ตอนที่ 5
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก ตาหวานแข็งแรงดี แต่อาจจะฝันร้าย”
ตอนเช้าเอก็มาตรวจร่างกายตาหวานอีกครั้งก่อนจะย้ำว่าเด็กชายปกติดีทำให้วสุธากับปารมีโล่งใจจริงๆได้
“แอ๊ะ แอ๊ะ”
ตาหวานยกมือขึ้นไขว่คว้าหาของเล่นที่แขวนอยู่เหนือเปลตนเอง พลางส่งเสียงอย่างร่าเริงแจ่มใสราวกับอาการร้องไห้ไม่หยุดเมื่อคืนนั้นไม่เคยเกิดขึ้น
“ขอบคุณพี่เอมากนะครับที่มาช่วยดูอาการให้”
ปารมีเอ่ยขอบคุณ ก่อนหน้านี้คุณหมอเอจัดแจงอบรมปารมีหนึ่งยกเพื่อให้เลิกเรียกตัวเองว่าคุณหมอ และอัพเกรดให้นับเป็นญาติผู้พี่ ปารมีเองแม้จะคิดว่าตัวเองเรียกอย่างนั้นอาจจะไม่เหมาะ แต่ว่าพอคุณหมอยืนยันเสียงหนักแน่น ประกอบกับวสุธาพยักหน้ายิ้มๆให้ตอบรับ เลยได้เรียกคุณหมอว่าพี่เอ แม้ว่าคุณหมอจะยังเรียกปารมีว่าคุณปามเหมือนเดิมก็ตาม
ทุกอย่างปกติได้อยู่สองวันก่อนจะมีจดหมายมาถึงปารมี
ที่จริงจดหมายส่งไปที่ห้องพักเก่าของเขา แต่ตอนที่ย้ายออกมาปารมีได้ให้ที่อยู่ทางนี้ไว้และขอร้องว่าหากมีการติดต่อใดๆกลับมาให้ช่วยแจ้ง จดหมายจึงได้มาถึงมือปารมี
“ปามลูกรัก
เมื่อลูกอ่านจดหมายฉบับนี้แม่คงไม่อยู่แล้ว ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันแล้วแม่เห็นว่าลูกสบายดีและสามารถอยู่ด้วยตัวเองได้ รู้ไหมว่าแม่ดีใจและภูมิใจมาก แม้นั่นจะยิ่งย้ำว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาแม่แย่มากแค่ไหนก็ตาม
ตอนที่แม่ไปหาลูก แม่รู้ตัวเองอยู่แล้วว่าคงมีชิวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เด็กคนนั้นต้องมีคนดูแลและแม่มองไม่เห็นใครนอกจากลูก แม่รู้ว่าผิดที่ไม่เคยดูแลลูกแล้วยังผลักภาระไปให้ลูกดูแลเด็กอีก ลูกคงต้องลำบากมาก แต่แม่มองไม่เห็นใครแล้วจริงๆ ถึงอย่างไรเด็กคนนั้นก็เป็นหลาน เป็นลูกของพี่สาวของลูก
ลูกคงแปลกใจที่แม่บอกว่าเป็นลูกสาวของพี่สาวของลูกแทนที่จะเป็นลูกของแม่ ใช่ แม่โกหก โกหกด้วยคิดดูถูกน้ำใจลูกไป กลัวลูกจะไม่พอใจที่แม่หอบเอาลูกของพี่สาวกลับมาให้ลูกเลี้ยง แต่เมื่อแม่มานั่งคิดดูแล้ว แม่ก็คิดว่าไม่ควรโกหกลูกต่อไป เพราะไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นน้องหรือหลานแม่ก็รู้ว่าลูกต้องดูแลเขาอย่างดีแน่ๆ
เรื่องพี่สาวของลูก เขาเจออุบัติเหตุหลังจากที่คลอดเด็กคนนั้นได้ไม่นานยังไม่ทันที่จะนำส่งโรงพยาบาลเขาก็จากไป แม่เองก็ป่วย แม่จึงทิ้งเด็กคนนั้นเอาไว้กับลูก
แม่ขอโทษในเรื่องที่ผ่านมา
ขอโทษที่เคยทอดทิ้ง
ขอโทษที่ไม่เคยเอาใจใส่ดูแล
ขอโทษที่หักหลังลูกซ้ำแล้วซ้ำอีก
ขอโทษที่ไม่ได้บอกอะไรลูกก่อนหน้านี้
และแม่อยากบอกลูกที่สุดว่าช่วงเวลาที่ได้กลับไปอยู่กับลูกหนึ่งอาทิตย์นั้นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของแม่
แม่อยากบอกสิ่งที่ไม่เคยบอก แม่รักลูกนะ และหวังว่าลูกจะรักแม่เช่นเดียวกัน
เงินของลูกที่แม่เอามา แม่เอาไปทำบุญให้พี่สาวลูกส่วนหนึ่ง ถือว่าทำบุญร่วมกันสามคน หากเกิดใหม่ได้แม่ก็ขอให้เราได้มาเจอกันอีก และหวังว่าแม่จะได้ทำอะไรเพื่อลูกบ้าง อีกส่วนแม่กันไว้สำหรับจัดการหลังจากแม่จากไป ถือว่าลูกทำให้แม่แล้ว ไม่ต้องคิดมากอีก
รัก
แม่”
ปารมีนั่งกำจดหมายแน่น รำลึกถึงตอนที่แม่มาอยู่ด้วยแล้วก็อยากจะด่าตัวเองแรงๆซักที ทำไมไม่เคยสังเกต ปารมีรู้สึกได้ว่าแม่เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมตอนนั้นเขาถึงคิดว่าแม่จะกลับมาอยู่ด้วยกัน ทำไมปารมีไม่เห็นนะว่าแม่ผอมลงแค่ไหน
ปารมีไม่กล่าวโทษเลยสักนิดที่แม่โกหกตนเรื่องตาหวาน เพราะตนเองกับพี่สาวไม่ได้สนิทสนมกันมาแต่ไหนแต่ไร แล้วเวลาพูดกันก็ไม่ค่อยจะออกมาในแง่ดีเท่าไหร่ ปารมียอมรับว่าเคยอิจฉาพี่สาวบ่อยๆที่ได้รับความรักจากแม่มากกว่า ในขณะที่พี่สาวเองก็แสดงออกชัดเจนว่าอิจฉาที่ปารมีมีพ่อจริงๆ ทั้งตัวเองและพี่สาวต่างก็แรงใส่กันเพราะยังเป็นเด็กด้วยกันทั้งคู่ แต่เมื่อพ่อเสียปารมีก็เงียบลงไปเยอะ พี่สาวเองก็ไม่คอยหาเรื่องอย่างที่เคย แล้วไม่นานพี่สาวก็ออกจากบ้านไป
ปารมีเข้าใจว่าพี่สาวหนีไปอยู่กับแฟนที่เคยเห็นมาส่งพี่สาวบ่อยๆ แต่เพราะที่บ้านของผู้ชายคนนั้นไม่ยอมรับเนื่องจากฐานะทางบ้านที่ต่างกัน พอจบม.6ทั้งสองคนจึงหนีตามกันไป แล้วหลังจากนั้นปารมีก็ไม่รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่สาวบ้าง แต่ดูเหมือนแม่จะรู้เรื่องทั้งหมดโดยตลอด
“ปารมี คุณเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น”
เสียงวสุธาที่ดังขึ้นไม่ได้ดึงความสนใจของปารมีไปได้แต่อย่างใด
วสุธากำลังทำงานอยู่ตอนที่แม่บ้านโทรไปบอกว่าอยู่ดีๆปารมีก็ร้องไห้ เขาจึงรีบออกมาจากที่ทำงานทันทีเพราะกลัวว่าตาหวานจะเป็นอะไรอีก
“ปารมี ปารมี...ปาม โธ่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น คุณเป็นอะไร”
วสุธาเริ่มร้อนใจ เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ร้องไห้เงียบๆ
“ปาม อย่าเอาแต่ร้องแบบนี้สิ ทำไมไม่พูดอะไร”
ร่างสูงดึงร่างที่สั่นเทาเข้าหาตัว โอบกอดปลอบโยนเบาๆ ปารมียกมือขึ้นกำเสื้อเชิตของอีกฝ่ายไว้แน่นในขณะที่ตัวเองยังร้องไห้
อย่างน้อยๆก็ยังมีท่าทีตอบสนอง วสุธาคิดอย่างนั้นพลางโอบกระชับร่างบางให้แน่นมากยิ่งขึ้น
ถ้าอยากจะร้องก็จะปล่อยให้ร้องจนกว่าจะพอใจ แล้วจากนั้นค่อยถามว่ามันเกิดอะไรกันขึ้น
.................
“คุณวสุธา แม่น่ะแม่ผมเขา....”
ปารมีหยุดร้องไห้แล้วแต่ยังคงสะอื้นบ้าง พูดออกมาได้ไม่หมดก็ทำท่าจะปล่อยโฮอีกรอบจึงเปลี่ยนเป็นยื่นจดหมายให้วสุธาดูแทน
ร่างสูงอ่านจดหมายจบแล้วเหลือบสายตาขึ้นมองปารมีอย่างเห็นใจ เท่าที่สืบเรื่องราวของปารมีก่อนหน้านี้ วสุธาก็พอรู้ว่าแม่ของปารมีนั้นไม่ใช่แม่ที่ดีนัก แต่จากประวัติที่ปารมีปล่อยให้แม่กลับมาทำร้ายจิตใจตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็พอจะบอกได้แล้วว่าปารมีนั้นรักแม่ของตนมากเพียงใด
“คุณบอกว่าตาหวานเป็นลูกของคุณนิ่ แล้วในใบสูติบัตรของตาหวานก็มีชื่อคุณเป็นพ่อแต่ไม่มีชื่อแม่ไม่ใช่หรือ”
ปารมีพยักหน้าก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้วสุธาฟังคร่าวๆ ตอนนี้ปารมีคิดอะไรไม่ออกและต้องการที่พึ่ง แล้ววสุธาก็เข้ามาปลอบโยน พร้อมจะช่วยเหลือ ปารมีมองไม่เห็นใครอื่นอีก และที่ปารมีไม่รู้ตัวก็คือ เขาคิดว่าวสุธาไว้ใจได้จึงออกปากเล่าถึงเรื่องทั้งหมด
“ผมจะให้คนไปสืบดูเรื่องของแม่คุณให้”
จดหมายไม่ได้เขียนที่อยู่สำหรับติดต่อกลับ แต่ยังมีตราประทับของจังหวัดเชียงใหม่ คงอยู่ในสถานพยาบาลสักที่วสุธาแน่ใจ
“ตอนนี้พยายามทำใจให้สงบก่อนนะ คุณก็รู้ว่าเรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเกิดคุณท้อแท้หมดกำลังใจ แล้วตาหวานจะอยู่ยังไง คุณอย่าลืม”
ปารมีมองเด็กชายที่ยังนอนหลับสนิทบนเบาะนอนก็พยักหน้า วสุธาพูดถูก ปารมีไม่ใช่ไม่เหลือใครแต่ยังมีตาหวานให้ต้องดูแล ตาหวานเองก็มีเพียงปารมีเท่านั้น
“ปารมี”
เสียงเรียกชื่อแผ่วเบาพร้อมมือหนาเข้าเกาะกุมมือของปารมีไว้แน่น แน่นแต่ไม่ทำให้เจ็บ
“คุณยังมีผม ยังมีเด็กๆอีกสามคน และทุกคนที่นี่ อย่าคิดว่าตัวเองไม่เหลือใครอีกแล้ว”
“คุณ....”
ปารมีช้อนสายตาขึ้นมองสบกับดวงตาคมกล้านั้น อยากจะพูดอะไรบ้าง อยากขอบคุณ อยากบอกเหลือเกินว่าปารมีซาบซึ้งและอบอุ่นใจแค่ไหนที่วสุธามานั่งอยู่ข้างกันตอนนี้ แต่มันพูดไม่ออก ที่ทำได้ก็มีเพียงกุมมืออีกฝ่ายกลับไปเท่านั้น ทั้งสองคนนั่งกุมมือกันไปเงียบๆ ไม่มีถ้อยคำหรือคำพูดอะไร แต่ทั้งคู่ก็เข้าใจ
วสุธายังไม่เข้าใจตัวเองดีว่าสิ่งที่ตัวเองรู้สึกกับปารมีนั้นเป็นรูปแบบไหน แต่ไม่ว่าจะอย่างไรวสุธาก็จะไม่ปล่อยมือนี้ เช่นเดียวกับปารมีที่ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร แต่ก็มั่นใจว่าถ้าอีกฝ่ายไม่ไล่หรืออยากให้ปารมีเป็นฝ่ายไป ปารมีก็จะจับมือนี้ไว้เสมอเช่นกัน
..............................
ตอนเย็นข้อมูลเกี่ยวกับแม่ของปารมีก็ส่งมาถึง รวดเร็วสมกับที่ใช้เครือข่ายข่าวของจอมไตรในการสืบหา
“แม่ของคุณเพิ่งเสียไปเมื่อกลางดึกของสองวันก่อน ศพจัดสวดแค่คืนเดียวแล้วก็เผา ส่วนอัฐิดูเหมือนจะเก็บไว้ที่วัด”
ปารมีรับฟังอย่างเศร้าใจ งานศพของแม่ตัวเองแท้ๆแต่ตนกลับไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมเลย แม้ว่าแม่จะบอกในจดหมายว่าได้นำเงินของตนไปใช้ แต่ปารมีก็อดคิดไม่ได้ว่าตนเองน่าจะทำอะไรให้แม่ได้มากกว่านี้
“ผมบอกแล้วไงว่าเรื่องที่ผ่านไปแล้วน่ะเรากลับไปแก้ไขไม่ได้”
ปารมีพยักหน้า เขาเข้าใจแต่ก็ยังเศร้า นึกถึงเมื่อสองคืนก่อนที่ตาหวานร้องไห้โยเยไม่หยุดคงเพราะเด็กชายรับรู้ถึงการสูญเสีย ในขณะที่ปารมีไม่ได้คิดอะไรเลยสักนิด
“ยังไงเย็นนี้ผมจะฝากเด็กๆไว้กับน้องๆแล้วเราบินไปเชียงใหม่ ไปรับอัฐิแม่คุณมาทำบุญก่อนไปลอยอังคารดีไหม”
“ครับ”
ถึงแม้จะไม่สบายใจและคิดว่าเป็นการรบกวนคนอื่น แต่มันไม่มีทางเลือก ปารมีเองก็อยากทำบุญให้แม่บ้าง
“ส่วนอัฐิพี่สาวคุณดูเหมือนแม่คุณจะลอยอังคารไปเรียบร้อยแล้ว”
ปารมีพยักหน้ารับรู้ แต่คิดอะไรไม่ออกได้แต่ปล่อยให้วสุธาเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดให้
...................
ปารมีติดต่อไปที่สถานพยาบาลที่แม่พักก่อนเสียชีวิตและได้ข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นของแม่กลับมา รูปภาพที่ถ่ายด้วยกันสี่คนตอนที่พ่อยังมีชิวิตนั้นอยู่ในกรอบซึ่งพยาบาลบอกว่าแม่ตั้งมันไว้ข้างเตียงและมองดูมันอยู่เสมอ
จากนั้นจึงไปรับอัฐิที่วัด แม้วสุธาจะเสนอให้ปารมีนอนพักที่เชียงใหม่หนึ่งคืน แต่ปารมีก็ยังยืนยันที่จะกลับ เพราะแม้จะยังเศร้าและเสียใจกับการจากไปของผู้เป็นแม่ แต่ก็ยังอดจะห่วงเด็กๆไม่ได้ หลังจากติดต่อเรื่องทั้งหมดแล้วทั้งคู่จึงขึ้นเครื่องกลับมาในวันนั้นเลย
ตลอดเวลา...วสุธาคอยกุมมือปารมีเอาไว้ แม้ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ปารมีก็รู้สึกได้ว่า วสุธาจะคอยอยู่เคียงข้าง และเพราะมีวสุธานี้เอง ปารมีจึงมีสติที่จะจัดการเรื่องของแม่ ปารมีไม่รู้เลยว่าหากเรื่องนี้เกิดขึ้นในขณะที่ไม่มีอีกฝ่ายอยู่ข้างๆ ปารมีจะสามารถจัดการเรื่องเหล่านี้ จะผ่านมันไปได้อย่างไร
.................
“ผมขอบคุณคุณมาก”
ปารมีไม่รู้จะพูดอะไรออกมานอกจากคำว่าขอบคุณ
วสุธาจัดการทำบุญให้แม่และพี่สาวของปรามีก่อนจะพาปารมีมาลอยอังคาร โดยคราวนี้ทั้งคู่พาเด็กๆมาด้วย เพราะปารมีอยากให้ตาหวานได้มาร่วมทำบุญให้แม่และยายของตัวเอง ในขณะที่วสุธาที่ถือว่าปารมีเป็นคนรัก แม่และพี่สาวของปารมีก็เปรียบเหมือนแม่และพี่สาวของตน แม้จะไม่เคยได้พบหน้ากันก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว และเด็กชายทั้งสามมาด้วย
“อย่าคิดมาก คุณเศร้าไปแบบนี้เด็กๆก็พากันซึมตาม”
จริงอย่างที่วสุธาว่า เมื่อปารมีเงียบๆไปก็ดูเหมือนเด็กๆทั้งสี่คนจะเงียบๆ ไม่ดื้อไม่ซนมากอย่างเคย ตาหวานเองก็นิ่งไม่ค่อยโยเย
ที่จริงผ่านมาหลายวันปารมีก็เริ่มทำใจได้มากขึ้น แต่ก็ยังอดที่จะเศร้าไม่ได้
“เวลาจะช่วยให้คุณดีขึ้นแน่นอน”
ปลอบโยนอย่างเข้าใจความรู้สึก วสุธายังจำช่วงเวลาที่ตนต้องสูญเสียพ่อและแม่ไปได้ และแน่นอนว่ายังจำช่วงเวลาที่ต้องสูญเสียคนรักไปได้เช่นเดียวกัน
“พวกเขาคงเฝ้ามองอยู่ คุณต้องทำให้พวกเขาสบายใจ รู้ใช่ไหม”
ปารมีพยักหน้ารับ เด็กๆนอนหลับกันไปหมดแล้ว ตาหวานเองก็นอนอยู่บนตักของปารมี วสุธาขยับตัวไปโอบร่างของปารมีเอาไว้ ไม่มีการขัดขืน ปารมีกอดตาหวานแน่น ในขณะที่ทิ้งตัวเข้าสู่อ้อมกอดนั้น ซบหน้าลงบนไหล่หนา ค่อยๆปล่อยน้ำตาให้รินไหลออกมาเงียบๆ
เขาต้องเข้มแข็ง ปารมีบอกตัวเองว่าจะร้องไห้แค่ตอนนี้เท่านั้น
...........................
ปารมีเริ่มสดใสขึ้น ความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพยายามยอมรับมันให้ได้ เพราะมันเป็นวัฏจักร เป็นความจริงของโลก ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งมันได้
“คุณปามๆ ดูนี่สิ พวกเราขุดได้จากในสวนล่ะ”
เด็กชายสามคนวิ่งตรงมายังที่ปารมีนั่ง ในมือของปฐพีถือไส้เดือนที่ดิ้นไปดิ้นมาไว้พลางชูให้ปารมีดู
“คุณพี อย่าไปรังแกมันอย่างนั้นสิครับ ปล่อยมันเร็ว”
เด็กชายสามคนหน้าม่อยไป หันไปมองกันอย่างปรึกษาว่าจะเอาอย่างไร ปารมีจึงเร่งสำทับ
“ปล่อยสิครับ รังแกสัตว์ไม่ดีจำได้ไหมครับ”
ปฐพียอมปล่อยไส้เดือนลงพื้นในที่สุด มันรีบมุดดินหนีกลับลงไปในทันที
“มันอยู่ใต้ดินคอยพรวนดินให้สนามหญ้า ถ้าไปจับมันมาเล่นนอกจากจะเป็นการรังแกมันแล้วยังอาจเป็นการทำลายสวนตัวเองด้วยนะครับ”
ปารมีไม่ได้ดุด่า หรือว่ากล่าว เพียงแค่พูดให้เด็กๆฟังเหมือนการพูดคุยทั่วๆไปเท่านั้น
เด็กๆพยักหน้าเข้าใจ อันที่จริงพวกเขาก็ได้รับการสั่งสอนเสมอว่าไม่ควรรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า ไม่ว่าจะสัตว์หรือคน (ยกเว้นว่าถูกกระทำก่อน) แต่เมื่อครู่นี้เด็กๆก็แค่ตื่นเต้นที่ไปขุดดินแล้วเจอมันเข้าก็เท่านั้น
“มีไส้เดือนแล้วคุณปามว่าในสวนเราจะมีตัวตุ่นไหมฮับ”
ธรณินเด็กชายตัวน้อยเอ่ยถามพลางส่งสายตามาทางปารมีอย่างมีความหวัง สารคดีที่เด็กๆดูไปเมื่อไม่กี่วันก่อนมีเรื่องของตัวตุ่นที่ทำอุโมงค์อยู่ใต้ดิน ทั้งเพื่ออาศัยและดักจับไส้เดือน
“อันนี้คุณปามก็ไม่รู้นะครับ ไม่เคยสังเกตสักที”
ถึงปารมีจะคิดว่าไม่มีหรอก แต่ก็ไม่กล้าตอบออกไปชัดๆให้เด็กๆหมดจินตนาการ แล้วบ้านจอมไตรออกจะกว้าง อาจจะมีตุ่นมาอาศัยอยู่จริงๆสักตัวสองตัวก็เป็นได้
“งั้นเราไปตามหารูตุ่นกันดีกว่า”
ปฐวีเอ่ยแล้วเด็กชายทั้งสามคนก็วิ่งไปเพื่อปฏิบัติภารกิจตามล่าหาตัวตุ่นกันทันที
“อย่าไปไกลกันนักนะครับ”
ปารมีร้องบอกแต่ก็ไม่รู้ว่าเด็กๆที่กำลังมุ่งมั่นจะได้ยินแล้วทำตามหรือไม่
“นั่นลูกชายผมกำลังทำอะไรกัน”
วสุธาเพิ่งกลับมาจากทำงาน ชายหนุ่มเดินออกมาภายนอกตัวบ้านเพราะมั่นใจว่าปารมีและเด็กๆต้องมาอยู่แถวนี้อย่างที่เคย
“พวกแกกำลังมองหาตัวตุ่นน่ะครับ”
แล้วปารมีก็เล่าให้ฟังตั้งแต่เด็กๆไปเจอไส้เดือนแล้วนึกถึงสารคดีจากนั้นก็เกิดปฏิบัติการณ์ตามหาตัวตุ่นนั่นล่ะ
“งั้นเหรอ ว่าไงครับตาหวาน วันนี้ดื้อไหมครับ”
วสุธาตอบรับปารมีก่อนจะก้มลงอุ้มเด็กชายที่นอนตาแป๋วมองดูใบไม้สั่นไหวตามแรงลมขึ้นมาอุ้มไว้
“วันนี้กวนคุณปามหรือเปล่าครับ”
วสุธาเรียกปารมีว่า ปรามีเสมอ พอเผลอตัวก็อาจจะเรียกปรามีว่าปามบ้างเป็นบางครั้ง แต่หากพูดกับเด็กๆวสุธาจะแทนปารมีว่าคุณปามอย่างที่เด็กๆเรียก และเด็กๆที่ว่านี้ก็รวมตาหวานเข้าไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
เด็กชายไม่ตอบ แน่ล่ะเพราะยังพูดไม่ได้ แล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเมื่อวสุธาเล่นสูงๆด้วย
วสุธาเอ็นดูตาหวานมาก อันที่จริงวสุธาพูดได้เต็มปากเลยว่ารักตาหวานไม่ต่างจากลูกทั้งสาม บางครั้งหากปารมียุ่งก็จะเป็นคนดูแลตาหวานให้ โดยไม่ต้องให้ปารมีเอ่ยขอร้อง
“วันนี้กลับเร็วจัง มีงานเลี้ยงหรือครับ”
วสุธาพยักหน้าตอบรับคำถาม แต่ก็ยังเล่นกับตาหวานไม่เลิก
“คุณอยากไปด้วยกันไหม”
“ครับ?”
“งานเลี้ยงคืนนี้น่ะ คุณอยากไปด้วยกันไหม”
เป็นครั้งแรกที่วสุธาเอ่ยชวน อันที่จริงมันไม่ได้มาจากความคิดของวสุธาเลย แต่นกหญิงสาวผู้เป็นเลขาต่างหากที่เป็นคนบอกว่าให้ชวนปารมีไปงานเลี้ยงบ้าง
“ไม่ดีกว่าครับ”
“เราฝากเด็กๆไว้กับนายลมก็ได้ วันนี้นายคนนั้นเขาว่าง”
ถึงอย่างนั้นปารมีก็ยังปฏิเสธ
“ผมห่วงเด็กๆก็จริง แต่ผมไม่ค่อยชอบงานพวกนั้นด้วยน่ะครับ”
“ยังไม่เคยไปรู้ได้ยังไงว่าไม่ชอบ”
จริงอย่างที่วสุธาว่า แต่ปารมีไม่อยากไปเพราะคิดว่าถึงตัวเองได้ไปก็ไม่ชอบมันขึ้นมาหรอก
“ผมไม่รู้จักใคร แถมยังไม่รู้เรื่องธุรกิจสักนิด ไม่ต้องลองไปผมก็รู้แล้วล่ะครับว่าจะไม่ชอบน่ะ”
วสุธาพยักหน้า เพราะเอาเข้าจริงๆที่ปารมีพูดมาก็ถูก งานเลี้ยงพวกนี้สำหรับเขามันก็ไม่มีอะไรน่าชื่นชอบจริงๆ แต่มันเป็นสื่อกลางอย่างหนึ่งในการเจริญสัมพันธ์ทางธุรกิจ เพราะฉะนั้นถึงอยากเลี่ยงก็มีบางงานที่เลี่ยงไม่ได้
“ไว้คราวหน้าถ้ามีงานเลี้ยงที่คุณน่าจะชอบจะชวนใหม่แล้วกัน”
ปารมีพยักหน้ารับ แต่ในใจก็ยังคิดว่าจะงานไหนตัวเองก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ
แล้วอีกอย่าง
วสุธาจะพาปารมีไปด้วยในฐานะอะไร? ปารมีไม่ได้เก่งและไม่ค่อยรู้เรื่อง ไปงานเลี้ยงแบบนี้วสุธาไปกับนกปารมีก็เห็นว่าดีและเหมาะสมอยู่แล้ว
“คุณพ่อกลับมาแล้ว”
ธรณินวิ่งเข้ามาหาเมื่อเห็นว่าใครที่นั่งอุ้มน้องอยู่ใกล้ๆปารมี
“สวัสดีครับ”
ทั้งสามยกมือไหว้คุณพ่อก่อนจะแย่งกันเล่าเรื่องไส้เดือนและตัวตุ่นให้คุณพ่อฟัง วสุธาซึ่งรู้เรื่องจากปารมีแล้วก็ยังนั่งตั้งใจฟังลูกชายเล่าราวกับยังไม่รู้เรื่อง
...................
“คุณนกรอสักครู่นะครับคุณวสุธากำลังจะตามลงมา”
หญิงสาวที่นั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกยิ้มรับและเอ่ยขอบคุณปารมีเบาๆที่ยกเครื่องดื่มออกมาให้เธอ
“ว่าแต่วันนี้คุณนกก็แต่งตัวสวยอีกแล้วนะครับ”
ปารมีไม่ได้เอ่ยปากชมเพราะต้องการยกยออะไร นกเลขาของวสุธานั้นหน้าตาสวยมากจริงๆ ยิ่งเธอแต่งตัวด้วยชุดสวยๆสำหรับใส่ไปงานเลี้ยงแบบนี้ ยิ่งทำให้เธอดูดีมากยิ่งขึ้นไปอีก
“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ แล้วคุณปารมีไม่ไปด้วยกันแน่นะคะ”
“ไม่ดีกว่าครับ”
ยังไม่ทันได้ต่อบทสนทนาวสุธาก็เดินเข้ามาเป็นการบอกว่าพร้อมออกไปข้างนอกแล้ว
“ไปก่อนนะ”
ร่างสูงหันมาบอกปารมีเบาๆ
“ครับ”
ปารมียิ้มรับแล้วมองภาพทั้งสองคนเดินเคียงคู่กันไปที่รถเหมือนทุกครั้ง ดูกี่ทีก็เหมาะสมกัน ปารมีอดคิดไม่ได้ว่าทำไมวสุธาไม่เลือกเธอมาเป็นคนรัก ทั้งๆที่เธอก็อยู่ข้างๆเขามาโดยตลอด เธอเข้ากับวสุธาได้ดี เด็กๆก็ไม่ได้ตั้งแง่รังเกียจเธอ
“หรือเพราะอยู่ใกล้ตาเกินไปจนมองข้าม”
ปารมีบอกกับตัวเองแบบนั้น แต่เธอสวยและเก่งสะดุดตาเกินกว่าใครจะมองข้ามได้ สักวันวสุธาอาจจะมองเห็นก็ได้
ปารมีไม่เข้าใจตัวเอง ทั้งที่คิดว่าทั้งคู่เหมาะสมกันทุกทาง แต่เมื่อนึกภาพวสุธาและเลขาของเขาเดินเคียงข้างกันโดยไม่ใช่ในฐานะเจ้านายกับลูกน้อง แต่เป็นฐานะคนรัก ในอกมันก็อึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออก
“คุณปาม........”
เสียงธรณินเรียกมาจากข้างหลังทำให้ปารมีเลิกคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“กินข้าวฮับ กินข้าวกัน”
.............................
“คุณกลับดึกจังครับวันนี้”
ปารมีที่เพิ่งเสร็จจากการดูตาหวานเหมือนเช่นทุกวันเดินออกมาจากห้องนอนหลานชายแล้วก็เจอเข้ากับวสุธาที่เพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงพอดี
“คุยติดพันไปหน่อยน่ะ”
วันนี้ที่งานเลี้ยงวสุธาเจอเพื่อนร่วมรุ่นที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายคน มิน่านกถึงบอกให้ชวนปารมีไปด้วยเพราะแม้ชื่องานจะเป็นทางการแต่งานเลี้ยงก็ไม่ได้เป็นทางการมาก
“คุณน่าจะไปด้วยกัน”
เปรยขึ้นมาเบาๆให้ปารมีได้เอียงคอมอง
“คุณไปกับคุณนกก็ดีแล้วล่ะครับ พาผมไปด้วยจะบอกกับคนอื่นว่าอย่างไร”
ปารมีพูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรมากนัก มือก็ยื่นส่งผ้าเช็ดตัวและชุดนอนให้อีกฝ่ายอย่างที่เคยทำ
“ก็บอกว่าเป็นคนรักสิ ควงเลขาไปงานมันจะไปดีเท่าพาคนรักไปได้ไง”
“อายคนอื่นเปล่าๆนะครับ คุณลืมรึเปล่าว่าผมเป็นผู้ชาย”
“ไม่เคยลืมหรอก จะลืมได้ยังไง”
พูดแล้วเข้าประชิดตัวปารมีอย่างที่ไม่ค่อยจะทำ กลิ่นแอลกอฮอล์โชยมาแตะจมูก ปารมีรู้ว่าวสุธาคงดื่มไปเยอะพอสมควร แม้พักหลังๆปารมีจะไม่มีท่าทีหวาดกลัววสุธาแล้ว แต่เมื่ออยู่ในห้องนอนสองคนและวสุธากำลังเมาแบบนี้ก็ทำให้ปารมีอดนึกถึงวันนั้นไม่ได้
ร่างเล็กเกร็งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ วสุธาจึงถอยห่างออกมาพลางทำเสียงหึขึ้นลำคอเบาๆ
“เห็นไหม ไม่ใช่แค่ผมที่ไม่เคยลืม คุณเองก็ไม่เคยลืมเหมือนกัน”
ว่าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ปารมีเพิ่งรู้สึกตอนนี้เองว่าตัวเองกำลังกลั้นลมหายใจ
เขารู้ว่าปฏิกิริยาของตนเองคงทำให้วสุธาไม่พอใจ แต่จะให้ทำอย่างไรเมื่อร่างกายมันเป็นไปเอง ปารมีไม่สามารถลบความกลัวจากเรื่องที่ฝั่งแน่นลงในจิตใจได้
ไม่ใช่ไม่อยากลืม อยากลบภาพเลวร้ายพวกนั้นทิ้งไปหรอกนะ แต่ทำไม่ได้ต่างหาก
ปารมีรู้ว่าวสุธาไม่ชอบใจเรื่องนี้อยู่ลึกๆ คงอารมณ์เหมือนคนน้อยใจที่ตัวเองพยายามทำดีมากมายแต่ก็ยังลบล้างความผิดพลาดครั้งเดียวของตนเองไม่ได้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่วสุธาแสดงออกมา อาจจะเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์
“ทำไมยังไม่นอนอีก”
วสุธาเดินออกมาจากห้องน้ำ ถามด้วยเสียงแผ่วเบา หลังจากอาบน้ำเจ้าตัวเองก็คงใจเย็นลงมากแล้ว
“ผมรอคุณ”
คำตอบที่ทำให้วสุธาหันมามองหน้าด้วยความสงสัย
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
ถามอย่างเอื้ออาทรเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก
“เปล่าครับ คือ ผมไม่อยากทำเหมือนวิ่งหนีคุณอีก”
“หืม”
“คือผมอาจจะยังกลัวเพราะอย่างที่คุณพูด ผมไม่เคยลืมมันได้แม้จะพยายามลืม แต่ผมไม่อยากให้คุณเข้าใจผิด ผมไม่อยากให้คุณคิดว่าผมไม่ไว้ใจหรือรู้สึกแย่อะไรกับคุณ คือผม ... คือ”
แม้ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่แค่นี้ก็ทำให้วสุธาพอใจขึ้นมาแล้ว ร่างสูงนั่งลงข้างๆร่างบางพลางเอื้อมมือไปกุมมือที่สั่นน้อยๆนั่นไว้
“ผมทำให้คุณกลัวเอง แม้มันจะยากผมก็จะพยายามทำให้คุณหายกลัว ขอบคุณที่บอก ขอบคุณที่คิดถึงความรู้สึกของผม ทั้งที่ผมทำร้ายคุณอย่างไม่น่าให้อภัย”
มืออีกข้างที่ว่างก็ใช้ปัดปอยผมข้างหน้าของปารมีออกให้
“เอาล่ะนอนกันเถอะ นี่เป็นครั้งแรกเชียวนะที่คุณไม่นอนก่อนผม”
จะพูดให้ถูกก็คือเป็นครั้งแรกที่ปารมีไม่แกล้งทำเป็นหลับไปก่อน วสุธาเดินไปปิดไฟก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วคว้าเอาร่างบางที่นอนอยู่ข้างๆเข้ามาในอ้อมกอด
“คุณวสุธา”
ปารมีเรียกอีกฝ่ายเบาๆ อาการตัวสั่นน้อยๆนั่นทำให้วสุธายิ่งกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
“นอนเถอะ ผมไม่ทำอะไรหรอก แค่อยากให้คุณชินกับการกอดของผมเอาไว้”
พูดได้นิ่งต่างจากคนฟังที่หน้าแดงเรื่อ หัวใจเต้นแรงและเร็วอย่างที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความกลัว ถ้ามันไม่ใช่ความกลัวแล้ว มันเกิดจากอะไร ปารมีพยายามคิด คิด และคิด แต่คิดยังไงก็ไม่เข้าใจตัวเองสักที แล้วคนที่นอนกอดอยู่คงจะรับรู้ วสุธาที่ง่วงงุนเต็มทีกระชับอ้อมกอดพลางลูบหลังบางนั้นเบาๆ เสียงงึมงัมที่ปารมีแทบจะจับใจความอะไรไม่ได้ นอกจาก
“ให้นอนซะ และ ผมจะอยู่ข้างๆคุณ”
..............................................
TBC
ตอนที่ 6 จะพยายามมาลงวันอาทิตย์ค่ะ ถ้าเกินก็ขออภัยล่วงหน้าค่า