เสน่หา...รักเอย ๒๘
พยัคเฆนทร์อหังการ์สยบแทบเท้าศศน้อย
ศศน้อยแช่มช้อยลอยลออ เพียรพะเน้าเฝ้าพะนอคลอเคลียเจ้า
แก้มจันทร์ผ่องพี่หมายปองคนตาวาว คอยหยอกเย้าพเยียเพราอย่าตัดรอน “อยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วย หายหัวเงียบไป ฉันตามนายได้จากที่นี่สินะ” น้ำเสียงทุ้มห้าวดังขึ้นขณะร่างใหญ่เดินอาด ๆ ก้าวเข้ามาใกล้ตลิ่ง อัษศดิณย์มองเห็นน้องชายต่างสายเลือดดำผุดดำว่ายอยู่ในลำธารแต่ไกล แต่เมื่อเคลื่อนเข้ามาใกล้จึงได้เห็นใครอีกคนปรากฏในคลองจักษุ ดวงหน้าผ่องลออของละอ่อนน้อยดรุณเยาว์สะดุดตา ดวงตาแจ่มใสทอประกายพิลาส ทั้งที่อีกฝ่ายเพียงเงยหน้าเหลือบมองประสานสายตา ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือจากนั้น แต่กลับมีอิทธิพลให้คนดุร้ายคลายท่าทีดุดันลงไม่รู้ตัว อัษศดิณย์ชะงัก สายตามองจับคนหน้าผ่องเป็นยองใย ปาก คอ คิ้ว คาง ดูแฉล้มชวนมองนัก
“นี่พี่กานต์ อยู่ไร่ติดเรานี่เอง เพิ่งมาพักได้ไม่นานเพราะคุณพ่อไม่สบาย ส่วนนี่คุณอัษศดิณย์ เจ้าของไร่พิศาลอนันต์ยศ” ศิรวัฒน์ทำหน้าที่สื่อกลางแนะนำคนทั้งคู่ อัษศดิณย์ยังคงมองคนกระพริบตาปริบ ๆ ไม่ละสายตา แล้วเป็นฝ่ายพูดขึ้น
“เรียกพี่ดินธรรมดาก็ได้ ไม่ต้องเรียกชื่อเต็มยศหรอก” น้ำเสียงนุ่มนวล มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคมปลาบทอประกายละมุนดุจแสงแดดอ่อนฉาบอรุณ ทาบจับยังนัยน์ตากวางคู่งาม
“สวัสดีครับ เอ่อ...พี่ดิน” รพีกานต์กระพุ่มมือไหว้ผู้มากวัยกว่า คนตัวเล็กทำใจดีสู้เสือส่งยิ้มให้คนดุอย่างเสือ รัศมีดุดันแผ่ลามออกมาจากเรือนกายสูงใหญ่จนรู้สึกได้ แต่กระนั้นแล้วยามใบหน้าขึงขังลดประกายดุดันลง มุมปากยิ้มละไมเพียงบางเบา กับประกายตาอ่อนโยนก็พาให้หัวใจคนมองอุ่นวาบราวได้รับแสงแดดยามเช้าทาบทาลงมา
ชายผู้มาใหม่นั้นมีใบหน้าหล่อเหลาคมคายชนิดหาตัวจับยาก รพีกานต์เผลอไพล่ถึงพระเอกในนิยายของบิดา บทบรรยายรูปลักษณ์พานให้เคยสงสัยอยู่ครามครัน จะหาคนแบบนั้นได้ที่ไหนหนอ เรื่องไหน ๆ ต่างก็บรรยายรูปลักษณ์พระเอกเสียเลิศเลอ แต่ตอนนี้กลับมายืนให้ประจักษ์อยู่ตรงหน้าราวก้าวออกมาจากบทประพันธ์ก็ไม่ปาน
เค้าโครงรูปหน้าแบบไทยแท้แต่หุ่นสูงใหญ่ล่ำสันแบบยุโรป ดวงตาคมกริบแฝงด้วยกลิ่นอายแห่งอำนาจ ดูดุดันราวนัยน์ตาเสือป่าดุร้าย หากทรงพลังเจิดจ้าดุจแสงตะวันเรืองรอง เพียงมองมาปราดเดียวก็ให้สะท้านยำเกรง น้ำเสียงทุ้มลุ่มลึกไร้การกรรโชกแต่สามารถสยบคนฟังได้ในน้ำเสียงเดียว นี่คือนิยามความเป็น
‘อัษศดิณย์ พิศาลอนันต์ยศ’ บุคคลที่คนทั้งไร่ต่างขนานนามว่า
‘นายดินดุอย่างเสือ’ โดยแท้ รพีกานต์อยากจะรีบรี่กลับบ้านไปถามบิดาตอนนี้เสียจริง ว่าคนนี้หรือเปล่าหนา ต้นแบบพระเอกหน้าไทยในบทประพันธ์ของพ่อ คนที่รพีกานต์เคยนึกสงสัยว่าจะหาได้ที่ไหน
และเพราะเขายังคงทอดสายตาแลมา แก้มใสจึงรู้สึกเห่อร้อนแปลก ๆ รพีกานต์เฉไฉสายตาหลบวูบ ก่อนเหลือบขึ้นส่งรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นมิตรให้อีกที อัษศดิณย์ยิ้มพรายรับ ร่างใหญ่ย่อกายลงนั่งบนส้นเท้าข้างหนึ่งใกล้กัน เริ่มบทสนทนาทำความรู้จัก
“ไร่ข้าง ๆ กันนี่ เจ้าของคือคุณรพินทร์ ซื้อที่ทิ้งไว้แล้วก็ปล่อยเช่า ผมเองกำลังมีแผนอยากขยายไร่เพิ่ม สนใจที่ผืนนี้อยู่พอดี” น้ำเสียงของ ‘นายดินดุอย่างเสือ’ อ่อนโยนนุ่มนวลเป็นพิเศษ สายตาคมคายทอดมองอีกฝ่ายลึกล้ำ ดวงตากวางคู่งามกระพริบปริบด้วยความรู้สึกหลากหลาย น้ำเสียงทุ้มนุ่มทอดอ่อนละมุนหูราวคนฟังเป็นบุคคลที่น่าทะนุถนอมไม่ปาน รพีกานต์สบตากับเขา ก่อนเหสายตาเลี่ยงไปอีกทาง
“อ๋อ เป็นคุณพ่อของกานต์เองครับ” คนตัวเล็กร้องอ๋อรับรู้ รอยยิ้มกระจ่างใสฉาบบนผิวหน้านวล บรรยากาศรอบกายพลันสว่างสดใส เหมือนดวงตะวันเปล่งประกายเจิดจรัสยามเมฆเคลื่อนผ่านไปแล้ว
“เคยเจอแต่คุณพ่อ ไม่เคยเจอหน้าค่าตาลูกชายเสียที” มุมปากช้อนขึ้นเล็กน้อยมีชั้นเชิง เผยยิ้มเสน่ห์ร้ายกาจแบบผู้ใหญ่ที่พาให้ใจกระตุกได้โดยง่าย รพีกานต์เหมือนกระต่ายน้อยตัวหนึ่งที่ไม่ทันเฉลียวเล่ห์นายพรานผู้ช่ำชอง
“จริงสิ เมื่อกี้บอกว่าคุณพ่อไม่สบายหรือ” เขาชอบการสนทนากับคนหน้านวลยิ้มสวยขึ้นมาติดหมัด
“ครับ เลยถือโอกาสมาพักผ่อนสูดอากาศบริสุทธิ์”
“แล้วอาหารการกินสะดวกไหม ว่าง ๆ กานต์แวะมาที่ไร่ของพี่ดินสิ มีร้านไอศกรีมกับร้านสเต๊กด้วย ผักผลไม้สด ๆ ปลอดสารพิษ เผื่ออยากเอากลับมาทำกินเอง จริงสิ สนใจเค้กชาเขียวไหม มีพายมัลเบอร์รีด้วยนะ เค้กมัลเบอร์รีก็มี น้ำมัลเบอร์รี สตรอว์เบอร์รีบำรุงสายตา หลายอย่างต้องแวะไปเอง ฮั่นแน่ มีกลืนน้ำลาย” เขาชี้นิ้วหยอกเย้า เมื่อลองหลอกล่อด้วยขนมแล้วอีกฝ่ายมีท่าทีเคลิ้มตาม
“พี่ดินแกล้งกานต์ เอาของกินมาล่อแบบนี้ กานต์ก็หิวซี” รพีกานต์โวยวายเล็ก ๆ กลบเกลื่อนอาการเขินอายที่เผลอนึกภาพตามแล้วน้ำลายสอ ลืมภาพชายดุดันคนเดิมไปเสียสนิท
“ก็อยากหาเรื่องชวนเด็กน้อยเที่ยวนี่เนอะ ก็ต้องหลอกล่อกันหน่อย คราวนี้ก็รู้แล้วว่าน้องกานต์ชอบของอร่อย” เขาฉีกยิ้มกว้างหัวเราะออกมา ไม่เหลือเค้าคนเย็นชาคนเดิม
“เอาไว้พี่จะแวะไปเยี่ยมคุณพ่อ แล้วก็จะพากานต์เที่ยวไร่พี่ด้วย ดีไหม” เขาทอดน้ำใจตีเนียนเสนอตัวเข้าหา อยากทำความรู้จักนิสัยใจคอรพีกานต์มากขึ้นอีก
“ครับ เดี๋ยวกานต์จะบอกคุณพ่อด้วย” คนไม่รู้ตัวว่าถูกตีเนียนจีบเอ่ยปากตอบรับน้ำใจง่ายดาย ด้วยเห็นว่าเขารู้จักบิดาตนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อัษศดิณย์รั้งบทสนทนาชวนคุยอยู่ครู่ใหญ่ กระทั่งรพีกานต์มีโทรศัพท์โทร.ตาม ร่างเล็กจึงร่ำลาขอตัวกลับ ตลอดทางมีสายตาชายหนุ่มมองแผ่นหลังบางห่างออกไปจนลับหายไปในพุ่มไม้
“มองไม่วางตาเชียว เขามีแฟนหรือยังก็ไม่รู้” ศิรวัฒน์เอ่ยขึ้นลอย ๆ หลังกลายเป็นอากาศธาตุมานาน สายตาเหลือบมองใครอีกคนมองตามคนไปไม่วางตา
“มีหรือไม่มี ลองคุยไปเรื่อย ๆ ก็รู้ แต่อย่างน้อย ๆ ฉันก็มองสิ่งที่มันเจริญตาละนะ” ถ้อยคำเชือดเฉือนแล่นสวนกลับมา ราวลูกเกาทัณฑ์แล่นออกจากคันพุ่งตรงมาเสียบอกฉัวะ ตัดขั้วหัวใจพอดิบพอดี เมื่อไม่มีรพีกานต์ที่ตรงนี้ก็ไร้ความหมายโดยพลัน อัษศดิณย์จากไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมา ศิรวัฒน์เพียงแค่นยิ้มบางซุกซ่อนร่องรอยโศกศัลย์ในอก บอกตัวเองว่าชาชินเสียแล้ว
ชินกับการถูกเกลียดชังเข้ากระดูกดำ ชินกับความหมางเมินที่เหมือนม่านหมอกบาง ๆ คอยผลักคนทั้งคู่ให้ยืนอยู่คนละด้าน มองเห็นแต่แตะต้องไม่ได้ คอยมองดูเขามอบรักให้ใครคนแล้วคนเล่า แต่รักนั้นจะไม่มีวันตกถึงเรา มันก็เท่านั้นเอง แต่ทำไมนะ ทำไม นี่เขากำลังยิ้มอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วน้ำใส ๆ เปียกชื้นผิวแก้มนี่มันอะไร
“อ้อ อีกอย่าง” เหมือนนึกอะไรได้ คนที่ทำท่าผลุนผลันจากไปกลับชะงักเท้า ผินใบหน้าหันกลับมา ศิรวัฒน์สะดุ้งโหยง ทะลึ่งตัวพรวดพลางหันหลัง มือแสร้งตีน้ำเล่นกลบเกลื่อนอาการลนลาน
“ถึงนายจะเจอก่อน แต่ฉันก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะ” ทิ้งทวนคำพูดสุดท้ายไม่ต่างจากเอามีดเถือเนื้อกันสด ๆ แล้วควักหัวใจออกมาเหยียบขยี้ด้วยเท้า เสียงรองเท้าย่ำสวบสาบทิ้งห่างออกไปเรื่อย ๆ เหลือไว้เพียงคำพูดดังก้องสะท้อนกลับไปกลับมาในหู เขาปล่อยหยาดน้ำอุ่นใสรินไหลลงแก้ม มุมปากสั่นระริกยกขึ้นเชื่องช้าด้วยความขื่นขม ขณะทิ้งกายอ่อนเปลี้ยลงกลืนกับผืนน้ำช้า ๆ รอบกายเงียบงัน เขายิ้มให้ความอ้างว้างเหน็บหนาวที่รุมกระหน่ำทุบตีหัวใจดื้อดึงไม่ยั้ง ปล่อยให้สายน้ำโอบกอดปลอบประโลมหัวใจนี้ให้ผ่านความเจ็บช้ำไปอีกวัน
“ผมไม่เคยคิดอยากแข่งอะไรกับพี่ดินเลย คนอย่างผม ยอมแพ้ให้พี่ตั้งนานแล้ว”
“พี่ดิน ๆ รอน้ำด้วยคร้าบ”
“น้ำอย่าวิ่ง ค่อย ๆ เดิน เดี๋ยวหกล้ม พี่ดินรออยู่ มองน้ำอยู่ตรงนี้ ค่อย ๆ ตามมาครับ”
“พี่ดินอย่าทิ้งน้ำนะ”
“ครับ พี่ดินไม่ทิ้งน้ำหรอก”
“สัญญาก่อน”
“ครับ พี่สัญญา”ตั้งแต่เมื่อไรนะ ? ที่ไม่เหมือนเดิม
ก๊อก ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นขณะที่ศิรวัฒน์เปิดประตูออกจากห้องน้ำพอดิบพอดี ร่างสูงชะงักมือที่กำลังเช็ดผม ปล่อยผ้าขนหนูลงพาดบ่าแล้วเดินไปเปิดประตูให้ผู้มาเยือน
แกรก
“พี่...คุณดิน” เขาเปลี่ยนสรรพนามคำเรียกโดยพลัน เมื่อรู้ตัวว่าเผลอลืมตัวหลุดปากออกไปอย่างสนิทสนม ใบหน้าขึงขังเปลี่ยนไปเสี้ยวหนึ่ง ก่อนกลับมาเฉยชาตามเดิม โดยที่ศิรวัฒน์ไม่ทันสังเกต
“คุณดินมีธุระอะไรกับผมหรือครับ แล้วจะเข้ามาคุยข้างในหรือจะออกไปคุยข้างนอก” ศิรวัฒน์เลิกคิ้วเอ่ยปากถามรวบรวดเดียว ทั้งพิศวงระคนยินดีอยู่ลึก ๆ ที่พี่ชายแวะมาเยี่ยมหา แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับรพีกานต์ที่เจอกันในวันนี้ ความยินดีก็พลันเหือดหายไปจากใจอย่างรวดเร็ว และทุกความรู้สึกนึกคิดล้วนถูกซุกซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าไม่ยินดียินร้ายของเขา
“ข้างใน ส่วนตัวกว่า” อัษศดิณย์ตอบเสียงเรียบเคลือบแฝงลับลมคมในบางอย่าง สายตาคมคายมองจ้องเจ้าของห้องเมื่อได้ประจันหน้าใกล้ ๆ เพิ่งจะได้สังเกตสังกาอีกฝ่ายชัด ๆ ก็คราวนี้ ฝ่ายนั้นเพียงพยักหน้ารับรู้พลางร่นกายถอยกลับเข้าข้างในห้อง ผินหลังเดินนำเข้าไป
อัษศดิณย์มองพิจารณาน้องชายต่างสายเลือดเงียบ ๆ ทั้งส่วนสูงและใบหน้าหล่อเหลา ศิรวัฒน์โตขึ้นกว่าเดิมมาก ได้ข่าวว่าเป็นนักกีฬาของโรงเรียนที่พ๊อปปูล่าร์น่าดู แต่เขารู้ดี หมอนี่ต้องการเจริญรอยตามเพื่อวัดรอยเท้ากับเขา อัษศดิณย์เลื่อนเก้าอี้ชิดโต๊ะเขียนหนังสือออกพลางหย่อนกายลงนั่ง ถือโอกาสกวาดสายตาสำรวจห้องอีกฝ่ายไปด้วยในตัว ภายในห้องตกแต่งเรียบง่าย เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น
สายตาของชายหนุ่มสะดุดตากับรูปถ่ายวัยเยาว์ที่มีตนเองและน้องชายเป็นนายแบบ นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะนำไปขยายเป็นภาพใหญ่ติดผนัง นอกจากนั้นยังมีขวดโหลบรรจุหญ้าแห้งไว้ข้างใน เป็นหญ้าแพรกหัวโตที่เขาเคยเอามาเล่นตีไก่กับน้อง ตามที่เห็นลูกคนงานเล่นกันสนุกสนาน ภาพความทรงจำวัยเยาว์งดงามดุจผ้าขาวไหลเวียนเข้ามาให้นึกถึง อัษศดิณย์นิ่งงันไปกับของชิ้นเก่า ๆ ที่เขาเคยมอบให้ และผู้เป็นน้องชายยังคงเก็บรักษาไว้อย่างดี
ศิรวัฒน์ทิ้งกายลงนั่งปลายเตียงพลางเหลือบมองตามสายตาพี่ชาย แก้มขาวร้อนเห่อ เพราะอีกฝ่ายมาแบบไม่ทันตั้งตัว เขาจึงไม่ได้เก็บของที่ควรเก็บเสียก่อน หนุ่มผู้น้องรีบเอ่ยถามเบี่ยงเบนความสนใจทันที
“คุณดินมีอะไรจะคุยกับผมหรือครับ” เอ่ยถามสีหน้านิ่งขรึมซุกซ่อนอาการลนลานหวั่นไหวภายใน และก็ได้ผลเมื่อัษศดิณย์หันเหสายตามาที่เขาแทน ศิรวัฒน์แอบโล่งใจลึก ๆ ขณะประสานสายตากัน
“นายรู้จักกานต์นานแล้วหรือ” อัษศดิณย์ยิงเข้าคำถามที่สงสัย เปิดประเด็นทันทีโดยไม่อ้อมค้อม
“ก็เพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้ง ที่พาคุณมาถึงนี่ได้ก็เพราะอยากรู้ว่า ผมรู้สึกยังไงกับพี่กานต์ใช่ไหมครับ” ศิรวัฒน์เองก็ตอบกลับไปตรง ๆ เช่นกัน
“ฉลาดนี่ ฉันรู้สึกสนใจกานต์ แต่เห็นนายเองก็ดูสนิทสนมคุ้นเคยกัน เลยอยากถามให้แน่ใจ” ดวงตาคมกล้าฉายแววท้าทายเล็ก ๆ เหมือนจะบอกว่า ‘ต่อให้นายชอบเขา ฉันก็พร้อมจะลองจีบ’ แววตาแบบนี้นับเป็นเสน่ห์เหลือร้ายอีกอย่างของอัษศดิณย์ที่ทำให้คนเป็นน้องใจสั่น ปรารถนาถูกเขาครอบครอง อยากถูกความร้อนแรงของสายตาคู่นี้แผดเผาไปหมดทั้งตัว แต่ก็ได้แค่คิด ที่แสดงออกกลับตรงกันข้าม
“พี่กานต์ดูเข้ากับคนง่าย ถ้าผมบอกว่าชอบพี่เขา มันจะเป็นยังไงหรือครับ” ศิรวัฒน์หยั่งเชิง ตีสีหน้ายียวนกลับ ดวงตาคมกล้าของคนฟังโชนแสงขึ้นเล็กน้อยเหมือนถูกท้าทาย
“ก็ไม่ยังไง ฉันก็จะเดินหน้าจีบกานต์ต่ออยู่ดี” อัษศดิณย์ยักไหล่ไม่ยี่หระ ดวงตาถือดีประสานตอบ ตราบใดที่สองคนนี้ยังไม่ได้ตกลงคบหา เขาเองก็ถือว่ามีสิทธิ์ คนดุอย่างเสือช่างไม่รู้เสียเลย ว่าท่าทียโสของเขาทำให้คนมองพยายามกดข่มอารมณ์พลุ่งพล่านของตนแค่ไหน ศิรวัฒน์หลงใหลท่าทีผยองถือดีของพี่ชาย ทั้งหลงใหลและอยากสยบในบางที อารมณ์ใกล้ ๆ กับริอยากขี่หลังเสือนั่นกระมัง
“ดูคุณจริงจังนะครับ เพิ่งเจอกันครั้งแรกไม่ใช่หรือ” ท่าทีนิ่งขรึมเกินวัยของศิรวัฒน์ บางครั้งก็เป็นสิ่งที่อัษศดิณย์ยากจะเข้าใจ
“บางทีเวลาก็ไม่ใช่ตัวกำหนดความรู้สึกของคนเราหรอกนะ บางคนกว่าจะรู้สึกต่อกันได้ก็เมื่อผ่านไปสักระยะจากการได้เรียนรู้ ได้ใกล้ชิด แต่บางคน แค่เห็นครั้งแรกก็รู้สึกประทับใจแล้วละ โลกถึงได้มีนิยามรักแรกพบยังไงละ” อัษศดิณย์รู้สึกกระดากอยู่หน่อย ๆ ที่ต้องมาพูดอะไรหวานเลี่ยนไม่เป็นตัวเองเช่นนี้ โดยเฉพาะกับคนตรงหน้า นิสัยตรงไปตรงมาของเขาทำให้ถนัดทำมากกว่าพูด
“คุณไม่ต้องห่วงเรื่องผมหรอกครับ ห่วงเรื่องพี่กานต์มีแฟนหรือยังดีกว่า เพราะผมเองก็ไม่เคยถามพี่เขาและพี่กานต์เองก็ไม่ได้เล่าอะไรเกี่ยวกับตัวเองเท่าไร”
“ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนาย เพียงแต่เรื่องที่ฉันสนใจกานต์ ฉันไม่ได้คิดจีบเขาเพื่อเอาชนะนายแบบเกม แต่ฉันสนใจกานต์จริง ๆ” ถึงเขาจะสนใจรพีกานต์ แต่ก็เป็นลูกผู้ชายพอ อัษศดิณย์ไม่คิดเอาเรื่องนี้มาเอาชนะคะคานย่ำยีหัวใจอีกฝ่าย เกลียดชังแต่ก็ไม่สุด เหมือนจิตใต้สำนึกยังคอยสะกิดเตือนอยู่ในที เป็นความรู้สึกคาราคาซังที่ตัวเองก็อธิบายไม่ถูกนัก แต่นายดินดุกว่าเสือช่างไม่รู้เลยว่า คำพูดเหมือนไม่คิดอะไรนั้น มันทิ่มแทงหัวใจคนฟังได้ร้าวรานแค่ไหน และคนเสพติดความเจ็บปวดจนด้านชาอย่างต้นน้ำก็ทำเพียงยิ้มจาง ๆ ตอบออกไป
“ผมไม่เคยมองว่าความรักเป็นเกม หรือเดิมพันอะไร คนที่คิดแบบนั้นก็มีแต่พวกรักใครไม่เป็นเสียมากกว่า ถ้าคุณอยากเอาชนะจริง ๆ คนที่คุณต้องเอาชนะใจเขาให้ได้ก็คือพี่กานต์” ไป ๆ มา ๆ ดูเหมือนศิรวัฒน์จะกลายเป็นศิราณีให้พี่ชายไม่รู้ตัว ปกติพี่ดินไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ไม่เคยสักครั้ง...ที่จะแสดงออกถึงความไม่เป็นตัวเอง อย่างกับหนุ่มน้อยริลองมีรักเช่นนี้
“สิ่งที่ผมคิด ไม่สำคัญเท่าเรื่องที่ว่า พี่กานต์คิดยังไงกับคุณหรอกครับ” รอยยิ้มบางเบาแกมไปด้วยความหม่นเศร้า หากอีกคนไม่เคยนึกเฉลียวใจ
“อืม ถ้าอย่างนั้น ฉันไม่กวนนายละ” ร่างสูงใหญ่ผุดลุกผละไปง่าย ๆ คำตอบของศิรวัฒน์แม้คลุมเครืออยู่บ้างแต่ก็อย่างที่เจ้าตัวได้บอก คนที่เขาควรแคร์คือรพีกานต์ น้องกานต์คนนั้นต่างหาก มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อยราวกับเพ้อ ความคิดล่องลอยหลุดเข้าไปในห้วงภวังค์เมื่อนึกถึงคนหน้าผ่อง สลัดภาพความหวั่นไหวเดิมตอนเข้ามาเจอของชิ้นเก่าในห้องน้องติดหมัด อัษศดิณย์เดินจากไปโดยลืมใครอีกคนทิ้งไว้ข้างหลัง สายตามองตามแผ่นหลังแกร่งละห้อยโหยหา ความรวดร้าวแผดเผาหัวใจปวดแปลบ ถึงเก่งกาจทนทานสักปานไหนก็ยอมลงให้คนเพียงคนเดียว
“พี่ดิน” เสียงเรียกทำให้มือที่กำลังจับลูกบิดชะงัก อัษศดิณย์หันกลับมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”
“หึ ระดับนี้แล้ว จีบพี่สะใภ้ให้นาย อย่างฉันไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเด็กม.ปลายหรอก อยากช่วยจริง ๆ อย่าเป็นก้างก็พอ” ผู้เป็นพี่ชายยักคิ้วยิ้มย่อง รอยยิ้มหล่อร้ายกระชากใจคนเป็นน้องจนเผลอใจเต้น มือหนาเปิดประตูเดินตัวปลิวออกไป ทิ้งกลิ่นไออุ่นเจือจางให้เจ้าของห้องสวมกอดได้เพียงเงา ศิรวัฒน์ลุกจากปลายเตียงเดินมาที่เก้าอี้ ทิ้งกายลงครอบครองความอุ่นที่ยังติดตรึงอยู่ตรงที่นั่ง กายสมส่วนโน้มเข้าหาพนักพิง วาดท่อนแขนกอดแผ่นผนักนั้น พลางหลับตากดปลายคางลงเกย จินตนาการว่าตนเองกำลังสวมกอดผู้เป็นพี่ชายอีกครั้ง
ไม่ง่ายที่จะรับใครสักคนเข้ามาในความทรงจำ แต่การลบใครสักคนที่ทำให้เจ็บออกไปนั้น...กลับยากยิ่งกว่า
“โอ๊ย เจ็บ ! พี่ดินน้ำเจ็บ !” เสียงเล็กร้องหาพี่ชายเมื่อยามหกล้ม
“อย่าร้อง เป็นลูกผู้ชาย แผลแค่นี้ไกลหัวใจ อย่าร้องไห้ให้ใครเห็นง่าย ๆ”
“น้ำ ฮึก ก็ร้องแค่ให้พี่ดินเห็น ฮึก คนเดียว น้ำเจ็บ” ปากเล็กเบะออกส่งสัญญาณว่าเจ็บจริง ๆ
“เจ็บก็ทายา แต่อย่าร้อง เป็นลูกผู้ชายต้องหัดเข้มแข็ง อีกหน่อยน้ำต้องช่วยพี่ดูแลไร่ของเรา นายของไร่พิศาลอนันต์ยศ จะร้องไห้ขี้แยได้ยังไง หือ” มืออุ่นเช็ดหยาดน้ำตา พลางลูบศีรษะทุยปลอบประโลม
“น้ำไม่อยากเป็นนายเจ้าของไร่ น้ำแค่อยากเป็นน้องของพี่ดิน เวลาร้องไห้ก็มีพี่ดินคอยอยู่ด้วย”ไม่มีอีกแล้ว ถึงเจ็บก็ต้องอยู่กับตัวเอง
อิจฉา...
คนที่ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ความรักมาครอบครองไว้ในกำมือ แต่พอนึกว่าเป็นพี่กานต์ คนหน้าใสยิ้มง่ายคนนั้น ความรู้สึกด้านร้ายก็เหมือนจะสลายกลายเป็นหมอกควันเจือจางอย่างน่าประหลาด เขาแค่นยิ้มบาง คนที่เฝ้ามองมาเนิ่นนานก็ยังเป็นเพียงมดแดงแฝงพวงมะม่วงต่อไป
ดินคอยชะแง้เฝ้าแลตะวัน ส่วนวารีนั้นก็คอยมองดิน
พสุธาเจ้าเอ๋ยหมายเชยอคิน หมางเมินวารินทร์ลืมสิ้นเยื่อใยบรื้น
เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาหยุดตรงประตูรั้วหน้าบ้าน รพินทร์เยี่ยมหน้าออกมาดูผู้มาเยือน ประตูรั้วเปิดออกต้อนรับอาคันตุกะ ผู้ที่เปิดประตูรถก้าวเท้าออกมานั้นเป็นบุคคลที่พอคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง
“พี่ดิน” ได้ยินเสียงแจ่มแจ๋วของเจ้ากานต์น้อยร้องทักทายแขกอยู่ชั้นล่าง รพินทร์คลี่ยิ้มบาง นึกเอ็นดูเจ้าคนที่มาคะยั้นคะยอให้เขาเล่าที่มาพระเอกในนิยาย สุดท้ายพอรู้ว่าทายถูกเผง เจ้าตัวก็ยิ้มร่าออกอาการลิงโลด เริ่มต้นโม้น้ำลายแตกฟอง
“หูย พ่อรู้ไหม พี่ดินหล่อมาก ๆ หน้าคมเข้มดุดันแบบไทย มีกลิ่นอายแบบดิบ ๆ สไตล์หนุ่มบ้านไร่ โคตรมีเสน่ห์เลย กานต์อยากคมเข้มแบบพี่ดินบ้าง ยิ่งตอนขี่ม้าสวมหมวกคาวบอยนะ เท่สุด ๆ” เจ้าตัวน้อยออกท่าทีเบ่งกล้ามแขนที่ไม่ค่อยจะมี เรียกเสียงหัวเราะร่วนแล้วหนุ่มหล่อสไตล์ดิบ ๆ โคตรมีเสน่ห์ของน้องกานต์ก็มาเยี่ยมเยือนถึงบ้าน ด้านหลังรถกระบะบรรทุกเข่งบรรจุผลไม้มาฝาก เท่าที่เห็นมีส้ม กล้วย สับปะรด และผักอื่น ๆ
“โห คุณดินเอาอะไรมาฝากเยอะแยะไปหมด คราวหน้าไม่ต้องหรอกนะครับ เกรงใจแย่” รพินทร์รับไหว้เจ้าของร่างสูงใหญ่ ไปเรียนเมืองนอกเมืองนา กลับมาก็ยังไหว้สวย
“อยากให้น้องกานต์ได้ลองชิมส้มสด ๆ จากไร่น่ะครับ นี่พี่มีเค้กมัลเบอร์รีมาฝากด้วยนะ” อัษศดิณย์ชูกล่องสี่เหลี่ยมบรรจุเค้กที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ ให้เจ้าคนตาวาวได้ดู จะจีบลูกชายเขาก็ต้องเอาใจด้วยของชอบเสียหน่อย แล้วรอยยิ้มของคนตัวเล็กก็พาให้ใจชุ่มฉ่ำเหมือนต้นไม้ได้ฝน จนเผลอฉีกยิ้มกว้างส่งให้
“คุณดินเชิญด้านในก่อนนะครับ น้องกานต์ไปเอาน้ำมารับแขกไปลูก” รพินทร์เชื้อเชิญแขกเข้าบ้านพลางหันไปบอกบุตรชาย
“กานต์เอาจานมาใส่เค้กด้วยนะครับ เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ อยากให้ลองชิม” อัษศดิณย์ร้องบอกสำทับ รอยยิ้มและแววตาที่แสดงออกเปิดเผยยามมองรพีกานต์ไม่ได้รอดพ้นสายตาของรพินทร์ไปได้ ผู้เป็นบิดาเพียงยิ้มรับตอนอีกฝ่ายหันกลับมายิ้มเป็นมิตรให้
“กานต์เล่าให้ฟังว่าเจอกับคุณดินแถวลำธาร แล้วคุยกันถูกคอ” รพินทร์เล่า นึกภาพตอนที่เจ้าตัวดีแล่นถลันเข้ามาหาในห้อง สีหน้าท่าทางเหมือนไปตื่นเต้นอะไรมาสักอย่าง
“ครับ วันนั้นคุยกันหลายเรื่องเลย กานต์บอกว่าคุณรพินทร์ไม่สบายเลยมาพักฟื้น อาการเป็นยังไงบ้างครับ”
“ตรวจเจอมะเร็งตอนไปตรวจสุขภาพประจำปีน่ะครับ ก็ทำคีโมกับฉายแสง อาการก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพียงแต่ช่วงให้ยาใหม่ ๆ จะมีผลข้างเคียง ผมร่วงกับเวียนหัวนิดหน่อย”
“โชคดีนะครับที่ตรวจเจอเร็ว ขอให้หายไว ๆ นะครับ”
“ขอบคุณครับ แล้วคุณดินเป็นยังไงบ้างครับ สบายดีไหม ที่ไร่เป็นยังไงบ้าง”
“ผมสบายดีครับ ส่วนไร่ก็กำลังมีแพลนอยากขยายออกไปอีก อย่างที่ผมเคยบอกสนใจที่ดินของคุณรพินทร์นั่นแหละครับ” อัษศดิณย์ทอดรอยยิ้มมุ่งมั่นประสาคนหนุ่มไฟแรง เท่าที่รู้เจ้าตัวขยับขยายการส่งออกไปทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งกิจการโรงแรมกับรีสอร์ตก็ตอบรับลูกค้าที่แวะมาพัก มีบริการนำเที่ยวภายในไร่เพื่อชมและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ นับว่าเป็นทายาทรุ่นใหม่ที่บริหารงานได้ดี
อัษศดิณย์ยิ้มรับเจ้าคนกุลีกุจอนำน้ำมาเสิร์ฟ น้ำตะไคร้ใบเตยส่งกลิ่นหอมลอยมาจากข้างในครัว สายตาอาคันตุกะหนุ่มแอบสังเกตความละม้ายของสองพ่อลูกเงียบ ๆ รพีกานต์ไม่ได้โขลกแบบประพิมพ์ประพายมาจากบิดา ทั้งผิวพรรณหน้าตาดูขาวผ่องอมชมพู ต่างจากคุณรพินทร์ที่มีผิวขาวเหลือง อีกทั้งเค้าหน้าที่ไม่ละม้ายคล้ายคลึง อัษศดิณย์จึงทึกทักเอาว่าเจ้าตัวคงคล้ายมารดา
“น้องกานต์คล้ายคุณแม่หรือครับ” ชายหนุ่มเปิดปากถามตามใจคิด สองพ่อลูกชะงักนิดหนึ่ง ก่อนรพินทร์เป็นฝ่ายเอ่ยวาจาตอบ
“ทำนองนั้นแหละครับ ผมไม่ได้แต่งงานกับคุณแม่น้องกานต์ แต่ก็เลี้ยงกันมาจนโต” รพินทร์ตอบประหยัดคำ พลางยิ้มบาง อัษศดิณย์รู้สึกว่าตนเองเผลอเสียมารยาทไป
“ขอโทษที่ถามนะครับ ผมไม่ทราบจริง ๆ พอดีเห็นน้องกานต์ไม่ค่อยคล้ายคุณพ่อ”
“ไม่เป็นหรอกครับ เมื่อก่อนก็มีคนทักอยู่ ตอนเด็ก ๆ น้องกานต์ก็โยเยบ้างตอนถูกเพื่อนล้อ แต่ก็ผ่านกันมาได้เนอะ” รพินทร์หันไปลูบศีรษะทุยพลางโคลงเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู รพีกานต์เองก็ยิ้มรับพลางตัดเค้กใส่จาน
“แต่คุณพ่อใบเลี้ยงเดี่ยวก็เลี้ยงได้ดีนะครับ น้องกานต์สดใสแล้วก็อารมณ์ดี” อัษศดิณย์ชอบรอยยิ้มกระจ่างใสนี่จริง ๆ เป็นรอยยิ้มที่ชวนให้คนเห็นชื่นใจดุจสายน้ำเย็น รพีกานต์เลื่อนจานเค้กให้แขกและบิดา ส่วนของตนเป็นจานสุดท้าย สีหน้ายามตักเค้กเข้าปากของคนตัวเล็กทำให้ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม
“อื้ม อร่อย”
“เดี๋ยววันหลังพี่เอาพายมัลเบอร์รีมาฝาก หรือน้องกานต์จะไปเที่ยวไร่ดี ไปกินสเต๊กกับไอศกรีม ดีไหม” ใบหน้าหล่อเหลายิ้มอ่อนโยน ปฏิบัติการจีบเด็กต้องหลอกล่อด้วยของอร่อย เค้กก้อนนี้นายดินลงทุนเก็บลูกหม่อนเองกับมือ ขับรถเอาไปให้เชฟที่โรงแรมรังสรรค์รสชาติถูกลิ้น เพื่อแค่ให้ได้เห็นรอยยิ้มถูกใจของคนตรงหน้า แล้วก็ไม่ผิดหวัง
“พี่ดินอะ เอาของอร่อยมาหลอกล่อ”
“ก็กานต์กินหน้าตาดูน่าอร่อย แบบนี้คนทำยิ้มแก้มปริ” ว่าง ๆ เขาน่าจะหัดทำเค้กดูบ้าง
“อย่ามองซี” ท่าทางขวยเขิน แต่ไม่วายตักเค้กเข้าปาก อัษศดิณเห็นแล้วถึงกับหลุดหัวเราะ คันไม้คันมืออยากบีบจมูกคนเล่น เสียงโทรศัพท์โทร.เข้า รพินทร์จึงปลีกตัวออกมา ปล่อยให้สองคนได้คุยกัน เสียงหัวเราะดังแว่ว รพินทร์เหลือบมองแล้วก็ส่ายหน้า คนท้องหนอคนท้อง อุตส่าห์พามาหลบในป่าในดง ก็ยังไม่วาย
“เมื่อกี้พี่พินทร์ว่าน้องกานต์เหมือนมีคนมาชอบหรือ” เสียงรพีสวัสดิ์ร้องถามมาตามสาย น้ำเสียงตื่นเต้นนิด ๆ
“คิดว่านะ ถ้าดูสายตาคุณดินไม่ผิด นี่ก็กำลังหัวเราะร่วน น้องกานต์ได้กินเค้ก อารมณ์เลยดีจัด”
“ถ้าอย่างนั้น พี่พินทร์แอบถ่ายคลิปมาให้เล็กหน่อยสิ เอาแบบเห็นแค่ข้างหลังคุณดินนะ แต่ขอเห็นหน้าน้องกานต์ตอนหัวเราะมีความสุขชัด ๆ” ถ้าเป็นในการ์ตูนก็คงจะเห็นคุณอาเล็กของรพีกานต์มีเขาและหางโผล่แบบเดวิล ยามเจ้าตัวผุดไอเดียแกล้งคนออกมาได้
“เล็กจะทำอะไร พี่รู้นะ อย่าหาเรื่องป่วนเลยน่า มันจะยุ่งไปกันใหญ่” รพินทร์ปรามน้อง ถึงจะโตขึ้นแต่ก็ไม่ได้ทิ้งลวดลายแก่นแสบไปเสียทีเดียว
“โธ่ พี่ก็ ขอเล็กเอาคืนให้หลานบ้างเถอะ เล็กไม่ได้ใจดีอย่างพี่นะ ให้ทางนั้นรู้เสียบ้างว่าน้องกานต์น่ะ ไม่สิ้นไร้ผู้ชายดี ๆ หรอกนะ”
“เล็ก ไม่เอาน่า”
“พี่พินทร์ น้องกานต์นั่นก็หลานเล็กนะ เล็กช่วยเลี้ยง ช่วยเปลี่ยนผ้าอ้อม อาบน้ำ ล้างก้น ก็ทำมาแล้ว ให้เล็กได้ปกป้องหลานบ้าง แค่ให้บทเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง” รพีสวัสดิ์เกลี้ยกล่อม คารมเจ้าตัวใช่ย่อยเสียที่ไหน รพินทร์เองก็ชักคล้อยตาม ด้วยรพีกานต์เป็นดวงแก้วตาของเขา ลูกถูกทำร้าย หัวใจของเขาก็ร้าวรานไม่น้อย ถ้าจะให้บทเรียนกันเสียหน่อยก็คงไม่เกินกว่าเหตุอะไร
“สัญญานะว่าจะไม่ทำเรื่องยุ่ง” ไม่ค่อยอยากไว้ใจตัวแสบสักเท่าไร
“สัญญาคร้าบ” น้ำเสียงเริงร่า เสี้ยวความแก่นเซี้ยวของเจ้ากานต์น้อยก็มาจากอาเล็กเขานี่แหละ
“โอเค แค่นี้ก่อน” รพินทร์วางสาย ในใจตีกันยุ่งเหยิงไปหมด รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร ด้วยไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แถมเรื่องนี้อัษศดิณย์ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยอีก
“เอาไงดี เหมือนหลอกใช้ยืมมือคนอื่นยังไงไม่รู้” รพินทร์พึมพำ เดินวนไปมาด้วยความหนักใจ พ่นลมหายใจพรูอย่างตัดสินใจ ก่อนยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายวีดีโอสั้น ๆ หลังจากเช็กดูภาพแล้วจึงกดส่งให้ผู้เป็นน้องชาย
“หวังว่าจะไม่มีเรื่องยุ่งยากตามมาหรอกนะ แค่ทางนี้ก็เริ่มส่อเค้ายุ่งแล้ว” สายตาคนอาบน้ำร้อนมาก่อนชะเง้อมอง เจ้ากานต์น้อยก็ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
คนนี้ คนนั้น คนโน้น
เฮ่อ ! ปวดหมองจริง ๆ ว่าไหมสามแฝด
พี่วิน พี่ณัฐ คุณดิน ฮอตจริง ๆ มามี้สามแฝด
ขออภัยสำหรับพาร์ตพี่น้องดินน้ำที่เราไม่ได้ใช้ภาษาเหนือนะคะ ไม่สันทัดค่ะ เดี๋ยวจะทำให้ภาษาดั้งเดิมวิบัติหมด
เมื่อเสือสองตัวหมายตากระต่ายตัวเดียวกัน หุหุ
รักเหงา รักร้าว รักเศร้า รักระทม รักเอ๋ยรัก