เรื่องสั้น [อย่าเงียบสิวะ!] จบในตัว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องสั้น [อย่าเงียบสิวะ!] จบในตัว  (อ่าน 108912 ครั้ง)

ออฟไลน์ puppyluv

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2539
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2000/-20
น่ารักว่ะ
ชอบตรงหมูออมสินตอนจบนี่ล่ะ
ได้ใจเต็มๆ 555
กดบวกปล่อยเป็ด

ออฟไลน์ imissyou

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
โอ้ย ๆ ๆ น่ารัก

นึกถึงสมัยก่อนต้องนำจำเบอร์โทรเจ็ดหลัก 

ตากยุงโทรศัพท์หาแฟน  :m1:

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2


.......

......

.....

....

...

..

.

เคยกันมั้ย?

รอแบบมีความสุข ทรมานแต่มีความสุข

คือก่อนนี้ผมมักเป็นฝ่ายโทรหามันใช่ป๊ะ ถึงนานๆ ทีมันจะโทรมาเองบ้าง แต่ไม่ได้นัดกันไว้เลย เลยแค่ดีใจที่มันโทรหา

แต่ช่วงนี้ผมกลับต้องเป็นฝ่ายรอมันโทรมา โอเคถึงเวลาจะค่อนข้างแน่นอน แต่มันอาจโทรมาเวลาอื่นก็ได้ใช่ป๊ะ

แล้วมันก็ตื่นเต้นสิครับ นั่งมองโทรศัพท์แล้วอมยิ้ม

นึกถึงเรื่องที่คุยกันล่าสุดงี้

รอที่จะได้ยินเสียงมันงี้

มันต่างกันโดยสิ้นเชิง ถึงตอนที่ผมกดหามันผมจะเตื่นเต้นด้วยเหมือนกัน แต่มันไม่เหมือนกันนะ.... ว๊า อธิบายไม่ถูก ว่าไม่เหมือนกันยังไง พวกคุณไปลองเองละกัน

“ฮัลโหลครับ” ผมรับยกหูขึ้นมาแนบกับหูของตัวเอง

“เห๊ย นอนยังวะ” น้ำเสียงร้อนรน

“ยัง ยัง ไมดึกจังอ่ะ มีไรรึเปล่า?” ผมถามสิครับ นี่มันจะสี่ทุ่มแล้ว มันเพิ่งโทรเข้าบ้าน

“เชี่ยแม่ง คนเมื่อกี้มันโทรนาน ไม่รู้โทรหาห่าไรนัก......”

ป๊าดดดด แล้วมันก็หยอดเหรียญสองสามเหรียญด่าไอ้คนที่โทรก่อนมันให้ผมฟัง แถมยังตบท้ายว่า “คอยดู๊ เดี๋ยวกูจะโทรแม่งให้นานกว่ามัน”

ผมก็เอ๋อสิครับ มันจะแข่งเอาโล่รึไง “แล้วมันจะเห็นมึงมั้ยล่ะครับ”

“เห็นซี่ แม่งเดินกลับไปต่อแถวอีกทีแล้ว เอาเลยๆ มึงยาวๆ เลย สองชั่วโมงแม่งไปเลย”

ผมงี้ รีบเอาผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่มาอุดปาก ไม่กล้าขำเสียงดังเดี๋ยวพ่อแม่ลงมาด่า ดู๊มัน จะแกล้งเค้า แล้วจะคุยกันนานๆ เอากับมันสิ

“มึงเกรงใจเค้าบ้างป่าว คนที่ต่อมึงน่ะ เค้ามีธุระด่วนมั้ยล่ะ? มีมารยาทด้วยนะมึง”

“โหยยย หน้าเดิมๆ แม่งโทรหาแฟนทั้งนั้นแหละ นี่กูว่าจะเปลี่ยนมาโทรบ่ายๆ มันน่าจะไม่มีคน ลองดูได้ป๊ะวะ”

“ได้ แล้วแต่มึงเลย ตอนบ่ายก็โทรเบอร์ร้านนะ”

“เออ นี่ ห้องมึงน่ะ ได้การบ้านสังคมยังไงวะ....”

แล้วมันก็ชวนคุยเรื่องการบ้านปิดเทอม แล้วก็มันก็เล่าเรื่องที่มันทำวันนี้ จากนั้นมันก็เล่าว่าแม่ว่าอะไรมันบ้าง ที่มันออกจากบ้านมันโทรศัพท์ตอนกลางคืน แล้วก็สารพัดเรื่อง........เผลอแผลบเดียว สองชั่วโมงมาถึงไม่รู้ตัว

มันก็คงดูเวลาไว้มั๊ง เพราะมันบอกเองว่าครบสองชั่วโมงแหละ เปลี่ยนให้คนอื่นมั่ง

แหม....แฟนผมนี่ เค้ามีน้ำใจในสไตล์ของเขาจริงๆ

อ้อ มีอีกครั้ง เกี่ยวกับโทรศัพท์

มันครับ มันเปลี่ยนเวลาโทร มันว่าเบื่อยืนให้ยุงกัด เลยหันมาโทรตอนกลางวัน

ก่อนวางสายมันก็บอกว่า เหงื่อท่วมตัวเลย ขนาดเปิดตู้คุยแล้วก็ไม่ไหว เหมือนจะเป็นลม
 :jul3:

ในที่สุด มันก็ต้องกลับมาใช้เวลากลางคืนเหมือนเดิม ต่อแถวกันไป ตามดวง....ผมงี้ สงสารมันสุดๆ

แต่มันดิ๊ เท่าที่ฟังเหมือนมันสนุกกับการไปแย่งกันโทรตู้เอามากๆ...โทรมาหาผมปุ๊บ โผล่มาไม่ทักทายผมสักคำ เอาว่าวันนี้มาเร็วกว่าไอ้คนไหนก่อนเลย....สนุกมันแท้ๆ

ก็นั่นแหละ....โทรศัพท์เสียไปแค่อาทิตย์เดียว แต่ผมกับมันมีเรื่องให้คุยกันเยอะขึ้น

ผม...เริ่มเรียนรู้นิสัยมันมากขึ้นกว่าเดิมได้อีกเป็นกอง

มันอ่ะ พูดมาก พูดได้เป็นนกแก้วนกขุนทอง

ผมจะถามอะไรนะ มันตอบผมหม๊ด ไม่ว่าเรื่องลึกลับซับซ้อนในครอบครัวมันขนาดไหนก็ตาม (ซึ่งมันก็ถามผมกลับเหมือนกัน) แต่นะ อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องรักๆ ใครๆ เชียว ผมพาออกทะเลทีไร มันจะเงียบฉี่ไปเลยทุกครั้ง

เช่นเดิม ไม่วางสายแต่เงียบ บางทีก็โกรธ บางทีก็อาย....แรกๆ ผมแยกไม่ออกนะ เงียบแบบไหนโกรธ เงียบแบบไหนอาย แต่นานวันไปก็รู้เอง จับผิดจับถูกไปเรื่อย

แต่ก็ใช่ว่าจะเลิกคุยหยอดหวานกับมันนะ ไม่เลย พอผมแยกออกว่าพูดแบบไหนมันเขิน พูดแบบไหนมันโกรธ ผมก็เลือกพูดเฉพาะที่มันเขินสิ พูดแล้วแฟนเขิน สนุกจะตาย ที่สำคัญมันชอบรึเปล่าไม่รู้ แต่มันไม่วางสาย ก็คิดเอาเองน่ะว่ามันคงอยากฟังผมหยอดหวานด้วย (มั๊ง) ----ฮา

ช่วงปิดเทอมไม่กี่เดือน เราได้เรียนรู้อุปนิสัยกันเยอะ และเยอะมากในความรู้สึกผม เราไม่รู้ว่าผู้ชายกับผู้ชาย คบกันต้องทำยังไง เริ่มจากตรงไหน แล้วจะไปต่อยังไง

แต่เรามองตรงกันอย่างหนึ่งว่า อยากรู้จักกัน อยากสนิทกัน อยากคบกันในฐานะ “แฟน” ไม่ใช่เพื่อนสนิท

สมัยนั้น ไม่รู้หรอกนะว่า “เกย์” คืออะไร มันไม่มีศัพท์คำนี้

ประเด็นนี้ก็มีเรื่องฮา คือช่วงที่กลับมาคุยที่บ้านได้แล้วอ่ะนะ วันนึงอยู่ดีๆ มันก็ถามขึ้นมา ใครจะเป็นกะเทย....ดูมัน

ผมเลยถามกลับว่ามึงเป็นสิ มันก็บอกว่ามึงสิเป็นสิ....เถียงกันทั้งคืน...ไม่มีใครจะเป็นกะเทยสักคน

“นี่”

“ไร”

“ถ้ากูไม่เป็นกะเทยแล้วมึงยังจะเป็นแฟนกูอยู่มั้ยล่ะ” ผมถามลองเชิงมัน

“มึงนั่นแหละ ถ้ากูไม่เป็นกะเทย แล้วมึงจะเป็นแฟนกูต่อมั้ยล่ะ?” มันย้อนถามผม

“ตอนกูขอคบมึงเป็นแฟน วันนั้น มึงเป็นใครล่ะ กะเทยหรือผู้ชาย”

“..........”

มันเงียบครับ ผมก็ยิ้ม โอเคล่ะว่ามันเริ่มเข้าใจความหมายของผมแหละ

“กูชอบมึงนะ มึง แบบมึง แต่หากอนาคตมึงจะเป็นอะไรก็ตามใจมึง ตามสบายมึงเลย ถึงยังไง มึงก็เป็นแฟนกูอยู่ดี โอเคป๊ะ”

“......อื้อ.....”

“ส่วนกู กูว่ากูก็คงเป็นแบบนี้ไปตลอด กูไม่ได้อยากแต่งหน้าหรือใส่กระโปรง แล้วมึงรับกูได้มั้ยล่ะ?”

“.......อื้อ.....”

“งั้นก็จบนะ เรื่องนี้”

“.......อื้อ.....”

รู้จากประสบการณ์ว่า เวลามันอื้อ อื้อ สั้นๆ แบบนี้ อีกนานล่ะกว่ามันจะอ้าปากจ้อได้เหมือนเดิน ผมเลยเบี่ยงประเด็นให้มันจ้อได้เร็วขึ้น..... คุยเรื่องอื่นซะ เดี๋ยวมันก็ลืม แล้วกลับมาเหมือนเดิมเอง “การบ้านเสร็จยังล่ะ”

“ยัง....ยากว่ะ ทำไมได้ตั้งครึ่งๆ” มันพูดเสียงอ่อยๆ

“จะเปิดเทอมแล้วนะ จะไปลอกใครอีกล่ะ มันจะทันมั้ยเนี่ย?” น้ำเสียงไม่ได้ดุ ไม่ได้ว่า เป็นแบบถามเฉยๆ เพราะมันไม่ชอบให้คนดุมัน ถ้าดุมันมันจะยิ่งแข็งใส่

“ปกติก็ไปเช้าๆ ลอกแม่งทั้งวันแหละ อันไหนเสร็จก่อนก็ส่งก่อน คราวก่อนก็ทำจนเย็นแหละ ครูด่าหูอื้อเลย” มันพูดจบก็หัวเราะแบบขืนขืน

“ทำเองสิ ยังพอมีเวลา อยากลองมั้ยล่ะ?” ผมบอกมัน

“เชี่ย ถ้ากูทำเองได้กูทำไปนานแล้ว ไม่รอให้มึงมาบอกหรอก”

“มาสิ สอนให้ ถึงไม่ใช่หนึ่งในสามของห้อง แต่กูก็ห้อง 3 นะเว้ย”

โรงเรียนผมจัดลำดับความเก่งของเด็กไปตามเลขห้อง ห้อง 1 คือห้องที่เก่งสุด ไล่ไปเรื่อยๆ ถึงห้อง 13

ผมอยู่ห้อง 3 แต่ลำดับที่ในห้องก็กลางๆ ถึงงั้นผมก็ยังเก่งกว่ามัน มันอยู่ห้อง 10 อันดับสอบแต่ละครั้งก็หวิดบ๊วยตลอด แต่มันเก่งสังคม เก่งอยากอื่นที่ไม่ใช่เลขกับวิทยาศาสตร์

ปกติไม่อยากพูดแบบนี้หรอกครับ กลัวไปทิ่มหัวใจมัน แต่คุยกันไปนานๆ คิดว่ามันน่าจะไม่โกรธ เพราะผมเองก็มีเหตุผลนะ คือหากมันเรียนได้ดีขึ้น ผมกับมันอาจไปสอบเข้ามหาลัยที่เดียวกันได้ เป็นไงครับ คิดการณ์ไกลสมกับเป็นหัวหน้าครอบครัวมั้ย? ฮ่าฮ่าฮ่า

เอาๆ สรุปๆ ..... มันก็รับปากแหละว่าจะมาทำการบ้านด้วย แต่ขอไปขอพ่อแม่ก่อน

ผมยังไงก็ได้ ให้สอนผ่านโทรศัพท์ก็ได้ แต่ไม่ได้บอกมันหรอกว่ามีวิธีนี้ เพราะหากมันมาถึงบ้านก็ได้เห็นหน้ามันไง....ดีจังที่มีแฟนแล้วแฟนฉลาดแต่ไม่เฉลียวเท่าผม------------ก๊ากกกกกกกกกกก

.......

......

.....

....

...

..

.




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2012 22:52:25 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2



.......

......

.....

....

...

..

.

ปิดเทอมแรกที่วุ่นวายจบไป

เราต่างเริ่มเทอมด้วยฐานะใหม่อย่างเต็มภาคภูมิ “เราเป็นแฟนกัน”

เปิดเทอม ม.5 ช่วงแรกๆ เรานัดกันไปเจอที่โรงเรียน กลางวันเราก็ปลีกตัวจากฝูงเพื่อนมานั่งกินข้าวกัน โชคดีที่เพื่อนๆ แม่งไม่สนใจถาม เลยรอดตัวหาข้อแก้ต่าง

ก็รู้ล่ะว่าที่คบกันเนี่ยมันไม่ธรรมดา แต่ไม่ใช่ว่าอายนะ หากเพื่อนมันถามพวกเราก็พร้อมที่จะบอกว่า “เป็นแฟนกัน” .... แต่หากไม่มีใครถามเราก็ไม่อยากป่าวประกาศว่ะ เข้าใจป๊ะ??

ช่วงแรกๆ เราแค่กลับบ้านพร้อมกัน ไม่ได้มาด้วยกัน โดยที่มันจะมาส่งผมถึงหน้าบ้าน แล้วมึงถึงค่อยบึ่งมอไซด์กลับไปบ้านมัน

ผมรอมันโทรกลับมาหลังจากที่ถึงบ้านแล้ว จึงค่อยไปกินข้าว หากมันไม่โทรกลับมา ผมก็จะยังไม่กินข้าว ก็เล่นไม้นี้ครับ มันถึงไม่ไปเถลไถล แต่อันที่จริงมันก็ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก ทุกทีมันก็ตรงกลับบ้านแหละ แต่ผมเองแหละที่อยากสร้างเงื่อนไขในความสัมพันธ์ของเราบ้าง

คือว่า ได้รู้ว่ามันแคร์ผม สักนิด ผมก็สุขใจ

คือเราน่ะ ถึงเป็นแฟนกัน แต่ดูเผินๆ มันก็เหมือนเพื่อนสนิทกันนะ เราไม่ได้ทำอะไรใกล้ชิดสนิทแบบแบบเด่นชัดในความสัมพันธ์เหมือนเด็กสมัยนี้ เอาชัดๆ เลยมั้ย? แค่จับมือกันยังไม่เคยเลย เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง....โอเค จบมั้ย? พูดแล้วเจ็บเองว่ะ เฮ้อ----

.......

......

.....

....

...

..

.

กลับมาที่เรื่องมันกับผม

เหตุที่ผมเริ่มไป-กลับกับมันเต็มตัวก็เพราะวันหนึ่งกลังจากเปิดเทอมมาได้สองอาทิตย์ มันแม่งมาสายติดๆ กันวันเว้นวัน สองวันครั้ง

ผมก็โมโหสิ มันไม่ใช่เรื่องที่จะตื่นสายกันได้บ่อยๆ ยิ่งมารู้ทีหลังว่ามันตื่นสายเพราะคุยโทรศัพท์กับผมตอนกลางคืน แล้วถึงนั่งทำการบ้านต่อ ของมันเลยขึ้นเลย

ผมก็จับมันเปลี่ยนตารางชีวิตใหม่

ปกติ มันเลิกซ้อมเร็วกว่าผมอยู่แล้ว ระหว่างที่มันรอผม ผมก็ให้มันนั่งทำการบ้านเลย มันเป็นพวกคิดเยอะ มันเลยทำช้า ไม่ใช่ว่ามันไม่ฉลาดนะ แต่มันไม่แน่ใจคำตอบ เลยตัดสินใจช้า....เท่านั้นแหละ

พอผมซ้อมบอลเสร็จ ผมจะมาช่วยมันดูว่าตรงไหนให้คำตอบมันได้ ก็สอนมันไป ที่เหลือหากไม่ได้จริงๆ ค่อยให้มันมาลอกกับเพื่อนเอาตอนเช้าแทน

เพราะต้องสอนการบ้านมัน เราเลยกลับบ้านเย็นกันตลอด แต่ผมนั่งมอไซด์ไปกับมัน ผมไม่ต้องไปรอรถประจำทาง ผมจึงมีเวลาเหลือเยอะ ผมเลยไปนั่งกินข้าวกับมันก่อนเข้าบ้านซะเลย ซึ่งเราทำทั้งหมดเสร็จ เราก็ยังเข้าบ้านก่อนหนึ่งทุ่มตามที่พ่อแม่กำหนดไว้

กลางคืนก็คุยได้เหมือนเดิม แต่เช้าผมขอให้มันมารับผมไปด้วย เพื่อเร่งให้มันรู้จักความรับผิดชอบ คือหากมันสาย นั่นจะหมายความว่าผมต้องเข้าโรงเรียนสายไปด้วย ตัวมันมันไม่ค่อยแคร์ตัวเองหรอกครับ แต่มันแคร์ผม---นี่แหละที่ผมต้องการ

ตั้งแต่คบกันมา....มันไม่เคยพูดว่ารักผม ชอบผม หรือหวานอะไรกับผมเลย

ผมเลยต้องหาวิธีอื่นมาเติมความมั่นใจให้ตัวเอง และผมก็ไม่เคยผิดหวัง...กับมัน

.......

......

.....

....

...

..

.
 


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2012 22:56:20 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
"ผม" เป็นเด็กไม่ดีเลย พูดแบบนั้นกับแม่แล้วยังงอนแม่อีกได้ยังไง แฟนสำคัญหน่ะเข้าใจแต่ทำกิริยากับแม่แบบนั้นได้ด้วยหรือ

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2


.......

......

.....

....

...

..

.
 
วางสายเสร็จ ผมก็คว้ากระเป๋าออกมาจากบ้าน

“แม่ไปนะครับ” ผมเดินออกมาไหว้แม่ที่กวาดพื้นหน้าร้าน

“อ้าว ไปเช้าจังลูก รถยังไม่มานะ”

“ครับ พอดีนัดเพื่อนไว้แล้ว”

“อ๋อ พากันไปกินข้าวก่อนเข้าเรียนนะ อย่าให้รู้นะว่าไปเกเรเกตุงที่ไหน แม่จะเฆี่ยนให้ขาลายเลย คอยดู”

“หวายยยย ดุแต่เช้าเรา กินยาลืมเขย่าขวดเหรอแม่”

“ย่ะ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า...”

ทักทายแม่พอหอมปากหอมคอ ก็เดินออกมาจากซอย มาที่ปากทาง เดินไม่ได้เร่งรีบมากนัก เพราะกว่ามันจะขี่รถมาถึงเขาก็ยังต้องรอมันอีกสักพัก

แต่แปลก เพราะพอผมเดินมาแบบเห็นปากซอยลิบๆ ผมก็เห็นมอไซด์มันมาจอดแหละ มันเห็นผมเดินมา มันก็สตาร์ทรถ แล้วเลี้ยวตรงมาหาผม ผมก็เดินไปหามัน แล้วพอถึงกึ่งกลางกัน ผมก็หยุดเดินให้มันขี่มาหาผมแทน

“ตอนโทรมามึงอยู่ไหนน่ะ” ผมถามพลางก้าวขาซ้อนหลังมัน

“หน้าซอยมึงนี่แหละ” มันบอกพร้อมกับเริ่มบิดคันเร่ง

“ทำไมต้องโทรตรงนี้ โทรที่บ้านก็ได้”

“ไม่อยากให้มึงรอ”

“กูรอแป๊บเดียวเอง”

“อื้อ....”

สั้นห้วนเหมือนเดิม แต่ผมรู้ว่า หากเซ้าซี้มันต่อมันจะโมโห

มันตัดสินใจแล้วที่จะโทรตู้สาธารณะมาหาผมเมื่อมันมาถึงหน้าซอยผม ไม่ใช่โทรจากบ้านก่อนขี่รถออกมาเหมือนเดิมตามก่อนนี้ ด้วยประสบการณ์บอกผมว่า มันจะทำ ห้ามแย้ง ผมเลยเงียบ

สองเดือนที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่ผมที่เรียนรู้และปรับตัวเพื่อมันฝ่ายเดียว ผมเห็นแหละว่ามันก็ทำด้วยเหมือนกัน

อย่างแรก...มันไม่ยอมให้ผมบอกคำตอบในการบ้านทุกอย่างเหมือนก่อน มันเว้นบางวิชาที่มันคิดว่าตัวเองทำได้ ไปคิดต่อที่บ้านเอง

ข้อนี้ดีผมเห็นด้วยกับมัน

อย่างสอง...มันเก็บอารมณ์โมโหได้มากขึ้น

ข้อนี้ผมก็เรียนรู้ที่จะฟังมันมากขึ้นด้วย คือเคารพในการตัดสินใจของมัน กับฟังเวลาที่มันบอกผม....จริงจัง

ซึ่งจุดนี้ผมทำการบ้านหนักหน่อย เพราะต้องแยกให้ออกเองว่า เวลาไหนมันพูดเล่น พูดจริง.... (แอบบอกว่า ตอนนี้ (ซึ่งตอนไหนไม่รู้ ไว้ค่อยรู้กันเองนะครับ) ผมชอบถามมันโต้งๆ ไปเลยว่า มึงพูดเล่นหรือพูดจริงอยู่... มันโกรธแทบตายยังไง มันก็จะตอบผมตรงๆ เสมอ....เป็นอะไรที่ประหลาดแต่น่ารักดีนะ ผมว่า)

อย่างสาม...มันแสดงออกมากขึ้นว่าแคร์ผม

คือ ผมไม่ได้ไปแสดงอาการหรือพูดอะไรกับมันนะว่าอยากได้ความรักจากมัน แต่มันทำเองอ่ะ ซึ่งก็โอเคไง ผมอยากเห็นอยู่แล้ว ดีไง ผมชอบ

มีอีกมั้ย?

น่าจะมี แต่สาธยายไม่ออก หลักๆ ผมรู้สึกเท่านี้ ส่วนอื่นน่าจะเป็นปลีกย่อย

.......

......

.....

....

...

..

.

ผมกับมันก็ใช้ชีวิตไปตามที่เล่าจบปิดเทอมของชั้น ม.5 มาบรรจบ

คราวนี้เรามีเรื่องที่มันต้องสุมหัวกันคิด ปีหน้าเราต้องขึ้น ม.6 กันแล้ว ผมกับมันต้องเลือกว่าจะเอ็นฯ หรือจะเข้าสายอาชีพ และหากเข้าอะไรก็ตามเราจะไปที่ไหน

“กูหัวไม่ดี มึงก็รู้ ถ้ากูเข้าสายอาชีพ มันรุ่งกว่า” มันนั่งหมอบกับโต๊ะหินอ่อนโดยเอามือทั้งสองข้างมารองหน้าตัวเองไว้

“........งั้นราชมงคล กูไปกับมึงอ่ะ” ผมบอกมัน

“ม่ายอาว คะแนนสูง กูเอาราชภัฏพอ....”

“เฮ้อ.....” ผมหนักใจสิครับ เพราะคณะที่ผมต้องการมันขัดแย้งกับสถานที่ที่มันจะไป

“นี่”

“หือ?”

“อยู่ที่ไหนก็ได้ แต่เราเช่าหออยู่ด้วยกันโอเคป๊ะ?” มันเสนอเงื่อนไข

ผมละอายสุดๆ กับประโยคของมัน

ผมละอายตัวเองที่เห็นแก่ตัว อยากเอามันไว้ในสายตาตลอดเวลา วางแผนมัน บังคับมันกลายๆ ให้มันมาเรียนที่เดียวกับผม ไอ้ห้องน่ะ ผมจะเอามันมาแชร์อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว แต่ไม่พอ....เหมือนมันยอมให้ผมเท่าไหร่ ผมก็ไม่พอ

“มึง”

“อื้อ...”

“ลองดูมั้ย? แค่ลอง ตอนสอบมึงลองพยายามให้ได้มากที่สุด เผื่อได้ไง แต่หากไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ทำคะแนนให้ดีไว้ ไม่เสียหลายใช่ป๊ะล่ะ นะ ได้มั้ย?”

