ตอนที่ 7
เวลามักจะผ่านไปช้าเสมอ..เมื่อเราต้องเฝ้ารออะไรสักอย่าง
ห้านาทีหรือเกือบสิบนาทีแล้วที่เขายังยืนอยู่ที่เดิม เสียงร้องเพลงของวงดนตรีชื่อดังกำลังจัดแสดงโชว์อยู่บนเวทีเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจได้ดีทีเดียว มันช่วยให้เขาได้พักสายตาจากภาพคนสองคนตรงหน้าและหันไปให้ความสนใจกับสิ่งอื่นรอบตัวดูบ้าง..แต่มันก็แป๊ปเดียวเท่านั้นที่ทำได้ ในเมื่อสุดท้ายบุญก็ต้องหันกลับมามองคนๆ เดิมอยู่ดี
ทั้งๆ ที่ใครอีกคนแทบจะลืมไปแล้วว่ามีเขามาด้วย ตั้งแต่เด็กคนนั้นก้าวเข้ามา ครามก็เทความสำคัญไปที่คนๆ นั้นแทบทั้งหมด
ใจอยากเดินออกไปจากที่นี่ ไม่จำเป็นต้องยืนรอเหมือนหมารอเจ้าของอย่างที่กำลังทำ แต่ถ้าหากเขาทำแบบที่ใจนึก ครามจะต้องโกรธและไม่พอใจ สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการเก็บมาชวนทะเลาะจนน่าปวดหัว ไม่อยากเป็นที่รองรับพายุร้อนของอีกฝ่าย หรือร้ายแรงกว่านั้นคือเขากลัว..กลัวการถูกทำโทษในวิธีของคราม วิธีที่เขาพยายามไม่ทำให้มันเกิดขึ้น
เขาหยิบมือถือขึ้นมาหวังหาอะไรดูฆ่าเวลา กดเปิดเครื่อง เมื่ออยู่กับคนนิสัยเสียเขาแทบไม่ได้แตะโทรศัพท์เลย หนำซ้ำยังต้องปิดเครื่องด้วย เพราะครามไม่ชอบให้เขาหมกมุ่นกับโทรศัพท์เมื่อเราอยู่ด้วยกัน เอาแต่พร่ำบอกว่ากลัวเขาจะติดมือถือจนไม่เป็นอันทำอะไร ทั้งที่ความจริงเขาไม่ใช่คนติดโซเซียลมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เวลาว่างเขาจะถ่ายภาพไม่ก็วาดรูปไปเรื่อย กลับกันเป็นครามต่างหากที่ชอบจมจ่อมอยู่กับหน้าจอมือถือจนติดนิสัย
คนรอมุ่นคิ้วเมื่อข้อความจากเพื่อนสนิทเด้งขึ้นมารัวๆ จนต้องรีบกดเข้าไปอ่าน
‘มึงอยู่ไหน’
‘ทำไมยังไม่มาอีก’
‘อ่านไลน์กลุ่มยัง อาจารย์เปลี่ยนมาควิซวันนี้แทนแล้วนะเว้ย’คนอ่านตาโตนิดๆ ยามอ่านจบ ก่อนจะคลิกเข้าไปในไลน์กลุ่มวิชาเอกตามอย่างที่เพื่อนบอก แล้วก็ต้องตกใจหนักกว่าเก่าตอนเห็นข้อความของอาจารย์ที่ส่งเข้ามาในกลุ่มตั้งแต่เช้า นอกจากจะเปลี่ยนวันควิซจากอาทิตย์หน้ามาเป็นวันนี้แทนแล้ว ยังเลื่อนเวลาเข้าเรียนจากห้าโมงเป็นบ่ายสองอีก ฉับพลันความกังวลก็เพิ่มมากขึ้นเมื่อดูเวลา…อีกสามสิบนาทีบ่ายสอง
ร่างบางนึกก่นดาตัวเองในใจที่เพิ่งจะเปิดเครื่องเอาป่านนี้ เขารีบกดโทรหาไอ้ซัน แต่บริเวณที่กำลังยืนอยู่มันดันอยู่ใกล้พวกบูธที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งขายอาหารกัน เสียงพูดคุยจอแจทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงไอ้ซัน
บุญหันซ้ายหันขวา จากนั้นจึงก้าวยาวๆ ไปตรงลิฟท์ที่ค่อนข้างอยู่ห่างจากความวุ่นวายพอสมควร
[ฮัลโหล มึงอ่านแชทกูแล้วใช่ไหม]
อือ ฝากมึงซื้อชีทเผื่อกูด้วย
[ได้ ทั้งชีททั้งที่นั่งกูจองให้มึงเรียบร้อยแล้วเพื่อน ส่วนมึงอ่ะรีบมาได้แล้ว]
กูกำลังไป
บุญถอนหายใจขณะกดวางสาย ครั้นจะหันหลังกลับไปทางเดิม ร่างทั้งร่างกลับซวนเซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เมื่อ จู่ๆ ก็ถูกใครสักคนเดินเข้ามาชนอย่างจัง แม้ไม่ได้รุณแรงมากนัก แต่โทรศัพท์เครื่องหรูที่ถืออยู่ก็ร่วงตกลงบนพื้น
“อ๊ะ ขอโทษครับ คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
ผู้ชายกล้ามโตที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านโบรชัวร์ในมือเลยไม่ทันระวัง รีบก้มหัวกล่าวขอโทษทันควัน พลางย่อตัวลงไปหยิบเครื่องมือสื่อสารที่พื้นมาส่งให้ถึงมือเจ้าของ สายตาที่ส่อแววรู้สึกผิดอย่างชัดเจนทำให้เขาไม่นึกโกรธเคือง
“ผมไม่เป็นอะไร”
แม้จะรู้สึกเจ็บตรงไหล่ซ้ายอยู่บ้าง เมื่อกี้ก็เสียหลักอยู่นิดหน่อยเนื่องจากคู่กรณีก็ตัวใหญ่ใช้ได้ แต่คนมันไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดให้ใหญ่โต บุญเพียงส่งยิ้มแสดงให้เห็นว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ และไม่ได้ถือสา ชายแปลกหน้ายิ้มตอบตามมารยาทก่อนเดินเลี่ยงไปอีกฝั่ง
คนถูกชนคลำมือถือป้อยๆ ยัดมันใส่กระเป๋ากางเกง จังหวะนั้นเองที่ต้นแขนถูกมือดีปรี่เข้ามากระชากให้หันไปมอง
บุญหลุดเสียงร้อง ทว่ากลับไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่นัก ไม่ต้องเดาให้ยากก็รู้ว่าเป็นใคร..มีคนเดียวที่ชอบใช้ความรุณแรงมากกว่าใช้เหตุผล
“คราม”
“จะไปไหน"
เสียงทุ้มห้าวดังรอดไรฟันมาพร้อมดวงตาสีเดียวกับรัตติกาลจ้องเขม็งมาที่เขาไม่ลดละ ฝ่ามือใหญ่ย้ายมาบีบเค้นตรงข้อมือขาวอย่างไม่ออมแรง ร่างเล็กเบ้หน้าเพราะเริ่มเจ็บ
“ปล่อยก่อน”
“ถามว่าจะไปไหน”
“แค่ออกมามาคุยโทรศัพท์ นี่ก็กำลังจะเดินไปหาอยู่แล้ว”
“คุยกับใครและคุยเรื่องอะไร”
“คราม ปล่อยมือก่อนคนเริ่มมองแล้ว”
อาจเป็นท่าทีคุกคามของคนตรงหน้ามันโจ่งแจ้งเกินไปผู้คนที่ยืนรอบๆ ถึงเริ่มหันมาขับจ้องและซุบซิบนินทากัน ครามยอมปล่อยมือบางให้เป็นอิสระตามคำขอ แต่แววตาที่ฉายชัดถึงความไม่พอใจดันทวีความรุณแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าหากไม่ได้คำตอบบุญก็ไม่มีสิทธิ์ตีตัวออกห่าง บุญลูบข้อมือไปมา ดวงตาเสมองไปอีกด้านหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญแววตาแข็งกระด้างนั่นโดยตรง ซึ่งพอทำแบบนั้นกลับทำให้กายสูงยิ่งขุ่นมัว
“มองหน้าพี่ด้วย”
ร่างสูงกำลังเก็บซ่อนความหงุดหงิดให้ลึก ก่อนก้าวเข้าไปกระซิบเบาๆ ที่ใบหูอีกฝ่าย หวังให้คนที่เอาแต่ก้มมองพื้นยอมสบตากัน และก็เป็นไปตามคาด บุญหันกลับมา ต่างคนต่างจับจ้องกันและกัน…เห็นชัดถึงความแตกต่าง
แววตาใครอีกคนแข็งกร้าวพร้อมจะแผดเผาทุกสิ่ง ผิดกับอีกคนที่วูบไหว เปราะบางจนน่าสงสาร
“ตอบคำถามพี่มา”
“ผมโทรหาซันให้มันช่วยซื้อชีทให้เพราะมีเรียนตอนบ่ายสอง”
“แล้วทำไมเพิ่งจะมาบอก”
“ก็เพิ่งรู้เมื่อกี้”
ครามอยากจะซักถามมากกว่านั้น แต่โดนใครบางคนขัดเสียก่อน
“พี่คราม”
ชายหนุ่มหันไปมองตามเสียงเรียก เร่งปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ แต่คนช่างสังเกตยังคงมองออก
“เอ่อ พี่ครามโกรธอะไรดิวหรือเปล่าเนี่ย” คนตามมาทีหลังทำหน้ารู้สึกผิดผสมกับเสียงที่อ่อนลง
“เปล่า พี่จะโกรธดิวเรื่องอะไรล่ะ”
“ก็สีหน้าพี่ครามมันฟ้อง”
ดิวแสร้งหลุบตาต่ำทำหน้าเศร้า ถึงดิวจะสูงร้อยเจ็ดสิบห้าตามเกณฑ์มาตรฐานของชายไทย แต่ด้วยรูปร่างที่ค่อนไปทางผอมบาง บวกกับใบหน้าที่ออกไปทางน่ารักมากกว่าหล่อ แล้วยังมีลักยิ้มที่ดูน่ารักเวลายิ้มอีก มีส่วนช่วยสร้างเสน่ห์ให้เด็กคนนี้น่ามองและกลายเป็นจุดเด่นได้ไม่ยาก
“ดิวคิดว่าพี่โกรธดิวจริงๆ นะ”
“ไม่ได้โกรธ ไม่ต้องทำแก้มป่องด้วย”
ครามหลุดหัวเราะ เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มที่งอง้ำจนน่าแกล้ง อดไม่ได้ที่จะขยี้หัวเล่นด้วยความหมั่นเขี้ยว โดยลืมไปว่าการกระทำเหล่านั้นยังอยู่ในสายตาของใครบางคนทุกวินาที
“อันที่จริงดิวมากกว่าที่ควรจะโกรธพี่คราม เดินหนีกันแบบไม่บอกกันสักคำ”
คนนอกอย่างบุญได้แต่มองนิ่ง ไม่อยากอคติไปเอง แต่เวลาที่เด็กคนนั้นพูดแววตาจะจดจ่ออยู่กับครามก็จริง ทว่ามีบางครั้งที่เหลือบมามองเขาบ้างเป็นระยะ แม้จะเพียงแวบเดียวแต่เขารู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไรถึงเขา เห็นได้ชัดตอนที่ครามกำลังยีหัวอีกฝ่าย ช่วงจังหวะหนึ่งที่เราสองคนเผลอสบตากันด้วยความบังเอิญ ตอนนั้นเองที่มุมปากของดิวยกขึ้นคล้ายยิ้มเยาะ
มันใช่เรื่องไหมที่ต้องมาเยาะเย้ยเขา เผอิญประตูลิฟท์ดันเปิดออกพอดิบพอดี วินาทีนั้นเขาไม่ต้องคิดอะไรให้เยอะแยะ เดินจ้ำเข้าไปด้านใน ธุระของเขามันสำคัญกว่าการมายืนดูผู้ชายสองคนหยอกล้อกัน
“บุญรอก่อน พี่ไปก่อนนะดิวไว้ค่อยเจอกัน”
ครามตกใจที่อีกคนตัวขาวไม่รอ เร่งฝีเท้าตามเข้าไปในลิฟท์ให้ทันก่อนประตูจะปิดลง
“เป็นอะไร”
เมื่ออยู่กันตามลำพัง ก็เหลือแค่ความเงียบที่แทรกเข้ามารอบด้าน บุญไม่แม้แต่จะชายตามองเขา ไม่แม้แต่จะตอบคำถาม ทำเหมือนเขาเป็นบ้าพูดคนเดียว
ครามเดาะลิ้นกับความเงียบที่ได้รับ ไม่วายเค้นถามอีกเรื่องที่ยังคาใจ
“ไหนบอกมีเรียนห้าโมง”
“อาจารย์เลื่อน”
รู้ว่าอีกคนจะแค่ตอบสั้นๆ จึงไม่คิดถามต่อ ครามเอนหลังพิงไปกับกระจก ดวงตาไม่หยุดว่าง ยังคงสำรวจคนข้างกายไม่หยุดพัก เขาไล่มองปอยผมสีน้ำตาลอ่อนที่ยาวระต้นคอจนเกือบจะมัดได้อยู่แล้วก็หงุดหงิด เพราะมันขับใบหน้าของคนตัวเล็กให้ดูน่ารักและอ่อนเยาว์ เหมือนยังเป็นเพียงเด็กมัธยมปลาย
“พรุ่งนี้จะพาไปตัดผม”
คนเงียบเก่งขมวดคิ้ว ก่อนยกมือแตะเส้นผมที่คลอเคลียแถวต้นคอตัวเองไปมา นึกแปลกใจที่สั่งให้ตัดผม ทั้งที่เจ้าตัวเคยขอให้เขาลองไว้ผมยาวดูสักครั้งในชีวิต
“ผมยาวมันดูแลยาก”
แววตาสงสัยเต็มประดา แต่ปากหนักไม่ยอมเอ่ยถาม คนอายุมากกว่าถึงต้องเฉลยในแบบที่ไม่มีความจริงอยู่ในนั้นสักนิดให้รู้แทน
ขืนบอกความจริงออกไป ใครอีกคนจะยิ่งได้ใจ
“อ่อ แล้วอีกอย่างอย่านึกว่าพี่ไม่เห็นนะ ที่ยืนนิ่งปล่อยให้ผู้ชายคนอื่นมาจับมือได้ไง”
คราวนี้บุญหน้าเหวอ ยืนอึ้งไปพักใหญ่ สมองนึกย้อนไปตอนที่โดนผู้ชายกล้ามใหญ่ชนจนโทรศัพท์หล่นพื้น
“เค้าก็แค่หยิบมือถือมาคืนให้เพราะมันตกพื้น และที่ต้องหยิบให้เพราะเค้าเดินมาชนผมก็เท่านั้น แล้วอย่าเรียกว่าจับมือเลย เรียกว่าแตะมือยังจะถูกกว่า เพราะมือเราสัมผัสกันไม่ถึงสองวิด้วยซ้ำ”
ชี้แจงชนิดแบบไม่เปิดทางให้มีสิทธิ์ได้ถามต่อ ความจริงก็คือความจริง
“อย่าเอาอารมณของตัวเองมาตัดสินความผิดของคนอื่น”
บุญว่าเสียงเรียบ คล้ายกับกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ถึงจะไม่ได้หันมองคนข้างเคียง แต่เขารับรู้ว่าครามต้องสะอึกไม่มากก็น้อย ไม่งั้นคงขุดหาชนวนขึ้นมาทะเลาะอีกรอบ แล้วก็ต้องหลุดขำเมื่อได้ยินเสียงคล้ายกระแอมไอลอยเข้ามา คงคันปากอยากจะถามแต่เขาเล่นดักทางจนไม่กล้าที่จะถาม ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมกระทั่งประตูลิฟท์เปิดกว้าง
ฝ่ามือหนาเอื้อมมากุมมือเขาเข้าไปกุมตามความคุ้น เสียงจากคนรอบกายดังจอแจไม่หยุดหย่อน ใช้เวลาไม่นานคนสองคนก็เดินมาถึงลานจอดรถ ครามเปิดประตูให้ร่างบางเข้าไปนั่งก่อนที่เจ้าตัวจะเข้าไปประจำที่คนขับ ตาเรียวจ้องใบหน้าเจ้าของรถสปอร์ตอย่างใช้ความคิด มีบางสิ่งที่บุญยังคลางแคลงใจ
รถเคลื่อนตัวออกจากห้างสรรพสินค้า บุญเม้มปากขณะนับหนึ่งถึงสิบในใจไปด้วย พอครบก็หันไปหาคนขับ
“ครามเป็นอะไรกับเด็กคนนั้น”
บุญผินหน้ามองตรงอย่างไว ไม่กล้าสบตา ส่วนคนที่มือกำลังจับเกียร์อยู่ถึงกับหันมอง ก่อนสายตาจะจรดบนท้องถนนตามเคย
“เราหมายถึงดิวใช่ไหม?”
“อือ”
หลังจากนั้นครามก็เริ่มเล่าให้เขาฟัง ความรู้สึกวูบโหวงไม่ควรเกิดขึ้นขณะที่ครามกำลังพูด น้ำเสียงของครามตอนพูดถึงเด็กนั่น มันอ่อนโยนต่างจากเวลาพูดกับเขา
ยอมรับว่าไม่ชอบใจ
“ลูกชายเพื่อนพ่อน่ะ” ครามเล่าแบบสบายๆ เพราะไม่มีอะไรปิดบัง ถึงจะเลือนรางไปบ้างแต่เขาก็พยายามรื้อฟื้นมันขึ้นมาใหม่ ความทรงจำในอดีตของเขากับน้องชายข้างบ้าน “พี่รู้จักกับดิวมาตั้งแต่พี่อายุสิบสาม เมื่อก่อนเราสองคนเจอกันแทบทุกวัน บ้านพวกเราอยู่ใกล้กัน เล่นด้วยกันทุกวันหลังเลิกเรียนเพราะช่วงนั้นดิวไม่ค่อยมีเพื่อน ดิวบอกดิวมีแค่พี่ นั่นจึงทำให้พี่อดเตะบอลกับเพื่อนในห้องไปสักพักใหญ่เลยแหละ เพราะต้องรีบกลับบ้านมาสอนการบ้าน แล้วต้องอยู่เล่นเป็นเพื่อนเจ้านั่น แต่พอพี่ขึ้นมอปลายครอบครัวดิวก็ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น นั่นเลยทำให้เราสองคนไม่ได้เจอกันอีก แต่ก็มีไลน์คุยกันบ้าง”
ความทรงจำวัยเด็กถูกขุดคุ้ยขึ้นมาให้เห็นเป็นฉากๆ ความสุขในวัยเด็กที่ไม่ซับซ้อน ครามยิ้มออกมาง่ายดาย และความสุขมันทำให้เผลอเสียดายช่วงเวลาที่เพิ่งได้เจอคนสนิท จนพลาดพลั้งพูดในสิ่งที่ทำร้ายใครอีกคนโดยไม่ทันคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ
“พี่เคยเจอดิวที่มหาลัยสองสามครั้ง ก่อนจะมาบังเอิญเจอกันอีกก็ตอนอยู่ห้างนั่นแหละ ถ้าหากเราไม่หายไปพี่คงได้คุยกับดิวนานกว่านี้”
“แล้วถ้าไม่หาย ครามจะมองเห็นผมไหม”
วินาทีนั้น..ราวกับทุกสิ่งหยุดลงกะทันหัน เหลือแค่เสียงเครื่องปรับอากาศที่ถ่ายทอดความเย็นแผ่วนรอบรถ ครามแปลกใจที่คำถามเชิงตัดพ้อนั่นดังออกจากปากคนตัวเล็ก คนที่ไม่ค่อยเปิดเผยความน้อยใจออกมา กำลังทำให้เขาแทบไปไม่เป็น เขาอยากแย้งแต่คล้ายกลับมีหินมาถ่วงปาก
สิ่งที่บุญพูดมันก็ไม่ถูกเสียหมด เพราะเขาก็เหลือบมองบุญอยู่เป็นระยะ เพียงแต่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกตก็เท่านั้น
“เห็น แต่พี่ไม่ชอบให้เราหายไปแบบไม่บอก ถ้าไปไหนอยากให้มาบอกกันก่อน”
ครามเลี้ยวรถเข้ามาจอดหน้าตึกคณะสถาปัตยกรรม ร่างสูงเอี้ยวตัวปลดเข็มขัดนิรภัยให้ กดจมูกลงบนแก้ม ก่อนเอนตัวกลับมาประจำตำแหน่งเดิม ไม่วายออกคำสั่งใส่คนที่กำลังก้าวเท้าลงจากรถ
“เลิกเมื่อไหร่ก็ไลน์มา แล้วอย่าแอบกลับเองอีกล่ะ ไม่งั้นเจอดีแน่”
บุญทำหน้าตาย คว้าแฟ้มงานขึ้นมาแนบอก แล้วเดินเข้าไปในตัวอาคาร ไม่คิดจะหันหลังกลับมามองคนส่ง ปล่อยให้กายสูงมองตามกระทั่งแผ่นหลังเล็กจางหายถึงสตาร์ทรถแล้วขับไปที่ตึกคณะบริหาร ชายหนุ่มเดินตรงไปยังใต้ถุนคณะ จุดหมายของเขาคือโต๊ะไม้ตัวยาวที่อยู่ใกล้บันได
“มีเรียนเสือกไม่มา แต่พอไม่มีเสือกโผล่มา”
เป็นว่านที่เงยหน้าขึ้นมาทัก แต่ก็กระเถิบให้คนมาใหม่มานั่งข้างๆ
“ถ้าวันไหนมึงไม่ได้บ่นกูเนี่ย มึงจะตายมั้ยวะ”
ไม่ปล่อยให้ถูกค่อนแคะฝ่ายเดียวถึงได้ต่อปากต่อคำกลับไปบ้าง ครามพูดทีเล่นทีจริง ชินเสียแล้วกับนิสัยขี้บ่น ขี้จุกจิก แถมยังชอบแขวะของไอ้ว่านไปแล้ว นึกขำอยู่เหมือนกัน ลุคไอ้ว่านค่อนข้างจะตรงกันข้ามกับนิสัยมันอย่างสิ้นเชิง ด้วยลุคภายนอกของไอ้ว่านที่ออกไปทางผู้ดี๊ผู้ดี มาดคุณชายอบอุ่น ดูเรียบร้อยสุขุมพูดน้อย แต่ใครจะรู้ว่าจะมีฝีปากที่จัดจ้านและนิสัยที่ขี้จุกจิกพอๆ กับผู้หญิง
“มึงก็ทำตัวให้ดีดิ แค่นี้กูก็ไม่บ่นแล้ว”
“มันยากไป กูคงทำให้ไม่ได้”
เขายักคิ้วใส่มันไปที ซึ่งมันก็ขึงตากลับมาแบบไม่จริงจัง เขาถือวิสาสะแย่งน้ำโค้กของไอ้ว่านมาดื่มโดยที่เจ้าของได้แต่ส่ายหัวระอา แต่ก็ไม่ได้ปริปากว่า
พลางมองไปรอบด้านก็เห็นไอ้เต้กับไอ้ภีมที่กำลังแชทคุยกับสาวในสต๊อกของพวกมัน เดาได้จากอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของทั้งคู่ เหลือเพียงคนด้านข้างที่เข้าสู่โหมดคนขยัน อ่านเลคเชอร์จนตาแทบจะสิงเข้าไปในสมุดอยู่รอมร่อ
“จะเก่งแซงกูหรอวะ”
“เหอะ ไม่เข้าเรียนอย่าเสือกแดกดัน”
เขาผลักหัวมันไปหนึ่งที เพราะหมั่นไส้ เสียงแจ้งเตือนบนแอปพลิเคชั่นไลน์ดึงดูดสายตาเขาให้หันไปมอง
มีเเชทที่ค้างไว้หลายเเชท ที่เขายังไม่ได้ตอบ
“คืนนี้เมามั้ยวะพวกมึง” เต้เงยหน้าขึ้นมาขอความเห็นเพื่อนในโต๊ะหลังจากตอบแชทจบ เต้อยากนัดสังสรรค์กันตามประสาผู้ชาย
“สองวันก่อนมึงก็เพิ่งเมาไปนี่หว่า” ว่านละสายตาจากตัวหนังสือ หยิบโค้กขึ้นมาดื่ม
“ก็อยากเมาอีกไงครับเพื่อน”
“ที่ไหน”
คราวนี้ภีมเป็นฝ่ายถามขึ้น เอาเข้าจริงพวกเขาขาดแอลกอฮอล์ได้ไม่เกินห้าวันหรอก ติดที่ใครจะเป็นฝ่ายเอ่ยชวนก่อนก็เท่านั้น
“พ่อกูได้เหล้าตัวใหม่มาเว้ย เดี๋ยวกูจะเอามาให้พวกมึงลอง แต่กูแม่งไม่อยากไปนั่งร้านอีเจ๊แล้วอ่ะ ขี้เกียจเถียงด้วย กูเลยจะชวนพวกมึงไปดื่มที่ห้องไอ้ภีมแทน”
“เหี้ยเต้ มึงถามกูยัง”
ภีมรีบแทรก
“อ่าว ทำไมวะมึงไม่สะดวกอ่อ”
ปกติการนัดไปดื่มของทั้งสี่คนมีไม่กี่ที่เท่านั้น ไม่ร้านอิเจ๊ ก็ตามผับ หรือไม่ก็ที่คอนโดภีม
ส่วนบ้านของเต้มีจำนวนคนค่อนข้างเยอะ หากเอาเพื่อนไปก็จะรบกวนคนอื่นๆ รวมถึงน้องสาววัยแปดขวบที่ติดเต้หนึบ ชอบเข้ามาขอนอนด้วย ยิ่งทำให้เต้ไม่อยากพาเพื่อนไปดื่มที่บ้าน เพราะจะเป็นตัวอย่างที่ไม่เหมาะหากน้องสาวเห็น
“ใช่ กูไม่สะดวก ก็แม่กูอยู่ด้วย แกเพิ่งจะบินมาเยี่ยมกูเมื่อวานนี้เอง”
ภีมเกิดและโตที่เชียงราย เป็นลูกคนเดียวรวมทั้งมีแม่เป็นคนเลี้ยงดูเพียงคนเดียว พ่อเสียตั้งแต่ยังเด็ก ส่งผลให้คนป็นแม่ค่อนข้างที่จะเป็นห่วงและหวงภีมมาก ต้องนั่งเครื่องบินมาเยี่ยมทุกๆ สิ้นเดือน
“งั้นที่ห้องมึงได้มั้ยว่าน” เต้ไม่เซ้าซี้เพราะเข้าใจเพื่อน หันไปขอความสมัครใจจากอีกคนแทน
“ห้องกูไม่สะดวกว่ะ”
“ทำไมอีก อย่าบอกนะว่าแม่มึงมาเยี่ยมมึงอีกคนอ่ะ”
“แม่กูนอนอยู่โรงพยาบาลนะมึง
“เห้ย กูลืมไปขอโทษเว้ย ปากกูหมาอย่าใส่ใจนะมึง”
เต้พนมมือไหว้ ทำสายตาอ้อนวอนระคนรู้สึกผิดที่พลั้งปากพูดไม่คิด เขาลืมไปว่าเมื่อสามวันก่อนแม่ของไอ้ว่านดันลื่นล้มในห้องน้ำ แม้สมองจะไม่ได้กระทบกระเทือน แต่คอเคล็ด เอ็นข้างหลังฉีกต้องใส่เฝือกล็อกคอสามอาทิตย์ กระดูกที่แขนซ้ายยังร้าวเลยต้องเข้าเฝือกเหมือนกัน ทำให้ยังต้องนอนรอดูอาการอยู่โรงพยาบาล
“ช่างเหอะ รู้แค่ว่าห้องกูไม่สะดวก” ว่านบอกปัด
“เอ้า แล้วทำไมถึงไปห้องมึงไม่ได้วะ ช่วยพูดให้เคลียร์หน่อย”
“แล้วทำไมมึงไม่ไปห้องไอ้ครามแทนวะ”
เต้เกาหัว หากบอกว่ามึนก็ถูก หากบอกว่างงก็ถูกอีก คือประเด็นเขาถามไอ้ว่าน แต่ไหงมันกลับโยนไปที่คอนโดไอ้ครามได้ ทั้งที่ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าไอ้ครามไม่ชอบให้พวกเขาไปที่ห้อง ถ้าไม่ใช่ธุระสำคัญ
“ทำไมต้องเป็นห้องกู”
ครามเบนสายตาจากหน้าจอสี่เหลี่ยม นั่งฟังพวกมันเกี่ยงกันอยู่นานแต่ไม่คิดว่าจะมาลงเอยที่ห้องเขาได้
“ห้องมึงหรู” ว่านบอก ทว่าคำตอบออกจะฟังไม่ขึ้นไปสักหน่อย เหมือนแค่อยากกวนอารมณ์ของอีกคนเสียมากกว่า
“กูว่านั่นไม่ใช่ประเด็น”
“อาทิตย์ก่อนยังเรียกพวกกูไปหาอยู่เลย ทำไมวันนี้ถึงห้าม”
“นั่นมันนัดทำวิจัย”
“มึงแค่บอกเหตุผลว่าเพราะอะไรพวกกูถึงไปห้องมึงไม่ได้ แค่นี้ก็จบ”
“ก็กูไม่สะดวก แล้วถ้าพวกมึงทั้งหลาย อยากได้ความเป็นส่วนตัวมากนัก ก็ไปเปิดห้องวีไอพีดิวะ เรื่องง่ายๆ ทำไมคิดไม่ได้”
เมื่อผู้ชายสองคนเริ่มถกเถียงกันยาวขึ้น คนร่วมโต๊ะก็ได้แต่เฝ้าดูเหตุการณ์ด้วยความประหลาดใจ เต้ที่เป็นฝ่ายเริ่มประเด็นขึ้นมาได้แต่กัดแซนวิชเข้าปาก ไม่ใช่ไม่กล้าห้ามปรามพวกมัน เขาแค่รู้สึกตงิดกับพฤติกรรมของไอ้ว่านก็เท่านั้น มองเผินๆ เรื่องนัดดื่มมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย จริงอย่างที่ไอ้ครามพูด แค่หาร้านใหม่และโทรจองจองมุมวีไอพีก็สิ้นเรื่อง มีเพียงไอ้ว่านคนเดียวที่ยังเซ้าซี้จนผิดนิสัย
พวกเขาสี่คนสนิทกันก็จริง แต่ความสนิทของพวกเขาจะไม่ล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของกันและกัน
และไอ้ว่านเริ่มก้าวก่ายเกินคำว่าพอดี
“หรือเพราะมึงให้ใครมาอยู่ด้วย”
ว่านกดยิ้มมุมปาก ยกมือขวาขึ้นมาเท้าคางขณะสบตากับเจ้าของใบหน้าหล่อคม ว่านอารมณ์ดีผิดจากอีกคนที่เริ่มจะไม่สบอารมณ์เข้าให้แล้ว
สังเกตได้จากการที่ครามจ้องหน้าว่านไม่กะพริบ เป็นเชิงกดดันทางสายตา คล้ายสั่งให้ว่านหยุดพูด แต่ว่านก็ยังไม่ยอมจบ
..ครามไม่อยากฟัง ทว่าว่านแค่อยากแนะนำ..
“มึงก็ให้บุญกลับไปนอนที่ห้องตัวเองสิ แค่วันเดียวคงไม่ทำให้มึงคิดถึงจนทนไม่ได้หรอกน่า”
ครามเงียบไปอึดใจ พอจะแย้ง เพื่อนกลับไม่เปิดโอกาสให้อธิบาย
“กูพูดผิดตรงไหนวะ กูเห็นเวลามึงเจอคนใหม่ทีไร มึงก็ไล่น้องมันตลอดอยู่แล้วนี่ แค่ไล่อีกสักวันทำไมมึงจะทำไม่ได้วะ”
“ว่านมึงกำลังหาเรื่องกูอยู่”
“พวกมึง! คือกูลืมไปเลยว่าวันนี้กูมีนัดกับน้องฟ้าว่ะ เอาเป็นว่าพวกเราค่อยนัดกันวันหลังดีกว่าไหม”
เต้ว่ารัวๆ ไม่พักหายใจ ยกสองมือ ขอให้พวกมันสงบลง ครั้นเห็นทั้งสองคนเงียบลงก็พรูลมหายใจอย่างโล่งอก ตามจริงวันนี้เขาไม่มีนัดกับใครทั้งนั้น แต่เห็นท่าไม่ดีจึงต้องปั้นเรื่องโกหกให้พวกมันเชื่อไว้ก่อน เกรงว่าหากไม่ทำแบบนี้จะเกิดการขว้างหมัดใส่กันได้ ถึงพวกเขาจะไม่เคยผิดใจกันจนต้องใช้กำลัง หากไม่เห็นแววตาแข็งกร้าวของไอ้คราม
จะมาทะเลาะเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“ตามใจมึงแล้วกันเต้”
ว่านยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ทำทีเป็นเก็บของใส่กระเป๋าก่อนลุกขึ้นยืน เหลือบมองเสี้ยวหน้าของคนข้างกายที่ดูเรียบเฉยจนผิดปกติ
ว่านรู้ …เพื่อนสนิทกำลังโกรธ
“ครามมึงอย่าเคืองกูดิ กูแค่หยอกมึงเล่นเอง ทีมึงยังชอบแกล้งกูเลย ถือว่าเราเจ๊ากัน”
ว่านเฉลยในสิ่งที่ตนทำลงไปพร้อมตบบ่ากว้างเบาๆ ครามมองตาขวาง
ไม่อยู่รอให้ถูกด่า ว่านรีบชิ่งขอตัวกลับก่อน
“เจอกันพรุ่งนี้ ส่วนพวกมึงสองตัวก็ขึ้นเรียนได้แล้วไป”
เพราะเลือกลงเรียนในด้านที่แต่ละคนถนัด เลยได้เรียนไม่ตรงกันบางวิชา ภีมกับเต้เลือกลงเรียนคลาสเดียวกัน ส่วนว่านกับครามเลือกลงคลาสเดียวกัน
ที่ว่านยังไม่ยอมกลับตั้งแต่เรียนเสร็จ เพราะคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าใครบางคนต้องมาอยู่รอรับเด็กมันกลับพร้อมกัน นับเป็นเรื่องดีที่มีโอกาสได้พูดในสิ่งที่อยากพูดมาตลอด
“อะ..เออๆ ขับรถดีๆ นะเว้ย ครามมึงรอน้องบุญใช่ป่ะ งั้นกูกับไอ้ภีมไปเรียนก่อนนะ”
เต้สะกิดภีมให้ลุกขึ้น ซึ่งภีมก็รับรู้จากการสัมผัสได้ถึงกระแสความหงุดหงิดที่ล้อมรอบ ลนลานเก็บข้าวของบนโต๊ะ ทำทีเป็นดูนาฬิกาก่อนโบกมือลา ที่ลุกลี้ลุกลนเพราะเกรงว่าหากอยู่นานกว่านี้มีความเสี่ยงสูงที่พวกเขาจะถูกด่าแทนไอ้ว่าน
เจ้าของดวงตาสีอ่อนหงายมือรองรับใบไม้ที่ร่วงหล่นมาทับบนฝ่ามือได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ก่อนปลิวไหวเคล้าคลอไปพร้อมสายลมที่พัดวูบเข้ามา ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวขจี มีต้นไม้ใหญ่ยืนต้นคอยเป็นร่มเงาช่วยบดบังแสงแดดลดความอบอ้าว..แม้จะไม่มากก็ตาม
ร่างโปร่งเอาสมุดที่พกติดกระเป๋ามาใช้แทนพัดชั่วคราว สะบัดพัดแรงๆ ให้ลมตีเข้าหน้าหวังคลายร้อน
เสียงฝีเท้าถี่ที่กระทบลงกับพื้นกระเบื้องจนเกิดเสียงดังก้องตามทางเดิน ก่อนค่อยๆ เงียบลงเมื่อใครคนนั้นหยุดเดิน
ทัศนียภาพจากพื้นหญ้าแปรเปลี่ยนเป็นผ้าใบคอนเวิร์สเข้ามาในม่านสายตาแทน บุญแหงนมองเงาสูงที่ยืนค้ำหัวอยู่ตรงหน้า ใบหน้าหล่อเข้มยักคิ้วเป็นเชิงทัก พลางยื่นกระป๋องน้ำโค้กที่เปิดแล้วพร้อมมีหลอดมาให้เสร็จสรรพ
“ขอบใจ กูนึกว่ามึงกลับไปแล้ว”
เขาวางสมุดไว้ข้างตัว รับเครื่องดื่มมาถือไว้ ก่อนดูดเข้าปากอึกๆ เพิ่มความสดชื่นในร่างกาย เขาไม่ได้ฝากให้ไอ้ซันซื้อมา แต่มันคงรู้ใจเขาแหละถึงได้แวะซื้อให้ สำหรับคนที่ติดน้ำอัดลมจนแทบจะดื่มแทนน้ำเปล่าไปแล้ว มันขาดไม่ได้ ต้องซื้อทุกวัน อย่างน้อยวันละขวดให้หายอยากก็ยังดี
“กูอยากเจอมึงก่อน”
“มีอะไร”
“มึงได้เขียนครบสามข้อป่ะ”
ซันยกเรื่องควิซเก็บคะแนนขึ้นมาคุย มือก็คอยเช็ดคราบเหงื่อที่ไหลเลอะกรอบหน้า แอบแย่งสมุดที่เพื่อนตัวเล็กวางไว้บนเก้าอี้หินอ่อนมายืมพัด
ปากอยากถามคนตรงหน้าเหลือเกินว่าเจ้าตัวมีเชื่อสายผสมแมวทะเลทรายหรอ ถึงได้ชอบบรรยากาศช่วงฤดูร้อนนัก ข้างในอาคารมีทั้งพัดลม ทั้งแอร์เสือกไม่เอา กลับชอบปลีกวิเวกแอบมานั่งแหมะอยู่ตรงสวนหย่อมตามลำพัง ด้านหลังตึกจะเป็นสวยหย่อมเล็กๆ ที่ค่อนข้างเงียบเหงา มีถนนเส้นเล็กที่รถขับผ่านได้ แต่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่านนัก เนื่องด้วยพื้นที่รอบๆ มันไม่มีอะไรน่าดึงดูด ไม่มีที่สำหรับจอดรถ ไม่มีพวกร้านรถเข็นมาตั้งขาย ร้านค้าเล็กๆ ก็ยังไม่มี จะมีก็แต่โต๊ะไม้สีแดงเก่าๆ ที่ดูผุพังไร้การซ่อมแซมกับเก้าอี้ทรงกลมที่เหลือแค่ตัวเดียว ราวกับว่ามีไว้สำหรับให้เพื่อนเขาใช้คนเดียว ตอนเขาออกมาจากห้องเรียนแล้วไม่เจอมัน ไม่ต้องเสียเวลาโทรหาด้วยซ้ำ ก็รู้ทันทีว่ามันต้องมาหลบอยู่ที่นี่
“ก็ต้องทุกข้อดิ”
“มึงจำได้หมดหรอวะ มึงอ่านแค่ห้านาทีเองนะเว้ย”
“กูอ่านตั้งแต่วันที่อาจารย์ส่งไฟล์มาในกลุ่มแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาอ่านเอาสามสิบนาทีสุดท้ายก่อนสอบแบบมึงนะซัน”
บุญว่านิ่งๆ นัยน์ตาเอียงไปยังถังขยะ กะระยะอยู่แป๊บนึง จากนั้นถึงโยนกระป๋องโค้กที่ข้างในไม่มีน้ำแล้วลงไปในถังขยะสีดำได้แบบแม่นยำ
“ไม่ต้องแขวะกูก็ได้มั้ง”
ร่างสูงกว่าตีหน้าเบื่อโลก จงใจถอนหายใจเสียงดังให้คนข้างตัวได้ยินชัดๆ แต่อีกคนแกล้งทำเมิน ทำทีเป็นเก็บของใส่กระเป๋าช้าๆ ก่อนรีบฉวยสมุดของตัวเองกลับคืนแล้วยัดเก็บใส่กระเป๋า สองเท้ากำลังจะก้าวหนี แต่ดันถูกมือใหญ่จับยึดไว้ก่อน
“มึงแม่ง..กูยังคุยไม่จบไอ้ห่า
“มึงก็รีบพูดมาสิ จะยืนบื้ออยู่ทำไม”
“เอาเถอะ กูจะพยามไม่หมั่นไส้มึงละกัน”
“กูก็เหม็นขี้หน้ามึงเหมือนกันซัน”
ซันไหวไหล่ ไม่แคร์คำเหน็บแหนมที่ได้ยิน เขาหรี่ตามองหน้าเพื่อนอย่างจับผิด