เรื่องสั้น [อย่าเงียบสิวะ!] จบในตัว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องสั้น [อย่าเงียบสิวะ!] จบในตัว  (อ่าน 109446 ครั้ง)

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
อ่านแลิวนึกถึงผู้ชายแมนๆสองคนจีบกันเลย ชอบอารมณ์เรื่องนี้มาก

สโลแกนเข้าพรรษายิ่งโดนเข้าไปอีก ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆจ๊ะ

ออฟไลน์ maiouar

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เป็นเรื่องสั้นที่น่ารักมากค่ะ อ่านแล้วหัวใจพองฟู

ออฟไลน์ nn~~NN

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +295/-1
น่ารักเป็นบ้าเลยค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ loveooo

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
น่ารักอ่าาาาา  แต่ว่าสั้นไปนะ  ไม่จุใจเลย อยากอ่านตอนพิเศษอ่า  นะคะๆ   

 :impress2:

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
น่ารักจุงเลย
อ่านแล้วมีความสุข :m1:

Supermimt

  • บุคคลทั่วไป
โคตร ของ โคตร น่ารักเลยค่ะ

ลลุ้นไม่ให้มีเอวังนะเนี่ย

น่ารักเกิ๊นนน

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1

โอ๊ย น่ารักมากอ่ะ
ได้ใจสุดๆ ค่า
 :o8: :กอด1:



chaaom

  • บุคคลทั่วไป
อ่านจบแล้วยิ้มไม่หุบเลยค่ะ
น่ารักมากๆ ชอบจังเรื่องใสๆแบบนี้ :L2: :L2:

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

ออฟไลน์ witchhound

  • เบื่อ เบื่ออ เบื่อออ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
น่ารักกกก :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
น่ารักสุดฤทธิ์ ชอบๆๆๆ

ออฟไลน์ snoopy

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
 น่ารักดี. เป็นความรู้สึกรักแบบสดใสอ่ะ.  :o8:

sasaijk

  • บุคคลทั่วไป
มัน และ เขา ทำคนม่ะเกี่ยวข้องตรงนี้ ตายหน้าจอคอมไปล่ะ......  :m3: :m3:

ขอบคุณมากค่ะ น่ารักน่าโอกมากเลย.... o13 o13

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
น่ารักอ่ะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
น่าร๊าก ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมานิยาม
เธอสองคนเขิน แต่ฉันเขินกว่า ฮี่ฮี่

ออฟไลน์ moredee

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-8
มาพยักหน้า"เบาเบา"

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
วุ้ย น่ารักดีอะ

ฮาเดส

  • บุคคลทั่วไป
โอ๊ยยย น่ารักเกินไปมั้ยยยย

ออฟไลน์ Kaame

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
น่ารักอะ  > <

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2

[แค่นี้ได้มั้ย?]




อืม.... มีใครเกิดทันยุคที่ไม่มีมือถือ ไม่มีคอมพิวเตอร์บ้างไหม?

ยุคนั้น ถึงไม่มีหลายๆ สิ่งที่อำนวยความสะดวกแต่มันก็ไม่ได้ลำบากอะไรนะ ชีวิตมันก็ใช้กันไปได้

การสื่อสารสมัยนั้นหากเปรียบเทียบกับสมัยนี้ คาดว่าเด็กรุ่นใหม่คงใช้ชีวิตกันแทบไม่เป็น...หากหลงไปอยู่ในจุดที่ว่ามานี้

แต่สำหรับคนในรุ่นนั้นการสื่อสารกันมันก็ไม่ยุ่งยากเท่าที่คิดนะ เพราะเรายังมีโทรศัพท์บ้านกับโทรศัพท์ตู้สาธารณะให้ใช้ (อ๊ะ แบบหยอดเหรียญอย่างเดียวนะ หุหุหุ) มีไปรษณีย์ มีระบบการคมนาคม รถเมล์ รถไฟ รถตุ๊กๆ สามล้อปั่น ไรอีก อ้อ รถอีแต๋น  :laugh:

อืม....รถบัส รถเมล์ ไม่มีแอร์หรอก มีแต่แอร์ธรรมชาติ รถส่วนตัวก็มีกันบ้างไม่หนาตาแบบสมัยนี้ แต่รถยอดนิยมของวัยรุ่นในยุคไหนๆ ก็ตามมันหนีไม่พ้นมอเตอไซด์ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะมี....

แล้วที่พูดพร่ำมาเนี่ยเพื่ออะไร?

ก็ไม่ใช่อะไรมากมาย ก็แค่อยากจะบอกว่า ยุคที่จะเล่าต่อไปนี้มันคือช่วงเวลานั้น

เด็กๆ นึกภาพกันออกไหมเอ่ย.... หากเีรามีแฟนในยุคที่ว่าแล้วมันจะติดต่อกันยังไง?

เดินทางไปเที่ยวกันยังไงล่ะ รถประจำทางมีแค่สองชั่วโมงหนึ่งคัน แถมขับแบบหวานเย็นสุดๆ

นึกแล้วมันขำ พอมาถึงยุคนี้ปี 2012 มันขำๆ ฮาๆ น่าเอ็นดูคนในยุคนั้นจริงๆ

อะ เล่าให้ฟังเล่นๆ ละกัน ไม่มีสาระอะไร ลองฟังกันดูนะ

ชอบก็บอก ไม่ชอบก็บอก :กอด1:

.......

......

.....

....

...

..

.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-02-2013 17:30:49 โดย BaoBao »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2


.......

......

.....

....

...

..

.

กิ๊งงงงงงงงงงงงง---------- เสียงกริ่งโทรศัพท์บ้านแผดเสียงดังลั่น

ตึง ตึง ตึง ตึง--------คนฝีเท้าวิ่งลงส้นดังมาจากชั้นบนของบ้านไม้เก่าๆ หลังหนึ่ง

“มึงจะพังบ้านกูรึไง ไอ้ลูกเวร เดินเบาๆ ซี่วะ!” เสียงเจริญพรจากผู้เป็นพ่อตะโกนแข่งกับเสียงของโทรศัพท์บ้าน

“เอ๊ย แม่ เดี๋ยวผมรับเอง”

คนที่วิ่งลงมาจากบันไดร้องบอกแม่ของตัวเองซึ่งกำลังจะยกหูของโทรศัพท์ขึ้นมา แต่แม่หาได้สนใจไม่ แม่ยื่นมือไปยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกรอกเสียงหวาน “สวัสดีจ้า บ้านตาเหวงจ้า จะพูดสายกับใครจ๊ะ?”

แม่ยืมยิ้มกับโทรศัพท์สักครู่ ก็บอกปลายสายว่า “รอแป๊บนึงนะ เดินลงมาพอดีเลย” พูดจบก็หันหลังมาส่งยิ้มให้ลูกชาย พร้อมยื่นหูโทรศัพท์มาให้

ลูกชายเดินตรงไปรับมันมาไว้ในมือ เขารอจนแม่เดินห่างไปไกลแล้วจึงพูดกับปลายสายด้วยเสียงเบาๆ แบบให้พอได้ยินกันสองคน “เออ มาแหละ”

“ไมไม่รอรับอ่ะ ไมแม่รับสายอ่ะ” ปลายสายทำเสียงอ้อแอ้

“ขึ้นไปจัดกระเป๋าแป๊บเดียวเอง ไม่คิดว่าวันนี้มึงจะโทรมาเร็วนี่หว่า แล้วทำไมมึงโทรมาเร็ววะ?” พูดพลางลากเก้ามานั่งคุย เพราะกับสายนี้ มันนานพอประมาณ

“ก็...........คิดถึงอ่า.........” แล้วเสียงจากปลายสายก็หยุดไป

คนพูดเอามือม้วนสายโทรศัพท์ที่เป็นเกลียวของมันอยู่ให้ ให้พันยุ่งยิ่งไปกว่าเดิม “........................พรุ่งนี้มีเรียนเลขก่อนเที่ยง คงลงไปกินข้าวช้านะมึง”

อายมาก ไม่รู้จะพูดอะไร เลยพูดเรื่องพรุ่งนี้ซะเลย

คนที่โทรเข้ามา....ปกติจะนั่งรถประจำทางไป-กลับโรงเรียน โชคดีที่ซอยทางเข้าบ้านตัวเอง เป็นทางหลวงใหญ่ที่มีรถผ่านเยอะ แต่มันก็ยังจำกัดเวลา รถจะวิ่งตามตารางแค่ช่วง 6 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็นเท่านั้น และเนื่องจากบ้านเขาเป็นแค่ทางผ่าน สายแรกที่เข้าเมืองจึงมาถึงหน้าซอยบ้านเขาเอาเวลาราว 7 โมงกว่าๆ หากเขาพลาดสายนี้ไปแล้วต้องขึ้นสายอื่น อาจเสี่ยงที่จะเข้าโรงเรียนสายได้

ส่วนขากลับนั้น ไม่ต้องห่วง เขาขึ้นต้นสาย รถเที่ยวสุดท้ายออก 6 โมงครึ่ง ไปถึงซอยหน้าบ้านเขาราวๆ 1 ทุ่มได้ ปกติเลิกซ้อยบอล 4 โมงครึ่ง เขาจะขึ้นรถเที่ยว 5 โมงครึ่ง แต่วันไหนที่หิวข้าวจัดๆ เขาถึงจะขึ้นรถเที่ยว 6 โมงครึ่งแทน อย่างที่บอกนี่คือต่างจังหวัด รถจะวิ่งแค่ชั่วโมงละคัน ซึ่งเขายังถือว่าโชคดีเพราะเรียนในตัวอำเภอเมือง และบ้านอยู่รอบนอกของอำเภอเมือง การเดินทางจึงเรียกว่า “สะดวก” กว่านักเรียนคนอื่น

คนที่รับสาย.....รายนั้นเค้ามีมอเตอไซด์คู่กาย เพราะบ้านของพี่แกอยู่ในดง ลึกมาก จะให้พ่อแม่ขี่มาส่งที่ปากทางซึ่งสามารถรอขึ้นรถประจำทางได้ก็ลำบาก เมื่อโตพ่อแม่จึงเลยปล่อยให้ขี่มอไซด์ไป-กลับเอง แต่ก็ยังมีข้อแม้ว่าห้ามกลับดึก ให้ถึงบ้านก่อนหนึ่งทุ่มเท่านั้น และหากเลิกเรียนแล้วไม่กลับไปกินข้าวที่บ้านให้โทรมาบอกก่อน (จุดนี้เหมือนกันกับบ้านของเขา) ปกติรายนั้นขี่มอไซด์ไปเรียนใช้เวลา 40 นาทีบ้าง 50 นาทีบ้าง แต่เห็นบอกว่าเคยตื่นสายแล้วบิดไปโรงเรียนใช้เวลาแค่ 25 นาที อันนี้ค่อนข้างน่ากลัว ได้ยินแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะท้วงให้ระวัง

แล้วนี่เองจึงเป็นที่มาของการไป-กลับโรงเรียนด้วยกัน

เราตกลงกันใหม่ ให้ตอนเช้าอีกคนขี่มารับเขาที่หน้าซอย แล้วไปโรงเรียนพร้อมกัน ส่วนขากลับต่างก็มีกิจกรรมชมรมอยู่แล้ว ซ้อมเสร็จไล่เลี่ยกัน

“อื้อ....ไม่เป็นไร จะรอละกัน จะกินไรล่ะ จะได้ซื้อไว้ให้” ปลายสายบอกกับเขา

“อืม.....ข้าวมันไก่ เอาสองจานนะ เอาน้ำเก๊กฮวยด้วย ถ้าวันพรุ่งนี้มีสอดไส้ขายเอาด้วย 5 อัน”

“ถ้าไม่มีเอาไรล่ะ หนมอื่นเอามั้ย?”

“อืม....ไม่อ่ะ อยากกินแต่สอดไส้”

“อื้อ เดี๋ยวดูให้ แล้วการบ้านทำเสร็จหมดยัง?”

“ยังว่ะ มีหลายข้อแม่งไม่เข้าใจ ไว้ไปลอกเพื่อนตอนเช้าเอา มึงจะออกกี่โมงอ่ะ พรุ่งนี้ไปเช้าหน่อยดิ กูจะไปรอลอกการบ้าน ต้องส่งก่อนเข้าแถวด้วย”

“เอาสิ เจอกัน 7 โมงมั้ย?”

“เอา 6 โมงละกัน”

“เช้าแบบนั้นกูยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยนะ แม่ยังไปตลาดอยู่เลย”

“เออ ไว้หากินข้างนอกก่อนเข้าโรงเรียนก็ได้ มึงสะดวกมั้ยล่ะ?”

“เอ้อ......ก็ได้ ถ้ามึงจะออกจากบ้านก็โทรมาละกัน”

“ได้..............”

แล้วบทสนทนาก็หยุดไป แต่ไม่มีใครบอกลาหรือวางสาย

ก็ต่างยังอยากคุยกันอยู่ แต่ไม่รู้จะคุยอะไรกัน ------------ฮา

แต่อย่าว่าไป อันนี้น่ะ พวกเราคุยกันเยอะมากกว่าตอนแรกๆ แล้วนะ เราเตรียมความเป็นแฟนกันในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา มันเป็นอะไรที่....

.......

......

.....

....

...

..

.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2012 22:23:52 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2


.......

......

.....

....

...

..

.

ก่อนนี้ เป็นแค่เพื่อนของเพื่อน เป็นแค่คนรู้จัก คุยกันน้อยมาก แล้วโทรศัพท์เนี่ยก็ไม่เคยโทรหากันเลย เพิ่งจะโทรหากันก็เมื่อเย็นของวันที่เริ่ม “คบกัน”

วันนั้น....หลังจากที่เขาสารภาพรักกับคนคนนี้ อีกฝ่ายก็ขี่มอไซด์มาส่งเขาที่หน้าปากซอยทางเข้าบ้าน เขาไม่ได้ให้เข้าไปส่งถึงหน้าบ้านเพราะมันค่อนข้างเย็นมากแล้ว เป็นห่วงคนที่ขี่มอไซด์ อยากให้เขาถึงบ้านเร็วๆ เพราะบ้านของอีกฝ่ายต้องขี่มอไซด์กลับไปทางเดิม (ย้อนทางกลับไปจากที่มาส่งเขา) ตอนค่ำมืดทางเส้นนั้นไม่มีเสาไฟส่องแสงให้ความสะดวกกับผู้ขับขี่ มันค่อนข้างอันตราย ง่ายต่อการเกิดอุบัติเหตุ

ทีแรกอีกฝ่ายก็ไม่ยอมนะ... แต่เขายืนกรานว่าห่วงจริงๆ เราก็จบกันด้วยต่างคนต่างแลกเบอร์บ้าน เขาบอกให้อีกฝ่ายโทรมาเมื่อขับรถถึงบ้านแล้ว เมื่ออีกฝ่ายรับปากเราก็แยกกัน

เขาเดินเข้าบ้านใช้เวลา 10 นาที ไม่ทำอะไรต่อนั่งจ้องอยู่หน้าโทรศัพท์ ผ่านไปสัก 20 นาที เสียงกริ่งของโทรศัพท์ดังขึ้น อีกฝ่ายโทรมาบอกว่าถึงบ้านแล้ว เขาก็ว่าดีแล้ว แล้วอีกฝ่ายก็ว่าแค่นี้นะ จากนั้นก็วางสายไป เขาหายห่วงแล้วจึงค่อยเดินไปอาบน้ำและกินข้าวเย็น

เช้าวันต่อมา ชีวิตประจำวันของเขากับอีกฝ่ายก็เริ่มเปลี่ยนไป

ปิดเทอมนี้ เป็นช่วงที่ขยับฐานะมาเป็นแฟนกัน เรียกได้ว่า “ไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว”

ก็ผู้ชายกับผู้ชายมันต้องเป็นแฟนกันยังไงล่ะ?

ทำแบบตอนคบกับผู้หญิงได้มั้ย?

ไปหาที่บ้านได้มั้ย?

โทรหาได้มั้ย?

เรื่องแค่นี้ก็เหมือนคิดไม่ออก สุดท้าย....ปิดเทอมมาได้แค่วันเดียวเขาเองล่ะที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหว ต้องโทรหาไปอีกฝ่ายก่อนในช่วงเย็นของวันนั้น

อีกฝ่ายถามว่า มีไร

เออ เขาก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน

เขาเงียบอึ้งอยู่นาน พออีกฝ่ายย้ำด้วยน้ำเสียงโมโหปนรำคาญว่า......มีไร ถึงได้โทรมาเนี่ย เขาก็เผลอบอกไปตามที่ใจตัวเองคิด.... “คิดถึง”

ฮามาก เพราะหลังจากพูดคำนั้นไป เขาก็เขินอยู่หน้าโทรศัพท์ ไม่รู้ว่ามันนานแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครวางสายนะ เขายืนบิดเป็นคนบ้า ยังไม่ทันได้พูดอะไรกันเลยสักคำ แม่ก็เรียกเขาไปกินข้าวเย็น ก็เลยต้องลา

“เอ่อ... แม่เรียกไปกินข้าวแล้วอ่ะ” น้ำเสียงอ่อยมาก ยังไม่อยากวางสายเลย

“อื้อ....”

“เอ่อ... เดี๋ยวโทรไปอีกได้ป๊ะ?”

“อื้อ....”

“แล้ว....ให้โทรกี่โมงดี ที่บ้านมึ....นายกินข้าวเย็นกันกี่โมงล่ะ?”

“เหี้ย.... นายเนยอะไร มึงก็เรียกเหมือนเดิมดิ๊” เสียงเริ่มมีจิตวิญญาณมากขึ้น

“อ้าว เอ่อ เหรอ... ไม่ดีมั๊ง”

“ไม่ดีไงวะ?”

“ก็เป็นแฟนกัน เรียกมึงกู มันไม่สุภาพ”

“ไอ้เอี๊ยยยยย....”

ด่าเข้าไป...กูรู้น่าว่ามึงเขิน------- “ฮ่าฮ่าฮ่า..... โอเคๆ มึงก็มึง ก็กลัวมึงจะว่าว่ากูไม่สุภาพกับแฟน เลยนายไว้ก่อน”

“เชี่ย! ทุ่มกว่าๆ ค่อยโทรมาละกัน แต่ให้กูโทรไปก็ได้นะ” น้ำเสียงเริ่มฟังดูเป็นปกติ

“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวกูโทรเอง”

“แล้วแต่มึง ไปกินข้าวเหอะไป๊ เดี๋ยวพ่อแม่มึงจะรอ”

“ครับ”

“เชี่ย! มึงจะครับทำไม”

“อ๊าว แค่ครับไม่ได้รึไง แปลกตรงไหนวะ?”

“ไม่ได้แปลก แต่กู........ทำใจไม่ได้ว่ะ ขนลุก เชี่ย มึงไม่ต้องสุภาพกับกูเลย เอาธรรมดา แบบปกติน่ะเป็นมั้ย?”

“อื้อๆ จะพยายามนะ .....แต่ยากอ่ะ”

“ยากตรงไหน ก็แค่ทำเหมือนเดิม”

“แต่เราไม่เหมือนเดิมกันแล้วนี่นา เราเป็นแฟนกันแล้วไม่ใช่เหรอ”

“มึงจะย้ำทำไมบ่อยนักวะ เชี่ยนี่!”

“นี่!”

“ไร?”

“เราเป็นแฟนกันใช่ป๊ะ?”

“เหี้ยนี่ มึงจะมางงอะไรตอนนี้วะ!”

“ก็มันไม่แน่ใจอ่ะ”

“อื้อ...”

“อื้อไร? มึงรำคาญกูเหรอ?”

“เปล่า กูตอบคำถามมึง.... มึงนี่! แม่ง.....”

“อ้าว.... เหรอ.... ฮ่าฮ่าฮ่า! ไม่รู้นี่นา ก็เสียงมึงเหมือนรำคาญ แล้วตกลงมึงรำคาญกูป๊ะ โทรไปคุยด้วยได้ป๊ะ หากรำคาญบอกกูได้นะ”

“เปล่า..................ไม่ได้รำคาญ...............” น้ำเสียงเริ่มเบาลง ไม่กระแทกกระทั้นเต็มเสียงเหมือนเดิม

“ก็เสียงมันเหมือนรำคาญจริงๆ นะ”

“..............................พอๆ ไม่คุยแล้ว มึงไปกินข้าวเลยไป๊ พูดอยู่ได้” เงียบไปนานแล้วเสียงก็กลับห้วนแบบปกติ

“นี่...”

“ไรอีก...” อันนี้น้ำเสียงรำคาญของจริง

“คิดถึงนะ”

“...อื้อ...” ตอบรับในลำคอเบาๆ

“รักนะ”

“....อื้อ....” ตอบรับในลำคอเบาๆ เหมือนเดิม

“เดี๋ยวโทรหาต้องรับนะ”

“อื้อ!” ตอบรับในลำคอแบบหนักแน่นขึ้น คงเริ่มรำคาญอีกแหละ

“ไม่รำคาญแน่นะ”

“อื้อ!”

“มึงก็คิดถึงกูเหมือนกันใช่ป๊ะ”

“อื้อ..........เอ๊ย มึงถามไรนะ? เอ๊ย! ไม่......เชี่ย ถามอะไรของมึงเนี่ย!”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า........”

“แค่นี้นะ!”

แล้วฝ่ายนั้นก็วางสายไปเลย

วันนั้นเขารีบกินข้าว รีบล้างจาน เสร็จก็มานั่งหน้าโทรศัพท์....รอเวลาทุ่มครึ่ง....

ถึงเวลาโทรไป....ได้คุยกันแค่แป๊บเดียว แต่เท่านั้นก็พอแหละ....สำหรับเขา....ส่วนอีกฝ่ายพอมั้ย เขาไม่รู้....

.......

......

.....

....

...

..

.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2012 22:29:23 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
คุยกันน้อยมากกกก 555

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
555 น่ารักเกินไปแล้ว

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2


.......

......

.....

....

...

..

.

ช่วงปิดเทอม คุยกันไม่ค่อยบ่อย แต่อย่างน้อยต้องวันละครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นการ “โทรเงียบ” ---------- ฮา

เข้าใจมั้ย “โทรเงียบ” ......วันไหนที่ว่าโทรนานๆ ก็เงียบกันไปนี่แหละ ไม่ได้คุยไรกันมากหรอก มันเขินอ่ะ ไม่รู้ทำไม

คือหากคุยธรรมดา ถามนู่นนี่ ดินฟ้าอากาศ หมาแมว เราก็คุยกันได้ไปเรื่อยอ่ะนะ แต่หากเขาเผลอคุยในแบบ “แฟน” หนุงหนิงกันขึ้นมาทีไร มันมักชอบเงียบ แรกๆ คิดว่ามันไม่ชอบ แต่หลังๆ จับไต๋ได้ว่า มันเขิน------ฮา
 
จนสองอาทิตย์ผ่านไป คุยกันมากก็คิดถึงกันมาก ยิ่งคิดถึงแล้วยิ่งอยากเจอหน้า

แต่ตอนนั้นเป็นเด็กนักเรียน สมัยนั้นจะไปไหนมาไหนต้องขอพ่อแม่ แล้วต้องขอแบบมีเหตุผลนะ หากขอแบบไม่มีเหตุผลผู้ใหญ่จะหาว่าเราเกเรได้

ปกติตอนปิดเทอม นักเรียนในรุ่นเดียวกันจะอยู่ติดกับบ้าน ช่วยงานที่บ้าน หรือเล่นแถวๆ บ้านนั่นแหละ ไม่ได้ไปไกล เพราะรถรามันไม่สะดวกเหมือนทุกวันนี้ หากเพื่อนคนไหนอยู่บ้านไกลกันก็ไม่ได้เจอกันเลย จนเปิดเทอมนู่น

ฝ่ายนั้น....ถึงมีรถมอไซด์ก็ใช่ว่าจะสตาร์ทรถมาหากันได้ตามใจ เพราะหากไม่ใช่เปิดเทอม พ่อเค้าจะยึดกุญแจไว้ ไม่ให้ลูกเอาไปขี่เล่นตามใจชอบ....โอเคว่าบ้านอื่นๆ เค้าปล่อยลูกไปได้ตามใจชอบ ขอแต่ว่าต้องบอกกัน แต่พ่อของบ้านนี้ไม่ยอม อย่างว่าละนะ บ้านใครบ้านมัน ระเบียบต่างกัน...เท่าที่คุยโทรศัพท์กัน ฝ่ายนั้นต้องไปช่วยงานในสวนด้วย จึงไม่ค่อยมีเวลาไปเที่ยวเล่นเหมือนคนอื่น

เขา...ถึงแม้ไม่มีเถือกสวนไร่นา แต่แม่เปิดร้านขายของชำในซอย ก็แค่ร้านเล็กๆ แต่ก็มีคนเดินเข้าออกตลอดวันไม่ได้ขาด ปิดเทอมเขาต้องอยู่ช่วยแม่ที่ร้านนี้เสมอ ไม่ว่างไปเที่ยวเล่นด้วยเหมือนกัน

แต่อย่างที่รู้ ปีนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ปีนี้เขามี “แฟน” แล้ว และเขาก็คิดถึงแฟนมากด้วย

“.....ว่างวันไหนอ่ะ ขอเจอแป๊บเดียวก็ได้ นะ นะ”

“ไม่รู้ดิ๊ จะไปไงยังไม่รู้เลย ไม่มีมอไซด์มึงก็รู้”

“.....มึง....” ทำเสียงอ้อนหน่อยๆ

“ไร....” พูดเสียงยานคาง

“ไม่ไหวว่ะ อยากเห็นหน้ามึงว่ะ ก่อนนี้อยู่โรงเรียนกูต้องได้เห็นวันละครั้ง แต่นี่ไม่ได้เห็นหน้ามึงเลย...ไม่ไหวว่ะมึง”

“เชี่ยยยยยย------”

ให้พรกูอีกแหละ โอเค กูรู้ว่ามึงเขิน----- “ไม่ไหวแล้วนะ ขอไปที่บ้านนะ”

“แล้วมึงจะมายังไง ขี่มอไซด์ก็ไม่เป็น”

“ให้พ่อไปส่ง”

“ไอ้บ้า!”

“ไปเองก็ได้ เดี๋ยวลงรถที่หน้าปากทางบ้านมึง มึงมารับกูตรงนั้นได้ป๊ะล่ะ”

“........ ต้องขอพ่อก่อน ไม่รู้ดิ สองสามวันนี้มีเก็บส้มโอด้วย กลัวพ่อไม่ปล่อยกูอ่ะดิ”

“อือ.........” เซ็งมากจนเก็บน้ำเสียงไม่อยู่ นี่ถ้าหากเดินถึงนะ เขาจะเดินไปหาเช้าที เย็นทีเลย

“.....โกรธเปล่าวะ?”

“หื๊อ.... ไม่ได้โกรธ แต่ sad ว่ะ”

“ใช้ศัพท์สูงนะมึง....”

“........................”

แล้วเราต่างก็เข้าโหมด “โทรเงียบ” อีกครั้ง.... แล้วเราก็ไม่ได้ข้อสรุปอะไรกัน จนแม่เรียกให้ไปนอน เขาเลยจำใจต้องบอกลากับอีกฝ่าย

คืนนั้นเขานอนคิดๆ หัวแทบระเบิดว่าจะหาข้ออ้างออกไปจากบ้านยังไงดี จนเช้าก็ยังคิดอะไรก็ไม่ออก ตื่นมาแบบตาบวม ปวดหัวจนต้องขอยากับแม่มากิน

.......

......

.....

....

...

..

.

นอนแหม๊บอยู่บนเก้าอี้ยาวหลังโต๊ะเก็บเงิน กำลังได้ที่จะหลับอยู่แล้ว แม่ก็มาปลุก บอกว่ามีเพื่อนมาหา บอกแม่ไปว่า ลุกไม่ไหว มันปวดหัว แม่ก็เดินออกไป

แต่ชั่วแวบนั้น เขาได้ยินเสียงสตาร์มอไซด์ที่คุ้นหูมาก ใจมันสั่งสมองให้-----มึงลุกเดี๋ยวนี้!

เขาจึงโดดผึงจากเก้าอี้ยาวนั้นแล้วจ้ำอ้าวไปที่หน้าร้าน เขาเห็นมอไซด์โค้งกลับลำอยู่ เขารีบร้องตะโกนเรียกก่อนที่อีกฝ่ายจะขับรถไป “เฮ๊ย! เดี๋ยวเว้ย!”

เขาวิ่งไปจับท้ายรถมอไซด์อีกฝ่ายไว้ ปากก็ร้องว่า เดี๋ยว! เดี๋ยว!.... ไม่ขาดปาก

พอคนที่ขี่มอไซด์หันหน้ากลับมา เขาก็แทบอยากจะโผเข้ากอดมันให้หนำใจ-----แม่ง คิดถึงจริงๆ ให้ตายเหอะ!

“อ้าว ลุกมาทำไมวะ แม่มึงบอกว่ามึงไม่สบาย ลุกไม่ไหว” สีหน้ามันฉงน น้ำเสียงมันติติงในอารมณ์เป็นห่วง

“มึงทำไมไม่บอกว่ามึงจะมาล่ะวะ” ไม่ได้ตอบคำถามมันหรอก แค่ปวดหัว...จิ๊บๆ

“ก็.....ไม่รู้ว่าจะมาได้ชัวร์มั้ย เลยไม่ได้โทรมาบอกก่อน” มันบอก

“ไหนมึงว่าพ่อมึงยึดกุญแจไปไงล่ะ”

“ก็พาแม่มาตลาด แม่กูซื้อของอยู่ เลยบอกว่าจะมาหาเพื่อน บ้านอยู่ตรงนี้ ไม่คิดว่าแม่จะให้มา พอแม่ให้มา กูก็ขี่รถมาเลย ก็มึงบอกว่ามาช่วยแม่ขายของแต่เช้า กูว่ามาก็น่าจะเจอมึง แล้วมึงเป็นไร เมื่อวานคุยกันมึงยังดีๆ อยู่ไม่ใช่เหรอไง”

“เออ.... ช่างแม่งเหอะ แค่ปวดหัวเฉยๆ กินยาแล้ว ง่วงเพราะฤทธิ์ยา....เอ่อ...มึงอยู่ได้นานป๊ะล่ะ?”

“ก็ไม่นานหรอก สักแป๊บก็ต้องไปแหละ”

“ไปนั่งข้างในได้ป๊ะ แป๊บเดียวก็ได้”

“ในร้านอ่ะเหรอ ไม่ดีกว่ามั๊ง คนเยอะ เดินไปเดินมากูทำหน้าไม่ถูกว่ะ” มันส่ายหน้าพรืด

“ไม่ ไม่ เข้าไปในบ้าน ด้านในน่ะ มีม้านั่งอยู่หน้าบ้าน นะ แป๊บเดียว ยืนคุยแบบนี้ไม่เอาอ่ะ”

“.....อื้อ.....มึงนำไปดิ....”

เขารีบกระวีกระวาดเดินเข้าไปในรั้วบ้าน “มึงเอารถมาจอดข้างในเลย ตามมา ตามมา”

.......

......

.....

....

...

..

.

ให้มันจอดรถใต้ต้นมะม่วง แล้วพามันไปนั่งที่เก้าอี้หินอ่อนที่อยู่ใกล้ๆ ตรงนี้เป็นสวนเล็กๆ ของหน้าบ้านที่เป็นบ้านอยู่อาศัย ส่วนหน้าที่เจอกันเมื่อกี้เป็นห้องที่สร้างไว้เป็นร้านขายของ ซึ่งทำแยกกับส่วนของบ้านที่อยู่ ตรงบริเวณนี้จึงนับว่าไกลจากสายตาผู้คนพอประมาณ

“นั่งดิ เอาน้ำไร เดี๋ยวไปเอามาให้”

“ไม่เอาหรอก....” มันไถลก้นไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งที่มันชอบ “ตรงนี้ไม่เหมือนตรงนั้นเลยเนอะ ตรงหน้าร้านมึง ไม่ไหวว่ะ คนเยอะเกิน”

เห็นมันนั่งแหงนหน้ามองมะม่วงที่อยู่ด้านบนแบบเพลินใจ เขาจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดียวกัน พอมันรู้ตัวว่าเขาไปนั่งข้างๆ มันก็ก้มลงมา....มองเขา คิ้วขมวด

ส่งยิ้มให้แบบไม่เก็บอาการ หัวที่ปวดมันก็ปวดอยู่ แต่เขาไม่ว่างใส่ใจกับมัน “มาตลาดกับแม่ทุกเช้าเลยเหรอ?”....ตลาดที่ว่าในระแวกนี้มีอยู่จุดเดียวซึ่งใกล้บ้านเขา เดินไม่ถึง แต่หากปั่นจักรยานก็ไปได้ เขาจึงเริ่มคำนวนแผนการ

“เออ ไม่ทุกวันหรอก แล้วแต่แม่จะมา”

“แล้วมึงก็ขี่รถพาแม่มาทุกครั้ง”

“อื้อ”

“แล้วเวลามา มาแวะได้ป๊ะ เหมือนวันนี้อ่ะ”

มันทำหน้าลำบากใจนิดๆ ก่อนจะพูดเสียงอ่อยว่า “แล้วแต่แม่ว่ะ กูไม่รู้”

“ไม่เป็นไร เอางี้ เวลาจะมา โทรมาได้ป๊ะ เดี๋ยวกูไปเจอที่ตลาด”

“เฮ๊ย! แล้วมึงจะไปยังไง ขี่รถไม่เป็นไม่ใช่เหรอ?”

“กูปั่นจักรยานเป็นน่า นะ เอาแบบนี้นะ ได้ป๊ะ”

“.........ลำบากมึงไปมั๊ง ถ้ากูมาได้วันไหนกูก็มาแบบนี้ดีกว่ามั๊ย ตลาดมันไกลบ้านมึงอยู่นะ”

“แค่นี้เอง กูปั่นไปออกบ่อย มึงเหอะ สะดวกใจมั้ยล่ะ?”

“เชี่ย! มีไรไม่สะดวกล่ะวะ” มันสวนกลับมาอึดใจหนึ่งแล้วมันก็หน้าแดง

“ฮึฮึฮึ.....”

มันสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง ผมมองไม่เห็นหน้ามันแหละ

“นี่....”

“ไร....” น้ำเสียงมันเหมือนรำคาญ

“ดีใจนะที่มาหา”

“เออ” น้ำเสียงยังติดรำคาญอยู่

“กอดได้ป๊ะ” ถามเล่นๆ ไปงั้นแหละ ไม่ได้กะเอาจริง

“เชี่ย!” มันพูดพลางขยับตูดไปนั่งเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ใกล้ๆ กัน

เห็นหน้ามันแหละ แต่เห็นแค่ครึ่งเสี้ยว ..... ฮ่าฮ่าฮ่า น่ารักว่ะ แฟนใครก็ไม่รู้

.......

......

.....

....

...

..

.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2012 22:35:40 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
"มัน" น่ารักดี พอเขินแล้วแอบเงียบสินะ

ออฟไลน์ $VAN$

  • Moderator
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-6
after the quiet, he still be quiet for many time... because he ^///^
++

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2


.......

......

.....

....

...

..

.

แล้วนับแต่นั้น เราก็อาศัยช่วงเวลาน้อยนิดที่แม่มันมาจ่ายตลาด เพื่อให้ได้เจอหน้ากัน

ผมจะตื่นแต่เช้ามารอโทรศัพท์จากมันว่าวันนี้มามั้ย? หากเลย แปดโมงไปแล้วมันยังไม่โทรมา แสดงว่าวันนั้นแม่มันไม่มาตลาดแหละ ก็ช่วงเย็นล่ะ ผมถึงจะโทรไปหามัน คือไม่รู้ว่ามันเข้าสวนแล้วออกมากี่โมง เลยโทรเอาตอนเย็นทีเดียว แต่ก็มีนะบางครั้งมันก็โทรมาหาผมเอง ตอนที่มันออกจากสวนหรือเสร็จงานช่วงเช้าแล้ว อะไรแบบนี้

แล้วก็อย่างที่ว่านี่แหละ ปิดเทอมครึ่งหนึ่งก็ผ่านไปอย่างสงบสุข

จนกระทั่งวันหนึ่ง....

.......

......

.....

....

...

..

.

ผมกดโทรศัพท์จนมือหยิก กดเท่าไหร่ก็ไม่มีคนรับสาย เมื่อบ่ายยังคุยกันอยู่เลย แถมผมยังนัดมันว่าจะโทรมาอีกทีช่วงหัวค่ำ มันก็ไม่ได้บอกว่าจะออกไปธุระที่ไหน ไหงทำไมไม่รับสาย

ผมก็เพียรกดๆ กระหน่ำ จนสองทุ่มแม่ก็ด่า แล้วไล่ให้ไปนอน เลยจำใจต้องขึ้นนอน

แต่ก็เหอะ พอแม่กับพ่อขึ้นนอนชัวร์แล้ว ผมก็แอบลงมากดโทรศัพท์อีก กดแม่งจนหกโมงเช้าก็ไม่ติด ไม่นอน ง่วงก็ง่วง ตาบวม ปวดหัวอีกตามระเบียบ แต่ยังไม่วายนั่งรอมันจนถึงแปดโมง ตามเวลานัดเดิม ซึ่งมันก็ไม่โทรมา หงุดหงิดสุดๆ เลยบอกแม่ว่าไม่สบาย ปวดหัวขอยากิน แล้วกลับไปนอนที่บ้าน ไม่ได้ช่วยแม่ขายของ

บ่ายลุกขึ้นมากินข้าว แต่ไม่ขอยาแม่แล้ว เห็นแม่ห่วงมาก เลยทำมีสติ กลับมาเป็นลูกที่ดี ช่วยขายของต่อ แต่ในใจน่ะ บ่นหูตูบ ไม่รู้มันไปไหน โทรมาบอกกันสักนิดก็ไม่มี คนรอก็รอไป อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ครบวันแล้ว ยิ่งนานก็ยิ่งโมโห

.......

......

.....

....

...

..

.

ผมเดินเข็นรถเข็นเช้ามาในร้าน เพิ่งไปส่งของที่บ้านลูกค้ากลับมาปุ๊บ แม่ก็ร้องบอกปั๊บ

“เมื่อกี้เพื่อนโทรมาแน่ะ คนที่มาตอนเช้าบ่อยๆ น่ะ” แม่พูดพลางหยิบของในตู้เย็นมาใส่ถุงให้ลูกค้าที่ยืนรอ

“ไรนะแม่ เมื่อไหร่ นานยัง? มันบอกรึเปล่าว่ามันหายหัวไปไหนมา?” ผมรัวคำถามใส่แม่แบบไม่ยั้ง

“อุ๊ย พ่อคุ๊ณ แม่ไม่รู้หรอกค่า เดี๋ยวเค้าโทรมาก็ถามกันเองนะคะ” แม่หันมาจีบปากจีบคอประชดลูกชายก่อนจะหันไปบอกลูกค้า “70 บาทจ๊ะ”

ผมเกาหัวแกรกๆ เมื่อนึกได้ว่าเมื่อกี้ตัวเองทำอะไรลงไป ผมมองหลังแม่ที่เดินเข้าไปหยิบเงินทอนที่โต๊ะเก็บเงิน แม่ดูไม่ได้โกรธ ผมเลยเข็นรถเข็นไปเก็บที่ข้างในร้าน จากนั้นก็ไปนั่งเก้าอี้หน้าร้าน ที่ประจำสำหรับรอลูกค้า สายตาผมก็จับจ้องแต่ที่แม่ รอโอกาสเหมาะที่จะเข้าไปถามต่อ

แต่ยังไม่ทันที่แม่จะว่างให้เขาถาม เสียงโทรศัพท์ในร้านก็ดังขึ้น ผมรีบถลาไปที่โทรศัพท์ทันที

“ฮัลโหล”

“อ้าว มึงกลับมาแล้วเหรอ”

“มึงสิ หายไปไหนมา กูโทรหามึงทั้งคืน บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“เชี่ย! ไม่ใช่ความผิดกูสักหน่อย เมื่อคืนไอ้ขี้เมาที่ไหนไม่รู้แม่งขับรถชนเสาไฟ ไฟดับทั้งแถบบ้านกูเลย”

“ไฟดับบ้านมึง แล้วเกี่ยวไรกับโทรศัพท์ มันคนละสาย อย่ามาอำกู”

“เชี่ยนี่ กูยังพูดไม่จบ จะฟังมั้ย? ไม่ฟังกูวางสายล่ะนะ”

“เออออ ว่าไปๆ”

มันบ่นอีกสักพักถึงเล่าว่า เพราะไฟดับหมด เลยเกิดอุบัติเหตุ แล้วรถคันที่เกิดเหตุก็ดั๊นไปชนเสาโทรศัพท์ นั่นแหละคือที่มาว่าทำไมโทรหามันไม่ติดเลยทั้งเมื่อวานและวันนี้

มันบอกว่า วันนี้ไม่ได้ไปตลาด เพราะช่วยแม่ทำกับข้าว ไฟฟ้าไม่รู้จะมาตอนไหน แม่กลัวของเสีย เลยเอาของสดที่มีไปกับข้าวก่อน เสร็จตอนเช้าก็เข้าไปช่วยพ่อในสวน เพิ่งมีเวลาว่าง มันเลยขี่มอไซด์ออกมาโทรตู้ที่อีกระแวกหนึ่งซึ่งใช้สายโทรศัพท์คนละสายกับทางบ้านมัน.....ฟังมันพูดแล้วอยากร้องไห้ มันคงลำบากมาก ต้องไล่หาไปทีละตู้ๆ กว่าจะเจอ

“กูขอโทษ กูไม่รู้.....” ผมครางเสียงอ่อย

“เอออ ช่างแม่ง เหอะ ว่าแต่มึงจะเอาไง จะให้กูโทรช่วงกี่โมง เอาชัวร์ๆ นะ กูต้องขี่รถมาไกล”

“เห๊ย! ไม่ต้องๆ ลำบากมึงเปล่าๆ ไว้โทรศัพท์บ้านมึงใช้ได้แล้วค่อยโทรหากันก็ได้” เกรงใจมันสุดๆ ไม่อยากให้แฟนลำบาก

“.....................................”

เอาล่ะสิ มันเงียบไปเลย คราวนี้ไม่ใช่โทรเงียบแบบปกติแหละ มันมีไฟคุขึ้นมานี๊ดๆ

“ไร....โกรธเหรอ?”

“......................................ปี๊ดด--------กิ๊ก------...........” เสียงเตือนเหรียญหมดดังขึ้น แล้วผมก็ได้ยินอีกฝ่ายหยอดเหรียญ จากนั้นมันก็ยังเงียบ แต่ไม่วางสาย ผมก็งานเข้าสิ แม่งโกรธแน่ๆ

“มึงอ่ะ อย่าโกรธดิ? กูกลัวมึงลำบากเฉยๆ ......เมื่อกี้กูไม่รู้เรื่อง เลยว่ามึงไป กูขอโทษ นะนะ คุยกันนะ ไม่เงียบแบบนี้นะ มึงอ่ะ คุยดิ๊วะ มึง---------” ผมอ้อนสุดฤทธิ์

“.................................”

มันยังคงเงียบ ผมก็ไม่กล้าพูดต่อดิ๊ กลัวว่าพูดมากไปมันจะรำคาญแล้ววางสายไป คราวนี้จะโทรง้อก็ไม่ได้ สถานการณ์ไม่อำนวย

มันเงียบเป็นนานมาก แล้วจู่ๆ มันก็เอ่ยขึ้นมาว่า “นี่!” เสียงมันเข้มมาก

“ครับ! ครับ!” รีบรับคำ

“เหรียญกูหมดแหละ”

ผมอ้าปากค้าง ยังไม่ทันที่จะพูดสักคำ เสียง ปี๊ดดดดดดดดดดดด แม่งก็ดังขึ้น

แล้วสายก็ตัดไป

ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจะเกลียดตู้โทรศัพท์สาธารณะเท่าครั้งนี้...อ๊ากกกกกกกกก-------- ต้องทรมาณไปอีกเท่าไหร่ แล้วมันจะโทรมาอีกมั้ย

ไม่รู้ ผมไม่รู้เลย

ตูอยากบ้าตาย!

.......

......

.....

....

...

..

.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2012 22:40:21 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
คิดถึงสมัยโน้นเนอะ ที่พูดมานึกภาพออกทั้งหมดเลย (บ่งบอกวัย)
ไม่สะดวกเหมือนสมัยนี้ แต่ก็ไม่ลำบากอะไร
ได้คุยกันวันละนิดก็สุขใจ

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2


.......

......

.....

....

...

..

.

สรุปว่า คืนนั้น และวันต่อมาอีกทั้งวันทั้งคืน มันก็ไม่โทรมา ผมนั่งจ๋องเป็นหมาหงอยอยู่ในบ้าน นอนก็ไม่หลับ ต้องลากผ้าห่มกับหมอนลงมานอนข้างล่าง

รู้อยู่ว่าหลังสองทุ่มไปแล้วมันไม่โทรมาหรอก แต่เขาอ่ะดิ ที่เป็นฝ่ายกดเบอร์บ้านมันจนมือหงิก แค่อยากรู้ว่าโทรศัพท์บ้านใช้ได้ยัง ถึงเป็นการเสียมารยาทที่โทรไปตอนคนเค้าหลับเค้านอนแล้ว แต่มันก็ห้ามใจตัวเองไม่ไหว

เช้าวันนั้นแม่ตื่นมาเห็นเขานอนกองอยู่กับพื้นหน้าโต๊ะวางโทรศัพท์ แม่ก็ด่าเปิงเลย แถมยังห้ามไม่ให้เขาไปใกล้โทรศัพท์อีก แม่บ่นว่าเปลืองค่าโทร จะโทรอะไรหนักหนา ผมก็บอกแล้วว่ามันโทรไม่ติด ไม่ได้เสียค่าโทรสักบาทเดียว แม่ก็ยังด่าว่าติดโทรศัพท์

เฮ้อ----- คร้านจะเถียงกับแม่ เลยขึ้นไปนอนที่ห้อง อดนอนมาทั้งคืน ไม่ไหว ไม่ไหว

.......

......

.....

....

...

..

.

นอนไปได้สักพักใหญ่ (มั๊ง ไม่รู้ หลับๆ ตื่นๆ อยู่)

รู้สึกว่ามีเสียงเปิดประตู คิดว่าเป็นแม่ งอนแม่ เลยเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง

สักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในห้อง แต่เจ้าของเท้านั้นเดินไปทางโต๊ะอ่านหนังสือของเขา ผมได้ยินเสียงลากเก้าอี้ แล้วเสียงสวบสาบของผ้าที่เสียดสีกัน ผมนึกสงสัย แม่ไม่ทำไรแบบนี้หรอก และที่สำคัญ แม่ยุ่ง ไม่มีใครเฝ้าร้าน แม่จะให้เขาทำไร แม่ต้องตะโกนเย้วเย้วบอกเขาแล้ว.....อันนี้มาแปลก

ว่าแล้วเขาก็ชโงกหน้าออกมาจากผ้าห่ม

พอเงาของคนที่นั่งบนเก้าอี้สะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาเขาเท่านั้นแหละ เขาโดดผึงมากจากเตียง สาวเท้าถลาไปกอดคนที่นั่งอยู่อย่างแน่น

“กูขอโทษ มึงอย่าโกรธกูนะ หายโกรธกูนะ มึงจะเอาไงก็ได้ กูยอมทั้งนั้น อย่าโกรธกูนะ มึงพูดดิ๊ พูดกับกูที กูจะบ้าตายอยู่แล้ว ขอร้อง พูดกับกูสักคำเหอะ” ผมรู้สึกว่าตัวเองโวยวายราวกับคนใกล้บ้า ซึ่งในความรู้สึกผมก็ว่าตัวเองใกล้มากทีเดียว

“ปล่อย!”

มันบอกเสียงเข้ม ห้วนๆ สั้นๆ

“ไม่ เราต้องดีกันก่อน ไม่เอาแบบนี้นะ มึงอยากได้อะไรก็บอกกูดีๆ สิ อย่าเงียบไปแบบนี้ กูใจเสียนะ มึงใจร้าย----”

“มึงเลิกบ้าซักที มึงสิฟังกูบ้าง เชี่ยนี่ ปล่อย กูอึดอัด ปล่อยกู!”

ผมยังคงกอดมันต่ออีกสักพัก ไม่แน่ใจว่ามันหายโกรธแล้ว จริงหรือเปล่า..... แต่จนแล้วจนรอดก็คลายวงแขนที่กอดมันออก

พอถอยออกมายืนตรงข้ามมัน เลยได้เห็นหน้ามัน ถึงแค่แวบเดียวก่อนที่มันจะสะบัดหน้าหนีก็เหอะ

“โกรธจนหน้าแดงเลยเหรอ?” แซวมันเล่น

โครม-------- โดนมันเอาตีนยันลอยไปกองอยู่บนพื้น แม่งเล่นแฟนตัวเองแบบไม่ออมแรงเลยวุ้ย

“อู๊ยยย....” นั่งกุมท้องตัวเอง ร้องโอดโอยไม่ขาดปาก

“สม.....” มันพูด น้ำเสียงเหมือนสะใจ

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหน้ามัน สีหน้ามันกลับมาเป็นปกติแล้ว “เล่นแรงนะมึง ออมแรงเป็นมั้ย? นี่แฟนนะ ไม่ใช่กระสอบทราย”

“เฮอะ!” มันนั่งกอดอกทำหน้าตึงอยู่บนเก้าอี้....ที่เดิม

ผมลุกขึ้นยืน ทรงตัว และค่อยๆ เดินเข้าไปหามัน ทันใดนั้นมันก็ตวาดใส่ “ถ้ามึงทำอีก กูกระทืบมึงแน่”

“พอๆ กูคนนะ เจ็บเป็นเว้ย เชี่ย จะคุยด้วยเฉยๆ”

“ไม่ต้องเลย มึงไปคุยตรงนั้นเลย ไม่ต้องเข้ามาใกล้กู”

“อ๊าว!”

“งั้นกูกลับ!”

มันผุดลุกขึ้นยืน ผมรีบยกสองมือขึ้นห้าม

“หยุด หยุด.... มึงนั่งเลยๆ กูอยู่ตรงนี้แหละ นั่งดิ นั่ง” ผมบอกมันพลางถอยหลังไปนั่งข้างเตียง

มันนั่งลงท่ากอดอกท่าเดิม ตามันจ้องหน้าผมนิ่ง ผมก็มองตามันนิ่ง สักพัก ผมก็เอ่ยปากถามในสิ่งที่อยากรู้ “ไฟฟ้ามารึยังล่ะ โทรศัพท์ที่บ้านใช้ได้ยัง?”

“ไฟมาแล้ว โทรศัพย์ยังไม่ได้”

“จะได้วันไหนล่ะ”

“ไม่รู้”

“โอเค งั้นเอาเป็นว่ามึงสะดวกเมื่อไหร่ก็โทรมาได้ตามใจมึง กูรอละกัน”

“เออ ก็เท่านี้ งั้นกูไปล่ะ”

มันพูดจบก็ลุกขึ้นยืน ผมก็ยืนตาม

“เฮ้ย เพิ่งมาเอง จะรีบไปไหน?”

มันเปรยหางตามามอง หน้ามันยังบึ้งไม่หาย มันหมุนตัวเดินไปทางประตู แล้วถึงพูดว่า “แม่มึงบอกว่ามึงไม่สบายกูเลยขึ้นมา แต่มึงก็ดูสบายดี งั้นลงไปคุยที่ใต้ต้นมะม่วง เร็วเลย อย่าช้า เวลากูมีน้อย”

โอ้ววววววว....ได้ครับ ได้ตามที่แฟนขอทู๊กประการ

.......

......

.....

....

...

..

.

วันนั้น ก็จบลงด้วยการลงมานั่งคุยกันที่ใต้ต้นมะม่วงที่เดิม

ตอนมันจะกลับ ผมยัดเอากระปุกออมสินสองอันที่มีเหรียญเต็มเอี๊ยดใส่ถุงให้มันเอากลับไปด้วย

มันก็ด่าเปิงสิครับ

แต่ผมไม่ได้ครับ เรื่องอะไร ให้แฟนลำบากมาโทรตู้ไกลจากบ้าน แล้วยังให้แฟนใช้เงินตัวเองโทรตู้มาหาผมอีก....ไม่ได้ครับๆ ฆ่าผมให้ตายเหอะ เรื่องนี้ผมก็ยอมแฟนผมไม่ได้จริงๆ

.......

......

.....

....

...

..

.



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2012 22:44:30 โดย BaoBao »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด