.......
......
.....
....
...
..
.
กิ๊งงงงงงงงงงงงง---------- เสียงกริ่งโทรศัพท์บ้านแผดเสียงดังลั่น
ตึง ตึง ตึง ตึง--------คนฝีเท้าวิ่งลงส้นดังมาจากชั้นบนของบ้านไม้เก่าๆ หลังหนึ่ง
“มึงจะพังบ้านกูรึไง ไอ้ลูกเวร เดินเบาๆ ซี่วะ!” เสียงเจริญพรจากผู้เป็นพ่อตะโกนแข่งกับเสียงของโทรศัพท์บ้าน
“เอ๊ย แม่ เดี๋ยวผมรับเอง”
คนที่วิ่งลงมาจากบันไดร้องบอกแม่ของตัวเองซึ่งกำลังจะยกหูของโทรศัพท์ขึ้นมา แต่แม่หาได้สนใจไม่ แม่ยื่นมือไปยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกรอกเสียงหวาน “สวัสดีจ้า บ้านตาเหวงจ้า จะพูดสายกับใครจ๊ะ?”
แม่ยืมยิ้มกับโทรศัพท์สักครู่ ก็บอกปลายสายว่า “รอแป๊บนึงนะ เดินลงมาพอดีเลย” พูดจบก็หันหลังมาส่งยิ้มให้ลูกชาย พร้อมยื่นหูโทรศัพท์มาให้
ลูกชายเดินตรงไปรับมันมาไว้ในมือ เขารอจนแม่เดินห่างไปไกลแล้วจึงพูดกับปลายสายด้วยเสียงเบาๆ แบบให้พอได้ยินกันสองคน “เออ มาแหละ”
“ไมไม่รอรับอ่ะ ไมแม่รับสายอ่ะ” ปลายสายทำเสียงอ้อแอ้
“ขึ้นไปจัดกระเป๋าแป๊บเดียวเอง ไม่คิดว่าวันนี้มึงจะโทรมาเร็วนี่หว่า แล้วทำไมมึงโทรมาเร็ววะ?” พูดพลางลากเก้ามานั่งคุย เพราะกับสายนี้ มันนานพอประมาณ
“ก็...........คิดถึงอ่า.........” แล้วเสียงจากปลายสายก็หยุดไป
คนพูดเอามือม้วนสายโทรศัพท์ที่เป็นเกลียวของมันอยู่ให้ ให้พันยุ่งยิ่งไปกว่าเดิม “........................พรุ่งนี้มีเรียนเลขก่อนเที่ยง คงลงไปกินข้าวช้านะมึง”
อายมาก ไม่รู้จะพูดอะไร เลยพูดเรื่องพรุ่งนี้ซะเลย
คนที่โทรเข้ามา....ปกติจะนั่งรถประจำทางไป-กลับโรงเรียน โชคดีที่ซอยทางเข้าบ้านตัวเอง เป็นทางหลวงใหญ่ที่มีรถผ่านเยอะ แต่มันก็ยังจำกัดเวลา รถจะวิ่งตามตารางแค่ช่วง 6 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็นเท่านั้น และเนื่องจากบ้านเขาเป็นแค่ทางผ่าน สายแรกที่เข้าเมืองจึงมาถึงหน้าซอยบ้านเขาเอาเวลาราว 7 โมงกว่าๆ หากเขาพลาดสายนี้ไปแล้วต้องขึ้นสายอื่น อาจเสี่ยงที่จะเข้าโรงเรียนสายได้
ส่วนขากลับนั้น ไม่ต้องห่วง เขาขึ้นต้นสาย รถเที่ยวสุดท้ายออก 6 โมงครึ่ง ไปถึงซอยหน้าบ้านเขาราวๆ 1 ทุ่มได้ ปกติเลิกซ้อยบอล 4 โมงครึ่ง เขาจะขึ้นรถเที่ยว 5 โมงครึ่ง แต่วันไหนที่หิวข้าวจัดๆ เขาถึงจะขึ้นรถเที่ยว 6 โมงครึ่งแทน อย่างที่บอกนี่คือต่างจังหวัด รถจะวิ่งแค่ชั่วโมงละคัน ซึ่งเขายังถือว่าโชคดีเพราะเรียนในตัวอำเภอเมือง และบ้านอยู่รอบนอกของอำเภอเมือง การเดินทางจึงเรียกว่า “สะดวก” กว่านักเรียนคนอื่น
คนที่รับสาย.....รายนั้นเค้ามีมอเตอไซด์คู่กาย เพราะบ้านของพี่แกอยู่ในดง ลึกมาก จะให้พ่อแม่ขี่มาส่งที่ปากทางซึ่งสามารถรอขึ้นรถประจำทางได้ก็ลำบาก เมื่อโตพ่อแม่จึงเลยปล่อยให้ขี่มอไซด์ไป-กลับเอง แต่ก็ยังมีข้อแม้ว่าห้ามกลับดึก ให้ถึงบ้านก่อนหนึ่งทุ่มเท่านั้น และหากเลิกเรียนแล้วไม่กลับไปกินข้าวที่บ้านให้โทรมาบอกก่อน (จุดนี้เหมือนกันกับบ้านของเขา) ปกติรายนั้นขี่มอไซด์ไปเรียนใช้เวลา 40 นาทีบ้าง 50 นาทีบ้าง แต่เห็นบอกว่าเคยตื่นสายแล้วบิดไปโรงเรียนใช้เวลาแค่ 25 นาที อันนี้ค่อนข้างน่ากลัว ได้ยินแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะท้วงให้ระวัง
แล้วนี่เองจึงเป็นที่มาของการไป-กลับโรงเรียนด้วยกัน
เราตกลงกันใหม่ ให้ตอนเช้าอีกคนขี่มารับเขาที่หน้าซอย แล้วไปโรงเรียนพร้อมกัน ส่วนขากลับต่างก็มีกิจกรรมชมรมอยู่แล้ว ซ้อมเสร็จไล่เลี่ยกัน
“อื้อ....ไม่เป็นไร จะรอละกัน จะกินไรล่ะ จะได้ซื้อไว้ให้” ปลายสายบอกกับเขา
“อืม.....ข้าวมันไก่ เอาสองจานนะ เอาน้ำเก๊กฮวยด้วย ถ้าวันพรุ่งนี้มีสอดไส้ขายเอาด้วย 5 อัน”
“ถ้าไม่มีเอาไรล่ะ หนมอื่นเอามั้ย?”
“อืม....ไม่อ่ะ อยากกินแต่สอดไส้”
“อื้อ เดี๋ยวดูให้ แล้วการบ้านทำเสร็จหมดยัง?”
“ยังว่ะ มีหลายข้อแม่งไม่เข้าใจ ไว้ไปลอกเพื่อนตอนเช้าเอา มึงจะออกกี่โมงอ่ะ พรุ่งนี้ไปเช้าหน่อยดิ กูจะไปรอลอกการบ้าน ต้องส่งก่อนเข้าแถวด้วย”
“เอาสิ เจอกัน 7 โมงมั้ย?”
“เอา 6 โมงละกัน”
“เช้าแบบนั้นกูยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยนะ แม่ยังไปตลาดอยู่เลย”
“เออ ไว้หากินข้างนอกก่อนเข้าโรงเรียนก็ได้ มึงสะดวกมั้ยล่ะ?”
“เอ้อ......ก็ได้ ถ้ามึงจะออกจากบ้านก็โทรมาละกัน”
“ได้..............”
แล้วบทสนทนาก็หยุดไป แต่ไม่มีใครบอกลาหรือวางสาย
ก็ต่างยังอยากคุยกันอยู่ แต่ไม่รู้จะคุยอะไรกัน ------------ฮา
แต่อย่าว่าไป อันนี้น่ะ พวกเราคุยกันเยอะมากกว่าตอนแรกๆ แล้วนะ เราเตรียมความเป็นแฟนกันในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา มันเป็นอะไรที่....
.......
......
.....
....
...
..
.