“......................” มันหลับตานิ่งเป็นนาน ก่อนจะลืมตาแล้วบอกผมว่า “ก็ลองดูละกัน มึงอย่าคาดหวังอะไรกับกูนะ ทำใจไว้แต่ตอนนี้ก็ดี”

“ได้ ไม่มีปัญหา งั้นลงเรียนพิเศษพร้อมกูเลยนะ ไปด้วยกันนะ” ผมยื่นใบสมัครที่เรียนพิเศษให้มัน

ผมเล็งที่เรียนพิเศษของกรุงเทพไว้ มันมีเรียนเสาร์อาทิตย์ เราสามารถไปพักกับญาติผมได้ ญาติผมเขามีบ้าน แต่อาเขาออกไปทำงานทุกวัน และไม่มีปัญหาอะไร หากหลานจะขอไปพักแรมช่วงวันศุกร์

อย่างที่เคยบอก ช่วงนั้นการขนส่งไม่ได้ดีเลิศแบบตอนนี้ ไปกรุงเทพฯ ทีนึง จากบ้านผมก็กินเวลาขาไป 4-5 ชั่วโมง อันที่จริงในหลายชั่วโมงนั้นคือเราต้องนั่งรอเวลารถออก รถมันออกชั่วโมงละคัน ไหนจะไปไหนจะกลับ คนเดินทางโทรมตาย เราจึงต้องมีบ้านเอาไว้พักตอนไปเรียนช่วงสุดสัปดาห์ เพราะเราเรียนมันตั้งแต่เช้ายันเย็นกันไปเลย

เรื่องพ่อกับแม่ทั้งฝ่ายผมฝ่ายมัน ไม่มีปัญหา เพราะหนึ่งปีที่คบกันมา เราก็พากันเรียนมาตลอด พ่อแม่ต่างฝ่ายต่างรู้หน้ากันแล้วว่าผมกับมันเป็น “เพื่อนสนิทกัน” ผมหรือมันต่างเข้าออกบ้านของต่างฝ่ายได้เหมือนบ้านตัวเอง

แต่ผมก็ไม่ใช่ว่าไปกินนอนเดินเล่นบ้านมันได้นะ พ่อผมไม่ยอมให้ขี่มอไซด์ ผมจะไปบ้านมันได้ก็ต่อเมื่อมันมารับไป  ส่วนมัน หากไม่ได้โทรบอกผมก่อนว่าจะมาหา มันก็จะขอแม่หรือพ่อผมก่อน ก่อนจะเดินเข้ามาในบ้าน ผมไม่รู้นะว่าแถวบ้านอื่นเป็นแบบนี้กันมั้ย? แต่แถวบ้านผม ถึงสนิทกันมากขนาดไหน แต่เด็กๆ จะมาจะไปต้องบอกกล่าวพ่อแม่หรือเจ้าของบ้านทุกครั้ง

ทุกอย่างในสมัยพวกผม เราต้องอยู่ในระเบียบของพ่อแม่ อยู่ในสายตาของพ่อแม่ ซึ่งหากเด็กสมัยนี้ไปอยู่ในช่วงเวลานั้นคงอึดอัด เพราะสมัยนี้อิสระเสรีกันมาก ทั้งนี้ผมคิดว่ามันอยู่ที่ปัจจัยเรื่องการสื่อสารกับเดินทางประกอบด้วย

คือสมัยผม เราไม่มีมือถือ เราจะตามตัวกันเจอกันยังไง หากไม่รู้ว่าลูกเราไปอยู่ที่ไหน ถึงมีตู้โทรศัพท์สาธารณะ แต่มันก็ไม่ได้ตั้งเกร่อแบบตอนนี้นะ มันจะตั้งอยู่ในเขตชุมชนเท่านั้น หากลูกใครหายไปซักคน การตามหามันยากมาก ดังนั้นผู้ใหญ่สมัยนั้นจึงใช้วิธี กันไว้ดีกว่าแก้ อ้อ แต่บางบ้านก็ไม่ใช่อย่างพวกผมนะ เพื่อนผมที่พ่อแม่ปล่อยไปตามสบายก็มี

ออกทะเลล่ะ

กลับมาที่มันกับผมต่อละกัน.....ถึงไหนแล้ว ม.5 จะขึ้น ม.6 สินะ

อ้อ ช่วงปิดเทอมระหว่างจะขึ้น ม.6 ผมให้มันไปเรียนพิเศษพร้อมกับผมเลย



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2012 23:03:22 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2


.......

......

.....

....

...

..

.

พ่อมันขับรถมาส่งมันที่บ้านผม แล้วพ่อผมจะพาผมกับมันไปบ้านอาที่กรุงเทพฯ

ปิดเทอมครั้งนี้ เราไปกินนอนที่บ้านอากันเลย ไม่ใช่สุดสัปดาห์แบบที่ตั้งใจไว้ เพราะผู้ใหญ่ปรึกษากันแล้วว่า หากไปเริ่มเรียนพิเศษเอาช่วง ม.6 ทีเดียว มันอาจหนักไป เวลาสอบอาจล้าหรือเครียดมากได้ จึงให้เราไปกันตั้งแต่ปิดเทอมนี้เลย

ครั้งแรก พ่อไม่อยากให้ผมไปหาบ้านอาเอง กลัวหลง กลัวไม่ถึง สารพัดกลัว แล้วก็ตามมารยาท ผู้ใหญ่ควรไปเจอกันเองด้วย ไม่ใช่ส่งเด็กๆ ไป เพราะอาถึงเป็นญาติ แต่อาก็ไม่ค่อยกลับมาบ้าน ถึงโทรคุยกับแม่บ่อยก็เหอะ พ่อกับแม่ก็ยังเกรงใจภาษาของผู้ใหญ่

ระหว่างนั่งรถไปกับพ่อของผม ผมก็นั่งคิดทบทวนถึงตัวเอง

ก่อนที่แม่จะยอมให้ผมไปเรียนพิเศษที่กรุงเทพฯ แม่เลยบอกว่า หากไม่ใช่ “ผมในวันนี้” เป็นลูกที่เป็นเด็กไม่รู้จักรับรู้ผิดชอบในตัวเอง ไม่รู้จักมองอนาคตในแบบ “ผมเมื่อวันก่อน” หากไม่ใช่แล้ว แม่จะไม่ยอมให้มาเรียนพิเศษที่กรุงเทพฯ เด็ดขาด เพราะ “ผมเมื่อวันก่อน” ต้องเสียคนแน่นอน

คือ...ผมไม่รู้จะอธิบายกับพวกคุณที่เป็นคนในยุคคาบเกี่ยวกันกับผมยังไงนะ แต่รุ่นผม ทุกอย่าง ทั้งความคิด ทั้งการกระทำของผมหรือคนรุ่นพ่อแม่ เค้าเป็นกันแบบนั้นจริงๆ

การที่อยู่ในระเบียบมากๆ มาเจอที่ที่โล่งอิสระแบบกรุงเทพฯ หลายคนจะหลงแสงสีไปกับมันแบบกู่ไม่กลับ ดูบ้านนอกไปมั้ย ...แต่นั่นแหละ เรื่องจริง!

แม่บอกว่า ตั้งแต่ผมเป็นเพื่อนกับมัน ผมดูใจเย็นมากขึ้น รู้จักฟังคำสอนของแม่ รู้สึกเอาเหตุเอาผลมาคุยกับแม่ ขยันมากๆ ตื่นแต่เช้า ถึงนอนดึกเพราะคุยโทรศัพท์ แต่ก็ยังตื่นเช้า แม่เลยไม่เคยว่าเรื่องที่ผมนั่งคุยโทรศัพท์ตอนกลางคืน (นี่ถ้าไม่ได้คุยกับแม่วันนั้น ผมก็ไม่รู้เรื่องหรอกนะ ฮ่าฮ่าฮ่า บางทีผมว่าผมแอบแม่ลงมาคุยโทรศัพท์แล้วนะ แต่แม่ยังว่าแม่รู้ สุดยอดเลยฮ่ะแม่!)

แม่บอกอีกว่า เพื่อนที่ไปด้วยน่ะ อย่าพาเค้าเสียคน หรือเค้าจะเดินนอกลู่นอกทางผมก็ต้องพาเขากลับมา เพราะพ่อแม่ของฝ่ายนั้น เค้าคิดว่าสามารถฝากฝังลูกชายเค้ากับผมได้ เห็นว่าผมดึงลูกเขาให้ขยันเรียนขึ้น เลยเริ่มมีความหวังที่จะลูกเรียนสูงๆ ซึ่งแต่ก่อนเขาเห็นลูกเขาแล้ว เขาคิดแค่ว่าให้จบ ม.6 ไปแล้วไปทำไร่ทำสวนกับพ่อ...แค่นั้น

บอกตรงๆ เลยนะครับ ที่ผมได้คุยกับแม่วันนั้น ผมรู้สึกถึงภาระที่แบกบนบ่า มันหนักแต่ไม่อึ้ง เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ยอมรับที่จะแบกมัน

อนาคตของผมเป็นของมัน และอนาคตของมันผมก็อยากให้มันฝากไว้กับผม

ผมพร้อมที่จะดูแลมัน และหวังให้มันพร้อมให้ผมดูแลด้วย

แต่มันเป็นความคิดของผมฝ่ายเดียว

และอีกนานเลยกว่าผมจะได้รู้...ในจุดนี้

.......

......

.....

....

...

..

.







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2012 23:06:11 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2


.......

......

.....

....

...

..

.

“พี่ไม่ต้องห่วง ผมดูแลเด็กๆ ให้เองครับ มีไรโทรมาได้ เราน่ะ ถึงอาไปทำงาน แต่เหมือนอยู่บ้านนะ ห้ามกลับบ้านเกินหนึ่งทุ่ม ไปไหนมาไหนต้องบอกอา อาจะโทรมาเช็คที่บ้านเป็นช่วงๆ ไม่เจอล่ะน่าดู” อาชาญบอกกับพ่อผมเสร็จถึงหันมาบอกกฏเกณฑ์กับพวกผม

ก็ไม่ได้อะไรมากมาย เป็นเรื่องปกติที่พวกผมทำกันจนชินแล้ว

พ่ออยู่กินข้าวเย็นกับพวผมก่อนถึงค่อยกลับ พอพ่อกลับไปผมก็เหวงโหวงอยู่นะ กี่ปีแล้วล่ะที่อยู่แต่กับบ้าน ไม่เคยออกมาค้างที่ไหนแบบมาอยู่เองเหมือนเช่นลักษณะนี้มาก่อน แต่อาชาญเฮฮาเป็นกันเองดี ที่ผมกับมันเกร็งๆ เลยไม่เท่าไหร่ล่ะ

อาชาญเปิดห้องให้พวกผมพักหนึ่งห้อง เป็นห้องใหญ่ของบ้าน ห้องของอาชาญเป็นห้องเล็กของบ้าน อาบอกว่าห้องใหญ่มันใหญ่ไป นอนแล้วเหงา ก็นะ ชายโสดยังหาเมียมาแต่งไม่ได้ ซื้อบ้านไว้รอท่า ฮาพิลึก

อาปล่อยให้พวกผมจัดห้องกันเอง อาบน้ำ นั่งเล่นไป บ้านนี้มีโทรทัศน์สามเครื่อง ในห้องของพวกเราก็มี ก็ไม่ใช่ว่าอาชาญรวยอะไรหรอกนะ แต่แกอ่ะ จับสลากปีใหม่มาได้ แกเล่าว่าหากปีนี้จับได้ทีวีอีก จะเอาไปให้แม่ผม .... บางครั้งดวงดีซ้ำซ้อนมันก็ไม่ใช่เรื่องดีสินะ-----ฮา

.......

......

.....

....

...

..

.

“มึง เตียงใหญ่อยู่นะ มึงจะรำคาญป๊ะ ถ้าไม่ชอบ เดี๋ยวกูนอนพื้นเอง” ผมบอกมัน

“มึงนอนข้างบนเหอะ กูนอนข้างล่างเอง” มันบอก พลางเอาเสื้อผ้าออกมาแขวน

“ได้ไงวะ ให้แฟนนอนพื้น กูก็หน้าตัวเมียดิ”

“...............”

เอาอีกล่ะ เงียบอีก ผมล่ะหน่าย “ไม่เอาน๊า ตกลงกันก่อน มึงอย่าเพิ่งตัดสินใจเองสิ” ผมลงไปนั่งคุกเข่าที่ด้านหลังมัน

มันวางผ้าในมือและหันหน้ามาเจอกัน ผมรีบนั่งทับขาของตัวเอง เพื่อที่จะให้ระดับความสูงของหน้าอยู่ในระดับเดียวกับมัน

“เอา มึงว่ามาก่อน” มันบอก

“เอาที่มึงนอนสบาย” ผมบอกมัน

“พื้น” มันตอบสั้นๆ

“ม่าย หากมึงชอบนอนกลิ้ง ไม่ชอบให้มีคนมานอนข้างๆ มึงนอนเตียง กูจะนอนพื้น” ผมก็แจงสิครับ รอช้าอยู่ไย

“...........เตียงมันใหญ่มั้ยล่ะ?” จู่ๆ มันก็เปลี่ยนคำถามซะงั้น

“ก็ใหญ่ดิ มันไซด์ขนาดผู้ใหญ่นอนกันสองคนสบายๆ เลยล่ะ” ผมบอกมัน

“กูเฉยๆ ไงก็ได้” มันพูดจบมันก็หันไปสนใจเสื้อมันต่อ

ผมก็นั่งบื้อแปลไทยให้เป็นไทยอยู่กับพื้นที่เดิม-----มันหมายความว่าไงหว่า?

.......

......

.....

....

...

..

.

ทนไม่ไหวครับ สะกิดแขน แล้วถามมันให้ชัวร์ๆ ดีกว่า “มึง มึง”

“เอ้อ....”

“ถ้านอนบนเตียงด้วยกันมึงไม่รำคาญใช่ป๊ะ นอนหลับใช่ป๊ะ” ผมถามมัน

“.....อื้อ.....”

โอเค ผมก็โล่งใจ เก็บเสื้อผ้าของตัวเองใส่ตู้....จากนั้นก็ไปอาบน้ำ ผมให้มันอาบก่อนเพราะตัวเองยังเก็บของไม่เสร็จ

พอเก็บของเสร็จผมก็ถอดเสื้อผ้ารอไว้ เอาผ้าเช็ดตัวพันช่วงล่างไว้ แล้วนั่งรอมันอยู่ในห้อง พร้อมกับดูทีวี

สักพักมันก็กลับมา

ตอนมันเปิดประตูเข้ามามันร้องอุทานเบาๆ “อุ้ย!”

“ไร เป็นไร?“ ผมหันหน้าไปมองมันด้วยความสงสัย มันเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเรียบร้อยแล้ว สงสัยเอาไปด้วย

“เปล่า....มันหนาวแอร์....” มันบอกแล้วเดินเข้ามาในห้อง

“อ้าว เหรอ เออ มึงปิดแอร์เลย เดี๋ยวเปิดพัดลมนอนได้ ไม่น่าจะร้อนหรอก กูไปอาบน้ำก่อนนะ” ผมบอกมันแล้วเดินออกไปอาบน้ำบ้าง

.......

......

.....

....

...

..

.

กลับมาในห้อง เห็นมันนั่งดูทีวีอยู่นิ่งๆ

ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินไปนั่งดูทีวีข้างๆ มัน แต่เว้นระยะห่างกันนะ ห่างเท่าปกติแหละ ผมรู้ว่ามันไม่สะดวกใจเวลาผมไปชิดๆ แนบๆ มัน

.......

......

.....

....

...

..

.

นั่งอยู่นานราว สี่ทุ่มได้ผมก็ง่วง

“ฮ๊าววว-----มึงง่วงยัง?” ผมถามมัน

“หือ? ง่วงแล้วเหรอ?” มันหันหน้ามาถามผม

“ฮื๊อ...พรุ่งนี้อาชาญให้ตื่นหกโมงเช้า กินข้าวก่อนไป กูว่ามึงนอนเหอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เพลียนะมึง” ผมพูดพลางลุกขึ้นไปบิดขี้เกียจ

“...ฮื้อ....” มันรับคำในลำคอแล้วเดินไปปิดทีวี

“มึงอยากนอนไหนล่ะ ชิดผนังป๊ะ?” ผมถามมัน

“ไงก็ได้ว่ะ” มันบอก

“ไงก็ได้ งั้นมึงนอนในละกัน”

“เอ่อ...กูนอนริมละกัน มึงนอนในเหอะ”

“อ๊าว มึงนี่ ไหนว่าไงก็ได้”

“เออ เออ มึงอยากนอนก็ได้ เดี๋ยวกูนอนในเอง” มันพูดพลางเดินนำไป

ผมยื่นมือไปคว้าแขนมันไว้ ยังไม่ให้มันเดินผ่านผมไป

ทันทีที่ผมคว้าแขนมัน มันหันขวับมาหาผมทันที สายตามัน.........ตื่น ครับ ตื่นกระหนกนะ

ผมระบายลมหายใจ เอาให้มันได้ยินนี่แหละ จริงๆ ก็นึกสงสัยอยู่ล่ะว่ามันเงียบผิดปกติ แต่ผมก็คิดว่ามันอาจคิดถึงบ้านอยู่ไรงี้ เลยไม่ได้ไปเซ้าซี้มัน แต่....บางสิ่งมันก็ฉุกให้ผมทดสอบดูว่า มันเงียบไปเพราะสิ่งอื่นด้วยมั้ย?

และแววตาของมันตอนนี้ก็บอกในสิ่งที่ผมสงสัย

“มึงเป็นไรครับ ทำหน้าแบบนั้นทำไมวะ?” ผมถามมัน

“....ปะ เปล่า... ปล่อยดิ จะนอนแล้ว....” มันสะบัดแขนตัวเองให้ลหุดไปจากมือผม

ผมก็ปล่อยมันไปง่ายๆ นะ

ผมมองมันที่คลานขึ้นเตียงไปนอนซุกติดผนัง แล้วอ่อนอกอ่อนใจ ก่อนอาบน้ำผมก็นึกว่าตัวผมจะได้นอนเตียงสบายๆ แล้ว มันเล่นเป็นแบบนี้ผมก็ต้องระเห็จไปนอนพื้นอ่ะดิ

ว่าแล้วผมก็เดินไปหาเตียง หยิบหมอนของตัวเองลงมา พร้อมกับตุ๊กตาเน่าๆ ประจำตัว (มีกันใช่มั้ย? ต้องมีสิ อะไรสักอย่างที่ติดมาแต่เด็กน่ะ แต่ของผมสะอาดนะ แม่ผมซักให้อย่างดี ตอนนี้ก็มีคนซักให้อย่างดีเหมือนเดิม)

ผมวางหมอนลงพื้น กะที่เหมาะๆ แล้วก็นอนเอนลงไป กอดตุ๊กตาเน่าของผม พอผมหลับตา เสียงจากคนที่นอนข้างบนก็ดังขึ้น

“นี่”

“ไร”

“ไปนอนพื้นทำไมวะ”

“ก็มึงแหละ”

“.........”

เงียบ แสดงว่ารู้ตัว ผมก็ไม่สน ผมเหอะ กูจะนอนแหละ กูช้ำใจ แฟนแม่งไม่เชื่อใจกู

.......

......

.....

....

...

..

.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2012 23:11:37 โดย BaoBao »

armmyrine

  • บุคคลทั่วไป
ชอบอ่ะ :-[.  ไม่อยากบอกเลยว่าทันรุ่นนี้ด้วย สมัยก่อนหยอดเหรียญคุยโทสับกันนี่เยอะแล้วนะ. เพราะมีอะไรก็ไปคุยกันที่โรงเรียน. เวลาจะหาใครก็ต้องเดินตามหา ถามคนนั้นคนนี้ ว่าเห็นคนที่เราตามหาไหม ลำบ๊าก. ลำบาก เราผ่านสมัยนั้นมาได้ไงนะ :laugh:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
ฮ้า
ดีจังนะเรื่องนี้ ได้บรรยากาศเก่าๆเหมือนตอนสมัยเด็กๆ อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2


.......

......

.....

....

...

..

.

สักพักใหญ่ ผมก็ได้ยินเสียงสวบสาบบนเตียง

และสักแป๊บผ้านวมผืนโตก็ตกลงมาคลุมตัวผม

ผมลุกพรึบขึ้นมาทันควัน มันยืนค้างอยู่ข้างๆ ตัวผมที่นอนจมอยู่ในกองผ้านวมผืนใหญ่

ผมจ้องตากับมันแบบไม่ยอมอ่อนให้

.......

......

.....

....

...

..

.

มันทรุดเข่าคงมานั่งยองๆ ตามันมองสบกับผมตลอด เป็นนานกว่ามันจะเอ่ยปาก “โอเค กูผิด กูคิดมาก กูขอโทษ ถ้าหากมึงไม่ทำอะไรจริง ก็กลับไปนอนเตียง พอใจยัง?”

แหม  พูดอย่างเสียมิได้เลยนะมึง ชิ “ก็ไปดิ”

ผมรวบผ้าห่มไว้ในหอบมือ มันก็หยิบหมอนกับตุ๊กตาเน่าของผมขึ้นไปวางบนเตียงให้ มันวางตุ๊กตาเน่าไว้ข้างหมอนผม ก่อนจะคลานเข่าไปที่หมอนของมัน แล้วก็นอนรอผ้าห่มจากผม

ผมสะบัดผ้าห่มให้คลุมทั้งตัวมันตัวผม

หัวมันถึงหมอนแล้ว

หัวผมกำลังถึงหมอน

“โกรธป๊าววะ” มันถามผมเสียงอ่อยๆ

“โกรธ แต่หายแล้ว” ผมบอกมันไปตามตรง

“โอเค ฝันดีว่ะ เอาไอ้เน่ามึงไปไกลๆ กูด้วย เหม็น” มันพูดพลิกตัวไปนอนคว่ำ

บอกตรงๆ เลยนะ ไม่เคยเห็นมันนอน คือนอนจริงๆ เวลากลางคืนน่ะ ไม่เคยเลยสักครั้งเดียว นอนเล่นที่บ้านน่ะก็เคยบ้าง แต่ท่านอนมันตอนนี้ดิ เอาหน้าซุกหมอนแบบนั้นหายใจออกได้ไงวะ

“นี่มึงนอนท่านั้นตลอดเลยเหรอวะ?”

“อื๊อ” เสียงมันอู้อี้อยู่ในหมอน

“หายใจออกได้ไงวะ ไม่เอามั๊ย ลองเปลี่ยนดูมั๊ย”

“ฮึ๊” เสียงอู้อี้ในหมอน

“เฮ้อ----” ไม่เอาล่ะ เหนื่อย ขี้เกียจเถียงกับมันแหละ มันจะนอนท่าไหนก็เรื่องของมึง

ว่าแล้วผมก็หลับตานอน และหลับไปอย่างง่ายดาย

.......

......

.....

....

...

..

.

ตื่นมาตอนเช้า ผมก็ตื่นมาในท่าเดิม เป็นคนนอนเรียบร้อยครับ ผมหันไปหาคนที่นอนข้างๆ กะว่าจะได้เห็นหน้ามันนอนน้ำลายยืด -----ฮ่า ผมวิปริตไปมั้ย แบบว่า ไอ้หน้าตาทุเรศๆ ของแฟนเนี่ย ผมชอบมองนะ เพราะเราอ่ะ จะเป็นคนเดียวที่ได้เห็นไง สวนกระแสไปมั้ยครับ ฮ่าฮ่าฮ่า...

แต่...ผมเห็นแค่หมอนครับ ไม่มีตัวมัน ผมเลยลุกสิครับ แต่มันหนักพุง ไม่รู้มีอะไรมาทับที่หน้าท้อง

ผมผวาไปทั้งตัว นึกว่าผีอำสิครับ แต่ก็กลั้นใจเปิดผ้าห่มออกมา ----ผ่างงงงงงงงงง

ไอ้เชี่ย! แฟนผมมันมานอนน้ำลายยืดบนพุงผมอ่ะ

แม่ง สกปรกสุดๆ!!!

.......

......

.....

....

...

..

.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2012 23:14:27 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
นึกมาตั้งแต่ตอนแรกว่า "มัน" จะเป็นพระเอก แต่พอมาตอนนี้ "ผม" เป็นพระเอกใช่ป่าว ??

เราสับสน 555

ออฟไลน์ imissyou

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
เขาสองคนยังไม่ได้ตัดสินใจว่าใครจะเป็นพระเอก  :m1:

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2


.......

......

.....

....

...

..

.

นั่นคือคืนแรกในบ้านอาชาญ และมันก็เป็นท่าประจำของทุกๆ คืน

นี่ถ้าไม่ได้มานอนบ้านอาชาญ ผมคงไม่มีวันรู้เลยว่า มันแม่งนอนดิ้นขนาดนี้ ก่อนนี้เคยนอนกลางวันแบบไม่กี่ชั่วโมง ก็พอเห็นอยู่ว่ามันดื้น แต่ไม่สวิงแบบตอนกลางคืนอ่ะดิ

พอบ่นกับมันกลับบอกว่า ผมแปลก เพราะคนอื่นน่ะถีบมันลงเตียงตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ผมแปลกมากที่กว่าจะรู้ตัวก็เอาตอนเช้าทีเดียว

อ๊าววววววว *0* ตกลงกูคนประหลาด เออ เอากับมันสิ ผมก็แค่กลับสนิท เป็นพวกหลับลึก หลับรวดเร็วเปรี้ยงเดียวเช้า ว๊าเว๊ย! เพิ่งสำเนียกในความแปลกของตัวเอง

บ่นจบแหละ กลับมาต่อเรื่องของมันกับผม

มาถึงตรงนี้ทุกคนคงจุกอกว่า กิ๊ว กิ๊ว นอนเตียงเดียวกัน อยู่บ้านเดียวกัน มีกุ๊กกิ๊กกันบ้างรึเปล่า..... 

บอกไปจะเชื่อกันมั้ยว่า ไม่มีเลย

เหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่มีแม้แต่สัมผัสมือ หัวไหล่เบียดกันก็ไม่มี (เอ่อ...ยกเว้นตอนขึ้นรถเมล์นะ)

เอ่อ คุณคร๊าบบบ..... สมัยนั้นวิทยาทานความรู้ด้านซัมติงของเกย์เนี่ยมันน้อยเท่าเม็ดแมงลักนะครับ ยิ่งพวกกระผมสองตัวมันแผลงมาจากกระทาชายด้วยแล้ว กระผมจะแบกหน้าที่ไหนไปถามสาว(ประเภทสอง) ว่า อ๊ะ อ๊ะ กัน มันทำไงครับ เข้าใจป๊ะ

โอเคว่าเบสิคน่ะรู้ มันก็เหมือนๆ กับเราทำกับผู้หญิง

แต่คู๊ณ.....ตบมือข้างเดียวไม่ดังอ่ะครับ แล้วแฟนผมเค้าก็เป็นโรคหวาดระแวง แถมผมก็ไม่มีรสนิยมหื่นชอบขืนใจแฟนด้วย

แต่ผมกับแฟนก็โอเคกับชีวิตที่เราเป็นอยู่ในตอนนั้นนะครับ

อืม...มันเป็นช่วงเรียนก่อนเอ็นท์ฯ ด้วยมั๊งเราเลยไม่มีใครมานั่งคิดถึงเรื่องนี้กันให้รกสมอง นี่ๆ สมัยพวกผมน่ะ มันเอ็นท์ครั้งเดียวนะ คะแนนช่วยอะไรก็ไม่มีสักอย่าง ฝีมือหัวสมองล้วน วัดกันเลยครั้งเดียว ตายเป็นตาย

เดี๋ยวจะหาว่าผมมันกามตายด้าน ก็สารภาพเลยครับ แหม ม.5 มันก็โตนะ รู้แหละ ไอ้เรื่องระบายความใคร่ให้ตัวเองมันทำไง ซึ่ง.....คิก คิก คิก ก็จินตนาการถึงมันนะ ว๊าเว้ย พูดไปก็อายไป

ส่วนมันผมไม่รู้หรอกนะว่ามันเป็นเหมือนผมมั้ย ไม่เคยถามอ่ะครับ จนวันนี้ก็ไม่ได้ถาม

ผมก็ลองมาสังเกตุตัวเองนะ คือตัวผมไม่ใช่พวกที่ต้องอะไรกับตัวเองทุกวันอ่ะ แต่อาทิตย์ละครั้งก็โอเคแหละ

หากถามว่าเจอหน้าแฟนแล้วไม่อยากใกล้ชิดกันเหรอ ตอบได้เลยเสียงดังๆว่า อยากสิวะ

อยากกอดมัน อยากจับมือมัน อยากหอมแก้มมัน....เอ่อ หากได้ก็ขอจูบด้วย มากกว่านั้นไม่ได้คิด คือถ้าได้ผมก็ถือว่าฟลุ๊คแหละ

แต่คุณๆ ครับ “มัน” ของผมเนี่ย เรียกว่าไงดี มันขี้อายใช่ป๊ะ แล้วกับเรื่องกีฬาในร่ม ผมมองๆ แล้วมันไม่ค่อยหมกมุ่นอ่ะ ยิ่งกว่าผมอีก

ก็ไม่รู้นะ อย่างที่บอกแต่แรก คือเมื่อผมคบกับมัน เราออกอาการแบบไปไม่เป็นกันซะมากกว่า

แต่เราก็เอาแค่ โอเคอยากคุยกันเราก็คุย อยากเจอหน้ากันเราก็เจอ อยากอยู่ด้วยกันนานเราก็อยู่ด้วยกัน....คือแค่ประมาณนี้ล่ะครับ

หวายย ออกทะเลอีกแล้ว ป๊ะๆ กลับมาๆ

เรามาถึงไหนกันแล้วล่ะ

อืมม..... เช้าวันที่ต้องไปเรียนพิเศษนะ ...ไหน ขอนึกก่อนว่ามีอะไรน่าสนใจมั้ยหนอ?

.......

......

.....

....

...

..

.

ก็กินข้าว แล้วอาชายก็พานั่งรถเมล์ไปที่เรียน อาชาญมีรถนะ รถประจำตำแหน่ง กระบะขนของนั่นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า

อาชาญบอกว่า จะสอนให้นั่งรถเมล์ จำทางกลับบ้านทางไปเรียน เราก็จำกันสุดฤทธิ์

พอมาถึงที่เรียนอาชาญก็เข้าไปด้วย ไปดูห้องเรียน จนอาชาญพอใจ อาชาญถึงค่อยไปทำงาน แต่อาก็ยังฝากเบอร์โทรที่ออฟฟิศไว้กับเรา เผื่อกรณีฉุกเฉิน

หลังจากลาอาชาญเสร็จแล้ว เราก็เดินไปนั่งรอในห้อง เด็กหลายคนต่างจับกลุ่มคุยกันเอง เราไม่ได้ไปแนะนำตัวกับใคร คือไม่กล้า และไม่รู้ว่าควรเข้าหาพวกเขายังไงด้วยล่ะ

มันดูเหมือนไม่สนใจคนอื่น มันนั่งจดจุดสังเกตุขาไปขากลับในหัวของมันลงสมุด บางทีมันก็ถามผมว่าอันไหนก่อนอันไหน ผมเคยมาก่อนมันอยู่หลายครั้ง แต่มากับแม่ เลยพอจำได้เลาๆ

“มึงจะจำทำไมวะ กูก็ไปกับมึง”

“เผื่อสิวะ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้”

“มึงว่ากูจะทำมึงหายเหรอ”

“ไม่ใช่ เผื่อเดินๆ แล้วพลัดหลงกัน นั่งรถแล้วพลัดหลงกันงี้ไง”

“........................อย่าหลงดิวะ มึงก็มองกูดีๆ ตามกูดีๆ จะไปไหนดึงกูไว้ด้วย อย่าทำให้เป็นห่วงนะเว้ย กูห่วงจริงๆ นะ” พอมันพูดผมก็จินตนาการสิ นี่ไม่ใช่ที่บ้าน หากหลงกันขึ้นมาในทางใดทางหนึ่ง จริงอยู่ว่ามันอาจหาทางกลับมาบ้านอาชาญได้ มันมีเบอร์ที่ทำงานอาชาญ มีเบอร์บ้านอาชาญ แต่สำหรับผม การดูแลแฟนของตัวเอง ผมต้องทำได้สิ ผมรับปากแม่ผมมาแล้ว พ่อแม่มันก็เชื่อใจผม ยอมปล่อยมันมากับผม.....

“ก็เผื่อๆ ไว้ อย่าทำหน้าเครียดดิวะ แล้วนี่เรียนกี่โมง ห้องนี้แน่ป่าว” มันรีบเปลี่ยนเรื่อง หันเหความสนใจของผมไปที่อื่น

“ห้องนี้แหละ อาชาญถามพี่ที่ด้านหน้าแล้ว เวลาเปลี่ยนห้องก็เดินตามเค้าไป กลุ่มมันเช็ตกันอยู่แล้ว”

.......

......

.....

....

...

..

.

มีสิ่งหนึ่งไม่สิ ในโลกนี้มีหลายสิ่งที่เราไม่รู้

และที่ผมกับมันเพิ่งประจักษ์คือ การเรียนพิเศษของกรุงเทพมันเข้มข้นสุดยอด แม่งอยู่ ม.5 กำลังจะขึ้น ม.6 แค่ช่วงปิดเทอม ที่โรงเรียนนี้จะสอนในส่วนของ ม.6 ทั้งสองเทอมให้เราภายในเวลาสองเดือน โหดที่สุด!

พวกเรายิ่งกว่าถูกตีหน้าชา เพราะคนอื่นที่ดูว่าเป็นเด็กในพื้นที่ นั่งเรียนกันฉิวๆ (ตอนหลัง มาตีซี้คนในกลุ่มเดียวกัน ถึงได้รู้ว่า พวกเด็กเมืองกรุงเค้าเรียนล่วงหน้ากันมาแล้ว ที่มานั่งเรียนเนี่ย เหมือนมาทบทวนความจำ แต่บางคนที่แม่นแล้วจะไปโน่นเลย เตรียมเอ็นท์)

บอกตรงๆ นะ ตกใจมาก สมัยนั้น ไม่มีใครมาบอกนะว่าที่นั่นที่นี่เค้าทำแบบนั้นแบบนี้ มันไม่มีอินเทอร์เน็ตไง หากเรื่องไหนไม่ลงหนังสือพิมพ์ ไม่มีจดหมายมาแจ้งครูที่โรงเรียน เด็กบ้านนอกอย่างพวกผมไม่รู้เรื่องอะไรกับเค้าหรอกครับ ยิ่งไม่ได้มาเรียนพิเศษแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึง ก็เอาไปตามที่หัวสมองมันจะจำได้อ่ะครับ ไม่ได้จำล่วงหน้ามานานแล้วแบบเด็กในเมืองกรุงฯ

พวกผมน่ะได้ยินอยู่เรื่องของสอบเทียบ แต่มันเป็นเรื่องไกลตัวเหมือนเมืองไทยกับฮอลีวูด

คือถ้าเราไม่ใช่ชนชั้นมันสมองมาแต่เกิด จะไปสอบเทียบอ่ะมันยาก ซึ่งผมไม่ใช่ไง ผมแค่ห้อง 3 มีจิตสำนึกดีในการเรียนรู้เฉยๆ ไม่ใช่ชนชั้นมันสมองแบบห้อง 1

นึกไปถึงตอนนั้นนะ ผมมันบ้ามาก เจอของไง เลยอยากลองของ ก็มุๆ เรียนๆ ทบทวนๆ อ่านซ้ำๆ....เลวมากที่ลืมเรื่องมันไปเลย ลืมที่จะนึกถึงหัวอกมันที่ “เป็นคนเข้าใจช้า” ขอย้ำ แฟนผมไม่ได้โง่ แต่มันเป็นคนลังเลเลยเลือกว่าอะไรถูกอะไรผิดได้ช้ากว่าชาวบ้านเค้า

แล้วนั่นแหละ คือจุดผิดพลาดของผม

.......

......

.....

....

...

..

.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2012 23:21:53 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

อ่านแล้วรู้สึกว่าสมัยก่อน คนเราอดทนอะไรได้มาก แต่พอมีความสะดวกสบายเข้ามาทนอะไรกันไม่ได้เลย

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เด็กสมัยโน้นเรียบร้อยเนอะ

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2


.......

......

.....

....

...

..

.

ผมเห็นมีของให้ลองก็เลยลองของ อยากได้ความรู้ สำนึกสุดไส้ติ่งว่ามึงอ่ะโง่เง่า เลยกระหายอยาก จะรู้มันให้ได้หมด จะซึมซับมันให้หมด....ทั้งหมดนี้ ไม่ได้บังคับตัวเองแต่ฉันท์ใด คือสันดานผมมันเป็นแบบนั้นอ่ะนะครับ

เวลาเรียนเรามี 8 โมงเช้าถึงโน่นเลยครับ 5 โมงเย็น พักเที่ยงก็กินแถวนั้น แล้วผมก็มานั่งทบทวนต่อ

นานวันเข้า ไม่ไหวสิครับ บางอย่างมันเกินเข้าใจเอง เลยต้องขอไปพบครูผู้สอน ครูก็ใจดีนะ สอนให้เลย ถามมาตอบไป ตรงๆ เจ๋งมาก ผมก็ชอบสิ ไม่รู้ไรปุ๊บถามครูเลย แล้วก็เอาเก็บมาทบทวนอันไหนท่องได้ก็ท่อง

ห้าวันแรกผ่านไปแบบมึนๆ

วันเสาร์ผมตื่นมาเกือบเที่ยง ตื่นมาไม่เห็นมัน งัวเงียไม่ล้างหน้าแปรงฟัน เดินลงไปหามันข้างล่าง กะว่ามันต้องอยู่ข้างล่างแน่ๆ ก็จริงครับ เจอมันนั่งคุยโทรศัพท์อยู่

ผมไม่ได้ตั้งใจฟังนะ แต่มันได้ยินพอดี

คุณเอ๊ย มันเจ็บจี๊ดที่ขั้วหัวใจ

“เกรงใจมันน่าแม่ ถึงเรียนไม่เข้าใจเลย แต่ก็ยังได้รู้ไงว่าเราไปไหวแค่ไหน”

“อื้อ... ไม่เสียเปล่าหรอกแม่ ที่เรียนอยู่นี่ก็ของม.6 เดี๋ยวขึ้นเรียนม.6 ผมก็สบายขึ้นไง จะได้มีเวลาอ่านเตรียมสอบเยอะๆ เห็นมั้ย มันก็มีดี”

“อื้อ มันตั้งใจมากเลยแม่ ก็ดีนะ เห็นมันตั้งใจแล้วเราก็อยากทำมั่ง แต่หัวผมมันไม่ไหวอ่ะ ทำใจนะแม่นะ เอาแค่ราษภัฏฯ พอเนอะ”

“อื้อ ไม่กวนมันหรอก รู้ครับ”

“อื้อ ครับ ไม่เสียใจ แต่อยากบอกแม่แต่เนิ่นๆ อ่ะครับ กลัวแม่เสียใจ”

“ก็ดีครับ โอเคเนอะ เราเข้าใจกันเนอะแม่เนอะ ถ้าไงฝากบอกพ่อด้วยนะ แต่พ่อคงขำแหละ ขายควายส่งควายเรียนแท้ๆ ฮ่าฮ่าฮ่า”

แล้วมันก็คุยเล่นถามโน่นนี่กับแม่มันอีกหน่อย พอเห็นว่ามันวางสาย ผมก็รีบแอบขึ้นไปชั้นบน ผมนั่งนิ่งอึ้งอยู่ในห้องคนเดียว เชี่ยสุดๆ ด่าตัวเองอ่ะนะ น้ำตาแม่งก็ไหล

ผมบอกไม่ถูกหรอกว่าตอนนั้นรู้สึกยังไง แต่มันต้องร้องไห้เท่านั้น มันไม่มีทางระบายทางอื่น

ผมได้ยินเสียงมันเดินมา มันเปิดประตู ชโงกหน้าเข้ามา “อ้าว ตื่นแล้วเหรอวะ ป๊ะ กินข้าว ล้างหน้าอาบน้ำก่อนนะ อาชาญไปทำงานแล้ว วันนี้กูทำของโปรดมึงทั้งนั้นเลยนะเว้ย รีบๆ มาแดก”

ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาคลุมหัว “เดี๋ยวลงไปนะ ขอสระหัวก่อน เหม็นๆ หัวตัวเองว่ะ”

ผมพยายามทำเสียงให้เป็นปกติที่สุดแล้วรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำ ผมรีบถอดเสื้อผ้า แล้วเดินไปด้านล่างของฝักบัว ทันที่เสียงน้ำไหลซู่ลงมา ผมก็ปล่อยน้ำตาของตัวเอฝห่ไหลผสมไปกับมัน

ผมมีเวลาแค่ ชั่วอาบน้ำกับสระผม แล้วผมก็ต้องกลับเป็นผมคนเดิม

อย่าทำให้มันเป็นห่วง อย่าเผยพิรุธให้มันเห็น

ยิ่งคิดถึงกับข้าวที่มันทำให้.... คุณรู้มั้ย อยู่บ้านอาชาญมา 5 วัน ทุกเช้า ทุกเย็นมันจะทำกับข้าวให้ผมกับอาชาญกิน ที่สำคัญ ผมไม่ได้ใส่ใจเลย ผมมัวจดจ่ออยู่แต่กับสิ่งตรงหน้า รู้แค่ว่ามีคนยื่นข้าวมาให้ มีคนเรียกไปกินข้าว แล้วคนนั้นก็หยิบจานชามไปล้าง

แต่คุณ....ข้าวมันไม่ได้สุกแค่เอามันมาวาง แกงเทโพมันไม่ได้เสร็จแต่คุณเอาใส่ไมโครเวฟ

ทุกอย่างที่ผมชอบกิน มันทำให้ผมเองกับมือตั้งแต่เริ่มต้น หั่นผักหั่นเนื้อ กว่ามันจะเสร็จให้ผมกินล่ะ กว่ามันจะล้างจานล่ะ แล้วมันยังต้องมานั่งอ่านหนังสือกับผม อยู่จนเข้านอนพร้อมกับทุกอื่น ซึ่งก็เที่ยงคืนโน่น แต่มันก็จะตื่นเช้ากว่าผมเพื่อทำอาหาร...อาหารที่มันบอกว่า ถุงนี้ซื้อมา ไข่เจียวทอดเอง .......ซึ่งไม่มีทางล่ะที่แกงถุงนึง จะได้รสชาติเหมือนบ้านผมขนาดนั้น ..... ไม่มีทาง.....ไม่มีทาง

.......

......

.....

....

...

..

.




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2012 23:25:14 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ imissyou

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
เรื่อย ๆ นะ

เค้าไม่รีบ มาได้เรื่อย ๆ  :m1:

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2


.......

......

.....

....

...

..

.

วันเสาร์นั้น ผม....ผมอยากคุยกันมากๆ แต่สภาพจิตใจผมเองล่ะที่ไม่พร้อม ผมอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง บ่ายแก่ ผมก็เริ่มไม่ไหว บอกมันว่าเหมือนปวดหัว ขอนอนพักหน่อย มันก็กระวีกระวาดเอายามาให้ แล้วแล้วนั่งเฝ้าผมอยู่ข้างเตียง

มันนั่งพลิกหนังสือที่เราเรียนไปๆ มาๆ...ไม่ใช่ไปเรื่อยๆ

มันเลือกอ่านเฉพาะที่มันชอบ เลขกับวิทยาศาตร์มันทิ้งเลย

ผมไม่ได้นอนหรอกนะ ผมนอนแต่ลืมตา ผมมองเสี้ยวหน้าของมันที่ก้มลงอ่านหนังสือ พ่อเจ้าประคุณเอ๊ย ทรมานที่สุด ต้องห้ามน้ำตาไม่ให้ไหล แต่พอจะเอ่ยปากชวนมันคุย ก้อนเหนียวที่ไหนก็ไม่รู้มันก็มาจุกที่ลำคอ

จนเกือบเย็นล่ะ สักบ่ายสี่โมงได้ ผมก็ลองเอ่ยปากพูดดู

“ถามกูมั้ย? ไม่เข้าใจตรงไหนถามกูได้นะ”

มันหันหน้ามามองผม “ตื่นแล้วเหรอ?”

“อื้อ เมื่อกี้” โกหกคำโต

“ปวดอยู่ป๊ะล่ะ” มันถามพลางชี้ที่หัวของมัน

“ไม่แล้ว”

“อยากกินไรวะ เอาข้าวต้มป๊ะ”

“ปกติตอนเย็นมึงไปซื้อของกินที่ไหนวะ”

“แถวนี้แหละ ปั่นจักรยานไป ทีนึงแพงทีนึงถูกกว่า แต่มันมีแต่ของบ้านๆ ขนมต้องที่แพงๆ”

มันสาธยายมาราวกับอยู่มาแล้วเป็นเดือน เฮ๊ย! ใครก็ได้ เอายาห้ามน้ำตามาให้กูที เรื่องแบบนี้ทำไมกูไม่เคยรู้เลย ทั้งที่กูก็อยู่กับมันมา 5 วันเท่ากัน!

“ป๊ะ เดินเล่นกัน อยู่แต่ในห้องมันอุดอู้ว่ะ” ผมทำเสียงร่าเริงบอกมัน

มันยิ้มครับ ยิ้มแฉ่งสุดๆ ยิ้มที่ผม....เพิ่งรู้ว่าไม่ได้เห็นมานานหลายวันแล้ว...บ้าฉิบหาย ผมมันบ้าที่สุด!

“ป๊ะ ป๊ะ งั้นวันนี้มึงเลือกเองนะ ขนมน่าอร่อยเต็มไปหมด กูจะเลือกให้มึงก็ลำบากใจ อันนี้ก็ดี อันนั้นก็ดี”

มันลุกขึ้นแล้วทำหน้าทำตาประกอบสิ่งที่มันพูด ..... น่ารักนะ เวลามันทำท่าแบบนี้

เห็นมันที่ทำแบบนี้แล้ว ไม่ว่าผมอยู่ในอารมณ์ไหน ผมยิ้มออกได้เสมอล่ะครับ....ไม่เว้นแม้แต่วันนี้ด้วย

.......

......

.....

....

...

..

.

ผมขอมันปั่น ให้มันซ้อน มันบอกว่าขากลับให้มันปั่น แล้วผมซ้อนบ้าง จะได้แฟร์ๆ กัน ...ผมก็โอเคนะ แฟนขอนะครับ ไม่เคยปฏิเสธ

มันบอกทางผมอยู่ข้างหลัง

ปั่นมาแค่แป๊บเดียวพอเรียกเหงื่อ เราก็มาถึง.....เรียกว่าไรดี เหมือนตลาดนัดอ่ะครับ แต่อยู่บนคอนกรีต เป็นระเบียบเรียบร้อย

“อันนี้ที่แพงๆ ใช่ป๊ะ?” ผมไม่ลงจากจักรยาน และหันหน้าไปถามมัน

“อื้อ” มันพยักหน้าหงึกๆ

“ไปซื้อที่ถูกก่อนมั้ย กลัวขนมเละ”

“มึงไปเดินดูก่อน เปรียบเทียบกัน อย่าเพิ่งซื้อ ไว้ไปเดินที่โน่นแล้วจะได้รู้ว่าจะซื้ออะไรจากที่โน่น ตรงโน้นมันไกลกว่า ไปกลับไม่ได้ เสียเวลา”

ดูครับ "มัน" ของผมอ่ะ ฉลาดจะตาย

ผมเอามือไปขยี้หัวมันแรงๆ “เก่งมาก กูแม่งคิดไม่ถึงเลย”

“คิกคิกคิก” มันยิ้มแฉ่งยิ่งกว่าเดิม แถมหัวเราะคิกเลยด้วย

จากประสบการณ์ของผม เวลานี้มันอารมณ์ดีสุดๆ.....แค่เพราะผมมาตลาดกับมัน

ผมลงจากรถ เดินดูของตามที่มันชี้ แต่ใจน่ะเริ่มคิด.....คิดว่าจะทำยังไงดับเรื่องในเวลานี้ เรื่องในอีกหนึ่งปีข้างหน้า และเรื่องในอนาคตอีกหลายปีของมันกับผม

อืม....อยากบอกมันนะครับว่า ผมตกหลุมรักครั้งที่สองกับมันก็วันนี้แหละ รอยยิ้มแฉ่งของมันวันนี้ ที่เดินตลาดกับผม....ครั้งนี้กาวใจของผมมันเหนียวกว่าเดิม ผมมีพลังและความเชื่อมั่นมากกว่าเก่า.....ความเชื่อมั่นว่าเราจะไปกันรอด...จนแก่เฒ่าไปด้วยกัน

.......

......

.....

....

...

..

.

“กินไรล่ะ?” มันถามผมตอนมาเดินที่ตลาดบ้านๆ

“อืม.....ผัดผักบุ้ง แล้วก็....ซื้อหมูทอดร้านนั้นละกัน” ผมชี้ไปที่ร้านหนึ่งที่ดูน่ากิน

มันขมวดคิ้ว “เอาหมูทอดหรือหมูทอดกระเทียม”

“เอานั่นอ่ะ” ผมชี้ไปที่ร้านเดิม

“มันมีแต่มัน ไม่เอาหรอก”

“มึงรู้ได้ไง”

“ก็กูไปขอชิมตั้งแต่วันแรกที่มาเดินตลาดแล้ว ชิมแล้วก็เกรงใจพี่แก เลยซื้อสิบบาท แม่งมีแต่มันทั้งดุ้น โยนให้หมา หมาแม่งยังเมิน”

*0* ไม่เลี้ยงเลยครับ กะว่าหากกูแดกได้นี่คงลิ้นยิ่งกว่าหมาสินะ ----- “เอาไข่เจียวก็ได้”

“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวกลับไปซื้อหมูตลาดขนมเอา ที่นั่นสดกว่า”

“เฮ้ย มึงไม่ต้องลำบากทำ เอาแค่ผัดผักบุ้งพอ”

“ลำบากตรงไหนกะอีกแค่หมูกระเทียม” มันกระแทกเสียงใส่

“โหย กูว่าเลิกเรียนมาเปิดร้านขายกับข้าวมั้ยมึง ท่าจะรุ่ง พูดมาได้อีแค่หมูทอดกระเทียม”

“บ้าล่ะ รสชาติพอแหลกร่ายแบบกู มึงรับทานคนเดียวเหอะ ให้คนอื่นกินกูอายว่ะ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า......”

ใครว่าล่ะครับ ฝีมือมันอ่ะ อร่อยเหาะเลย ผมติดรสมือมันมาก กินที่ไหนก็ไม่เหมือนกินกับข้าวฝีมือมัน นี่หรือเปล่าที่เขาเรียกว่า “เสน่ท์ปลายจวัก ผัวรักผัวหลง” แม่งเล่นของนี่เอง ฮ่าฮ่าฮ่า

.......

......

.....

....

...

..

.

ผมปั่นจักรยานมาอีกครั้ง อาศัยมันที่กำลังพูดจ้อๆ เม้าท์เรื่องแม่ค้าตลาดโน้น จัดการปั่นจักรยานมาเอง มันลืมไปแล้วว่ามันขอขี่ขากลับอ่ะครับ

ผมปั่นมาถึงตลาดแรก ก็เดินเลือกขนมไปกิน มันบอกไม่ให้ซื้อเยอะ เพราะเค้าขายทุกวัน รอทำใหม่ๆ ดีกว่าเอากลับไปแช่ ก็เชื่อครับ ไม่ได้กลัวครับ ไม่ได้เกรงใจด้วย แต่โบราณว่าไว้เชื่อเมียแล้วจะรุ่ง โอเคป๊ะครับ?

ซื้อของมาได้เต็มถุง มันก็เล่าเรื่องแม่ค้าตลาดนี้ให้ผมฟัง ปั่นพามันกลับไปบ้านอาชาญ

ผมจอดจักรยาน มันก็เดินถือถุงหิ้วยืนหน้าประตูบ้าน รอผมไปไขประตูให้

ขณะที่ผมไขประตูมันก็ร้องขึ้นมา

“เชี่ย!”

“ไร เป็นไรวะ” ผมหันควับไปถามมันด้วยความตกใจ

ปึ๊ก! มันแตะขาผมแรงๆ แต่ไม่เจ็บมากหรอกทีหนึ่ง

“ไรเนี่ย เตะกูทำไม”

“มึงทำไมไม่เตือนกู กูต้องปั่นขากลับเว้ย”

ผมเอามือไปขยี้หัวมัน “เก่งมากที่จำได้ แต่ช้าไปหน่อยนะ”

ปึ๊ก! มันแตะขาผมอีกที

“โอ๊ย!”

“แดกผักบุ้งจิ้มซีอิ๊วไปเถอะมึง! ไม่ทำแม่งแล้ว!”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

.......

......

.....

....

...

..

.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2012 23:31:00 โดย BaoBao »

armmyrine

  • บุคคลทั่วไป
  :m15: ทำเค้าน้ำตาไหลเรยยย.   แต่ก็จริงนะบางทีเราก็คิดถึงตัวเอง มากกว่าคนที่อยู่ข้างๆๆ :o12:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2


.......

......

.....

....

...

..

.

ผ่านจากเสาร์อาทิตย์นั้น ผมเริ่มเอาใจใส่มันมากขึ้น

พอว่างผมจะหันไปถามมันว่า รู้เรื่องมั้ย?

มันก็ซื่อ ตอบผมตรงๆ ว่าไม่รู้เรื่อง

แต่ผมไม่อยากบีบบังคับมัน เลยบอกมันแค่ “ให้สอนก็บอกนะ สงสัยก็ถามเป็นจุดๆ เลย แบบนี้ก็ง่ายดี ดีป๊ะ?”

มันยิ้มครับ พยักหน้าหงึกๆ .....ในแบบที่ผมชอบ

เวลาว่างจากคาบเรียน  ผมไม่เข้าอะไรแล้วจะไปถามครู ผมจะขอมันก่อน “กูไปคุยกับครูได้ป๊ะ?”

“ได้ ไปเลย”

“ไปด้วยกัน”

“ไม่อ่ะ ไม่สงสัยอะไรสักอย่าง”

“งั้น ซื้อข้าวให้หน่อยนะ เดี๋ยวกลับมา”

“หิวเหรอ"

"อื้อ ใช้สมองเยอะ แต่คงกินไม่หมด แบ่งกันคนละครึ่ง มึงไปเลือกเลย มึงอยากกินอะไรกูก็กินอันนั้นแหละ”

แล้วผมก็จะเดินไปคุยกับครู กลับมาก็จะนั่งกินข้าวหรือก๋วยเตี๋ยวที่มันซื้อ แล้วก็เล่าว่าไปคุยอะไรกับครูมา

คือ มันของผมอ่ะ ชอบเรื่องเล่า อะไรที่เหมือนเล่าให้ฟัง ไม่ใช่สอน มันจะจำแม่น ผมเลยเปลี่ยน ทำเป็นว่าเล่าให้ฟังว่า ผมคิดไง ผมสงสัยยังไง แล้วไปถามครู ครูพูดไง มันก็มีปฏิกริยาสนใจนะ เช่น งงว่าทำไมเป็นงั้นล่ะ ผมก็บอกนี่ไง แล้วเล่าๆ ไป... สักพักมันก็ถึงบางอ้อ หรือไม่ถึงบางอ้อวันนี้ เดี๋ยวมันก็คิดต่อเองวันหลัง

อยู่บ้านอาชาญ เวลาจะอ่านหนังสือ เดิมผมอ่านในห้องนอน ผมก็เปลี่ยนมานั่งอ่านที่โต๊ะกินข้าว มานั่งดูมันทำกับข้าวบ้าง ช่วยมันเด็ดผักไปพลางอ่านหนังสือไปบ้าง ช่วงนี้มันไม่ได้ความรู้หรอก แต่มันไม่เหงาไงครับ ก่อนนี้ผมเก็บตัวมากไป จนมันเกิดความรู้สึกเหงา...ไม่ดีที่สุดเลยครับ

หากคุณเป็นแฟนกับใครสักคน อย่าเด็ดขาดนะที่จะให้เขาเหงา เพราะมันบ่มเพาะความฟุ้งซ่านหลายอย่างในความสัมพันธ์ของคุณ

คุณต้องทำอะไรก็ได้ ให้เขารู้ว่า รู้นะ กำลังพยายามอยู่ด้วยกัน หรือทำแค่อย่างที่ผมทำก็ได้

“กูขอไปหาครูนะ เดี๋ยวมา”

“กูกลับมาแล้ว”

“กูขออ่านหนังสือหน่อยนะ”

“กูขอน้ำเปล่าหน่อยสิ”

“ไปตลาดกัน”

“กินอะไรก็ตามใจมึง”

“กูขอไปอาบน้ำนะ”

“กูขอไปล้างหน้านะ”

มันง่ายมากๆ ประโยคพวกนี้ ใครๆ ก็ทำได้ เพียงแต่อย่าลืมที่จะพูดก็เท่านั้น....ผมเกือบลืม จนผมเกือบต้องเสียคนที่ผมรักไป ดังนั้น ผมจึงจำช่วงเวลานี้ได้แม่นที่สุด

.......

......

.....

....

...

..

.

สองเดือนผ่านไป ไวเหมือนโกหก

ผมกอบโกยความรู้มาได้เยอะ ถึงไม่หมด แต่ผมรู้ล่ะว่าจะไปต่อยังไง และต้องเพิ่มศักยภาพตัวเองตรงไหน
ส่วนมัน...มันเอาเท่าไหร่ผมแล้วแต่มัน

ก่อนไปเรียนพิเศษ ผมหวังไว้เยอะ อยากให้มันไปเรียนที่เดียวกัน เรียนที่ใกล้กัน อยากให้อยู่หอเดียวกัน อยาก....อยาก....อยาก...สารพัดอยาก

.......

......

.....

....

...

..

.

สุดท้าย ผมก็สำนึกว่า มันเป็นความอยากของผมคนเดียว

จริงอยู่ว่ามันเองก็อยากอยู่กับผม อยากไปเรียนด้วยกัน ซึ่งมันก็เคยมุ่งมั่นมาแล้ว มากับผมนี่แหละ แต่มันก็ตระหนักในตัวเองได้อย่างรวดเร็วว่า มันไปไม่ถึง

ที่สำคัญ มันไม่บอกผม แต่ผมไม่ว่ามันนะ ผมเข้าใจ มันกลัวว่าผมจะเสียใจ กลัวว่าผมจะทิ้งที่ที่หวัง แล้วมาอยู่กับมัน

จริงนะ ผมทิ้งมหาลัยที่ผมหวังได้....เพื่อมัน

แต่พอได้ยินในสิ่งที่มันพูดกับแม่มันวันนั้น ผมรู้สึกถึงสิ่งหนึ่ง-----ชีวิตของตัวเอง

ทุกคนต่างมีเส้นทางของตัวเองให้เดิน คุณจะพาคนคนหนึ่งมาเดินทางเดียวกัน มันก็ได้อยู่หรอก แต่มันก็ต้องมีสักวันที่เขาจะเดินไปในทางของเขาบ้าง แต่เขาไม่ได้ไปไหนนะ เพราะเราเดินตรงไปยังบ้านหลังเดียวกัน----บ้านแห่งความรักของเรา

.......

......

.....

....

...

..

.

สมัยแรกๆ ที่คบกันผมกลัว....กลัวว่ามันจะไม่รักผม อย่างที่ผมรักมัน

ต่อมาผมก็กลัว....กลัวที่มันจะลืมความรักของผมกับมัน

แล้วต่อมาผมก็กลัว...กลัวความห่างกัน จะทำให้มันเปลี่ยนไป

.......

......

.....

....

...

..

.

เพราะความกลัว ผมจึงพยายามถมช่องว่างที่โหว่ในหัวใจด้วยอะไรก็ได้ ที่ทำให้ผมมั่นใจ และเลิกกลัว

.......

......

.....

....

...

..

.

แต่ดูสิ

ผมเป็นบ้าอะไร

นี่ผมเพิ่งคบกับมาได้แค่ปีเดียว มันยังมีปีต่อๆ ไปอีกไม่รู้กี่ปี ทำจะมาบ้าอะไรกับมันตอนนี้

.......

......

.....

....

...

..

.

ไปกรุงเทพนี้ในครั้งนั้น นอกจากความรู้ที่ผมได้มาเต็มหัว ผมยังได้รู้ถึง “ปัจจุบัน”

ผมมันคนคิดไกล คิดจนเป็นนิสัย เอะอะก็มองแต่อนาคต...มองมันจนลืมว่า "ปัจจุบัน“ ผมกำลังทำอะไรกับมันไว้

มันไม่ยิ้ม

มันเกรงใจผม

มันแกล้งทำเป็นอ่านหนังสือ

มันไม่กล้าบอกว่ามันเรียนไม่รู้เรื่อง

ไม่กล้าบอกผมว่าจะต่อที่อื่น ไม่ไปกับผมแล้ว

“ปัจจุบันของผม” เกือบผุพังเพราะ “อนาคตที่สวยงามของผมแต่ผู้เดียว”

.......

......

.....

....

...

..

.

เกือบไปแล้ว ผมเกือบไปแล้ว

.......

......

.....

....

...

..

.



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2012 23:37:03 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
อ่านแล้วรู้สึกเหมือนย้อนอดีตจริงๆ
จำได้ว่าต้องมีสมุดจดเบอร์โทรศัพท์อันเล็กๆที่มันเป็นกระดาษต่อกัน
แล้วในวิชาภาษาไทย ต้องเขียนจดหมายถึงเพื่อนจริงๆด้วย

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2


.......

......

.....

....

...

..

.

ผมเดินออกจากบ้านในช่วงที่เช้าเป็นปกติ

วันนี้เหมือนเช่นทุกวัน ไปกินข้าวก่อนเข้าโรงเรียน

ผมเดินออกมาจากซอย ยังไม่ทันจะถึงปากซอย มอไซด์ที่คุ้นตาซึ่งจอดอยู่ตรงปากซอยบ้านผมก็สตาร์ทเครื่องแล้วเลี้ยวตรงมาหาผม

ผมเคยถามว่า มาถึงตรงนี้แล้วทำไมไปถึงหน้าบ้าน เพราะแม่ผมก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักมัน รู้มั้ยมันตอบผมว่าไง “รอมึงตรงนี้ตื่นเต้นดี เหมือนนัดกันไว้ มึงคงไม่เข้าใจหรอก”

ผมก็ขำนะ แต่ที่ขำเพราะอยากบอกมันเหมือนกันว่า คนที่รับสายโทรศัพท์อย่างผม รู้ว่ามันจอดรถรออยู่หน้าซอย แล้วเดินเรื่อยๆ มาหามัน เห็นมันขี่มอไซด์มาหา เจอกันคนละครึ่ง.... แบบนี้มันก็ตื่นเต้นดี ทำมาเป็นปี จนนี่จะจบม.6 อยู่อีกไม่กี่วัน ผมก็ยังตื่นเต้นทุกวัน กับภาพที่ว่านี้.....มึงคงไม่เข้าใจหรอก

.......

......

.....

....

...

..

.

เรานั่งกินข้าวที่ร้านต้มเลือดหมูร้านเดิม เหมือนทุกเช้าที่มาเรียน

วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายของ ม.6 หมดวันนี้ไปคือปิดเทอม แต่ไม่ใช่วันหยุดสำหรับเด็กเตรียมสอบเอ็นท์อย่างพวกเรา

สมัยเรา เราต้องรู้คะแนนก่อนถึงจะเลือกที่ที่จะเข้าเรียนได้ เราสามารถกะเกณฑ์ตัวเองได้ แต่เราก็ต้องคิดซ้อนแผนไปอีก เพราะเราต้องดูว่า เราได้คะแนนอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่

เราเลือกได้ เอ 3 หรือ 4 ที่นา ผมก็จำไม่ค่อยได้แล้ว ที่มาพิมพ์อยู่นี่มันนับว่านานมากเลยนะ เอาเป็นว่าเรามีตัวเลือกละกัน หากไม่ได้อันไหน ระบบก็จัดเราลงมาในลำดับต่อๆ ไปให้เองโดยอัตโนมัติ

ยากกว่ามั้ยกับในสมัยนี้?

ผมไม่รู้ เพราะผมไม่เคยเรียนรู้ระบบการสอบของสมัยนี้เลยครับ

อุ้ย ออกทะเลอีกแล้ว .... มาๆ อย่าเพิ่งเบื่อ อีกนิดเดียวนะ ใกล้แหละครับ

.......

......

.....

....

...

..

.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2012 23:39:37 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ witchhound

  • เบื่อ เบื่ออ เบื่อออ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ชอบ"ผม"กับ"มัน"จังเลย
"มัน"เนี่ย ถึงจะคิดอะไรช้าไปบ้างแต่ก็ดูแลใส่ใจผมเป็นอย่างดีเลย
ส่วน"ผม"เนี่ย นิสัยคล้ายตัวเองยังไงไม่รู้สิบรรยายไม่ถูกแฮะ
เป็นพวกชอบคิดอะไรไปไกลเหมือนกันเลยอะ  :เฮ้อ:

เรื่องนี้อ่านแล้วทำให้รู้อะไรเกียวกับการเป็นคู่ชีวิตกันดีนะ
ถ้าจะรักกันไปให้ได้ตลอดมันก็ต้องมีอะไรหลายๆอย่าง อย่างนี้แหละ

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2


.......

......

.....

....

...

..

.

“วันนี้วิชาที่มึงชอบเลยนะ เอาให้เต็มเลยนะเว้ย” ผมบอกมัน

“อย่าเลย เดี๋ยวพ่อกูหัวใจวายตาย แกอาจสงสัยได้ว่าเอเลี่ยนมาสับเปลี่ยนตัวลูกชายแก”

“ฮ่าฮ่าฮ่า”

หัวเราะยังไม่เสร็จ ต้มเลือดหมูก็มาวางที่โต๊ะ ผมเลือกตะเกียบ สำหรับผมและมัน เช็ดช้อนสำหรับผมและมัน

ส่วนมัน....มันก็ปรุงรสชาติไป รสที่มันว่าอร่อยแล้ว มันก็อร่อยสำหรับผม

ปกติเราสั่งกันแค่ชามเดียวพิเศษ แต่ข้าวเปล่าสอง หากไม่อิ่มก็เอาเพิ่มคราวนี้เอาแค่ธรรมดา ข้าวเพิ่มถ้วยเดียวแล้วมาแบ่งครึ่งกัน

วันนี้เราเอาแค่นี้ไม่เพิ่ม เพราะเดี๋ยวต้องเข้าห้องสอบ หนักท้องมากมันจะง่วง

“สอบเสร็จไปไหน?” มันถามผมแล้วตักข้าวเปล่าเข้าปาก ก่อนจะชดน้ำเสียงโฮก...แบบสะใจโคตร

“ไม่รู้ มึงอยากไปไหนล่ะ?” ผมก็ค่อยๆ ละเลียดกินไป เบาๆ ไม่กินน่าอร่อยเท่ามัน

“อืม....สอบเสร็จก่อนเที่ยงแน่ะ กินข้าวที่โรงอาหารแล้วค่อยไปกันมะ” มันหันหน้ามาถามความเห็น

“ก็ได้ ว่าแต่ไปไหนล่ะวะ”

“น้ำตก”

“นางรอง”

“เหวนรก”

“โห ไกล”

“ใกล้กว่านางรองน่า”

“มึงเอาอะไรวัดวะ?”

“ความรู้สึกเวลาลมตีหน้า”

“เชี่ยนี่!”

ด่ามันแบบขำอ่ะนะ มันกวนตีน....ตลอดมาเนี่ย ผมไม่ค่อยได้เล่าถึงความกวนตีนของมันเลยใช่ป๊ะ แต่เพราะตั้งใจนะ คือโปรดเข้าใจนะว่าผมหวง “มัน” ผมไม่เอาความน่ารักของมันมาเปิดเผยในที่สาธารณะเด็ดขาด------ก๊ากกกกกกก

“ไปนะ?”

คราวนี้มันไม่ได้ถามเอาความเห็น มันชวนจริงจังเลยล่ะ แล้วลองไม่ไปซี่ รับลอง ตูดขึ้นมาถึงหน้า

“เออ หาหมวกกันน๊อกมาใส่ด้วย ไม่มีกูไม่ขึ้น” ผมบอกมันเสียงเด็ดขาด

“มึงนี่ เรื่องเยอะแม่ง” มันบ่นเฉยๆ แล้วก็กินข้าวของมันต่อไป

.......

......

.....

....

...

..

.

ก่อนขึ้นรถไปโรงเรียน

“อ่ะ” ผมยื่นหมากฝรั่งให้มันเม็ดนึง

มันรับไป ดึงเนื้อหมากฝรั่งเข้าปาก แล้วเอากระดาษห่อมาวางที่มือผม จากนั้นผมก็ขึ้นซ้อนท้ายมัน ระหว่างนั่งซ้อนท้ายมันไปโรงเรียน ผมก็จะแกะหมากฝรั่งของตัวเองมากินเล่น

จากร้านต้มเลือดหมูหน้าสถานีรถไฟ ไปถึงโรงเรียนของพวกเรา ใช้เวลาแค่ 10 นาที หากบิดแบบมันขี่คนเดียว ก็แค่ 6-7 นาที แต่ไม่ได้ครับ หากผมนั่งซ้อน ผมห้ามมันเกินลิมิตของผม

วันนี้เด็กๆ บางนักเรียนมากันบางตามาก วันสอบวันสุดท้าย ทุกคนต่างเพียรกันมาแล้ว ส่วนพวกเรา เราพร้อมตั้งแต่เปิดเทอม (อ๊ะ เกือบลืมบอก เรียนพิเศษวันเสาณ์-อาทิตย์ที่ผมกะไปเรียนกับมัน พวกผมล้มเลิกนะ มาอ่านหนังสือกันเอง น่าจะดีไปนั่งเรียนให้เหนื่อย ถึงไงมันก็รวมความรู้เราตั้ง ม.1-ม.6 ใช่ป๊ะล่ะ)

มันขี่มอไซด์ไปจอดข้างโต๊ะหินอ่อนที่ประจำของเรา เวลามันนั่งรอผมเล่นบอล

ผมนั่งคุยเล่นกับมัน ไม่อ่านหรอกครับหนังสือ พอแล้ว ทำหัวให้โล่งๆ ดีกว่า ก็คุยกันไปเรื่อย ดินฟ้าอากาศ มันเล่าว่าเมื่อเพื่อนมันโกงข้อสอบกันด้วย แต่พอออกจากห้องปรากฏว่า ไอ้พวกที่โกง รันเลขผิด มันหัวเราะงอหายอยู่ตรงนั้นเลย โดนเพื่อนๆ กลุ่มนั้นยีหัวเล่นจนน่วม แต่มันก็ว่ามันขำ อดไม่ไหวจริงๆ

เพื่อนห้องมันนี่ ถึงเป็นห้องบ๊วย แต่พวกเขารักกันดีนะ เฮฮาปาร์ตี้กันมาก มากกว่าห้องต้นๆ แบบผมเสียอีก ห้องต้นๆ แบบของผม แข่งกันเรียน ไม่ค่อยคบหากันสักเท่าไหร่ น้อยมากที่จะสนิทกัน เป็นเพื่อนกันในแบบที่เรียกว่า “เพื่อน”..... หวังว่าพวกคุณคงแยกกันออกนะครับ อย่าให้ผมอธิบายเลย

จำได้มั้ย ตั้งแต่แรกที่บอกว่า ไปเจอมันที่งานวันเกิดเพื่อนแล้วเพื่อนผมแนะนำมันให้ผมได้รู้จัก ไอ้เพื่อนคนกลางที่ว่ามันก็อยู่ห้อง 11 นี่แหละ แตะบอลด้วยกัน เลยสนิทกัน แล้ววันเกิดที่ผมไปก็ของเพื่อนในชมรมบอล ไอ้คนนั้นมันอยู่ห้อง 13 ห้องโหล่ แต่ฝีมือแม่ง สุดยอด หากมันเอาดีทางบอล ผมว่ามันค้าแข้งได้แหละ

คิดถึงวันไหนก็ไม่เท่าวันสารภาพรักกับมัน ทั้งวันที่ให้ดอกกุหลาบมันแบบเอ๋อๆ ทั้งวันที่นัดมันไปหลังโรงยิม

ต่อไป หลังจากวันนี้ มันเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเราต้องแยกกัน ผมเดินไปทางหนึ่ง มันเดินไปทางหนึ่ง

ไม่พูดต่างก็รู้ว่าต่างคนต่างมีความในใจของตัวเอง

ซึ่งเป็นอย่างเดียวกันรึเปล่า ผมไม่อาจทราบได้ เพราะผมมัวแต่คิดถึงความคิดของตัวเองอยู่----- ถ้าเราไกลกันมึงจะเลิกรักกูมั้ย / ถ้าเราไกลกันมึงจะมีคนอื่นมั้ย? / ถ้าเราไกลกันเราจะกลับมาเป็นเพื่อนกันรึเปล่า? / แล้วถ้าเราไม่ไกลกันล่ะ เรามมีวิธีนั้นมั้ย?...........

ผมคิด โดยที่ไม่รู้ว่ามัน....คิดเหมือนผมหรือเปล่า

“กูไปล่ะ ต้องไปข่มพวกมันก่อนเข้าสอบ วิชานี้กูท๊อปมาตลอด คิก คิก คิก” มันผุดลุกขึ้นยืน แล้วหิ้วกระเป๋าแสนแฟ๊บของตัวเอง เอาคลิบดำมาหนีบกระเป๋าจนแบนแต๋ เอามาแค่ปากกา แต่ก็เสือกต้องหิ้วกระเป๋านักเรียนมา ไม่เข้าใจมันจริงๆ... เขานะ แต่เอาปากกาเสียบกระเป๋าเสื้อมา พอแหละ จะลำบากหิ้วกระเป๋านักเรียนเปล่ามาทำไม๊

“ให้รอตรงไหนล่ะ ถ้าสอบเสร็จ” ผมถามมันว่าจะลุกเดินไปเข้าตึกพร้อมกัน

“ตรงรถนี่แหละ หาง่ายดี”

“อื้อ...ป๊ะเดินไปด้วย” ผมบอกมัน มันก็ก้าวนำผมไป

เดินไปไม่เท่าไหร่ ผมกับมันก็ก้าวทันกัน แล้วเราก็เดินไปด้วยกัน จนถึงทางแยกไปตึกของแต่ละฝ่าย

“กระดาษดิ๊”

มันเรียกหากระดาษห่อหมากฝรั่ง ผมล้วงกระเป๋ากางเกงออกมา แบมือ มันก็ก้มหน้าลงมา....เหมือนปกติที่ทำทุกวัน เอาหมากฝรั่งในปากมัน คายลงบนกระดาษห่อบนมือผม

พอมันดึงหัวขึ้นไปผมก็จะหยิบหมากฝรั่งในปากตัวเองไปใส่รวมกัน แล้วเอากระดาษห่ออีกอันมาแปะทับด้านบน

“ไปนะ เดี๋ยวเจอกัน” มันบอกแล้ววิ่งไปทางตึกของมัน

ผมมองมันจนมันหายไปจากบันได แล้วถึงค่อยเดินไปที่หาถังขยะที่อยู่ตรงหน้า หย่อนห่อหมากฝรั่งในมือทิ้งไป แล้วเดินไปยังตึกอีกอันของตัวเอง

.......

......

.....

....

...

..

.

จำได้มั้ย? ที่เคยบอก

ผมไม่เคยได้แตะตัวมันเลย ไม่เคยเกินความจำเป็น

แต่ทุกวัน ฝ่ามือผมจะได้สัมผัสกับแก้มของมัน ตอนที่มันก้มหน้าลงมาคายหมากฝรั่ง

หึหึหึ.... เข้าใจผมมั้ย โอเคล่ะ ผมโอเคกับแค่นี้.....พอนะ อายว่ะ*0*

.......

......

.....

....

...

..

.

ผมขึ้นสอบด้วยหัวสมองที่ปลอดโปล่ง

ทำข้อสอบด้วยความมุ่งมั่น

ทำให้ดีที่สุด

ผมตั้งมั่นไว้แค่นั้น

แล้วผลจะออกมายังไง ช่างหัวมันครับ! ผมทำไปแล้วนี่ จะแก้ยังไงได้ล่ะ...จริงมั้ย?

.......

......

.....

....

...

..

.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2012 23:44:51 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
ชอบมาก อ่านแล้วอินด์สุดๆ เห็นภาพตามเลย น่ารัก ^ ^
 o13

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
จะบอกว่า สมัยเรา ม5-6 เราก็ติวเอนท์เหมือนกัน (บ่งบอกอายุ -"-)

แต่ก็ชิว ๆ ไม่เค๊ยไม่เคยจะมองอนาคตไกลอะไรมากมาย

"ผม" นี่คิดไกล คิดเยอะ และคิดดี

"มัน" ก็คิดเผื่อและสนใจคนข้าง ๆ ได้ดีทีเดียว

นึกย้อนไปแล้ว เราไม่ได้เศษเสี้ยวของ 2 คนนี้เลย

ช่องว่างเล็ก ๆ ตอนนั้นจนถึงตอนนี้มันเกินที่จะมาเชื่อมต่อกันได้

ถ้าเราคิดได้เหมือน "ผม" ในวันนั้นมันก็คงจะดี

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
เข้าใจอารมณ์ของเด็กเอนท์
แต่เรามันแบบว่าไม่ขนาดนั้นอะนะ ดูตัวเองจะชิวเกิ๊นน

zhai

  • บุคคลทั่วไป
ทำให้ย้อนไปคิดถึงตอน เอน ซะ ทรานซ์
มันบีบคั้นหัวใจเหลือเกิ๊น

ตอนไปเรียนพิเศษที่กรุงเทพ
อ่านแล้วน้ำตาซึมเหมือนกันแหะ
ชอบประโยคที่ว่า "ขายควายส่งควายเรียน"
ยังมีอารมณ์ขันน่ะเนี่ย
แสดงว่ามีพ่อแม่ที่ดี ไม่บีบคั้นลูก

เป็นกำลังใจให้น่ะ สำหรับฟิคน่ารักๆ แบบนี้
  :L2:
:pig4:

ออฟไลน์ kabung

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 468
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-3
อ๊ากกกกกกกกกกก ชอบๆๆๆๆ คิดถึงสมัยก่อนจริงๆๆ ได้บรรยากาศเก่าๆๆดีจัง

มาต่ออีกๆๆๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด