

“นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้” ผมหันไปถามผู้มีพระคุณ ที่ตอนนี้ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนลักพาตัวผมไปซะแล้ว แน่นอนว่าผมตกใจมาก แต่ก็คงไม่เท่าไคแน่ๆ

“…”

“ไค! พูดอะไรหน่อยสิ” นี่เขาช็อคจนไม่ได้ยินสิ่งที่พูดเลยหรือไง

ไม่นานไคก็หันมามองผม ก่อนจะพูดประโยคหนึ่งพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ บริเวณมุมปาก ซึ่งนับว่าเป็นรอยยิ้มแรกที่เขาเพิ่งเผยให้ผมเห็น แต่...ทำไมต้องมาจากสถานแบบนี้ด้วย!



“ฉันว่า...นายคงต้องกลับไปเอาไอ้รองเท้านั่นมาใส่แล้วล่ะ”

 

 

 

 

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-12-2016 19:51:19 โดย La_Pomme »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แสดงว่าไคลฟ์ น่าจะทำงานที่ไม่เปิดเผย
ติณณ์ นี่ดูทำอะไรก็ไม่ถูกไปซะหมด
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
เฮ้ สุดยอดไปเลย น่าสนใจจัง มีความแซบ 555 รอตอนต่อไปค่ะ  :hao7:

ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
ตอนที่ 4



ผมเดินเท้าเปล่าตั้งแต่หนีออกมาจากหน้าต่างบ้านตัวเอง จนมาถึงเซเว่นแถวบ้านเพื่อรอให้ตำรวจมาเคลียร์เรื่องที่มีโจรบุกเข้าบ้านผม ทว่าสิบนาทีที่แล้วผมต้องเดินเข้าไปซื้อรองเท้ามาใส่ และออกมานั่งทำสติข้างฟุตปาธหลังจากได้ฟังข่าวด่วนที่รายงานว่าคนร้ายคือผู้ชายข้างบ้านผม

ตำรวจสืบประสาอะไรถึงรายงานผู้สื่อข่าวไปอย่างนั้น ผมทั้งหงุดหงิด ทั้งโมโห ในขณะที่ไคเอาแต่นั่งเงียบ หลังจากผมเอารองเท้ามาใส่ตามที่บอกแล้วเขาก็ไม่พูดอะไรอีก สงสัยจะตกใจมาก

แหงล่ะ ถ้าเป็นผมก็คงไปไม่เป็นเหมือนกัน อยู่ๆ ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรลักพาตัวแบบนั้น โคตรไร้สาระเลย เขายังต้องรออะไรอีกวะ ไปอธิบายกับตำรวจตอนนี้เลยเถอะ ผมหัวร้อนจนลืมความหิวไปหมดแล้วเนี่ย!

คิดได้ดังนั้น ผมก็ลุกขึ้นยืน ตั้งใจจะเดินไปยังตู้โทรศัพท์

“จะทำอะไร” ไคร้องถามผม พลางเงยหน้ามองด้วยสายตาอันดุดัน

“ผมจะโทรหาพ่อกับแม่ อธิบายเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง ข่าวออกมาขนาดนั้นยังไงพ่อกับแม่ก็ต้องรู้ถึงสิ่งเกิดอะไรขึ้นที่บ้านแล้วแน่ๆ” พูดจบผมก็เดินกำเหรียญในมือที่ยังไม่คืนเขาไปตู้โทรศัพท์ที่อยู่ไม่ไกล และแน่ล่ะ ผมรู้ว่าเขาต้องเดินตามมา จนถึงตู้โทรศัพท์และกำลังกดเบอร์โทรแม่ ผมก็หันไปพูดกับไคต่อ “ถ้าโทรไปไม่ติดอีก ผมก็จะโทรเล่าให้ตำรวจฟัง”

“อย่าโง่หน่อยเลยน่า” เขากดสายวางในทันที แถมยังจ้องผมเขม็งอีกด้วย

“ทำไม? พวกเขากำลังเข้าใจคุณผิดนะ”

“เพราะอะไรตำรวจถึงสงสัยฉัน นายรู้หรือเปล่า”

“...” ผมส่ายหน้า

“ฉันเคยบอกแล้วว่าคนพวกนั้นไม่ใช่โจรธรรมดา ในข่าวพูดถึงแค่ฉันกับนาย แสดงว่าร่องรอยที่สาวถึงตัวพวกมันไม่เหลือให้ตรวจสอบ เพราะอย่างนี้ฉันถึงมั่นใจว่ามันทำงานกันเป็นทีมแน่ ถึงได้กลบหลักฐานซะมิดชิดขนาดนั้น” ความจริงแล้วตำรวจไม่ได้โง่ แต่พวกโจรมันฉลาดกว่า ไคคงนั่งวิเคราะห์เรื่องนี้อยู่ถึงได้เอาแต่นั่งเงียบ ส่วนผมไม่ทันคิดอะไรถึงได้เอาแต่วู่วาม

“ให้ตำรวจมาช่วยไม่ใช่วิธีที่เวิร์ก เพราะทันทีที่นายโทรหาพวกเขา รถตำรวจก็จะมารับเราสองคนไปโรงพักถึงที่ จากนั้นฉันก็จะถูกสอบสอน และฟันธงได้เลยว่าตำรวจพวกนั้นต้องไม่ปล่อยฉันไว้แน่” ผมตกใจที่ได้ยินไคพูดอย่างนั้น ซึ่งเขาก็ไม่ลืมที่จะอธิบายให้ผมเข้าใจ “ถ้านายใช้สติคิดสักนิดก็คงดูทุกอย่างออก ถ้าพวกมันกลบร่องรอยตัวเองได้ ก็แปลว่าการเรื่องสร้างหลักฐานปลอมเพื่อให้ฉันกลายเป็นแพะรับบาปก็คงไม่ใช่เรื่องยากเหมือนกัน ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในเกมที่ไม่มีวันชนะ และนายเป็นคนดึงฉันเข้ามา ฉะนั้นการตอบแทนฉันเท่าที่นายจะทำได้ก็คืออยู่เฉยๆ และรอจนกว่าฉันจะสืบจนรู้ว่ากลุ่มคนที่เข้าไปบ้านนายเป็นใคร”

ไคพูดถูกทุกอย่าง...พอผมคิดตามที่เขาพูดแล้วก็เริ่มคิดตามสถานการณ์ได้ พวกมันมีแผนเอาตัวรอดด้วยการให้ไคเป็นคนร้ายในคดีนี้ และเมื่อเอาตัวเองลอยนวลได้แล้ว ก็คงหาทางปิดคดีจากการเอาตัวไคเข้าคุก เท่ากับว่าตอนนี้ไคกำลังตกที่นั่งลำบาก หากผมยังพลีพล่ามทำอะไรโดยไม่คิด ก็อาจจะทำให้เขาเดือดร้อน เหมือนอย่างที่ผมเป็นคนไปขอความช่วยเหลือจากเขาในตอนแรก

“ผมขอโทษ” นับเป็นคำกล่าวที่ออกมาจากใจของผม

“ฉันจะหาวิธีให้นายได้คุยกับพ่อแม่เอง แต่คงไม่ใช่ตอนนี้”

“แล้วจะให้พวกท่านเข้าใจว่าผมถูกลักพาตัวไปแบบนี้เหรอครับ”

“มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

“ถึงยังไงผมก็ไม่อยากให้คุณถูกตราหน้าว่าเป็นคนร้ายอยู่ดี” ในใจคิดแต่ว่ามันไม่ถูกต้อง ความจริงที่มีเพียงผมกับเขาเท่าที่รู้มันเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดใจมาก สายตาคนอื่นคงมองไคในแง่ร้ายกันหมด และเมื่อผมลองนึกถึงความรู้สึกของเขา ก็พอจะเข้าใจว่ามันทุกข์ทนแค่ไหน

ไคถอนหายใจทันทีที่ผมเอ่ยจบ นัยน์ตาเขามองตรงไปโดยไร้จุดมุ่งหมาย ผมมั่นใจว่าเขากำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง ใบหน้าแสนนิ่งไม่บ่งบอกให้รู้ถึงความรู้สึกภายใน นอกเสียจากคำพูดที่ฟังคล้ายกับเป็นเรื่องขบขัน

“ฉันชินแล้วล่ะ...”

เขาพูดเพียงแค่นั้นก่อนจะเดินข้ามถนนเพื่อกลับไปที่รถ ผมมองตามแผ่นหลังของเขาโดยไม่พูดอะไรต่อ จากนั้นจึงกัดฟันหยิบเหรียญในตู้โทรศัพท์ออกมาแล้วเดินตามเขาไปติดๆ

เมื่อเข้าไปนั่งในรถ ผมนั่งมองของกินทั้งหลายแหล่ที่ซื้อมาจากเซเว่นโดยไม่มีความรู้สึกอยากกินเหมือนหลายนาทีก่อน กระทั่งรถติดเครื่องยนต์ เสียงจากฝั่งคนขับก็พูดกับผม

“ไหนบอกว่าหิว?” ตอนนี้ผมคงเหมือนกับคนหมดอาลัยตายอยาก

“กินไปก็คงไม่อร่อย”

“กินซะ เราต้องเดินทางอีกไกล” ว่าแล้วก็เหยียบคันเร่งออกไปยังถนนใหญ่

“เราจะไปไหนกัน” ผมหันไปถาม ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ผมต้องรอคำตอบจากเขาอยู่นาน

จนกระทั่ง!



“ที่ที่ไกลมาก...”











 

ผมค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากเผลอหลับไปโดยไม่รู้ว่าตอนนี้คือช่วงเวลาไหน และหลับไปเมื่อไหร่ ผมยกมือขยี้มองพร้อมมองไปรอบตัว สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือรถยนต์ถูกจอดสนิท กระจกฝั่งผมถูกเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ส่วนสถานที่ที่ผมอยู่นั้นคงเป็นปั๊มน้ำมัน เพราะผมได้กลิ่นและได้ยินเสียงขับเคลื่อนไปมาอยู่ใกล้หู

เบาะที่ปรับเอนถูกปรับให้ขึ้นเหมือนเดิม ผมมั่นใจว่าไม่ได้ทำเองแน่ ฉะนั้นก็น่าจะเป็นไคที่ใจดีปรับให้ผม ว่าแต่เขาอยู่ไหนกันนะ มองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นเลย อ่าวนั่น! นั่นไง เขาเดินออกมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้ว แถมยังหิ้วของที่ซื้อมาเพียบ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมแว่นตาดำ และใส่หมวกแก๊บปิดหน้ามิดชิด

พวกเรา...กำลังเข้าข่ายผู้ลี้ภัยเข้าจริงๆ แล้วสินะ

พอเดินมาถึงรถ เขาเปิดประตูเบาะหลังก่อนจะวางของที่ซื้อมาอย่างรวกๆ และรีบๆ จนผมมองตามแทบไม่ทัน และเมื่อเดินมาเปิดประตูฝั่งผม เขาก็จัดการเอาหมวกอีกใบที่ถือมาแต่ต้นมาใส่ให้ผมโดยไม่ทันบอกให้ตั้งตัวก่อนเลย

“ฉันซื้อพวกของใช้กับของกินมา ถ้าหิวก็กินรองท้องไปก่อน” ขณะที่ไคพูด ผมก็ขยับหมวกที่เขาเพิ่งสวมให้ “ส่วนของใช้...ถ้าขาดอะไรก็ค่อยซื้อเพิ่ม”

“เราอยู่ที่ไหนเหรอครับ” ผมถาม

“ทางลงใต้”

“ภาคใต้น่ะนะ!” ผมอุทานเพราะตกใจไปคำแรก ไคก็ปิดประตูใส่แล้วเดินอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับทันที ผมรอจนกว่าเขาจะคาดเข็มขัดเสร็จ ก่อนจะพูดต่อ “ยะ...อย่าบอกนะว่าคุณจะพาผมหนีออกนอกประเทศ”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” ตกใจจนอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าเกิดมาจนอายุ 21 จะได้เจอกับเหตุการณ์ที่มันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ อยู่ๆ ผมก็รู้สึกรักตัวเองขึ้นมา อนาคตคนเรามันพลิกผันได้เพียงชั่วข้ามคืนจริงๆ

“นี่ผมต้องไปสุดแดนใต้ ข้ามเขตชายแดนอะไรทำนองนั้นเลยหรือเปล่า”

“ไปไม่ถึงชายแดนหรอกน่า”

“งั้นคุณพูดมาเลยดีกว่าว่าจะพาผมไปอยู่ที่ไหน” ผมอยากรู้จนละสายตาจากเขาไม่ได้

“ไปลังกาวี”

หา?

“ลังกาวี? มันอยู่ที่ไหน” เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก

“ไปถึงนายก็รู้เอง” ตอบแบบนี้ไม่ช่วยอะไรเลย นี่แปลว่าผมต้องเก็บความสงสัยจนไปถึงเลยน่ะสิ โหดร้ายโคตร...แต่เดี๋ยวก่อน! ถ้าเราหนีไปไกลขนาดนั้น แล้วเรื่องคดีล่ะ จะเอาไงต่อ

“คุณบอกว่าจะสืบหาตัวคนร้ายที่ก่อเหตุเพื่อแก้ต่างให้ตัวเองไม่ใช่เหรอ ถ้าเราไปอยู่ไกลขนาดนั้น แล้วคุณจะหาทางตามตัวพวกมันเจอได้ยังไง” หลังจากผมถามจบ ไคก็หมุนตัวไปหยิบกระเป๋าสีดำทรงสี่เหลี่ยมจากเบาะหลังขึ้นมา เขาหยิบแล็บท๊อปขึ้นมาเปิด และล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบเมมการ์ดขนาดเล็กเสียบเข้าไปในอะแดปเตอร์ ก่อนจะเชื่อมเข้าเครื่องคอมเพื่อเปิดบางอย่างให้ผมดู

ไคเข้าไปที่ไฟล์วีดีโอบางอย่าง เมื่อเปิดขึ้นมาก็พบว่ามันคือภาพที่ได้จากกล้องหน้ารถของเขา พอถึงช่วงเวลาที่หนึ่ง เขาก็หยุดภาพไว้เพื่อให้ผมเห็นว่าเพียงเสี้ยวนาทีที่ปรากฏเมื่อครู่ กล้องหน้ารถได้บันทึกภาพของคนร้ายไว้ แม้ว่าภาพใบหน้าจะไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ก็ตาม

“เหลือเชื่อ! กล้องคุณจับภาพคนร้ายสองคนที่ตามมาสมทบได้ด้วย” ผมทึ้งกับสิ่งที่ได้เห็น

“มันมีวิธีตรวจสอบข้อมูลบุคคลจากการตรวจจับใบหน้า แต่ต้องอาศัยการเจาะระบบฐานข้อมูลที่กระจายอยู่ทั่วโลกเพื่อค้นหา และฉันก็พอจะรู้จักแฮกเกอร์ที่พอจะทำแบบนั้นได้ในลังกาวี” ผมนั่งเกาหัวและคิดตามไปด้วย

“แค่ส่งอีเมล์ไปก็ได้มั่ง” เป็นผมจะทำแบบนี้นะ ไม่เห็นต้องถ่อไปถึงใต้เลย

“หมอนั่นคงไม่ยอมช่วยฉัน หากไม่ใช้ไอ้นี่...” ว่าแล้วก็หยิบปืนขึ้นมา

ถือปืนพร้อมทำหน้าตาเฉยแบบนี้ก็ได้เหรอ? เออๆ พอจะเข้าใจละ ดูจากรูปการแล้วเขาต้องไปข่มขู่คนคนนั้นถึงที่สินะ เอาจริงๆ ก็แอบหวั่นใจเหมือนกัน แต่อีกใจก็รู้สึกแปลกๆ

ทำไมเขาถึงรู้จักนักแฮกเกอร์ และมีปืนพกแบบนี้ด้วยวะ

“ผมคิดว่าคุณสนิทกันซะอีก”

ไคไม่ตอบผมในทันที เพราะแบบนี้ ผมถึงต้องคอยลุ้นเพื่อคำตอบจากเขาครั้งแล้วครั้งเล่า...

“ไม่เคยมีใครที่ฉันรู้จักจนถึงขั้น ‘สนิท’ หรอกนะ”

 









[HOTEL]

ป้ายขนาดใหญ่มีไฟพริบๆ เป็นระยะๆ ผมเห็นมันก่อนที่ไคจะเลี้ยวรถเข้ามาถึงในตอนเย็น มันเป็นโรงแรมแห่งหนึ่งที่อยู่ในจังหวัดชุมพร ดูจากภายนอกมันก็ไม่ใหญ่มากและไม่เล็กเกินไป ไคบอกว่าขับรถตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว คงต้องหาที่พักเพราะเหนื่อยมาก รอให้ถึงวันพรุ่งนี้ค่อยขับรถต่อไปสตูลเพื่อต่อเรือไปเกาะลังกาวี

หลังจากที่ผมได้ยินไคพูดว่าเหนื่อย ในหัวผมก็หวนไปคิดหาวิธีหาทางออกให้กับเรื่องที่เขากำลังเผชิญอยู่อย่างไม่ลดละ หวังว่าจะมีสักทางที่พอจะเป็นทางออก และสักทางที่เขาจะเห็นพ้องด้วย

“ลงสิ”

ไคคงเห็นว่าจอดรถสนิทแล้วแต่ผมไม่ยอมขยับตัวสักที

“ผมมานั่งคิดดูแล้ว ถึงผมจะกลับบ้านไปมันก็ไม่น่าจะมีผลอะไรไม่ใช่เหรอครับ และมันน่าจะดีกว่าการที่ผมต้องเดินทางไปเป็นภาระคุณแบบนี้ด้วย” หลังจากใช้เวลาไต่ตรองเป็นอย่างดี ผมก็พบว่ามันยังพอมีทางแก้ไขปัญหานี้ได้อยู่ “ผมคิดว่าการปล่อยให้ทุกคนคิดว่าผมถูกจับตัวมามันจะกลายเป็นเรื่องที่บานปลาย อย่างน้อยก็ให้ผมกลับไปบอกพวกตำรวจว่าคุณไม่ได้เป็นคนผิด นี่ไง...เรามีกล้องที่ตัวภาพคนร้ายได้ แค่นี้ตำรวจก็เชื่อแล้วว่ามีคนร้ายอยู่หลายคน หรือถ้าคุณไม่อยากถูกสอบสวนก็ให้ผมลองเอาไปให้ตำรวจก่อนก็ได้นะ”

“...”

ไคเงียบใส่ผมอีกครั้ง แน่นอนว่าเรากำลังจ้องตากันระหว่างการสนทนา และเป็นไปได้สูงที่เขาจะรับเอาสิ่งที่ผมเพิ่งพูดไปคิดบ้าง แค่ต้องขอความร่วมมือจากเขาเท่านั้น

“คุณ...คิดว่าไง?”

จะว่าผมรบเร้าเอาคำตอบก็ได้นะ เพราะตอนนี้เรายังอยู่ชุมพร ยังอยู่ในไทย ฉะนั้นเราจะต้องหวนกลับไปกรุงเทพฯ เพื่อทำตามความคิดของผมก่อนที่มันจะสายเกินไป

“นายบอกฉันว่าเห็นคนร้ายรื้อค้นบ้านนายกับตา แต่จากที่ฟังวิทยุเพิ่มเติมเมื่อเช้า พ่อกับแม่นายให้สัมภาษณ์ว่าไม่มีอะไรหายไป เพราะอย่างนั้น พวกตำรวจถึงได้ตั้งข้อสงสัยว่าฉันต้องเจาะจงที่จะลักพาตัวนายมาโดยเฉพาะ ฉันเดาว่าพวกมันคงกลบเกลื่อนร่องรอยให้เหลือแค่การต่อสู้กันเล็กๆ น้อยๆ ทั้งที่จริงแล้ว...พวกมันน่าจะต้องการอะไรบางอย่างนอกเหนือจากของมีค่า”

“บ้านผมมีของสำคัญยิ่งกว่าเงินทองอะไรพวกนั้นด้วยเหรอ” เรื่องมันชักจะซับซ้อนจนผมเริ่มงง

“ถ้าฉันสืบข้อมูลของพวกมันได้สักนิดก็คงรู้อะไรบ้าง”

“แล้วทำไมไม่พ่อกับแม่ผมไปเลยว่าผมไม่ได้ถูกลักพาตัว แต่เรื่องทั้งหมดมันเกิดจากคนร้ายอีกกลุ่มที่ต้องการเข้ามาหาอะไรบางอย่างในบ้านล่ะครับ พอรู้ความจริงแล้ว ไม่แน่ว่าพ่อกับแม่อาจจะรู้ก็ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร และใครที่ต้องการมัน แบบนี้ไม่ง่ายกว่าเหรอ”

หลังจากผมพูดจบ ไคก็หายใจแรงอย่างเหนื่อยหน่าย

“นายนี่มันรั้นจริงๆ คิดว่าหนทางพวกนี้ฉันไม่เคยคิดมาก่อนหรือไง ฉันเองก็อยากพ้นจากข้อกล่าวหาเหมือนกัน ถึงได้คิดหาวิธีต่างๆ เยอะแยะมาตลอดทาง แต่สุดท้ายฉันก็ต้องมาจบที่ลังกาวีอยู่ดี...เข้าใจมั้ยว่าตอนนี้เราทำอะไรเสี่ยงๆ ด้วยการติดต่อคนที่บ้านนายไม่ได้ เพราะเหตุผลเดียวสั้นๆ คือเรากำลังถูกจับตามองจากตำรวจ หรืออาจจะพ่วงไปถึงตัวกลุ่มคนร้ายเลยก็ได้” ไคตะคอกใส่เป็นชุด ซึ่งผมก็เข้าใจว่าเขาพยายามอธิบาย “ถ้าฉันถูกจับเราก็จบเห่...หากยังรักชีวิตตัวเองกับคนที่นายรักอยู่ ก็จงทำตามสิ่งคำพูดของฉันซะ”

จากที่เขาพูดมา ผมสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมต้องหยุดความคิดที่จะกลับกรุงเทพฯ ไปอย่างสิ้นเชิง ไม่อยากเชื่อเลยว่าคำพูดอันหนักแน่นจนฟังเหมือนโดนต่อว่านั้น จะทำให้ผมใจเต้นด้วยความปลาบปลื้มใจได้ขนาดนี้ เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ทราบตัวคนร้าย และคงคิดหาหลักฐานให้มากพอที่จะเอาพวกมันเข้าคุก วิธีนี้นอกจากจะทำให้ตัวเองพ้นผิดก็ยังเป็นการช่วยเหลือครอบครัวของผมด้วย

“คุณกลัวว่าผมกับครอบครัวจะไม่ปลอดภัยใช่มั้ยครับ”

หลังจากสิ้นเสียงผม บรรยากาศภายในรถก็เงียบสนิททันที ไม่รู้ว่าที่ถามไปจะเป็นการหลงคิดไปเองหรือเปล่า เพราะไคค่อนข้างเงียบ เย็นชา และไม่ค่อยแสดงออกทางสีหน้าให้รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่จากคำพูดและความใจดีที่ผมสัมผัสได้จากไค มันทำให้ผมเกิดความมั่นใจ ซ้ำยังมองว่าเขาเป็นคนดีมากขึ้นไปอีก

“ขนของลงจากรถได้แล้ว”

เขายกมือถอดกุญแจรถใส่กระเป๋า และเปิดประตูลงไปโดยไม่ตอบอะไร ผมเห็นว่าเขากำลังไปเขาข้าวของจากเบาะหลัง จึงรีบออกไปช่วยเขาถืออีกแรง

“คืนนี้เราจะพักที่นี่เหรอครับ” ผมถามขณะคว้าถุงของใช้จำพวกเสื้อผ้า แปรงสีฟัน และของใช้อื่นที่จำเป็นมาถือไว้จนเต็มทั้งสองมือ ส่วนไคก็ถือพวกของจิปาถะอย่างแล็บท๊อปและโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่เขาบอกผมว่าไปแวะซื้อมาจากร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าระหว่างทาง

“อืม”

“แล้วถ้าเกิดมีคนจำหน้าเราได้ จะทำยังไง” ช่องข่าวด่วนที่ดูเมื่อคืนเอาภาพผมกับไคขึ้นหราขนาดนั้น หากมีคนบังเอิญดูแล้วจำเราได้ ไม่จบแห่เหรอ

“พ่อแม่นายเป็นคนดังหรือเปล่า” 

“...” ผมส่ายหน้า

“บ้านรวยล้นฟ้ามั้ย”

“...” ส่ายหน้าแรงมาก

“ถ้านายอายุเกิน 20 ปี...ไม่ได้เป็นเน็ตไอดอลหรือดาราที่คนทั่วประเทศจำหน้าได้ก็ไม่ต้องห่วงไปหรอก เพราะโดยเฉลี่ยแล้วคดีลักพาตัวจะเกิดกับเด็กอายุ 1-15 ปี เหตุผลยอดฮิตก็คือการค้ามนุษย์อย่างที่ใครๆ รู้ แต่ถ้าเป็นคนบรรลุนิติภาวะอย่างนาย นอกจากเรื่องค้ามนุษย์และเรียกค่าไถ่แล้ว มันก็มีอยู่เหตุผลเดียวที่พอจะสันนิษฐานได้”

“คืออะไร?”

ไคหันมามองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย...

“ฉันพิศวาสนาย”

“...”

ผมยืนนิ่งกับการให้คำตอบแบบหน้าตายของไค และพอเขาเดินเข้าไปในโรงแรมโดยไม่รอ อยู่ๆ สมองผมก็ลองคิดไปถึงข่าวพาดหัวที่อาจจะเขียนในทำนองว่า

‘จากคดีที่เกิดขึ้น สันนิษฐานว่าชายวัยกลางคนอาจคิดมิดีมิร้ายกับเด็กหนุ่มข้างบ้าน จึงก่อเหตุลักพาตัวเพื่อกักขังหน่วงเหนี่ยว’

เพียงเพราะผมไม่ใช่เด็ก ในรูปคดีอาจไม่ได้มองว่าเป็นการค้ามนุษย์ หรือถ้าเป็นเรื่องของความแค้น พ่อแม่ผมคงยืนยันกับตำรวจว่าไม่น่าใช่เพราะเราเพิ่งย้ายเข้ามาได้ไม่นาน และนอกจากนี้บ้านผมก็ไม่ได้รวยถึงขนาดมีคนจ้องจะจับตัวผมเพื่อเรียกค่าไถ่...แม่ง! พูดไม่ออกเลยกู เพิ่งรู้สึกว่าโทรศัพท์ตัวเองแบตหมดแล้วมันดีก็ตอนนี้แหละ


เพราะถ้าเปิดอ่านข่าวแล้วเลื่อนดูคอมเม้นท์...ผมไม่รู้เหมือนกันว่าชาวเน็ตจะพูดถึงเรื่องนี้ยังไงบ้าง!

 

 

 

 

 

 

ออฟไลน์ rsmrypngpth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 65
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แล้วเมื่อไหรจะพิศวาสกันจริงๆ อะ :hao6: :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ milky way

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
+1 ให้นะคะ เรื่องน่าติดตามมาก
จะรออ่านตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ก็อยากให้สองคน พิศวาทกันซักที :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
น่าติดตามมากๆเลย

ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
ตอนที่ 5



ไคเดินเข้าไปถึงเค้าน์เตอร์พนักงานต้อนรับที่เล็กกะทัดรัดและดูธรรมดาจนผมแอบคิดว่านี่สินะ บรรยากาศของโรงแรมจิ้งหรีด น่าขนลุกอย่างไม่น่าเชื่อ ผมมองดูรอบๆ จนไปเจอกับสายตาของพนักงานต้อนรับที่กำลังมองไคแปลกๆ ชักรู้สึกหวั่นใจแล้วสิ ผมพยายามบอกกับตัวเองว่าอย่าไประแวงมากนัก เพราะมันจะเป็นการทำตัวพิรุธจนเกินไป แต่พอพนักงานหญิงคนนั้นคอยเหลือบตามองอยู่เป็นระยะผมก็เริ่มใจไม่ดีละ แถมตอนไคกำลังรอกุญแจห้อง เธอก็คอยหันมามองและแสดงอาการเก้ๆ กังๆ อย่างเห็นได้ชัด

ไม่ค่อยดีแล้วล่ะ ผมกลัวว่าเธอจะจำไคได้ ยืนกังวลใจอยู่สักพักก็คิดอะไรขึ้นได้ ผมคงต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อกลบเกลื่อน โดยการให้พนักงานคนนั้นมองเราในทางตรงกันข้ามกับคำว่า ‘ลักพาตัว’ แบบสุดโต่ง!

“ที่รัก~”

ผมเดินไปเกาะไหล่ไค มองหน้าเขาแล้วยิ้มกว้าง

“อะไรของนาย” เขามองผมด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“เรียบร้อยหรือยัง ผมเหนียวตัวอยากอาบน้ำจะแย่แล้ว อ้อ! คุณสัญญาว่าจะขัดหลังให้ผมด้วยนี่ อย่าเบี้ยวล่ะ” ต้องจัดหนักจัดเต็ม เอาให้เนียน เอาให้สมบูรณ์แบบ ไม่เล่นใหญ่ก็กลัวจะไม่เชื่อ

แค่เกาะแขนไม่พองั้นซบไหล่ด้วยเลยเอ้า!

“เพี้ยนไปแล้วหรือไง” ไม่พูดเปล่า ไคพยายามจะถอยห่างจากตัวผมด้วย

อะนั่น! พนักงานส่งกุญแจมาให้พอดี

“ขอบคุณครับ” ผมรีบหยิบกุญแจอย่างไว จากนั้นก็รีบลากตัวไคพร้อมถุงของใช้และของกินมากมายออกไปจากบริเวณนี้ทันที แม่งเอ้ย! หัวใจจะวาย

แต่เดี๋ยวก่อน...พอเดินมาจนลับตาคนแล้ว สายตาที่ไคมองผมตอนนี้ก็แทบจะทำให้ผมหัวใจวายรอบสองเหมือนกัน อะไรจะจ้องกันเขม็งขนาดนั้นล่ะท่าน

“เอามือออกไปก่อนที่ฉันจะตัดแขนนายทิ้ง”

เฮือก!!

รีบปล่อยด้วยความไวแสง แถมถอยออกไปอีกสามก้าวโดยอัตโนมัติ

“ก็พนักงานเขามองคุณแปลกๆ ผมก็เลย...” ไคเลิกคิ้วขึ้นสูง ถ้าผมบอกว่ากลัวพนักงานต้อนรับคนนั้นอาจจำเราได้ แล้วเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ผมทำเหรอวะ

ต้องเข้าใจสิ...ไคเป็นคนฉลาด คงรู้อยู่แล้วล่ะว่าผมทำไปเพราะอะไร

“เขาอาจมองเพราะฉันหล่อก็ได้”

“ห๊ะ?”

แน่ล่ะ เป็นใครก็ต้องตกใจกับคำตอบนั้น ไคพูดหน้าตายจนผมไปต่อไม่เป็น ทำได้แค่ยืนมองเขาเดินไปเปิดประตูห้องและหายเข้าไปจนลับสายตาเท่านั้น

กล้ามาก...พูดได้อย่างไม่มีถ่อมตัวเองเลยพ่อคุณ

ผมแอบยิ้มจนเกือบต้องหัวเราะ ไม่คิดว่าจะมีโมเม้นท์แบบนี้ด้วย และเมื่อเห็นประตูที่เปิดค้างไว้ ผมกลัวยุงจะเข้าจึงรีบเดินตามเข้าไปและปิดประตูให้เรียบร้อย โดยสิ่งแรกที่พบหลังจากเหยียบเข้ามาก็คือเตียงนอนสำหรับสองคน พร้อมหมอนสองใบและผ้าห่มหนึ่งผืน ขนาดห้องเล็กมากดูได้จากทางเหลือที่เหลือนิดเดียว พอมองตรงไปจะเป็นห้องน้ำ ขวามือเป็นโต๊ะวางของเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีตู้เสื้อผ้า ไม่มีตู้เย็น เท่าที่มีก็โทรศัพท์เครื่องเก่าๆ โทรศัพท์ต่อสาย และโชคดีที่ยังมีเครื่องปรับอากาศ ถึงมันจะไม่เย็นมากก็เถอะ

หลังจากที่ไควางของทุกอย่างแล้วก็ปลดนาฬิกาข้อมือ ถอดเสื้อคลุม ถอดหมวกและแว่นตา จนเหลือเพียงเสื้อกล้ามและกางเกงยีนส์เท่านั้น ผมมองการกระทำของเขาอยู่ตรงมุมห้อง พลางคิดในใจว่าจะทำอะไรดี จะอาบน้ำ เปิดดูของที่ซื้อมา เปิดทีวี หรือนั่งกินขนม ไม่ว่าจะอยากทำอะไรก็เกรงใจไคไปซะหมด ผมโอเคนะเรื่องที่นอนเตียงเดียวกัน เพราะยังไงเราก็เป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่เพราะไคอายุมากกว่าผม เป็นผู้อาวุโสกว่า ยังไงก็ต้องวางตัวให้เหมาะสม

ในขณะที่ผมกำลังถอดหมวกออกเพื่อเดินไปวางไว้นบโต๊ะ ก็บังเอิญเห็นไคเอาปืนออกมาซุกไว้ใต้หมอนพอดี เท่านั้นแหละ ความสงสัยที่ผมเก็บมาสักพักก็ถึงเวลาคลายออกเสียที

“คุณทำงานอะไร...ทำไมถึงมีปืนพกด้วย แล้วไหนจะรู้จักคนที่เป็นแฮกเกอร์นั่นอีก” ถามจบ ไคก็ช้อนตาขึ้นมามองผมก่อนจะนั่งลงบนเตียงเพื่อถอดรองเท้าผ้าใบ

“นายไม่จำเป็นต้องรู้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย พลางวางรองเท้าผ้าใบไว้ข้างเตียง

“ผมตามคุณมาถึงนี่ ต้องอยู่ด้วยกันตลอด 24 ชม. อย่างน้อยคุณก็น่าจะบอกเรื่องของตัวเองให้ผมรู้บ้างสิ”

“นายไม่ไว้ใจฉัน?” คราวนี้ทำเสียงซะเย็นชาเชียว

“ไม่ใช่อย่างนั้น ผมก็แค่... แค่อยากคุยแลกเปลี่ยน อยากรู้เรื่องของคนที่ช่วยชีวิตผม คุณทำอะไรอยู่ เป็นใครมาจากไหน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่มันกระทบกระชีวิตคุณมากมั้ย หรือมันทำลายความฝันบางอย่างของคุณไปบ้างหรือเปล่า” ใช่แล้ว สิ่งที่ผมอยากรู้เกี่ยวกับไคไม่ใช่ว่าจะมองว่าเขาเป็นคนอันตราย หรือจะทำให้ผมต้องหวาดกลัวอะไรแบบนั้น แต่ผมอยากรู้เพราะ “อย่างน้อยๆ ผมก็...จะได้รู้จักตัวตนของคุณ”

ผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อน เพราะตอนนี้ผมกำลังเป็นภาระให้กับไค ซ้ำร้ายยังนำปัญหามาให้ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน เขากำลังเผชิญหน้ากับความโชคร้ายที่ผมหยิบยื่นให้ เพราะอย่างนั้น ผมถึงอยากรู้ว่าการเข้ามาช่วยเหลือคนที่ไม่มีอะไรตอบแทนอย่างผม จะทำให้ชีวิตเขาไปในทิศทางไหน หรือจะส่งผลถึงชีวิตในปัจจุบันและในอนาคตมากเพียงใด

“ฉันบอกไม่ได้...”

“ทำไมล่ะครับ?”

“เพราะฉันไม่อยากบอก”

ไคตอบแบบไม่ต้องให้ผมอ้าปากถามต่อ หลังจากนั้นเขาก็ถอดเสื้อกล้าม หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาพาดไหล่และเดินตรงไปห้องน้ำ ซึ่งในจังหวะที่เขากำลังจะเดินผ่านผมไป นอกจากซิกแพคที่แสดงถึงความกำยำและแข็งแกร่งแล้ว ผมก็ยังเห็นแผลเป็นตามตัวของเขาชัดเจน มีตรงหน้าอกด้านขวา หน้าท้อง เอว หัวไหล่ แผ่นหลังทั่วไปหมด เยอะแยะจนผมถึงกับอ้าปากค้าง และต้องเพิ่มความสงสัยเกี่ยวกับตัวผู้ชายคนนี้มากขึ้นไปอีก

เขาเป็นใครกันแน่!

 











ก่อนเข้าไปอาบน้ำต่อจากไค ผมใช้เวลาหาเสื้อผ้าที่จะใส่แปบเดียว หันไปหาไคอีกทีก็พบว่าเขานอนหลับซะแล้ว ผมคิดว่าเขาคงเหนื่อยมาก จึงทำอะไรอย่างเงียบเสียง แม้กระทั่งเดินไปเข้าห้องน้ำผมยังไม่อยากเดินเสียงดังด้วยซ้ำ

ด้วยความที่มีนิสัยชอบคิดอะไรไปด้วยระหว่างอยู่ในห้องน้ำ จึงทำให้ผมเป็นคนที่อาบน้ำช้าที่สุดในบ้าน และไม่ว่าจะไปที่ไหนกิตติศัพท์ในเรื่องนี้ก็ไม่ลดลงเลย เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง พอออกมาอีกทีก็พบว่าไคหลับอยู่บนเตียง ผมค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เพื่อดูว่าเขาหลับจริงหรือเปล่า ก็พลันได้ยินเสียงหนึ่งเข้า

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

มีเสียงคนเคาะประตู ผมหันไปดูพร้อมๆ กับช่วงที่ไคสะดุ้งตื่นพอดี เขาหันขวับไปทางประตูก่อนจะลุกพรวดขึ้นมาจากนั้นก็ทำปากขมุบขมิบประมาณว่าให้เงียบเสียงไว้ พร้อมกับชี้นิ้วให้ผมไปยืนหน้าห้องน้ำ

ไคหยิบปืนขึ้นมาจากใต้มอง เริ่มก้าวเท้าที่ประตูอย่างเงียบเชียบ ตาแมวก็ไม่มีเขาจึงระแวงเป็นพิเศษ ผมรู้ว่าเขาต้องระมัดระวังตัวเพื่อความปลอดภัย จากเหตุการณ์ลักษณะนี้เขาทำถูกแล้วล่ะ แต่คือ...อันที่จริงผมก็มีอะไรจะพูดนะ กำลังอ้าปากแล้วด้วย แต่...

“ใครน่ะ”

คนตัวสูงเอาหลังชิดประตู ใช้มือซ้ายจับลูกบิด ในขณะที่อีกมือหนึ่งกำลังยกปืนขึ้นมาเตรียมพร้อม

เอาล่ะ...ผมว่าผมต้องบอกเขาก่อนที่เรื่องมันจะไปกันใหญ่

“ดิฉันนำผ้าห่มที่สั่งเพิ่มมาให้ค่ะ”

กรรม! คนข้างนอกบอกแทนผมซะแล้ว

ไคขมวดคิ้วมุ่น ลดปืนลงพร้อมมองมาทางผมหลังจากเข้าใจสถานการณ์ สายตาคมของเขาทำผมสะดุ้งเฮือก คือก่อนจะเข้าห้องน้ำผมใช้โทรศัพท์ในห้องกดเบอร์ไปหาพนักงานเพื่อขอผ้าห่มเพิ่ม ก็ไม่คิดว่าเสียงเคาะประตูจะทำให้ไคตื่นตัวได้ขนาดนี้นี่หว่า

ผมค่อยๆ เดินมาตรงหน้าประตูโดยหลีกเลี่ยงการมองตาไคตรงๆ แต่ก็เห็นว่าเขาปล่อยแขนข้างที่ถือปืนวางไว้ข้างตัวอย่างผ่อนคลาย จนเมื่อผมเดินมาใกล้ แทนที่เขาจะหลีกทางให้ผมเพื่อเปิดประตูให้พนักงานคนนั้น เจ้าของสายตาที่กำลังส่งแผ่รังสีความมืดให้คละคลุ้งไปทั่วห้องก็ยังคงมองผมอย่างไม่ลดละ

“ผมสั่งเอง” พยายามฉีกยิ้มกลบเกลื่อน แต่อีกฝ่ายดันไม่รับมุก กระทั่งเขายอมหลีกตัวให้ ผมนี่แทบจะพุ่งไปเปิดประตูทันที เพราะพนักงานที่ยืนอยู่ด้านนอกคงรอนานแล้ว

“ขอบคุณครับ” ผมรับผ้าห่มมาถือ ก่อนจะปิดประตู

“ผืนเดียวไม่พอ?”

ไคยังยืนอยู่ใกล้ประตู ผมหันไปเห็นเขาตอนที่กำลังยกปืนที่เพิ่งแอบพนักงานของโรงแรมไว้ด้านหลังขึ้นมาแนบไว้กับกางเกง พร้อมเอาเสื้อตัวเองปิดคลุมไว้อีกที

“ผมกลัวว่าคุณจะอึดอัดน่ะ” พอผมตอบแบบนั้น ไคก็พ่นลมหายใจออกพลางเค้นน้ำเสียงเข้มในลำคอ

“เรียกฉันว่าที่รัก แต่ดันสั่งผ้าห่มมาเพิ่มเนี่ยนะ” พูดจบก็เดินหนีผมไปเลย

เออ...รู้น่าว่าไม่เนียน

“พรุ่งนี้ผมต้องตื่นกี่โมงเหรอ” 

“เราจะออกแต่เช้าเพื่อไปถึงท่าเรือตำมะลังในสตูลให้ทันก่อนเที่ยง” ไคพูดขณะหยิบนาฬิกาข้อมือของตัวเองขึ้นมาดู จากนั้นก็ทำสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“เดี๋ยวนะครับ เราจะเข้าลังกาวีได้ยังไงในเมื่อบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตก็ไม่มี”

“ฉันให้ใครบางคนช่วยจัดการแล้ว พรุ่งนี้เขาจะมาเจอเราที่ท่าเรือพร้อมพาสปอร์ตปลอม”

“ทำแบบนั้นได้ด้วย?!”

“สำหรับหมอนั่น ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้” พูดจบ ไคก็นำนาฬิกาในมือขึ้นมาใส่

ผมยอมรับว่าแปลกใจไม่น้อย เพราะนอกจากไคจะรู้จักแฮกเกอร์แล้ว ยังรู้จักคนทำเอกสารปลอมที่ผิดกฎหมายอีก ผมอยากจะมองข้ามเพื่อไม่ให้ตัวเองกังวล และคิดเสียว่ามันคือประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน แต่พอเริ่มเข้าสู่การทำอะไรผิดกฎหมายผมก็ชักจะหวั่นใจกับอนาคตข้างหน้าแล้ว 

หลังจากไคใส่นาฬิกาก็หยิบกระเป๋าสตางค์ในลิ้นชักขึ้นมาใส่กระเป๋ากางเกง และเดินไปตรงที่แขวนเสื้อเพื่อหยิบแจ็คเก็ตกับหมวกขึ้นมาสวม เขาทำท่าเหมือนจะออกไปข้างนอก ผมจึงรีบถามทันที

“คุณจะไปไหน?”

“ซื้อของกิน” ได้ยินแล้วหิวเลยแฮะ

ว่าแต่...ตอนนี้เราอยู่ชุมพรใช่มั้ย   

“ไหนๆ ก็มาถึงภาคใต้แล้ว คุณไม่อยากกินพวกอาหารทะเลบ้างเหรอ” ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วที่ในหัวผมมีแต่กุ้งปลาหมึก และปูทะเล และเชื่อเหอะว่าถ้าไม่เกิดกิเลส คงไม่กล้าถามไคแบบนี้แน่

“คิดว่ามาเที่ยวหรือไง”

ภาพอาหารทะเลลอยหายไปทันควัน!

“ผมก็แค่แนะนำเฉยๆ” ผมยกมือเกาหัวและล้มเลิกความตั้งใจ เดินคอตกพร้อมหอบผ้าห่มในมือไปวางไว้บนเตียง และขณะที่กำลังใส่เสื้อ ผมก็ได้ยินเสียงปิดประตูที่ทำให้รู้ว่าไคออกไปแล้ว

ก็นะ...ตอนนี้ผมจะมาเลือกกินตามใจชอบได้ไง ลืมไปเหรอว่าตัวเองไม่มีเงินติดตัวสักบาท เป็นภาระของเขาก็มากพอแล้ว จากนี้ไปผมคงต้องคิดอย่างระวัง พยายามไม่สร้างปัญหาเพื่อเป็นการช่วยเหลือเขาเท่าที่จะทำได้

หลังจากไคออกไป ผมจัดการปลดผ้าขนหนูออกจะได้ใส่กางเกงในสะดวก จากนั้นจึงหยิบกางเกงขาสามส่วนขึ้นมา ผมใส่ขาซ้ายไปแค่ข้างเดียว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกึกกักจากลูกบิดประตู

ผมหันไปมองตรงประตู ในจังหวะที่มันถูกเปิดออกพอดี...

เท่านั้นแหละ ขาขวารีบตามทันที!

“ไค!” รูดซิปแทบไม่ทัน ผับผ่าสิ!

“ทำไมไม่ล็อคประตู” ก็ไม่คิดว่าจะกลับมาเร็วแบบนี้นี่หว่า

“คุณลืมอะไร” ผมถาม

“ใส่หมวกซะ”

“หืม?”

ขณะที่ผมขมวดคิ้วสงสัย ไคก็พูดประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา...



“อยากกินอาหารทะเลไม่ใช่หรือไง”

 

 

 

 

 

 

 

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-12-2016 23:03:16 โดย La_Pomme »

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เพิ่งเข้ามาอ่าน น่าติดตามมาก
ยังเดาไม่ได้ว่า เรื่องไปทางไหน
จะรอ นะจ๊ะ
 :mew3:

ออฟไลน์ mirage

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
น่าติดตามมากค่ะ
หนึ่งราคิดว่าจริงๆ แล้วไคอาจเป็นอีกพวกหนึ่งหรือพวกเดียวกันแล้วตีเนียนพานายเอกลงใต้ก็เป็นได้
สองคือไคดูมีปมเรื่องเข้าใจผิดทำนองนี้นะ
สาม เมื่อไรจะพิศวาสละคะ รอชมอยู่ค่ะ
สี่่ ภาวนาให้ไม่หักมุุมนะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
แอบสารภาพเลยว่าตอนแรกเข้ามาแค่คิดว่าอ่านเล่นเล่นเห็นชื่อเรื่องดูตลกๆแต่มาอ่านจริงมันไม่ใช่แนวนั้นเลยแต่เป็นแนวที่ชอบมากเลยล่ะสนุกด้วย

ออฟไลน์ fon270640

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
สนุกกก.  ชอบบบบบ

ออฟไลน์ cocoaharry

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
    • cocoaharry_Demmy Chan_Otaku Y Girl
สุดท้ายก็ตามใจเด็ก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
ตอนที่ 6



เมื่อเดินเข้าไปในร้านอาหารที่เปิดโล่งเพื่อรับลมเย็นและวิวทะเลใกล้ๆ ชายหาดที่มีแสงไฟระยิบระยับประดับไว้บนต้นไม้ พวกเราก็เลือกนั่งโต๊ะในสุดเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาผู้คน หลังจากได้รับเมนูมาจากพนักงานผมก็ยื่นให้ไคเป็นคนสั่งตามมารยาท แต่สุดท้ายเขากลับโยนหน้าที่นี้ให้ผมและนั่งชมบรรยากาศโดยรอบอย่างเงียบๆ กระทั่งอาหารมาวางตรงหน้าแล้ว เขาก็ยังนิ่งเฉย ผมเห็นเขาจิบน้ำเปล่ามากกว่ากินอาหารซะอีก

เห็นไคเป็นแบบนี้แล้วชักเกรงใจกุ้งกับปูหลายตัวที่ผมเพิ่งยัดลงท้องไปหลายจาน ไหนๆ เขาก็เป็นเจ้ามือเลี้ยง จะปล่อยให้มานั่งๆ ไม่ค่อยหยิบตักอะไรได้ยังไง

คิดได้แค่นั้นผมก็จัดการหยิบปูตัวใหญ่ขึ้นมา และแกะเนื้อไปใส่ในจานเขา

“อะ”

ไคมองเนื้อปูที่ผมแกะให้ประมาณสามวิ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาจ้องผม

“ไม่ต้องมายัดเหยียด ถ้าอยากกินฉันจะกินเอง”

“แปลว่าคุณไม่ได้อยากกิน?”

“รีบๆ กินเถอะน่า” พูดจบก็เบือนหน้าไปมองวิวทะเล อะไรจะนิ่งได้ขนาดนี้วะ ตกลงว่าเขาอยากพามาจริงๆ หรือเปล่า ตอนแรกก็แอบดีใจที่เขายอมตามใจ แต่พอมาถึงเขาก็เอาแต่เฉยชากับอาหารตรงหน้า ผมก็ชักไม่มั่นใจแล้วว่าเขาทำด้วยความเต็มใจหรือจำใจ แต่คนอย่างเขาไม่น่าจะทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำนี่หว่า

โอ้ย งงโว้ย!

“ผมกลัวว่าตัวเองจะสวาปามหมดก่อนที่คุณจะได้กิน ผมถึงต้องแกะให้ไง” สุดท้ายก็ต้องอธิบายความตั้งใจให้ไครับรู้ และต้องขอบคุณที่อุตส่าห์หันมามองผมในตอนนี้ด้วย

“ฉันทำเองได้”

โห...เย็นชาซะน้ำแข็งเรียกพี่ หิมาลัยเรียกพ่อไปเลย

“คุณเป็นลูกคนเดียวสินะ” ผมเอ่ย

“ทำไมถึงคิดอย่างนั้น”

“ก็คุณดูเป็นคนไม่ค่อยพึ่งพาใคร ชินกับการอยู่คนเดียวถึงได้แต่เงียบตลอดเวลา...อะไรแบบเนี้ยะ”

ผมเองก็เป็นลูกคนเดียว ถึงมีญาติพี่น้องก็ใช่ว่าจะเจอกันบ่อยๆ ญาติฝั่งพ่อมีแค่ป้าวัยชราที่อาศัยในฝรั่งเศส ส่วนแม่ก็ไม่ค่อยติดต่อกับญาติพี่น้องหลังจากคุณตากับยายเสีย พอถามเหตุผลท่านก็ตอบแค่ว่าสาเหตุเกิดจากมรดก ด้วยเหตุนี้ ตอนเด็กๆ ผมจึงเป็นเด็กที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร จะเพิ่งมาคบหาเพื่อนจริงๆ จังๆ ก็ตอนขึ้นมัธยมต้น และเอาเข้าจริงผมก็เข้าหาใครไม่ค่อยเก่งหรอก แต่สำหรับสถานการณ์ระหว่างผมกับไคมันบังคับให้ต้องทำอะไรอย่าง ถ้าเขาไม่เป็นฝ่ายเริ่ม ผมก็ต้องเริ่ม เหมือนอย่างตอนนี้ที่ผมกำลังพยายามทำให้เราเกิดความคุ้นเคย เวลาพูดคุยกันจะได้ไม่ขัดเขิน

“นี่ไค เอางี้มั้ย ให้ผมเป็นน้องชายคุณสิ ถึงจะอายุห่างกันเป็นสิบปีก็ไม่เป็นไร เพราะหน้าตาคุณไม่ได้แก่ขนาดนั้นอยู่แล้ว” เมื่อคนสองคนเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน สิ่งที่จะทำให้เราสนิทกันเร็วขึ้นก็ต้องเป็นวิธีนี้ล่ะนะ

“ฉันมีน้องชายแล้ว”

“เอ๋?” ผิดคาดแฮะ “งั้น...มองผมเป็นหลานก็ได้”

“พ่อแม่นายไม่ได้เป็นพี่น้องกับฉันสักหน่อย”

“คนไทยเขานับญาติกับคนที่สนิทกันอยู่แล้ว ถึงจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันเลยก็เหอะ”

“ตอนนี้นายมองฉันเป็น ‘ที่รัก’ ไม่ใช่เหรอ”

ผมชะงัก นั่งมองเขาแสยะยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปาก

“ยังจะล้อเรื่องนี้อยู่อีก?” เล่นซะไปต่อไม่ได้ เห็นนิ่งๆ อย่างนี้ก็เข้าใจหามุกมาแซวเหมือนกันนี่หว่า และถ้าเป็นวิธีที่จะทำให้ผมหยุดพูดละก็...บอกเลยว่าได้ผล

กินต่อดีกว่า ส่วนเขาจะกินมั้ยผมไม่สนใจละ หมั่นไส้!

“ไม่ค่อยได้กินของทะเลหรือไง ถึงได้ยัดเอาๆ ขนาดนั้น”

“ผมไม่ได้มากินอาหารซีฟู๊ดถึงชายทะเลบ่อยๆ นี่น่า...คุณรู้อะไรมั้ย ใต้สุดที่ผมเคยมาก็จังหวัดชุมพรเนี่ยแหละ เมื่อสองปีก่อนผมนั่งรถไฟมาเที่ยวที่เกาะพิทักษ์กับเพื่อนๆ มันเป็นชุมชนเล็กๆ ที่เปิดเป็นโฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวพัก เจ้าของบ้านดีใจทุกหลังเลยนะ แถมยังทำอาหารทะเลอร่อยๆ ให้ทานเพียบ ผมได้ประสบการณ์ออกเรือหาปลาก็ตอนมาเที่ยวที่นี่ อ้อ! หลังเกาะมีวิวทะเลสวยมากด้วยล่ะ คิดแล้วก็อยากไปอีก” พอพูดถึงตรงนี้ ผมก็นึกอะไรขึ้นได้ “เออ...นี่ไค หลังจากจบเรื่องวุ่นวายพวกนี้...เราไปเที่ยวที่นั่นด้วยกันดีมั้ย”

ผมบอกไม่ถูกว่ากำลังลุ้นกับคำตอบของไคมากแค่ไหน เท่าที่คิดอยู่ในสมองตอนนี้มันมีแต่ความคาดหวัง และอยู่ๆ ก็มีแต่ภาพที่ผมกับไคอยู่บนเกาะพิทักษ์ด้วยกันปรากฏขึ้นมา ผมโคตรจะมโน คล้ายคนพร่ำเพ้ออย่างไร้เหตุผล แน่นอนว่าผมอยากให้เขาตอบตกลง แต่ก็ไม่เห็นจะต้องคิดถึงภาพที่เรามีความสุขด้วยกันเลยนี่หว่า

“ฉันคงไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น”

ภาพที่ผมคิดดับวูบลงพร้อมคำตอบของไค...

แน่ล่ะ! หลังจากจบเรื่องนี้เขาก็คงต้องไปทำบุญล้างซวย และสวดขอพรไม่ให้ต้องมาพานพบกับตัวซวยอย่างผมอีกสินะ เอาเป็นว่าวิธีที่จะทำให้เราสนิทสนมกันอะไรนั่นก็ลืมๆ ไปเถอะ

“ผมกะว่าจะพาคุณไปเที่ยวเพื่อเลี้ยงตอบแทน สงสัยต้องหาทางตอบแทนด้วยวิธีอื่นแล้ว”

หลังจากผมพูดจบ การสนทนาก็ดูเหมือนจะจบลงที่ไคนั่งนิ่งโดยไม่ตอบอะไรกลับ ทว่าทันทีที่ลมทะเลพัดโชยมา เสียงทุ้มต่ำของคนตรงหน้าก็พูดขึ้น...

“นายได้ตอบแทนฉันแน่ ไม่ต้องห่วงหรอก”

สิ้นเสียง ไคก็ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม พร้อมกับตักปูที่ผมเพิ่งแกะให้เข้าปาก

คิดว่าเขาจะไม่กินซะอีก คราวนี้เริ่มโล่งใจ ผมไม่กลัวว่าเขาจะปฏิเสธอีกจึงแกะทั้งกุ้งและปูให้ แล้วไหนจะปลาหมึกย่างและหอยทั้งหลายแหล่อีก

“พอแล้ว”

“เถอะน่า ไหนๆ มือผมก็เปื้อนแล้ว คุณเก็บมือสะอาดๆ เอาไว้เถอะ” จากนั้นผมก็ก้มหน้าก้มตาบริการคนตรงหน้าต่อไป และเมื่อเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง ก็พบกับสายตาสีฟ้าที่กำลังมองมือตัวเองอยู่อย่างนั้น

“มือฉันไม่สะอาดอย่างที่นายคิดหรอก”

เขาพูดสั้นๆ ก่อนจะเงียบไป ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเขามีอะไรอยู่ในใจกันแน่ สีหน้าหม่นมองแบบนี้มองก็รู้ว่ามีเรื่องหนักใจอะไรสักอย่าง เขาชอบพูดอะไรที่ตัวเองเข้าใจอยู่คนเดียว ซึ่งในบางครั้งมันก็ทำให้ผมอยากรู้และอยากเข้าใจเขามากขึ้น ลำพังจะรอให้พูดเองก็คงไม่มีวัน หรือถ้าถามไปตรงๆ ก็ใช่ว่าจะได้คำตอบ

จะว่าไป ผมก็ไม่ต่างกับก้อนหิน ต้นไม้ที่อยู่รอบตัวเขาสักนิด ไม่สำคัญ...ไม่ต้องให้ความสนใจ เป็นได้แค่ภาระที่เขาต้องคอยรดน้ำ และสร้างความหนักอึ้งให้

“คืออันที่จริง...ผมเริ่มจะอิ่มแล้วน่ะ” ผมเอ่ยพลางยิ้มแห้ง

“ถ้าอิ่มแล้วก็กลับ”

“งั้นผมขอตัวไปล้างมือในห้องน้ำก่อน ส่วนคุณก็ทานให้หมดล่ะ น้ำใจของผมทั้งนั้นเลยนะ” พูดจบก็ลุกจากเก้าอี้และเดินตรงไปยังห้องน้ำทันที แอบคิดว่าถ้าผมกลับไปจะเขาทานของทะเลที่แกะให้หมดหรือเปล่า อย่างน้อยเขาก็น่าจะกินอะไรบ้างล่ะน่า เพราะเท่าที่อยู่ด้วยกันมาตลอดผมไม่ค่อยเห็นเขาทานอะไรเลย ของกินที่ซื้อมาจากปั๊มส่วนใหญ่ก็มีแต่ผมที่กิน ส่วนเขาเอาแต่ปฏิเสธตลอด

ตอนนี้ข้อเท้าของผมเริ่มหายเจ็บแล้ว เวลาเดินเหินไปไหนก็คล่องตัวขึ้น ตอนล้างมืออยู่ตรงอ่างผมยังแอบมองรองเท้าแตะที่ซื้อมาใหม่แล้วนึกไปถึงตอนที่ไคหยิบมาให้ เขาเป็นคนใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง ถ้าลองสมมุติเล่นๆ ว่าคืนก่อน ไคไม่อยู่ในบ้านหลังข้างๆ ผมจะต้องเจอเรื่องเลวร้ายขนาดไหนกัน

เพราะมีไคผมถึงรอดมาได้ ต้องขอบคุณที่มีเขาอยู่ในบ้านหลังนั้น...

เมื่อล้างมือเสร็จ ผมออกมาจากห้องน้ำและกำลังเดินกลับไปที่โต๊ะ ระหว่างทางเดินบริเวณเค้าน์เตอร์คิดเงิน ผมเห็นทีวีจอแบนถ่ายทอดข่าวด่วนขึ้นมาพอดี ภายในข่าวมีหน้าของไคขึ้นมาเป็นกรอบเล็กๆ และยังมีรูปผมตามขึ้นมาอีกต่างหาก ด้วยความตกใจ ผมรีบก้มหน้าลงโดยไร้หมวกปิดบังเพราะดันวางลืมไว้บนโต๊ะ จากนั้นจึงขยับไปยืนตรงกระถางต้นไม้ ทำทียืนดูดอกไม้ทั้งๆ ที่มันเป็นของปลอบ

วันนี้ข่าวคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ผมอยากรู้จึงยืนฟังอยู่สักพัก

‘ทางเราได้พบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนายไคล์ฟ ไมเนอร์จากหน่วยสืบสวนของอเมริกา ระบุว่าเขาเป็นอดีตนักโทษในเรือนจำฟลอเรนซ์ ซูเปอร์แม็ค ถูกต้องโทษ 8 ปี ในข้อหาฆาตกรรม นอกจากนี้ก็ยังมีคดีอาชญากรรมติดตัวมากมาย ซึ่งเขาเพิ่งถูกปล่อยตัวออกมาเมื่อต้นปีที่แล้ว หลังตรวจสอบจากพาสปอร์ตพบว่าเขาเข้ามาในประเทศไทยได้ 2 สัปดาห์ และจากคดีลักพาตัวที่เกิดขึ้นทางตำรวจจึงกำหนดให้เขาเป็นบุคคลอันตราย’

เนื้อหาของข่าวทำให้ผมเบิกตากว้างและอ้าปากค้าง!

“นักโทษ...ข้อหาฆาตกรรม”

ผมพึมพำกับตัวเอง ไม่ต่างกับสมองที่กำลังย้ำคำพูดประโยคเมื่อครู่ซ้ำๆ ผมไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน คนอย่างไคน่ะเหรอเคยเป็นนักโทษ ตอนนี้ผมสับสนไปหมด จะว่าเขาไม่ยอมบอกเรื่องนี้ให้รู้ก็ใช่เรื่อง เพราะเขาไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือผมไม่จำเป็นต้องรู้ ไม่ใช่ว่าเขาจะปิดบังหรอก ผมคิดอย่างนั้น คนเงียบๆ เฉยชาต่อทุกสิ่งอย่างจะฆ่าใครคงมีเหตุผล ฉะนั้นผมไม่ตัดสินว่าเขาเป็นคนไม่ดีเพียงเพราะเคยติดคุกมาก่อน

ถ้าเราตัดสินคนเพราะสิ่งที่เขาเคยเป็น แล้วปัจจุบันที่เป็นอยู่มันจะมีความหมายอะไร

‘ส่วนข้อมูลเพิ่มเติมที่ตำรวจตรวจสอบคือบ้านทาวน์เฮาส์หลังที่นายไคลฟ์ ไมเนอร์อาศัยอยู่ พบว่าเป็นทรัพย์สินของนายธรรมรงค์ เตชะสินธุ เจ้าของโรงงานทอผ้าที่ปิดตัวลงไปในปี 2555 และหลังจากนั้นไม่กี่เดือนเขาก็เสียลงชีวิตลงด้วยวัย 86 ปี ซึ่งตอนนี้ทางตำรวจตรวจสอบไม่พบว่านายไคล์ฟ ไมเนอร์และนายธรรมรงค์มีความสัมพันธ์กันอย่างไร หรือความจริงแล้ว นายไมเนอร์อาจเป็นเพียงแค่คนร้ายที่เข้ามากบดานอยู่ในบ้านร้างแห่งนี้เท่านั้น...’

หลังจากยืนฟังข่าวในทีวีจนจบ สิ่งที่ผมตกใจที่สุดไม่ใช่เรื่องที่ไคเคยต้องข้อหาฆาตกรรม แต่กลับเป็นเรื่องที่เขาไม่ใช่เจ้าของบ้านสุดหลอนหลังนั้น แล้วเขาเป็นใครกัน ทำไมถึงไปอยู่ในบ้านที่ไม่ใช่ของตัวเอง นี่แปลว่าบ้านข้างๆ นั่นเป็นบ้านร้างจริงๆ และถ้าเขาแฝงเข้ามาอยู่ก็อาจมีความจำเป็นบางอย่าง มาเมืองไทยแต่ไม่มีที่อยู่หรือเปล่า แล้วเขามีทั้งกุญแจรถและกุญแจบ้านหลังนั้นได้ยังไง

ผมกับครอบครัวเพิ่งย้ายมาอยู่บ้านใหม่ได้ไม่กี่อาทิตย์ และหลังจากไคปรากฏตัวขึ้นเพียงวันเดียวก็มีคนร้ายสี่คนเข้ามาในบ้านผมพร้อมอาวุธปืน พอผมฟังการสันนิษฐานของไคก็พบว่าเขาดูรู้เรื่องการต่อสู้และการใช้ปืนเป็นอย่างดี แน่นอนว่าผมสงสัยว่าเขาเป็นใครมาตลอด ซึ่งเอาเข้าจริง มันยังมีจุดๆ หนึ่งที่ผมมองข้ามไป แต่กลับเอามาคิดอีกครั้ง

ทำไมตอนนั้นเขาถึงดูไม่สบอารมณ์หลังจากผมโทรแจ้งตำรวจ ซ้ำยังพาผมขับรถออกมาจากบ้านทั้งๆ ที่ผมโทรบอกตำรวจแล้วอีก ถ้าเรารออยู่ที่นั่นจนกว่าตำรวจจะมา เขาก็คงไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนร้ายลักพาตัวผม แล้วไหนจะเรื่องที่เขาพยายามไม่ให้ผมติดต่อกับพ่อแม่ และไม่ยอมอธิบายเรื่องทุกอย่างกับตำรวจเพื่อแก้ต่างให้ตัวเอง จริงอยู่ที่ไคให้เหตุผลแก่ผมจนรู้สึกคล้อยตาม ถึงได้ยอมตามเขามาถึงที่นี่ แต่พอมาเจอข่าวแบบนี้ ผมก็อดสงสัยในเจตนาของเขาไม่ได้จริงๆ มันมีคำถามว่าทำไมๆๆ ตลอดเวลา

พรุ่งนี้ผมต้องนั่งเรือไปที่เกาะลังกาวีกับไคแล้ว เห็นว่าต้องใช้เอกสารปลอมเพื่อข้ามเขตเข้าไป ซึ่งเขาก็ติดต่อคนที่สามารถทำได้เรียบร้อยแล้ว การจัดแจงทุกอย่างด้วยความรวดเร็วแบบนี้ มันจึงทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าบางทีนี่อาจเป็นแพลนที่เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า

แผน? ถ้าทั้งหมดนี่เป็นแผนล่ะ!

และถ้าเป็นแผนอย่างที่คิด ก็หมายความว่าไคอาจเป็นพวกเดียวกับคนร้าย!!

ไม่เอาน่า... อย่าเพิ่งคิดฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อขนาดนั้น มันจะเป็นไปได้ยังไง ตอนนี้เขาคือคนเดียวที่ผมไว้ใจนะ ผมเชื่อใจเขา ยกให้เขาเป็นผู้มีพระคุณ สำหรับผม...เขายังเป็นคนข้างบ้านที่ช่วยชีวิตผมไว้

คนข้างบ้าน... แต่บ้านไม่ใช่ของเขา

ให้ตายเถอะ! เรื่องนี้มันติดอยู่ในหัวผมตลอด จะสลัดยังไงก็ไม่ออก ทั้งสงสัยทั้งระแวง ความเหมาะเจาะระหว่างการปรากฏตัวของไคต่อหน้าพ่อแม่ผมในเช้าวันนั้น กับเหล่าคนร้ายที่เข้ามาในบ้านผมในคืนวันเดียวกัน ทำให้ผมใจไม่ดี แรกๆ ก็อยากจะหาเหตุผลเพื่อเข้าข้างเขา แต่ตอนนี้มันก็เริ่มจะกลายเป็นความสั่นคลอนแล้ว

ถ้าหากไคตั้งใจมาอยู่ข้างบ้านผมเพื่อจับตาดูครอบครัวเราล่ะ!?

“Hey!”

ผมสะดุ้งเฮือก รีบหันขวับไปมองต้นเสียงก็พบว่าเป็นไคนั่นเอง เขาคงจ่ายเงินที่โต๊ะเสร็จแล้วถึงได้เดินมาแถวนี้ ไม่รู้ว่าเขาเดินมาทันได้ยินข่าวที่เพิ่งรายงานจบไปหรือเปล่า

“เอ่อ...เรียบร้อยแล้วเหรอครับ” เขาพยักหน้า

“หมวกนายล่ะ”

“ห๊ะ?” ผมคลำที่หัวตัวเอง “สงสัยผมจะลืมไว้บนโต๊ะ”

“เหรอ? ฉันไม่ทันมอง”

“ถ้างั้น...ผมขอไปเอาก่อนนะครับ”

พูดจบผมก็รีบเดินตรงไปยังโต๊ะอาหารที่เราเพิ่งทานเสร็จทันที ในใจแอบคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเมื่อกี้ผมแสดงออกเลิกลั่กเกินไปหรือเปล่า มันดูลนลานจนเขาจับได้ถึงความปิดปกติมั้ย ชักหวั่นใจแล้วสิ เขายิ่งฉลาดๆ อยู่ 

พอเดินมาถึงโต๊ะ ผมหยิบหมวกที่วางอยู่ใกล้กับจานตัวเอง ก่อนจะเหลือบไปมองจานของไคและพบว่า...


อาหารทะเลที่ผมแกะให้ ยังเต็มจานอยู่เลย!

















« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-12-2016 03:02:37 โดย La_Pomme »

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
ซับซ้อนขึ้นอีกนิดแล้ว ชวนระแวงจริงๆ

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
จะเป็นอย่างไงต่อเนี่ยลุ้นมากๆเลยไคนีน่าสงสัยมาก

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 :m22:
ซับซ้อน ขึ้นไปอีก

ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
ตอนที่ 7



เมื่อกลับไปถึงห้องของโรงแรมสามดาว ผมกลายเป็นคนสงบปากสงบคำ ไม่พูดอะไรนอกจากนั่งอยู่ในห้องเงียบๆ ส่วนเขาก็นั่งทำอะไรบางอย่างกับแล็บท๊อป จนเวลาล่วงเลยมาถึงสี่ทุ่มกว่า เขาปิดหน้าจอลงพร้อมคว้าโทรศัพท์มาถือไว้ จากนั้นก็ลงจากเตียงมาหยิบเสื้อคลุม ผมมองเขาอย่างฉงนใจ จึงเอ่ยถามออกไป

“คุณจะไปไหนครับ”

“...”

เขาหันมามองผม แต่ไม่ยอมตอบอะไร

“ผมรู้ว่าคุณรำคาญที่ผมชอบถามอยู่เรื่อย...แต่ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป เวลาไปไหนคุณช่วยบอกผมทุกครั้งได้มั้ยครับ อย่างน้อยผมก็ทำให้คาดการณ์ได้ว่าคุณจะกลับมาตอนไหน...และผมต้องอยู่คนเดียวนานเท่าไหร่” บอกตามตรงว่าในใจลึกๆ ผมยังหยุดคิดฟุ้งซ่านกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ได้ และแม้ว่าผมจะระแวงไคแค่ไหน การอยู่คนเดียวมันก็ยังน่ากลัวเกินไป

“ฉันจะออกไปโทรศัพท์ นายนอนก่อนเลย” เอ่ยจบ เขาก็เปิดประตูออกไปทันที

พอได้อยู่คนเดียว ผมเอาแต่คิดเรื่องวันพรุ่งนี้จนปวดหัวไปหมด ไม่รู้ว่าจะเอายังไงต่อ การติดตามไคอยู่อย่างนี้มันคือวิธีที่ดีหรือเปล่า ถ้าหากพรุ่งนี้ข้ามไปเกาะลังกาวีแล้วผลกลายเป็นว่าผมโดนไคหลอกจริงๆ จะทำยังไง มันไม่เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเหรอ

ผมขยี้หัวตัวเอง ทึ้งแล้วทึ้งอีก ก็ตัดสินใจได้ว่าจะทำอะไรต่อ...อันดับแรก ผมรับรีบเดินไปเปิดลิ้นชัก หยิบเงินออกมาจากกระเป๋าสตางค์ของไค เท่าที่มันจะพอให้ผมเดินทางกลับบ้านได้

ใช่แล้ว! พรุ่งนี้ผมจะไม่ไปลังกาวีกับไค!!

 




เช้าวันต่อมา พวกเราเดินทางออกจากโรงแรมกันตั้งแต่เช้ามืด กระทั่งรถยนต์ขับเข้าไปแถวท่าเรือในจังหวัดสตูลเวลาประมาณใกล้เที่ยง ไคก็พาผมเดินไปยังตู้ไปรษณีย์เก่าที่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ มีผู้ชายผิวสีแทนคนหนึ่งยืนอยู่บริเวณนั้น เขาตัวเล็ก สูงไม่ถึง 160 ดูท่าทางเหมือนคนใต้ แต่พอสนทนากัน ไคกับชายคนนั้นดันพูดเป็นภาษาอังกฤษ

ผมเห็นไครับซองเอกสารสีน้ำตาลมาจากชายคนนั้น ก่อนจะส่งเงินให้จำนวนหนึ่ง แม้ที่ที่ไคให้ยืนรอจะไกลจากตรงนั้น ผมก็ยังเห็นและได้ยินอะไรอยู่บ้าง ถึงจะฟังไม่เข้าใจในบางประโยคก็เถอะ

จากภาพที่ผมเห็น มันก็ยิ่งเพิ่มความระแวงและแคลงใจต่อไคมากขึ้น ทำไมผมถึงไม่เอะใจมาก่อนว่าเขาเป็นคนอันตรายจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้จักกับคนที่รับทำงานแบบนี้ แล้วไหนจะนักแฮกเกอร์ที่กำลังจะเดินทางไปหาอีก

ผมคิดเรื่องการเดินทางไปลังกาวีกับไคทั้งคืน ลังเลแล้วลังเลอีก ส่วนหนึ่งมาจากความไว้วางใจที่มีต่อเขาก่อนหน้านี้ และถ้าผมทิ้งเขาไปก็เท่ากับเป็นคนใจร้าย ที่หักหลังผู้มีพระคุณได้ลงคอ แต่ถ้ามองในมุมกลับกัน เกิดเขาเป็นพวกเดียวกับคนร้ายขึ้นมา คนที่ซวยก็ต้องเป็นผม และหากจะช่วยเขาให้พ้นผิดจริงๆ มันก็น่าจะมีวิธีอื่นอยู่ ขอเพียงใช้เวลาคิดให้ดีกว่านี้ ฉะนั้นก่อนอื่น...ผมต้องหาทางหนีจากเขาให้ได้ซะก่อน

โธ่เว้ย! ผมไม่อยากทำเลย ให้ตายเถอะ!!

“คุณจะอยู่ที่ลังกาวีนานมั้ยครับ” เมื่อไคเดินกลับมา ผมก็เปิดฉากถามถึงสิ่งที่อยากรู้

“จนกว่าจะรู้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร”

“...”

ผมยืนนิ่ง ก่อนจะหันหน้าไปมองทะเลอันกว้างใหญ่ นับจากนี้การตัดสินใจของผมเท่ากับการเลือกชะตากรรม ซึ่งตอนนี้ผมกำลังกำเงินที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงแน่นเสียยิ่งกว่าใจตัวเองซะอีก

“อีกไม่นานฉันจะทำให้นายได้เจอพ่อกับแม่” อยู่ๆ ไคก็พูดขึ้น ผมคิดตามสิ่งที่เขาพูดจนเกิดคำถามหนึ่งขึ้นมาในสมอง

“คุณจะช่วยผมใช่มั้ยครับ”

“ฉันไม่เคยให้คำสัจกับใครหากตัวเองทำไม่ได้ ฉะนั้น...” สิ้นเสียง ไคก็เดินมายืนตรงหน้า และใช้สายตาอันแสนจริงจังจ้องมองผม “ฉันจะไม่ทิ้งนาย ฉันสัญญา”

ผมอ้าปากค้าง อยากคิดอะไรต่อแต่ดูเหมือนจะว่างเปล่าไปหมด ผมควรทำยังไงดี

ทำยังไงดี!!

“ผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”

“เดี๋ยวฉันจะไปแลกเงิน เสร็จแล้วก็รออยู่ตรงนี้ล่ะ”

“ครับ”

หลังจากผมรับคำเขาก็เดินปลีกตัวออกไป ส่วนผมยืนนิ่งอยู่กับที่ประมาณสองนาทีได้ เมื่อหันมองรอบกายผมเห็นรถสองแถวขับผ่านไปจอดบริเวณท่ารถที่ห่างออกไปไม่ไกล ก่อนอื่นผมต้องทำทีเดินไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นจึงปลีกตัวเดินไปยังท่ารถสองแถว

เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน ผมขโมยเงินไคมาขนาดนี้ คงถอยหลังไม่ได้แล้ว

“ผมจะกลับกรุงเทพ ต้องไปยังไงเหรอครับ” ผมเอ่ยถามกับคนขับรถสองแถวที่กำลังนั่งฟังเพลงอยู่

“ก็นั่งรถสองแถวไปลงที่คิวรถตู้ที่จะเข้าหาดใหญ่ พอไปถึงที่นั่นก็เลือกเอาว่าจะนั่งเครื่องบินกลับหรือรถทัวร์” เขาตอบผมด้วยภาษากลาง แม้จะมีสำเนียงใต้ปนมานิดๆ ลิ้นรัวหน่อยๆ ผมก็พอฟังออก

“อ่อ ขอบคุณครับ”

ได้ดังนั้นผมก็รีบเดินขึ้นรถสองแถวที่มีคนนั่งอยู่บ้างประปลาย จากนั้นเพียงไม่กี่นาทีรถสองแถวก็เคลื่อนออกจากท่าเรือไปถามถนนใหญ่ ซึ่งก่อนจะพ้นท่าเรือ ผมอยากจะมองหาไคแทบตายแต่ก็ต้องข่มใจไว้

เพราะการทำแบบนั้นอาจทำให้เขาเปลี่ยนใจลงจากรถคันนี้ก็ได้...

 




ใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมงสำหรับการเดินทางไปถึงคิวรถตู้ และกว่าจะต่อจากรถตู้ไปถึงหาดใหญ่ก็ใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมงครึ่ง การรอต่อรถเป็นอะไรที่ทำให้ช้ามาก ผมทั้งระแวงทั้งหวั่นใจ ต้องคอยเอาหมวกปิดบังใบหน้าเพื่อไม่ให้คนรู้ตลอดเวลา จนเมื่อไปถึงหาดใหญ่ ผมดูเงินในกระเป๋าแล้วเกรงว่าไปเครื่องบินจะไม่พอ ดังนั้นผมจึงต้องเลือกโดยสารรถทัวร์แทน

ระหว่างยืนรอซื้อตั๋ว ผมมองเงินในมือตัวเองแล้วถอนหายใจ สองสามวันมานี้ไคใช้เงินตัวเองซื้อเสื้อให้ผมใส่ ซื้อหมวกใบนี้ ผมอยากกินอาหารทะเลเขาก็พาไป เขาปกป้องผมเป็นอย่างดี และเวลามีอันตรายเขาก็จะให้ผมหลบอยู่ในที่ปลอดภัยเสมอ

ถ้าทั้งหมดนั่นเป็นการแสแสร้ง ก็ถือว่าเขาตีบทแตกมาก...

‘ฉันไม่เคยให้คำสัจกับใครหากตัวเองทำไม่ได้ ฉะนั้น...ฉันจะไม่ทิ้งนาย ฉันสัญญา’

อยู่ๆ คำพูดของไคก็ส่งเสียงเข้ามาในระบบประสาท เห็นคนค่อยๆ ขยับไปหน้าเค้าน์เตอร์เรื่อยๆ แต่ผมไม่ก้าวเท้าเดินตาม คนด้านหลังจึงสะกิดตัวผมอย่างไม่สบอารมณ์ จนต้องปล่อยให้เขาเดินนำหน้ากันไปก่อน จากนั้นผมก็เลือกที่จะเดินออกมาจากแถวก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้สำหรับนั่งรอ ลองคิดทบทวนแล้วทบทวนอีกก็รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่มันไม่ถูกต้อง แววตาของไคเมื่อยามพูดคำนั้นมันจริงจังจนใจผมไม่อาจปฏิเสธได้

บ้าเอ้ย! นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย นึกถึงแต่ตัวเองโดยไม่หันไปมองว่าไคจะรู้สึกยังไง ถ้าลองปรับมุมมองให้ผมเป็นเขาแล้วมีคนมาทำแบบนี้ ผมคงเสียใจและต้องรู้สึกผิดหวังมากแน่ๆ 

ในขณะที่ผมตัดสินใจว่าจะกลับหรือไม่กลับดี สายตาของผมก็บังเอิญไปเห็นตู้โทรศัพท์สาธารณะ วูบหนึ่งผมกังวลว่าพ่อกับแม่อาจจะเป็นห่วงผมจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ จึงเดินตรงไปที่โทรศัพท์เพราะมันอดไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยก็ควรจะให้ท่านรู้ไว้ว่าผมสบายดี และกำลังหาทางจัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย

รอสัญญาณโทรศัพท์ไม่นาน คนปลายสายก็ขานรับ...

‘สวัสดีค่ะ’

“แม่ ผมติณณ์นะ” ได้ยินเสียงแม่แล้วดีใจจัง

‘ติณณ์! ตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหน’

“ผมสบายดีครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

‘ผู้ชายคนนั้นเขาทำอะไรลูกหรือเปล่า’

“ไม่เลยครับแม่ ผู้ชายคนนั้นคนช่วยผมไว้ พวกตำรวจกำลังเข้าใจผิด เขาไม่ได้ลักพาตัวผมมา แม่ต้องช่วยเขานะครับ” ผมพูดรัวไปพร้อมๆ กับหัวใจที่เต้นแรงขึ้นจากกระบวนความคิดในจิตใต้สำนึก

‘เขาดีกับลูก ไม่ได้ทำร้ายลูกใช่มั้ย’

“ครับ”

‘...’ อยู่ๆ แม่ผมก็เงียบไป

“แม่...ฮัลโหล”

‘ตั้งใจฟังแม่นะติณณ์’

“…” ผมขมวดคิ้วสงสัยในน้ำเสียงที่จริงจังของแม่

‘ลูกต้องหนีไปซะ...ไปให้ไกล’

“ทำไมแม่ถึงพูดแบบนี้ล่ะครับ หรือว่า...เขาไม่ปลอดภัย? แม่รู้ใช่มั้ยว่าคุณอาที่อยู่กับผมเป็นใคร”

‘ถ้าเขาเป็นคนที่ช่วยลูกไว้ ลูกก็ควรขอความช่วยเหลือจากเขาต่อไป’

“อะไรนะครับ” ไม่รู้ว่าผมฟังผิดไปหรือเปล่า

เมื่อกี้ฟังเหมือนแม่จะต้องการให้ผม...อยู่กับไค?

‘ตอนนี้ลูกยังกลับมาไม่ได้ เพราะที่บ้านเราไม่ปลอดภัยสำหรับลูกแล้ว’

 






ผมนั่งเหม่อลอยอยู่บริเวณท่ารถสองแถวเป็นชั่วโมง จนคนขับบอกว่าเป็นรถรอบสุดท้ายที่จะไปท่าเรือตำมะลัง ผมจึงสะดุ้งจากภวังค์ สลัดคำพูดของแม่ไปชั่วครู่ก่อนจะรีบขึ้นรถกลับไปยังที่ที่จากมา ระหว่างทางผมก็ย้อนมานึกถึงสิ่งที่แม่ต้องการให้ผมทำต่อ อะไรคือผมยังกลับบ้านไม่ได้ และอะไรคือที่บ้านไม่ปลอดภัยสำหรับผม พ่อแม่มีอะไรปิดบังผมชัวร์เลย ไม่งั้นพอผมถามไปท่านก็ต้องตอบแล้ว

นี่มันเรื่องอะไรกันวะ! ทุกอย่างมันชักจะซับซ้อนสร้างความมึนงงไปหมด เมื่อกี้โดนคำเตือนจากแม่ว่ากลับไปจะเป็นอันตราย ท่านบอกให้รู้แต่ไม่อธิบายให้ชัดเจน ซ้ำยังเป็นฝ่ายตัดสายผมอีกต่างหาก แปลว่าการย้อนกลับไปก็เท่ากับไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเชื่อใจไคเท่านั้น

มันช่างเป็นความโลเลที่ไม่น่าให้อภัย ป่านนี้ไคคงรู้แล้วว่าผมหนีไป ทั้งๆ ที่เคยเตือนต่างๆ นานาว่าอย่าโทรศัพท์หาครอบครัว อย่าคิดอะไรตื้นๆ เขาอุตส่าห์สัญญาแล้วว่าจะไม่ทิ้งผม แต่ผมกลับเป็นคนทิ้งเขาเสียเอง

เมื่อมาถึงท่าเรือตำมะลัง ผมรีบเดินไปยังจุดที่เราเคยนัดกันไว้ มองจากไกลๆ ผมก็รู้แล้วว่าไม่มีใคร จะมีก็แค่แสงสว่างจากหลอดไฟที่ริบหรี่เต็มที ผมหันซ้ายหันขวาราวกับคนสติแตก ก็ไม่รู้ว่านะว่าผมกำลังหวังอะไร ดึกดื่นป่านนี้แล้วคิดว่าใครจะบ้ารออยู่บ้าง ผมว่าไคคงนั่งเรือไปที่เกาะลังกาวีตั้งแต่บ่ายแล้ว ถ้ามีพาสปอร์ตผมคงจะตามไปที่นั่น

แต่...ก็คงได้แค่คิด เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้

ผมทรุดนั่งกับพื้นด้วยความเหนื่อยอ่อน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเดินทางมาทั้งวันท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุ แต่มาคิดดูอีกที ผมว่ามันเป็นเพราะสมองที่ทำงานหนักและจิตใจที่ว้าวุ่นมากกว่า

ไคไปแล้ว เขาไปแล้วจริงๆ

บรรยากาศโดยรอบเงียบสนิท ผมได้ยินแม้แต่เสียงยุงที่บินว่อนอยู่ใกล้ๆ รวบไปถึง...

“ติณณ์”

มีเสียงใครบางคนเรียกชื่อผมด้วย ถึงจะเบากว่าเสียงยุงบินผมก็ยังได้ยิน

อ๊ะ! เดี๋ยวก่อน เสียงนี่มัน...

“ไค...” ผมรีบลุกขึ้นยืนและหันไปตามเสียงที่มาจากด้านหลัง

“ฉันไม่ได้บอกเหรอ ว่าเรือจะออกก่อนเที่ยง” ผมเห็นไคยืนล้วงกระเป๋าในขณะที่แขนอีกข้างหนึ่งสะพายเป้ไว้ แม้แสงสว่างอันน้อยนิดก็ไม่สามารถทำให้ผมละสายตาจากเขาไปได้

“คุณยังไม่ได้ไป...” พูดตามตรงนะ ตอนนี้ผมแทบจะร้องไห้แล้ว มันรู้สึกโล่งใจเหมือนกับตอนที่ไคเปิดประตูช่วยผมในคืนนั้นไม่มีผิด ดังนั้น นี่คงเป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาได้สร้างความอุ่นใจให้แก่ผม

“ไปไหนมา”

“ผม...” จะตอบว่ายังไงดีวะ

“นายขโมยเงินฉัน และคิดจะกลับบ้าน”

“คุณรู้?”

“ทุกความเคลื่อนไหวของนาย ฉันรู้หมดนั่นแหละ”

“แต่คุณก็ไม่ตามตัวผม แถมยังนั่งรออยู่ที่นี่”

ทำไมล่ะ? เพราะอะไรกัน?

“ฉันสัญญาไว้แล้ว ก็เหลือแค่นาย...ว่าจะเชื่อใจฉันหรือเปล่า”

“เพราะงั้นคุณถึงได้รอ” ผมกับไคสบตากัน จนเมื่อเขาค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้



“อย่างน้อยฉันก็คิดไม่ผิด”
 

 

 

 

 

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-12-2016 03:06:36 โดย La_Pomme »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เพราะไค เก่ง มีประสบการณ์ ทำอะไรรอบคอบ
อาจเป็นนักโทษ อาจเป็นตำรวจลับ
แต่ติณณ์ เด็กวัยรุ่น นักศึกษาธรรมดา
เลยทำให้ติณณ์ เข้ากันไม่ค่อยได้กับไค
เหมือนจะทำให้ชักช้า ไม่ไปทางเดียวกัน
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
ในความรู้สึกไคแม่งเทห์ว่ะ

ออฟไลน์ fon270640

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เชื่อไคเถอะนะ ไคจะปกป้องนายเองนะ

สนุกค่ะ อัพบ่อยๆนะ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
หูยยย ไคจ๊ะ ่จะไปไหนนำทางไปเลย
เชือใจสุดๆ แล้วทีนี้ ยอมทุกอย่างละ
 :really2: :really2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด